Heartbreaker : 19
http://www.youtube.com/v/PpWoRzU3amc?version=1&hl=en_US&color1=0xa5a5a5&color2=0xFFFFFF&loop=1&autoplay=1"ถ้ามนุษย์เราสามารถควบคุมอารมณ์ และความรู้สึกของตัวเองได้ก็คงดี โลกนี้คงอยู่อย่างสงบ ไม่มีเรื่องวุ่นวาย แต่เพราะคนเราไม่สามารถทำได้ แม้จะยับยั้ง สะกดกลั้นเอาไว้ได้ แต่ก็ทำได้แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถกำหนดได้ตายตัวให้คงอยู่ตลอดไป สุดท้ายอารมณ์ก็อยู่เหนือจิตใจ อยู่เหนือการควบคุมอยู่ดี และผลจากการที่คนเราไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ก็คือการสูญเสีย ยกตัวอย่างง่ายๆคือเรื่องของสามีภรรยา แค่ความคิดเห็นไม่ลงรอย ทัศนคติในการชีวิตไม่ตรงกัน เหตุผลแค่นี้ก็สามารถทำให้ทั้งคู่แยกทางกันได้ สาเหตุก็เนื่องมาจากอารมณ์อันเป็นปัจจัยสำคัญ รองลงมาคือความรู้สึก
เวลาทะเลาะกันจนบานปลายมาถึงทางแยกที่ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางนึง เมื่อฝ่ายนึงบอกว่าอย่าใช้อารมณ์ตัดสิน ให้ใช้ความรู้สึก ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเหรอที่ได้ยินอย่างนั้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกันด้วยอารมณ์ แต่จู่ๆฝ่ายนึงก็ยื่นตัวเลือกให้อีกฝ่ายตัดสินใจ แล้วยังมีหน้ามาบอกให้ใช้ความรู้สึกตัดสิน อย่าใช้อารมณ์
ถ้าเมื่อใดที่อารมณ์กับความรู้สึกเดินอยู่บนเส้นทางเดียวกัน นั้นหมายความว่าอัตราเสี่ยงของการสุญเสียชัดเจนมากขึ้น แต่ถ้าเมื่อใดที่อารมณ์กับความรู้สึกเดินสวนทางกัน นั้นหมายความว่าอัตราเสี่ยงลดลง และอาจจะไม่เกิดการสูญเสียเลยก็ได้
เหมือนกับกรณีของผมที่เพิ่งผ่านความเสี่ยงมาได้พักใหญ่ ถ้าขืนผมยังดันทุรังคาดคั้นเอาคำตอบจากพวกเขาด้วยอารมณ์ เชื่อได้เลยว่าผมคงไม่ได้มานั่งรับแอร์เย็นช่ำอยู่บนรถสปอร์ตหรูอย่างตอนนี้แน่ ผมเลือกที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ เลือกที่จะแยกอารมณ์กับความรู้สึกออกจากกัน เพราะมันคือหนทางในการเอาตัวรอดของผม ผมไม่กล้าใช้อารมณ์มาต่อรองกับพวกเขา ผมเข็ดจากเหตุการณ์ตอนนั้น ตอนที่ผมควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้จนเป็นเหตุให้ผมถูกพวกเขาใช้ยากระตุ้น ถ้าเมื่อใดที่ผมใช้อารมณ์ มันก็เปรียบเหมือนผมเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงให้ไฟอย่างพวกเขาย้อนกลับมาเผาผลาญตัวผมเอง
จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สอนให้ผมรู้ว่า อย่าเล่นกับไฟ!
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะกระจกรถเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ความคิด และผมเพิ่งรู้ตัวว่ารถที่นั่งมาจอดนิ่งอยู่หน้าคณะผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมมองกระจกฝั่งตัวเองก็เห็นว่าเพื่อนสนิทยืนมองผมอยู่ ผมปลดล็อคเข็มขัดนิรภัยก่อนหันไปมองเจ้าของรถ นัยน์ตาสีดำสนิทไม่ได้มองผมแต่มองไปที่เพื่อนสนิทผม เห็นอย่างนั้นผมก็รีบหยิบหนังสือกับชีทแนบอก สะพานกระเป๋า ยื่นมือไปเปิดประตู แต่ยังไม่ได้เปิดออกไปแขนผมก็ถูกดึงไว้ พอผมหันไปมอง พี่แซทก็โน้มหน้าเข้ามาใกล้ และกว่าที่ผมจะทันได้ตั้งตัว เขาก็จูบผมอย่างดูดดื่มแล้วผละออกไป ผมนั่งเอ๋ออยู่ครู่นึง พอตั้งสติได้ก็รีบเปิดประตูก้าวจากรถโดยไม่ได้ขอบคุณเขา ผมปิดประตูแล้วหันหลังเดินนำเพื่อนสนิทมาถึงหน้าคณะ
“กูถามมึงอย่างจริงจังนะต้าร์ พวกมันเป็นโรคประสาทรึเปล่าวะ”
ผมหยุดเดิน หันกลับไปมองหน้าคนถาม
“ทำไมเฟียซถึงคิดแบบนั้นล่ะ”
“ก็พวกมันแม่งบ้า คิดดูดิ กูก็แค่เคาะกระจกเพราะเห็นมันจอดรถนาน ไม่เห็นมึงลงมาสักที แล้วพอมันเห็นหน้ากู มันก็ประกาศความเป็นเจ้าของมึงใส่กูเลย ไอ้เหี้ย ประสาทชัดๆ”
ผมหลุดหัวเราะกับสีหน้าท่าทางของเฟียซ
“ช่างเขาเถอะน่า พวกเขาก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“ก็เพราะพวกมันเป็นแบบนี้ไง กูถึงสงสัย ว่าพวกมันเป็นโรคประสาทรึเปล่า”
เฟียซว่าพลางเดินแซงหน้าผมไป
“เดี๋ยวเฟียซ ต้าร์หิว ไปโรงอาหารกัน”
ผมเรียกเพื่อนไว้
“กูมีแซนวิช กินของกูก็ได้ ขี้เกียจเดินไปโรงอาหาร”
“เอางั้นก็ได้ ขอบใจนะ”
ผมยิ้ม เดินไปดุนหลังเฟียซให้รีบเดินขึ้นอาคาร
เสียงพูดคุยดังระงมหลังจากเลิกคลาส นักศึกษาต่างทยอยกันเดินออกจากห้อง ผมเดินตามหลังบอสกับตัวเล็กด้วยอาการหงอย ตอนเรียนผมเอาแต่นั่งขีดเขียนระบายอารมณ์ที่สะกดกลั้นไว้ใส่สมุดจนหมดคาบ ไม่ได้ความรู้เข้าหัวเลยสักอย่าง ไม่รู้ว่าอาจารย์สอนอะไรไปบ้าง ไม่น่าเลย ใกล้จะสอบแล้วแท้ๆ แต่ผมยังไม่สามารถควบคุมจิตใจให้สงบได้เลย
“ทำหน้าให้ดีดีหน่อย”
เสียงเฟียซมาพร้อมกับน้ำหนักแขนที่พาดลงบนบ่าผม
“พยายามอยู่”
ผมบอกเสียงอ่อย
“คิดไรนักหนาวะ หัวเล็กนิดเดียว”
เฟียซว่าพลางยีหัวผมจนผมยุ่งไปหมด ผมย่นจมูกใส่ พยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้น
“มึงกับต้าร์ไปรอที่หอเลยนะ กูจะพาบอสไปซื้อของ เสร็จแล้วจะรีบตามไป”
ตัวเล็กหันมาบอกเมื่อพวกเราเดินลงอาคารมา
“ต้าร์ไม่ต้องซื้อขนมนะ เดี๋ยวบอสซื้อเข้าไปเอง”
“รับทราบ”
ผมยิ้มตอบ บอสกับตัวเล็กเดินแยกไปอีกทาง
“ไงมึง รอมันไปส่งเหรอ”
“อือ”
ผมตอบเฟียซอย่างเนือยๆ เราเดินไปที่หน้าคณะ ผมนั่งลงบนม้านั่งหินอ่อน เฟียซนั่งลงข้างผม
“ไปก่อนก็ได้”
ผมบอก ล้วงมือควานหาเครื่องเล่นเพลงในกระเป๋าเป้
“แล้วมันจะไปนั่งเฝ้ารอมึงติวรึเปล่า”
“ไม่รู้สิ”
“กูล่ะเพลียกับพวกมันจริงๆ จะอะไรนักหนาวะ ทำเหมือนมึงเป็นเด็กปัญญาอ่อนไปได้”
“หลอกด่าต้าร์ใช่ไหมเนี่ย”
ผมหรี่ตามองเฟียซ
“แล้วมึงเป็นเด็กปัญญาอ่อนรึเปล่า”
เฟียซย้อนถาม ผมส่ายหน้า เขาเลยดีดหน้าผากผมทีนึง ผมยู่ปากยกมือขึ้นลูบหน้าผากตัวเอง
“งั้นกูไปก่อน อยากกินไรไหม ที่ห้องมีบะหมี่กึ่งเหลือ”
“มีไข่ไหม”
“อย่าเรื่องมาก กูบอกว่ามีแค่บะหมี่”
ผมแลบลิ้น มองค้อนเพื่อน
“ขอ2ห่อ”
“เออ”
เฟียซตอบเสียงแข็ง ลุกเดินไปสตาร์ทรถมอเตอร์ไซต์ขับออกไป
ผมถอนหายใจ หยิบหูฟังใส่หู เปิดเพลงฟังฆ่าเวลารอ
ผมนั่งหาวแล้วหาวอีกก็ยังไม่เห็นเขามารับ มันนานจนผิดปกติ ผมปิดเครื่องเล่นเพลงเก็บใส่กระเป๋า ดูเวลาจากโทรศัพท์ ทำไมเขายังไม่มารับผมอีก ผมลุกขึ้น ชะเง้อมองรถที่ขับสวนกันไปมาแต่ก็ไม่เห็นรถคันคุ้นตา จนกระทั่งสายตาผมหยุดโฟกัสที่ผู้ชายร่างสูง คนที่ผมจำเขาได้แม่น ผมขมวดคิ้วอย่างสงสัย เขาคนนั้นกำลังเดินโอบเอวนักศึกษาหญิงผ่านหน้าผมไป
เฮ้! ทำไมวันนี้เขาไม่ตามผมแล้วล่ะ
ผมรีบเดินตามเขาไป
“ขอโทษนะครับ”
ผมส่งเสียงทัก เขาหยุดเดินหันมามอง ผมยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร
“มีอะไรเหรอ”
เขาถาม ผมยิ่งงงหนัก
“คุณ…ไม่ได้…”
“พี่แซทไม่ได้สั่งให้ผมตามคุณแล้วล่ะ”
ผมเบิกตากว้าง คิดทวนคำพูดของคนตรงหน้า
“ผมขอตัวก่อนนะ”
ผมพยักหน้า มองตามหลังเขาไปจนลับสายตา ผมเดินกลับไปนั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าคณะพลางคิดทบทวนไปด้วย หรือว่าพวกเขาจะทำตามคำขอร้องของผม จะเป็นไปได้จริงๆเหรอ?
ผมส่ายหน้า ไม่น่าเป็นไปได้ แต่เมื่อกี้ลูกน้องพวกเขาก็บอกผมเอง ว่าพี่แซทไม่ได้สั่งเขาให้ตามผมแล้ว ผมคลี่ยิ้ม เริ่มมีความหวัง แต่ยังไม่วางใจเต็มร้อย เอาเป็นว่าผมจะรอเขาอีก10นาที ถ้าเขายังไม่มารับ นั่นแสดงว่าพวกเขายอมทำตามคำขอร้องของผมจริงๆ
10 นาทีผ่านไป
ผมยิ้มกว้าง ลุกขึ้นเดินพลางพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ไปด้วย ผมตรวจทานก่อนส่งออกไปไปยังเลขหมายปลายทาง2เบอร์ หวังว่าพวกเขาจะยิ้มเมื่อได้รับข้อความจากผม แม้จะเป็นแค่คำ3คำสั้นๆ แต่มันคือความรู้สึกที่กลั้นออกมาจากใจผม
‘ขอบคุณครับ’
“สูตรๆๆ ท่องสูตรอีกแล้ว”
ผมนอนพลิกไปมาบนเตียงของเฟียซหลังจากที่ติวเสร็จ
“น่าเบื่อชะมัด จบมอปลายมาแล้วยังต้องมาท่องสูตรอีก”
บอสทิ้งตัวลงนอนข้างผมพร้อมเอาขามาก่ายท้องผมไว้
“จะบ่นทำซากอะไรวะ บ่นไปก็ต้องท่องอยู่ดี”
ตัวเล็กบอกพลางโยนถุงขนมใส่บอส เจ้าตัวรีบลุกขึ้นตะครุบทันที ผมหัวเราะ หยิบหมอนฟาดใส่
บอสอย่างต้องการแหย่เล่น แล้วบอสก็ดันเล่นด้วย หยิบหมอนอีกใบมาฟาดใส่ผม
“เตียงนอนกูไม่ใช่สนามเด็กเล่น”
เสียงเข้มของเจ้าของห้องดังขึ้น ผมกับบอสหยุดมือที่กำลังกระหน่ำหมอนฟาดใส่กันแล้วหันไปมองเฟียซ บอสแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เฟียซแล้วหันมาหัวเราะกับผม
“เออต้าร์ แล้ววันนี้พวกมันยอมให้ต้าร์กลับเองเหรอ”
ตัวเล็กถามขึ้น
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ผมตอบพลางส่ายหน้า
“หึ มันไม่ยอมให้มึงกลับเองหรอก นู้น มันสูบบุหรี่รอมึงอยู่ข้างล่างนู้น”
คำพูดเฟียซเรียกให้ผมรีบลงจากเตียงเดินไปนอกระเบียง ผมมองลงไปข้างล่างก็เห็นตามที่เฟียซ
บอก พี่แซทกำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างรถสปอร์ตคันหรูของเขา แต่ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้ว่าผมมองเห็นเขาแล้ว
“บอสว่าแล้ว ถึงพวกมันจะเลิกสั่งให้คนตามต้าร์ แต่พวกมันก็ไม่ยอมให้ต้าร์กลับคอนโดเองหรอก”
ผมหันไปยิ้มเจื่อนให้บอส
“รีบๆลงไป กูไม่อยากให้มันขึ้นมาเหยียบห้องกู”
เฟียซไล่ ผมหันไปมองค้อนเขา รู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจไล่ผมไปจริงๆหรอก เขาแค่ไม่อยากให้พี่แซทขึ้นมา ผมเดินกลับเข้าห้อง หยิบกระเป๋าขึ้นสะพาน
“งั้นต้าร์กลับก่อนนะบอส ตัวเล็ก เจอกันพรุ่งนี้”
ผมหันไปบอกลาเพื่อน
“อ่ะฮะ see you tomorrow”
บอสบอกพลางโบกมือไล่ ผมหัวเราะ หันไปมองเจ้าของห้องก็เห็นว่าเขายืนพิงกรอบประตูมองมาที่ผมอยู่
“จะกลับแล้ว ไม่ลงไปส่งรึไง”
ผมถามเฟียซ เจ้าตัวไม่ตอบแต่เดินมาหยิบคีย์การ์ดบนโต๊ะ ผมเดินไปเปิดประตู ใส่รองเท้า
เฟียซยืนรอผม พอผมใส่รองเท้าเสร็จเขาก็เดินนำไปก่อน ผมเบ้ปากก่อนเดินตามเขาไป
“เจอกันพรุ่งนี้”
ผมยิ้มให้เฟียซที่เปิดประตูรอผมอยู่
“เออ”
“เย็นชาจัง”
ผมล้อเลียนท่าทางเขา แล้วก็โดนเขาดีดหน้าผากกลับมา
พอเฟียซกลับขึ้นห้องไป ผมก็เดินไปหาคนที่รออยู่
“พี่แซท”
ผมเรียก พอเขาหันมาเห็นผมก็รีบทิ้งมวนบุหรี่ในมือลงพื้นทันที ผมเดินเข้าไปใกล้เขา สวมกอดเขาไว้
“ขอบคุณนะครับ”
ผมบอก ผละออกมามองหน้าเขา ผมรู้ว่าเขาเข้าใจว่าผมทำแบบนี้ทำไม เพียงแต่เขาไม่พูด
“ขึ้นรถ”
เขาสั่งพลางเปิดประตูรถให้ ผมยิ้ม ขึ้นไปนั่งบนรถ มองเขาปิดประตูเดินอ้อมหน้ารถมาเปิดประตูฝั่งคนขับ จนเขาเข้ามานั่งบนรถปิดประตูเรียบร้อยผมก็ยังมองเขาไม่ละสายตา พอเขาสตาร์ทเครื่องแล้วหันมามอง ผมก็ฉีกยิ้มกว้างให้เขา แต่ใบหน้าหล่อเหล่าดูหงุดหงิดจนผมเริ่มหวั่น
ผมทำอะไรให้เขาไม่พอใจเหรอ?
พลันความคิดผมต้องชะงักเมื่อเขาโน้มหน้ามาใกล้ ลมหายใจอุ่นๆริดรดอยู่เฉียดแก้มตอนเขาดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้ผม
“ขอบคุณครับ”
ผมยิ้มบอก เขาไม่พูดอะไร หันกลับไปขับรถ ผมเอนหลังพิงเบาะมองออกไปนอกกระจกด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่บ่อยนักที่ผมจะมีความรู้สึกแบบนี้เวลาอยู่กับเขาท่ามกลางความเงียบในการเดินทาง ผมหลับตานึกถึงสูตรที่ติวมาในวันนี้แต่จู่ๆผมก็รู้สึกว่าตัวรถกระชากเร่งความเร็วขึ้น ผมลืมตาหันไปมองคนขับ ใบหน้าหล่อเหล่าดูเคร่งเครียดซ้ำสายตาเขายังมองจ้องไปที่กระจกจนผิดปกติ
เกิดอะไรขึ้น?
ผมขยับตัวหันไปมองข้างหลังก็เห็นรถยนต์BMWสีดำป้ายแดงกำลังขับตามหลังมาในระยะประชิดราวกับรถคันนั้นกำลังไล่จี้รถเราอยู่!
“มีอะไรเหรอครับ”
ผมหันไปถามเขา
“ไอ้พวกลูกหมา”
พวกลูกหมา?
ผมขมวดคิ้วยุ่งกับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้ผมหายสงสัยเลยสักนิด
“พี่แซท รถ…รถคันนั้นขับตีคู่รถเราแล้วครับ”
ผมบอกเสียงตื่นเมื่อหันไปเห็นรถคันต้องสงสัยเร่งความเร็วจนขึ้นมาตีคู่รถพวกผม
“นั่งดีดี ไม่ต้องกลัว”
เสียงเข้มบอกผมไม่ต้องกลัวแต่เขากลับเร่งความเร็วราวกับกำลังแข่งรถอยู่ในสนาม!
“พี่แซท รถคันนั้นขับตามเราทำไมครับ”
“หลับตา”
“ห๊ะ”
“บอกให้หลับตา”
ผมหลับตาตามคำสั่ง รับรู้ได้ว่าเหงื่อเต็มฝ่ามือ และความรู้สึกต่อมาคืออาการวูบโหวงในช่องท้อง เพราะรถที่ผมนั่งอยู่หักเลี้ยวจนได้ยินเสียงบดของยางรถกับพื้นถนน
“เหี้ยเอ๊ย!”
เสียงสบถดังลั่น ผมลืมตาขึ้นพอดีกับที่รถเบรก บริเวณที่รถเลี้ยวเข้ามาเป็นซอยตันของหมู่บ้านแห่งนึง
“พี่แซท”
ผมหันไปเรียกเขาเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องกลัว ไม่มีอะไร”
เขาบอกพลางหันมาปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้แล้วกอดผมไว้แน่น ผมกอดตอบ ซุกหน้ากับบ่ากว้าง ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นดังเหมือนมันจะกระเด้งออกมานอกอก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมสะดุ้งโหยงกับเสียงเคาะกระจก เงยหน้ามองก็เห็นผู้ชายหน้าดุนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลจ้องผมอยู่
“พี่ครับ!”
ผมร้องเสียงหลง พี่แซทคลายอ้อมกอด เขาผละออกหันไปเปิดประตู ผมนั่งหายใจหอบไม่กล้าขยับตัวไปไหน
“พวกมึงทำอะไร ห๊ะ! ไม่เห็นเหรอว่าเด็กกูตกใจ ไอ้พวกเหี้ย!”
เสียงตวาดของพี่แซททำให้ผมสะดุ้งอีกครั้ง แต่ความสงสัยเข้ามาแทนที่ความกลัว พี่แซทด่าคนพวกนั้น แสดงว่าพวกเขารู้จักกัน
“ขอโทษครับบอส”
สำเนียงภาษาไทยแปร่งๆคล้ายคนพูดพูดไทยไม่ชัด
“ไสหัวพวกมึงกลับไปเลย!”
“แต่บอสครับ”
“กูบอกให้กลับไป!”
“บอส”
ผมเปิดประตูลงจากรถ เห็นรถBMWป้ายแดงคันเดิมจอดหลังรถพี่แซท ผมค่อยๆเดินไปหาเขา
“พี่ครับ”
ผมหยุดเรียกเขาอยู่หน้ากระโปรงรถ ไม่กล้าเดินไปต่อ เพราะผู้ชายร่างสูงบึกบึนผิวดำเหมือนพวกนิโกรหันมามองผม
“ลงมาทำไม”
เขาถามพลางเดินเข้ามาหา
“พวกเขาเป็นใครเหรอครับ”
ผมไม่ตอบ ถามเขากลับพลางมองผู้ชายชาวต่างชาติต่างสีผิว2คนสลับกันไปมา คนแรกที่ผมเห็นและทำให้ผมร้องเสียงหลงก่อนหน้านี้คือผู้ชายผิวขาวซีดนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล ผมทรงสกินเฮดของเขายิ่งขับให้ใบหน้าคมสันนั้นดูดุดัน ความสูงของพวกเขาทั้ง2คนคาดคะเนจากสายตาคงราวๆ2เมตรได้ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในชุดสูทเรียบหรู แต่ก็ยังดูน่ากลัวในสายตาคนมองอย่างผมอยู่ดี
“ยังยืนอยู่ทำไม กูบอกให้พวกมึงกลับไป”
“พวกเราไม่กลับจนกว่าบอสจะกลับไปหามาดามที่คฤหาสน์ครับ”
ผมขมวดคิ้ว มองหน้าพี่แซท มาดามที่พวกเขาพูดถึงคงเป็นคุณแม่ของพี่แซท เพราะผมทราบมาว่าคุณแม่พี่แซทแต่งงานใหม่กับมหาเศรษฐีชาวอิตาลีหลังจากที่หย่ากับอดีตสามีไป
“ใครสั่งพวกมึงมา มาดามหรือดอนของพวกมึง”
“มาดามครับ”
ผมดึงแขนพี่แซท หลังจากที่คิดทบทวนและประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
“คุณป้าคงอยากให้พี่แซทไปหา ทำไมพี่แซทไม่ไปหาท่านล่ะครับ”
เขาหันมามองผมนิ่งคล้ายกำลังชั่งใจคิดไตร่ตรองอยู่
“ผมขอไปด้วยได้ไหมครับ ไม่ได้ไปเยี่ยมท่านนานแล้ว”
ผมว่าต่อ หันไปมองคนตัวใหญ่2คนก็เห็นว่าพวกเขากำลังยิ้มให้ผมพร้อมยกนิ้วโป้งให้ ผมยิ้มตอบ
“ไสหัวกลับไป”
พี่แซทหันไปไล่พวกเขาอีก
“แต่บอส…”
“กูจะไปหาแม่กูเอง พวกมึงกลับไปได้แล้ว”
“ครับ”
พวกเขาโค้งศีรษะให้พี่แซทก่อนเดินไปขึ้นรถ
ผมยิ้ม มองตามจนพวกเขาขับรถออกไป
“เพิ่งรู้นะครับว่าพี่แซทมีลูกน้องตัวใหญ่ยังกะยักษ์”
ผมพูดกลั้วหัวเราะ
“ปากดี”
เสียงเข้มดุ แต่ผมยังยิ้มขำ เขาเลยรวบตัวผมเข้าไปกอดจากทางด้านหลัง
“หายกลัวรึยัง”
ผมย่นคอหนีเสียงกระซิบที่ข้างหู
“หายแล้วครับ”
“หันหน้ามา”
ผมส่ายหน้า รู้ว่าถ้าหันไปจะเจอกับอะไร ถ้าไม่โดนหอมแก้มก็โดนจูบแน่ๆ
“หันมา”
“ขึ้นรถเถอะครับ ผมร้อน”
เขายอมปล่อยแต่โดยดี ผมรีบเดินไปเปิดประตูขึ้นรถ เอนหลังพิงเบาะแสร้งทำเป็นหลับตา
“ถึงบ้านเมื่อไหร่ โดนจัดหนักแน่”
ผมแอบสะดุ้งกับคำว่าจัดหนัก ในหัวเริ่มคิดหาวิธีเอาตัวรอด อยู่กับพี่ควินผมยังเอาตัวรอดมาได้ เรื่องอะไรผมจะมาตกม้าตายที่พี่แซทล่ะ ไม่มีทาง!
---------------------------------------------------------------------------------------
ฮิ้ววว!!! มาอัพแแล้วค่าาาาา

พี่แซทยังคงหื่นไม่เลือกสถานที่

ปล่อยพี่แกไปเถอะ

หลายเสียงบอกพี่ควินทำคะแนนนำโด่งไปแล้ว
ไม่ต้องห่วงนะคะ พี่แซท come back แล้ว พี่แกไม่ยอมแพ้พี่ควินแน่

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์และการติดตามมากๆค่ะ

ปล. ใส่โค้ดเพลง แต่ระบบไม่ให้เล่นแบบออโต้ ยังไงก็ลองกดฟังกันนะคะ อ่านไปฟังไป เพลินดีค่ะ