http://www.youtube.com/v/mY2j9PmGjXs[อาจมีการสับสนงุนงงเกิดขึ้น นี่เป็นเพลงประกอบตอนค่ะ 5555]
[แอบหลอนเหมือนกันนะเนี่ย...]
9th Day : It's a Long, Long night [2/2] เสียงแหลมเล็ก...จนแทบจะกรีดโสตประสาทให้ขาดเป็นชิ้นๆ หัวใจเต้นช้าลง..เบาลง..จนผมแทบสัมผัสไม่ได้ถึงลมหายใจของตัวเองยามที่จ้องมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นผ่านกระจกเงา หล่อนมองตรงมาที่ผมเช่นกัน ผมยาวสยายดูไม่ได้ผ่านการหวีสางมาเป็นเวลานานทำให้ร่างนั้นยิ่งดูแบบบางลงไปอีก..ข้อมือขาวโพลนโผล่พ้นเสื้อสีแดงเข้มราวกับศพ...ผมไม่อยากมอง ไม่อยากพิจารณาเธอ...แต่ผมไม่อาจเบือนสายตาหลบออกมาได้
อีกฝ่ายเขย่งเท้าขึ้นมาเกยคางบนไหล่ผม...แล้วกระซิบข้างหู
“...Fais do do...” ผมจำได้...จำทั้งทำนองทั้งท่อนร้องเพลงเช่นนั้นได้...
และการที่ผมจำได้...มันยิ่งรู้สึกแย่...
“Colas mon petit frere” ..เหมือนมือผอมบางคู่นั้นได้กางกรงเล็บจิกหัวใจของผมเอาไว้...
“Fais do do, t'auras du lolo” เธอจับตัวผมโยกเหมือนเป็นเด็กเล็กๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกเหมือนก้อนอะไรบางอย่างเคลื่อนขึ้นมาที่คอ...อยากขย้อน อยากเอาออกไป...แต่สิ่งที่ออกมาแทนอาหารกลางวันกลับเป็นความร้อนผ่าวทุกผิวสัมผัสที่ได้แตะต้องกับหล่อน.....
.....ต้องผลักหล่อนออกไป....
..ไม่...
...........ผม....ทำสิ่งนั้น....ไม่ได้....... “Maman est en haut,”
“Qui fait des gateaux” ผมเริ่มหายใจแรงขึ้นระหว่างที่โก่งตัวไปด้านหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ ก้อนอะไรบางอย่างนั้นเหมือนจะอยากออกมามากเหลือเกิน คลื่นไส้..อยากอ้วก อยากจะทรุดลงไปเพราะอาการหน้ามืดแบบนี้
“Papa est en bas,” มีใครบางคน...กำลังเดินมา... ผมได้ยินเสียงฝีเท้า และตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ตัวว่าตัวเองหลับตาอยู่ถึงได้รู้สึกว่ารอบข้างมันมืดขนาดนี้ พี่ยามทำท่าเหมือนจะเข้ามาช่วยผมด้วยท่าทีลังเลแบบสุดๆ เพราะมันพ้นเวลาเลิกเรียนมานานแล้วตรงนั้นจึงแทบไม่มีคนผ่าน และ..เจ้าของรองเท้าหนังสีดำที่เดินเข้ามาหาผม......
...ก็จุดไฟไล่ 'เงา' พวกนั้นทิ้งไปได้ในพริบตา... พลั่ก!! ผมผลักหล่อนออก มันไม่ยากเลย..อีกฝ่ายผอมซูบขนาดนั้นไม่มีทางสู้แรงผู้ชายของผมไหวอยู่แล้ว และการกระทำเช่นนั้นทำให้หัวใจกลับมาเต้นอีกครั้ง...และครั้งนี้แรงกว่าเดิมเยอะนัก
“....ว้าย!”
“มานี่!!”
ผมคว้าข้อมือเธอฉุดขึ้น จึงได้รู้ว่าไอ้ความร้อนที่แผ่ไปทั่วร่างกายคือความโกรธ..
ไม่ใช่ความกลัว! “แก..! แกจะพาฉันไปไหน!!”
“โทรหาตำรวจให้ทีครับ!”
ผมร้องบอกพี่ยาม ไม่สนใจอาการขัดขืนที่รุนแรงเกินคนปกติแบบนั้นเลยสักนิด เพราะทุกคนรู้อยู่แล้วว่าหล่อนไม่ปกติ...ดูจากชุดคนป่วยของโรงพยาบาลทางประสาทแบบนี้กับเท้าขาวซีดไม่มีรองเท้า มันไม่ต้องเสียเวลาเดาสักนิด ไม่เลย..และผมรู้ว่าต้องทำยังไงต่อไป
“ปล่อยนะ! เทียน! ฉันอุตส่าห์มาหาแกแทนที่แกจะซึ้งน้ำใจนะ!!”
ข้อมือบางที่ถูกผมกำอยู่น่าจะขึ้นรอยในไม่ช้านานนี้ ผมไม่สนใจคำพูดพวกนั้นที่อีกฝ่ายพ่นออกมาไม่หยุด..ที่จริงส่วนใหญ่จะจับใจความไม่ค่อยได้นักหรอก..ไทยคำ อังกฤษคำ ฝรั่งเศสคำแบบนั้นใครมันจะไปฟังรู้เรื่องกันนะ
“ปล่อย ปล่อยฉัน ปล่อย!!”
ตรู๊ดดด...ตรู๊ดดดดด... ผมเงี่ยหูฟังสัญญาณในโทรศัพท์ ความเจ็บแปลบที่แขนแสดงว่าหล่อนคงข่วนลงมาไม่ยั้ง
..ไม่นาน..ก็มีคนมารับโทรศัพท์..
((ฮัลโหล สวัสดีค่ะ))
“ยายเหรอครับ เทียนเองนะ"
เสียงผมสั่น ใช่..มันสั่นมาก สั่นจนผมกลัวตัวเอง..กลัวว่าตัวตนที่แท้จริงที่กำลังทำเป็นเข้มแข็งอยู่แบบนี้อาจจะเปลี่ยนไปตรงหน้าวินาทีนี้เลยก็เป็นได้ ทั้งน้ำตา..ทั้งความอ่อนแอในอดีต...มันจะไม่มีทางหวนกลับมาอีกแล้วตราบเท่าที่สติของผมยังคุมมันอยู่..
ก้อนอะไรบางอย่างขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ ความคลื่นไส้ไม่ได้หายไปเลยสักนิด...
“ผมเจอแม่แล้ว"----------
...ดอกบัว...
พี่ขอโทษ....พี่...ปกป้องน้องไม่ได้... .......พี่ขอโทษ.... กลิ่นเหม็นรสเปรี้ยวในลำคอทำให้ของเคลื่อนผ่านจากกระเพาะออกมาได้ไม่หยุด ยิ่งอาเจียนยิ่งมีออกมาเรื่อยๆ ยิ่งนึกถึง..ก็ยิ่งแย่..และจะทวีความน่าสังเวชต่อไปตราบเท่าที่ยังหาทางจัดการกับ 'ความทรงจำ' ในสมองไม่ได้
เมื่อพบว่าสิ่งที่ออกมาไม่มีอย่างอื่นนอกจากน้ำจึงตัดสินใจพะอืดพะอมแล้วเงยหน้าขึ้น อาการหน้ามืดเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย..แต่ความปวดมวนในท้องแบบนี้น่ากังวลกว่านัก...
ผมกำลังจะล้มลงถ้าไม่ได้ใครบางคนจับแขนเอาไว้ พร้อมยื่นขวดน้ำมาตรงหน้า
ผมมองหน้าเขา อีกฝ่ายยิ้มให้ผม
ปั๊ก! “อะ..” อีกฝ่ายถัดขาถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเจ้าชวดน้ำที่เปิดฝารอไว้เรียบร้อยแล้วตกลงไปบนพื้น น้ำดื่มเย็นๆกระฉอกออกมาชุ่มถุงเท้าจนขึ้นสีเข้ม..และผมที่เป็นคนปัดมันตกไปกับมือก็ได้แต่กร่นเสียงต่ำ
“ไสหัวไป" คนตรงหน้าละล่ำละลัก “เทียน...”
“ผมบอกให้ไสหัวไป!! ไม่ได้ยินรึไง!!!” ขึ้นเสียงจนเกือบจะเรียกได้ว่าตะคอก ซึ่งถูกแล้ว..มันคือการ
'ตะคอก' ช่องว่างระหว่างตึกแถวไม่ได้กว้างมาก เหมือนเป็นตรอกสำหรับคนจรจัดให้เดินผ่านไปผ่านมาโดยไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนชนชั้นกลางที่เดินเรียงรายเต็มท้องถนน นั่นเป็นข้อดีที่ทำให้ไม่ว่าใครก็คงไม่ทันสังเกตเรา..แต่ข้อเสียก็คือในชุดนักเรียนโรงเรียนชื่อดังแบบนี้ก็คงไม่ใช่โฮมเลสแน่ๆ...
ผมขมวดคิ้วพยายามความคุมสติ สมองมึนตึบจนแทบไม่อยากรับรู้อะไร..ไม่เลย..ไม่เลยสักนิด...
“เทียนครับ" เสียงนุ่มๆเอ่ยเรียกชื่อผมอีกครั้งหนึ่ง พร้อมขวดน้ำขวดใหม่ยื่นมาให้
พอผมเงยหน้าขึ้นมอง อีกฝ่ายก็ยิ้มให้เหมือนเดิม
“คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ผมเลยซื้อมาสองขวด" ..เอาล่ะ ผมแพ้.. เมื่อคิดได้ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธน้ำล้างปากนั่นรอบที่สอง ผมรับมันมาเหมือนไม่เต็มใจ..แล้วใช้มันมากลั้วคอล้างรสเปรี้ยวพวกนั้นทิ้งลงไป มันช่วยได้มากกว่าที่ผมคิด..อาการอยากอาเจียนหายไปหมดแล้ว
“คุณหิวมั้ย?”
เขาถามผม ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
“ปวดหัวรึเปล่า?”
ผมยังคงส่ายหน้าแทนคำตอบ
“เราเดินเปลี่ยนบรรยากาศกันหน่อยมั้ยครับ?”
ผมส่ายหน้าอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ฟัง
“ไปเถอะน่า"
“...หนวกหูจริง" “ถ้าคุณเดินมากับผม ผมสัญญาว่าจะไม่ทำให้คุณหนวกหูอีกแน่นอน"
..ผมแพ้รอบสอง.. และผมโคตรจะยอมรับการพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้จริงๆ ทั้งๆที่ผมทำได้เพียงเดินตามเขาออกมาจากตรอกแคบๆไม่น่าอยู่นั่น ผ่านผู้คนมากมายทั้งๆเสื้อเชิ้ตหลุดรุ่ย เนคไทพาดอยู่บนบ่า..ต่างกับอีกคนที่ใส่ชุดเนี๊ยบกริบทุกกระเบียดนิ้วอย่างสิ้นเชิง
เขาเดินนำผมมาจนถึงสวนสาธารณะตรงเชิงสะพานข้ามแม่น้ำ มันเรียกไม่ได้ว่าสวนหรอกเพราะแทบไม่มีต้นไม้สักต้น เป็นเพียงลานโล่งๆปูด้วยอิฐตัวหนอนเป็นลายสวยทั้งๆที่รู้ว่าไอ้ความสวยงามน่ะมันอยู่ได้ไม่นานนักหรอกถ้าคนไทยยังใช้มันอยู่...นั่นแหละ..เอาเป็นว่าหลายคนในละแวกนั้นใช้พื้นที่ส่วนกลางตรงนั้นเป็นลานเต้นแอโรบิกเปิดเพลงดังกระหึ่ม ไม่มีความเป็นส่วนตัวในด้านสายตาด้วยซ้ำ..
..กลับกัน..ถ้าเป็นความส่วนตัวทางด้านโสตประสาทแล้วล่ะก็มันชนะขาด..
เพราะไม่ว่าเราจะพูดอะไรหรือแหกปากด่ากันแค่ไหนก็คงไม่มีใครได้ยิน...
ถึงตรงนี้..ผมจึงเป็นฝ่ายเดินนำเขาไปที่ม้านั่งหลังตอม่อสะพานต้นใหญ่ มันเกือบจะเรียกได้ว่ามุมอับ..และสามารถทอดสายตามองไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่ผมด่าทุกวันว่ามันสกปรกสิ้นดี แต่วันนี้ดูเหมือนอะไรๆก็จะสวยงามไปหมดเมื่อเทียบกับสิ่งเลวร้ายในอดีต..เขาพูดถูก เปลี่ยนบรรยากาศแบบนี้ไม่เลวเลย
อักษรมองไปรอบๆ แล้วบอกผม
“รออยู่ตรงนี้นะครับ เดี๋ยวผมมา"
“อืม"
...โดนสั่งให้ 'รอ' รึไงกันนะ? ผมเทน้ำเย็นใส่มือแล้วแปะที่หน้า มันทำให้หัวเย็นขึ้นนิดหน่อย...จนมีเวลาที่จะทบทวนอะไรหลายๆอย่าง
พอตำรวจมา ผมก็ปฏิเสธที่จะให้ปากคำหรืออะไรก็ตามที่เขาต้องการ..ทำแม้กระทั่งเดินหนีแบบที่ใครต่อใครเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ฟังด้วยซ้ำ ทั้งความวุ่นวายทั้งความคลางแคลงใจ...ผมหนีมาจากทุกอย่าง...
แล้วโยนภาระหน้าที่ทั้งหมดให้ยายจัดการ....ทั้งๆที่มันไม่ใช่เรื่องเลย....
..ยายคงจัดการได้แน่ๆ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ทำนองนี้ขึ้น..
..แต่ก้านธูป..จะเป็นยังไงบ้างนะ.. สายลมอ่อนๆพัดมาเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมองเบื้องหน้า ครั้งหนึ่งที่อาทิตย์อัสดงค่อยเคลื่อนลับไปทางอีกฝั่งของแม่น้ำ..ฉายแสงอ่อนทอให้ท้องฟ้าสีหม่นสดใสขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อครู่เมฆนั้นมืดดำจนแทบไม่เห็นอะไร..หรือบางทีอาจจะเป็นที่ตาของผม..ที่มืดบอดเอง...
อักษรเดินกลับมาพร้อมถุงที่คาดว่าน่าจะเป็นอาหารในมือ เขานั่งลงข้างๆ..แล้วยื่นให้ผม
“ขนมจีบกุ้ง" เขาว่า "อร่อยใช่ได้เลยครับ"
มันไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เพราะต่อให้ผมปัดมันทิ้งเขาก็อาจจะหยิบขึ้นมาอีกถุงแล้วบอกว่า
'มะกี้เค้าหยอกกก' ....แต่เดี๋ยวก่อน คนอย่างอักษรคงไม่พูดจาแบบคณะตลกพระราม9แน่ๆ แต่เอาเป็นว่าต่อให้ผมดึงดันเถียงเขายังไงอีกฝ่ายก็คงไม่ยอมหรอก
ผมรับมากิน ความอุ่นร้อนในอุ้งมือทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย เสียงเพลงเต้นแอโรบิคกระชากใจก็แทบฟังไม่รู้เรื่อง อันที่จริงถ้าฟังผ่านๆมันก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ผมคิด แถมยังทำให้บรรยากาศบริเวณนี้ไม่วังเวงเกินไปอีกด้วย..
รสเปรี้ยวๆเค็มๆของน้ำจิ้มขนมจีบและกลิ่นหอมกระเทียมเรียกให้ผมกลับเข้ามาสู่ความจริงของชีวิตได้อีกครั้ง การได้ทานอะไรอุ่นๆร้อนๆตอนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมามันทำให้รู้สึกดีขึ้นมาก
แรกทีเดียวผมคิดจะทำลายความเงียบระหว่างเราด้วยคำถามที่ว่า 'คุณไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยหรือ?' แต่เพราะผมเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าอักษรเป็นคนมีทักษะในการสนทนาสูง และเขารู้จักกาลเทศะมากเกินกว่าที่จะตอกย้ำหรือพยายามพูดให้ผมรู้สึกผ่อนคลายอย่างไร้ประโยชน์ เขาจึงเลือกที่จะเงียบ...และนั่งอยู่ข้างๆผมมากกว่า
'..ผมไม่ได้มาเพื่อเข้าใจ..' คำพูดสวยหรูที่หวนย้อนกลับคืนมาในสมองว่างเปล่านี้อีกครั้ง
'......ผมมาเพื่ออยู่เคียงข้างคุณ...' ..ไม่มีสักประโยคที่เอ่ยจากปากของ อักษร อัครมณฑา...ที่จะทำให้ผมอดยิ้มยามคิดถึงมันได้.. ความทรงจำมีทั้งดีทั้งร้าย และผมเป็นประเภทเซลล์สมองดีไปหน่อย ไม่ว่าอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมก็จำได้หมด...น่าเสียดายที่เรื่องดีๆไม่ได้ลบเรื่องแย่ๆได้เหมือนการบวกเลข หมกหมุ่นอยู่กับอดีตอันเลวร้ายก็เหมือนคนอมทุกข์ แต่ถ้ามีความสุขกับความทรงจำล้ำค่าก็คล้ายกับว่าเพ้อฝัน..
...สิ่งดีๆไม่ค่อยได้ผ่านเข้ามาในชีวิตผมเท่าไหร่ ไม่มีเหตุผลที่ผมจะไม่ตักตวงพวกมันเอาไว้...
“ผมไม่อยากกลับบ้าน" ผมพูดในที่สุด และไม่คิดเสียใจที่ได้พูดมันออกไป
เขาตอบกลับมา "เรานั่งอยู่ที่นี่จนกว่าคุณจะพอใจก็ได้"
ความเงียบเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ..จงใจทิ้งจังหวะ..ทิ้งระยะห่าง..เพื่อให้ผมได้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“คุณ...รู้เรื่องของผมมากแค่ไหน?” คำถามเดิมถูกหวนกลับมาถามอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้มันไม่ได้มีความหมายแฝงเหมือนครั้งก่อน
อักษรขยับตัว อย่างน้อยประโยคนั้นก็ทำให้เขาประหม่าได้เหมือนกัน..
“...คุณไม่อยากรู้หรอกว่าผมรู้มากแค่ไหน"
ผมดูโง่ลงไปทันตาเมื่ออยู่ตรงหน้าเขา เพราะผมไม่รู้จะถามไปทำไมในเมื่อรู้คำตอบนั้นดี
..และนึกสงสัยว่าทำไมถึงไม่เกลียดเขาเลย...ทั้งๆที่เขาเป็นแบบนั้น.. “..จมูก..คิ้ว...ริมฝีปาก...” เสียงที่เปล่งออกไปดูจะเบาผิดปกติ และไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะได้ยินคำที่ผมพูดออกไปบ้างรึเปล่าถ้าเสียงเพลงจังหวะเร้าใจของการเต้นแอโรบิคยังดังอยู่ขนาดนี้ แต่ผมก็ยังไม่หยุดพูด
“ทั้งสีผมสีตา..โครงหน้า..สีผิว..สำเนียงการพูด..แม้กระทั่งเรื่องแบบนี้ผมก็ยังเหมือน..เหมือนกับผู้หญิงคนนั้น..” ..ทุกครั้งที่หลับตา..ลมหายใจจะติดขัดจนพูดไม่ชัด.. สมองเกิดเงาขมุกขมัวที่อ่านไม่ออก มันทำให้ขอบตาร้อนผ่าว..และสติสัมปัชชัญญะไม่ค่อยมีนัก..ในที่สุดก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยประโยคอะไรต่อไปได้
อักษรเขยิบเข้ามาใกล้ผมอีกนิด แล้วพูดเสียงที่ไม่ได้ดังไปกว่ากันเลย
“...คุณแม่...ของคุณ...”
“แค่คนให้กำเนิด คุณก็เห็น"
“...ยังไงก็ยังเป็นคุณแม่นะครับ"
"ถ้าคุณมีแม่แบบนั้นคุณจะรู้สึกยังไง?”
..อีกฝ่ายไม่ตอบ
ผมไม่โทษการกระทำเช่นนั้น..
“โสเภณี" คำนั้นคนพูดหรือคนฟังก็เจ็บด้วยกันทั้งนั้น
"หรือกะหรี่...แถวบ้านผมเรียกแม่แบบนั้น รู้มั้ยว่าทำไม...?” ..และผมรู้ดีว่าอักษรคงพูดอะไรไม่ออกอีกสักพักใหญ่
“ผมไม่แน่ใจเท่าไหร่...แต่พ่อของผมเองก็เป็นคนฝรั่งเศส" ผมพูด..ด้วยน้ำเสียงที่พยายามปรับให้ราบเรียบมากที่สุด "...ที่บอกว่าเป็นลูกครึ่งน่ะไม่ใช่เลย ผมเป็นลูกในท้องของแม่..ตั้งแต่ตอนที่แม่หนีพ่อมาคลอดที่ไทยแล้วได้สัญชาติประเทศอิสระแบบนี้มา ผมไม่รู้ว่าทำไม...แต่ที่จริงก็ไม่อยากรู้นักหรอก เพราะต่อให้รู้ไปมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้น..แม่หันไปพึ่งแอลกอฮอลล์ ทำงานกลางคืน แล้ว..."
“...แล้ว....ก็มีพ่ออีกมากมายเข้ามา” มันเป็นจังหวะที่..ไม่ได้ยินเสียงอื่นนอกจากเสียงพูดของตัวเองก้องในสมอง
ผมไม่เข้าใจว่าตัวเองจะพล่ามเรื่องส่วนตัวแบบนี้ทำไม จะพูดเพื่อให้ได้อะไร..อักษร..คนอย่างอักษร อัครามณฑาหรือเลขานุการคนเก่งคนนี้น่ะคงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะหาข้อมูลพวกนั้นออกมา มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับด้วยซ้ำไป
“...จนในที่สุดก็มีก้านธูป" นั่นเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้ฝืนเลยสักนิด
“..ตอนนั้นผมเพิ่ง11ยังไม่12ดี..ในสภาพบ้านช่องไม่เรียบร้อยโดนแม่ขี้เมาทุบตีอาละวาดแบบนั้น โดนเพื่อนบ้านดูถูกรุมประนามแบบนั้น นั่นดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้จักคุณค่าของการมีชีวิตอยู่...ตอนนั้นเองที่ยายย้ายมาอยู่ไทย...ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันแต่ยายเองก็แวะเวียนมาหาบ่อยๆ...มันทำให้ผมมองสิ่งมีชีวิตเพศแม่ดีขึ้น...”
ตอนนี้..มุมปากกระตุกด้วยอาการฝืนเสียแล้ว...
“ปีต่อมา ผมก็มีน้องอีกคน" ผมก้มหน้านิ่ง มือสองข้างที่ประสานกันบีบแน่นขึ้น
“เป็นน้องสาว ที่มีสีผมเหมือนผม...สีทองสวย...มันเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ผมรักสีผมของตัวเองขึ้นมาอย่างน่าขัน" ผมหลับตาลง "มือเล็กๆนั่นกุมมือผมไว้ตลอดตอนที่ผมกล่อมน้องนอน แกจะยิ้มให้ผมกับก้านธูป หัวเราะตอนที่สนุก ร้องไห้ตอนที่หิว...แกน่ารักเหมือน...เหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆในเทพนิยาย...”
“เทียน" อักษรพูดมาคำแรกพร้อมยกมือแตะแขนผม "ถ้าไม่อยากพูดก็ไม่ต้อง....”
“...ไม่มีคำเตือนล่วงหน้า ไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณบ่งบอก" ผมยังคงพูดต่อไป แม้จะรู้ว่าเสียงตัวเองสั่นเหลือเกิน
“วันนั้นแม่อาละวาดหนัก...หนักจนรู้ว่าไม่ใช่แค่เหล้า ก้านธูปถูกตีจนสลบ ผมเพิ่งกลับจากโรงเรียนเข้ามาหยุดสถานการณ์ไม่ได้...มันฉุกละฮุกไปหมด ดอกบัวร้องไห้เสียงดัง แม่หงุดหงิดมาก...ผมวิ่งเข้าไปไม่ทัน......ผม......” ภาพที่ยังติดตา...มันทำให้อยากอาเจียน... สภาพห้องเละเทะเหมือนโดนพายุซัด กรอบรูปตกแตกกระจาย..เด็กชายตัวเล็กหมดสติอยู่ข้างประตูห้องน้ำ หมอน..โซฟา..ถูกมีดกรีดแทงจนดูไม่ได้ ประตูระเบียงเปิดทิ้งไว้กว้าง ผู้หญิงผอมบางที่มีผมสีทองยาวสยายยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมๆกับเด็กทารกในมือ...
..และตัวผม...ที่ก้าวเข้าไปตรงจุดนั้นได้ไม่ทันการณ์... อักษรบีบแขนผมแน่นขึ้น “มันไม่ใช่ความผิดของคุณนะ...”
“..แล้วมันความผิดของใครกันล่ะ?”
เขาไม่ได้ตอบ ผมเลยถือวิสาสะพูดต่อ
"หมอก็บอกเพราะแม่มีอาการทางประสาท...นั่นมันข้อละเว้นความผิดได้อย่างนั้นหรือ?”
“เทียน...”
“ยายก็เหมือนกัน...ยายเองก็โทษว่าเป็นความผิดของตัวเอง"
อักษรไม่ได้พูดอะไรต่อ หรือบางทีวินาทีนั้นผมอาจจะได้ยินแค่เสียงกรีดร้องอย่างไม่เชื่อสายตาในครั้งอดีตของตัวเองก็เป็นได้..
“ทุกครั้งที่ผมส่องกระจกผมก็เห็นแต่ใบหน้านั้น ใบหน้าพิมพ์เดียวกันออกมาแบบนั้น..ใบหน้าของผู้หญิงที่ทำร้ายคนที่ผมรักทุกคน ใบหน้าของ...ไอ้ฆาตรกร!!” ผมตะคอกออกไป ความร้อนที่ขอบตาปะทุขึ้นมาไม่หยุดยั้ง
"แล้วแบบนั้นจะให้ผมทำยังไง...เพราะว่าเหมือนกันขนาดนี้ เพราะว่ามีส่วนที่ต้องรับผิดชอบ...เป็นตราบาปที่ติดตัวไปไม่มีทางหาย ต้องชดใช้มากมายขนาดไหน...ต้องทนทุกข์ขนาดนี้ไปเพื่ออะไร เรื่องเลวร้ายแบบนั้นทำไมต้องเกิดขึ้น ทุกครั้งที่ผมมองผู้หญิงคนอื่นก็อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะบ้าแบบคนๆนั้นมั้ย มันเป็นเพราะอะไร!? เพราะผู้หญิงบ้าๆคนนั้นที่ทำให้ทั้งผมทั้งยายทั้งก้านธูปทั้งดอกบัวต้องทรมาน..!!!”
..ความอบอุ่นยามที่มือเล็กเท่าฝาหอยนั่นกำนิ้วชี้ผมไว้แน่น..
..รอยยิ้มไร้เดียงสาเปื้อนคราบน้ำลายที่ยังไม่ทันจะเรียกผมว่า 'พี่' ได้.. “....ผู้หญิงบ้าๆแบบนั้นตายไปซะได้ก็ดี..!!!” เพี๊ยะ! ราวกับลมวูบหนึ่งที่พัดผ่านหน้า ความเจ็บจี๊ดแล่นริ้วเรียกสติผมให้ตื่นขึ้นมาจากภวังค์..ให้ลืมตาขึ้น..ให้มองเห็นอะไรบางอย่างทั้งๆที่ม่านราตรีกำลังเข้าครอบครองผืนฟ้า..
ความตกใจทำให้ผมเงียบลงไปในทันที และดูเหมือนอีกฝ่ายก็จะตกใจไม่แพ้กัน
“ขอโทษครับ" เขาว่า
"...มือมันไปเอง" ..เรียกสติได้ชะงัดทีเดียว.. ผมถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองปล่อยให้ความโกรธความเกลียดเข้าครอบงำแบบที่ไม่ควรจะเป็น..มันไม่สมควรเอาซะเลย แต่ไอ้ความเจ็บจี๊ดๆนี่ก็ไม่น่าให้อภัยเหมือนกัน
อักษรนั่งตัวเกร็ง ดูเหมือนเขาเองก็อยากจะพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับเหตุการณ์การเอามือฟาดหน้าเมื่อครู่
แต่ผมไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น...วินาทีนี้...
“...ผมอยากอยู่คนเดียว" “ผม...” คู่สนทนาอึกอัก มันคงเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่เขาลังเลจะพูด "ผมปล่อยให้คุณอยู่คนเดียวไม่ได้"
“ผมบอกว่าผมอยากอยู่คนเดียวไง"
“...ผมจะนั่งเงียบๆ...ไม่พูดไม่ทำอะไรแล้ว...”
..นั่นมันใช่ปัญหาซะที่ไหนกัน “ไสหัวไปได้แล้วไป"
“ไม่ไป"
“นี่" ผมเงยหน้ามองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ "คนที่คุณรักที่สุดกำลังสั่งคุณอยู่นะ ไสหัวไป!!”
เขาสะดุ้งเพียงเล็กน้อย ก่อนจะจ้องตอบ
“คนที่ผมรักที่สุดมีสิทธิแค่ขอร้อง ไม่มีสิทธิสั่ง" “อักษร"
“...แต่กรณีนี้ต่อให้คุณขอร้องผมก็ไม่ไป"
“คุณ.....”
ผมเลือกที่จะไม่พูดต่อแล้วเบือนหน้าหนีเขาแทน อยากจะถอนหายใจออกมาสักล้านสองล้านรอบให้มันรู้กันไปว่าลมในปอดจะมีมากแค่ไหน ผมเถียงไม่ชนะเขา..ไม่เคยเลยด้วยซ้ำ!
“...ถ้าคุณต้องการความเงียบล่ะก็ผมให้ได้..." เขาอธิบาย
"แต่ที่ผมยังนั่งอยู่แบบนี้ก็เพราะผมอยากให้คุณรู้ว่าคุณไม่ได้อยู่คนเดียว อย่างน้อย...ก็แค่ในตอนนี้” นั่นทำให้ผมหันกลับไปมองหน้าเขาอีกครั้ง เขาคลี่ยิ้มให้ผม
“...เจ็บ..มั้ยครับ..?”
“ตบเขาแล้วถามแบบนี้เนี่ยนะ...”
“ผม..ขอโทษ ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ คือ...มันแค่....”
“จะบอกว่าคำพูดของผมมันโหดร้ายเกินไป...อย่างนั้นใช่มั้ย?”
เขาเทน้ำเย็นใส่ผ้าเช็ดหน้า แล้วยื่นมาให้ผม
“..ใครจะตาย..มันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละครับ.." รอยยิ้มนั้นดูเหนื่อยอ่อนชอบกล "...ผมคิดอย่างนั้นนะ”
“ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นคนที่คุณเกลียดแสนเกลียดน่ะเหรอ?”
“คนที่ผมเกลียดแสนเกลียดก็คงจะเป็นคนที่ใครสักคนรักแสนรักน่ะแหละครับ" เขายิ้มตอนที่ผมรับผ้าเช็ดหน้าไปโปะแก้มตัวเอง "...คนเราทุกคนมีคุณค่าในการมีชีวิตอยู่เท่าๆกัน น้องก้านธูปและน้องดอกบัวโชคดีมากที่มีพี่แบบคุณ"
“พี่เลวๆน่ะนะ?”
“โอยขอที..ถ้าคุณเลวขนาดนั้นผมคงรักไม่ลงหรอก จริงมั้ยล่ะครับ?”
..โอเค ผมจะหยุดเถียงแต่เพียงเท่านี้.. ความเย็นของผ้าเช็ดหน้าทำให้รู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อย และคำพูดของเขาก็ไล่เมฆดำขมุกขมัวในสมองของผมไปเสียสิ้น
ตะวันลับขอบฟ้าไปแล้วแต่เราก็ยังไม่ลุกขึ้น เหล่าบรรดาป้าๆเต้นแอโรบิกกำลังเก็บข้าวของเตรียมกลับในขณะที่ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจองสนามเตะตะกร้อในลานถัดไป ไฟสาธารณะสว่างพรึ่บขึ้นมาเรียกแมงเม่าแมงหวี่ตอมหึ่ง แต่จุดที่ผมนั่งอยู่ก็ไม่ได้มียุงสักตัว..หรือมันไม่ได้กัดผมก็ไม่รู้ล่ะ...
...สงบใจ...
การนั่งข้างใครสักคนแบบนี้มันทำให้เราสงบใจได้มากขนาดนี้เลยหรือ? “คุณชอบผมตรงไหนเหรอ?” เขาหัวเราะ "คุณถามผมมาสองรอบแล้วนะครับ"
“....เอาเถอะน่า"
“ผมเองก็ตอบไปแล้วด้วย...”
“........งั้นช่างมัน"
“พูดบ่อยๆผมก็เขินเป็นนะครับ ฮะๆ"
“บอกว่าช่างมันไง คิดซะว่าผมไม่ได้ถามล่ะกัน"
“ผมจะตอบแล้วนะ..!”
ผมถอนหายใจ “ผมไม่ฟัง"
“โธ่ ฟังหน่อยเถอะครับ ที่ผมชอบน่ะก็เพราะ....”
“ป่ะ" ผมลุกขึ้นยืน "กลับกัน"
“อะไรน่ะ!?”
“บ้านคุณอยู่ไหน ผมจะไปส่ง"
“เอ๋? ไม่ต้องหรอกครับ ผมไปส่งคุณที่บ้านดีกว่านะ"
“ผมจะไปส่ง"
..ครั้งนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมชนะ.. ...ชอบผมตรงไหน... เขาคงไม่รู้หรอกว่าทำไมผมถึงต้องถามแบบนั้นออกไปทั้งๆที่กลัวคำตอบด้วยซ้ำ และครั้งนี้เป็นความกลัวที่ก่อเกิดมหาศาลกว่าครั้งก่อนมาก เขาคงไม่รู้หรอกว่าผมกลัว...แต่อย่างน้อยก็อยากหาสาเหตุที่หนักแน่นมากพอจะมายืนยันได้ว่า...ทำไมคนที่บริสุทธิ์ขนาดนั้นถึงได้ลดตัวลงมาอยู่เคียงข้างผม
..บริสุทธิ์ถึงขั้นที่จะเรียกได้ว่างดงาม.. และให้ตาย...ไม่ว่าเขาจะอ้างเหตุผลอะไรหรืออาจจะเป็นแค่คนหลอกลวงก็เถอะ ...ผมก็คง...ตกบ่วงภาพมายานั้นไปเต็มเปา...TBC