Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”
CHAPTER 25 – เม็ดฝนร้านขายข้าวแกงกลางตลาดแถวชานเมือง เป็นคำจำกัดความอย่างสั้นของบ้านปิ่นหยก
อาทิตย์กวาดตามองสภาพสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กสองชั้นครึ่งอิฐครึ่งไม้ตรงหน้า ชั้นล่างถูกจัดให้เป็นบริเวณสำหรับค้าขาย ถัดเข้าไปจากตู้ใส่ถาดอาหารหลายชนิดมีโต๊ะเก้าอี้จับจองอยู่เต็มพื้นที่ ส่วนชั้นบนสร้างจากไม้สภาพเก่าคร่ำครึแต่ยังเหลือเค้าว่าครั้งหนึ่งมันเคยถูกทาทับเอาไว้ด้วยสีเหลือง
ลูกค้าในร้านบางตาอาจเพราะเพิ่งเป็นเวลาสาย เขากระชับเป้ที่สะพายอยู่บนหลังแล้วสาวเท้าตามปิ่นหยกผ่านผู้คนซึ่งกำลังนั่งจัดการกับอาหารของตัวเองตามโต๊ะเก้าอี้ซึ่งจัดเป็นแถวซ้ายขวา สายตาไล่เก็บรายละเอียดภายในร้าน ภาพทิวทัศน์ทะเล ภูเขา น้ำตกติดอยู่บนผนัง คั่นด้วยโปสเตอร์ซีดจางรูปพรีเซนเตอร์น้ำอัดลมยี่ห้อดังกำลังกระดกเครื่องดื่มสารพัดสีด้วยท่าทางเต็มที่กับชีวิต
หากไม่นับคนข้างหน้าเขา โดยรวมแล้วที่นี่ก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจต่างจากร้านค้าทั่วไปเลยสักนิดอีกฝ่ายเดินนำทะลุตัวร้านผ่านประตูเข้าไปถึงห้องครัวด้านหลัง ได้ยินเสียงกระทบกันของถ้วยชามเบา ๆ จากบริเวณนั้น พลันปิ่นหยกก็ชะงักฝีเท้าแล้วเบียดตัวเข้ามาหลบอยู่ในมุมอับข้างซอกตู้ก่อนจะหันมาทำปากจุ๊ ๆ กับเขาเป็นเชิงบอกว่าอย่าส่งเสียงดัง
อาทิตย์เลิกคิ้ว... ไม่เข้าใจเหตุผลนักแต่ก็หลบไปยืนสงบเสงี่ยมอยู่อีกมุมอย่างว่าง่าย ลอบมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยแววตาสนอกสนใจ
ปิ่นหยกวางกระเป๋าลงบนพื้นแล้วขยับตัวแผ่วเบาในหลืบนั้น ใบหน้าโผล่พ้นขอบตู้เล็กน้อยพอที่สายตาจะมองเห็นร่างโปร่งบางของผู้หญิงซึ่งยืนหันหลังให้พวกเขาอยู่ ผมสีน้ำตาลเข้มแบบเดียวกับของตัวเองถูกรวบไว้หลวม ๆ ตรงท้ายทอยขณะที่มือของเธอก็สาละวนกับการจัดเรียงจานชามลงบนตะแกรง
หลังจากจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นานจนแน่ใจว่าเธอคนนั้นไม่รู้สึกถึงผู้มาใหม่ จึงถ่ายน้ำหนักลงปลายเท้าย่องออกจากจุดเดิมอย่างเงียบเชียบเหมือนแมวขโมยแล้วมาหยุดอยู่ข้างหลังเป้าหมาย มือทั้งสองข้างยกขึ้นคล้ายจะเอื้อมไปปิดตาคนที่ไม่มีท่าทีรับรู้ความเคลื่อนไหวซึ่งเกิดขึ้นลับหลังสักนิด ริมฝีปากแย้มยิ้มเตรียมเอ่ยอะไรบางอย่างซึ่งเขาเดาว่าอาจเป็นประโยคสุดคลาสสิกในสถานการณ์แบบนี้อย่างเช่น
‘ทายซิใครเอ่ย’ หรืออะไรทำนองนั้น
แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็น...
“เฮ่ย!!!!!”ปิ่นหยกสะดุ้งสุดตัว เมื่อแทนที่จะเป็นมือของตัวเองไปปิดตาอีกฝ่าย กลับกลายเป็นหญิงสาวตรงหน้าหันขวับมาเอานิ้วจิ้มพรวดเข้าตรงเอวสองข้างของเขาแบบไม่มียั้งมือ
“จะใช้มุกนั้นกับแม่ยังเร็วไปสิบปี!”
ว่าแล้วเธอก็หัวเราะลั่นครัว ผมที่รวบไว้หลวม ๆ หลุดลุ่ยลงมาระข้างแก้ม รอยย่นตรงหางตาและหน้าผากทำให้พอประมาณอายุได้ว่าคงเป็นช่วงสี่สิบกลาง ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ดวงหน้าไร้เครื่องสำอางนั้นดูน่ามองน้อยลง ริมฝีปากได้รูป จมูกเชิดรั้น นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายวิบวับขณะยิ้มกว้างดูละม้ายคล้ายคลึงกับแววตาของเด็กหนุ่มที่ยืนหน้าแหยอยู่ข้างกันอย่างไม่ต้องสงสัย
สำเนาถูกต้อง... คนนี้เป็นคุณแม่ของปิ่นหยกล้านเปอร์เซ็นต์“แม่เพชรโคตรโหด...”
ปิ่นหยกโอดครวญ สีหน้าบอกชัดว่ายังจุกจากดัชนีทะลวงเอวเมื่อครู่นี้มากกว่าจะรู้สึกจักจี้
“กลับมาก็ทักทายด้วยการร้อง
‘เฮ่ย’ ใส่แม่ แล้วตามด้วย
‘โคตรโหด’ เนี่ยนะ มารยาทหายไปไหนแล้วเจ้าเด็กนี่!”
เธอทำเสียงเหี้ยมเกรียมทั้งหน้ายิ้มระรื่น กอดร่างตรงหน้าหมับหนึ่งทีก่อนจะเอานิ้วดีดหน้าผากลูกชายเสียงดังน่าจนตกใจว่าแค่ดีดหน้าผากมันดังได้ขนาดนี้เชียว เรียกเสียงร้องโอดโอยจากปิ่นหยกอีกครั้งแทรกไปกับคำทักทาย “สวัสดีคร้าบบบบบ” ของเจ้าตัว ก่อนความสนใจจะเบนมายังเด็กหนุ่มร่างสูงผู้มาใหม่อีกคน
“นั่นเพื่อนครับ” ปิ่นหยกลูบหน้าผากป้อย ๆ พลางแจกแจงตั้งแต่ยังไม่มีใครตั้งคำถาม “แต่มีปัญหาเรื่องสติไม่ดีนิดหน่อย”
“สวัสดีครับคุณแม่”
เขายกมือไหว้นอบน้อม เรียกให้ปิ่นหยกหันมาจ้องเขม็งเหมือนอยากจะเอาสายตากระซวกไส้เขาให้พรุน ใครอนุญาตให้มาเรียกแม่คนอื่นว่าคุณแม่ได้เต็มปากเต็มคำอย่างนั้นกัน!?
“ชื่ออาทิตย์ครับ”
แม่เพชรของปิ่นหยกรับไหว้พร้อมกับหัวเราะออกมา
“โอ้..นอกจากคิมแม่นึกว่าเจ้าเด็กนี่จะไม่มีคนคบแล้วเสียอีก”
อาทิตย์อยู่ในอาการสำรวมทุกกระเบียดนิ้ว... คุณพ่อเคยบอกว่าความประทับใจแรกพบเป็นสิ่งสำคัญ
ดังนั้นเพื่อความประทับใจที่ว่า ใช้ความจริงใจเข้าช่วยน่าจะไม่เลว
“คบสิครับ ตอนนี้ก็ยังคบกันอยู่”
ปิ่นหยกกุมขมับ ไล่มันกลับหอตอนนี้จะทันไหมประโยคเมื่อครู่ช่างให้ความรู้สึกประหลาดจนกิ่งเพชรกระพริบตาปริบ ๆ บางครั้งเธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเพื่อนในโรงเรียนที่ลูกชายเธอสู้ท่องหนังสือสอบจนได้ทุนเข้าไปนั้นเป็นอย่างไรกันบ้างหนอ.. แต่นอกจากคิมแล้วก็เธอยังไม่เคยเห็นปิ่นหยกพาเพื่อนจากโรงเรียนคนไหนกลับบ้านด้วยมาก่อนจึงได้แต่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา
“แล้วจี้ล่ะแม่เพชร” เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง ทำทีเป็นมองหาน้องสาวที่ควรจะป้วนเปี้ยนอยู่แถวนี้ในวันหยุด
“แม่ให้ไปซื้อของน่ะ”
“อ้อ”
“เด็ก ๆ เอาของขึ้นไปเก็บข้างบนสิ เอาของจี้มาไว้ห้องแม่ก็ได้ เดี๋ยวแม่ไปดูลูกค้าก่อน”
ชั้นสองที่ทำจากไม้แบ่งออกเป็นสองห้องแคบ ๆ ห้องหนึ่งเป็นของแม่กับน้องสาว ส่วนอีกห้องเคยเป็นของปิ่นหยก แต่หลังจากย้ายออกไปอยู่หอ น้องสาวที่เริ่มโตขึ้นก็แยกห้องนอนกับแม่แล้วมายึดห้องเขาเป็นการถาวร นาน ๆ ครั้งเมื่อได้กลับบ้านสักทีจี้หยกก็จะหอบหิ้วที่นอนหมอนมุ้งไปนอนกับแม่ แล้วยกห้องเดิมให้เขาชั่วคราว
ปิ่นหยกหยิบกระเป๋าเป้บนพื้นมาสะพายไหล่แล้วเดินนำขึ้นบันไดไม้สภาพซอมซ่อ ไม่ได้หันไปเรียกลูกเจี๊ยบในสังกัดเพราะรู้ว่ายังไงก็ต้องเดินตามมาอยู่ดี
ไม้เก่ารุ่นดึกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดคล้ายจะประท้วงในแต่ละย่างก้าวที่พวกเขาทิ้งน้ำหนักลงไป อาทิตย์ขยับตัวอย่างระมัดระวัง รู้สึกระแวงบอกไม่ถูกว่าแผ่นไม้เหล่านี้อาจจะพังถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ในที่สุดก็มาหยุดอยู่ในห้องโถงตรงกลาง
ประตูสองบานแยกกันอยู่ฝั่งซ้ายขวา ปิ่นหยกยกมือไหว้หิ้งที่ทำจากไม้ซึ่งติดอยู่บนผนังในโถงนั้นพร้อมกับพึมพำแผ่วเบาคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็น
‘กลับมาแล้วครับ’ ก่อนจะเดินเลี้ยวซ้ายผลักบานประตูที่แง้มไว้ให้เปิดกว้างออกแล้วผลุบหายเข้าไป
ทว่าเด็กหนุ่มร่างสูงซึ่งควรจะตามมาอย่างทุกทีกลับหยุดนิ่งอยู่ตรงจุดเดิม
“อาทิตย์?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบผิดปกติ เจ้าบ้านจึงชะโงกหน้าออกมาจากห้อง มองเห็นนัยน์ตาสีดำสนิทกำลังจับจ้องไปที่หิ้งเก่า ๆ ในห้องโถงด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อาทิตย์ไม่ได้หันไปตามเสียงเรียก แต่เดินขยับเข้าไปใกล้หิ้งที่ว่ามากขึ้น สังเกตเห็นรูปถ่ายสองใบซึ่งสีเริ่มซีดจางวางคู่กันอยู่บนนั้น ใบหนึ่งเป็นภาพชายหนุ่มท่าทางใจดีในเสื้อยืดโปโลลายขวางกำลังยิ้มน้อย ๆ อีกใบข้างกันเป็นภาพหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งรูปหน้าช่างคุ้นตาจนเขาเผลอขมวดคิ้วขณะที่โน้มตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีกเพื่อจะได้มองเห็นชัด ๆ
รูปคุณแม่ของปิ่นหยกตอนสาว...?ข้างกันนั้นมีโกศอัฐิขนาดเล็กวางอยู่ เขาตวัดสายตากลับมายังรูปถ่ายทั้งสองใบอีกครั้งจึงสังเกตว่ามีวันเกิดและวันเสียชีวิตของคนในรูประบุเอาไว้ ....และวันเสียชีวิตของทั้งสองคนเป็นวันเดียวกัน
วันที่ 12 สิงหาคม 25xxเดี๋ยวสิ...?
เขาเริ่มสับสนเหตุการณ์ แม่เพชรของปิ่นหยกตอนนี้ยังขายของหน้าร้านอยู่เลยไม่ใช่หรือไง แล้วรูปถ่ายกับโกศใส่อัฐิที่บอกว่าเสียชีวิตแล้วนี่คืออะไรกัน...?
เสียงฝนตกดังขึ้นข้างนอกอย่างกะทันหัน ทั้งที่เมื่อครู่นี้ฟ้ายังสว่างอยู่แท้ ๆ
อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิกายนอกปุบปับที่ทำให้เขารู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมาแถวต้นคอ เขาน่าจะหันไปสนใจเรื่องอื่น... แต่กลับไม่สามารถละสายตาออกจากรูปถ่ายตรงหน้าได้
“อาทิตย์!”เสียงเกือบจะตะโกนของปิ่นหยกทำให้เขาหลุดจากภวังค์ หันไปก็เห็นเจ้าตัวยืนเท้าเอวพิงประตูมองเขาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
“ฉันรู้แกคิดอะไรอยู่”
ปิ่นหยกไม่รู้หรอก.. เพราะสมองเขาตอนนี้ว่างเปล่าเกินกว่าจะมีความคิดใดเข้าแทรก ไม่มีคำตอบหรือแม้แต่สมมติฐานให้กับอะไรสักอย่าง
“แม่เพชรไม่ใช่ผีว้อย!”
เอ..หรือบางทีเขาอาจจะกำลังคิดเรื่องนั้นอยู่จริง ๆ โดยไม่รู้ตัว ดูจากอาการเย็นเยือกที่เริ่มลามไปทั่วจนขนลุกของตัวเองแล้ว...
“....แต่รูปนี่....?”
ปิ่นหยกถอนหายใจ บางทีเขาก็ขี้เกียจอธิบายอะไรยืดยาว เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่ค่อยชวนเพื่อนมาบ้านนอกจากเรื่องกลัวจะไม่มีที่พักหรืออาหารดี ๆ พอจะดูแลผู้มาเยือนได้ แต่สำหรับคุณชายหน้ามึนคนนี้คงต้องให้เป็นกรณียกเว้น เขาไม่มีอะไรจะห้ามนอกจากช่างหัวมันแล้ว
“อันนั้นรูปพ่อกับแม่”
อาทิตย์รู้สึกว่านั่นยังไม่กระจ่างนัก จนอีกฝ่ายขยายความประโยคเดิมอีกครั้งเสียงเรียบแล้วเดินหายเข้าไปในห้อง
“พ่อกับแม่.....
จริง ๆ"
.
.
.
.
สองคนในรูปนั้นคือพ่อและแม่ของปิ่นหยกที่เสียชีวิตไปนานแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ถูกส่งไปอยู่กับลุง และด้วยเหตุผลบางอย่างต่อมาก็ย้ายมาอยู่กับแม่เพชรซึ่งเป็นน้องสาวฝาแฝดของแม่แท้ ๆ
สั้น ง่าย ได้ใจความ...
นั่นเป็นคำอธิบายที่อาทิตย์ได้รับ
ตอนคุณแม่ของเขาจากไป เขาเคยคิดว่าตัวเองช่างเป็นเด็กโชคร้ายที่สุดในโลก แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็ยังมีคุณพ่อ มีพี่อัน มีบัว...
เขาเองไม่มีทางรู้ได้เลย... การที่ทั้งพ่อและแม่จากไปในวันสำคัญพร้อมกับทั้งสองคน มันอาจจะเป็นขั้นกว่าของคำว่า
‘โชคร้ายที่สุดในโลก’ ก็ได้
ปิ่นหยกหันหลังถอดเสื้อเชิ้ตที่สวมอยู่ออกแล้วก้มลงไปคุ้ยหาเสื้อยืดสีขาวเก่า ๆ ในตะกร้าขึ้นมาใส่ ระหว่างนั้นทำให้เขาเห็นแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยแผลเป็นและรอยคล้ายแผลไหม้เก่ากินพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งบนหลัง เป็นร่องรอยที่เขาเคยเห็นเต็มตาแล้วครั้งหนึ่งในฤทธิ์มึนเมาของแอลกอฮอล์แต่ครั้งนั้นไม่ได้ถามอะไรออกไป และอีกครั้งตรงนี้ที่ยังมีสติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งสองครั้งให้ความรู้สึกเมื่อมองแตกต่างกันอย่างน่าประหลาด
เครื่องดื่มมึนเมาทำให้ทุกอย่างดูเล็กลง
.....ไม่เว้นแม้แต่ร่องรอยความเจ็บปวดบางอย่างที่หลงเหลือค้างไว้บนบาดแผลตามร่างกายที่ถูกมองข้ามไป เพียงเพราะแผลทางกายภาพนั้นหายดีแล้ว
เขาอยากรู้
แผลพวกนั้นมาจากไหน....ใครเป็นคนทำ......? อยากรู้ทุกเรื่อง...อยากรู้ทั้งหมด.....แต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถาม
มันฟังดูขี้ขลาด เพราะนั่นอาจเป็นเพราะความกลัวต่อบางสิ่งที่มากยิ่งกว่า
‘ขั้นกว่าของคำว่าโชคร้ายที่สุดในโลก’ ของเขาก็เป็นได้
....................................................................
........................................
.
.
.
.
ฝนตกแรงไม่มีทีท่าว่าจะหยุด และจี้หยกยังไม่กลับบ้าน
“แม่เพชร จี้ได้เอาร่มไปเปล่า”
เธอส่ายหน้า ชะเง้อมองฝนเม็ดใหญ่ที่เทลงมาไม่หยุดหย่อน “เมื่อกี้ฟ้ายังสว่างโร่อยู่เลย”
“สงสัยติดฝน”
“ไปตามไหม?”
อาทิตย์เสนอ เสียงทุ้มลอยแทรกอยู่ในเสียงฝนพรำเรียกให้ปิ่นหยกหันมามอง จะพูดจาเหมือนคนปกติเขาพูดกันก็ใช่จะทำไม่ได้นี่นะ
“จี้ไปร้านไหนอะ เดี๋ยวปิ่นเอาร่มไปรับ”
เด็กหนุ่มร่างสูงเงี่ยหูฟัง ตอนอยู่ที่ร้านเค้กกับพี่เอมเจ้าตัวมักแทนตัวเองว่า ‘ผม’ แต่เขาชอบเวลาอีกฝ่ายเรียกตัวเองว่า ‘ปิ่น’ มันดูน่ารักบอกไม่ถูก
“มะนาวกับน้ำมันพืช น่าจะอยู่ที่ร้านเจ๊ไหว”
ปิ่นหยกพยักหน้า ร้านขายของชำของเจ๊ไหวอยู่ไม่ไกลนัก เขาเดินหายเข้าไปหลังบ้านแล้วกลับออกมาพร้อมร่มสองคันในมือซึ่งทั้งบ้านก็มีอยู่แค่นั้น คันหนึ่งสำหรับตัวเอง อีกคันเอาไว้เผื่อน้องสาว
“ฉันไม่ต้องใช้ร่มก็ได้”
คนเรามันจะทำตัวน่าสงสารไปถึงไหน รออยู่ที่บ้านเฉย ๆ จะเป็นไรไป
“ฝนตก..ไม่ต้องตามมา” ปิ่นหยกหันไปสั่งห้าม ส่วนแม่เพชรตอนนี้ไปดูลูกค้าต่อแล้ว
“ไม่เป็นไรจริง ๆ”
พูดจบร่างสูงก็ก้าวออกมายืนนอกร่มเงาของตัวบ้าน ปล่อยเม็ดฝนร่วงหล่นลงมากระทบเปาะแปะตั้งแต่หัวจรดเท้า
“อยากลองเล่นน้ำฝนมานานแล้ว”
เหตุผลนั้นฟังดูเพ้อเจ้อมากในความคิดปิ่นหยก “อาทิตย์...จริง ๆ นะ บางทีฉันก็รู้สึกว่าแกมันบ้ามากเลย”
อีกฝ่ายหัวเราะ “หลายคนก็ว่างั้น”
“เอ้านี่...!” เขาเริ่มเหนื่อยกับการต่อล้อต่อเถียงจึงกางร่มอีกคันแล้วยัดใส่มือคนข้าง ๆ
“ให้ยืมก่อน เจอจี้แล้วจะยึดคืน ถึงตอนนั้นอยากเล่นน้ำฝนอะไรก็เรื่องของแก”
เด็กหนุ่มร่างสูงมองร่มที่ถูกส่งมาให้แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่ม....ก้มไปมองร่มในมืออีกแล้วก็เงยขึ้นมองปิ่นหยกอีก... ทำซ้ำอยู่สองสามครั้งจนปิ่นหยกเริ่มระแวงว่าเขาทำอะไรผิดไปหรืออย่างไร “เป็นอะไร?”
“เปล่า” ใบหน้าคมยิ้มออกมาบาง ๆ
“แค่คิดว่าปิ่นหยกใจดีน่ะ....ตามใจตลอดเลย”
ปิ่นหยกทำสีหน้าหวาดระแวงแต่ไม่ได้ตอบอะไร ขาชิงเดินนำออกไปก่อน ระหว่างทางถูกเรียกจากคนในตลาดสองสามครั้ง มีกระทั่งฝากเอาของไปให้บ้านอีกหลังซึ่งเป็นทางผ่าน เขาบ่นงุบงิบพอเป็นพิธีแต่ก็รับฝากมาทั้งหมดทั้งที่ฝนยังร่วงลงมาไม่ขาดสาย อาทิตย์เดินไปช่วยถือของก็โดนดึงกลับมาถือเอง
“...ใจดีกับทุกคนสินะ”
เสียงทุ้มพึมพำตามหลัง แต่สายฝนที่กระหน่ำแรงขึ้นก็ทำให้คำพูดเหล่านั้นถูกลมฝนพัดหายไปโดยไม่มีใครได้ยิน
.
.
.
.
.
“กลับไปแล้ว!??”
“เมื่อกี้นี้เอง ไม่สวนกันเรอะ”
ปิ่นหยกกลอกตา ฝนตกขนาดนั้นใครจะไปมัวจ้องรถที่สวนผ่านไปว่ามีใครบ้าง
“เฮ่อออออ.....”
เป็นอันว่าจี้หยกกลับไปแล้ว หลานสาวของเจ๊ไหวขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งเพราะเห็นติดฝนอยู่นานแถมยังเป็นเพื่อนสนิทกันที่โรงเรียนอีก แล้วเขาสู้ฝ่าสายฝนมาถึงนี่เพื่ออะไรกัน? เดินออกกำลังทักทายเพื่อนบ้านแถมบำเพ็ญประโยชน์ด้วยการรับฝากเอาของไปส่งบ้านโน้นบ้านนี้เรอะ?
เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าครึ้ม... ฝนยังไม่ซา แต่จะว่าไปก็หมดธุระแล้ว...
..............................................................
......................................
.
.
.
“เล่นน้ำฝนกัน”ปิ่นหยกหันไปมองด้วยสายตาว่างเปล่า....มันบ้าไปแล้ว
“นะ?”
“บ้าเปล่าวะ...ไม่เอา เปียก”
“บัวไม่เคยให้เล่นเลย”
“ก็ถูกแล้ว”
เขาแค่อยากลองทำอะไรที่ไม่เคยทำร่มในมือปิ่นหยกถูกดึงออกมา จากนั้นอาทิตย์ก็หันไปโปรยยิ้มให้คุณป้ากับเด็กหญิงอีกคนที่ยืนติดฝนอยู่ข้างกันพร้อมกับส่งร่มที่เพิ่งยึดมาทั้งสองคันใส่มือ
“ให้ยืมร่มครับ”
ปิ่นหยกอ้าปากค้าง...เดี๋ยวนะ...เฮ่ย ๆ ลืมไปแล้วเหรอครับว่านั่นร่มกรู
“ไปกัน”
ก่อนที่ข้อมือบางจะถูกดึงออกไปจากตรงนั้น ไม่ทันทิ้งช่วงให้ได้เจรจาขอร่มคืน เขากึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายออกมาข้างนอก ใครบางคนมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ แต่เด็กหนุ่มไม่คิดจะให้ความสนใจ เขาไม่รู้จักใครที่นี่.... แม้ปิ่นหยกอาจจะรู้จักแต่ก็ช่างเถอะ
“เวรเอ๊ย!! เลวมาก อยากเล่นทำไมไม่เล่นคนเดียววะ!”ปิ่นหยกโวย แต่พวกเขาออกมาไกลและฝนตกเสียงดังกลบจนไม่มีใครสนใจฟัง
.
.
.
.
ผู้คนมักบอกว่าความเย็นเยียบของสายฝนทำให้จิตใจสงบ
แต่หยดน้ำที่กระทบลงบนผิวกายนั้นช่างหนาวเหน็บไปจนถึงขั้วหัวใจ... ถ้อยคำเหล่านั้นจะเชื่อถือได้จริงหรือ?
ร่างโปร่งในเสื้อยืดสั่นระริก พอเปียกน้ำเลยยิ่งดูเหมือนตัวเล็กกว่าปกติ สายตาคู่น้้นมองมาอย่างคาดโทษ และเขาส่งยิ้มกลับไป มือที่เกาะอยู่ตรงข้อมืออีกฝ่ายเลื่อนลงมากุมมือเย็นเฉียบนั้นไว้หลวม ๆ
มนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น....แล้วทำไมมือถึงเย็นได้ขนาดนี้กัน...
เขาแหงนหน้า ปล่อยตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของเม็ดฝนที่โปรยปราย
....ถ้าเปียกฝนแล้ว...เขาจะกล้าถามอะไรที่อยากรู้ไหมนะ...?To be continued…===================================
ครึ้ม ๆ เนอะตอนนี้ =^=
จากคอมเม้นต์
แอบเห็นว่ามีคนเชียร์คิมบอมบ์/บอมบ์คิมหลายคนอยู่
ที่จริงเรื่องของคิมมีคิดไว้ในหัวนะคะ แต่เป็นช่วงมหา'ลัย จะรอกันไหวไหม(ถ้าได้เขียน) ฮาาา....
ระหว่างนี้จิ้นกับทุกคนในเรื่องได้ตามสบายค่ะ 555
เรื่องคู่อื่น คู่หมีกริช x พี่เอม, กับหมอไอซ์ x น้องอุ่น เดี๋ยวจะมีเนื้อเรื่องเป็นของตัวเองทีหลังค่ะ เอาทีละคู่เนาะ ^o^
ส่วนเรื่องที่อาทิตย์หน้ามึนกับปิ่นหยกมากกว่าคนอื่น <<< อันนี้จริงค่ะ แฮ่ ๆ เป็นความมึนที่ออกมาจากความรัก (อะไรของเอ็ง XD)
แล้วพบกันตอนหน้า ขอบคุณมาก ๆ ที่เข้ามาอ่านค่ะ ^^
พรุ่งนี้วันแม่ ถ้าอยู่กับคุณแม่อย่าลืมไปกอดแน่น ๆ นะคะ
