(ต่อครึ่งหลังของตอนครับ)
“แนนรู้จักพี่เค้าด้วยเหรอ แนะนำให้เรารู้จักหน่อยสิ” สาวๆ หลายคนดูจะกล้าพูดอะไรมากขึ้นเมื่อไอ้หน้าโหดไม่อยู่ในวงสนทนาแล้ว
“ชื่อพี่คะน้าจ๊ะ เป็นเพื่อนของพี่ทิม” แนนหันมายิ้มให้คะน้าน้อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้เหมือนแนะนำให้เพื่อนๆ รู้จัก คะน้ายิ้มเขิน ไม่เคยได้อยู่ใกล้กับสาวๆ หน้าตาดีมากมายแบบนี้
“สวัสดีครับ”
“ชื่อพี่คะน้าเหรอคะ ชื่อน่าทานจัง” คะน้าก้มหน้างุด รับไม่ถูกกับคำแซวจากคนที่ไม่คุ้นหน้า ชายหนุ่มจึงได้แต่แจกยิ้มเกลื่อนไปให้กับทุกคน
“ครับ” แนนเอามือมาแตะแขนเขาเบาๆ แล้วเขย่าเหมือนส่งกำลังใจแล้วหันไปดุใส่สาวๆ คะน้าหันกลับไปยิ้มขอบคุณ ถ้าไม่ได้เธอ เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“แล้วพี่คะน้าเรียนวิศวะแบบพี่ทิมหรือเปล่าคะ เดาว่าต้องรู้จักกันที่เยอรมันแน่ๆ”
“เปล่าหรอกครับ ผมเรียนด้านการตลาดมา จบจากที่อเมริกาน่ะครับ คนละฝั่งกันเลย” ดูเหมือนว่าคำตอบของคะน้าจะสร้างความประหลาดใจให้กับหญิงสาวตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างๆ ตัวไม่น้อย
“แนนไม่เห็นเคยทราบมาก่อนเลย เดี๋ยวแนนก็ได้ปล่อยไก่กันอีกพอดี พี่คะน้าไม่บอกแนนบ้างเลยนะคะ” เธอส่งเสียงเง้างอดน่าเอ็นดู
“ขอโทษครับ ไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกันแฮะ” แม้เครื่องแต่งกายจะเปลี่ยนแต่บุคลิกคะน้าไม่เคยเปลี่ยน ชายหนุ่มยังคงวางตัวง่ายๆ และยกมือขยี้ท้ายทอยตัวเองเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติทุกครั้งเวลาที่เก้อเขิน
“พี่คะน้าดูน่ารักจังเลยค่ะ ไม่ถือตัวเลย ไม่น่าเชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทของพี่ทิมได้เลยจริงๆ นะ บางทีพี่ทิมก็ดูน่ากลัวยังไงก็ไม่รู้” สาวพูดจ้อแล้วส่งสายตาระยับมาให้ ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นคำตัดพ้อเล็กๆ สำหรับทิมและเหมือนจะชื่นชมเขาอยู่ในทีหรือเปล่านะ
“ทิมไม่ได้เป็นคนที่ดูน่ากลัวหรอกครับ ตัวจริงเป็นคนที่... เอ่อ... ใจดีมากๆ ด้วยซ้ำ” คะน้าจงใจเลี่ยงคำว่าติงต๊อง และนิสัยเหมือนกับเด็กๆ ออกไปเพื่อที่จะได้ไม่ทำลายภาพลักษณ์ที่ดีของทิมในสายตาสาวๆ
“พี่ทิมเป็นคนที่จริงจังกับงานน่ะ งานต้องเป็นงาน ห้ามเล่นเลยล่ะ” โชคดีที่แนนช่วยแก้ต่างให้กับหัวหน้าของเธอ ไม่อย่างนั้นสาวๆ คงไม่หยุดโต้เถียงเป็นแน่ คะน้ายืนเก้ตอบคำถามที่ซักไซ้ประวัติของตัวเองอย่งอึกอัก ดูเหมือนหญิงสาวข้างๆ จะสังเกตุเห็นได้ไม่น้อย สักพักเมื่อได้จังหวะ แนนจึงหันมากระซิบกับคะน้า
“พี่คะน้าอึดอัดไหมคะ เดี๋ยวแนนพาไปนั่งที่เงียบๆ ทานอะไรอร่อยๆ แล้วเดียวแนนจะบอกพี่ทิมให้ตามมาถ้าธุระเสร็จแล้วดีไหมคะ”
“ก็ดีเหมือนกันนะครับ” คะน้าตอบตามความรู้สึกจริงๆ ไม่รู้ว่าทิมจะพามาเป็นเพื่อนทำไม เมื่อในงานก็มีคนที่รู้จักมากมายขนาดนี้ คะน้าต่างหากที่ไม่รู้จักใครสักคน
“เอาล่ะสาวๆ เดี๋ยวขอพาตัวพี่คะน้าไปตักของกินแป๊บนะคะ เสร็จแล้วเดี๋ยวมาจ๊ะ” แนนหันมากระพริบตาเหมือนส่งสัญญาณ คะน้าหันไปขอตัวกับสาวๆ แล้วเดินตามแนนไปที่ไลน์อาหารที่เรียงรายมากมายอยู่ด้านริมห้อง
“ขอบคุณนะครับคุณแนน”
“เพื่อนพี่ทิมก็เหมือนกับพี่ของแนน เรียกแนนเฉยๆ ดีกว่าค่ะ” เธอหันมาส่งยิ้ม ...เป็นยิ้มที่ทำให้คะน้าอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม “สาวๆ พวกนี้เป็นพวกสาวๆ ในวงสังคมน่ะค่ะ ลูกคนนั้นหลานคนนี้ พี่คะน้าคงพอเดาได้ใช่ไหมคะ ว่าพี่ทิมไม่ได้เป็นคนหน้าตาธรรมดา แถมยังเก่งและรวยแบบนี้ คนชอบก็คงมีเยอะเป็นธรรมดาล่ะค่ะ”
“อ้าว นั่นคือชอบเหรอครับ เห็นบ่นว่าดุๆ บ่นถือตัวกัน” คะน้าฉงนและแปลกใจกับคำพูดของแนน เขาชายหนุ่มกวาดตามองอาหารมากมายตรงหน้า เลือกตักอาหารที่ธรรมดาที่สุดใส่จานเล็กน้อยเหมือนไม่รู้ว่าจะตักอะไร
“ชอบสิคะ พี่คะน้าเป็นเพื่อนสนิทขนาดนี้ก็น่าจะรู้ พี่ทิมเป็นคนเข้าถึงยาก ถ้าไม่มีธุระปะปังอะไรก็ไม่คุยอะไรด้วยหรอกคะ ถามคำตอบคำ หรือไม่ตอบก็มี”
“...ไม่ได้น่ารักแบบพี่คะน้าหรอกค่ะ”
แนนหันมายิ้มให้กับเขา บางทีคะน้าอาจจะคิดมากไป ดูเหมือนว่าวันนี้แนนดูแลเขาดีเป็นพิเศษ บางที อาจจะเพราะว่าทิมฝากไว้ล่ะมั๊ง แนนเดินไปพูดคุยกับริกรที่ยืนอยู่ สักพักก็เดินกลับมาที่คะน้าแล้วส่งยิ้ม เธอแตะที่แผ่นหลังเขาเบาๆ คล้ายกับบอกว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี “แนนไปบอกให้พี่เค้าเอาน้ำตามมาให้น่ะคะ แล้วก็บอกให้ไปแจ่งพี่ทิมด้วยว่าเราจะไปไหน”
“นั่นสิครับ แล้วเราจะหลบไปอยู่ที่ไหนเหรอครับ”
“เป็นห้องที่ทางโรงแรมเปิดกับให้สต๊าฟไว้ใช้เตรียมงานน่ะค่ะ เปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้คงไม่มีใครอยู่แล้วล่ะค่ะ ลงมาหล่อมาสวยอยู่ข้างล่างกันหมดแล้ว”
แนนพาเดินไปที่ห้องว่างที่ไม่ห่างจากพื้นที่บริเวณจัดงานมากนัก เป็นห้องโล่งๆ ที่มีข้าวของมากมายสำหรับเตรียมงานวางไว้กับพื้นตามมุมห้อง ตรงกลางมีเพียงโซฟาขนาดเล็กเอาไว้นั่งเพียงตัวเดียว ไม่ทันได้มองสำรวจมากมาย บริการก็เดินเอาน้ำอัดลมใส่เหยือกขนาดใหญ่มาให้พร้อมกับแก้วสองใบ แนนบอกให้เอาวางไว้ในถาดที่พื้นก่อน
“พี่คะน้าไม่ถือใช่ไหมคะ มันไม่ค่อยจะมีที่วางด้วยสิ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” คะน้ายิ้มให้แนน รู้สึกดีกับความน่ารักและมีน้ำใจของหญิงสาว เธอหันมายิ้มให้แล้วเหลียวซ้ายแลขวาแบบเก้ๆ กังๆ
“เอ่อ... แนนนั่งดีกว่าครับ เดี๋ยวพี่ยืนเอง”
“พี่คะน้านั่งทานเถอะค่ะ เดี๋ยวแนนอยู่เป็นเพื่อน” ไม่บ่อยที่คะน้าจะทำหน้าดุใส่ผู้หญิง กี่ครั้งกี่คราดูเหมือนจะชายหนุ่มจะดูแลและตามใจผู้หญิงตลอด เรียกว่าไม่เคยขัดใจแล้วยังเทคแคร์เป็นอย่างดีด้วยซ้ำ
“จะดีเหรอคะ” หญิงสาวทำหน้าไม่สู้ดีที่ตัวเองดูจะเป็นตัวปัญหาให้อีกฝ่าย หากแต่ชายหนุ่มผายมือให้กับหญิงสาว เธอจึงเดินมานั่งแต่โดยดี คะน้ามองไปรอบๆ ตัว ไม่ได้รู้สึกหิวอะไร แต่เลือกทานอาหารไปเหมือนฆ่าเวลาเอาเสียมาก แนนค่อยๆ ถอดรองเท้าส้นสูงออกเหลือแค่เท้าเปล่าเปลือยบนพื้นพรม “คงไม่ว่าอะไรใชไหมคะ แนนใส่มาทั้งวันเลยตอนเตรียมงาน ล้าไปหมดทั้งขาแล้ว”
คะน้าพอจะเข้าใจว่าความสูงของส้นรองเท้าที่แหลมปี๊ดนั้นดูจะเป็นปัญหาให้กับสาวๆ แต่ผู้หญิงส่วนมากก็เลือกที่จะสวมใส่มันเพื่อความสวยงาม ยิ่งถ้าต้องยืนเตรียมงาน คอยวิ่งทำอะไรตลอดเวลา ยิ่งเมื่อย แต่จะว่าไปแล้ว... “เอ่อ... ว่าแต่คุณแนนได้ทานอะไรบ้างแล้วหรือยังครับ”
“ก็... ยังเลยล่ะค่ะ” หญิงสาวยิ้มแหยให้กับคะน้า “พี่คะน้าทานเถอะค่ะ แนนโอเค”
“พี่ไม่ค่อยหิวหรอก ตักมาอย่างนั้นซะมากสิครับ”
คะน้าถอนหายใจแล้วส่ายหน้าหนักๆ ลึกๆ แล้วก็รู้สึกผิดที่แนนคอยเป็นธุระดูแลเทคแคร์เขาจนหญิงสาวต้องอดทานอาหารอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่ดี “น้องแนนทานอะไรหน่อยไหม เดี๋ยวพี่ออกไปตักมาให้”
“อุ้ย อย่าเลยค่ะ เดี๋ยวจะเป็นการรบกวนเปล่าๆ พี่คะน้าทานเถอะค่ะ แนนโอเคค่ะ ไม่ค่อยหิวอะไรมาก อุ้ย...” แนนเอามือจับท้อง สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มแหยให้กับคะน้า “เอ่อ... พี่คะน้าคงไม่ได้ยินนะคะ”
“ได้ยินอะไรเหรอครับ”
“ท้องร้องน่ะสิคะ ดูสิ แนนขายหน้าแย่เลย” หน้าหวานๆ กลับกลายเป็นหน้ามุ่ยจนคะน้าเผลอหัวเราะขำ หญิงสาวคนนี้ดูเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่น่ารักน่าเอ็นดูเอาเสียจริงๆ
“ไม่ครับ แต่ทานอะไรหน่อยเถอะ เดี๋ยวพี่ออกไปตักอะไรมาให้ แนนอยากทานอะไรครับ”
“อะไรก็ได้ค่ะ แต่แนนไม่อยากรบกวนพี่คะน้าหรอก อีกอย่าง แนนก็บอกพี่ทิมไปแล้ว ถ้าพี่ทิมมา แล้วปรากฏว่ามีแต่แนนอยู่ นอกจากมันจะดูไม่ดีแล้ว พี่คะน้าพอจะนึกออกไหมคะว่าแนนจะโดนอะไรบ้าง” ร่างบางขมวดคิ้ว ริมฝีปากรั้นขึ้นเหมือนกังวลจนคิดไม่ตก
“ไม่น่าเป็นอะไรหรอกนะครับ เดี๋ยวรีบไปรีบมาเลย”
“งั้น... แบบนี้ดีไหมคะ เอ่อ... พี่ทิมไม่ค่อยหิวใช่ไหมคะแล้วก็... คงไม่ทานอะไรมากใช่ไหมคะ” คะน้าพยักหน้าไหวๆ “พ..พี่จะถือไหมคะ ถ้าแนนจะแบ่งทานจากจานนั้นเลย” หญิงสาวก้มหน้างุด รวงแง้มระเรื่อเป็นสีแดง
“เอ่อ... ไม่เป็นไรครับ แต่คือ... พี่ก็ทานไปบ้างแล้วน่ะสิ มันจะดูน่าเกลียดไหมครับ”
“ไม่เป็นไรหรอกคะ แนนทานได้” หญิงสาวค่อยๆ เดินมาหยิบจานจากในมือของคะน้าอย่างกลัวๆ กล้าๆ แล้วกลับไปนั่งที่โซฟา คะน้ามองด้วยความรู้สึกเกรงใจ อันที่จริงการที่เขาจะไปตักมาให้ใหม่ดูจะไมใช่เรื่องที่ยากเลย “คนที่ทำงานอย่างนี้ต้องทำตัวให้กินง่ายอยู่ง่ายค่ะ บางครั้งไซด์งานอยู่บนเกาะ ไม่ได้มีอะไรหาทานสะดวกสบาย ก็ต้องแบ่งกันทานเอา”
คะน้าค่อยโล่งใจ ดูเหมือนว่าการทำงานจะฝึกให้แนนกินง่ายอยู่ง่ายสมอย่างราคาคุยจริงๆ ร่างบางตักทานจนดูน่าอร่อยแต่สักพักเธอก็ทำหน้ามุ่ย เมื่อหญิงสาวพยายามจัดแจงปีกไก่ทอดในจานอย่างทุกลักทุเลจนคะน้ามองอย่างเอาใจช่วย จนสุดท้าย แนนก็เงยหน้าขึ้นมาส่งสายตาละห้อย
“พี่คะน้าคะ แนนอยากกินไก่ทอดนี่จัง”
“ครับ” คะน้าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขำ
“แต่เมื่อกี้แนนเอามือล้วงรองเท้าไปหมดแล้ว คือ... พี่คะน้าป้อนแนนทีนะคะ” คะน้าทำหน้าหวาด จริงๆ แล้วไม่ใช่ว่าเขาจะทำอะไรพวกนี้ไม่ได้ คะน้ายินดีและเต็มใจเสมอ หากแต่เกรงในเรื่องความเหมาะสมระหว่างชายกับหญิงที่อาจจะไม่เหมาะ “นะคะๆๆๆๆๆ แนนอยากทานจริงๆ”
...เอาเถอะ ยังไงตัวเขาเองก็ชอบทิมไปแล้ว
คะน้าเดินเข้าไปหยิบปีกไก่ทอดขึ้นมาถือแล้วส่งยิ้มให้กับแนน ร่างเล็กในขณะนี้ดูลิงโลดคล้ายกับเด็กตัวโตๆ เสียมากกว่าจะเป็นหญิงสาวในเวลาทั่วไป ...ความรู้สึกในใจ จู่ๆ เขาก็นึกสนุกอยากแกล้งคนที่ส่งสายตาเว้าวอนมา คะน้าจงใจแกล้งถือไก่แล้วเบี่ยงซ้ายย้ายขวาไม่ให้แนนแทะได้ กระทั่งความอดทนสิ้นสุดจนเธอหน้ามุ่ย คะน้าถึงหยุดนิ่งแล้วส่งให้เธอทานแต่โดยดี
แนนค่อนยื่นหน้ามาหาช้าๆ ดวงตาคู่นั้นที่กลมโตดูวับวาวเหมือนเอาดวงดวงทั้งฟ้ามาอัดแน่นอยู่ด้านใน คะน้ามองจ้องสายตาคู่นั้น มันน่ามองจนเขาไม่อยากละสายตา แต่อะไรบางอย่างบอกว่ามันไม่เหมือนแววตาของเด็กสาวซุกซนที่น่าแกล้งอีกแล้ว และก็ไม่เหมือนกับผู้หญิงทะโมนที่กินง่ายอยู่ง่ายไม่เรื่องมากคนนั้น
ทั้งคู่อยู่ในความเงียบ กระทั่งหญิงสาวอาสาลุกขึ้นมาเทน้ำอัดลมจากเหยือกสูงลงในแก้ว แนนเดินออกไปที่ถาดที่วางอยู่ที่พื้น ย่อตัว แล้วค่อยๆ ก้มลง จังหวะที่ก้มเผยให้เห็นช่วงอกที่โค้งได้รูปราวกับดอกบัวที่เติบโตเต็มที่จนกลีบใบรอเวลาผลิแย้ม คะน้าเบือนหน้าไปอีกด้านแสร้งทำเป็นไม่เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ว่าคะน้าไม่รู้สึกใดๆ กับเรือนร่างของผู้หญิง แต่เขารู้สึกไม่ชอบการฉวยโอกาสจากความผลั้งเผลอ นอกจากจะไม่เป็นการให้เกียรติผู้หญิงแล้ว คะน้านับว่ายังไม่เป็นการให้เกียรติกับตัวเองด้วย ครู่หนึ่งแนนก็เดินมาส่งน้ำอัดลมสีดำที่รินใส่พอดีแก้วให้ คะน้าขอบคุณแล้วยกขึ้นดื่ม รู้สึกว่าน้ำอัดลมหวานกว่าปกติทุกครั้ง
“มันหวานๆ มีกลิ่นแปลกๆ”
“ไม่มีอะไรนี่คะ” แนนยกขึ้นดื่มไปครึ่งแก้วเหมือนกับไม่มีอะไรผิดปกติ คะน้ามองด้วยความแปลกใจ หากแนนไม่รู้สึกในความผิดปกตินั้น บางที อาจเป็นเขาที่คิดมากไปเอง คะน้าจึงนั่งจิบเครื่องดื่มไปเรื่อยๆ โดยมีแนนคอยเติมให้ไม่ขาด ครู่เดียวก็เหมือนเริ่มรู้สึกมึนหัว แต่ความที่เกรงใจแนนที่รบเร้าให้เขาดื่ม ชายหนุ่มก็ยกแก้วตามใจของแนนไม่ขาด กว่ารู้ตัวอีกทีคะน้าก็รู้สึกมึนเต็มที่ เขาพยายามประคับประคองสติของให้ดีจนพอจะเอ่ยประโยคที่ฟังดูเป็นเรื่องเป็นราวได้
“พอดีกว่าครับ มึนๆ ยังไงไม่รู้ มันใส่เหล้าหรือเปล่านะ”
“ไม่นี่คะ แนนให้น้ำอัดลมปกติมานะคะ” แนนหยิบเครื่องดื่มสีดำขึ้นทานรวดเดียวหมดแก้วเหมือนไม่มีอะไร คะน้ามองแล้วจึงคิดว่าบางทีอาจเป็นเขาเองที่เวียนหัวหรือง่วงนอนขึ้นมาประหลาด สติที่ค่อยๆ พร่าเลือนทำให้คะน้าดื่มต่อตามคำรบเร้าของหญิงสาวตัวน้อยที่นั่งข้างๆ
เนิ่นนานจนสัมผัสที่นุ่มนวลกดลงบนต้นแขนจนทำให้คะน้าหันกลับไปมองจ้อง เห็นแนนค่อยๆ เบียดเนินอกของตัวเองเข้าหาอย่างเชื้อเชิญ วงแขนยกขึ้นเกี่ยวก่ายที่ลำคอแล้วโน้มหา ใบหน้าคลอเคลียอยู่ที่แก้มของเขาไม่ห่างไกล
“พี่คะน้าใจร้ายกับแนน ไม่เห็นเคยบอกแนนเลยว่าจบโทจากอเมริกา แถมรสนิยมก็ดีขนาดนี้” นิ้วชี้ของหญิงสาวค่อยๆ ลูบไปบนสาบเสื้อแล้วเลื่อนไปที่โบไทซึ่งรั้งอยู่ใต้ปกเสื้อแล้วค่อยๆ คลายออก
“อึดอัดใช่ไหมคะ แนนคลายออกให้นะคะ” ปลายนิ้วปลดกระดุมออกช้าๆ ทีละเม็ด ...เม็ดแรก ...เม็ดที่สอง ลมหายใจผ่าวร้อนพร่างพรมอยู่บนแผ่นอกของคะน้าพร้อมกับฝ่ามือที่ลูบไล้ไปมาอย่างแผ่วเบา
...เม็ดที่สาม
ในความพร่าเลือนของความรู้สึกที่เหมือนริมฝีปากที่เชิญชวนจะเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ที่คะน้าทีละน้อยๆ ก่อนจะค่อยๆ ลดลงต่ำ แต่มันเลือนลางจนไม่รู้ว่าเป็นเพียงความคิดคำนึงหรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เข็มขัดและขอบกางเกงค่อยๆ คลายตัวออก พร้อมกับซิบที่ค่อยๆ ร่นลงช้าๆ จนคะน้ามั่นใจ ...คิดว่ามั่นใจกับสัมผัสที่คลายตัวออกนั้น มือที่ลูบไล้เบาๆ ที่ต้นขาให้ความรู้สึกที่ซาบซ่าน หากแต่ว่ามันแปลกกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ...เหมือนไม่ใช่
...ไม่ใช่ทิมชาบหนุ่มพยายามอย่างหนักที่จะรวบรวมสติอีกครั้งแล้วเพ่งมองภาพตรงหน้า ภาพที่เห็นดูจะแจ่มชัดขึ้นเล็กน้อย แนนกำลังส่งยิ้มให้กับเขา แววตาที่เคยน่ารักแบบเด็กๆ เปลี่ยนไปจนเขาจำแทบไม่ได้ คะน้าขืนตัวเองขึ้น แม้ในเวลาที่สติสัมปชัญญะเริ่มลดต่ำจนน่าใจหาย หากแต่แรงของผู้ชาย โดยเฉพาะคนที่ต้องขนข้าวของในตลาดบ่อยๆ แบบคะน้านั้นไม่ต่างอะไรกับคนที่ออกกำลังกายในยิมทุกวันแต่น้อย แค่เพียงแรงเหวี่ยงเบาๆ ร่างของหญิงสาวดูเหมือนจะเซไปไกลกว่าที่คะน้าจะคาดคิด
อยากจะขอโทษ แต่ฟังดูคงไม่เป็นภาษา ...อย่างไรก็ตาม เขาต้องพาตัวเองออกไปจากตรงนี้ให้ไวที่สุด คะน้าลุกขึ้นแบบซัดไปเซมา มือซ้านดึงกางเกงที่ร่นลงขึ้นแล้วพยายามยัดๆ ใส่ๆ ให้พอไม่หลุดออกมาอุจาด สองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างโยกไหว คะน้าพยายามเปิดประตูออก จนแล้วจนรอดก็หาที่เปิดไม่เจอ เนิ่นนานกว่าที่จะพบว่าต้องบิดประตูออกด้านไหน คะน้าถึงได้ออกแรงกดประตูแง้มออกช้าๆ
...ซึ่งนั่นคือช้าเกินไปเมื่อแนนที่เสียหลักรุดขึ้นมาถึงตัวเขาแล้ว หญิงสาวเอาตัวเข้าขวางที่หน้าประตูแล้วใช้แผ่นหลังของตัวเองปิดประตูที่เปิดแง้มออก ดันจนมันปิดลงสนิทอีกครั้ง
“พี่คะน้าจะไปไหนเหรอคะ”
มือเล็กๆ ของแนนหลุบลงต่ำแล้วลูบไล้ไปทั่วช่วงล่าง ปลายนิ้วจับที่ซิบแล้วค่อยๆ รูดลงอีกครั้ง คะน้ารีบปัดมือออก ไม่อยากให้ทุกอย่างจบลงด้วยความเลวร้าย เขาฝืนแรงทั้งหมดกับบานประตูที่ลงน้ำหนักตัวของแนนไว้ให้เปิดออกอีกครั้ง ถึงจะทุลักทุเลแต่มันก็สำเร็จ คะน้าก้าวตัวออกจากประตู หากแต่จังหวะนั้นก็ยังคงไม่ทันการ แนนกลับรั้งไว้จนได้
จังหวะเดียวกันนั้น มีพนักงานของโรงแรมเดินผ่าน คะน้าพยายามจะเรียกหรือรั้งไว้ให้ใครสักคนพาเขาให้พ้นจากสถานการณ์นี้เสียที ชายหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกออกไปแบบมึนๆ เมาๆ แต่คนที่พูดอะไรแทบไม่รู้เรื่องแบบคะน้าหรือจะสู้คนที่พูดอะไรทุกอย่างได้ปกติแบบแนน
“มีอะไรกันหรือเปล่าครับ”
“มีเรื่องรบกวนค่ะ คือเห็นว่าไวน์ขาวในงานหมดแล้ว ช่วยรีบดูให้หน่อยได้ไหมคะ เพราะนายชอบไวน์ขาวที่แช่เย็นๆ มากเลย ค่อนข้างซีเรียสน่ะค่ะ” แนนทำหน้าตาจริงจังใส่ พนักงานคนนั้นพยักหน้ารับคำแล้วรีบวิ่งออกไป หญิงสาวยิ้มหวานให้แทนคำขอบคุณ แล้วจึงปิดประตูอีกครั้งก่อนจะหันมาสบตาคนข้างหน้า
“เลิกพยายามแล้วมาสนุกกันเถอะนะคะ มาถึงขนาดนี้แล้ว แนนไม่ถอยหรอกค่ะ”
“มันไม่ดีหรอกแนน อย่าเลย”
“แนนไม่ถือหรอกค่ะ แล้วอะไรที่ว่าไม่ดีล่ะคะ” ร่างบางพูดตอบแบบง่ายๆ แล้วรั้งสายเดี่ยวบนไหล่ให้ลดต่ำลง คะน้าได้แต่ยืนนิ่งๆ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดตรงหน้า ชายหนุ่มเบือนหน้าไปอีกด้าน
“แนนไม่สวยหรือไงคะ ...หรือแนนไม่ดีตรงไหน มีแต่คนอยากได้แนน” เธอถามพร้อมเบียดตัวมาแนบชิด หากแต่คะน้ากลับเบี่ยงตัวหลบด้วยการขยับหนีไปด้านข้าง หญิงสาวจ้องมองเนิ่นนาน แววตาระอุไปด้วยความไม่พอใจ
“...หรือว่าจริงๆ แล้วพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิง”
คำถามของแนนทำให้คะน้าไม่รู้จะตอบอะไร ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปชั่วขณะจนหญิงสาวจับความรู้สึกได้
“เพราะจริงๆ แล้ว พี่เป็นเกย์”คะน้ารู้สึกเหมือนริมฝีปากของตัวเองแห้งผาก อยากจะบอกปฏิเสธ แต่ความรู้สึกกลับตีย้อนกลับ ในเมื่อความจริงแล้วเขาก็ชอบผู้ชายอย่างที่แนนพูดจริงๆ ชอบทิม ...ไม่สิ เรียกว่ารักเลยจะดีกว่า ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่มีใครในสังคมยอมรับ แต่อย่างน้อย คะน้าอยากจะยอมรับตัวตนของตนเอง ยอมรับกับความเป็นจริง กับสิ่งที่เขาเป็น
“พี่คงชอบพี่ทิม คิดไม่ซื่อกับพี่ทิมใช่ไหม ...นั่นสินะ ถึงต้องแต่งตัวเลียนแบบ โลกวิปริตไปหมดแล้วสินะ ผู้ชายถึงอยากจะเป็นแฟนผู้ชายด้วยกัน”
ไม่มีคำตอบใดๆ ออกจากปากของคะน้า เขาเพียงแต่จะเปิดประตูให้ออกแล้วพยายามพาตัวเองที่สติมีเพียงพอจะประคับประคองไม่ให้ล้มลงออกไปจากตรงนั้น แต่แนนพยายามจะตามรั้งให้เขากลับ คะน้าจึงเลี่ยงหนีเท่าที่จะพอเป็นไปได้ สายตาของผู้คนล้วนจับจ้องร่างสูงที่ไหวเซ เบื้องหลังมีหญิงสาวใบหน้าสะสวยที่ตามอยู่ห่างๆ
ในสมองที่พร่าเลือนกลับมีแต่ความสับสนเต็มแน่น คะน้ารู้สึกเหมือนขาตัวเองอ่อนแรง ทางที่ใกล้ดูเหมือนไกล อย่างน้อยเขาก็อยู่ในสายตาของผู้คนแล้ว แนนคงไม่กล้าทำอะไรอีก แต่เขาอยากจะไปข้างหน้าอีกสักนิด หรืออีกสักหน่อยเพื่อที่อย่างน้อยคงง่ายกว่าที่ทิมจะมาเจอ คะน้าคะเนไม่ถูกว่ามีแรงพอขยับตัวไปอีกกี่ก้าว แอลกอฮอล์ที่ผสมในเครื่องดื่มทำเขาอ่อนแรงและง่วงนอนได้อย่างเหลือเชื่อ ท่ามกลางของสายตาผู้คนมากมายที่จับจ้อง ...เขาเซและทรุดลงในที่สุด
ร่างกายคงปะทะกับพื้นในไม่ช้า เสื้อผ้าราคาแพงที่ทิมซื้อมาคงมีค่าพอจะทำให้เขากลายเป็นตัวตลกชั้นดีให้กับทุกคนในวงสังคมได้บันเทิง ไม่ได้อยากให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ หากแต่ใครเลยจะเคยคาดคิด ...คะน้าในตอนนี้ค่อยๆ หมดแรง ...เลือนลางจนจำอะไรแทบไม่ได้เลย
ในความพร่าพรายนั้นเอง คะน้ารู้สึกเหมือนตัวเองกลับหล่นลงบนแผ่นหลังกว้างที่เหมือนรอเขาอยู่ สัมผัสที่คุ้นเคยของวงแขนที่เอื้อมมารั้งน้ำหนักทั้งหมดของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ทำให้คะน้ารู้สึกโล่งใจ แขนของคะน้าทั้งสองข้างวางพาดลงบนบ่าคนที่แบกตัวเขาอยู่ราวกับคนที่ใกล้หมดสติ คางเกยลงบนหัวไหล่ที่เขาจดจำมันได้
“ทิมมม...”
“รู้ว่าไม่ถูกกับเหล้าก็ยังไปกิน” เสียงของทิมเข้มแต่คะน้ารู้ดีถึงความเป็นห่วงของเจ้าของแผ่นหลังนั้น เหงื่อที่ชื้นซึมขึ้นผ่านเสื้อเชิ๊ตสีขาว แขนเสื้อที่พับขึ้นจนพอดีข้อศอก และไอเหงื่อบนไหล่ที่ไหวสั่นนั้น แม้หลับตาเขาก็จำมันไม่ดี
“นอนเถอะ ง่วงแล้วใช่ไหม”
“อืมมม...” คะน้ารับคำเบาๆ พริ้มตาหลับลงพร้อมกับรอยยิ้มละไม
ร่างของชายหนุ่มในวัยที่กำลังก้าวสู่ชีวิตผู้ใหญ่เต็มตัวกลับดูคล้ายกับเด็กน้อยที่อยู่บนหลังของพี่ชาย แม้ภาพที่ปรากฏขึ้นจะเรียกทุกสายตาให้หันมองด้วยความแปลกใจในตอนแรก หากแต่ในท้ายที่สุด ความอบอุ่นประหลาดนั้นกลับเรียกรอยยิ้มน้อยๆ ให้กับทุกคนที่จ้องมองเช่นกัน
“ทำไมรถของทิมมีสองคัน” คะน้าส่งเสียงึมงำบนหัวไหล่ที่หนุนต่างหมอน
“เพราะเจ้าของรถมันหล่อไง” ทิมตอบสั้นๆ แบบนั้น
“แล้วทำไมทิมมีสองคน” คะน้ายังไม่เลิกพล่าม ดัดเสียงแหลมเป็นเด็กอ้อแอ้ที่ฟังไม่ค่อยเป็นภาษา “นายกำลังคิดอยู่หรือเปล่าบีหนึ่ง ฉันก็กำลังคิดอยู่นะบีสอง” คะน้าสะกิดบ่าของทิมเบาๆ
“...ได้เวลาแปรงฟันแล้ววว คิก... คิก...”
คะน้าหัวเราะร่วนเป็นเด็กๆ แม้ลึกๆ ทิมจะหัวเสีย โกรธ และเป็นห่วงแค่ไหน แต่ลงท้าย ชายหนุ่มที่แบกคนที่หนักไม่แพ้กับตนไว้บนแผ่นหลังก็ได้แต่หัวเราะขำไปตลอดทาง
“เมาแล้วยังซ่า ไอ้บ้าเอ้ย ฮ่ะๆๆ”
ว่ากันว่าโดยเฉลี่ยทั่วไปแล้ว คนเราโกหก 4 ครั้งต่อวันหรือราว 1,460 ครั้งต่อปี นั่นเท่ากับมากถึง 87,600 ครั้งในตอนที่เราอายุ 60 ...ไม่น่าเชื่อที่เกือบทั้งหมดของการโกหกมากมายนั้นคือการพูดหรือแสดงออกว่าตัวเราเองสบายดี
“น้องทิมจ๋าาาา... เอิ๊กกก... พี่คะน้าไม่เมานะ”
อีกมากกว่าครึ่งของที่เหลือ คือการพูดกับผู้คนมากมายหลังจากดื่มอย่างหนักว่า ‘ไม่เมา’
“เก๊าะบอกแว่ไม่มาววววววววววว...”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
จะงงกับมุกการ์ตูนก่อนนอนเรื่อง Bananas in Pyjamas ไหมนะ (มันโบราณมาก 55)
เอาเป็นว่าจบไปอีกหนึ่งตอนที่อ่านแล้วอาจมีอาการคันยุบยิบกับสาวน้อยผู้ขึ้นแท่นตัวร้ายใหม่ล่าสุด
จริงๆ มันต้องเด็ดดวงกว่านี้ แต่ตัดออกเพราะแค่นี้ก็ถือว่ายาวจนขี้เกียจอ่านกันไปข้างนึงแล้ว
ทำให้ตัดฉากอะไรออกไปเยอะเหมือนกันเพราะคนแต่งอยากดื้อแพ่งรวบให้เป็นตอนเดียว
ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกคอมเมนต์ และกำลังใจ ขอ +1 ให้กับทุกคนนะครับ
และสุดท้ายนี้ จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากกอดดดดดดดดดด...แน่นๆสักที