(ต่อเลยนะ)
คะน้ารีบรุดกลับไปหาทิมที่รออยู่ สีหน้าของชายหนุ่มดีขึ้นอีกเล็กน้อยด้วยฤทธิ์ยาที่ออกฤทธิ์และการพักผ่อน เขาเหน็บปืนและมีดเข้าที่ขอบกางเกง หยิบเสื้อขึ้นสะบัดแล้วสวมทับให้กับตัวเองและทิม จากนั้นก็พยุงร่างที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ประคองไปทางด้านหลังของตลาดช้าๆ
พื้นที่ของตลาดเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีทางเข้าจากด้านหน้าสองทาง และทางเข้าด้านข้างจากลานจอดรถ ตลาดถูกล้อมรอบด้วยอาคารพานิชย์ขนาบข้างซ้ายและขวา ด้านหลังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกนั้นเดิมเป็นพื้นที่กว้างที่ใช้สำหรับจอดรถ ปัจจุบันถูกขยายต่อเชื่อมกับส่วนที่สองซึ่งก็คือคอนโดที่กำลังก่อสร้างอยู่
พระจันทร์เสี้ยวเปล่งแสงสีเงินลอดผ่านรอยแตกบนหลังคา รอบๆ ตลอดในตอนนี้มืดจนแทบมองอะไรไม่เห็น ความคุ้นเคยในพื้นที่มาตั้งแต่เล็กแต่น้อยทำให้คะน้าพอจะประคับประคองทิมให้เดินไปสู่ด้านหลังตลาดได้ มีสายลมเอื่อยๆ วิ่งผ่านร่างของเขาเป็นระยะ คะน้าได้ยินเสียงกรีดร้องของดวงดาวสะท้อนก้องไปในความเวิ้งว้างที่มืดดำ เข็มนาฬิกาแห่งรัตติกาลเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างไม่เคยรีรอ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะถึงรุ่งเช้า แสงอาทิตย์ให้ทั้งคุณและโทษ สะดวกผู้หลบหนี แต่ในทีก็สะดวกกับผู้ไล่ล่าเช่นกัน
คะน้าใช้เวลานี้อย่างรอบคอบ เขาค่อยๆ ดันทิมให้ปีนป่ายขึ้นบนรั้วกำแพง มือที่เจ็บจนขยับไม่ไหวทำให้คะน้าใช้แผ่นหลังของตัวเองส่งให้อีกฝ่ายขึ้นสู่ที่สูง ทิมขยับตัวได้เชื่องช้าและเกือบพลัดตกมาหลายรอบด้วยความโรยแรงและแผลที่บอบช้ำ กระนั้นชายหนุ่มก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดของกำแพงได้สำเร็จ ทิมนั่งพักอยู่บนนั้น เพื่อพรางไม่ให้สังเกตเห็นได้ง่าย ชายหนุ่มค่อยๆ หมอบตัวลงอย่างยากลำบาก จุดสีแดงบนหัวไหล่และช่องท้องซึมขยายอาณาเขตช้าๆ แต่แล้วทิมก็ทำได้สำเร็จ
สถานการณ์ปลอดภัย ทุกอย่างปลอดโปร่งและเงียบปราศจากทุกสรรพเสียง คะน้าค่อยๆ ส่งตัวเองขึ้นสู่กำแพงทีละน้อย ตัวเขาเองก็อ่อนล้าจนแทบกระโดดปีนไม่ไหว คะน้าส่งสัญญาณให้ทิมลงจากกำแพงไปก่อนได้เลย แต่ชายหนุ่มที่รออยู่นั้นกลับยื่นมือซ้ายของตัวเองแล้วส่งมาที่เขา คะน้าส่ายหน้าปฏิเสธ หากแต่ทิมก็ดื้อแพ่งในความคิดไม่ต่างกัน
“ผมจะไม่ไปคนเดียว”
คะน้ายืนนิ่ง แหงนหน้าขึ้นสบตาคู่นั้นแล้วแย้มริมฝีปากเล็กน้อย ทิมกระตุกคิ้วแล้วกวักมือมาข้างหน้า ชายหนุ่มทั้งสองตกอยู่ในลักษณาการนี้อยู่เนิ่นนาน กระทั่งคะน้าเป็นฝ่ายปัดมือนั้นแล้วเดินมาที่กำแพงเอง เขาจะลองพยายามดูอีกครั้ง การใช้แรงของทิมช่วยพยุงจะทำให้บาดแผลของทิมเปิดตัวออก ซึ่งนั่นไม่ดีเลย คะน้าตั้งสติและกะระยะด้วยสายตา เมื่อปรับจุดหมายที่จะยืดจับได้เสถียรแล้ว เขาก็ย่อตัวลงแล้วกระโจนขึ้นสูงอีกครั้ง ในที่สุดคะน้าก็ยึดมั่นกำแพงได้สำเร็จ ที่เหลือก็เพียงแค่พยุงตัวไต่ขึ้นสู่ยอดกำแพง ทิมจ้องมองมาที่เขาพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้
ปั่งงง!!!จู่ๆ ก็เกิดเสียงดังสนั่นที่ขอบกำแพง คะน้ารู้สึกถึงแรงลมที่เฉียดฝ่ามือของตัวเองไปในระยะประชิด สายตาของเขาเห็นเศษอิฐปูนระเบิดขึ้นตรงหน้าพร้อมกับลูกกระสุนที่ค่อยๆ ร่วงลงมา คะน้ารีบปล่อยมือจากกำแพงแล้วทรุดตัวลงหมอบ มือทั้งสองกุมหัวตามสัญชาตญาณ
“พลาดไปซะได้!” เสียงสบถด้วยความหงุดหงิดดังขึ้นพร้อมกับเงาตะคุ่มของคนจำนวนสามคน คะน้าจำหนึ่งในนั้นได้เป็นอย่างดี ยามคนที่เขาเคยส่งคนเงินในวันก่อน “กะแล้วว่าพวกมึงไม่ธรรมดา ถึงขนาดล้มคนแปดคนได้ กูไม่แปลกใจเลย”
“มึงที่อยู่บนกำแพงน่ะ ไม่ต้องกระโจนไปหรอกนะ อีกฝั่งก็มีพวกกูรอรับมึงด้วยลูกปืนเหมือนกัน มึงสองตัวไปไหนไม่รอดแล้วล่ะ” พวกมันส่งเสียงแล้วหัวเราะออกมาราวกับผู้กำชัยชนะ ทิมกัดฟันแน่นส่งเสียงคำรามในลำคอแล้วตวาดออกไปด้วยท่าทางที่พร้อมสู้ทุกเมื่อ
“คิดดูให้ดี ถ้าพวกมึงจะลองดีกับกู”
คะน้าเห็นพวกมันสามคนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ก่อนที่คนหนึ่งในกลุ่มพวกมันจะตะโกนออกมาด้วยท่าทางที่ตกใจ “เหี้ยแล้วมึง นั่นมันลูกชายคุณธาดา แม่งจะพากันบรรลัยแล้วไหมล่ะ”
ช่วงเวลาที่พลั้งเผลอ คะน้าค่อยๆ อ้อมมือเข้าด้านหลังตัวเองแล้วหยิบปืนที่เหน็บไว้ที่เอว เขารีบยกขึ้นเหนี่ยวไกแล้วยิงทันที! ความที่ใช้แรงนิ้วในการเกาะกำแพงทำให้มือของเขาสั่น กระสุนนั้นจึงพลาดเป้าไปอย่างหวุดหวิด! คะน้ารีบเหนี่ยวไกปืนขึ้นอีกครั้ง แล้วออกแรงกดที่นิ้วชี้! ทว่าทุกสิ่งนั้นนิ่งเงียบ
...ลูกกระสุนในปืนนั้นถูกใช้ไปหมดเสียแล้ว!
นาทีถัดมาคะน้าถูกล็อคจากด้านหลัง มีดสั้นถูกปลดออกจากเอว รวมถึงปืนสั้นที่ถูกกระชากออกจากมือก่อนที่กระบอกของมันจะย้อนกลับมาฟาดลงบนหน้าของเขา คะน้ารู้สึกชาไปทั้งหน้า ก่อนที่ร่างกายจะรับรู้ถึงความเจ็บและกลิ่นคาวเลือดที่พุ่งขึ้นในโพรงปากในวินาทีถัดมา เขาถ่มกลิ่นแห่งความพ่ายแพ้ที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นทิ้งและเงยหน้าขึ้นสบตามันผู้นั้นอย่างไม่หวาดเกรง
“แสบนักนะมึง” มันง้างหมัดแล้วอัดเข้าที่ท้องของคะน้าอีกครั้ง คะน้าทรุดตัวงอด้วยความจุกพร้อมกับเสียงตลาดด้วยความกราดเกรี้ยวของอีกคน
“ถ้ามึงทำคนของกู กูสัญญาว่ามึงจะได้เห็นนรกที่แท้จริงแน่!!”
ทิมกระโจนลงมาจากด้านบนแล้วโถมเข้ามาทั้งตัว มันคนนั้นอัดหมัดเข้าที่ใบหน้าของทิมทันทีจนร่างสูงกลิ้งหลุนไปกับพื้น “มึงสองตัวไปจับแม่งไว้! กูจะจัดการไอ้เหี้ยนี่ก่อน”
“เฮ้ย! จะดีเหรอเฮีย ไอ้เหี้ยนี่มันสุดๆ เลยนะ ใครๆ ก็กลัวแม่ง” อีกสองคนที่เหลือส่งเสียงหวาดๆ
“แล้วมึงคิดว่าถ้าแม่งรอดไปได้ มันจะปล่อยมึงไว้หรือเปล่า! งานนี้พวกแม่งจะไม่ได้รอดสักตัว!!!” มันตวาดกลับ สองคนที่เหลือหันมามองหน้ากันเลิกลั่กเหมือนตัดสินใจทำอะไรไม่ถูก
ทิมค่อยๆ พยุงตัวขึ้นก่อนที่ร่างนั้นจะถูกตรึงไว้ตามคำสั่งของคนที่เหลือ ชายหนุ่มพยายามดิ้นสะบัดให้หลุด แต่เหมือนร่างกายตัวเองไม่ได้หลงเหลือเรี่ยวแรงมากมายพอจะทำได้ขนาดนั้น ภาพที่เห็นในสายตาของทิมคือร่างที่ขดแบบพื้นจนตัวงอโค้งของคะน้า พร้อมกับเท้าที่เตะอัดนับครั้งไม่ถ้วน ร่างกายของคะน้ากระดอนไปมาตามแต่แรงเหวี่ยงน้ำหนักจากหน้าแข้งของอีกฝ่าย
“สัตว์!!! มึงหยุดเดี๋ยวนี้นะ!!! หยุดเดี๋ยวนี้!!!! กูบอกให้หยุด!!!!!!!” ทิมกระชากตัวเองโดยไม่สนอะไรอีกต่อไป ปากก็ตะโกนส่งเสียงแผดร้องเหมือนโลกจะสิ้น ชายหนุ่มออกแรงกระทืบ ทั้งศอกทั้งเตะพัลวัน พล่ามด่าคำสบถสาบแช่งต่างๆ นานา “มึงตาย! มึงเตรียมตัวตาย!!! รอกูได้เลย!!”
“มึงอยู่ตรงนั้น! รอกู!! มึงต้องเจอกับกู!!!! เหี้ยแม่งงงง!!!!”
ทิมทั้งโหม่ง ทั้งโขกหัวตัวเอง ทั้งออกอาวุธอีกสารพัดที่ร่างกายกึ่งซากชีวิตของตัวเองจะพอทำได้ ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ คำท้าทายของทิมจุดเชื้อเพลิงให้อีกฝ่ายยิ่งฮึกเหิม ทิมออกแรงทั้งหมดที่หมีหวังจะหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่เมื่อใดๆ ที่ทำลงไปกลับไม่บังเกิดผล ปฏิกิริยาที่เหลือพอจะแสดงออกได้ถึงการไม่ยอมให้ภาพตรงหน้าเดินต่อคือน้ำตาของลูกผู้ชาย ก่อนจะตามมาด้วยหนทางสุดท้ายที่ชายหนุ่มพอจะทำได้ในเวลานี้ ทิมส่งเสียง แหบพร่า ขาดห้วง และหมดสภาพราวกับไม่ใช่ทิมที่ใครๆ เคยรู้จัก
“มึงหยุดเถอะ ได้โปรด... มึงจะทำอะไรมาทำกับกูนี่ กูไม่สู้มึงก็ได้ มึงมาลงกับกู แต่อย่าทำกับคนของกู กูขอร้องงงง หยุดเถอะ... กูขอร้อง ...กูขอร้องงง”
เสียงสั่นจะสะท้านพร้อมกับน้ำตาแห่งคนที่ได้ชื่อว่าจอมยะโสไหลออกมาอย่างไม่เหลือศักดิ์ศรีให้ทนง วงแขนที่รัดร่างของทิมมาโดยตลอดคลายตัวออกช้าๆ ไม่ใช่เพราะแรงที่ขัดขืนของทิม หากแต่เพราะท่าทางแบบนั้นที่ใครเห็นก็คงยากจะไม่รู้สึกใดๆ ทิมวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาคะน้า สองมือคว้ามาโอบกอดอย่างลืมความเจ็บปวด ชายหนุ่มเอาแผ่นหลังของตัวเองเป็นเกราะกำบังให้กับคนในวงแขนของตัวเอง ทิมโดนเตะและกระทืบซ้ำๆ เข้าที่กลางหลังและลำตัว หยดเลือดซึมออกมาจนย้อมผ้าสีขาวให้กลายเป็นสีแดง
“อย่าโทษกูล่ะ กูแค่ทำตามที่มึงขอ”
ทิมอยู่นิ่ง เขารักษาคำพูดของตัวเอง ชายหนุ่มปล่อยให้ร่างของตัวเองกระดอนไปตามแรงเหวี่ยงจากปลายเท้า ทิมไม่ได้รู้สึกเจ็บ ...ไม่ได้รู้สึกอะไรกับบาดแผลมากมาย ความรู้สึกพวกนั้นมันเล็กน้อย กระทั่งศักดิ์ศรีของตัวก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในเวลานี้ ทิมแค่รู้สึกว่าตัวเองได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพึงจะทำได้แล้ว ร่างของทิมไหวไปตามแรงกระแทกครั้งแล้วครั้งเล่า หัวของชายหนุ่มผู้ทนงตนเองหนักนาในเวลานี้กลับสยบแทบเท้าของเดรัจฉานที่ไม่มีหัวใจ มันตัวนั้นกระทืบลงบนหัวแล้วขยี้ปลายเท้าลงบนหัวของทิมช้าๆ พร้อมเสียงหัวเราะร่าอย่างปีศาจ
หากแต่อีกมุมหนึ่งของภาพที่ไม่น่ามองเหล่านั้น กลับแสดงภาพที่แตกต่าง หากแม้นใครสักคนในที่นั้นพอที่จะมีหัวใจแบบปุถุชนคนธรรมดา มนุษย์ผู้นั้นจะได้สัมผัสกับความรู้สึกอบอุ่นกว่าทุกความรู้สึกในใจ
...ทิมลูบหัวของคะน้าอย่างแผ่วเบา มือที่แข็งแกร่งค่อยๆ ปัดฝุ่นที่เปรอะเปื้อนบนผมที่ยุ่งเหยิงเหล่านั้นด้วยความรู้สึกทนุถนอม ชายหนุ่มที่เปลือกนอกแข็งกร้าวและด้านชาโน้มใบหน้าลงมาช้าๆ แล้วจูบลงกลางกระหม่อมของคนในอ้อมแขนพร้อมกับรอยยิ้มอุ่นๆ“ไม่เป็นอะไรนะ ผมอยู่นี่”
มีคนบอกว่าจุดอ่อนของผู้ที่เข้มแข็งที่สุดนั้นคือความอ่อนโยน หากได้สัมผัสแล้วนั้น แม้แต่กำแพงที่แข็งกว่าเหล็กกล้าก็กร่อนทลายได้ในพริบตา สุดท้ายแล้ว มันผู้นั้นก็หยุดการกระทำที่ต่ำช้าแล้วจ้องมองภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าด้วยความรู้สึกราวกับผู้พ่ายแพ้ปราชัย
สัตว์อสูรในร่างคนถอยกราดอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์กลับคืนมาโดยไม่ตั้งใจจนแม้แต่เจ้าตัวก็ไม่คาดคิด หากแต่คนในสถานะแบบนั้นเมื่อกระโจนขึ้นหลังเสือแล้วก็คงยากที่จะถอยกลับ มันผู้นั้นจึงหันไปออกคำสั่งกับพวกพ้องที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน
“กูเปลี่ยนใจแล้ว กูจะไม่ลงมือให้เหนื่อยอีกแล้ว กูมีวิธีที่ดีกว่านี้” มันหันมองมองทิมที่นั่งอยู่นิ่งๆ ที่เดิมแล้วเบือนหน้าไปอีกด้านอย่างไม่อยากจะมอง “จับพวกแม่งไปขังไว้ในบ้านร้างแล้วปิดทางเข้าออกทั้งหมด กูจะให้พวกมันค่อยๆ ตายไปเอง”
ที่ดินโดยรอบตลาดนั้นถูกกว้านซื้อโดยฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ภายใต้การควบคุมโดยตรงจากประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ของธาดาพิพัฒน์ ...คุณธาดา ไม่มีผู้ใดเข้ามาในสถานที่เหล่านั้นอีก ถ้าไม่ได้รับคำสั่งโดยตรงจากผู้ถือครองกรรมสิทธิ์
“แต่แบบนั้นมันก็ตายนะ แล้วไอ้เหี้ยนั่นมันจะปล่อยเราไว้เหรอ” มีคำท้วงติงออกจากปากของพรรคพวก หากแต่มันตัวนั้นไม่ได้ใส่ใจหรือสนใจอะไรมากมาย
“พวกมึงยิงกล้องวงจรปิดที่ถนนหมดแล้วใช่ไหม” ใบหน้าที่ไหวลงของสองตัวที่เหลือเรียกรอยยิ้มของผู้ออกคำสั่งขึ้นมา “งั้นพวกมึงเอามันสองตัวไปเก็บตามที่กูบอก”
“เฮีย...”
“มึงอย่าลืมสิ กูแค่ออกแรงนิดหน่อยและมันก็ไม่ถึงตาย มันสองตัวอดตายกันเองต่างหาก กูไม่ได้ฆ่าพวกแม่งสักนิด” มันผู้นั้นละสายตาจากชายสองคนที่หมดสภาพอยู่ที่พื้น แล้วหันไปพูดกับลูกน้องสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
“...ไอ้เหี้ยนั่นต่างหากที่เป็นคนฆ่าลูกชายตัวเอง”หลายนาทีถัดมา ร่างที่เหลือเพียงเศษเสี้ยวของวิญญาณทั้งสองถูกลากเข้ามาอยู่ในห้องที่ปิดตาย ว่างเปล่าและมืดสนิท มีเพียงหน้าต่างบานเล็กๆ ล้อมลูกกรงเหล็กให้พอได้อากาศจากภายนอก พวกมันล็อคประตูทางเข้าด้วยแม่กุญแจและโซ่ขนาดใหญ่ แล้วเดินลงไปสำรวจบริเวณต่างๆ ด้านล่าง เก็บเศษซากร่องรอยต่างๆ แล้วฝังไว้ในกองไม้ไหม้ๆ ที่ผุพัง พวกมันพยุงร่างของพรรคพวกคนอื่นๆ ไปทีละคน ทิมไม่ได้สนใจอะไรคนเหล่านั้นมากมาย เขามองจ้องเพียงแต่ร่างของคนในอ้อมกอดที่หายใจแผ่วจนเหมือนไม่รับรู้สิ่งใด
คะน้ารับรู้ได้ถึงแรงเขย่าตัว แต่เขาในตอนนี้รู้สึกเหนื่อยจนแทบไม่อยากจะทำอะไร ลมหายใจอ่อนล้าดูเหมือนจะผุพังไม่ต่างอะไรกับสภาพของตลาดที่ตัวเขาเองเติบโตขึ้นมา ในภวังค์เขาได้ยินเสียงของทิมเรียกชื่อเขาจนนับครั้งไม่ถ้วน รู้สึกถึงหยาดน้ำผ่าวร้อนที่หยดลงใบหน้า คะน้าต้องใช้ความพยายามอย่างหนักในการกลั้นใจลืมตาขึ้น และเผื่อความพยายามอีกนิดในการฝืนรอยยิ้มของตัวเองให้ดูเป็นธรรมชาติที่สุด
“โทษทีนะ ผมพลาดจนได้ ไม่โกรธใช่ไหม”
ทิมส่ายหน้าตัวเองไปมา คะน้าใช้กำลังที่เหลือทั้งหมดในการเอื้อมมือไปสัมผัสความอบอุ่นตรงหน้า นิ้วโป้งค่อยๆ คลี่แล้วปาดซับหยดน้ำใสๆ รอบดวงตาของคนที่ทำให้หัวใจเขากระเจิดกระเจิงได้ถึงเพียงนี้ ทิมร้องไห้แต่ไม่ได้สะอึกสะอื้นแม้แต่น้อย ผู้ชายคนนี้ยังเป็นชายหนุ่มที่ทรนงและโอหังอยู่อย่างนั้น ใบหน้าของเขานิ่งสนิทราวกับรูปปั้น คงมีเพียงแค่ดวงตาเท่านั้นที่เผยให้เห็นความเปราะบางในใจ
“พี่จะไม่เป็นไร ผมสัญญา ...ผมสัญญา”
เสียงทุ้มนั้นพร่ำถ้อยคำซ้ำๆ หลายครั้ง คะน้ายอมรับว่ามันเรียกกำลังใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด หากแต่เขารับรู้ดีว่าร่างกายนั้นมันอีกเรื่อง คะน้าในตอนนี้รู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน เขาเหนื่อย บอบช้ำสะบักสะบอม และเหมือนจะทนอะไรต่อไปไม่ไหว
คะน้าเงยหน้าขึ้นจดจำแสงสีนวลของเสี้ยวพระจันทร์ที่ทาบทอขอบฟ้า หลับตาแล้วสัมผัสถึงสายลมที่วนอยู่รอบๆ กาย ลมเย็นที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง และลมอุ่มๆ ของลมหายใจคนที่อยู่ใกล้ๆ ความมืดไม่ได้ดูน่ากลัวอย่างที่เขาเคยคาดคิด ความรักก็เช่นกัน มันทิ้งร่องรอยดีๆ จนกลายเป็นภาพความทรงจำที่เขาคงไม่อาจลืมเลือน สุขหรือทุกข์ สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนเราที่จะเลือกปรุงแต่ง
เขาค่อยๆ เติบโตขึ้น เรียนรู้ทุกสิ่งมากขึ้นด้วยมุมมองที่เปลี่ยนไป ความฝัน ความหวัง แม้จะสูญสลายไปดั่งคลื่นที่วิ่งเข้ากระทบฝั่ง แต่ก็มีคลื่นใหม่ๆ มาเสมอ ท้องฟ้าที่ดำหม่นอีกไม่นานก็จะกลายเป็นสีฟ้า ความมืดที่มองไม่เห็น สักพักก็จะถูกแทนที่ด้วยแสงสว่าง โลกใบนี้ก็เป็นอย่างนี้ การสิ้นสุดของสิ่งหนึ่ง เป็นการเริ่มต้นของอีกสิ่งเสมอ
“ผมทนได้ พี่ก็ต้องทนได้!” ทิมตวาดเสียงก้อง ร่างไหวสะเทิ้นประท้วงขึ้นไปด้วยความรู้สึกที่ถาโถม คะน้าสบตาแล้วตอบเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้ม
“แค่เหนื่อยน่ะ”
คำตอบนั้น ดูจะทำให้ทิมจะคลายความวิตกลงไปไม่น้อย ถึงแม้ว่าร่างกายตัวเองจะอ่อนล้าจนตกอยู่ในสภาพที่ไม่แตกต่าง บางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ หลายคราที่คะน้าอดแปลกใจไม่ได้ ทิมลืมความเจ็บปวดของบาดแผลที่เฉียดเงื้อมมือของมัจจุราชพวกนั้นไปได้อย่างไร ซ้ำยังฝืนร่างกายมาใส่ใจห่วงใยกับเขาจนลืมตัวเองเสมอไม่เว้นแม้กระทั่งในเวลาแบบนี้
“งั้นพักก่อน แต่สัญญาว่าจะตื่นขึ้นมาหาผม พี่ต้องสัญญา”
ทุกสิ่งเงียบ ...เงียบจนวิเวก ทั้งสายลมรอบๆ ตัว ทั้งจิตใจของตัวเอง คะน้าไม่ได้เอ่ยคำตอบใดๆ ออกไป มีเพียงรอยยิ้มบางๆ ที่ระบายขึ้นให้กับเจ้าของวงแขนที่ปกปักษ์เขาอยู่ไม่ห่าง เขารู้สึกสงบอย่างประหลาด
“สัญญาสิ ได้โปรด... รับปากกับผมก่อนว่าพี่จะไม่เป็นอะไร จะไม่ไปไหน” เสียงทุ้มของทิมยังพร่ำกังวานอยู่ในหู
อย่างกับเด็กๆ ที่ชอบงอแงเวลาที่อยากได้อะไรเลย ...แต่ก็ดีแล้วที่หมอนั่นไม่เป็นไร“สัญญา... สัญญากับผม พี่ต้องสัญญา” ทิมเขย่าตัวของเขาไปมา คะน้ายิ้ม ...ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายให้กับทิมแล้วค่อยๆ หลับตาลงด้วยความรู้สึกที่ปลดเปลื้องทุกสิ่งในใจ
...สัญญาสิ ผมอยากตอบแบบนั้นจริงๆ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผ่านไปอีกตอน ขยับเข้าใกล้ตอนจบขึ้นอีกนิด เหลืออีกประมาณ 2 ตอนก็จะจบแล้วล่ะครับ
เรียกว่าชัดเจนแล้วกันล่ะนะครับว่าใครเป็นพระเอก ถึงจะยังมีเงื่อนงำอยู่ก็เถอะ แต่ก็จัดมาซะขนาดนี้แล้วนี่นา
จากนี้ไปมาเอาใจช่วยสองคนนี้กัน อยากให้อะไรๆ ผ่านไปได้ด้วยดีไวๆ แต่งไปก็เอาใจช่วยไป
(ที่เป็นแบบนี้ได้ข่าวว่าก็ฝีมือแกเองล้วนๆ) ยิ่งใกล้จบยิ่งเข้มข้น ฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ
จริงๆ แล้วคนแต่งก็อยากสปอยล์ตอนจบมาก เพราะรู้ว่าคงครียดกับหลายตอนที่ผ่านมาน่าดู
แต่อ่านตอนต่อไปก็จะเห็นทรงแล้วล่ะครับว่าจะเป็นยังไงต่อ อยู่กันมาถึงขนาดนี้ อดทนอีกนิดนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคอมเมนต์ทุกคอมเมนต์ครับ ดีใจทุกครั้งที่เห็นคนที่คุ้นเคยกันมาทักทายกันนะ
อีกนิดเดียวแล้ว เราจะลงเรือลำเดียวกันไปถึงฝั่งเนอะ มาถึงตอนนี้ได้ก็เพราะกำลังใจจากทุกคนล่ะครับ