2nd Day : Little Cold War '....แค่เพียงให้ผมได้อยู่เคียงข้างคุณ...' ..งี่เง่าชะมัด...
.....คิดว่าตัวเองอยุ่ในละครน้ำเน่ารึไงน่ะ.... “เอาของไปครบรึเปล่า?”
“ครบฮะ!”
“การบ้าน...หยิบไปเรียบร้อยแล้วนะ?”
“แน่นอน~”
“งั้นก็ไปได้แล้ว ปะ"
“คุณยาย!!” เจ้าตัวเล็กโบกมือหยอยๆอยู่หน้าประตูบ้านหลังจากใส่รองเท้าเรียบร้อย ตรงมุมกล้องไปยังห้องครัวที่ยายกำลังเก็บจานชามอยู่พอดี ท่านฉีกยิ้มเพียงนิดเดียวแล้วพยักหน้าให้
“ไปก่อนนะค้าบบ สวัสดีครับ!”
“ไปแล้วนะครับยาย"
“จะกินข้าวเย็นรึเปล่าเทียน?”
“อ่า...ไม่ดีกว่าครับ"
ยายไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมเพียงแค่ยิ้มอ่อนโยนให้เท่านั้น ผมยิ้มตอบ..โดยไม่รู้ตัวหรอกว่ารอยยิ้มตัวเองออกไปเป็นแบบไหน แต่อย่างน้อยรอยยิ้มของยายก็ทำให้ผมสบายใจเสมอไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตาม
ก้านธูปกระโดดโลดเต้นออกมาตั้งแต่เช้า..พระอาทิตย์จากจุดที่ผมมองอยู่ยังขึ้นไม่ทันจะเต็มดวงด้วยซ้ำตอนที่น้องวิ่งลงบันได ผมอยากจะตะโกนดุไปแต่ก็ขี้เกียจพูด...ก้านธูปน้องชายผมอายุ5ขวบแล้ว อยู่ชั้นอนุบาล2..และถึงแม้ว่าเขาจะคึกคักจากซูชิที่เมื่อวานเอากลับมาให้ก็ตามแต่อาการตื่นเต้นดีใจที่จะได้ไปโรงเรียนไม่ได้เกิดกับเด็กทุกคนหรอก เชื่อผมสิ..
..เขาค่อนข้างalertกว่าเด็กทั่วไป..ผมสรุปได้แค่นั้นแหละครับ..
รถตู้รับส่งนักเรียนเพิ่งมาเทียบท่าจอดพอดีจังหวะกับที่พวกเราเดินมาถึงหน้ารั้ว ก้านธูปร้องทักทายคุณครูตั้งแต่หล่อนยังไม่ทันจะเปิดประตูลงมา ครูอ้อยยิ้มหวานให้ก้านธูปแล้วรับไหว้จากเราทั้งสองคน ผมไม่ได้ยิ้มตอบกลับออกไป...มันคงจะเป็นการดีกว่าถ้าจะไม่ 'ยุ่ง' กับครูของธูป...ถึงเจ้าหล่อนจะพยายามส่งสายตามามองผมมากขนาดไหนก็เถอะ..
“ขอบคุณมากครับครู ฝากธูปด้วยนะครับ"
“ไม่เป็นไรจ้ะ"
“ว้าวววว พี่ชายธูปหล่อจังเลย~”
“แนนเพิ่งเห็นพี่เทียนหรอ? พี่เทียนหล่อแบบนี้มานานแล้วนะ!”
“คุณครู! หนูอยากแต่งงานกับพี่เทียน!”
“ไม่ได้นะ! พี่เทียนเป็นของธูปหรอก!” ..เอ้า..เอาเข้าไป.. ..ผมไม่อยากจะด่าหรอกครับว่าแรดตั้งแต่อนุบาลเชียวหรือ ที่จริงมันเป็นเรื่องปกติของเด็กในวัยนี้ที่จะคิดอะไรอย่างใสๆและตรงไปตรงมาล่ะมั้ง..
ก้านธูปทำหน้าบูดเป็นตูดลิงตอนที่ผมโบกมือบ้ายบาย แล้วประตูรถตู้ก็ปิดลง
ทำไมผมถึงออกเดินทางแต่เช้าเพื่อไปโรงเรียนงั้นหรือครับ? ..ใช่..ที่จริงผมไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นเด็กเรียนสักเท่าไหร่ แต่ที่ไปโรงเรียนอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะคิดว่ามันดีกว่าการทำให้ยายผิดหวัง เพราะทุกวันนี้ผมก็ทำตัวระยำแย่มากพออยู่แล้ว..โชคดีแค่ไหนที่มีคนเห็นพรสวรรค์ริบหรี่ของผมแล้วจับเข้าโรงเรียนเกษรวิทยา..ซ้ำร้ายด้วยเลือดตะวันตกที่ไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่งในกระแสเลือดมันยังทำให้ผมติดไอ้กลุ่มก้อนทางอำนาจบ้าๆที่เรียกว่า 'รักร้าย' ซะด้วย....
แนะนำตัวตอนนี้อาจจะช้าไป.. ..ผมชื่อ 'ทีปพิพัฒน์ คลาไรน์' อายุ17ปี..แม่เป็นคนฝรั่งเศส พ่อเป็นใครไม่รู้..ชื่อเล่นคือ 'เทียนไข' ซึ่งหลายๆคนเรียกผมสั้นๆง่ายๆว่า 'เทียน' ...ฟังดูเป็นลำแท่งสีเหลืองที่หักได้ง่ายยังไงชอบกล
....ซึ่งใครจะเรียกผมว่ายังไงก็ช่างมันเถอะ...ผมไม่แคร์... ความที่ผมตัวสูง..สูงกว่าคนทั่วไป และมีโครงหน้าที่ออกไปทางยุโรปอย่างชัดเจนแบบนี้แหละทำให้ตกเป็นเป้าสายตา ยังไม่นับผมสีทองบลอนด์ธรรมชาตินี้ด้วยนะครับ..หากผมเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วนล่ะก็ผมมักจะโดนใครต่อใครมองด้วยสายตาแปลกประหลาดเสมอ...และผม...ก็ไม่เคยชินกับมันสักที...
ดังนั้นผมจึงไปโรงเรียนแต่เช้า และเลือกที่จะเถลไถลกลับบ้านตอนดึกๆเหมือนเมื่อวาน เพราะโครงการบ้านเอื้ออาทรที่ผมอยู่นี่ก็คนน้อยซะเมื่อไหร่ แถมเชื่อมั้ยว่าแต่ละบ้านไม่ได้รักกันอย่างที่สร้างภาพขึ้นมาหรอกครับ
พวกเค้าเรียกบ้านผมว่า
'ฝรั่งขี้นก' โดยที่ไม่รู้พื้นเพหรืออะไรเลยด้วยซ้ำไป...
..ยายผมเฝ้าบอกว่าให้ 'ทนๆไปก่อน' ก็เท่านั้น..แต่สำหรับผมก็คือ 'หลีกเลี่ยงได้เป็นหลีกเลี่ยง' ซะมากกว่า
ผมยืนรอรถเมล์ก่อนจะถึงเวลาที่ถนนจะแน่นขนัด ไม่นานสายที่ต้องการก็ตรงดิ่งมาจอดด้านหน้า..ผมแทรกตัวขึ้นไปจับจองที่นั่งเดี่ยวริมหน้าต่าง..คนไม่เยอะนักเพราะฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาอะไร..
ระหว่างทางมีเด็กโรงเรียนเดียวกันขึ้นมาบ้างประปรายครับ ส่วนใหญ่เป็นพวกชมรมกีฬาที่มีซ้อมเช้า..พวกมันเห็นแต่ก็ไม่ได้ทักผม มีข่าวลือไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผมที่ผมโคตรขี้เกียจแก้ข่าว..ความเฉยชาที่ผู้ชายทั่วไปพึงปฏิบัติเลยเป็นผลสะท้อนกลับมาอย่างเสียมิได้ เพราะนอกจากเพื่อนที่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องกันหรือพวกผู้หญิงแล้ว...ไม่ค่อยมีใครอยากยุ่งวุ่นวายกับ 'คนอย่างผม' สักเท่าไหร่หรอกครับ..
..อะ..แต่ 'อักษร' นั่นก็เป็นคนนึงล่ะ.. ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดี..จนถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่เคยคิดว่าจะเข้าใจ..
......ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ...... ..ความคิดของพวกคนรวยเข้าใจยากอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนรวยที่หัวดี ฉลาด เรียนเก่ง มีความรับผิดชอบ และเกือบจะเพอร์เฟ็คแบบนั้นด้วยแล้วน่ะนะ...
ไม่นานรถเมลล์ก็มาจอดที่ป้ายหน้าโรงเรียน โรงเรียนเกษรวิทยาเป็นโรงเรียนที่ครองพื้นที่เกือบหนึ่งสี่แยกเต็มๆ..โดยส่วนใหญ่อุทิศให้กับสนามฝึกซ้อมกลางแจ้งของพวกชมรมกีฬาที่กั้นไว้เฉพาะ อีกส่วนหนึ่งให้กับกิจกรรมสันทนาการและพื้นที่จัดนิทรรศการอิสระที่ใครต่อใครจะมาหยิบยืมก็ได้ ที่เหลือถึงเป็นตึกเรียนกับสวนสวยๆที่ไม่รู้จะมีไปทำไม..
..แต่สิ่งเหล่านั้นก็ทำให้ผมต้องยอมรับ..ว่าโรงเรียนเกษรวิทยาเป็นโรงเรียนที่มีบรรยากาศดีจริงๆ..
..ถ้าก้านธูปโตขึ้น..ผมก็อยากให้แกลองมาสอบที่นี่ดู..
ตุบ! “เฮ้ย มาเช้านี่หว่าไอ้เทียน!” เสียงเรียกดังขึ้นพอดีจังหวะกับที่ผมโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะ ผมหันไปมองเจ้าของใบหน้าขาวสุดทะเล้นแล้วพยักหน้ากลับ ปกติแล้วมีไม่กี่คนหรอกครับที่พร้อมจะทักทายผมได้แบบนี้
“กูก็มาปกติของกูแบบนี้เหอะ..”
“อ้าวจริงดิ"
“มึงต่างหาก..ทำไมวันนี้มาเช้าจังวะ?”
“กูต้องไปวิ่งกับพวกชมรมกรีฑาตั้งแต่วันนี้ว่ะ...” มันอธิบายแล้ววางกระเป๋าลงที่โต๊ะด้านหน้าผมบ้าง "ต้องฟิตซ้อมสักหน่อยจะเอาจริงกับหน้าที่การงานแล้ว มึงล่ะ? งานไปถึงไหนบ้าง?”
“ก็...” ผมเลิกคิ้ว ที่จริงเพิ่งนึกขึ้นได้ "...เรื่อยๆ...”
“เรื่อยๆไรวะ เห็น'จารย์บอกว่ารูปมึงได้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดแสดงภาพที่...อะไรสักอย่าง...ใช่มั้ยล่ะ?”
“ก็เรื่อยๆไง แบบ...งานดีก็ผ่าน งานไม่ดีก็ไปเรื่อยๆ.....”
“...มึงจะชิวไปหน่อยมั้ยวะเนี่ย!?”
“เมื่อก่อนมึงก็ชิวแบบกูเหอะไอ้กลอน"
..ไม่อยากจะพูดเลยว่ามันเพิ่งมาเอาจริงเอาจังก็ตอนนี้เนี่ยแหละ..-_- จะให้ผมตามทันได้ยังไง.. มันทำปากยื่นไม่พอใจแบบทีเล่นทีจริง ก่อนจะโบกมือลาและทิ้งให้ผมอยู่ในห้องคนเดียว..
ผมเปิดหน้าต่าง มันยังเร็วไปที่จะเปิดแอร์..และอากาศยามเช้าในต้นเดือนธันวาแบบนี้ก็ไม่ได้ร้อนอะไรมาก ติดจะสบายๆน่าหลับด้วยซ้ำ..
หลังจากพิจารณาว่าจะไปที่ไหนเพื่อฆ่าเวลาก่อนเข้าแถวดี..ก็ตระหยักได้ว่านอนอยู่ที่ห้องสักหน่อยดีกว่า เมื่อคืนอะไรหลายๆอย่างกวนใจจนนอนหลับไม่ค่อยสนิท หวังว่ามันคงจะหายในไม่ช้านี้แหละ...
..อักษร อัครมณฑา..
....ทำไมชื่อนั้นมันถึงติดอยู่ในสมองได้ขนาดนี้กันนะ..? ตึกเรียนของภาคปกติกับพวกเด็กเส้นตั้งอยู่เหลื่อมกันกึ่งขนาน ผมเหลือบมองไปยังตึกที่อยู่ข้างๆกัน..ชุดนักเรียนแบบเดียวกันแต่กางเกงสีฟ้าดูคุณหนู๊คุณหนู นี่เป็นหนึ่งในระบบการแบ่งแยกชนชั้นที่ไม่แบ่งแยกเท่าไหร่..เพราะความที่เด่นกันไปคนละด้านกระมังทำให้ไม่ค่อยมีใครอิจฉาใครนัก..
...เดี๋ยวก่อน.... ผมชะโงกหน้าเกาะขอบหน้าต่าง แล้วเพ่งมองออกไปที่ฝั่งตรงข้าม..มันไม่ได้ใกล้ขนาดที่จะเห็นได้ชัดเจนหรืออะไรหรอกครับ...แต่หลังจากพิจารณาอย่างถ้วนถี่แล้วว่าใครที่อยู่ในห้องเหล่านั้นก็พบบทสรุปได้ไม่ยาก..
.......ห้องของเด็กเส้นสายวิทย์ปีเดียวกัน... นี่ผมโง่ที่เพิ่งรู้เรื่องดังกล่าวสินะ..? ผมมองเหล่าลูกคนรวยที่ยึดโปรเจคเตอร์ของอาจารย์มาต่อกับโน้ตบุ๊คตัวเองแล้วเล่นเกมแข่งกันด้วยความฉงนใจ แต่ก็ไม่ได้นึกสงสัยอะไรอยู่นานเพราะประตูห้องๆนั้นก็เปิดออก ตามมาด้วยร่างผอมขาวที่โบกมือทักทายเพื่อนๆทุกคนในห้องก่อนจะเดินมาวางกระเป๋าที่โต๊ะริมหน้าต่าง
เขาเห็นว่าผมมองอยู่ในไม่กี่วินาทีถัดมา..
จากระยะ..ผมไม่เห็นหรอกครับว่าเขาทำสีหน้าแบบไหนอยู่ แต่จากอาการสะดุ้งหันซ้ายหันขวาแบบนั้นมันทำให้ผมจับได้
ก่อนเจ้าตัวจะยกมือขึ้นนิดๆ เพื่อโบกมือให้ผมบ้าง...
..ให้ตาย..
.....แล้วผมจะยิ้มรับทำไมเนี่ย... เหนือสิ่งอื่นใดคือความประหลาดใจที่เกิดขึ้นในอก..มันอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่า...
..นี่นายอักษรอะไรนั่น...นั่งอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่แรกแล้วหรือ?----------
“อะไร?”
“แซนวิชม้วนครับ"
อีกฝ่ายยิ้มซื่อ เปิดฝากล่องอาหารกล่องใหญ่โชว์บรรดาขนมปังไส้ต่างๆหน้าตาแฟนซี อบอวลไปด้วยกลิ่นแฮมหรือไม่ก็เบค่อนหอมๆลอยขึ้นมาจนผมเผลอรับส้อมจิ้มมาถือไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว
ผมยังไม่ทันจะถามต่อ เขาก็อธิบายเหมือนเคย
“การทานอาหารไม่ครบทั้ง3มื้้อจะทำให้สุขภาพเสื่อมถอยโดยไม่รู้ตัวนะครับ เรียนไม่รู้เรื่อง หัวก็ไม่แล่นด้วย..คุณแทบไม่เคยลงไปที่โรงอาหารตอนพักเที่ยงเลยใช่มั้ยล่ะ? วันนี้ผมเลยเอามาให้ครับ"
“....ทำเองหรือ?”
“เปล่าหรอก แม่บ้านทำไว้ให้น่ะครับ ผมทำของแบบนี้เองไม่เป็นหรอก"
..โถ..นึกว่าจะโรแมนติกให้สุด..
....แต่ดูเหมือนเรื่องพวกนั้นจะไม่ใช่ประเด็นหลักสักเท่าไหร่... ผมมองไปรอบๆห้อง..ที่มีแค่ไม่กี่คนที่มองกลับมาหรอกครับแต่ก็รู้สึกได้เลยว่ากลายเป็นเป้าสายตา แต่คนตรงหน้าผมกลับตั้งหน้าตั้งตาบีบมายองเนสลงในถ้วยแยกราวกับไม่ใส่ใจอะไรเลย..ความตื่นตะลึงที่ว่าอยู่ดีๆก็มีห้องเด็กเส้นเดินเข้ามาเพื่อหยิบข้าวกล่องให้ผมยังไม่มากพอกับที่พวกเรา..เป็นผู้ชายด้วยกันกระมัง..?
“เอาล่ะ!” เขาเก็บขยะใส่ถุงพลาสติก หยิบทิชชู่ออกมาวางไว้พร้อม
“ทีนี้คุณก็โทรหาสาวๆสักคนชวนมาทานได้เลยนะครับ! อาหารพร้อมเสิร์ฟแล้ว!!” ..ห๊ะ..? ผมคว้าข้อมือเขาไว้ได้ตอนที่อีกฝ่ายลุกขึ้น..พยายามกลบเกลื่อนความไม่เข้าใจในสายตาด้วยพลังมหาศาลพอดู..
“จะไปไหนน่ะ?”
“พักเที่ยง...ก็ต้องไปโรงอาหารสิครับ!”
..เอาล่ะ..ผมเข้าใจแล้ว.. สิ่งที่เค้าบอกเมื่อวานคือการ 'ไม่คาดหวัง' อะไรจากผม..และผมไม่นึกว่าการไม่คาดหวังดังกล่าวจะออกมาในรูปแบบนี้สักเท่าไหร่..อนึ่งคือตอนนี้เขาพยายามทำตัวดูแลผมโดยไม่ก้าวก่ายแบบฝืนๆ...คือเอาตรงๆเลยว่า.....
.......มีใครแม่งบ้าเอาข้าวมาให้แดกแล้วไม่อยู่กินด้วยกันวะ!? ผมยกมืออีกข้างเกาแก้ม แล้วถอนหายใจ
“เอาล่ะ นั่งลง"
“เอ๋?”
“....ทานด้วยกัน"
“ว...ว่าไงนะครับ?”
..บางเรื่องก็ด่วนสรุปได้เองแท้ๆ แต่เรื่องง่ายๆกลับต้องให้พูดย้ำอยู่นั่นแหละ.. พอเห็นผมเงียบไม่ได้ตอบ เขาก็ยอมพยักหน้าแล้วทิ้งตัวนั่งที่เดิมแต่โดยดี...เขาแกะส้อมจิ้มออกมาจากซองขณะที่ผมซัดแซนวิชม้วนชิ้นแรกเข้าไป..ลิ้มรสพวกมันท่ามกลางความเงียบ ผมไม่ใช่พวกลิ้นแดจังกึมเพราะงั้นไม่รู้หรอกว่าเนื้อหรือขนมปังที่ใช้มันดีแค่ไหน รู้แค่ว่ามันอร่อยดีใช้ได้...
กว่าเขาจะตัดสินใจพูดก่อน
“คุณรู้มั้ย...ความเงียบมันจะไม่น่าอึดอัดเลยถ้าใครสักคนไม่ได้อยากพูด..” ผมคิดตาม "อืม งั้นหรือ"
“งั้นผมขอพูดไปเรื่อยๆนะครับ จะได้ไม่อึดอัด"
“ตามใจสิ"
เขายิ้ม "ผมดีใจนะครับ ที่คุณชวนให้ทานด้วยกัน"
“อ่าฮะ"
“ตอนแรกผมคิดว่าแค่จะเอาอาหารมาให้แล้วก็กลับด้วยซ้ำ เพราะคิดว่าการนั่งกินข้าวด้วยกันแบบนี้มันตกเป็นเป้าสายตา..และบางทีคุณเองก็คงไม่ชอบด้วย"
“...ก็..ไม่ได้เรียกว่าไม่ชอบหรอก" “คุณรู้มั้ย?” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นท้าวคาง ก่อนจะยอมจิ้มเจ้าแซนวิชม้วนขึ้นมาชิ้นแรก "..ว่าตัวคุณเองเป็นพวกแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากกว่าที่ตัวคุณคิด"
ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้นเพราะคิดว่ามันไม่มีความจำเป็นที่ต้องโต้เถียงหรือแย้งอะไร อักษรเป็นคนประเภทที่ว่าชอบคิดไปเอง..และกับคนประเภทนั้นก็ไม่มีประโยชน์ที่ต้องปฏิเสธข้อกล่าวหาอะไรทั้งนั้น เขายิ้มซื่อให้ผมอีกครั้ง..รอยยิ้มที่เหมือนฉากบังหน้าว่าแท้จริงแล้วภายในชาญฉลาดมากแค่ไหนแบบนั้นนั่นแหละ..
“แล้วคุณก็ชอบแสดงสีหน้าไร้อารมณ์แบบนั้นด้วย..”
ผมไหวไหล่ ไม่ได้ตอบอะไร
“เท่าที่ผมรู้มาคุณไม่ได้แพ้อาหารอะไร แล้วก็ไม่มีอาหารอะไรที่ไม่ชอบด้วยใช่มั้ยครับ?”
“....คงอย่างนั้น...”
...ยังมีอะไรต้องปฏิเสธอีกล่ะ... ในที่สุดอักษรก็หุบยิ้มลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เราเริ่มบทสนทนากัน นั่นมันทำให้ผมรู้สึกอยากยิ้มออกไปเต็มแก่แต่ก็ทำได้แค่ตีหน้าเฉยๆ
“มันจะดีกว่ามั้ยถ้าคุณเลือกที่จะ..เอ่อ..พรรณนาถึงบรรดาสิ่งที่คุณคิดในหัวทั้งหลายนั่นมากกว่าการเมินเฉยน่ะ....”
“พี่เทียน!!” เสียงหวีดแหลมก็ดังขัดจังหวะขึ้นมาดื้อๆ ผมรีบดึงส้อมจิ้มออกจากปากเพราะมันเป็นกิริยาที่ไม่สมควรนักเวลาพบใครสักคนที่...เราไม่สนิทใจ..
“ไง ข้าวฟ่าง" ..ผมไม่ปฏิเสธว่ารอยยิ้มที่มอบให้อีกฝ่ายโคตรจะปั้นแต่ง.. เด็กสาวยิ้มเริงร่าเหมือนตัวการ์ตูนปัญญาอ่อนตัวไหนสักอย่างเพื่อกระโดดโลดเต้นเข้ามาในห้องของเด็กชั้นปีโตกว่าอย่างถือวิสาสะ แถมโผเข้าโอบรอบคอผมต่อหน้าต่อตาแขกอีกคนที่จ้องตาแป๋ว
“คิดถึงจังเลยยย เมื่อวานฟ่างโทรไปพี่เทียนก็ไม่รับสาย"
“...อ้อ พี่ปิดเสียงน่ะ...” ...ไม่เคยมีใครบอกรึไงว่ากลางคืนเป็นเวลาส่วนตัวน่ะ...
“งั้นคืนนี้ห้ามปิดนะคะ ทั้งเสียงทั้งเครื่องเลย..ฟ่างไม่ได้ยินเสียงพี่เทียนก่อนนอนแล้วนอนไม่หลับเลยอ่ะ"
..ที่จริงผมไม่ได้รังเกียจน้ำเสียงออดอ้อนแบบนั้นหรอกนะครับ เพียงแต่ในตอนนี้มันค่อนข้าง.
..รกหูเลยล่ะ... ผมเหลือบมองอักษรเพียงวูบเดียว “อืม...ได้สิ"
“แล้วทานอะไรกันอยู่หรอคะ? ฟ่างทานด้วยได้มั้ย?”
หล่อนเสนอตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ผมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับอักษรที่ยิ้มทักทายให้ข้าวฟ่างเหมือนทองไม่รู้ร้อน ผมชักไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนประเภทที่สามารถสะกดความรู้สึกไร้สาระพวกนั้นไว้ได้อย่างแนบเนียน หรือที่จริง...เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องนี้เลยกันแน่..
ก่อนอื่นก็ต้อง...
ผมกระแอมกระไอขัดจังหวะ ก่อนจะผายมือไปฝั่งตรงข้าม
“ฟ่าง..นี่คือ.....”
“พี่ษรใช่มั้ยคะ? คนดังของคณะกรรมการนักเรียน...ฟ่างรู้จักอยู่แล้วล่ะค่ะพี่เทียน!"
หล่อนดึงเก้าอี้โต๊ะข้างๆเข้ามานั่งซะชิดมาทางฝั่งผม
อักษรดันกล่องอาหารเล็กน้อยเป็นเชิงอนุญาตให้ผู้มาใหม่สามารถชิมอาหารได้ ซึ่งแม่คุณหนูตัวดีก็จัดการมันแทบจะในทันที
“อื้มมม มะเขือเทศสดมากเลยค่ะ"
ข้าวฟ่างทำหน้าเหมือนเพิ่งกินผักปลอดสารที่ปลูกบนผิวดวงจันทร์ก็ไม่ปาน
"พี่เทียนทานข้าวกล่องอะไรแบบนี้บ่อยหรือคะ? วันหลังฟ่างทำมาให้ทานบ้างดีมั้ย? ฟ่างทำอาหารอร่อยมากนะขอบอก~ อ๊ะ ว่าแต่...พี่เทียนกับพี่ษรสนิทกันหรือคะ? ฟ่างไม่เห็นรุ้เรื่องเลย"
พวกผมมองหน้ากัน แล้วอักษรก็ก้มหน้าลงจัดการกับกับแซนวิชม้วนโดยไม่พูดอะไร..
..ปล่อยให้หน้าที่ในการตอบคำถามนั้นตกเป็นของผมอย่างเสียมิได้..
.....หากนี่เป็นการ 'แก้แค้น' อะไรสักอย่าง...ยอมรับได้เลยว่าเขาโต้กลับมันได้ดีชิบหายล่ะ... ผมพยักหน้าสามครั้งไม่ขาดไม่เกิน ก่อนจะหันไปตอบ "ก็...รู้จักกันน่ะ โรงเรียนนี้เล็กจะตาย จะเดินสวนกับใครต่อใครที่ไหนมันไม่ใช่เรื่องยากใช่มั้ยล่ะ? ต่อให้เป็น..
.เลขานุการคนเก่งก็ตาม"
..เอาล่ะ..ทำไมผมถึงรู้สึกสะใจที่ได้เหน็บแนมเขากันนะ? เขาเงยหน้าขึ้นมากระพริบตารัวใส่ผม ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจแล้วคุยกับฟ่างต่อ
“เมื่อวานพี่ขอโทษนะครับที่นัดแล้วเลื่อนกระทันหัน พอดีมีธุระด่วนจริงๆ...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่เป็นไรเลย!” ใครก็ได้เอาคนตรงหน้าไปผ่าตัดกล่องเสียงสักหน่อยเห็นจะดี..ผมแสบแก้วหูเหลือเกิน.. “แต่อย่าลืมนะคะว่าถ้าพี่เทียนมีอารมณ์หรือว่างเมื่อไหร่ต้องโทรหาข้าวฟ่างคนแรกนะ! ฟ่างพร้อมรบเสมอล่ะ!”
..การกระพริบตาข้างเดียวใส่เหมือนหยอดแบบนั้นทำให้ผมเลิกคิ้วกับอาการยั่วสวาทไม่ขึ้นนั่นเล็กน้อย ในขณะที่ไอ้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลุดยิ้มออกมา พอผมหันไปมองเขาก็กระแอมกระไอแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างเสียอย่างนั้น..
พวกเรากินอาหารกลางวันกันต่อไปท่ามกลางความเงียบ เอ่อ..ที่จริงมันก็ไม่เงียบเท่าไหร่ตราบใดที่ข้าวฟ่างยังคงพูดน้ำไหลไฟแล่บนั่นอยู่ บอกตามตรงว่าไม่ค่อยได้สนใจฟังนักหรอกเพราะมันไม่มีเนื้อหาอะไรให้ต้องตอบนอกเหนือไปกว่า 'อ่าฮะ' 'อือหึ' 'อย่างนั้นหรือ?' หรืออะไรที่มีความหมายใกล้เคียงกัน..
..แต่ความแตกต่างของข้าวฟ่างกับอักษรที่ผมเห็นได้ชัด..
คือข้าวฟ่างเป็นราชินีนักพูดอยู่แล้วถ้าคุณรู้จักหล่อน แต่อักษรคือคนที่พูด..เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่างมากกว่า..
....และผมคิดว่าคนหลังนี่ทำได้ดีกว่าเยอะ... “เย้ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้นะคะ...ว่าแต่...พี่เทียนเป็นคนทำหรอ? ดูท่าทางพี่ไม่ใช่คนที่ทำอะไรแบบนี้เลยนะคะ?”
“อ้อ เปล่า...คือ...” ผมพยักเพยิดไปทางอีกคนทันที "อักษรเอามาน่ะ"
เขาทำเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบอะไร
“ว้าววว อร่อยมากเลยค่ะพี่ษร ฟ่างขอบคุณมากนะคะ~”
..รอยยิ้มที่ไม่มีการเสแสร้งแบบนั้นมันทำให้ผมคิดถึงพวก..ปัญญาไม่แข็งนักที่ไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเท่าไหร่..
หล่อนเปลี่ยนมาเป็นรอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มตอนที่หันมามองหน้าผม ก่อนจะก้มมองนาฬิกาแล้วลุกขึ้นยืน "อะ..เดี๋ยวฟ่างต้องรีบไปก่อนแล้วล่ะชั่วโมงต่อไปเป็นวิชาพละ”
“โอเค บายครับข้าวฟ่าง"
“คืนนี้อย่าลืมรับสายฟ่างนะคะพี่เทียน!”
ผมโบกมือ
“ครับๆ ไม่ลืมๆ"
..ยัง..ยังไม่พอ.. เจ้าหล่อนโน้มริมฝีปากลงมาใกล้จนเกือบจะถึงแก้มผม แล้วทำเสียง 'จุ๊บ' เหมือนสั่งลาในขณะที่ผมหันไปสบตากับอักษรพอดิบพอดี นัยน์ตาคู่นั้นไม่ได้ฉายแววอะไรเป็นพิเศษนอกจากความฉงน..ในขณะที่ผมกลับรู้สึกเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น
“บายค่ะ~” แล้วร่างอรชรก็เดินจากไป เรียกได้ว่าถ้าผมเป็นผู้ชายขี้อายล่ะก็คงหน้าแดงไปทั้งตัวกับการกระทำอุกอาจที่เรียกให้คนทั้งห้องหันมามองแล้วล่ะครับ นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุนับพันประการที่เพื่อนชายพวกนั้นเกลียดผมกันนักแล..และหวังว่าความรู้สึกดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับอักษรนะ..
..เดี๋ยวสิ...
......ผมจะพูดถึงหมอนั่นทำไมกัน... ผมหันกลับมาทันทีที่ตั้งสติได้ เขากำลังจัดการกัดแซนวิชคำเล็กๆเหมือนกำลังละเลียดชิมเพราะมันเป็นชิ้นสุดท้ายอยู่พอดี..เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มแป้น แล้วถาม
“อร่อยมั้ย?”
“โอ้" ผมพยักหน้า..ถึงกว่าครึ่งจะลงไปอยู่ในกระเพาะข้าวฟ่างก็เถอะ "ก็ดี..”
“...จะว่าอะไรมั้ยถ้าผมจะถามว่า..มื้อกลางวันวันพรุ่งนี้คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”
แรกทีเดียวผมคิดว่าจะตอบแบบขอไปที แต่ก็ความอยากบางอย่างก็พุ่งขึ้นมา "....มะกะโรนีอบชีส..ก็ไม่เลวนะ"
“คุณชอบอาหารฝรั่งเหรอ?”
“เปล่า...ก็แค่จู่ๆอยากกินขึ้นมา" ผมยกมือสองข้างนวดขมับระหว่างที่เขารินน้ำที่พกมาใส่แก้วให้..เอ่อ..บริการเยี่ยมเลยแหะ.. “แต่ถ้าคุณไม่ชอบก็ช่างมันเถอะ แล้วแต่...มันอาจจะยากไปนิดนึงเพราะกว่าเราจะได้กินกันก็คง..เย็นหมดแล้ว...”
“เดี๋ยวนะ" อักษรขัดขึ้นมาด้วยใบหน้าแดงๆ "เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ?”
“อ้อ ผมแค่บอกว่ามันคงจะเย็น...”
“ไม่ใช่ครับ ก่อนหน้านั้น..”
ผมหรี่ตา พยายามนึก "คุณหมายความยังไง?”
“คือ...เมื่อกี้...คุณพูดว่า 'เรา' ....” ...แล้วคุณจะยิ้มหน้าแดงขนาดนั้นทำไมกันน่ะ...? “ก็...เอ่อ...” ผมพยายามแก้สิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้ว..แต่ท่าทางมันจะไม่เป็นผลนัก "เราไง คุณกับผม..เราทานอาหารกลางวันด้วยกัน..”
“คุณรู้มั้ย..ว่าตอนนี้คุณทำให้ผมมีความสุขจนแทบบ้าเลยล่ะ!”
นั่นไง..มาแล้ว..บทพล่ามของนายอักษร อัครมณฑา.. “ผมไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่ากะอีแค่คุณบอกว่าเราจะได้ทานอาหารกลางวันด้วยกันบ่อยๆมันจะทำให้ผมมีความสุขได้มากขนาดนี้...อ๊ะ พอดีว่าห้องสภานักเรียนมีไมโครเวฟอยู่น่ะครับ คิดว่าคงใช้ได้ ดังนั้นพรุ่งนี้เวลาเดียวกันคงมีมักกะโรนีอบชีสที่คุณโปรดปรานมาเสิร์ฟถึงที่แน่ๆ!”
“อา...ก็ดีนะ...”
น่าแปลกแหะที่ผมนั่งฟังคำพูดของเขาได้แทบทุกประโยค นี่แหละคือความสามารถพิเศษของคนที่ได้รับสิทธิเป็นโฆษกแทนสภานักเรียน..ที่สามารถจูงใจคนฟังด้วยคำพูดเหมือนน้ำท่วมทุ่งแบบนี้..
จะว่าไปแล้ว...
“ทำไม...เมื่อกี้คุณถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?” พอผมถาม อีกฝ่ายกลับขยับยิ้มบางคล้ายกับว่านึกขัน
“คุณรู้มั้ย?” ดวงตาใต้แว่นกรอบบางนั้นพราวระยับขณะสบตาผม ก่อนจะก้มหลบเพื่อเก็บกล่องอาหารและอะไรต่อมิอะไรลงถุงผ้าที่บรรจุพวกมันมาตั้งแต่ต้นได้หน้าตาเฉย
“...ว่าเสือสองตัว...อยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้น่ะ..”