Friend's brother Brother's friend 29, คดีพลิก
[NET's talk]
เมื่อไหร่กันนะ ที่เราจะเจอหน้ากันแล้วสามารถมองได้เต็มตาแบบไม่ตะขิดตะขวงใจอีก
เมื่อไหร่ ที่ผมจะเดินไปตบบ่ากว้างแล้วถาม เฮ้ย เป็นยังไงบ้างวะเฮีย งานหนักไหมช่วงนี้?
เมื่อไหร่.. ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน... เป็นคำถามที่ผมยังเฝ้าถามตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างหาคำตอบไม่ได้
ทว่าบางที พระเจ้าก็ให้คำตอบเร็วกว่าที่กำหนด
เร็วจนผมไม่ทันตั้งตัวโฮ่ง โฮ่ง...เสียงเห่ากรรโชกดังจากในรั้วบ้านโดยไอ้ปุกปุยเพื่อนสนิทของปรมัต หมาไทยหลังอานขนเกรียนเรียบสีน้ำตาลกระดิกหางระริกโดยไม่สังเกตสีหน้าผู้มาเยือน ไม่นานคนในบ้านก็เดินออกมาเปิดประตูเห็นว่าเป็นผมยืนล้วงกระเป๋ากางเกงปล่อยออร่ามาคุอยู่พี่วรรณก็ยิ้มเจื่อน
“มาหาบอมเหรอคะ รายนั้นยังไม่ตื่นเลย” พี่เลี้ยงของพ่อหนุ่มสามใบเถาถามเสียงละม่อม ผมพุ่มมือไหว้พี่วรรณลวกๆแล้วตอบเสียงนิ่ง
“เปล่าครับ เฮียอยู่ไหม? ผมไปดูที่คอนโดแล้วไม่เจอ”
“อ้อ ค่ะ ทานโจ๊กอยู่ในครัวกำลังจะออกไปทำงาน น้องเน็ตเข้ามาก่อนมา”
พอได้คำตอบพี่วรรณก็ไขรั้วประตูให้ผมเข้าไปตามคำเชิญ เดินหูตาขวางเข้าบ้านซอกซอนชอนไชเข้าครัวรวดเร็ว ไอ้ตัวโตนั่งแดกโจ๊กตามคำให้การของพี่เลี้ยง พอผมเดินเข้าไปก็ยกตีนขึ้นวางตุบบนเก้าอี้ให้คนก้มหน้าก้มตาแดกเงยหน้าขึ้นมองช้าๆ
สบายใจจริงนะมึง ยิ้มปากแทบฉีก“กูว่าจะไปหามึงที่บ้านไอ้โชติพอดี วันนี้”
“เฮียพูดเหี้ยอะไรกับแม่ผม”
นั่นแหละครับ ประเด็นที่ทำให้ผมเดือดปุดๆแทบแจ้นมาหามันตั้งแต่ได้รับสายจากพี่เนยว่า ‘เน็ต แฟนแกนี่มันสุดยอดเลย พี่ตะล่อมบอกแม่ตั้งนานยังไม่กล้าพูดตรงๆ เมื่อวานเขามาที่บ้านแล้วบอกเรื่องแกกับแม่ ฉันนะกลัวแม่ลมจับแทบบ้า...’
ข่าวดีก็คือ แม่ยังแข็งแรงอยู่ ส่วนข่าวร้ายคือผู้ต้องหามันกำลังจะถูกผู้เสียหายฆาตกรรมอำพรางในไม่ช้า เห็นเฮียยังทำหน้าเหรอหราแล้วนึกอยากหักนิ้วให้กระดูกลั่นกรอบเสยคางไปสักหมัด
ทั้งๆที่ผมทำแบบนั้นไปแท้ๆ... ทั้งๆที่เรื่องมันควรจะจบไปแท้ๆ แต่ไอ้หน้ามึนนี่กลับทำให้ความนสัมพันธ์นั้นยาวเข้าไปอีก ถ้าแม่ถามถึงมัน จะให้ผมตอบว่า ‘อ้อ แม่ เน็ตว่าจะเลิกเป็นเกย์แล้วเลยเลิกกับเฮีย’ ตลกแดกแล้วครับสัตว์
“จะเอายังไงกับผม”
กูเจ็บนะเว้ย ทั้งๆที่รักจะตายห่าแต่ต้องเป็นคนเดินจากไปเงียบๆ ถึงใครจะบอกว่ามันงี่เง่าสิ้นดีก็เถอะ แต่ถ้าคุณได้ลองเรียนรู้ที่จะรักใครสักคนแล้ว จะไม่มีความคิดไหนเลยที่อยากทำให้คนที่เรารักไม่พบกับชีวิตที่สดใส
ถึงมันจะไม่ได้เลือก แต่ลึกๆผมก็ยังบอกตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่ดีสำหรับมัน
“ก็ไม่เอายังไง... เลิกหลบหน้าแล้วทำตัวเป็นคนดีเกินไปได้แล้ว”
เฮียจิบน้ำเปล่าอย่างใจเย็น มันดูสงบกระทั่งเงยหน้าขึ้นมาสบตาผมเท่านั้น แค่นั้นผมก็รู้ดีว่ามันร้อนรุ่มมากแค่ไหน
“เลิกคิดอะไรไปเองเถอะ สมองน่ะเอาไว้ใช้เรื่องเรียน เรื่องความรักใช้หัวใจตอบได้ไหม?”
“อย่ามางี่เง่าน่า... เฮียกับผม...”
“มันเป็นไปไม่ได้? เรื่องไหนที่เป็นไปไม่ได้ เรื่องแม่มึงกูก็พูดให้แล้ว ส่วนป๊ากับม้าทางนี้กูพูดได้ สบายมาก ไอ้บอมก็โอเค ส่วนกู ก็รักมึงเหมือนเดิม แล้วอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หรือมึงไม่ได้รักกูเลย?”
มายืดยาวเสียขนาดนี้ไอ้คำด่าที่ตระเตรียมไว้ก็กลืนหายไปทั้งหมด เสียงครูดคราดจากการเลื่อนเก้าอี้ดังขึ้นทำให้ผมรู้สึกตัว เฮียเดินตรงมาแล้วคว้ามือผมไปจับไว้ เฮ้ยๆ! นี่มันในบ้านมึงนะ!!
สัตว์! มือคนหรือตีนตุ๊กแก สะบัดยังไงก็ไม่ปล่อย พอเงยหน้าขึ้นมาเหวี่ยง เห็นตาคมมันจ้องนิ่งไม่มีแววไหวระริกจากเสือก็กลายเป็นลูกแมวเลยกู.. เปล่ากลัวนะครับ แต่ไม่เคยเจอโหมดนี้ของเฮียจริงๆ
“อะ...อะไรเล่า! ปล่อยสิวะ!”
“ไม่ปล่อย....”
“อย่ามากวนตีนได้ไหม เดี๋ยวมีใครมาเห็นเข้า..”
“ทำไมมึงแคร์แต่คนอื่น”
ชัด... มาอีกแล้วคำพูดแบบนี้ ก็ไอ้คนอื่นของมึงก็พ่อมึง แม่มึง น้องมึง พี่เลี้ยงมึงไม่ใช่เหรอครับ? ผมเม้มปากเข้าหากันตามนิสัยเบือนหน้าหลบ มืออีกข้างที่ว่างของเฮียก็ยกขึ้นมาจับแก้มไม่ให้หนีไปไหน
นี่กูกะมาชำระความกับมึงนะ ทำไมคดีดูพลิกๆวะ
“ผอมลงนะ”
“อย่ายุ่งน่า...” ผมถอนหายใจยาว ไม่ได้การ ต้องรีบกลับเข้าประเด็นตัวเองก่อน “เฮียโทรไปเคลียร์กับแม่ผมทีได้ไหมว่ามันไม่ใช่แบบนั้น ผมกับเฮียเป็นแค่พี่น้องกัน”
“กูไม่พูดโกหก”
“งั้นเฮียก็ทำตามที่พูดสิ กลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิม”
“มึงใจร้ายมากนะเน็ต”
เสียงสั่นๆของมันทำให้ผมค่อยๆปรายตาไปมองหน้า ตาที่ดุดันเมื่อครู่หรี่ลงเหมือนคาดคั้นหาความจริงจากใจ ผมชาวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าเมื่อลองอ่านดีๆในแววตาตัดพ้อนั่นมันเจือความผิดหวังอยู่
“กูไม่อยากคิดแบบนี้หรอก หรือมึงกับปันโอเคกันแล้ว”
“โอเคอะไร?”
“มันก็ชอบมึง กูพูดถูกไหม? ที่สลัดกูทิ้งใจดำแบบนี้เพราะมึงสองคนใจตรงกัน แบบนั้นหรือเปล่า?”
อ้าว ไอ้เหี้ยนี่รวน ผมขึงตามองมันนิ่ง แล้วจิ๊ปากหงุดหงิด
“หลบกูเป็นเดือนๆ แต่ไปนอนบ้านมันนี่ มึงพูดตรงๆก็ได้นะเรื่องปัน ถ้ามันเป็นคนที่มึงเลือกกูก็ยินดีด้วย”
ยินดีด้วยแล้วมึงจะน้ำตาคลอทำไมวะ? ผมถอนหายใจเสียงยาว “มันไม่ใช่อย่างนั้น...”
“แล้วมันอย่างไหน? มึงสองคนรักกัน กูเป็นส่วนเกินที่มาทำให้มันรู้ตัว อยากขอบคุณกูที่ช่วยให้มึงสมหวังไม่ต้องหาเหตุผลร้อยแปดว่าหวังดีกับกูโน่นนี่นั่นก็ได้นะ กูไม่ต้องการ เปลี่ยนมาเลี้ยงเบียร์สักกระป๋องกูยังจะขอบคุณกว่า”
“ถ้าคำตอบที่อยากให้มึงกับกูกลับไปเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมคือความสุขของมึง กูจะไม่ยื้อไว้เลย...”
พูดจบมันก็ปล่อยมือผม อ้าว ทีแบบนี้เสือกปล่อยง่ายๆ เฮียหันหลังขวับเป็นนางเอกหนังตอนงอนพระเอกสะบัด ผมเลยสวมวิญญาณพระเอกกระชากไหล่กว้างมันไว้ จะให้เฮียตัวปลิวเข้าอ้อมกอดแล้วปล้ำจูบเหมือนพระเอกสักหน่อย แต่แรงน้อยๆของตัวเองทำได้แค่เรียกให้ไอ้ตัวโตหยุดชะงัก
เอาวะ... นางเอกก็นางเอกผมกอดมันจากด้านหลัง สวดมนต์ขอพรจากพระบุตรพระจิตว่าอย่าได้มีใครทะลึ่งเดินเข้าครัวมาตอนนี้เลย แรงสั่นเบาๆจากตัวคนถูกกอดทำให้ผมไม่แน่ใจว่ามันร้องไห้หรือเปล่า แต่ผมก็เพิ่มแรงรัดที่อ้อมแขนแน่น ซบหน้าผากกับแผ่นหลังกว้าง กลิ่นอ่อนๆของเฮียลอยมาแตะจมูกทำให้ผมนึกถึงคืนที่ได้นอนใกล้ๆมันจนร้อนผ่าวขึ้นมาที่กระบอกตา
คิดถึง..เป็นความรู้สึกที่ไม่ต้องปรุงแต่ง หัวใจยังเต้นแรงเหมือนทุกครั้งที่อยู่ใกล้มัน
“มันไม่เกี่ยวกับปันนะเฮีย ผมกับมันเป็นได้แค่เพื่อนกัน.. คนที่ผมรักน่ะ เฮียต่างหาก..”
พูดความจริง มันก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ ผมถอนหายใจอีกครั้งเมื่อนึกถึงปัญหาที่หนักอึ้ง “เพราะรัก ถึงได้แคร์ขนาดนี้ต่างหาก...”
“ไม่ต้องโกหกกูหรอก ถ้าสุดท้ายมึงก็จะไปอยู่ดี แคร์กูบ้าบออะไร ถ้าแคร์จริงทำไมถึงทำให้กูเสียใจ กูเคยเหรอเน็ต เคยทำให้มึงเสียสักครั้งบ้างไหม?”
อ่า... บางทีก็ไม่..
“จะให้กูทำยังไง..?”
กูก็ไม่รู้ครับ...ที่กูคิดออกคือยุติความสัมพันธ์ประหลาดๆแบบนี้สักทีเพราะมันกำลังต่างทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง
เหี้ยเอ๊ย ริจะรักทั้งที เสือกชอบอะไรพลิกแพลงพิศดารๆนะมึงไอ้เน็ต ไหนวะสาวน้อยตากลมผมยาวในอุดมคติ ทำไมเป็นไอ้ตี๋ตัวใหญ่ใจน้อยแบบนี้ไปได้ ไปต่อไม่เป็นเลยสิครับนายท่าน
“ถ้าเป็นกู ปัญหาของมึงคืออะไรที่ทำให้เรารักกันไม่ได้”
“เฮียมีไข่ ผมก็มีไข่”
“จะให้กูไปตัดเจี๊ยวไหมล่ะ? “
นี่มึงจะฮาหรือจะดราม่าวะ? กูงง ปรับอารมณ์ไม่ทัน
“เฮียจะบอกป๊ากับม้ายังไง? เฮียมีชื่อเสียงมีหน้าตาทางสังคมอีกนะ.. แล้วเฮียก็ติดเน็ตเกินไปด้วย มีแต่จะเป็นตัวถ่วง..”
“ไม่ต้องมาสอนกู มาคิดแทนกู แล้วก็เลิกหลงตัวเองได้แล้ว น้ำหน้าอย่างมึงน่ะเหรอจะมาถ่วงอะไรกูได้”
“อย่างน้อยก็งานพี่เจี๊ยบแหละวะ”
“กูตัดสินใจของกูเอง กูปรึกษามึงสักคำไหม? แล้วเรื่องป๊า ม้า หน้าตาทางสังคม อนาคตของกู กูจัดการเองได้ อยู่สถานะว่าที่เมียก็ทำตัวเป็นช้างเท้าหลัง เรื่องอื่นให้กูจัดการเอง กูแก่กว่ามึง เจอโลกมามากกว่ามึงนะ ไม่ใช่เด็กน้อยที่ต้องให้มึงมาห่วงโน่นนี่นั่นเหมือนแม่วัยทองกับลูกชายอายุ16”
เฮียพลิกตัวหันมามองผม ยกมือขึ้นลูบแก้มเบาๆ ก่อนเลื่อนไปกุมมือทั้งสองที่ผมปล่อยทิ้งไว้ข้างตัว ทั้งๆที่หลบตาอยู่ดีๆ พอมันโน้มตัวมาจูบที่หน้าผากผมก็มองมันตาขวาง
“เป็นแฟนกันนะ...”อา...“ใม่ยากหรอก.. แค่อยู่ข้างๆกู รักกู เชื่อมั่นในตัวกูก็พอ ที่เหลือกูจัดการเอง...”
ผมเงียบ... หลบสายตาลงต่ำ รู้สึกวูบวาบตลอดโคนจรดปลาย ไม่ได้โฆษณาแชมพูครับแต่ตอนนี้มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ คร้านจะบอกว่ารู้สึกเหมือนมีผีเสื้อบินอยู่ในท้องก็ฟังดูแปล่งๆเพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเวลาผีเสื้อบินอยู่ในท้องแล้วมันรู้สึกยังไง
แรงบีบที่มือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราวเรียกให้คนหูแดงอย่างผมเงยหน้าขึ้นมอง พอหลงกลมันเท่านั้นภาพที่เห็นก็เป็นแค่เสี้ยวแก้มของเฮียระยะประชิด ริมฝีปากถูกทาบทับจู่โจมรวดเร็วแต่ไม่เร่าร้อน มันอ่อนหวานตามนิสัยนุ่มๆของมัน ผมคิดถึงสัมผัสนี้ คิดถึงกลิ่นลมหายใจ คิดถึงความรู้สึกที่เหมือนโดดบันจี้จัมพ์ทั้งๆที่ปลายเท้าก็ติดอยู่ที่พื้น
“กูคิดถึงมึงมากเลย รู้ไหม?”
รู้.. แต่ไม่รู้ว่ามากเท่าที่ผมคิดถึงเฮียหรือเปล่า“อย่าทำแบบนี้อีกนะ.. กูจะขาดใจตายอยู่แล้ว”
มันพูด ทั้งๆที่ปากยังคลอเคลียอยู่ที่ปากผม พอจบมันเลยถือโอกาสจูบต่อ
ให้ตายเถอะ.. คดีพลิก กูยอมจริงๆ
ผมหลับตาลงช้าๆ ปล่อยใจให้สบายแล้วยกมือขึ้นโอบรอบคอเฮีย ขยับปากจูบตอบด้วยความคิดถึง เสียงเจ๊าะแจ๊ะของน้ำลายดังจนน่าหนวกหูแต่เวลานี้กลับไม่มีใครยอมใคร รู้ตัวอีกทีหลังก็ชนตู้เย็นโดยมีแขนใหญ่ทั้งสองข้างของเฮียขังเป็นกรงไว้ซ้ายขวา โดยผมแค่เกาะบ่ามันไม่ได้ต่อต้านอะไรตามสมควรเลยสักนิด
“กูว่าไปต่อบนห้องเถอะว่ะ หิวน้ำ”ปากเฮียยังจูบผมอยู่ แล้วนั่นมันเสียงใคร?
เหี้ย!!!ผมผลักเฮียออกรวดเร็วเท่าความไวแสง ไอ้บอมยืนหัวกระเซิงถือแก้วมองผมกับพี่ชายมันเซ็งๆ ไอ้ต้นเรื่องดึงผมหลบพ้นรัศมีประตูตู้เย็นเพราะตัวเองมัวแต่อึ้งพะงาบปากค้างๆไม่คิดว่าเพื่อนรักจะมาเห็นชอตเด็ดแล้วตวัดตามองเฮียเคืองๆ
กูบอกมึงตั้งแต่ตอนจับมือแล้ว ว่าเดี๋ยวมีคนมาเห็น! แม่งเสือกทำกูเคลิ้มอีกนะ!!
ทว่าไอ้บอมกลับไม่แซวหรือว่าอะไร มันเดินไปเปิดประตูตู้เย็นยกน้ำจากเหยือกขึ้นมาเทลงแก้ว แล้วดื่มอึก พออิ่มชื่นใจก็วางกลับแล้วทำท่าเหมือนจะเดินออกไปแบบไม่สนใจโลกให้ผมยิ่งเป๋หนักกว่าเดิม
“อยู่นี่กันหมดเลย”
ไอ้บูมเดินคอตกตามเข้ามาในห้องครัว ที่จริงมันมาพร้อมผมแหละครับ แต่ปันมาส่งมันเลยยืนคุยกันหน้าบ้านโดยให้ผมเข้ามาเคลียร์กับเฮียก่อน บอมเลิกคิ้วขึ้นแล้วถาม “มีอะไรหรือเปล่าตี๋? สีหน้าไม่ค่อยดี?”
ไอ้เชี่ยปันก่อเรื่องอะไรอีกล่ะทีนี้
“พี่ปันบอกว่าเรียนจบแล้วจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ..”
ผมรู้ว่ามันมีแพลนจะเรียนต่อ... แต่ไม่เคยได้ยินว่าจะไปไกลถึงขนาดนั้น เพราะมันเองก็ไม่เคยพูดทำนองนี้สักครั้ง ไอ้บอมขมวดคิ้ว งงไม่ต่างกัน
“ไหนว่าจะต่อที่เดิม? อาทิตย์สองอาทิตย์ก่อนมันยังพูดกับกูแบบนี้เลย แล้วนี่มันไปไหน?”
“กลับไปแล้ว..” บูมตอบ
“อังกฤษ..?”
ผมทวนคำพูดไอ้บูมอีกครั้ง จำได้ว่าพอพ่อกับแม่มันเลิกกัน แม่มันก็ย้ายไปอยู่กับสามีใหม่ที่อังกฤษ มันค่อนข้างจะเกลียดแม่ตัวเองพอตัว เพราะแบบนี้ถึงได้เลือกที่จะไปฝึกงานที่อเมริกา
แต่จะไปเรียนต่อที่อังกฤษน่ะเหรอ? ตลกแล้ว..
“ไม่มีทางไปอังกฤษแน่ๆ” ไอ้บอมวิเคราะห์คล้ายๆผม แต่บูมยังถอนหายใจเน้นอีกครั้ง “อังกฤษ ไปอยู่กับแม่...”
“บูมกลัวพี่ปันจะไม่กลับมาอีก”
“ทำไมคิดแบบนั้นวะ? ไอ้ปันน่ะจะอยู่กับแม่ได้สักเท่าไหร่ ลูกที่ไม่ได้เลี้ยงมามันก็ไม่ต่างจากคนรู้จักผิวเผินหรอก เดี๋ยวมันก็กลับมา”
“พี่ปันพูดเหมือนจะหนี...”
บูมหันหน้ามามองผมก่อนหลบสายตาลงต่ำ เรื่องไอ้ปันทะลึ่งมาชอบผมเอาตอนนี้ก็มีเราสามคนคือบูม ผม และปันเท่านั้นที่รู้ ไอ้บอมยังเกาหัวสังคะตังมันแกรกๆ ขณะที่เฮียเหมือนปะติดปะต่อเรื่องได้เลยคว้ามือผมมาจับไว้แน่น
“มันหนีอะไรของมันวะ?”
ชายกลางยังรักษาตำแหน่งดักดานแห่งปีไว้อย่างมั่นคง มีแค่บรรยากาศแปลกๆของคนรู้กันระหว่างผม บูมและเฮียลอยคลุ้ง มือที่พูดจับไว้เลื่อนปลายนิ้วมาเกี่ยวประสานราวกับบอกนัยๆว่า ไม่ว่ายังไงกูก็ไม่ปล่อยมึงไปคุยกับไอ้ปันเด็ดขาด
“กูสายแล้ว ไปทำงานก่อน ปะ เน็ต มึงต้องรีบไปปั่นโปรเจคเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
ห๊ะ? ผมยังไม่ทันหันมองคนพูด เฮียก็ถูลู่ถูกังผมออกมา ยัดผมใส่ที่นั่งข้างคนขับแล้วเดินวนไปสตาร์ทรถ พี่วรรณรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้านวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้แทบไม่ทันความเร็วของSLKที่แล่นปราดออกไป
เหมือนมึงรีบมาก แต่พอเลยส่วนของชุมชนเข้าหน่อยเสือกเบรครถจอดปลดเข็มขัดมาปล้นจูบผมหนักหน่วง เชี่ยยย พื้นที่รถก็มีเท่านี้จะให้กูหนีไปไหน หลบซ้ายก็จูบขวา หลบขวาก็จูบซ้าย ดูดดึงทั้งริมฝีปากทั้งลิ้นผมไปอยู่ในปากมันตวัดเกลียวพันจนน้ำลายไหลเปรอะมาถึงคาง
“กูไม่ให้มึงใจอ่อน..” ไอ้หมาบ้าครางเสียงขรม อ้อ นี่หึงใช่ไหม?
“จะ.ใจอ่อนบ้าอะไร?”
“ดูตามึงก็รู้แล้วว่ามึงลังเล”
“ผมเปล่า! แค่สงสัยเฉยๆ...นี่ พอก่อน อย่าเพิ่งจูบได้ไหม?”
“ไม่ได้..”
โอเค งั้นจูบไป จูบให้ปากกูหลุดไปเลยสัตว์! แต่เฮ้! กูอนุญาตให้จูบไม่ใช่ล้วง คือเข้าใจนะครับว่าคนมันนัวเนียๆกันมากเข้าอะไรๆมันก็เคลิ้มตามมา ยอมรับแบบแมนๆประสาวัยรุ่นไม่เสื่อมสมรรถภาพเลยเอ้าว่าตอนจูบที่ห้องครัวนั่นผมก็กรึ่มๆ มาเจอซ้ำแบบนี้ไอ้หนูมันตื่นตัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดานี่คือครั้งแรกของกูมึงจะทำบนรถจริงน่ะ??? ผมปัดๆมือซนของไอ้ตัวโตก่อน หลังจากนั้นค่อยดันไหล่มันออก
“....ทำไม?”
ไอ้เหี้ย!!! อย่ามองกูด้วยสายตาตัดพ้อให้รู้สึกผิดนะ เฮียทิ้งตัวลงบนเบาะของมันเองลงปุ กอดอกไว้แน่นเบือนหน้าออกไปทางกระจก
“เก็บไว้ให้ไอ้ปันมันหรือไง?”
“เมนส์มึงไม่มาเหรอวะเฮีย! บอกไปแล้วนี่ว่ารักใคร จะรวนเรื่องไอ้ปันอีกทำไม?”
“ก็กูหวง...”
อายุมึงลดเหลือสามขวบ..
“ไม่เจอกันตั้งนานด้วย หวง คิดถึง..แฟนก็ไม่ให้กอด”
“ไม่ได้ไม่ให้กอด...”
ผมตอบเสียงแผ่ว เลื่อนมือไปแตะบ่ามันเบาๆแล้วขยับตัวไปจูบที่แก้มมันง้อ
“แต่เป็นที่ห้องได้ไหม?”
ผมเคยบอกไหมครับว่า พาณิชยโชตผลิตออกมาแต่เชื้อสาย เหี้ยๆ
ผมรู้ว่าตัวเองพลาดก็เมื่อเฮียมันหันมายิ้มเจ้าเล่ห์หูตาแพรวพราวนั่นแหละ มิหนำซ้ำยังผิวปากเริงร่าเหมือนเมื่อกี้ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไรกูเลยแม้แต่น้อยอารมณ์ดี
“ต้องให้กูยกเรื่องปันอยู่ได้ กว่ามึงจะใจอ่อนแต่ละอย่าง..”
สรุปคือที่บ้านมึงไม่ได้ร้องไห้..
และเมื่อกี้ มึงแค่หึงนิดๆ แต่ไม่ได้งี่เง่าเกรียนแตก..
ทุกอย่างเป็นแผน แผนให้กูใจอ่อน แผนให้คดีพลิก ไอ้สัตว์เอ๊ย!!!
------------------------------------------
COMPLETE Friend's brother Brother's friend 29
04/10/12