ซีรีย์หวานอมขม : ภาค Sex on the Beach กับ Whisky on the Rocksช็อตที่ 16 “บินจะไปไหนน่ะ”
เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังจะเปิดประตูห้องต้องชะงัก
หันมาขมวดคิ้วตอบกลับคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จมาหมาด ๆ
“กินข้าวมั้ง ถามมาได้
เห็นๆ อยู่ว่ายกตะกร้าผ้า
กำลังจะเอาไปซักข้างล่างนี่ไง”
“บินไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวพี่ทำเอง”
ไกรศรพูดจบพร้อมกับรีบแย่งตะกร้าผ้าไปจากมือ
ก่อนเดินดุ่ม ๆ ออกนอกห้องลิ่วตรงไปยังบันได
อ้าว...ผ้าไปแล้ว
แต่แฟ้บยังอยู่ในมือเขา
แล้วมันจะเอาอะไรไปซัก
“เฮ้ยเดี๋ยว! แล้วไม่เอาแฟ้บกับน้ำยาปรับผ้านุ่มไปด้วยล่ะ”
คนถูกทักชะงักกึกหมุนตัวกลับมา
กระพริบตาปริบ ถามอย่างงง ๆ
“อ้าว แล้วเขาไม่ได้มีให้เหรอ”
ไอ้หน้ามึน!!
บินยกมือกุมขมับ
อยากจะบ้าตายกับคนที่ทำตัวไม่รู้เรื่องรู้ราว
“ตู้เสื้อผ้าหยอดเหรียญมันจะไปมีให้ได้ยังไงวะ
อย่าบอกนะว่าทำไม่เป็น
เออ กูลืมไปว่ามึงมันคุณชาย
แต่เรื่องง่าย ๆ แค่นี้ก็น่าจะหัดรู้ไว้ซะบ้าง
มา ๆ เดี๋ยวกูสอนให้”
ลงท้ายจากแค่การไปซักผ้าธรรมดา ๆ
เขาเลยต้องไปรับหน้าที่พี่เลี้ยงจำเป็น
สอนคนไร้เดียงสาเรื่องงานบ้าน
ไม่เคยคิดเลยว่ากับเรื่องง่าย ๆ แค่นี้มันจะไม่รู้เรื่อง
แต่กับเรื่องบ้างเรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก
...ไอ้หน้ามึนกลับดันรู้แถมยังสอนเขาอีกต่างหาก
เมื่อคืนหลังจากคุยกันจบ
เขาก็เผลอหลับไปทั้ง ๆ อย่างนั้น
ตื่นขึ้นมาอีกทีตกใจแทบแย่ที่เจอมันนอนกอดเขาอยู่บนเตียง
เลยรีบลุกไปอาบน้ำ พอออกมาคนหลับก็ตื่นแล้ว
เขาปล่อยให้มันผลัดเข้าไป ส่วนตัวเองตั้งใจจะซักผ้า
เพราะตั้งแต่ป่วยไปนอนแหมบอยู่โรงพยาบาล
ผ้าในตะกร้าก็กองเน่ามาอาทิตย์หนึ่งเต็ม ๆ
แต่ยังไม่ทันทำอะไรมันดันมารั้งไว้ซะก่อนแล้วบอกว่าจะช่วย
หึ ไม่รู้ช่วยทำให้ง่ายหรือยุ่งยากขึ้นกันแน่
บินส่ายศีรษะอย่างปลง ๆ
หลังจากใช้พลังงานยามเช้าไปโดยไม่จำเป็น
กับการสอนคนตัวโตให้รู้จักซักผ้า
สายป่านนี้ ท้องชักเริ่มร้องประท้วง
จำได้ว่ามีมาม่าเหลืออยู่นี่หว่า
เขาเดินกลับขึ้นมาบนห้อง
ตรงดิ่งไปลากกระทะไฟฟ้าออกมา
พร้อมกับคุ้ยหาของในตู้ไปด้วย
ท่ามกลางสายตาของไกรศรที่มองอย่างสงสัยอีกครั้ง
“บินจะทำอะไร”
“ว่ะ มึงก็ถามจริงจะต้มมาม่าอ่ะดิ
กินม่ะจะได้ทำเผื่อ”
“แต่มาม่ามันไม่มีประโยชน์นะ
เดี๋ยวพี่พาออกไปกินข้าวดีกว่า”
“ไม่เอากูอยากกินมาม่า
มาม่าต้มยำปลากระป๋องด้วยนะมึง
อร่อยจะตาย เดี๋ยวกูทำให้กิน”
ไกรศรพยายามจะห้าม
แต่ไม่ทันแล้ว...
เพราะบินจัดการฉีกซองใส่ลงในกระทะไฟฟ้าที่น้ำยังไม่ทันเดือดดี
คนที่อยู่ในวัยใช้พลังงานอย่างเขากับไอ้หน้ามึน
บิ๊กแพ็คสามซองก็น่าจะอิ่มอืดอยู่ท้อง
คนหิวคุ้ยหยิบปลากระป๋องสามแม่ครัวติดมาด้วย
รอจนน้ำเดือดแล้วเทปลากระป๋องพร้อมผงปรุงรถต้มยำกุ้งลงไป
ไม่เกินห้านาทีเมนู มาม่าต้มยำปลากระป๋อง ก็เรียบร้อยพร้อมเสิร์ฟ
บินหยิบส้อมลงมาคนเส้น
ก่อนจะม้วนแล้วยกขึ้นจ่อหน้าร่างสูง
“อ่ะ ลองดู”
“เออ พี่ว่าออกไปกินกับพี่เถอะ”
ไกรศรยังพยายามเอ่ยเลี่ยง
จนคนปรุงต้องส่งเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความรำคาญ
“อย่าเลือกมากสิวะ กูอุตส่าห์ทำแล้ว”
“แต่...”
“มึงเป็นแฟนกูรึเปล่า”
สั้น ๆ คำเดียว
แต่เล่นเอาคนที่กำลังจะปฏิเสธต้องหยุดค้าง
มะ...เมื่อกี๊
บินถามว่าอะไรนะ
เป็นแฟนบินรึเปล่า?
เล่นถามมาแบบนี้จะให้ตอบว่าอะไรได้
คนตัวโตรีบพยักหน้าหงึกหงักอย่างรวดเร็ว
“เป็นสิ พี่เป็นแฟนบิน”
“ถ้าเป็นแฟนกูก็ต้องอดทน
เอ้า อ้าปาก”
เหรอ เป็นแฟนบินต้องอดทน
...ได้สิได้
ไกรศรทำตามคำสั่งอ้าปากให้แฟนป้อนถึงที่
ก่อนจะเคี้ยวเส้นมาม่าแล้วกลืนลงไป
โดยมีคนรอลุ้นถาม
“เป็นไง”
“อร่อยดี”
“เห็นมั้ยบอกแล้ว”
บินหัวเราะเบา ๆ อย่างถูกใจ
ก่อนจะยื่นช้อนส้อมอีกคู่ไปให้ร่างสูง
ซึ่งรับของมาไว้ในมือแต่ดวงตายังคงหยุดอยู่ที่รอยยิ้มนั้น
เขาชอบเห็นบินยิ้มอย่างนี้
รอยยิ้มที่สดใส ไม่ได้แต่งเติม
นึกถึงเรื่องเมื่อคืนหลังจากที่ได้เปิดใจคุยกัน
บินไม่หนี ไม่ดื้อดึง แต่ปล่อยให้เขากอดไปอยู่เงียบ ๆ จนหลับไป
ไม่รู้ว่าบินคิดยังไง จะรู้สึกเหมือนเขารึเปล่า
ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
แค่ได้อยู่ข้าง ๆ กันในวันอาทิตย์
ทำกิจกรรมร่วมกันง่าย ๆ
ซักผ้า...กินข้าว...ด้วยกัน
น่าแปลก...
ที่มันกลับทำให้เขารู้สึกดีมากกว่าการไปเดท ไปกินร้านหรู ๆ เสียอีก
นี่ใช่มั้ยที่เขาเรียกว่า
...ความสุขของคนที่ได้เป็นแฟนกัน...
มื้ออาหารเช้าเรียบง่ายถูกจัดการหมดภายในเวลาไม่นาน
บินลูบท้องหลังจากกินอิ่มหนำสะใจเรียบร้อย
เขาเตรียมจัดการยกจานชามไปล้าง
แต่คนข้างตัวกลับรีบรั้งเอาไว้
“บินไม่ต้องเดี๋ยวพี่ทำเอง”
เป็นอีกครั้งที่โดนไกรศรแย้งของไปจากมือจนต้องขมวดคิ้วถาม
“มึงจะทำทุกอย่างเลยรึไง”
“อือ ก็บินบอกแล้ว
เป็นแฟนบินต้องอดทน”
คำอธิบายย้อนกลับทำให้บินนึกขำ
มันบ้าเปล่าวะ
ทำทุกอย่างตามคำสั่งเหมือนหมาเลย
หมาตัวใหญ่ที่เก็บมาได้
แล้วไม่รู้จะทิ้งมันยังไง
เขาเลยกลับมานั่งบนเตียง
มองใครบางคนที่กำลังล้างจานอย่างเก้ ๆ กัง ๆ
แล้วตัดสินใจเรียก
“พี่ศร”
ร่างสูงชะงักรีบหันกลับไปมองอย่างไม่เชื่อหู
ชื่อ...
บินเรียกชื่อเขาเป็นครั้งแรก
ปกติเรียกแต่มึง
แล้วทำไมถึง...
ยังไม่ทันได้สงสัย
คนที่นั่งมองอยู่กลับแบมือ
พร้อมเอ่ยประโยคต่อ
“ขอมือหน่อย”
คนถูกสั่งรีบวางหม้อลง
ยื่นมือมาวางลงบนมือของอีกคนทันที
มองนัยน์ตาคมที่พราวระยับ
ก่อนจะตามมาด้วยคำพูด
“ดีมากศรลูกพ่อ”
แล้วเสียงหัวเราะอย่างถูกใจก็ระเบิดขึ้นดังลั่น
น่านโดนเลย โดนบินแกล้งจนได้
เห็นว่าทำตามใจหน่อยเราเลยกลายเป็นหมาไปซะได้
แต่แบบนี้ไม่ได้เรียกแกล้งหรอกนะบิน
ของจริงน่ะต้องอย่างนี้
“เฮ้ย!”
บินหลาร้องสะดุ้งอย่างตกใจ
เมื่ออยู่ๆ ไกรศรกลับกระตุกมือของเขาเข้ามาใกล้
โดยไม่ทันระวังจนตัวเองตกอยู่ในวงแขนแกร่ง
“ปล่อยนะโว้ย! จะทำอะไรวะ”
คนโดนกอดโวยวายลั่น พยายามขยับดิ้นขลุกขลักแต่กลับไม่เป็นผล
น่าแปลก ทั้ง ๆ ที่ขนาดตัวพอสูสีกันแท้ ๆ เตี้ยห่างกันไม่กี่เซ็น
แต่เขากลับสะบัดตัวให้หลุดออกไปไม่ได้
“อย่าหนีสิบิน พี่แค่ขอรางวัลเอง”
“ขอมือแค่เนี้ยทำมาเป็นทวงรางวัล
โลภมากแบบนี้ แม่งเลี้ยงไม่เชื่องแล้ว
กูไม่ให้หรอกโว้ยย!”
คนคิดหนียังคงพยายามเอ่ยค้าน
ทว่าจะดิ้นอย่างไรคนตัวโตก็ยังรัดแน่น
ทั้งยังพูดคำต่อรองข้างใบหู
“แค่ขอกอดนิดหนึ่งเอง แป๊บเดียวเดี๋ยวปล่อย โอเคมั้ย”
ไม่รู้เพราะน้ำเสียงกึ่งวอนขอ
หรือเพราะดิ้นจนเริ่มเหนื่อยจึงทำให้บินสงบลง
ปล่อยตัวเองให้โดนกอดอีกครั้งเช่นเดียวกับเมื่อคืน
ยืนนิ่ง ๆ หลับตาลง
แม้จะอยู่ท่ามกลางความเงียบ
ทว่าความรู้สึกบางอย่างกลับชัดเจน
มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร
ทุกครั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของคนคนนี้
ไม่มีเหตุผล
ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
รู้แค่เพียงว่าไม่อยากจากไปไหน
ทำไม...
ความรู้สึกอุ่น ๆ ในใจแบบนี้มันคืออะไร
ใช่ที่เขาเรียกว่า
...รัก
รึเปล่า?
บินหลาเงยหน้าขึ้นมอง
สบจังหวะพอดีกับที่ร่างสูงขยับตัวก้มลงมา
ชั่วจังหวะนั่นคล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง
ที่ทำให้เขาเผลอหลับตาลง
ปล่อยให้ลมหายใจเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ
เรื่อย... เรื่อย....
กริ๊งงงงงง กริ๊งงงงงงง
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขัดจังหวะทำให้คนหลับตาอยู่เผลอลืมตา
ผงะถอยออกห่างอย่างขัด ๆ เขิน ๆ
เมื่อสำนึกได้ว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่สุดแสนล่อแหลม
แถมยังเผลอปล่อยตัวปล่อยใจไปจนเกือบยั้งไม่อยู่
“ทะ...โทรศัพท์ดัง ไม่ไปรับล่ะ”
บินเอ่ยคำพูดถามตะกุกตะกักเมื่อจับน้ำเสียงริงโทนที่ได้ยินว่าไม่ใช่ของตน
แต่อีกฝ่ายไม่ขยับ มิหนำซ้ำยังคงมองตรงมาที่ใบหน้าคมอย่างไม่วางตา
“ช่างมัน”
“รับเถอะ”
“ไม่เอา”
“งั้นกูรับเอง”
บินรีบดันคนตัวโตออกห่าง
กดรับไอโฟนที่เจ้าของจงใจเมินเฉยวางทิ้งไว้บนโต๊ะ
โดยไม่ได้มองหน้าจอว่าใครโทรมา
ทว่าทันทีที่ได้ยินเสียงจากปลายสาย
มันกลับสะกดให้เขาต้องนิ่งอึ้ง
“ฮึก...ฮืออ..พี่ศร
พี่ศรช่วยเอมมี่ด้วย...
...ปอเขาทิ้งมี่ไปแล้ว
ฮึก...เอมมี่ไม่เหลือใครแล้ว...
พี่ศร...ต้องช่วยมี่นะ...ฮือออออ”
แม้ถ้อยคำที่จะปะปนมากับเสียงสะอื้น
แต่ชื่อของใครคนหนึ่งเขากลับได้ยินชัดเจน
...เอมมี่
...ผู้หญิงที่ไกรศรเคยรัก
“อ่ะ ของมึง เอมมี่โทรมา”
บินยื่นโทรศัพท์ส่งคืนเจ้าของที่ชะงักไปเล็กน้อย
แต่ก็เอื้อมมือรับมาก่อนจะกรอกเสียงไปตามสาย
และเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรนมากขึ้นเรื่อย ๆ
“ครับ...เอมมี่...
อะไรนะ!!...
เอมมี่ใจเย็นก่อนนะ อย่าเพิ่งวู่ว่าม
ครับ...ครับ..
เดี๋ยวพี่จะรีบไปหา..
เอมมี่รอพี่ก่อนนะ...”
ไกรศรกดวางโทรศัพท์หันมาหาอีกคน
ในหัวพยายามเรียบเรียงคำพูดด้วยความลำบากใจ
“เออ บิน คือว่า...”
“ไปสิ เขาร้องไห้อยู่เป็นอะไรมากรึเปล่าก็ไม่รู้ รีบ ๆ ไปเหอะ”
คำอนุญาตที่เอ่ยขัดทำให้ไกรศรชะงัก
แต่แค่แว๊บเดียวก็พยักหน้าลง
คว้าข้าวของ รีบเปิดประตูห้อง
“งั้นพี่จะรีบกลับมานะ”
“อืม”
บินหลารับคำง่าย ๆ ก่อนอีกฝ่ายจะปิดประตูลง
เหลือแค่เขาเพียงลำพัง
เจ้าของห้องเดินกลับลงมานอนบนเตียง
ก่อนคว้าผ้าห่มขึ้นมาคลุมกาย
แปลกว่ะ
หนาวเนอะ อยู่ดี ๆ ก็ดันรู้สึกหนาวขึ้นมา
ไม่ได้เปิดพัดลมสักหน่อย
ห้องแม่งแดดก็ส่องแรงขนาดนี้
ทั้ง ๆ ที่ เมื่อกี๊...
เมื่อกี๊...
ยังรู้สึกอุ่น ๆ ในใจอยู่เลย
แต่ตอนนี้ทำไมมันถึงหนาวขนาดนี้วะ
แค่ใครบางคนไม่ได้อยู่ในห้องแค่นั้น
ทำไม...
ไม่มีเหตุผล
ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
แล้วไอ้ความรู้สึกแบบนี้
ความรู้สึกเจ็บปวดทรมานแบบนี้
มันเรียกว่า
...รัก
เหมือนกันใช่รึเปล่า?
------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
ขออภัยที่ห่างหายไปนานไม่บอกกล่าว
แถมกลับมาพร้อมความดราม่า 
เหตุผลที่หายไปนาน
หายไปไหน?
สรุปสั้น ๆ ว่า
‘ไปพักร้อน’ มาค่ะ 
ไปเติมเชื้อไฟให้ตัวเอง
เขียนซีรีย์ติดต่อมาสี่เดือนเริ่มหมดไฟ
เลยต้องเบนเข็มไปทำนู้นนี้บ้าง
ประกอบกับภาระการงานเริ่มเยอะขึ้น
และอะไรมะรุมมะตุ้มหลาย ๆ อย่าง
เลยทำให้ไม่ได้มาปั่นซีรีย์ต่อ
แต่สัญญาว่าจะปั่นภาคนี้ให้จบแน่นอนค่ะ
ขอบคุณที่ยังคงรอ ยังคอยติดตาม
เป็นกำลังใจให้เสมอ
คิดถึงทุกคนจริง ๆ ค่ะ
*กอดดดดดดด*

ดีใจที่ยังอยู่ด้วยกันนะคะ
รัก

BitterSweet