(ต่อครับๆ)
“ถ้าเป็นพี่ พี่จะรู้สึกยังไง ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นคนแรกของพี่”คะน้าชะงักอึ้งไป ดวงตาเบิกกว้างมองผู้หญิงตรงหน้า ในใจรู้สึกหวิวขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้เพราะความอ่อนล้าจากการต่อสู้หรืออะไร แต่จู่ๆ ก็เหมือนเรี่ยวแรงที่มีมันจะหมดเอาเสียดื้อๆ หายใจติดๆ ขัดๆ ...ไม่สิ เขาลืมหายใจไปด้วยซ้ำ ...นี่เขากำลังฟังเรื่องอะไรอยู่?
“ว่ายังไงล่ะ รับได้ไหม กับคนที่ภาพลักษณ์แสนดีหนักหนาในสายตาแกน่ะ หรือคนเป็นเกย์เขาไม่ถือกัน จริงสิ ผู้ชายชอบบอกว่าไม่มีอะไรสึกหรอนี่ ผู้ชายจะมาสนใจอะไรกับผู้หญิง แกไม่ใช่ผู้หญิง! แกเป็นเกย์! เป็นพวกจิตวิปริต! แกจะสนใจอะไร!” แนนจ้องหน้าด้วยดวงตาเขม็ง รอยยิ้มเหยียดหยันฉายชัดบนหน้าที่เปรอะไปด้วยน้ำตา คะน้านิ่ง ...นิ่งไปเนิ่นนานเหมือนทบทวนเรื่องราวทุกอย่างในความคิด แต่เพียงครู่เดียวชายหนุ่มก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยเสียงเรียบๆ แบบปกติ
“คาดหวังอะไรกับการมาพูดแบบนี้”
แนนมีสีหน้าชะงักไปเล็กน้อย กระนั้นหญิงสาวก็สู้ฝืนใจพูดเรียกร้องในสิทธิที่ตนเองคิดว่าควรจะได้รับต่อ “นั่นสินะ มันไม่มีอะไรให้หวังได้อยู่แล้ว จบแล้วก็จบกันไป ผู้ชายทุกคนก็แบบนี้แหละ ฉวยโอกาส เอาแต่ได้”
“แล้วน้องคิดว่าพี่ควรจะทำยังไง ให้วิ่งฟูมฟายไปร้องไห้แล้วรับไม่ได้กับการไม่ได้เป็นคนแรกของคนที่รักแบบนั้นเหรอ หรือจะให้พี่ลุกขึ้นมาตีอกชกหัวแล้วก็ขอเลิกราเพราะไม่บริสุทธิ์ผุดผ่องแบบนั้นใช่ไหม”
“แนน... พี่เป็นผู้ชายนะ แต่ถึงพี่เกิดเป็นผู้หญิง พี่ก็คิดว่าเหตุผลที่ว่ามานี่ มันไม่งี่เง่าไปหน่อยเหรอ?” คะน้าถอนหายใจหนักๆ แล้วไหวหน้าไปมา
“อีกอย่างนะ... ขอโทษที่พี่ขอถามตรงๆ”
“ครั้งแรกที่ว่า... ก็ไม่มีการเมาจริงๆ ใช่ไหม?”สิ้นคำหญิงสาวก็เบิกตากว้างแล้วนิ่งเงียบ แนนนิ่งอยู่สักพักก็ระเบิดเสียงหัวเราะใส ดวงตาที่เอ่อไปด้วยหยดน้ำใสๆ กลับมาเต็มเปี่ยมไปด้วยจริตเล่ห์แพรวพราว
“ถึงได้บอกไง ...ว่าพี่ไม่ใช่คนโง่”
“แล้วไงคะ ในเมื่อของที่แนนอยากได้ แนนก็ต้องได้ แนนไม่ถือหรอกค่ะว่าจะด้วยวิธีการไหน แต่แนนต้องได้ และจะบอกไว้เลยนะคะว่าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ แนนจะไม่มีวันรามือ คนอย่างพี่น่ะ มันเป็นสุภาพบุรุษ ให้ตายพี่ก็ทำอะไรผู้หญิงไม่ลงหรอก” หญิงสาวหัวเราะขำ คะน้ารู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ จริงอย่างที่เธอพูด แม้ว่าจะเป็นคนที่ดูร้ายกาจแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ทำอะไรเธอไม่ลงจริงๆ
“...เสียดายนะ น่าจะเป็นผู้ชาย” ร่างบางเอื้อมมือมาลูบหน้าคะน้าสักพักก็ผลักออก
“เพราะผู้ชายดีๆ น่ะ มันหาได้ยากเหลือเกินไงล่ะ โทษกันไม่ได้หรอกนะ ของดีๆ มันก็หายาก ไอ้ที่ดีๆ น่ะก็กินกันเองซะหมด ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ถึงต้องเป็นแบบนี้ไง ต้องแรงๆ จะมาอ้อยสร้อยเนี่ย ไม่ทันกินหรอก แล้วรู้อะไรไหม เรื่องพวกนี้ แนนไม่ถือหรอกค่ะ”
เสียงกระแทกกำแพงดังสนั่นขึ้นที่ข้างหูของหญิงสาวทันที แนนอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง และสักพักร่างเล็กๆ ของเธอก็ไหวสั่นด้วยความกลัว หยดน้ำเล็กๆ เอ่อชื้นขึ้นมาและเพียงเสี้ยววินาทีมันก็ทิ้งตัวลงมาอย่างพร่างพรู กำปั้นของคะน้าห่างจากใบหูของหญิงสาวนับเป็นเซนติเมตร
“เป็นผู้หญิงอะไรทำไมพูดจาแบบนี้” ชายหนุ่มสบตามองหญิงสาวด้วยใบหน้าที่โกรธจัดจนน่ากลัว
“รู้ไหม ว่ามันไม่น่ารัก!!!”สีหน้าของแนนดูจะอึ้งและตกใจกว่าเดิม ...กว่าเดิมมากๆ ราวกับร่างกายทั้งร่างถูกจับสต๊าฟไว้จนแข็งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง แต่คะน้าไม่หยุดอยู่แค่นั้น ชายหนุ่มพล่ามยาวด้วยความรู้สึกอดกลั้นมาเนิ่นนาน
“ทำไมถึงทำตัวไม่มีคุณค่า เกิดมาเป็นผู้หญิงและก็เป็นคนสวยมากแท้ๆ น้องไม่รู้ตัวเหรอว่าคนแบบน้องตัวเองเป็นเหมือนกับคนในฝันของผู้ชายตั้งกี่คน ทำไมถึงหมิ่นตัวเองแบบนี้ ไม่รู้จักรักนวลสงวนตัว แค่กินเหล้าเมามายก็ว่าแย่แล้ว แล้วยังจะมาพูดเรื่องที่ไปมีอะไรกับใครเขาได้หน้าตาเฉยอีก มีจริงหรือไม่มีจริงพี่ก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เคยคิดไหมว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่น้องมาได้ยิน ท่านจะเอาหน้าไปไว้ไหน เราน่ะเป็นผู้หญิงนะ! บ้าเหรอไง!!”
“แล้วไหนจะที่ชอบคุยหนุงหนิงกับผู้ชายอีก ไม่รู้จักวางเนื้อวางตัวเลย นี่ยังไม่นับกับเรื่องแต่งเนื้อแต่งตัว เนี่ย! ดูสิครับ ทำไมนุ่งสั้นแบบนี้ แล้วจะเดินจะทำอะไรก็ไม่รู้จักระวังเลย รู้ไหมว่าเวลาเดินแกว่งๆ แขนเนี่ย พี่เห็นไปโน่นเลย! สะดือน้องเลยนะ! สะดือน่ะ! ถามว่ามันควรเห็นไหม! มันโป๊เกินไปหรือเปล่า? ทำไมไม่คิดดูบ้าง”
“พี่สาวของพี่ชื่อผักกาด ทั้งสวย ทั้งฉลาด ไม่เคยแต่งตัวน่าเกลียดแบบนี้เลย มีผู้ชายดีๆ อยากคุยด้วยทั้งนั้น รู้ไหมว่าถ้าเป็นคนในครอบครัวพี่นะ แต่งตัวแบบนี้ไม่ได้ออกจากบ้านหรอก ถ้าเป็นน้อง พี่จะจับตีให้ตายเลย แล้วเสื้อผ้าพวกนี้ก็จะเอาไปเผาให้หมดตู้ด้วย ทำตัวน่าเกลียดมาก เราเป็นโรคประสาทโรคจิตหรือไง? ชอบให้ผู้ชายมองตัวเองไม่ดี ชอบให้มองแบบของไม่มีค่าราคาถูก แล้วเคยมองดูตัวเองไหม? เกิดวันไหนกลับบ้านมืดๆ ขึ้นมา ถ้าเกิดโดยฉุดโดนลวนลามขึ้นมาจะว่ายังไง น้องเคยคิดบ้างไหมครับ!”
ใบหน้าของแนนที่อ้าปากค้างด้วยความอึ้ง ในตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ หญิงสาวทำหน้าเหมือนอยากจะเถียงใจจะขาดแต่แล้วก็สะบัดหน้าหนีแล้วก้มหน้างุด คะน้าได้แต่ระบายลมหายใจด้วยความหงุดหงิด เขาไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้เลย ไม่ชอบสักนิด เห็นแล้วมีแต่ขัดตา
“ไม่น่ารักเลย!”“เฮ้อออออออออออออออออ...”
แล้วเสียงทุ้มที่คุ้นหูก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง คะน้าสะดุ้งสุดตัว แค่เสียงถอนหายใจก็จำได้ว่าเป็นเสียงของใคร หันไปมองดูเห็นเห็นสีหน้าที่ปั้นไม่ถูกของทิม จะว่าโกรธก็ไม่ใช่ ติดจะอึ้งๆ ผสมกับหน่ายๆ บอกไม่ถูก
“นี่คือโกรธจัดๆ โมโหสุดๆ แล้วใช่ไหม?”
“ก็ใช่น่ะสิ!” คะน้ารับคำถามยียวนของทิม คนตั้งคำถามถึงกับถอนหายใจพรืดแล้วไม่ได้พูดอะไรต่อ
คะน้ามองหน้าทิมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เขาไม่รู้เลย ไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าทิมโผล่มาตอนไหน ตั้งแต่เมื่อไหร่ และที่สำคัญเห็นอะไรไปบ้าง
“อยากถามใช่ไหมว่ามาตั้งแต่เมื่อไหร่” คะน้าพยักหน้า รู้สึกเขินๆ เล็กน้อย ใจจริงเขาไม่อยากให้ทิมเห็นอะไรแบบนี้เลย
“ก็เห็นแต่ช่วงแรกๆ ที่โดนล็อกตัวไว้น่ะ ยืนฟังอยู่อยากรู้ว่ามันจะยังไง พอเริ่มเห็นไม่ได้การว่าจะเข้าไปช่วย แต่เห็นท่าแล้วก็... อืม... จะว่ายังไงดีล่ะ มันไม่น่ามีซีนแบบนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า?” ทิมพูดไปเรื่อยๆ เหมือนกับบ่นกับตัวเอง ใบหน้ายังอยู่ในอาการงงอยู่ไม่น้อยจนคะน้ารู้สึกหมั่นไส้ ...เห็นเขาเป็นอะไรกัน!
“ก็บอกแล้วไง ดูแลตัวเองได้ จะจัดการเอง” ทิมพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มแล้วหันไปที่ตัวก่อปัญหา
“ไง? คนโกหก เราเคยมีอะไรกันตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ ทำไมพี่จำไม่ได้ หรือว่าในฝัน?” จำเลยที่ไม่มีความผิดส่งสายตาคาดโทษชนิดหนักให้กับหญิงสาว แปลกที่คะน้ากลับรู้สึกหัวใจลิงโลดขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดนั้น
“ที่ไม่ออกมาขัดเนี่ย เพราะอยากรู้หรอกนะว่าคนฟังแล้วจะว่ายังไง แต่พูดกันแมนๆ เลยนะ สะเทือนใจฉิบ มันง่ายไปไหม จะหึงจะหวงกันสักนิดไม่ได้เหรอไง” ทิมยกแขนขึ้นแล้ววางบนบ่าของคะน้า กอดคอหลวมๆ แล้วดึงมาใกล้ ทำเสียงเง้างอดจนพิลึกหู
“เปิดซิงเค้าแล้วก็จะทิ้งกันชิมิ?”“ทิมมม!!!”
คะน้าเสียงแข็งใส่ ไม่เชิงตะคอก แต่รู้สึกกระดากอายกับคำพูดล้อเลียนแบบนั้น ซ้ำยังท่าทางที่ไม่คิดจะปิดบังอีก แต่เจ้าตัวกลับไม่ใส่ใจอะไรแม้แต่น้อย ทิมหันไปพูดเสียงแข็งกับแนน น้ำเสียงผิดไปเหมือนกันคนละคน
“จะไปฟ้องคุณธาดาอีกก็ตามใจนะ อยากจะทำอะไรก็ทำ วันนี้จะปล่อยให้ แต่นับจากนี้ ถ้าไม่หยุด บอกไว้ก่อนว่าพี่ไม่ได้ใจดีแบบ
เมีย พี่หรอกนะ” สิ้นคำคะน้าก็จัดศอกถลุงลงเข้าสีข้างทิมหนึ่งดอกเน้นๆ ทันที เจ้าตัวรีบทำสำออยร้องโอดโอยรับอย่างรวดเร็ว
“ทำไมทำพี่ทิมแบบนี้ล่ะครับ เห็นแบบนี้ พี่ทิมก็บอบบางนะ”
...ทุกอย่างอยู่ในสายตาแนนทั้งหมด หญิงสาวจ้องมองชายหนุ่มเบื้องหน้าทั้งสองคน ท่าทางการแสดงออก ถ้อยคำต่างๆ ที่หยอกล้อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ...ชายหนุ่มที่เธอหลงรักมาเนิ่นนานหลายปี
“เมื่อก่อนแนนเคยคิดว่าพี่ทิมเป็นคนที่น่ากลัวมาก สาวๆ ต่อให้สวยแค่ไหน โพรไฟล์ดีแค่ไหน แต่พี่ทิมก็แค่ควงเล่นๆ พี่ทิมไม่เอาใคร ไม่เคยสนใจใคร ตาของพี่ทิมมองไปแต่ข้างหน้า แต่พอพี่ทิมได้มาสนิทกับพี่คะน้าแนนก็ถามตัวเองว่ามันหมายความว่ายังไง ทำไมตาที่มองตรงไปคู่นั้นถึงหันมามองคนที่อยู่ข้างๆ ตลอดเวลา” แนนพูดด้วยเสียงเรียบๆ รอยยิ้มน้อยๆ ระบายบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่สร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเธอเอง
“มันเจ็บใจมากที่คนที่เราเฝ้ามองมาหลายปี คนที่ไม่เคยยิ้ม ไม่เคยหัวเราะ ไม่เคยล้อเล่นกับใคร กลับเปิดใจเอาง่ายๆ กับคนอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง และที่สำคัญ ...คนๆ นั้นกลับไม่ใช่ผู้หญิง” คะน้ายืนดูผู้หญิงตรงหน้า เข้าใจตัวตนของเธอมากขึ้นทีละนิดๆ
“แนนไม่ยอม แนนรับไม่ได้ ถ้าคนที่พี่ทิมเลือกสวยกว่าแนน โพรไฟล์ดีกว่า ทำงานเก่งกว่า แนนอาจพอรับได้ แต่นี่คนที่พี่เลือก กลับกลายเป็นผู้ชาย ...และผู้ชายที่หน้าตาดีมากๆ ด้วยอีกคน มัน... ไม่รู้สิ แนนรับไม่ได้” ร่างบางสะบัดหน้าไปมาแล้วกดหน้าลงราวกับจะกดความรู้สึกทั้งหลายเอาไว้ “แนนไม่รู้หรอกว่าพี่คะน้ามีอะไรดี ทั้งหน้าที่การงาน ทั้งฐานะทางสังคม อะไรๆ มันก็ไม่ได้เหนือไปกว่าแนนเลย”
ทิมจ้องหน้าของหญิงสาวด้วยความรู้สึกไม่สบอารมณ์ กระทั่งคะน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ ต้องสะกิดมือรั้งเอาไว้ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปในทางที่เลวร้าย ดูเหมือนร่างสูงข้างๆ จะสงบลงเล็กน้อย กระนั้นความโมโหก็ยังกรุ่นอยู่บนใบหน้า แนนเงยหน้าขึ้นด้วยแววตาที่ดูหม่นมัว รอยยิ้มบางๆ แต่งแต้มใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยน้ำตาให้น่ามองขึ้น
“แต่วันนี้ ...วันนี้แนนได้เห็นแล้ว แนนรู้แล้วว่าแนนไม่มีอะไรเหนือไปกว่าพี่คะน้าเลย”คำพูดของหญิงสาวทำเอาทิมยิ้มกริ่ม ผิดกับคะน้าที่รู้สึกปั้นหน้าตัวเองไม่ถูก ตั้งแต่เกิดมา ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ได้มีอะไรเหนือไปกว่าใครเขาได้จริงๆ
“เอ่อ... คือพี่ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเลยนะ ไม่มีอะไรไปเทียบกับคนแบบแนนได้ด้วยซ้ำ”
แนนระบายรอยยิ้มน้อยๆ ดวงตาหม่นราวกับพระอาทิตย์ที่อ่อนล้า เธอเหนื่อย ...เหนื่อยทั้งกาย และเหนื่อยทั้งใจ หลายวันมานี้ หญิงสาวกระวนกระวายจนแทบไม่หลับไม่นอน ครุ่นคิดถึงแผนการต่างๆ นานา กลัวว่าอีกคนจะมีความสุข จะสมหวัง แล้วก็เป็นเธอที่ทุกข์ทรมานอยู่คนเดียวทุกวันทุกคืน บัดนี้เธอรู้แล้วว่าความเจ็บปวดต่างๆ นานาที่ทำให้จงเกลียดจงชังชายหนุ่มสองคนตรงหน้า ล้วนที่มาจากมือของตัวเธอเอง
“แย่จัง ที่ทำอะไรที่แย่ๆ ไปตั้งมากมาย ขอโทษพี่ทิมด้วยนะคะ ขอโทษพี่คะน้าด้วย และหนูก็ขอโทษพี่ผักกาดด้วย แนนทำเรื่องยุ่งๆ มากมาย เรื่องที่ไม่ดีเลย”
“พี่ผักกาด? พี่ผักกาดเกี่ยวอะไรด้วย” คะน้าอุทานด้วยความตกตะลึง
“แนนบุกไปที่สถานฑูตที่พี่เขาทำงานอยู่น่ะค่ะ ไม่ดีเลย ขอโทษจริงๆ”
“เอ่อ... เอ่อ... คือ... ก็... ก็ได้มั๊ง ไว้พี่บอกให้ครับ” เล่นเอาชายหนุ่มปรับตัวไม่ถูก และไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่ยืนอึ้งๆ งงๆ แนนบุกไปถึงที่ทำงานของผักกาดเลยหรือ? แล้วแบบนี้เจ้จะเจออะไรบ้างเนี่ย!!! ตายแน่!!!
คะน้ายืนเกาหัวแกรกๆ จินตนาการถึงพี่สาวของตนเองเวลาเจอกับคนแบบแนน ร่างบางเบือนหน้าต่อไปที่ชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ ...คนที่เธอรักหมดใจ
“ขอโทษพี่ทิมด้วยนะคะ”
“คงไม่ล่ะ มันมากเกินไป”
ชายหนุ่มที่ถูกเอ่ยชื่อตอบกลับโดยไม่ต้องคิดแล้วมองด้วยสายตาเย็นชา ไม่ทุกข์ไม่ร้อนอะไรกับคำพูดของคนตรงหน้า อันที่จริงคงต้องเรียกว่าเขาแทบจะไม่ใส่ใจด้วยซ้ำ หญิงสาวหน้าเสียไปเล็กน้อยแต่ก็พยายามฝืนยิ้มสู้
“แนนเข้าใจค่ะ ไม่แปลกเลยที่พี่จะคิดแบบนั้น”
“แต่แนนจะไม่ทำความลำบากให้อีกแล้วค่ะ แนนจะออกไปจากชีวิตพี่ และคงไม่ให้พี่ต้องเห็นหน้าให้สบายใจอีก แนนจะขอคุณพ่อไปเรียนต่อนอกน่ะค่ะ คิดว่าคงไม่มีปัญหา ส่วนเรื่องที่ครอบครัวหมั้นหมายเรากันไว้ แนนจะพยายามจัดการให้ไม่เป็นเรื่องค่ะ”
ทิมลอยหน้าลอยตายืนเงียบๆ ไม่พูดอะไรตอบกลับ จนคะน้าที่ยืนอยู่ข้างๆ อดรนทนไม่ไหวยกศอกขึ้นกระทุ้งอีกครั้ง คราวนี้ทิมสนใจทันที แน่นอนว่าไม่ใช่หญิงสาวอีกเช่นเคย
“อะไร! มันทำขนาดนี้ยังประสาทไปยกโทษให้มันอีกนะ ไม่ต่อยเลือดกลบปากก็ดีแค่ไหนแล้ว” ทิมหันไปเขม่นสายตาดุๆ ใส่แนน ท่าทางหงุดหงิดไม่มีปิดบัง หญิงสาวเอาแค่ก้มหน้างุด สักพักก็ขอตัวลาจาก
“อย่าลืมไปเก็บศพพักพวกอีกสองตัวที่หน้าลิฟต์ไปทิ้งด้วยล่ะ” ทิมตะโกนไล่หลัง หญิงสาวหันมาทำหน้าตกใจ คะน้าก็ไม่ต่างกัน แต่ทิมยังฟึดฟัดไม่เลิก
“ก็มันทำ
เมียกู! ...ทำพี่น่ะ”
“ทิม! พูดบ้าอะไรเนี่ย แล้วอีกอย่างก็ไม่เป็นไรด้วย เอาแค่นั้นก็มากพอแล้ว”
“แต่...”
“ไม่ต้องมาแต่ ไม่ชอบพวกอันธพาลใช่ไหม แล้วไปทำตัวเป็นอันธพาลแบบเค้าไปทำไม”
“เออๆๆ ถ้าทำได้อย่างที่พูดจริงๆ เวลาก็คงจะทำให้อะไรดีขึ้นเองล่ะ” ได้ยินคนตัวสูงกว่าบ่นพะงาบ คะน้าก็ยิ้มออกมาได้เสียที เขาไม่อยากให้ทิมผูกใจเจ็บกับใคร ความแค้นไม่ได้เผาผลาญแค่ตัวคนที่เราไม่ชอบ แต่ตัวเองก็จะโดนเพลิงแห่งทิฐิเผาจนรุ่มร้อนไม่ต่างกัน
“หมดปัญหาไปอีกอย่าง” คะน้าพูดอย่างโล่งใจ ถอนหายใจเพราะรู้สึกโล่งอกจริงๆ
“มันไม่ใช่ปัญหาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว” คนที่กอดคออยู่เอื้อมมือขึ้นมาขยี้หัวเบาๆ
“แล้วเจ็บไหม?”
คะน้าส่ายหัวพร้อมรอยยิ้ม ทิมยิ้มกว้างตอบกลับเช่นกัน หากแต่ชายหนุ่มยังคงทำหน้าทำตาพิกลไม่เลิก ดูเหมือนว่าบางสิ่งบางอย่างจะยังติดค้างอยู่ในใจของชายหนุ่มร่างสูงมาตั้งแต่เมื่อสักครู่แล้ว
“คือจะว่าไปก็ชอบเลยนะ ไม่หยุมหยิม ไม่เรื่องมาก ใจดี มีน้ำใจ ให้อภัยคน พูดอะไรง่ายๆ แบบผู้ชายคุยกัน” คะน้าหันไปมองหน้าทิมที่ดูเหมือนจะนับนิ้วคุณสมบัติอะไรสักอย่างอยู่ คนกำลังพูดยังมามองเหมือนตั้งคำถาม คะน้าพยักหน้า เจ้าตัวก็พยักหน้าตามแต่ก็ไม่วายไล่คุณสมบัติต่อ
“แล้วก็แข็งแรงมาก” ...คะน้าพยักหน้าหงึก
“ต่อยเก่งมาก มีซิคแพ็คด้วย” ...ถึงจะทะแม่ง แต่ก็พยักหน้าหงึกอีกครั้ง
“เป็นกระต่ายจอมพลัง” ...แล้วก็อีกครั้ง มันก็พอรับไหว
“พี่ทิมต้องชินกับเรื่องพวกนี้ให้ได้ใช่ไหมครับ? เพราะ
เมียจ๋า เป็นผู้ชาย” ...แต่คราวนี้ไม่ไหว คะน้าจ้องหน้าเขม็ง
“พยักหน้าอีกสิครับ พยักเร็วๆๆ เร็วๆ สิ” ทิมส่งเสียงรบเร้าเต็มที่
“เราเป็นเมียพี่ทิมใช่ไหมครับ พยักหน้าๆ”
คำก็เมีย! ก็คำก็เมีย! สักวันกูจะจับมึงกดมั่ง ไอ้เด็กเปรต!“เออ!!! แล้วไง???”
หันไปตะคอกชนิดเซอร์ราวด์เต็มสองหู ระบายความรู้สึกหมั่นไส้คนข้างๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาตะหงิดๆ เจ้าตัวหัวเราะร่าแล้วทำท่าแคะหู ยียวนจนคะน้าหันไปแยกเขี้ยวใส่ทิมอีกรอบ สู้กับพวกจิ๊กโก๋ที่มากับแนนยังไม่เหนื่อยเท่ากับเถียงคำไม่ตกฟากกับคนข้างๆ ตัว พูดอะไรไปไม่เคยมีสักครั้งที่จะสลด
“มองหน้าทำไม”
ทิมยกคิ้วขึ้นน้อยๆ ขึ้นอย่างอารมณ์ดี ร่างสูงไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าที่แม้แต่ทุกคืนหลับตาก็ยังเห็นนั้นแค่ส่งรอยยิ้มบางๆ กลับมาให้ ดวงตาสีดำที่ดูลึกลับในเวลานี้ดูอบอุ่นเหมือนแสงของพระอาทิตย์ยามเย็น อ่อนโยนและน่ามอง และยิ่งมองรอยยิ้มบางๆ นั้นก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นทีละน้อย เป็นยิ้มกวนๆ ที่มุมปากแบบที่คะน้าชอบ ทิมไม่ได้พูดอะไรสักคำ ร่างสูงเพียงแค่สบตานิ่งๆ กับยิ้มแบบเป็นเอกลักษณ์เหมือนที่ทำทุกวัน
ตึก...ตัก ตึก...ตักแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้คะน้าก้มหน้าลงพร้อมกับจังหวะที่เต้นแปลกๆ ในใจ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผ่านไปอีกตอน ตอนนี้เป็นตอนที่สนุกนะ รู้สึกมีแอ็คชั่นนิดๆ แล้วมันดี
คะน้าของเราไม่ใช่ผักสวนครัวเอาไว้ให้เคี้ยวได้เล่นๆ นะครับ 5555
ทิมก็ดูจะมีความเป็นธรรมชาติเวลาอยู่ต่อหน้าน้องต่ายเรามากขึ้นทุกวัน
มาม่าชามนี้จะหมดแล้วจริงๆ หรือเปล่าหนอ แล้วนับจากนี้ไปจะมีอะไรรออยู่
โปรดติดตามครับ ฮ่าๆ ถ้าไม่ขี้เกียจจะปั่นเรื่องนี้ให้จบไวๆ อยากทำถิติจบได้ใน 1 ปีนั่นเอง
+ 1 ให้กับทุกคอมเมนต์พร้อมกับแอบจิ๊กกอดคนละทีสองทีนะครับ