Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”Chapter 27 – นั่นใคร?::Pinyok’s POV::“จูบได้ไหม?”เหยดโด้โคอาล่าเต้นระบำ! นั่นผมต้องฟังผิดไปแน่ ๆ
ข้อสนับสนุนคือ หนึ่ง ผมเพิ่งกินของเผ็ดไปเหมือนกัน ตอนนี้หูอื้อนิดหน่อยอาจจะได้ยินเพี้ยนบ้าง สอง วัยรุ่นชายมัธยมปลายที่อ้างตัวว่ารูปหล่อพ่อทิ้งไม่ควรมาเที่ยวขอจูบเพื่อนกลางวันแสก ๆ อย่างนี้โดยเฉพาะหากเพื่อนคนนั้นเป็นผู้ชายด้วยกัน และสาม
...ปกติมันเคยขอก่อนที่ไหน!?หน้าผมร้อนวาบ... ข้อสามนี่แย่มากเลย!
“....ปิ่นหยก?”
“เฮ่ย!”“ตกใจอะไรขนาดนั้น”
ตกใจตาใส ๆ ของมันนี่แหละ!
“..อ..เอาหน้าออกไปห่าง ๆ หน่อย”
“เห็นนิ่งไป นึกว่าเป็นอะไรเลยมาดูใกล้ ๆ”
“ไม่เป็นไร”
ผมขยับตัวถอยมาข้างหลัง กะว่ารอดแล้วจึงรู้ตัวว่าไม่น่ารีบดีใจ
....นี่มันทั้งเผ็ดทั้งร้อน ผมน่าจะปล่อยมันไปกินน้ำตั้งแต่แรก
ไม่งั้นคงไม่โดนอีกจูบ หลังจากรอดตัวมานาน ปลายลิ้นถูกดันส่งเข้ามาเพียงเล็กน้อยคล้ายจะทักทาย ไม่ได้จาบจ้วงเร่งเร้าเหมือนที่เคยเป็นบ่อย ๆ แต่ก็เพียงพอให้เดาได้ว่าปลาดุกผัดเผ็ดของแม่เพชรต้องเผ็ดมากแน่ ครั้งนี้ไม่ถึงกับหมดลมก้อนเนื้อนุ่มนิ่มก็ละออกไป ลิ้นร้อนผ่าวลากอ้อยอิ่งผ่านริมฝีปากล่างของผมแผ่วเบาปิดท้ายทำเอาขนลุกชันไปทั้งตัว
“....ละ....เลววว!!!” ผมแทบจะด่ามันว่าเลวบ่อยกว่าเรียกชื่อมันแล้วช่วงนี้
“ถ้าจะงับปากงี้แต่แรกแล้วมาถามก่อนทำทิงนองนอยอะไรวะ!!”
อาทิตย์ถอยออกไปนั่งที่เดิม ทำหน้าใสซื่อเสียเต็มประดาเหมือนไม่เข้าใจที่ผมพูด ไม่รู้ควรเรียกโง่หรือบ้าแต่ผมว่าคุณชายขอสอง
“ก็ปิ่นหยกอนุญาตแล้ว”
“ฉันไปพูดงั้นเมื่อไหร่กัน!?”
“เมื่อกี้ไง บอกว่าไม่เป็นไร”
“ไม่ได้พูด!”
“พูดสิ”
มันยืนยันหนักแน่น เดี๋ยวนะ..ขอผมย้อนเหตุการณ์เมื่อครู่สักหน่อย จำไม่เห็นได้สักนิดว่าไปบอกอนุญาตเชิญจูบได้ตามชอบใจเลยคร้าบตั้งแต่ตอนไหน....
’ไม่เป็นไร’ เรอะ?
‘เห็นนิ่งไป นึกว่าเป็นอะไรเลยมาดูใกล้ ๆ’
‘ไม่เป็นไร’
....ไม่เป็นไร....ไม่มึนจริงคงไม่สามารถขี้ตู่ว่านั่นเป็นคำอนุญาตได้
ไอ้ลูกเจี๊ยบนรก!!!!!..........................................
..........................
.
.
.
.
ตอนบ่ายผมเอาดอกมะลิสดที่เก็บจากหลังบ้านไปวางไว้ข้างโกศอัฐิแม่พลอยกับพ่อที่หิ้ง ไม่อยากจะคิดว่าการที่มะลิออกดอกมากมายเต็มต้นขนาดนี้เพราะมีร่างของไอ้ตุ้งติ้ง แมวสามสีตัวโปรดของจี้ซึ่งเพิ่งจากไปไม่กี่เดือนก่อนฝังอยู่หรือเปล่า ถือว่าไปอยู่กับพ่อกับแม่พลอยละกันนะ ส่งไปคอยวิ่งพันแข้งพันขาร้องแง้ว ๆ ก่อกวนพ่อแม่จะได้ไม่เหงา
หลังจากฟังคุณชายอาทิตย์เอ่ยฝากเนื้อฝากตัวราวกับจะมาขอเป็นลูกอีกคนอยู่หน้าหิ้งวางอัฐิยาวเหยียดจนผมเริ่มรำคาญ เลยแอบเอาศอกถองชายโครงเบา ๆ ไปหนึ่งทีเมื่อประเด็นเริ่มออกเรือมาไกลฝั่งจากแนะนำตัวลามปามไปถึงเรื่องลูกขงลูกเขยอะไรสักอย่าง นอกจากไร้สาระมากแล้วมันยังพูดยาวกว่าลูกแท้ ๆ เขาอีกนะไอ้กร๊วกนี่
“แม่พลอยสวยเนอะ สวยพอกับแม่เพชรเลย”
ผมหันไปมองหน้ามันก็เห็นจ้องรูปแม่พลอยเอาเป็นเอาตาย คงมุดหัวตามเข้าไปในรูปแล้วถ้าทำได้ แอบภูมิใจอยู่ลึก ๆ ที่มีแม่สวย “เขาเป็นแฝดกัน ต้องสวยทั้งคู่อยู่แล้ว”
“ลูกชายก็น่ารัก”
ผมเตะหน้าแข้งมันไปหนึ่งทีซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนเตะเสาไฟแข็งโป้ก ผลจากกฎแรงกิริยาเท่ากับแรงปฏิกิริยาแต่มีทิศทางตรงกันข้ามเล่นเอาแทบสะดุ้งเองแต่ยังมีมาดต้องรักษาแม้คงทำได้ไม่ดีนักเพราะผมเห็นมันแอบขำ เลวจริง ๆ แม่ดูมันสิครับ
“คุณแม่ฉันก็สวย” ท่านชายบ่นพึมพำ “แต่คนชอบบอกว่าฉันหน้าตาดีเหมือนคุณพ่อมากกว่า”
หลงตัวเองฉิบหาย!
“จริงสิ มีรูปถ่ายกับครอบครัวด้วย ยังไม่เคยเอาให้ดูเลย... อยากเห็นไหม”
ผมสนใจขึ้นมานิดหน่อย จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นรูปใครสักคนที่บ้านหมอนั่น เอาหน้ามาดูก็ดีว่าจะมึนเหมือนกันทั้งบ้านหรือเปล่า ผมยืนนิ่งรอให้มันหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาค้นอะไรกุกกักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยิบรูปถ่ายในนั้นขึ้นมาหนึ่งใบเตรียมส่งให้ดู ทว่ายังไม่ทันได้รับมาเสียงแม่เพชรก็ตะโกนลั่นแทรกขึ้นก่อนจากชั้นล่าง
“ปิ่น!”
“คร้าบบบ!” มือผมชะงักค้างกลางอากาศ
“ลงมาช่วยแม่หน่อย เร็ว ๆ”
ผมมองหน้ามันและรูปถ่ายที่ยังถือค้างอยู่ ตบไหล่ไปทีหนึ่งเบา ๆ “เดี๋ยวค่อยดู” ก่อนจะวิ่งลงบันไดตึงตังตามเสียงเรียกร้องจากชั้นล่าง
.
.
.
.
กว่าลังน้ำอัดลมทั้งหมดจะถูกจัดการเข้าที่เรียบร้อยเล่นเอาเหงื่อท่วม ครั้งนี้ผมรู้สึกว่ามันเยอะกว่าปกตินิดหน่อย มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะแม่เพชรได้ใจว่ามีหนุ่มวัยรุ่นอยู่บ้านด้วยเลยตุนของเก็บไว้มากขึ้น แต่จะว่าไปมีไอ้ตัวสูงหน้ามึนข้าง ๆ นี่ช่วยยกด้วยก็ถือว่าเบาแรงไปได้เยอะ แรงวัวแรงควายใช้ได้เลย
ว่าแต่หลังออกแรงแล้วร้อนจริง เดือนสิงหาคมซึ่งควรจะเป็นฤดูฝน ทว่าตอนฝนไม่ตกมันร้อนได้ขนาดนี้เชียว
ผมนั่งสะบัดคอเสื้อพั่บ ๆ มีสายตาคล้ายจะลวนลามด้วยการจ้องมองของไอ้คุณชายข้างตัวส่งมาเป็นระยะ แต่ ณ จุดนี้ผมไม่แคร์สื่อ หรืออย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่กำลังบอกตัวเองถ้าไม่นับเรื่องยังหน้าร้อนอยู่นิดหน่อย คือมีแต่อกแบน ๆ แสนเร้าใจให้มันดูนี่แหละถ้าจะสนใจใคร่รู้อะไรมากมายนัก ของตัวเองก็มีเหมือนกันแถมยังดูแน่นตึงน่า......ลูบ.. (ผมหมายถึงให้ผู้หญิงลูบ)มากกว่าเป็นไหน ๆ ทำไมไม่รู้จักจ้องเข้าไป
สายตานิ่ง ๆ มึน ๆ ของมันเหลือบมาอีกครั้ง จะเหล่กันอีกนานไหม? แช่งให้ชาติหน้าตาเขหมดหล่อมร่างเลย คราวนี้ผมตัดสินใจจ้องกลับกะให้มันรู้ว่าไม่ใช่แค่ตัวเองที่มีลูกตา ลามเลียด้วยวิธีแบบนั้นลองโดนดูบ้างจะได้สำนึกว่าเวลาถูกจ้องจนแทบกร่อนไปทั้งตัวแล้วมันเป็นยังไง
แม้จะโง่อย่างไรแต่ก็ไม่ควรถึงกับให้เป็นอนันต์ ประสบการณ์ซึ่งเคยได้รับทำให้ผมเลี่ยงจะสบกับนัยน์ตาดำขลับของมันตรง ๆ ถึงจะเจ็บใจแต่คงรู้กันหมดแล้วว่าผมแพ้ทางราบคาบชนิดที่ว่าไม่รู้จะไปหากุนซือจากไหนมาแก้เกม ถ้าถามคิมจะช่วยได้ไหมก็น่าคิด เพราะฉะนั้นแล้ว...ผมควรเอาการมองเห็นไปวางไว้กับอะไรอย่างอื่นนอกจากตาคู่โศกที่ว่า
เป้าหมายของผมเบนไปหยุดแถวลำคอชุ่มเหงื่อแล้วจ้องอยู่อย่างนั้นนิ่งงัน จ้องให้ผุทะลุชั้นหนังกำพร้า...ทะลวงผ่านชั้นหนังแท้...พุ่งควงสว่านแทรกชั้นไขมันบาง ๆ ใต้ผิวหนังเข้าไปกระซวกกล้ามเนื้อและเส้นเลือดเส้นประสาทอะไรแถวนั้นให้หมด ถ้าปล่อยเลเซอร์ออกจากตาได้ก็คงดีไม่น้อย ไงล่ะ...รู้จักความลำบากใจเวลาโดนจ้องนาน ๆ ขึ้นมาบ้างหรือยัง ผมนึกกระหยิ่มในใจ
...แต่ไหงท่านชายยังนั่งนิ่งเป็นพระอิฐพระปูน ไม่มีสะทกสะท้านให้กระผมผู้ต่ำต้อยใจชื้นสักหน่อยล่ะครับ! เพ่งนานเข้ากลับกลายเป็นผมเสียอีกที่รู้สึกคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ กล้ามเนื้อที่ต้นคอนั่นจะชัดสวยไปไหน ผิวก็เนียนแบบลูกผู้ดีมีอันจะกิน... รู้ตัวอีกทีผมก็ลากสายตาลงมาถึงกระดูกไหปลาร้าที่ทอดจากลำคอส่วนล่างเรื่อยไปเป็นแนวซึ่งโผล่พ้นจากขอบเสื้อยืดคอกว้างแล้วมุดหายเข้าใต้ร่มผ้ารำไร
......ขาวว่ะ......ถ้ามันเกิดเป็นผู้หญิงแล้วตัวขาว ปากอิ่ม ตาโศกอย่างนี้มาทำมึนตามผมต้อย ๆ ผมคงตกล่องปล่องชิ้นเปลี่ยนสถานะเป็นคนรักกันไปเรียบร้อยแล้ว แถมบ้านยังรวยอีก ถึงตอนนี้จะใช้เงินบ้านตัวเองไม่ได้แต่อนาคตก็ดูสดใสดี แล้วนี่ดูมันเข้าสิ... ตัวควายอย่างกับอะไร ใต้เสื้อยืดตัวบางชุ่มเหงื่อนั่นมีแต่แผงอกกับกล้ามท้องเห็นรอยนูนเป็นลอนน้อย ๆ ขึ้นมาตามเนื้อผ้าที่แนบลงไป ไม่มากมายอย่างพวกเล่นกล้ามแต่ก็สวยได้รูปจนน่าอิจฉา สมองเจ้ากรรมจัดการซ้อนทับภาพตรงหน้าเข้ากับตอนที่เคยเห็นเรือนร่างนั้นเปลือยท่อนบนอวดสายตามาแล้ว
.......เซ็กซี่ฉิบหาย... บัดซบ! ความคิดเมื่อกี้ดูเบี่ยงเบนมาก
“ปิ่นหยก” น้ำเสียงตระหนกของคนตรงหน้าทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์สีม่วงอ่อนขึ้นมาทำหน้าเหรอหรา จุดสุดท้ายที่สายตาโฟกัสอยู่คือแถวชายเสื้อมันที่เลิกขึ้นมานิดหน่อยเห็นผิวขาวจัดตรงเอวซึ่งไม่รู้ว่าเผลอจ้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไร ลูกตาเฮงซวยนี่จะมองอะไรไม่เคยคิดปรึกษาสมองผมก่อนบ้างเลย
“อะไร!? ตะโกนทำแป๊ะ ตกใจหมด”
“...เลือด”
“หา?”
“เลือดกำเดา”
มันว่าพร้อมผลุนผลันเข้ามาเอาชายเสื้อตัวเองป้ายจมูกผม ของเหลวสีแดงสดซึมลงบนผ้าขาวแล้วขยายวงกว้างประจักษ์ต่อลูกตาไม่รักดีให้ผมลุแก่ความโง่ว่าเกิดอะไรขึ้น ชัดแล้ว...นั่นเลือดกำเดา.....เลือดกำเดาผมเอง...
“เงยหน้าหน่อย”
มันเอ่ยเสียงนุ่มแต่ฟังแล้วยังไงนั่นก็ประโยคคำสั่ง ทว่าผมมัวแต่งงกับตัวเองจึงไม่ได้ทำตามที่บอก ผลลัพธ์คือเลือดไหลหยดติ๋งเป็นสายลงมาถึงปลายคาง สภาพคงน่าทุเรศไม่น้อยจนอีกฝ่ายทนไม่ไหวต้องเอามือข้างหนึ่งแปะหน้าผากผม ส่วนอีกข้างเอาสันมือวางตรงคางแล้วดันให้ใบหน้าเชิดขึ้น นิ้วยาว ๆ ที่เอาเสื้อยืดห่อไว้เลยขึ้นมาโปะอยู่ตรงจมูกพลางทำคิ้วขมวดมุ่นท่าทางจริงจังเกินจำเป็น
....ผมหายใจไม่ออก... รู้สึกเหมือนเลือดบางส่วนไหลลงคอ นี่เมิงกะหยุดเลือดพร้อมกับหยุดลมหายใจกรูไปพร้อมกันเลยใช่ไหม?
“ปล่อย”
ผมรู้มันได้ยินแต่ทำหูทวนลม เลยพูดอีกทีเสียงดังขึ้น...อ้อนวอนขึ้น(นิดหน่อย) และอู้อี้ขึ้นอย่างน่าอดสู “อาทิตย์ ฉันหายใจไม่ออก”
มือที่อุดจมูกอยู่ค่อยคลายลง ท่าทางจะแพ้ลูกอ้อน ผมควรหาจุดอ่อนมันไว้บ้างด้วยเริ่มสำเหนียกตัวเองว่าการทำตัวโง่อยู่ฝ่ายเดียวเป็นเรื่องไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง “เลือดกำเดาไหลต้องก้มหน้าต่างหาก ไอ้เวรนี่ เลือดลงคอหมดพอดี เคยเรียนวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นไหมวะ”
คุณชายทำหน้าตาสำนึกผิด ผมมองเลยไปจนถึงเสื้อเปื้อนสีแดงเป็นดวงของมันแล้วก็อดไม่ได้จะเอามือไปบิดจมูกมันสักทีเบา ๆ แม้ความรู้สึกสมน้ำหน้ายังกินพื้นที่เกินครึ่งในห้วงความคิด
“เจ็บหรือเปล่า?”
เสียงนั่นเล่นเอาหัวใจออกสเต็ปผิดไปหนึ่งจังหวะ
ผมส่ายหน้า.. ในชีวิตเคยเลือดกำเดาไหลอยู่สองสามครั้ง ซึ่งที่ผ่านมามักมีสาเหตุจากการกระแทกแถวจมูก แต่ไม่เคยไหลเองอย่างนี้มาก่อน
“จริงนะ”
“จะโกหกทำพร่องอะไรล่ะ หลบดิ๊” ผมว่าพลางเอาขาเขี่ย ๆ มันออกไปให้พ้นทาง
“ไปไหน”
“หาน้ำแข็งประคบ”
“ฉันเอาให้ ลุกเดินเดี๋ยวกระทบกระเทือน”
พ่อสุภาพบุรุษสุดติ่ง กรูแค่เลือดกำเดาไหลไม่ได้ตั้งท้องสุดท้ายผมก็ยักไหล่ไม่ขัดศรัทธา นั่งก้มหน้าเอามือบีบปีกจมูกไว้แล้วปล่อยมันไปหาน้ำแข็งมาเสิร์ฟ กว่าจะกลับมาได้พร้อมผ้าห่อน้ำแข็งในมือระบบการแข็งตัวของเลือดในตัวผมก็ทำหน้าที่เรียบร้อยไปแล้ว
“ช้า เลือดหยุดแล้วว่ะ”
“ไหนขอดู”
ผมปล่อยมือซึ่งกุมจมูกตัวเองไว้ออกมา เหลือเพียงคราบเลือดเหนียว ๆ ติดอยู่บนใบหน้าแต่ไม่มีอะไรไหลออกจากจมูกแล้ว เห็นคุณชายถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วก็นึกขำ แต่หลังจากนั้นเมื่อรอยยิ้มบางทอดบนริมฝีปากอิ่มนั่นแทนก็เล่นเอาขำไม่ออก เออ...ไอ้เทพบุตรสุดหล่อ โปรยเข้าไป กะให้อิจฉาไปถึงโลกหน้าเลยใช่ไหม
“ยิ้มบ้าอะไร”
“มีความสุขครับ”
พูดจนก็แจกยิ้มอบอุ่นเรี่ยราดต่อจนแทบจะเห็นกลีบดอกไม้ปลิววิ้ง ๆ กลางแสงตะวันเป็นฉากหลังสมชื่อจริงว่าแสงอรุณ ชื่อเล่นอาทิตย์ ซึ่งไม่รู้ใครตั้งให้แต่นับว่าเห็นภาพเลยทีเดียว
“เห็นเพื่อนเลือดออกแล้วมีความสุขนี่แย่นะไอ้เบื๊อก”
ผมเฉไฉ อะไรก็ได้แต่ขอด่าขัดจังหวะหน่อย ออร่าม่วงอมชมพูนี่ทำเอาครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมดแล้ว แต่แทนที่คุณชายจะเถียง คราวนี้ดันตอบรับเสียอย่างนั้น
“นั่นสิ ฉันแย่จริง ๆ”
มันบ่นพึมพำแล้วเอามือประคองหน้าผมจับก้มเงยหันซ้ายหันขวาคล้ายต้องการดูให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรสึกหรอตรงไหน ใช้สายตาแบบที่มันไม่รู้ตัว(หรืออาจจะรู้?)ว่าผมไม่มีปัญญาหนีจ้องเขม็งมาเพื่อเป็นหลักประกันว่าผมจะไม่ดิ้นรนขัดขืนให้ต้องเปลืองแรง “พอคิดว่าจะได้เป็นคนดูแลนายแล้วก็รู้สึกดียังไงไม่รู้”
...แย่เลย....ผมก็แย่เหมือนกัน....
เลือดทั้งตัวขึ้นมารวมกับอยู่บนหน้าแล้วมั้ง ขืนหยดออกจมูกอีกรอบคงได้ขายหน้ายาวไปสามชาติเศษ ผมรู้สึกแน่นในอกบอกไม่ถูก จะว่าอุ่นใจก็ไม่ใช่...ดีใจก็ไม่เชิง ผมเชื่อมั่นว่าตัวเองเข้มแข็งและอึดพอโดยไม่จำเป็นต้องมีคนมาดูแล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเวลามีขึ้นมาแล้วจะไม่ทำให้รู้สึกดี
...แม้จะดูแลผิดวิธีด้วยการจับผมแหงนหน้า แถมน้ำแข็งยังมาไม่ทันเวลาก็เถอะ
“อย่าเวอร์ไปหน่อยเลย ดูแลตัวเองได้ว่ะ”
....ปากมันไปเอง ส่วนหนึ่งก็กลัวเสียฟอร์ม...
แต่มันกลับหัวเราะพลางทำหน้าเหมือนอ่านใจผมออก มือซึ่งยังกุมอยู่สองข้างแก้มผมไม่ยอมปล่อยคู่นั้นนิ่งจนเกือบลืมไปแล้วว่ามันยังแปะอยู่จุดเดิมหากไม่ใช่เพราะอยู่ ๆ ก็มีแรงดึงแผ่วเบาให้ผมเงยหน้าขึ้นก่อนอะไรบางอย่างที่อุ่นชื้นจะแปะลงบนปลายจมูก
“เป่าให้แล้ว...เลือดจะได้ไม่ไหลอีกนะครับ”
...คือที่จมูกเมื่อกี้บ้านผมเรียกจูบไม่ใช่เป่า และแค่เป่ามันไม่ได้ทำให้หายเลือดออก เลือดผมหยุดเพราะระบบการแข็งตัวของเลือดแสนประเสริฐในร่างกายต่างหาก ซึ่งเรื่องพวกนั้นผมควรขุดมาโวยใส่มันสักชุด.... ถ้าเพียงแต่ปากจะยังว่างอยู่
ต่อจากที่จมูก สมองเบลอ ๆ ของผมก็สะกิดบอกแบบดีเลย์ว่ามีจูบเบาหวิวโฉบบนปากอีกครั้งหนึ่ง แล้วผมก็นั่งนิ่งกลายเป็นไอ้งั่งไปเลย... รู้ตัวว่าประเมินตัวเองผิดไปมากทีเดียว
เวลาอยู่กับอาทิตย์ ...ความโง่ของผมมีค่าเป็นอนันต์...................................................................
.................................
.
.
.
.
แม่เพชรส่งเสียงเรียกอีกครั้ง ฉุดกระชากผมขึ้นมาจากวังวนสีรุ้งที่หมุนติ้วอยู่รอบตัว ได้ยินแว่ว ๆ ว่าใครสักคนมาหา
“...อ...อะไรนะแม่เพชร”
“พี่ต้น”
“ห๊ะ?”
“พี่ต้นมาหา”
ผมหูผึ่ง กระโจนพรวดพราดขึ้นจากที่นั่งแล้ววิ่งลั้นลาไปหน้าร้าน
“เหวยยย! พี่ต้นค้าบบบ!”
พี่ต้นเป็นลูกชายร้านทองในตลาด ตอนนี้เรียนมหา’ลัยคณะเภสัชศาสตร์ปีสาม ตอนผมเรียนมัธยมต้นแถวบ้านเคยซี้กันเพราะอยู่โรงเรียนเดียวกันมาก่อน ระยะหลังตั้งแต่ผมย้ายที่เรียนตอนขึ้นมัธยมปลายพี่แกก็เข้ามหาวิทยาลัยเลยไม่ค่อยได้เจอกันอีก แต่พบกันกี่ครั้งก็ยังโคตรใจดีเหมือนเดิม การที่แม่เพชรบอกว่าพี่ต้นมาหาอย่างนี้เป็นลางดีซึ่งบอกให้รู้ว่าต้องมีอะไรติดไม้ติดมือมาด้วยหรือไม่ก็พาไปเลี้ยงนู่นนี่สักอย่างเช่นเคยเป็นแน่
“ไง ไอ้เปี๊ยก! ไม่เจอกันนานทำไมไม่สูงขึ้นเลย”
ฉึก! ทักคำแรกก็ปักอกแล้ว“ไม่เจอกันนานพี่ก็ไม่หล่อขึ้นเลยว่ะ” ผมยียวนแล้วโดนฟาดหัวทิ่มด้วยถุงขนม สายตาฉับไวเท่าความคิดเพราะเรื่องกินนั้นผมถนัด มองเห็นบรรจุภัณฑ์เอสแอนด์พีอยู่ในถุงที่เพิ่งถูกใช้เป็นอาวุธประทุษร้ายผมเมื่อครู่แล้วก็ตาลุกวาว “ในถุงนั่นของฝากใช่เปล่า!?”
“ตะกละ! อันนี้พี่ซื้อมากินเอง” ว่าแล้วก็หัวเราะลั่น ยังไม่ทันได้ต่อรองขอแบ่งเสบียงสักครึ่งหนึ่งในถุงนั้น บรรยากาศทะมึนก็คล้ายจะแผ่พุ่งออกมาจากด้านหลัง
“นั่นใคร?” สองเสียงของคุณพี่และคุณชายประสานขึ้นพร้อมกัน พี่ต้นชะเง้อไปอีกฝั่งเรียกให้ผมหันกลับไปมอง แล้วก็พบจุดกำเนิดของออร่ามืดมนความเข้มข้นสูงที่กระแทกหลังอยู่เมื่อครู่
หน้าคมของคุณชายอาทิตย์ตอนนี้นิ่งสนิทอย่างกับกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นอัมพาตไปแล้ว ร่างสูงพอกับพี่ต้นยืนซ้อนข้างหลังผมแล้วจ้องเขม็งไปยังผู้มาใหม่ด้วยแววตาที่ผมไม่คุ้นเคย ฉากหลังกลีบดอกไม้ปลิวว่อนกลางแสงตะวันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ดูจะเปลี่ยนเป็นครึ้มฟ้าครึ้มฝนเหมือนพายุใกล้เข้าอย่างน่าประหลาดทั้งที่ท้องฟ้าภายนอกก็ยังสว่างจ้า
“เอ่อ...นี่เพื่อนผม...ชื่ออาทิตย์” ผมแนะนำเสียงเบาหวิวจนตกใจตัวเอง หันไปถองมันเบา ๆ ทีหนึ่งให้แสดงอารมณ์ร่วมอะไรบ้างมากกว่าปล่อยดรายไอซ์ที่มองไม่เห็นออกจากตัวแบบนี้
“แล้วก็อาทิตย์...นี่พี่ต้น เป็นรุ่นพี่โรงเรียนเก่า”
ม่านความเงียบโรยตัวลงห้อมล้อมกั้นเสียงจอแจจากคนในร้านจนแทบไม่มีอะไรเข้าหู ทั้งสองคนสบตากันข้ามหัวผม ซึ่งขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่ได้เตี้ยเพียงแต่คนพวกนี้สูงเกินไป พี่ต้นยิ้มบางตามปกติ แต่ฝ่ายไอ้ลูกเจี๊ยบทำเพียงยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยส่งกลับมาเป็นอะไรสักอย่างที่ดูห่างไกลคำว่ายิ้มไปหลายไมล์ทะเล
อาจเป็นเทพเจ้าแห่งเงินตราที่ดลบันดาลให้ผมส่งเสียงหัวเราะเจื่อน ๆ ออกไปกลางวงหวังกอบกู้สถานการณ์น่าอึดอัดแต่ดูท่าจะล้มเหลว
ลางสังหรณ์ที่เชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างกรีดร้องว่าพายุจะเข้าแบบกรมอุตุฯไม่ทันแจ้งเตือนTo be continued…================================
งานเข้า...ไหมนะ? 5555
อ่านคอมเม้นต์แล้วชื่นใจแทบคลานเข่าหมอบกราบ รักคนอ่านมากมายค่ะ >3<

แล้วพบกันตอนหน้าเน้อ
***สารบัญคลิกที่นี่ค่ะ***