(ต่อครับ)
หนึ่งในสามตัวนั้นตะโกนขึ้นจนดังก้องและคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็หยิบมีดสั้นขึ้นมาทันที มันตัวนั้นเป่าลมหายใจลงบนคมมีดแล้วเช็ดกับขอบกางเกงมอๆ ของตัวเอง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้คะน้าไม่อาจทนอีกต่อไป เขาออกแรงเต็มที่กับหมัดของตัวเองที่ซัดลงไปกลางหน้าของขี้ยาคนที่เหลือ ก่อนจะถีบซ้ำให้ไปชนกับสามตัวที่ยืนด้วยความเจ็บปวดที่หัวเข่าจนล้มพังพาบไป คนในชุดยามนั่นจึงละจากทิมแล้วหันมาสนใจที่เขาทันที!!
คะน้าหลบคมมีดที่ฟันเข้าหาตัวเขาด้วยความระมัดระวัง อีกทั้งก็พยายามหาจังหวะสอยกลับอีกสองคนที่เหลือ เขาหลบมีดแต่ก็พลาดโดนหมัดเข้าจังๆ ที่ท้อง คะน้าจุกจนตัวงอ มันคนที่ถือมีดง้างของแหลมขึ้นแล้วจะปักลงที่กลางหลัง แต่ทันใดนั้นร่างของมันก็หยุดนิ่งเหมือนถูกตรึง!
แม้ทิมจะถูกตีที่มือขวาจนเจ็บหนักแต่แขนทั้งสองข้างและมือซ้ายของชายหนุ่มนั้นยังใช้การได้ดี ทิมล็อคลำคอของคนที่ถือมืดด้วยท่อนแขนทั้งสองข้าง ใบหน้าของมันคนนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยเลือดที่คั่ง ดวงตาที่เคยฮึกเหิมของมันบัดนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว สายตาของทิมดูนิ่งกว่าทุกครั้งที่คะน้าเคยเห็น วงแขนทั้งสองข้างของทิมนั้นค่อยๆ เบียดรัดแน่นขึ้นพร้อมกับค่อยๆ เริ่มขยับตัวสวนทางกัน ทันใดนั้น มือซ้ายของทิมก็กระชากหัวของมันบิดอีกทาง!
...มีเสียงดังกร๊อก! ร่างในมือของทิมร่วงลงทันทีพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง ทุกอย่างรวดเร็วจนแม้แต่อีกคนที่เหลือหรือแม้แต่ตัวคะน้าเองก็มองตามแทบไม่ทัน
ไม่ปล่อยเวลาผ่านไปแม้แต่นาที ทิมย่อตัวลงอย่างเป็นปราดเปรียว หยิบมีดด้วยมือซ้ายแล้วยกขึ้นฟันใส่คนสุดท้ายที่ยังยืนอยู่ อารามตกใจ มันคนนั้นยกแขนตัวเองขึ้นกำบัง คมมีดจึงเสียดถากเป็นทางยาวสีแดงพร้อมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บร้าว ทิมยิงหมัดซ้ายที่ถือมีดเข้ากระแทกหน้ามันด้วยความแรงที่ไม่ต่างกับมือขวาที่ตัวเองถนัด ร่างนั้นล้มลงทันที ทิมยกเท้าขึ้นทั้งเตะไปบนร่างและกระทืบนับครั้งไม่ถ้วนจนร่างนั้นสลบไป ชายหนุ่มรอบคอบพอจะตามจัดการกับคนที่เหลือทั้งหมดจนสลบ ก่อนจะทรุดเข่าด้วยอาการหอบ
“ห้า-สาม ตามที่ตกลง”
คะน้าก็ตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกัน สะบักสะบอมและบอบช้ำไปทั่วทั้งตัวด้วยความรู้สึกเหมือนกับเพิ่งรอดมาจากสนามรบ เขาทั้งเหนื่อยและหอบจนเจียนหมดแรง คิดไม่ถึงว่าคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ จะมีลูกบ้าดีเดือดลุกขึ้นมาสู้กับคนแปดคนทั้งที่มีแค่ตัวคนเดียว
“กลับมาทำไม”
ทิมหันมาถามด้วยเสียงที่แหบและแห้ง คะน้าส่ายหน้าไม่คิดจะโต้ตอบอะไรให้ได้ความในเวลานี้ เมื่อเห็นว่าไม่มีท่าทีใดๆ เฉกเช่นที่ผ่านมา ผู้ถามก็ก้มหน้าสำรวจข้อมือขวาของตัวเองต่อ หากแต่ในความนิ่งเฉยนั้นมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในความรู้สึกของคะน้าแน่นอน ผิดเพียงแต่ในตอนนี้หัวใจของคะน้ายังเต้นไม่ปกติกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีใครถึงขั้นเสียชีวิตหรือเปล่า แต่คิดว่าเพียงแต่เจ็บปางตาย แต่ถ้าไม่เป็นเช่นความคิดนั้น เขาและทิมจะกลายเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนหรือเปล่า ต้องติดคุกไหม แล้วเขาควรทำอะไรต่อไปดี
“รีบเถอะ ก่อนที่พวกมันที่เหลือจะมาเจอ”
เสียงของทิมดึงเขาให้ออกจากภวังค์อีกครั้ง ทิมลุกขึ้นแล้วหันมาสบตาของคะน้า เขาหลบสายตาคู่นั้นทันทีแล้วจงใจลุกขึ้นยืนราวกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน คะน้ายืนนิ่ง ทิมเองก็เช่นกัน คล้ายกับมีคำพูดและความรู้สึกมากมายที่ต่างฝ่ายต่างต้องการจะบอกอีกคนให้ได้รับรู้ หากแต่แล้วทั้งคู่ก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ อยู่แบบนั้น วินาทีถัดมา ทิมก็เดินเข้ามาหาเขา จ้องมาองลึกลงไปในดวงตา ...คะน้าไม่อยากเห็นสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นเลย
แต่ทันใดนั้นเอง! ทิมก็กระแทกเข้ามาที่ลำตัวของคะน้าจนร่างเขาเซไปด้านข้าง!
คนที่ตัวสูงกว่าเบี่ยงตัวแล้วกลับมายืนเผชิญหน้ากับเขาเต็มตา ในส่วนลึกอันสับสนและเวิ้งว้างนั้นห่างไกลจากสำนึกตื่นตัว คะน้าได้ยินเสียงลูกปืนที่แหวกมาในอากาศ เสียงนั้นดังขึ้นแทบจะพร้อมกับเสียงร้องเจ็บปวดโหยหวนจากคนตรงหน้า เขาจ้องมองหน้าอกของทิม มีจุดเล็กๆ สีแดงค่อยๆ ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว วินาทีถัดมาแผ่นอกนั้นก็ทรุดลงพร้อมกับร่างที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ทิมพยายามสะกดเสียงตะโกนร้องด้วยการกัดฟันของตัวเองแน่น ร่างสูงนั้นยกอุ้งมือจิกขยุ้มลงที่บริเวณใกล้หัวไหล่ข้างซ้ายซึ่งไม่ห่างจากหัวใจ
ทุกอย่างอื้ออึ้ง คะน้าได้ยินเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร บางทีมันอาจจะเป็นเสียงของเขาเอง ร่างกายของคะน้ากระโจนไปข้างหน้าราวกับสัตว์ป่า สองมือของเขากระหน่ำลงบนใบหน้าของคนที่ถือปืนอย่างควบคุมไม่ได้ ...สิบ ...ยี่สิบ ...หรือบางทีอาจจะห้าสิบหมัด ร่างนั้นส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เจ็บรึ? เทียบได้กับสิ่งที่มันเพิ่งทำลงไปไหม?คะน้ากระชากกระบอกสีดำออกจากมือของผู้ร้าย เขาพลิกปืนกลับแล้วกระหน่ำฟาดลงบนหน้าของสัตว์ชั่วตัวนั้น หนักขึ้นและแรงขึ้นราวกับจะให้สิ้นพลังทั้งหมดที่ตัวเองมี กระทั่งรับรู้ถึงสัมผัสของแรงเขย่าเบาๆ บนบ่าพร้อมกับเสียงทุ้มที่ร้องเรียกชื่อเขา คะน้าหยุดกำปั้นของตัวเองในอากาศ เป็นครั้งแรกที่เขามองภาพคนที่คร่อมอยู่ ร่างสิ้นสตินั้นบอบช้ำไปด้วยรอยหมัดจนจำโครงหน้าเดิมแทบจะไม่ได้
“พอแล้วมั๊ง” ทิมส่งเสียงปรามเบาๆ คะน้าหันเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ย่อตัวอยู่ข้างๆ พร้อมกับใบหน้าที่ยังเหยเกเพราะความเจ็บปวด ทิมค่อยๆ แค่นริมฝีปากของตัวเองยกขึ้น รอยยิ้มนั้นเหมือนแสงแดดอ่อนๆ ที่อบอุ่น หากแต่อะไรบางอย่างในใจของคะน้าในตอนนี้นั้นหวั่นไหวจนน่ารำคาญ เขาจึงส่งเสียงแข็งกลับไป
“ไม่รักชีวิตตัวเองบ้างเลยหรือไง”
คนฟังไม่ได้ตอบคำถามอะไรแต่กลับมีเสียงกลั้วหัวเราะน้อยๆ ดังขึ้นในลำคอ กระทั่งในเวลาแบบนี้ ทิมก็ยังมีกระจิตกระใจฉีกยิ้มร่าโชว์ฟันที่เรียงขาวครบทุกซี่ ใบหน้าที่บอบช้ำจนดูยุ่งเหยิงยังคงเปื้อนไปด้วยความทะเล้นยียวนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และแปลกที่รอยยิ้มกวนๆ นั้นกลับทำให้ดวงตาของคะน้ารู้สึกรื้นขึ้นมา
“เจ็บไหม?” คะน้าเอื้อมมือไปสัมผัสบนไหล่ซ้ายของคนที่นอนอยู่แล้วแตะเบาๆ ทิมทำหน้าเหยเก สะดุ้งตัวเล็กน้อยด้วยความเจ็บตามสัญชาตญาณ แต่เพียงเสี้ยววินาทีก็ฝืนกลับมาทำหน้าตายเหมือนไม่รู้จักความเจ็บปวด
“ถามอย่างกับว่าโดนยุงกัดมา นี่มันกระสุนปืนนะ”
“อย่าพูดเล่นได้ไหม” คะน้ารู้สึกวิตกผสมปนเปไปกับความประหลาดใจ เขาไม่คาดคิดหรือเตรียมใจกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งสิ้นสุดลงไปเมื่อไม่กี่นาทีนี้มาก่อนเลย ทั้งเรื่องที่ทิมโดนยิง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เอาตัวเองเข้ามาบังลูกกระสุนไม่ให้โดนเขา ...นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ ในริมฝีปากนั้นแย้มขึ้น คนที่เลือดซึมสบตานิ่ง ดวงตาคู่นั้นฉายชัดด้วยความรู้สึกบางอย่างที่แรงกล้า
“คงไม่ได้หรอก เพราะผมยังอยากเห็นพี่ยิ้มได้ตลอดเวลาแม้ในเวลาที่เจออะไรหนักๆ น่ะสิ”
คำตอบนั้นทำให้คะน้าอึ้งไปชั่วขณะ แค่อีกนิดเดียว ...อีกนิดเดียวเท่านั้นกำแพงแห่งความหมางเมินที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากก็จะกร่อนลงด้วยคำพูดและการกระทำที่ตรงกันข้ามจากวันก่อนราวกับคนละคน คะน้าไม่รู้ว่าคนๆ นี้กำลังเล่นตลกอะไรกับเกมที่สนุกสนานซึ่งเจ้าตัวสร้างขึ้นมาอยู่ ไม่รู้แม้แต่เหตุผลอะไรสักอย่างกับสิ่งที่ทิมทำลงไปตลอดมา สิ่งไหนจริงและสิ่งไหนเท็จคะน้าแยกไม่ออก มีหลายคนบอกว่าเขาเป็นคนไว้ใจคนมากเกินไป ซื่อเกินไป ซื่อจนเหมือนคนโง่ ...บางที เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้น
“ทิม...”
“ครับผม”
คำตอบสั้นๆ รอยยิ้มกวนและดวงตาที่ฉายแววแห่งความรู้สึกอ่อนโยนแบบไม่ปิดบังคู่นั้น มันทำให้หัวใจของคะน้ารู้สึกคึกโครมขึ้นมาอย่างประหลาด เขารู้ตัวทุกขณะ แต่เขาพยายามจะฝืนมันไว้ ไม่อยากกลับไปเป็นตัวตลกซ้ำซากให้ใครต่อใครหัวเราะเยาะด้วยความเวทนาอีกแล้ว แต่ความรู้สึกบางอย่าง อะไรบางอย่างที่เขาก็ไม่เข้าใจและอธิบายไม่ถูกมันเรียกร้องเขาให้เดินกลับไปหาวังวนเดิมๆ ลางสังหรณ์หรือเปล่า? บางทีอาจจะเป็นสัญชาตญาณที่บอกแบบนั้น หรือจริงๆ แล้ว ...มันอาจจะเป็นแค่ความโง่ที่ไม่จดจำบทเรียนในอดีตที่แสนเจ็บปวด
“ไอ้บ้าเอ้ย!”
คะน้าสบถออกมาโดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าจะบริภาษใคร ด่าตัวเขาเองที่โง่ซ้ำซาก หรือด่าทิมที่ไม่รู้จักห่วงตัวเอง บางที อาจจะพาลด่าพระเจ้าที่ทำให้เขาต้องมาเจอะเจอกับอะไรแบบนี้มั๊ง ...ทิมยิ้ม เป็นรอยยิ้มกวนประสาทแบบที่เจ้าตัวถนัดถนี่ คนๆ นี้ทำอะไรเอาแต่ความพึงพอใจของตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่เคยกลัวใคร ไม่แคร์อะไร ไม่คิดหน้าคิดหลัง และไม่เคยคาดเดาได้เลย
ท่ามกลางเศษซากแห่งความสิ้นสูญและคนร้ายแปดคนที่นอนพังพาบหมดสภาพอยู่บนพื้น
ทิมจูบเขา!!! จูบด้วยความรู้สึกที่อ่อนโยน ทะนุถนอม และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่มีความหมายมากมาย วงแขนนั้นโอบคะน้าไว้แนบแน่นจนไม่มีช่องว่างที่จะให้แม้แต่อากาศแทรกตัว หยดเลือดของทิมถ่ายเทและซึมผ่านผืนผ้าจนสัมผัสกับผิวกาย เมื่อฝืนออกแรง ทิมก็ทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บจากบาดแผลตรงหัวไหล่ กระนั้นก็ยังยิ้มแล้วส่งสายตาพราว แววตาคู่นั้นทำให้คะน้าสั่น ...สั่นเพราะความหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่าง เขากำลังกลัวหัวใจตัวเอง
“โคตรคิดถึงเลย”
“ไอ้เหี้ยเอ้ย!!!”
นั่นคือการตอบรับของคะน้า เขาด่า ...ด่าเพราะไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอย่างไรกับภาพที่ซ้อนทับระหว่างเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดกับสิ่งที่เห็นตรงหน้าในตอนนี้ เขาด่า ...จะด่าให้แรงและเจ็บแสบกว่านี้อีกร้อยพันเท่าด้วยซ้ำกับสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเป็นตายพอกัน และให้รุนแรงเป็นล้านเท่าให้กับตัวเองที่ปล่อยให้ความรู้สึกแบบเดิมๆ กลับมา ในตอนนี้คะน้าทั้งเชื่อและไม่เชื่อเจ้าของรอยยิ้มนั้น และสิ่งหนึ่งที่เขาเพิ่งรับรู้ก็คือไม่ว่าจะผ่านมาเนิ่นนานแค่ไหน วิ่งหนีเท่าไหร่ หรือพยายามจะลืมอย่างไร สุดท้าย เขาก็วิงวนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นที่ความรู้สึกเดิม
ผมไม่รู้ว่ามันเป็นคนดีหรือเป็นคนเลวกันแน่ แต่พระเจ้า... ให้ตายเถอะ! ผมโคตรรักมันเลยชั่วเวลาที่ความสับสนโรมรันในความคิดของคะน้า อยู่ๆ ทิมก็ดึงกระชากเขาให้ล้มลง คะน้าร้องโอยด้วยความตกใจ แต่ก็ชะงักค้างกับเสียงปะทุระเบิดตัวของอะไรบางอย่างที่ปะทุระเบิดที่ด้านหลัง
...คะน้ารู้สึกยะเยือกกับเสี้ยววินาทีที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด เขาเหลียวไปมองมองเศษไม้เล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากตัว มันแตกสลายย่อยยับ สิ่งที่ตามมาคือกลิ่นไหม้ของดินปืนในอากาศ ทั้งหมดที่เขาทำนั้นเกิดในช่วงเวลาไม่ถึงวินาที คะน้าย้อนสายตากลับไปที่ตรงหน้าแล้วชะงักค้าง มันผู้นั้นฟื้นขึ้น!!! เขี้ยวขาวๆ ที่กลบไปด้วยเลือดกำลังส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น มันถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วค่อยๆ พยุงยกแขนที่ถือปืนขึ้นทั้งที่ยังสั่นๆ
“มึงอย่าคิดว่าจะรอด กูไม่ปล่อยมึงไว้ให้บนหิ้งหรอก” มันจ้องมองมาที่คะน้าแล้วเค้นหัวเราะอย่างเลือดเย็น ก่อนจะสะบัดสายตาไปที่ทิมแล้วเยาะขัน รอยยิ้มและน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความสนุก “แม่งเป็นผัวเมียกันสินะ กูเห็นใจมึงสองตัวจริงๆ ไม่อยากพรากให้จากกันเลย”
“แต่เอาตรงๆ เลย กูขยะแขยงพวกเกย์ว่ะ กูเลยจะเป่ามึงสองตัวให้ไปอยู่ในนรกด้วยกัน มึงได้อยู่ด้วยกันต่อ ส่วนกูก็ได้อย่างที่ต้องการ วิน - วิน” เสียงระเบิดหัวเราะดังขึ้น พร้อมกับที่คะน้าได้ยินเสียงแหวกมาในอากาศ!
จังหวะนั้น ทิมหมุนตัวอย่างรวดเร็วเหมือนจรวด เพียงพริบตาคะน้าก็คะมำไปกองอยู่แนบพื้นด้วยความงง ก่อนจะรู้สึกถึงแรงบีบบบนหัวไหล่ตัวเองที่แน่นเหมือนจะป่นให้เป็นผง เลือดสีแดงข้นที่ทะลักออกจากช่องท้องคนที่นอนทับอยู่จนเปรอะไปทั้งตัวเขาพร้อมกับเสียงแผดของทิมนั้นถูกเค้นออกมาจากลำคอจนดังสนั่น มันแหบและแห้งจนไม่ใช่เสียงของมนุษย์
อีกครั้งแล้วที่ทิมเอาตัวเองมาบังลูกกระสุนให้กับเขา! ทั้งๆ ที่ตัวเองก็บาดเจ็บขนาดนี้ นี่หรือคือสิ่งที่ไม่เคยเห็นค่าในสายตาแบบที่เจ้าตัวบอก? นี่หรือคือสิ่งที่คนหลอกใช้กันมาตลอดเขาทำต่อกัน?
ไอ้บ้าเอ้ย! ไอ้ทิม! ทำไมมึงเป็นคนแบบนี้! มึงนี่มัน...
...มึงมันคนขี้โกหก ...มึงโกหกหน้าตาย!!!
จากนี้ กูจะไม่เชื่อไม่ฟังคำพูดมึงอีกต่อไปแล้ว กูไม่สนอีกแล้วว่ามึงทำบ้าอะไรมาแล้วจะทำอะไรอีก กูจะเชื่อตัวกูเองเท่านั้น กูจะฟังเสียงของหัวใจกูเอง!ร่างกายของทิมสั่นสะเทือนหวั่นไหว ก่อนแรงบีบบนหัวไหล่ของคะน้าจะคลายตัวออก ทิมทิ้งตัวลงนอนหงายอยู่บนพื้นที่สกปรก บิดเร่าเหมือนกำลังถูกสุมอยู่บนกองไฟที่ร้อนดั่งนรกก่อนจะเหยียดเกร็งจนตัวค้าง ทิมหอบจนสะท้านก่อนจะฝืนขยับใบหน้าหันกลับมามองที่คะน้าด้วยจังหวะที่กระตุก เสียงที่เบาจนแทบไม่ต่างกับอากาศเสียดแทรกขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกมึนคล้ายกับคนที่ถูกตีหัวของคะน้า
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
เขาไม่ได้ตอบอะไรกลับไป หากแต่สายตาคู่นั้นก็สำรวจทั่วร่างกายของคะน้าอย่างรอบคอบแล้วยิ้มยวนขึ้นมา ในความใกล้ชิด ทิมเอื้อมมือขึ้นมาลูบแก้มคะน้าเบาๆ แล้วทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“...เจ็บเหมือนถูกยุงกัดเลยว่ะพี่”
ดวงตาของทิมกำลังยิ้ม และรอยยิ้มนั้นกำลังลามลงมาถึงริมฝีปากที่แห้งผากนั้น ดวงตาของคะน้ามองเห็นรอยยิ้มที่ค่อยๆ จุดขึ้นเพื่อทดแทนร่องรอยของความเจ็บปวดบนใบหน้านั้น เป็นรอยยิ้มที่เงียบสงบ
...แล้วทิมก็หลับตาคะน้าตะโกนเรียกชื่อของทิมอย่างคลุ้มคลั่ง เขาพลาดเองที่ยั้งมือกับคนชั่วๆ แบบนั้นจนมันย้อนกลับมาทำสิ่งที่เขาไม่มีวันอภัยให้ได้เช่นนี้ ...แต่มันจะไม่มีอีกแล้ว! แรงมาแค่ไหน เขาจะคืนกลับให้สองเท่า!!!
“มันคงรักมึงมากนะ ถึงเอาตัวเองมาบังกระสุนให้สองทีติดๆ แม่งคงอยากเป็นพระเอกสินะ” มันเย้ยเยาะแล้วหัวเราะร่า “แต่มึงไม่ต้องเสียใจไป เดี๋ยวมึงจะได้ตามมันไปติดๆ นั่นล่ะ”
กำแพงแห่งความสำรวมและอดกลั้นอดทนของคะน้าปริร้าวแล้วถล่มลงมาในที่สุด เขาในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาบ้าที่พร้อมจะขย้ำทุกอย่างโดยไม่สนว่าหน้าไหนและไม่เกรงกลัวอะไรแม้แต่ชีวิต คะน้าโถมตัวเข้าหามันอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปกระชากคอแล้วอัดหมัดใส่ไอ้สารเลวตัวนั้นเต็มกำลัง ครั้งแรกที่บนดั้งจมูก เขารู้สึกเหมือนมีเสียงแตกของกระดูกอีกฝ่ายติดอยู่ที่ปลายกำปั้น
...มันยังน้อยไป!คะน้าอัดซ้ำลงไปทีเดิมด้วยน้ำหนักที่ไม่ลดลงจนร่างที่อยู่ในมือนั้นเซและร้องด้วยเสียงที่โหยหวน
...ยังไม่พอ!คะน้ากระชากกระบอกปืนสีดำมาจากมืออีกฝ่าย เหนี่ยวไกอย่างรวดเร็วแล้วปล่อยลูกกระสุนออกมาด้วยเสียงที่ดังเท่ากับเสียงหวีดของสายลม ร่างนั้นเหยเกและบิดเร่าด้วยความเจ็บปวดแล้วทรุดลงไปนอนนิ่งไปในทันที จังหวะนั้น เขารู้สึกถึงอะไรบางอย่าง คะน้าสะดุ้งชะงักงัน ผิวกายของเขาสัมผัสกับของเหลวบางอย่างที่กระเด็นขึ้นมาบนใบหน้า จมูกเริ่มได้กลิ่นคาวของเลือดฉุน เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่คะน้าเพิ่งจะรับรู้ถึงหยดน้ำตามากมายของตัวเองที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
นาทีนั้นเองที่ทุกอย่างนิ่งสนิท เขาปล่อยมือทั้งสองลงข้างลำตัวพร้อมๆ กับสติที่เริ่มกลับมา ผละจากร่างสะบักสะบอมที่หมดสภาพอยู่ที่พื้นแล้วสะเปะสะปะย้อนกลับไปหาทิมที่นอนขดตัวด้วยลมหายใจที่รวยริน คะน้าย่อตัวนั่งลงข้างๆ เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าที่คุ้นเคย ใจหายเหมือนโลกทั้งใบถล่มทลายลงตรงหน้า ดวงตาสีดำที่เคยเป็นประกายวาวหยอกล้อกลับดูมืดสนิท ไม่มีรอยยิ้มหรือคำพูดยียวนแบบที่เจ้าตัวชอบพูดจนเป็นนิสัย ทุกอย่างมันพร่าเลือน ที่เห็นชัดเจนเพียงสิ่งเดียวคือสีแดงขนาดใหญ่ที่เพิ่มมาอีกจุดที่บริเวณท้อง เลือดของทิมค่อยๆ ย้อมไปบนพื้นจนกลายเป็นสีชาด
มนุษย์เรามักไม่เห็นค่าของเวลา คิดว่ามันเดินช้าและมีมากมายเหลือเฟือจนใช้ไม่หมด เราหลงลืมพันธะสัญญาแห่งโชคชะตาที่ผูกไว้อยู่บนเส้นด้ายบางๆ นั้นและใช้เวลาอย่างสูญเปล่าให้กับเรื่องที่ไม่ควรทำไปมากมาย เราลืมว่าทุกคนต่างมีเวลาที่จำกัด เราใช้ชีวิตอย่างประมาท ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าในวินาทีข้างหน้าบนเส้นด้ายบางๆ นั้นจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ...เราไม่เคยรู้เลย
มือที่เปื้อนเลือดของคะน้าโอบร่างที่รวยรินนั้นขึ้นกอดแนบอก เนื้อตัวของเขาสั่นเทาด้วยความไม่เชื่อไม่ยอมรับ ความหวังและศรัทธาในใจปรปักษ์กับความจริงตรงหน้าอย่างแข็งขืน ทุกอย่างเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เข็มนาฬิกาของบางคนกำลังหยุดนิ่ง ...เป็นความนิ่งที่ดูเหมือนกัลปวสาน
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฝากเพลงไว้ให้ฟังกันครับ หลายวันก่อนนี้เพิ่งจะเคยได้ยิน(เชยได้อีก)
ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่ามันตรงกับสามตัวละครหลัก คะน้า ทิม ตุล ในช่วงที่ผ่านมา
เลยแปะลิงค์ไว้เผื่อจะมีคนอยากฟังกันเล่นๆ ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=nfMtC4kRpXwขอบคุณสำหรับทุกๆ คนที่ติดตามกัน ทุกๆ คอมเมนต์ที่อยู่เป็นเพื่อนและให้กำลังใจกันครับ
ถ้าลงสปีดประมาณนี้ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะจบภายในกลางเดือนมีนาคมนี้แน่นอนครับ
ปล. ถ้ามีคำผิดเยอะ หรืออ่านตอนไหนแล้วงงๆ ต้องขอโทษด้วยนะครับ สดๆ ร้อนๆ ไม่ได้อ่านทวนเลย