ขอโทษทีนะครับ หายไปนานจริงๆ พอดีงานแทรกเยอะมาก ไม่ไหวแล้ว
คนแต่งอยากหนีไปบวชตัดขาดจากทางโลกเสียจริงๆ ฮือๆๆ
งานยังไม่พอแถมยังไม่สบายงอมแงมอย่างต่อเนื่อง เอาแต่นอนทั้งวัน แหะๆ
ทานยาแล้วง่วงจริงๆ นะ พยายามแต่งแล้วไม่ไหวจริงๆ
เอาล่ะ ไม่โม้ให้มากความ อ่านต่อเลยครับ!
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ตอนที่ 11 (ต่อ)กระทั่งพระอาทิตย์สีส้มขึ้นแตะขอบฟ้าแทนที่ดวงจันทร์ที่คุ้นตา
สีดำเข้มที่เคยแต่งแต้มอยู่ทั่วผืนฟ้าถูกย้อมด้วยแสงสีทองที่เฉิดฉายงดงาม
เสียงโทรศัพท์ที่ใช้แทนนาฬิกาปลุกทำให้ชายหนุ่มกระพริบตาตื่นขึ้น
มือไม้แกว่งไกวจนปัดป่ายให้สมุดไดอารี่เล่มหนาหล่นมาทับหัวแทนระบบการปลุกซ้ำอัตโนมัติ
“โอ้ยยย”
คะน้าเอามือคลำหัวตัวเองป้อยๆ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนผล็อยหลับลงไปตอนไหน ลุกขึ้นแล้วรีบไปอาบน้ำ
เผื่อว่าน้ำเย็นๆ จะช่วยเรียกสติกลับคืนมาได้บ้าง แต่ผลลัพธ์กลับดูจะไม่เป็นไปตามคาด
เมื่อเจ้าสติดันกลับมาพร้อมกับภาพความทรงจำของทิมและตุลที่ไม่น่าจดจำในช่วงหลายวันนี้
ลงท้ายก็แบกเอาเรื่องมึนๆ มากมายที่อยู่ในใจไปที่ตลาดด้วยความจำใจ
ที่ตลาดวันนี้เกิดสงครามย่อมๆ เมื่อผู้ท้าชิง สายใจ หอยใหญ่ หอยโต
จะขอเทียบรัศมีกับสาวพม่านัยน์ตา Korea อย่างจันทูที่ปัจจุบันควบตำแหน่ง
ราชินีไซด์งานก่อสร้างพ่วงอีกหลังจากที่ได้ไปเสิร์ฟไอศกรีมแทนคะน้าเป็นครั้งคราว
แล้ววันอันแสนอลหม่านก็จบลงไปอีกวันพร้อมกับอาการปวดหัวของคะน้า
จนซมซานกลับมาที่คอนโดพร้อมร่างที่แทบจะหมดเรี่ยวแรง
กระทั่งสายน้ำเย็นๆ จากฝักบัวที่โรยตัวลงมากระทบผิวเรียกความสดชื่นกลับมาอีกครั้ง
ความรู้สึกผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าจึงเริ่มเข้ามาบำบัดความเครียดที่มีให้จางหายไปทีละน้อยๆ
สายน้ำเย็นฉ่ำที่ไหลผ่านตัวช้าๆ ราวกับชะล้างทุกสิ่งทุกอย่างออกไปเบื้องหลัง
แม้ว่าจะคุ้นเคยกับการใช้ชีวิตอยู่คนเดียวที่บ้านอีกหลัง แต่ที่นี่แตกต่าง
ห้องที่เคยเห็นผักกาดนั่งดูทีวีบนโซฟาอย่างเกียจคร้าน เดินไปมา
หรือส่งเสียงประหลาดกลับดูเงียบเหงา แห้งแล้งและไม่มีชีวิตชีวา
เงียบสงบราวกับเหลือเขาเพียงคนเดียวบนโลกนี้ลำพัง ออกไปนั่งเงียบๆ คนเดียวที่ระเบียง
มองฟ้าที่ไม่มีทั้งดวงดาวหรือพระจันทร์ กระทั่งได้ยินเสียงกีต้าร์เบาๆ ล่องลอยมาตามสายลม
มีคนเคยบอกว่าคงจะมีเพียงคนเหงาที่เข้าใจคนเหงาด้วยกัน แม้จะไม่ได้เห็นด้วยตา
หากแต่เสียงดนตรีที่กระซิบผ่านมาในอากาศนั้นกลับดูหงอยเหงาจนสัมผัสได้
เพียงได้ยินแค่เสียงดนตรีที่ไร้คำร้อง คะน้าก็พอจะคาดเดาออกว่า
เพื่อนบ้านที่เคยมีรอยยิ้มสดใสราวกับจะหยุดโลกทั้งใบได้นั้นเป็นเช่นไร
ครู่เดียวเสียงกริ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับร่างของคะน้าที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องตุล
ไม่ใช่แค่เพียงความเหงา แต่ในใจของหนุ่มน้อยเจือไปด้วยความห่วงใยจางๆ
โดยที่เจ้าตัวอาจไม่ทันเอะใจ และเพียงชั่วอึดใจประตูบานทึบก็ค่อยๆ แง้มออก
“หวัดดีค...ครับ” ชะงักค้างเมื่อพบว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ตุลผู้เป็นเจ้าของห้อง
แต่กลายเป็นผู้หญิงสวมกางเกงขาสั้นสบายๆ
...รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก
“สวัสดีค่ะ มีธุระอะไรคะ” เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าเฉยเมย
อันที่จริงอาจจะเจือความไม่พอใจไว้นิดๆ เสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ... ผมคือ เอ่อ... มาพบตุลน่ะครับ”
“ให้บอกว่าใครคะ” สีหน้าของเธอปรับเป็นรอยยิ้มขึ้นตามมารยาท
“ผม...”
“ต่ายเหรอ...” เสียงเจ้าของห้องดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับโผล่ตัวขึ้นที่ด้านหลัง
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” รอยยิ้มจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
...ใบหน้าที่ดูจะไม่มีความสุขเท่าไหร่
“ว่าจะแวะมาคุยเล่นน่ะครับ ไม่รู้ว่าหมอ... เอ่อ... ติดธุระอยู่”
คะน้าเหลือบมองแววตาที่จ้องเขม็งของเธอคนนั้นก็รู้สึกเหมือนถูกตำหนิที่มารบกวน
“งั้นผมกลับก่อนนะ ไว้ว่างๆ ค่อยมาคุยใหม่เนอะ แหะๆ” โบกมือลาแล้วพลิกตัวกลับ แต่ข้อมือก็ถูกรั้งไว้
“เข้ามาข้างในสิ” ไม่ฟังคำทัดทาน ตุลคว้ามือของคะน้าแล้วเดินเข้าห้องไป
จนใจจนกลายเป็นจำยอมเพราะไม่รู้จะพูดอะไรดี
เมื่อเดินนำเข้าไปด้านในแล้วตุลก็ดึงมือของคะน้าให้นั่งลงบนโซฟาข้างๆ กับเขา
หญิงสาวที่เดินตามมาทีหลังยิ้มน้อยๆ แบบพอรักษามารยาทหากแต่คะน้ารับรู้ถึงความไม่ชอบใจในที
“นี่ก้อย เพื่อนผม ต่ายพอจำได้ไหมครับ”
“สวัสดีครับ ตอนแรกว่าหน้าคุ้นๆ แค่ผมจำไม่ได้จริงๆ ที่แท้ก็คุณหมอก้อยนี่เอง”
คะน้าทักทายแล้วยิ้มให้ด้วยไมตรี
“สวัสดีค่ะ” เธอยิ้มกลับแต่โดยดีแล้วหันไปทางตุล “ใครเหรอคะ”
“เพื่อนบ้านน่ะครับ ก้อยเคยเห็นแล้วไง ตอนนั้นที่โรงบาล”
ตุลตอบพร้อมส่งรอยยิ้มน้อยๆ มาให้คะน้า
หญิงสาวเพียงเหลือบมองชั่วครู่ แววตาไม่รู้สึกถึงความคุ้นเคยแม้แต่น้อย
เธอเงียบไปก่อนจะเปรยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่สะบัดสูงไม่ใยดีใดๆ
“ก้อยนึกว่าเป็นแฟนกันเสียอีก”
เสียงเรียบๆ นั้นทำให้คนที่ถูกเอ่ยถึงสะดุ้งสุดตัว คะน้าหันไปมองคนพูดด้วยความเหรอหรา
สลับกับใบหน้าของคนที่นั่งข้างๆ ด้วยความมึนงง ตุลยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ตอบอะไร
เขายกมือขึ้นแล้วโอบลงบนบ่าของคะน้า ชายหนุ่มสะดุ้งกายเล็กน้อย หันไปมอง
อ้าปากพะงาบพร้อมโวยเต็มที่ แต่เมื่อเจอรอยยิ้มหวานฉ่ำของคนที่นั่งข้างๆ เข้าไป
...ท่าจะบ้าไปแล้ว จากที่ตั้งใจจะต่อว่ากลับกลายเป็นเผลอยิ้มเขินตอบไปโดยไม่รู้ตัว
ตุลหัวเราะนิดๆ แล้วโน้มศีรษะตัวเองเข้ามาโขกด้านข้างของหัวคะน้าเบาๆ แล้วอมยิ้ม
...แผ่นดินไหวใช่ไหม ทำไมใจมันสั่นๆ หว่า
หากแต่ไม่มีคำพูดใดๆ แทนคำตอบออกจากปากของตุล
และนั่นดูเหมือนจะทำให้หญิงสาวรู้สึกไม่พอใจนัก
“จะไม่พูดชี้แจงอะไรหน่อยหรือคะ” ก้อยมองจ้องไปที่ตุลเหมือนเค้นเอาคำตอบ
แต่แววตาของตุลยังคงเรียบเฉยราวกับผิวน้ำเรียบๆ ที่ยากจะคะเนความลึก
...จนปัญญา หญิงสาวจึงปรายแววตาคุกรุ่นนั้นมาที่คะน้าที่นั่งเคียงข้างชายหนุ่มอีกคนแทน
จนแขกผู้มาเยือนอย่างเขารู้สึกตัวฟีบลงไปในทันที ไม่ชอบสิ่งที่เป็นอยู่เอาเสียเลย
พยายามจะอ้าปากอธิบาย แต่สายลมเบาๆ ที่เป่าอยู่ข้างๆ หูมันทำให้ขนลุกอย่างประหลาด
คะน้าหันไปมองด้วยสายตาที่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร ระคนไปด้วยความโมโหที่ไม่ดูกาลเทศะ
แต่ก็เจือไปด้วยความเขินกระดากพอๆ กัน ตุลยกปลายคิ้วน้อยๆ สองสามครั้ง
พร้อมกระพริบตาทะเล้นใส่ เล่นเอาคะน้าเหวอ ก่อนจะมีสายลมเบาๆ
เป่ามากระทบใบหูอีกครั้งจนรู้สึกร้อนฉ่า ...ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ
เสียงสูดลมหายใจกระฟัดกระเฟียดของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมใบหน้าที่เริ่มแดงก่ำ
“ดูตุลสบายใจขึ้นนะคะ ไม่เครียดอะไรอีกแล้ว” ลงท้ายดูเหมือนว่า
จะเป็นก้อยเองที่จะหมดความอดทนกับความเงียบที่เป็นอยู่
“แบบที่ผมบอกก้อยแหละครับ ผมไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง”
แล้วตุลก็หันมาชวนคะน้าคุยไปเรื่อยเปื่อยโดยมีก้อยนั่งอยู่ใกล้ๆ
“กินข้าวยังน่ะเรา เย็นนี้ไปทานอะไรกับผมนะ”
หญิงสาวก้มหน้านิ่งไม่ได้แสดงท่าทางหรือความรู้สึกใดๆ ออกมา
กระนั้น คะน้าก็ได้แต่ยิ้มๆ ด้วยความอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
...ได้แต่นั่งเงียบๆ มีตุลหันมาส่งยิ้มให้กับคะน้าเป็นระยะๆ แล้วก็นั่งจับเจ่าอยู่แบบนั้น
เผินๆ ดูมีความสุขดีหรอก แต่ในดวงตาที่เคยสุกใสนั้นมันหม่นจนคะน้ารู้สึกใจไม่ดี
หมอก้อยเองก็คงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ของตุล
เธอลอบมองชายหนุ่มบ่อยๆ ความห่วงใยนั้นฉายออกมาแจ่มชัด
แต่ตุลกลับไม่ได้มองเห็นท่าทางของหมอก้อยนั้นเลย ...อันที่จริงดูเหมือนแกล้งไม่เห็นเสียมากกว่า
ผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ สุดท้าย เสียงผ่อนลมหายใจของหญิงสาวดังขึ้น
หมอก้อยคว้ากระเป๋าถือใบเล็กๆ ของเธอขึ้นมาสะพายไหล่ แล้วก็ลุกออกจากห้องไป
คะน้าหันไปมอง อยากจะถามว่าเธอไปไหน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะถามดีหรือเปล่า
ได้แต่หันมามองหน้าตุล หัวไหล่ของคนตัวเล็กกว่ากระแทกลงไปบนบ่ากว้างของคนที่นั่งอยู่ใกล้ๆ
เหมือนส่งสัญญาณให้เจ้าของห้องทำอะไรสักอย่าง จนตุลเงยหน้ามามองด้วยความแปลกใจ
คะน้าถมึงตาใส่แกมบังคับว่าตุลควรจะลุกขึ้นไปส่งหมอก้อยที่เป็นเพื่อนของเขา
หากแต่หมอหนุ่มกลับมีท่วงท่าเฉยเมยเช่นเดิม
“เค้าจะไปไหนน่ะ” คะน้าถามด้วยความหงุดหงิด
“ไม่รู้”
“ก็แล้วไม่ถามซะหน่อยเหรอ” ชักจะเซ็งๆ กับท่าทีของตุล ทำไมไม่ดูแลเพื่อนเอาเสียเลย
“ก็ไม่อยากรู้”
“อ้าววว...” คะน้าถึงกับอ้าปากหวอในคำตอบ มึนงงจนต้องนิ่งไปสักพัก “ทะเลาะกันเหรอ”
“เปล่านี่”
“แล้วทำไมดูตึงๆ กัน เหมือนไม่ค่อยอยากจะพูดอะไรกัน มันเหมือนทะเลาะอะไรกันอยู่เลย
หมอก้อยเป็นเพื่อนที่ทำงานไม่ใช่เหรอ แล้วนี่เค้าก็มาเยี่ยมหมอเลยนะ
ขนาดเด็กประถมสี่ยังดูรู้เลยนะหมอว่าเขาห่วงหมอขนาดไหน”
“เด็กประถมสี่เลยเรอะ” ตุลถึงกับหัวเราะขึ้นมาเมื่อคะน้ารัวคำถามใส่เป็นชุด
“อ้าว ก็พูดจริง นี่มันสาวมาหาถึงบ้านเลยนะเว้ยเฮ้ย แถมยังเป็นสาวสวยซะด้วย”
“แล้วยังไง เกี่ยวอะไรกับเด็กป.สี่” ตุลยังคงล้อเลียนไม่เลิก
“อ้าว ไอ้นี่ ก็แปลว่าเค้าห่วงมากแคร์มากนะเว้ย
มีสาวสวยขนาดนี้ เป็นห่วงเป็นใยขนาดนี้ มันน่าดีใจจะตายไป
ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้กับคนทุกคนนะเว้ย ทำเป็นเล่นไป”
คะน้าพล่ามเป็นชุด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพบกับสบตาหวานฉ่ำของตุล
ที่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของตนเองอยู่ไม่วางตา ราวกับไม่ได้สนใจในสิ่งที่คะน้าพูดไปเลย
หมอหนุ่มจ้องมองอยู่ตลอดเวลาที่เขาพูดจนต้องชะงัก
...มองอะไรนักหนาวะเนี่ย
“พูดต่อสิครับ ผมกำลังฟัง” ค่อยๆ เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้
ปลายนิ้วเลื่อนไล้ที่ไรผมเล่นอย่างเบามือ
“เออ ช่างเหอะ” เบือนสายตาลงต่ำด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
ครั้นเหลือบมองดูคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ด้วยความรู้สึกสั่นไหว
คะน้าก็เห็นแต่รอยยิ้มจางๆ ที่คลี่แฝงอยู่ที่มุมปาก
ปลายนิ้วที่เขี่ยผมเล่นถูกดึงกลับไปวางนิ่งอยู่ข้างกาย
เสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น ก่อนทุกสิ่งจะกลับมานิ่งสนิทตามเดิม
คะน้าหันไปมองเหมือนจะตำหนิที่ตุลเล่นอะไรไม่เข้าท่า
พลันสายตาก็เหลือบมองไปเห็นกับรอยปื้นแดงเล็กๆ ที่กระจายอยู่บริเวณซอกคอของตุล
...ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าเป็นรอยอะไร และเมื่อสังเกตดูดีๆ จะพบว่า
เสื้อเชิ้ตของเขามีรอยยับย่น กระดุมเสื้อถูกปลดลงลึกแทนที่จะติดครบทุกเม็ดแบบที่คะน้าคุ้นตา
...บางทีอาจจะเกิดสงครามย่อมๆ ก่อนที่เขาจะเข้ามาก็เป็นได้
คิดดูแล้วก็ไม่แปลกใจเลยที่หมอก้อยแดงสีหน้าแบบนั้น
ตุลหันมามองก็พบว่าถูกคะน้าจ้องอยู่อย่างไม่วางตา เขาไม่ได้คิดที่จะ
เก็บซ่อนมันไว้อย่างเขินอาย ตรงกันข้ามกลับยิ้มแปลกๆ ที่มุมปากราวกับ
อยากให้คะน้าเห็นเช่นนั้นเสียมากกว่า ...ดูเป็นยิ้มที่ดูจงใจให้เห็นว่าเป็นยิ้มชอบกล
อันที่จริงเรียกว่ากระตุกริมฝีปากขึ้นแบบขอไปทีแค่นั้นยังจะดีกว่า
“อยากจะพูดอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่” คะน้าตอบกลับเบาๆ
“อือ”
ทุกอย่างเงียบสงบด้วยความเก้อเขินของคะน้าและอารมณ์หม่นๆ ของผู้เป็นเจ้าของห้อง
กระทั่งน้ำหนักศีรษะของคนนั่งใกล้ๆ ค่อยๆ ถ่ายเทลงบนบ่า
พร้อมกับเสียงผ่อนลมหายใจอย่างเหนื่อยล้าของคนที่นั่งใกล้
คะน้าเหลือบไปมอง ไม่ได้เห็นใบหน้าอย่างที่ตั้งใจ
มีเพียงกลิ่นหอมอ่อนๆ ของยาสระผมบนผมของคนที่นั่งใกล้ที่เจือมาให้รู้สึก
...ปล่อยให้ทุกอย่างดำดิ่งสู่ความเงียบอีกครั้ง
เนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ กระทั่งคะน้ารู้สึกปวดล้าที่บนบ่า
เสียงถอนหายใจเบาๆ ของตุลยังดังขึ้นเป็นระยะๆ จนเขาอดไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม
“ตุลเป็นอะไร ผมเป็นห่วงนะ รู้ไหม?” คะน้าพูดขึ้นด้วยเสียงที่เบาเหมือนกับสายลมพัด
มีเพียงเสียงลมหายใจเบาๆ ของตุลดังขึ้นใกล้ๆ
...เพียงเท่านั้นจริงๆ ที่พอจะบ่งบอกว่าคนที่ชิดใกล้ยังมีชีวิตอยู่
“ตุล...”
“ครับ”
“เป็นไร” รู้สึกถึงแรงขยับที่สั่นไหวบนบ่าและเสียงลมหายใจหนักอึ้งที่ติดขัด
“รู้ไหม? หลายวันมานี้ นายดูไม่เหมือนกับคนที่ผมเคยรู้จักเลย
คนที่เคยหัวเราะ ยิ้มมันทั้งวัน คนที่ร้องเพลงเพราะๆ นั่งดีดกีต้าร์อารมณ์ดี
มันหายไปไหนว๊า บอกมา!” เสียงทุ้มๆ คำรามเบาๆ ในลำคอแทนคำตอบ
“บอกมาเด๊! บอกมา เงียบแบบนี้ กู... กู...” คะน้ากลืนน้ำลายอย่างติดขัด
ยิ่งตุลเงียบเฉยเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คะน้าหอบลมหายใจแรงก่อนจะค่อยๆ
ปรับความรู้สึกที่คุกรุ่นของตัวเองลง เมื่อเห็นท่าทีที่นิ่งเงียบของตุล
ชายหนุ่มค่อยๆ ยกศีรษะของตัวเองขึ้น ขยับตัวเว้นระยะห่างจากคะน้าไปเล็กน้อยแล้วนิ่งเงียบอยู่แบบนั้น
คนตัวเล็กกว่าทอดสายตามองตามด้วยความรู้สึกหน่วงอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
“ก...กูเหมือนคนที่ไม่มีประโยชน์สำหรับมึงเลย”
“ขอโทษ”
“เป็นไร”
“ไม่เป็นไร” ตุลหันมามองแล้วฝืนยิ้มเล็กน้อย “ขอบใจนะ”
“ขอบใจเหรอ” คะน้าหันกลับไปมองคนข้างๆ
ที่ตอนนี้ได้แต่ทอดสายตามองอย่างไร้จุดหมาย “อือ... แค่นั้นสินะ”
“อย่าคิดมากเลย ผมไม่เป็นไรจริงๆ” แรงขยุ้มเบาๆ บนหัว
ทำให้คะน้าหันกลับไปมองดวงตาที่ดูเศร้าๆ คู่นั้น
รอยยิ้มน้อยๆ จางอยู่บนใบหน้าพอเป็นพิธีเท่านั้น
“ผมดีใจมากนะครับที่คุณเป็นห่วงผม
ทั้งๆ ที่ผมมันก็แค่คนที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย”
“หมายความว่ายังไงเหรอ” คะน้าหันมาถามด้วยความมึนงง
“ผมทั้งชั่ว ทั้งเลว ทำความผิดที่ไม่น่าจะให้อภัย
หึ... คนแบบผมไม่มีค่าอะไรที่คนดีๆ แบบคุณควรมาเห็นใจอะไรเลย”
“ผมไม่เข้าใจ” ตุลเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ซึ่งก็ถือเป็นช่วงเวลานานหลายนาที
ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดอะไรบางอย่างออกมา
“...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว”
“นิทานเหรอ” คะน้าถามด้วยความไม่เข้าใจ
“อือ... นิทาน” ตุลพูดกลับเบาๆ พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ ที่เจือด้วยความรู้สึกประหลาด
(มีต่ออีกจึ๊กนะ)