HEARTBREAKER
61
(30%)
หลังเลิกคลาสเฟียซก็รีบไปหาพี่ควินที่คณะ ผมกับบอสเลยมานั่งรอที่ใต้ตึก ส่วนตัวเล็กอาสาไปซื้อน้ำ
“ต้าร์”
“หือ” ผมขานรับ
“จำผู้หญิงที่เคยหาเรื่องต้าร์ได้รึเปล่า ที่ต้าร์ไปหาไอ้แซทที่คณะตอนนั้นอ่ะ”
ผมคิดตามคำพูดบอส ผู้หญิงที่เคยหาเรื่องผมตอนนั้น จำได้ว่ามีสามคน แต่ผมจำชื่อได้แค่คนเดียว ได้ข่าวว่าหลังจากมีเรื่องกันวันนั้นกลุ่มของพวกเธอก็ถูกสอบสวนและโดนไล่ออก
“จำได้ ทำไมเหรอ
“เมื่อวันเสาร์บอสไปงานวันเกิดเพื่อนที่ผับ เห็นยัยคนนั้นกำลังรับแขกอยู่”
ผมเลิกคิ้วกับคำว่า ‘รับแขก’ เจ้าตัวเลยเฉลยให้หายสงสัย
“ก็พนักงานนั่งดริ๊งอ่ะ แต่ถ้าแขกพอใจก็หิ้วออกไปได้”
บอสมองตาผมอย่างสื่อความหมาย
“ยัยนั่นจ้องบอสเขม็งเลย คงจำได้มั้งว่าบอสเป็นเพื่อนต้าร์ สายตาแม่งโคตรนางร้ายอ่ะ”
ผมรู้สึกหดหู่ที่ได้ยินเรื่องนี้ นึกย้อนกลับไปเมื่อวันเกิดเหตุ ผมไม่ได้โกรธที่พวกเธอมาหาเรื่อง กลับกัน ผมรู้สึกสงสารพวกเธอมากกว่าที่ถูกพี่แซทต่อว่าและแฉความลับให้พวกเธอต้องอับอาย ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะเย้ยและสายตาดูถูกในวันนั้น พวกเธอคงเหมือนตกนรกทั้งเป็น จะบอกว่ามันเป็นเวรกรรมก็คงไม่ผิดนัก หลังจากเหตุการณ์วันนั้นผมก็ไม่ได้นึกถึงมันอีก
“อย่าคิดมากนะต้าร์ แค่เล่าให้ฟังเฉยๆ”
บอสตบบ่าผมเบาๆ ผมยิ้มตอบ ไม่เก็บเรื่องนี้มาคิดมากหรอก ที่ต้องคิดตอนนี้คือเรื่องที่จะเข้าไปพบอาจารย์ที่ปรึกษา และคงไม่ใช่แค่อาจารย์ท่านเดียว พวกผมอาจได้พบกับท่านอธิการบดีด้วยก็เป็นได้
เฟียซกลับมาหลังหายไปเกือบ20นาที ผมไม่ได้ถามว่าพี่ควินเรียกให้ไปหาทำไม เฟียซเองก็ไม่ได้บอกอะไร พวกเรานั่งปรึกษาหารือกันจนได้ข้อสรุปเรื่องที่จะเข้าไปพบอาจารย์ จนใกล้เที่ยงพวกเราก็เดินไปที่ห้องพักของอาจารย์ที่ปรึกษา ผมสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกขวัญกำลังใจเมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องก่อนหันไปมองเพื่อนๆ พวกเราตกลงกันแล้วว่าจะพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริงทุกอย่าง
ก็อกๆๆ
เฟียซเป็นผู้นำเคาะประตู ได้ยินเสียงตอบรับจากข้างใน พอพวกเราเปิดประตูเข้าไปก็เห็นอาจารย์นั่งส่งยิ้มมาให้ ผมยกมือไหว้พร้อมส่งรอยยิ้มกลับไปให้ท่านเช่นเดียวกัน อาจารย์ไล่สายตาภายใต้แว่นกรอบทองมองพวกผมทีละคน
“ถ้ามากันครบแล้ว ก็เล่ามาสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
ได้เวลาสอบสวนเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้นแล้ว…
หลังจากเดินออกจากห้องอาจารย์ที่ปรึกษา ในหัวผมก็เอาแต่คิดถึงคำพูดของท่าน เย็นวันพรุ่งนี้ พวกเราต้องเข้าพบท่านคณะบดีประจำคณะและท่านอธิการบดีด้วย และไม่ใช่แค่พวกผมแต่รวมไปถึงพี่ควิน พี่แซท และธัญญ์ด้วย อาจารย์บอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องราว คนที่ทำผิดจะต้องถูกลงโทษตามกฎระเบียบของทางมหาวิทยาลัย ไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เฟียซเองก็โดนเหมือนกัน เพราะเขาทำทรัพย์สินของมหา’ลัยเสียหาย หลักฐานคือประตูห้องน้ำที่ถูกเขาพังเพื่อเขาไปช่วยผม เรื่องราวที่เกิดขึ้นมันลุกลามใหญ่โตกว่าที่ผมคิดไว้มาก เหมือนกับว่าท่านคณะอาจารย์ต้องการจัดการกับอำนาจเถื่อนของพี่ควินกับพี่แซทที่ชอบทำตัวเป็นอันธพาล หรืออีกชื่อนึงที่คนส่วนใหญ่มักพูดถึงพวกเขา ‘มาเฟียมหา’ลัย’ หลายเรื่องที่พวกเขาก่อไว้และมักถูกละเลย ถูกปล่อยผ่านไปโดยง่าย สาเหตุนึงคงเพราะอิทธิพลของพ่อพวกเขา เมื่อก่อนผมไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้นัก เพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา แต่มาวันนี้เรื่องมันเกิดขึ้นกับผมโดยตรง ผมคงไม่สนใจไม่ได้
“ต้าร์ พวกมันมานู้นแล้ว”
บอสสะกิดบอก ผมหันไปมองก็เห็นพวกเขาเดินตรงมาหา
“ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม”
พี่ควินถามอย่างรู้อยู่แล้ว ผมแค่พยักหน้า เขาก็เข้ามาโอบเอวผมไว้
“อยากกินอะไร”
“อะไรก็ได้ครับ”
“’งั้นก็ไปหาไรกินข้างนอก จะได้กลับคอนโดเลย”
“พวกพี่ไม่มีเรียนตอนบ่ายเหรอครับ”
พี่ควินส่ายหน้า รั้งเอวผมให้เดินตาม แต่ผมขืนตัวไว้ หันกลับไปโบกมือลาเพื่อนๆ
“ต้าร์กลับก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้”
“เร็วๆ”
พี่แซทเร่ง ผมเลยยู่ปากใส่ จะรีบไปไหนของเขา หิวมากหรือไง
ตอนนี้ผมอยู่ในร้านอาหารไม่ไกลจากที่พักนัก เป็นร้านเปิดใหม่ที่ขายเฉพาะอาหารทะเล คนในร้านยังบางตา พวกเรานั่งโต๊ะริมในสุด เมนูอาหารบนโต๊ะถูกพวกเขาเปิดและสั่งไปหลายอย่าง ผมได้แต่นั่งนิ่งมองบรรยากาศภายในร้านจนกระทั่งพวกเขาคืนเมนูให้พนักงาน ผมกำลังจะพูดว่าร้านนี้ตกแต่งสวยดีแต่เสียงเตือนโทรศัพท์ก็ดังขัดขึ้นซะก่อน ผมล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงมาเปิดดู แล้วก็ต้องตกใจเพราะมันเป็นข้อความที่ส่งมาจากธัญญ์ ผมเหลือบมองพี่แซทที่นั่งขนาบข้างแล้วหันไปมองพี่ควินที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนรีบเก็บโทรศัพท์
“ใคร”
เสียงเข้มของพี่แซทถามขึ้น ผมเผลอเม้มปากแน่นเพราะกลัวพวกเขาคาดคั้น
“กูถามว่าใคร”
“ไม่มีไรครับ แค่ข้อความโหลดริงโทนเฉยๆ”
ผมโกหก จะให้บอกได้ไงล่ะว่าธัญญ์ส่งข้อความมา แถมเนื้อหาในข้อความยังพาดพิงถึงพวกเขาด้วย
“แน่ใจ”
พี่แซทยังไม่เลิกรบเร้า ผมพยักหน้าแล้วแกล้งเอามือลูบท้อง
“ผมหิวแล้ว เมื่อไหร่อาหารจะมาสักที”
พี่แซทไม่ถามต่อ เขามองหาพนักงานแล้วกวักมือเรียก บอกให้เร่งอาหารที่สั่งไป ผมก้มหน้าลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่พอเงยหน้าขึ้นก็เจอสายตาดุของพี่ควินจ้องมองมา ผมเลยยิ้มให้เขากลบเกลื่อน จนกระทั่งพนักงานมาเสริฟอาหาร ผมลงมือทานด้วยความว้าวุ่นใจและไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติอาหารตรงหน้า แม้ว่าพวกเขาจะผลัดกันตักอาหารใส่จานให้ ผมทานเงียบๆ คิดวุ่นวายในหัวอยู่ตลอดจนพวกเราทานเสร็จ
“เป็นอะไร”
พี่ควินหันมาถามตอนรถเคลื่อนตัวออกจากร้านอาหาร ผมส่ายหน้าบอกเขาเสียงเนือย
“ผมง่วง”
พอบอกไปแบบนั้นพี่ควินก็ไม่เซ้าซี้ พักหลังมานี้ผมเห็นข้อดีของพวกเขาอีกอย่างนึงคือเวลาที่ผมแสดงออกให้พวกเขาเห็นว่าผมรู้สึกเหนื่อย เบื่อ หรือง่วงนอน พวกเขาจะไม่ยุ่งวุ่ยวาย ไม่กวนใจ พวกเขาจะปล่อยให้ผมพักผ่อน แม้บางครั้งผมจะแกล้งทำก็เถอะ อย่างกรณีนี้ก็เหมือนกัน ผมก็เอามาใช้เป็นข้ออ้างเอาตัวรอดได้อีกครั้ง
เข้าห้องมาได้ ผมก็เดินตรงไปทางห้องตัวเอง กำลังจะผลักประตูปิดพี่แซทก็ดันไว้ซะก่อน ผมมองหน้าเขาแทนคำถาม ร่างสูงแทรกตัวเข้ามาในห้องทำให้ผมต้องถอยหลัง ในขณะที่ผมกำลังยืนงงอยู่พี่ควินก็ตามเข้ามา ผมมองพวกเขาสลับกันไปมา คิดเดาไปเองว่าพวกเขาอาจเข้ามาหาเรื่องจับผิดผมหรือเปล่า
“มีอะไรจะบอกกูมั้ย”
ผมตัวแข็งทื่อทันทีที่ได้ยินคำถามจากพี่ควิน นี่แสดงว่าพวกเขาสงสัยผมจริงๆ!
“มึงปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า”
คำถามต่อมาของพี่แซทแทบทำให้ผมลืมหายใจ นี่ผมกำลังโดนพวกเขาต้อนให้จนมุมใช่มั้ยเนี่ย!
“เอาโทรศัพท์มาดูสิ”
พี่แซทแบมือยื่นมาตรงหน้า ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก รู้สึกว่ามือตัวเองกำลังสั่น
“ต้าร์”
พี่ควินกดเสียงต่ำ นัยน์ตาดุคมจ้องผมเขม็ง
“อะไรกันครับ จู่ๆก็เข้ามาหาเรื่องผม พวกพี่เป็นบ้าอะไร” ผมแกล้งตีหน้านิ่ง แม้ในใจจะหวาดกลัว
“เอาโทรศัพท์มา”
“ไม่ครับ ผมง่วง ผมจะนอน พวกพี่ออกไปได้แล้ว”
ผมไล่พวกเขาแล้วเดินตรงไปที่เตียง แต่ยังเดินไม่ถึงก็ถูกดึงกลับไป พี่แซทจับตรึงไหล่ผมทั้งสองข้าง นัยน์ตาวาวโรจอย่างน่ากลัว ผมสูดลมหายใจลึกพยายามระงับความหวาดกลัว ทำใจสู้จ้องตาเขากลับ
“พวกพี่เห็นผมเป็นตัวอะไร อยากดีด้วยก็ดี อยากร้ายก็ร้าย เคยนึกถึงใจผมบ้างมั้ย”
ผมตัดพ้อเขายาวเหยียด พี่แซทผ่อนแรงที่ไหล่ผมทันที
“กูแค่ขอโทรศัพท์มึง”
“แต่การกระทำของพวกพี่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น สิ่งที่พวกพี่กำลังทำอยู่ตอนนี้คือการข่มขู่ พวกพี่ไม่เชื่อใจผม”
พี่แซทขบกรามแน่นจนผมได้ยินเสียง ผมรู้ เขากำลังข่มอารมณ์
“แซท ปล่อยต้าร์”
พี่ควินที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่พูดขึ้น พี่แซทยอมปล่อยผม เขาถอยไปยืนพิงผนังห้อง พี่ควินขยับเข้ามาแทนที่ เขาลูบแก้มผมเบาๆแต่ตาจ้องผมเขม็ง
“กูเชื่อใจมึง แต่…”
“พอเถอะครับ ไม่ต้องพูดแล้ว” ผมพูดขัดขึ้น ดันเขาอออกห่าง
“พวกพี่ไม่เคยเชื่อใจผม ไม่เคย”
ผมยิ้มเหยียดแล้วล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาวางไว้บนโต๊ะคอมฯ
“ของที่พวกพี่ต้องการ เชิญครับ เชิญตรวจได้ตามสบาย เสร็จแล้วก็ออกไป ผมจะนอน”
ผมบอกกระแทกเสียง เดินกลับไปนอนที่เตียงหันหลังให้พวกเขา ผมเม้มปากพร้อมกำผ้าปูที่นอนไว้แน่น ลุ้นในใจขอให้พวกเขาเชื่อใจผมจริงๆ ถ้าพวกเขาเชื่อใจผม โทรศัพท์จะไม่ถูกแตะ แต่ถ้าไม่…สิ่งที่ผมผมพยายามปกปิดจะถูกเปิดเผย
“ขอโทษ”
คำขอโทษพร้อมแรงกอดรัดจากอ้อมแขนทำให้ผมหลุดยิ้มกว้างออกมา แต่ก็ต้องระงับไว้ ผมขยับพลิกตัวกลับไปก็เห็นหน้าพี่ควินในระยะประชิด
“ขอโทษทำไมครับ พวกพี่ไม่ได้ทำอะไรผิดนี่” ผมแกล้งพูดประชด
พี่ควินบีบจมูกผมโยกเบาๆก่อนปล่อยมือออกแล้วลุกขึ้น ผมขยับเอนหลังพิงหัวเตียง มองไปที่โต๊ะคอมฯ โทรศัพท์ยังวางอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิมที่ผมวางไว้ นั่นแสดงว่าพวกเขายังไม่ได้แตะต้องมัน
“กูเชื่อใจมึงพอๆกับที่กูกลัวใจมึง”
พี่แซทบอกเสียงเข้มก่อนเดินออกจากห้องไป ผมรู้ความหมายที่เขาต้องการสื่อและมันก็ทำให้ผมละอายใจที่ปิดบังความจริง
“ห้ามโกรธ ห้ามงอน กูเชื่อใจมึง”
พี่ควินโน้มตัวมาจูบหน้าผากผม คำพูดและการกระทำอ่อนโยนของเขายิ่งทำให้ผมรู้สึกผิด ผมมองตามแผ่นหลังกว้างที่กำลังจะหายไปจากสายตา ผมควรบอกความจริงเขามั้ย?
“พี่ควิน”
ผมเรียกเขาไว้ ร่างสูงหยุดอยู่หน้าประตู เขาหันกลับมามองผม
“เอ่อ…” จู่ๆคำพูดมันก็ติดอยู่ในคอ
“ไหนบอกว่าง่วง”
“เอ่อ…ครับ ง่วงครับ” ผมตอบรับเสียงเบา
“นอนซะ”
พี่ควินปิดประตู เขาเดินไปแล้ว ผมส่ายหน้าแรง หงุดหงิดตัวเองจนพาลไปลงกับหมอน ผมเขวี้ยงมันลงไปที่พื้นอย่างแรงพอดีกับเสียงเตือนโทรศัพท์ดัง ผมลงจากเตียงไปหยิบโทรศัพท์มาดู เป็นข้อความจากธัญญ์!
‘พี่อยากให้ผมจบเรื่องนี้ใช่มั้ย ถ้าใช่ พรุ่งนี้ 3 ทุ่ม มาเจอผมที่หน้ามอ แค่พี่คนเดียว อย่าให้ไอ้เหี้ยสองตัวนั่นตามมา’ ข้อความก่อนหน้านี้
‘ถ้าพี่อยากให้เรื่องมันจบโดยดีก็ออกมาเจอผม’ ข้อความล่าสุด
ผมอ่านทั้งสองข้อความจนแทบจำได้ขึ้นใจ รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของธัญญ์ เขาต้องการล่อให้ผมออกไป แผนนี้อาจใช้ได้กับต้าร์คนก่อนที่ยังโง่งมหัวอ่อนหลงเชื่อคนง่ายๆ แต่ไม่ใช่กับต้าร์คนปัจจุบัน!
ถึงผมจะอยากให้เรื่องวุ่นวายนี้มันจบมากแค่ไหน แต่ผมก็ไม่ขาดสติจนหลงไปตามเกมของธัญญ์หรอก หมอนั่นต้องการแก้แค้น และเป้าหมายคือผม เขาต้องการใช้ผมเป็นเครื่องมือ และผมจะไม่ยอมให้มันเป็นอย่างที่ธัญญ์ต้องการ ไม่มีทาง!
--------------------------------------------------------
ไม่มีอะไรจะกล่าว นอกจากคำว่า 'ขอโทษ'

ขอโทษที่หายไปนาน (นานเกิ๊น)

ยังไม่ทิ้งเรื่องนี้นะคะ
ยังคงแต่งอยู่ ยังไงก็ต้องเข็นให้มันจบให้ได้

แต่จะจบตอนไหนก็อีกเรื่องนึง
