Dormitory Boys – สะดุดรัก หอพักอลเวง
“รัก...ติดดิน”CHAPTER 15 – วานิลลาพาเฟ่ต์::Pinyok’s POV::เสียท่าจนได้…
โทษไอติมตรงหน้านี่เลย!ผมไม่ได้เห็นแก่กินอะไรมากมายถึงขนาดจะไปเกาะคนแปลกหน้าให้เลี้ยงไอติมเลยนะ แต่หิว ๆ ร้อน ๆ อย่างนี้จะมีสวรรค์ชั้นฟ้าที่ไหนยิ่งไปกว่าการได้นั่งตากแอร์เย็นฉ่ำเป็นเพนกวินขั้วโลกพร้อมกับจ้วงพาเฟ่ต์ถ้วยโตเข้าปากอย่างนี้ล่ะ
อุ่นใจ...พี่ขอโทษ เดี๋ยวไปเยี่ยมพร้อมพี่เอมละกันนะ‘ไอ้ปิ่นหยก แกมันตัวเห็นแก่กิน ถ้าเกิดโดนจับไปเรียกค่าไถ่จะทำไงวะ! เห็นไอติมฟรีแค่นี้ลืมน้องอุ่นเลยเรอะ!?’ เสียงเทวดาปิ่นหยกสีขาวที่เกาะอยู่บนไหล่ซ้ายร้องประณาม
‘รีบกินรีบกลับแล้วค่อยไปเยี่ยมน้องอุ่นก็ได้ ไม่มาครั้งนี้อีกกี่ชาติแกถึงจะได้เสนอหน้าเข้ามาในร้านแบบนี้กันหา จับตัวเรียกค่าไถ่อะไรนั่นเลิกคิดเหอะ เค้าจับแกไปก็ไม่มีคนมาไถ่ตัวหรอกเว้ย ไม่คุ้ม’ เสียงปีศาจปิ่นหยกสีดำที่ไหล่ขวาเถียงทันควัน
‘แถมเป็นหนี้เขาอยู่ด้วยตั้งพันกว่าไม่ใช่รึไง นี่กำลังใช้หนี้อยู่นะเนี่ย’ใช้หนี้เขาด้วยการมาให้เขาเลี้ยงไอติมเนี่ยนะ..กำไรกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
นี่ยังถือว่าผมมีความเกรงใจแล้วนะ ตอนแรกอีกฝ่ายรบเร้าจะลากเข้าร้านอาหารจัดมื้อเที่ยงแบบจริงจังให้ได้ ชักแม่น้ำทั้งห้าจนถึงอ้างสิทธิ์ความเป็นเจ้าหนี้บ้า ๆ บอ ๆ อยู่นานสองนานจนเหนื่อยจะเถียง ไม่รู้ผู้ใหญ่บ้าอะไรกัน ถ้าแค่รับเงิน(ของพี่เอม)จากผมไปเสียตั้งแต่แรกก็จบไปนานแล้ว
สุดท้ายผมเลยยื่นคำขาด ถ้าจะกินอะไรเอาแค่ร้านไอติมแถวนี้พอ เพราะยังมีธุระต้องกลับร้านไปทำงานต่อ แผนที่จะแวบไปเยี่ยมอุ่นใจเป็นอันต้องพับเก็บเอาไว้ก่อน
“อีกถ้วยไหม”
เขาถามเรียบ ๆ พลางจ้องผมเอาช้อนขูดช็อกโกแลตติดก้นถ้วยจนหยดสุดท้ายชนิดที่ว่าจะไม่ให้สสารข้นหนืดสีน้ำตาลเข้มนี้ต้องเสียใจที่ชาตินี้เกิดมาเป็นช็อกโกแลตเด็ดขาด แกอร่อยมากเลยนะ...ภูมิใจไว้เถอะ!
ในใจร่ำร้องว่าอีกถ้วยก็ดี แต่มารยาทยังพอมีอยู่บ้างจึงได้แต่ส่ายหน้าเบา ๆ ทั้งที่ยังเพ่งกระแสจิตไปยังถ้วยไอติมว่างเปล่าตรงหน้า อีกนิดเดียวถ้วยร้าวแน่ ๆ ยกมาเลียได้คงทำไปแล้ว แถมรูปวานิลลาพาเฟ่ต์ในเมนูซึ่งตั้งอยู่กลางโต๊ะนั่นก็น่ากินแบบไม่เกรงใจกันบ้างเลย
“อิ่มแล้วครับ” ผมบอกลาด้วยสายตากับรูปตัวอย่างที่โชว์หราเหมือนตั้งใจจะยั่วอย่างอาลัยอาวรณ์
คุณอานนท์กวักมือเรียกพนักงานเสิร์ฟ ผมนึกว่าเขาจะเรียกคิดเงิน แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นคนละเรื่องกันเลย
“วานิลลาพาเฟ่ต์อีกที่นึง”
“จะกินทำไมไม่สั่งตั้งแต่แรกล่ะครับ”
ผมมองโต๊ะตรงหน้าเขาที่ไม่มีอะไรวางอยู่นอกจากน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว มานั่งตั้งนานจนผมกินหมดไปถ้วยหนึ่งแล้วเกิดจะอยากกินอะไรขึ้นมาตอนนี้
“ของเธอต่างหาก”
“ของผม?”
“สั่งให้เธอไง เห็นจ้องเมนูตั้งนานแล้ว”
ผมสะอึกไปเล็กน้อย นี่ออกอาการตะกละตะกรามขนาดนั้นเชียว น่าขายหน้าจริง ๆ
“ลูกชายฉันก็ชอบวานิลลาเหมือนกัน”
มีลูกชายแล้วด้วย... ผมลอบมองคนตรงหน้า ที่จริงประเมินอายุแล้วก็น่าจะเป็นวัยที่มีลูกวัยรุ่นหรือทำงานแล้ว เพียงแต่ถ้าเขาไม่พูด ผมก็ไม่ทันได้ฉุกใจคิด
“เธอทำให้ฉันนึกถึงคนคนหนึ่ง”
มาแนวไหนอีกล่ะ...“คุณก็ทำให้ผมนึกถึงคนคนหนึ่งเหมือนกัน” ไม่ได้ตั้งใจจะกวนเลยนะ แต่เขาทำให้ผมนึกถึงเจ้านั่นจริง ๆ
เขานั่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งที่ว่างอยู่พรมนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะแปลก ๆ นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นเป็นประกายวิบวับขึ้นมาแวบหนึ่ง ทำตัวน่าสงสัยเป็นบ้า ถ้าไม่รู้ว่ามีลูกมีเมียแล้วผมอาจจะคิดว่าเขาเป็นพวกผู้ชายโรคจิตที่ชอบตามเด็กวัยรุ่นด้วยจุดประสงค์ที่ไม่น่าไว้ใจก็ได้
แต่คิดอีกที...แค่มีลูกเมียแล้วก็ไม่ได้เป็นหลักประกันอะไรเลยนี่นา“เรามาแลกกันเล่าไหม ว่านึกถึงใครอยู่”
“ผมรู้สึกไม่ค่อยคุ้ม”
เขาหัวเราะ “งั้นเอาอย่างนี้ เราแค่พูดถึงคนคนนั้นแบบไม่ต้องเอ่ยชื่อ จะไม่มีใครรู้เลยว่าเขาเป็นใคร”
ผมขมวดคิ้ว จังหวะเดียวกับที่พนักงานเสิร์ฟยกวานิลลาพาเฟ่ต์แสนอลังการมาวางพอดี หน้าตามันอย่างกับจะมีประกายวิ้ง ๆ ออกมารอบถ้วย ความสนใจจึงถูกเบี่ยงเบนไปหาโดยไม่ต้องสงสัย
เอาสิ..เขาอยากจะเล่าอะไรก็เล่า ผมพร้อมกิน...เอ้อ...พร้อมฟังแล้ว
“เอางั้นก็ได้ถ้าคุณอยากเล่า ผมเป็นผู้ฟังที่ดีใช้ได้”
“เธอเล่าก่อนสิ”
“หา!? ทำไมเป็นผมล่ะ”
“เพราะฉันเสียสละให้เธอที่เด็กกว่า”
ไม่เห็นเกี่ยวสักนิด แล้วนั่นก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าเสียสละตรงไหนเลย ผู้ใหญ่อะไรเอาแต่ใจโคตร ไม่อยากจะคิดเลยว่าพ่อแบบนี้ลูกจะนิสัยยังไง
“..แต่ไอติมมาแล้ว” ผมต่อรอง
“กินไปเล่าไปก็ได้ ฉันไม่ถือ”
นี่มันบ้าไหม? ช่วงหลังมานี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคุณครูคอยเล่านิทานให้เด็ก(โข่ง)ทั้งหลายฟัง เดี๋ยว ๆ ก็มีคนเซ้าซี้เล่านั่นให้ฟังหน่อย...เล่านี่ให้ฟังที พอออกมาข้างนอกก็ยังเจอผู้ใหญ่ที่ไหนไม่รู้มาคะยั้นคะยอให้พล่ามอะไรไร้สาระอีก
“เฮ่อ...ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”
ผมเหนื่อยจะเถียง นิทานสักเรื่องเป็นค่าไอติมก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร
เขาพยักหน้ารับ ศอกทั้งสองข้างตั้งขึ้นบนโต๊ะแล้ววางคางลงบนมือที่ประสานกันไว้แสดงอาการตั้งอกตั้งใจอย่างกับหลังจากนี้จะมีสอบเก็บคะแนนจับใจความจากการฟัง ซึ่งผมไม่เห็นว่าเรื่องของคนที่กำลังจะพูดถึงมันน่าสนอกสนใจตรงไหนเลย
“...เพื่อนผมคนนึง ผมดำ...ตาดำ...แบบนี้เลย แล้วก็ชอบทำหน้ามึน”
ผมพยายามเลียนแบบสีหน้าของไอ้ลูกเจี๊ยบที่ตอนนี้คงกำลังทำงานอยู่ที่ร้าน อืม...ตอนนี้จะยุ่งอยู่รึเปล่านะ
“เวลาพูดก็จะเสียง...เนิบบ...เนิบบบ...บบ...แบบนี้... โดยเฉพาะเวลาที่ทำเรื่องงี่เง่าออกมาอย่างหน้าไม่อาย หน้าหนา หน้าด้าน หน้าทน แล้วก็ปัญญาอ่อนเหลือเชื่อ เดาไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าที่บ้านเลี้ยงกันมายังไง”
อะไรนะ..? หาว่าผมแอบใส่สีตีไข่เยอะเกินไปหรือ? เอาน่า ผมไม่ได้เอ่ยชื่อนี่ เพราะงั้นไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย
“...เรื่องงี่เง่าอย่างหน้าไม่อาย? ปัญญาอ่อนด้วย?”
คุณอานนท์ทวนคำ และผมทำเป็นไม่ได้ยิน
“คุณชายมาก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ได้กลิ่นมะนาวในน้ำยาล้างจานก็จะกิน ให้ปั่นจักรยานก็พาแหกโค้ง ขี่ไม่เป็นก็ไม่บอก เกาะติดแจยังกับปลิง แถมยังมือปลาหมึกอีกด้วย!” ผมกระดิกนิ้วมือพลิ้ว ๆ ประกอบคำบรรยายไปด้วย แย่แฮะ...พอได้ใส่ร้ายเจ้านั่นมาก ๆ แล้วดันสนุกปากเองเสียนี่
“.....แต่ถ้าไม่นับเรื่องบ้า ๆ พวกนั้นก็เป็นคนดีนะ อย่างวันที่ผมไปโรง’บาลนั่นก็เพราะว่าเกือบโดนมอเตอร์ไซค์เฉี่ยว”
ผมก้มลงดูแขนตัวเองที่ยังต้องแวะไปทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวันแม้ว่าจะดีขึ้นกว่าเดิมมาก นึกถึงหน้านิ่ง ๆ ของมันขึ้นมาแล้วก็อดขำไม่ได้ “คงไม่ใช่แค่แผลที่แขนแน่ ๆ ถ้าหมอนั่นไม่ดึงตัวผมออกมาจนตัวเองไปโดนอะไรไม่รู้หัวแตกไปด้วย หน้าอย่างนั้นเกิดมาไม่น่าจะเคยหัวแตกด้วยนะ! ผมงี้ตกใจหมดเลย หรืออยากจะมีแผลเป็นบนหน้าผากแบบแฮร์รี่พอตเตอร์ก็ไม่รู้”
อีกฝ่ายคลี่ยิ้มพร้อมกับลงความเห็น
“เธอดูมีความสุขเวลาพูดถึงเขานะ”
“...ห...หา?”
“อ้าว ฉันไม่น่าทักเลย” เขาชะโงกตัวมาข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ไปด้วย
“หน้าแดงหมดแล้ว”
พอ...พอเลย… ผมหมดอารมณ์เล่าแล้ว
“..ม...ไม่เอาละ ผมต้องรีบกินไอติมใช้หนี้ก่อนคุณจะคิดดอกเบี้ย คุณโซโล่เลยละกัน”
“เขินแล้วตัดบท เธอนี่ยิ่งดูก็ยิ่งเหมือนเพื่อนฉันคนนั้น”
“ผมไม่ได้เขิน”
“งั้นก็อย่าหลบตาสิ”
“ผมต้องจ้องไอติมไว้ เดี๋ยวหก”
เหตุผลงี่เง่าสุด ๆ ผมรู้น่า ผู้ใหญ่คนนี้ก็ช่างไม่ไว้หน้าผมเอาเสียเลย น่าจะสลับตัวผมตอนนี้เป็นไอ้ลูกเจี๊ยบโข่งที่ร้าน ดูซิว่าคนมึน ๆ สองคนเขาจะคุยอะไรกัน
“รู้ไหมตอนเห็นเธอครั้งแรก ฉันก็รู้สึกแล้วว่าหน้าเธอคล้ายเขามาก”
“ผมคงหน้าโหลไปหน่อย”
“เธอเหมือนจนฉันอยากถามเลยว่ารู้จักกับเขาหรือเปล่า... ผู้หญิงคนนั้นชื่—“
“ตกลงกันแล้วว่าจะไม่พูดนี่ครับ”“อา..นั่นสินะ ฉันลืมไป”
อะไรบางอย่างในสีหน้าของเขาทำให้ผมคิดว่าเขาตั้งใจแกล้งลืมข้อตกลงนั้นมากกว่าเขาใช้เวลาอีกครู่หนึ่งเล่าถึงผู้หญิงสักคนที่ผมไม่รู้จัก และผมเองก็ไม่ได้ตั้งใจฟังละเอียดอะไร กะว่าครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายที่เจอกัน จนกระทั่งพาเฟ่ต์ถ้วยที่สองหมดเกลี้ยง
“ออกมานานแล้ว ผมกลับก่อนดีกว่าครับ”
คุณอานนท์เลิกคิ้วแล้วเหลือบมองนาฬิกาข้อมือ
“เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรือนี่”
ผมไม่ตอบอะไร แต่ทำท่ายุกยิกอยู่ไม่สุข ไม่รู้ป่านนี้ที่ร้านเป็นยังไงบ้าง
“ขอบใจที่นั่งเป็นเพื่อนคุยนะ เอาไว้คงได้เจอกันอีก”
ไม่น่าจะเจอแล้วมั้ง....? พอเถอะ“นั่นชุดฟอร์มเหรอ ทำงานหรือว่าเรียน”
“เรียนด้วยทำงานด้วยครับ อยู่ที่ร้านเค้ก” ผมเกือบจะโฆษณาต่อแล้วว่าว่าง ๆ เชิญมาอุดหนุน แต่คิดอีกทีไม่เอาดีกว่า เดี๋ยวจะเจอกันอีก ยอมรับก็ได้ว่าผมรับมือกับพวกมนุษย์หน้ามึนไม่เก่ง มันเป็นอะไรที่แพ้ทางจริง ๆ ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่บ่อย ๆ กับไอ้ลูกเจี๊ยบนรกนั่นเอง
ผมปล่อยเขาจัดการเรื่องจ่ายเงินเป็นที่เรียบร้อย อยากจะช่วยออกหรอกนะแต่ผมก็เจียมเนื้อเจียมตัวอยู่นิดนึงเหมือนกัน อีกอย่างเขาเป็นคนบังคับผมมากินด้วยนี่ ไม่ใช่ว่ารบเร้าอยากจะมาเองเสียเมื่อไหร่
“จะกลับไปที่ไหนล่ะ เดี๋ยวไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ ส่งผมที่ซูเปอร์มาเก็ตเดิมก็พอ ผมเอาจักรยานมาด้วย”
“เอาน่า ไปรถฉันสะดวกกว่า”
“ไม่ได้ครับ จักรยานนั่นยืมมา จอดทิ้งไว้อย่างนั้นไม่ได้ ต้องเอากลับไปคืนเจ้าของด้วย”
“ค่อยมาเอาวันหลังก็ได้นี่นา”
“ไม่ได้ครับ” ผมเถียงหัวชนฝาพร้อมกับจ้องเขม็งด้วยสายตาไม่ยอมแพ้ อุตส่าห์ยอมมากินไอติมแถมฟังเขาโม้เรื่องเพื่อนสาวสมัยยังเอ๊าะ ๆ อยู่ตั้งนานแล้วนะ ถึงนั่นจะฟังดูเหมือนผมเป็นฝ่ายได้ประโยชน์เกือบทั้งหมดก็เถอะ
สุดท้ายเขาก็ยกมือยอมแพ้ และอีกไม่ถึงสิบนาทีหลังจากนั้นผมก็มายืนหน้าจักรยานสีเหลืองดำในลานจอดรถของซูเปอร์มาเก็ตที่เดิม
“ไม่ให้ไปส่งจริง ๆ หรือ”
“ผมกลับเองได้ครับ” เริ่มจะเสียงแข็งขึ้นมานิดหน่อย ปกติผมมีมารยาทและเคารพผู้ใหญ่ในระดับหนึ่งทีเดียว แต่คุยไปคุยมากับคุณอานนท์นี่ผมชักจะหลุดในบางจังหวะเสียแล้ว
“มีเบอร์มือถือไว้ติดต่อไหม?”
“ไม่มีมือถือครับ”
ความจริงเบอร์ที่ร้านก็มีน่ะนะ...แต่ช่างเหอะ
ผมรับถุงใส่ของที่เขาช่วยถือมาส่งเอาไว้ในมือแล้วเดินไปแขวนไว้กับแฮนด์จักรยานทั้งสองข้าง ไอ้ลูกเจี๊ยบงี่เง่าเอ๊ย จะบ้าซื้อจักรยานทั้งทีช่วยเลือกแบบมีตะกร้าหน้ารถหน่อยก็ไม่ได้
ผมลืมนึกถึงตัวหนังสือแสดงความเจ้าของที่เขียนไว้บนโครงจักรยานไปเสียสนิทเลยทีเดียว จนกระทั่งเห็นว่าสายตาของคุณอานนท์โฟกัสไปยังตำแหน่งอันตรายที่ว่านั่นแหละ
เวรละ!ผมรีบเดินเนียน ๆ เอาขาไปบังตัวอักษรที่เขียนว่า
‘อาทิตย์ ปิ่นหยก’ เรียงกันอย่างกับชื่อบนการ์ดงานมงคลสมรสอย่างไรอย่างนั้น ขาดก็รูปหัวใจตรงกลางนี่แหละ! แต่ชื่อมันนำหน้างั้นก็หมายความว่าผมเป็นเจ้าบ่าว เดี๋ยวสิ! นั่นไม่ใช่ประเด็นสักหน่อย! ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่ทันสังเกต
...แต่....คิดดูอีกทีแล้ว ถึงเห็นก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่นา เขาคงไม่รู้หรอกว่าอาทิตย์เป็นใคร ชื่อออกจะธรรมดาสามัญอย่างนั้น อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ บลา ๆ ๆ ไม่เห็นแปลกเลย...ใช่ไหม? เขาอาจจะเพี้ยนพอจะคิดว่าผมเกิดวันอาทิตย์...อะไรทำนองนี้ก็ได้
“ขอบคุณที่เลี้ยงนะครับ” ผมยกมือไหว้ตามประสาเด็กมารยาทงาม(ไม่ได้หลงตัวเองนะ ผมเคยประกวดมารยาทไทยมาแล้วเพราะมีรางวัลเป็นทุนการศึกษา) ก่อนจะออกแรงถีบจักรยานออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว ในหัวคิดหาเหตุผลดี ๆ จะไปบอกพี่เอมว่าแค่ออกมาซื้อของทำไมถึงได้ช้านัก และทำไมเงินที่ให้มาถึงไม่ได้ใช้ทั้งที่มีของมาแล้ว ได้ยินเสียงเขาพูดตามหลังมาว่า “แล้วเจอกันใหม่นะ” แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน หันหลังไปมองอีกครั้งก็เห็นร่างสูงของเขากลายเป็นจุดสีดำอยู่ลิบ ๆ
รอดแล้วท่านปิ่น พาเฟ่ต์ฟรีอีกสองถ้วยด้วย ยอดไปเลย!......................................................
.......................
“หายไปนานจัง”
คนที่ตัดพ้อแบบนั้นควรจะเป็นพี่เอมที่เป็นเจ้าของร้านจะเหมาะกว่าไม่ใช่รึไง!? ทว่าพี่เอมเอาแต่ยิ้มจนแทบจะต้องหาแว่นกันแดดมาใส่กรองความเจิดจ้าแล้ว คนที่บ่นงุ้งงิ้งดันเป็นท่านชายเจ้าของจักรยานเสียนี่
“มีเรื่องนิดนึง”
“เรื่องอะไร” มันเดินตามต้อย ๆ เข้ามาถึงในห้องเก็บของแล้วปิดประตูตามหลัง ได้ยินเสียงลูกบิดประตูลั่นดันกริ๊ก...เฮ่ย ๆ นั่นล็อคด้วยเรอะ?
“เรื่องมันยาว” ผมไม่รู้จะเรียบเรียงออกมายังไงให้มันฟังดูไม่ประหลาดจนเกินไปนัก เพราะแม้แต่ตัวเองก็ยังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย “มีผู้ชายท่าทางแปลก ๆ คนนึงเดินตาม...แล้วก็โดนลากไปนั่งกินไอติมด้วยกัน”
อืม.. การสรุปแบบรวบรัดของผมดูพิลึกกว่าที่คิด แม้แต่อาทิตย์ที่ปกติก็บ้า ๆ บอ ๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้วยังจับความไม่สมเหตุสมผลในประโยคนั้นได้ หมอนั่นทำหน้าตึงขึ้นมานิดหน่อย...หรือบางทีผมอาจจะแค่คิดไปเอง
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร”
“ไม่รู้”
“อย่าพูดปัดอย่างนี้สิ”
“ก็ไม่รู้จริง ๆ นี่หว่า”
“ไม่รู้จักแล้วไปกับเขาทำไม!?”เดี๋ยวนะ...เมื่อกี้มันขึ้นเสียงใส่ผมหรือ?
“บ้าปะ หงุดหงิดอะไรวะ!”ผมขึ้นเสียงกลับหันหลังให้มัน มือจัดของที่เพิ่งซื้อมาเข้าชั้นวางเป็นระวิง ทั้งหงุดหงิดอะไรไม่บอกไม่ถูกและรู้สึกผิดที่หายไปนานจนต้องรีบจัดการทางนี้ให้เสร็จจะได้ไปช่วยงานหน้าร้านเสียที แต่แล้วกลับต้องชะงักลงกลางคันเมื่อถูกมือลึกลับรวบเอวแล้วดึงไปกอดเสียแน่นจากด้านหลัง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใคร
“....อาทิตย์”
ผมรู้สึกได้ถึงใบหน้าของมันที่ซบลงกลางหลังของผม พร้อมกับเสียงอู้อี้ที่บอกว่าคนพูดยังไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา
“......ขอโทษ....แค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง”
บ้าเอ๊ย....แกล้งให้ผมใจเต้นตูมตามคืองานอดิเรกของมันสินะ!“ถ้าผู้ชายคนนั้นคิดมิดีมิร้ายกับนายจะทำไง เกิดว่าเป็นพวกโรคจิตขึ้นมา...”
ผมเกือบจะซึ้งในความปรารถนาดีของมันแล้ว...เกือบแล้วจริง ๆ จนตอนที่มือมันเลื้อยขึ้นจากเอวล้วงเข้ามาใต้เสื้อผมนั่นเอง
เมิงนั่นแหละโรคจิตสุดแล้ว!!“ล้วงอะไรวะเฮ่ย!” ผมฟาดเผียะไปที่มือปลาหมึกของมัน พลาดโดนท้องตัวเองเข้าไปด้วย โง่แท้ไอ้ปิ่นหยก แต่อย่างน้อยก็ได้ผลที่ท่านชายยอมถอยทัพไปยืนทำหน้าสลดแต่โดยดี ผมหันไปจ้องเขม็งที่ใบหน้าคมนั่นและรู้สึกว่าตัวเองเริ่มจะมีความสามารถในการจำแนกสีหน้ามึน ๆ ของมันออกบ้างแล้ว บางทีเป็นมึนเริงร่า บางครั้งก็มึนหมาหงอยเหมือนอย่างตอนนี้นี่เอง
“ฉันชอบนาย...แล้วเมื่อไหร่นายจะชอบฉันบ้าง”ไม่อยากจะเชื่อหูเลย! นับวันมันก็ยิ่งหน้าด้าน
“อย่าพูดว่าชอบพร่ำเพรื่อนักจะได้ไหม แกรู้จักคำนั้นดีแค่ไหนเชียว”
“งั้นก็สอนสิ”
หน้าที่มันคิดว่าหล่อนักหนาขยับเข้ามาใกล้....เออ...ที่จริงมันไม่ได้คิดหรอก ผมนี่แหละนี่คิด...และผมเกลียดตัวเองมากที่คิดแบบนั้น มือทั้งสองข้างของมันเท้ากับผนังด้านหลังผมเหมือนจะต้อนให้จนมุม ตอนนี้เลยกลายเป็นผมติดอยู่ในค่ายกลลูกเจี๊ยบเจ็ดดาวโดยมีกำแพงอยู่ข้างหลังและแขนสองข้างของคนตรงหน้ากักตัวเอาไว้ ท่ามกลางแสงสลัวในห้องเก็บของที่ไม่ได้เปิดไฟเพราะกะว่าจะเข้ามาแค่ไม่นาน นัยน์ดำสนิทเหมือนท้องฟ้าตอนกลางคืนนั่นกำลังทำให้ผมรู้สึกเคว้งคว้างเหมือนถูกดูดเข้าไปในหลุมดำมืดที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง
ไม่ ๆ อย่าไปจ้องตาตรง ๆ แบบนี้ จ้องทีไรเสียท่ามันทุกที
ผมกะพริบตาปริบ ๆ เรียกสติ ในระยะห่างเพียงสองสามเซนติเมตรระหว่างนัยน์ตาสองคู่ ผมตัดสินใจยักคิ้วให้มันด้วยสีหน้าที่ไตร่ตรองแล้วว่าดูกวนอวัยวะเบื้องต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไม่สอนให้ฟรี ๆ หรอกนะ"
....เกรียนไว้ก่อน เดี๋ยวรอดเอง....ใช่ไหม?
"เงินถึงหรือเปล่า”
“ต้องใช้เท่าไหร่”
โดนถีบออกจากบ้านมาอาศัยห้องคนอื่นอยู่ฟรียังจะมีหน้ามาสู้ราคาอีกนะเมิง!“แล้วมีให้เท่าไหร่”
ผมเผลอจ้องตามันเข้าจนได้ รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่เคยชนะ แต่ก็ยังจะเผลอใจหลุดลอยเข้าไปในความดำมืดของนัยน์ตาคู่นั้นอยู่ร่ำไป
“........ตอนนี้ยังไม่มี......”
เสียงกระซิบที่ตอบมานั้นแหบพร่า และนั่นก็ทำเอาผมใจสั่น หรือบางทีผมอาจจะใจสั่นเพราะหน้าผากที่มันก้มลงมาจนชนกันไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรนี่ก็ได้
ลมร้อน ๆ เป่ารดลงบนใบหน้า ที่ว่างน้อยนิดระหว่างปลายจมูกของเราถูกขมวดใกล้เข้ามาอีกจนน่าใจหาย ประโยคสุดท้ายก่อนจะรับรู้ได้ถึงสัมผัสนุ่มนิ่มซึ่งแนบสนิทลงบนริมฝีปากนั้นรางเลือนจนผมฟังแทบไม่ได้ยินแต่กลับทำให้เข่าอ่อนจนคล้ายจะยืนไม่อยู่
“...แต่ขอวางมัดจำไว้ก่อนนะครับ”
และนั่นเป็นจูบที่สองTo be continued…แอบแวบอัพตอนพักเที่ยงค่ะ พอดีมีแต่งค้างอยู่ในสต็อก ^o^
ขอบคุณทุกคอมเม้นต์มาก ๆ เลยค่ะ เราอ่านซ้ำไปซ้ำมาบ่อยยิ่งกว่าอ่านทวนนิยายตัวเองซะอีก //ไม่ดีนะเนี่ย 555
อยากตอบทั้งหมดเลย แต่ตอนนี้ต้องรีบแล้วเดี๋ยวไม่ทันเข้างาน ขอสรุปรวบโดยรวมเลย (ฮา)
-อานนท์เป็นพ่ออาทิตย์ค่ะ
-อานนท์คุยกับปิ่นหยกเหมือนจีบเลย >>อันนี้แอบตั้งใจ มันก๊าวดีค่ะ (เรอะ!?) พ่อกันลูกนิสัยก็คล้าย สเปกยังคล้ายกันอีก 555 แต่กับคุณพ่อไม่มีอะไรเชิงชู้สาวจริงจริ๊งงงงง ถึงแม้สไตล์พ่อที่เอาของกินเข้าล่อแถมเงินยังถึงดูจะจีบรุ่งกว่าลูกเป็นไหน ๆ ฮาา.. XD
-ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น //สำเนาถูกต้อง >> ใช่เลยค่ะ!!! หาคนปกติไม่มีแล้ว หรือคนเขียนเองก็ไม่ปกติด้วยก็ไม่รู้ =w=
-รุ่นพ่อรุ่นแม่เป็นไงมาไง รออีกหน่อยนะคะ แฮ่ ๆ
ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะที่เข้ามาอ่าน
<<บังคับรับกอดจากคนเขียน (ฮาา)
Edit - มาแปะ doodle แถมนิดนึง.. ยิ่งวาดปิ่นหยกก็ยิ่งเคะ //มือมันไปเองจริง ๆ 555