(ต่อ)
“คนอื่นยังไม่มาเหรอ?” คุณซอลเอ่ยถามจีนกับเอลลี่ที่กำลังนั่งเล่นสบายอยู่ในสวนขนาดใหญ่ใจกลาง อัลตัน ทาวเวอร์ส
“พวกคุณแฝดมาแล้วค่ะ แต่ทั้งคู่อาสาไปเอาตะกร้าของกินที่ฝากเอาไว้ข้างหน้ามาให้” จีนเป็นคนตอบ
“อีกเดี๋ยวคนอื่นๆ ก็คงจะทยอยมาค่ะ” เอลลี่เสริม แล้วถามต่อ
“พวกคุณอยู่แถวนี้พอดีเหรอคะ ถึงได้มาเร็ว?”“เราอยู่แถว ‘ริต้า’ น่ะ” ผมเป็นคนตอบ พลางชี้ไปทางเครื่องเล่นที่ชื่อว่า ‘Rita – queen of speed’ ซึ่งมองเห็นอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้นัก ..จู่ๆ เมื่อกี๊โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จีนเป็นคนโทรมา เธอบอกว่าให้มารวมตัวกันที่สวนซึ่งอยู่เยื้องกับปราสาทอัลตัน จะได้ทานมื้อเที่ยงพร้อมกับทุกคน ผมกับคุณซอลที่กำลังจะไปต่อคิวรอขึ้นเครื่องเล่นที่ว่านั่นก็เลยต้องเปลี่ยนแผนกะทันหัน ..ดูเหมือนนั่นจะทำให้คุณซอลโล่งใจอยู่ไม่น้อย แต่ผมแอบเสียดายแฮะ นานๆ ทีจะมีโอกาสแบบนี้แท้ๆ ..แย่จัง
อย่าหาว่าผมใจร้ายหรืออะไรเลย ..บางครั้งคนเรามันก็รู้สึกอยากเอาคืนบ้างอะไรบ้างน่ะ ฮ่ะๆๆ ก็ใช่ว่าผมจะโกรธแค้นอะไรเขาหรอก แค่มีหลายเรื่องที่ทำให้แอบเจ็บใจอยู่ไม่น้อยเท่านั้นเอง ฮ่ะๆๆ ผมไม่ใช่คนน่ากลัวสักหน่อย อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนั้นสิ ฮ่ะๆๆ ..ผมเป็นคนดีนะ
ผมก้มมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว ..เวลาแห่งความสนุกช่างผ่านไปเร็วจริงๆ
“คุณซอลฟาไม่สบายหรือเปล่าคะ?” เอลลี่ที่สังเกตเห็นความซีดเซียวบนใบหน้าเจ้านายเอ่ยถาม
“อ๋อ.. ไม่หรอก เขาสบายมากเลยล่ะ” ผมรีบตอบแทนเจ้าตัวพร้อมทั้งตบไหล่เขาเบาๆ
“เพียงแค่เล่นสนุกไปหน่อยก็เลยเหนื่อยน่ะ”คุณซอลหันมาขมวดคิ้วใส่ แต่ผมยักคิ้วตอบ
เอลลี่ทำหน้าโล่งใจ
“เฮ่อ.. โล่งไปที กำลังกังวลอยู่เลยว่าที่พวกฉันเอาแต่สนุกแบบนี้มันจะดีเหรอ? ทั้งที่คุณซึ่งใจดียอมให้พวกเรามาด้วยกลับดูเหมือนไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่” จีนพยักหน้า
“จริงๆ แล้วฉันกับเอลลี่รู้สึกเกรงใจคุณมากเลยนะคะ ..แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกดีใจมากเหมือนกันที่ได้มาที่นี่ในวันนี้”“ไม่ต้องคิดมากหรอก” คุณซอลยิ้มบางให้เมดสาวอย่างใจดี
“ผมสนุก.. พวกเธอเองก็สนุกกันให้เต็มที่ได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”“ขอบคุณค่ะ!!” สองเมดสาวพูดขึ้นพร้อมกันด้วยความยินดี ผมเองก็พลอยรู้สึกยินดีไปด้วยเลยหันไปยิ้มกว้างให้คนใจดีสักหนึ่งดอก แต่อีกฝ่ายดันส่งสายตาคาดโทษมาให้ผมซะงั้น ฮ่ะๆๆ เอาเถอะๆ
จังหวะนั้นผมก็หันไปเห็นมิคุนิกำลังเดินลิ่วๆ มาทางนี้ด้วยท่าทางหงุดหงิด ด้านหลังมีเด็ฟป์วิ่งเหยาะๆ ตามมาไม่ห่างนัก
“หือ? นี่นายแยกไปเดินกับหมอนั่นเหรอ มิคุ?” คุณซอลถามอย่างแปลกใจเมื่อมิคุนิเดินมาถึง
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเป็นอย่างนี้ได้ไง พอหันมาอีกทีทุกคนก็หายไปกันหมด เหลือแค่ผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นที่นอกจากจะสลัดไม่หลุดแล้วยังเอาแต่ลากผมไปเล่นนั่นเล่นนี่ตามอำเภอใจอีก” มิคุนิพ่นประโยคยาวยืดราวกับอัดอั้นตันใจมาหลายชั่วโมงแล้ว
“พูดจาใจร้ายจังเลยนายนี่..” เด็ฟป์ที่ตามมาข้างหลังร้องท้วงด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“..ก็เห็นสนุกดีออก”“คุณหลับตามองหรือไง?” มิคุตวัดสายตาไปสาดน้ำเสียงเย็นชาใส่
“ฉันมีหลักฐานนะ” เด็ฟป์ยิ้มกรุ้มกริ่ม
“อะไร?” มิคุเขม้นตาระแวดระวัง
เด็ฟป์ล้วงมือไปหยิบอะไรบางอย่างจากกระเป๋าหลัง เราทุกคนซึ่งอยู่ตรงนั้นขยับไปล้อมวงกันทันที
“นี่มัน..” ในมือเด็ฟป์เป็นรูปถ่ายขนาด 6 x 4 นิ้ว ในรูปมีเครื่องเล่นชนิดหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นประเภทรถไฟเหาะ และในที่นั่งคู่หน้าสุดมีคนสองคนหน้าตาคุ้นเคยนั่งอยู่.. หนึ่งในนั้นคือ เด็ฟป์..หนุ่มขนดกผู้ไม่เคยทุกข์ร้อนกับเรื่องใด เขากำลังหัวเราะไม่ก็ตะโกนสะใจอยู่ในนั้น ..ส่วนคนที่นั่งข้างกัน มิคุนิ...สีหน้า...สุดจะบรรยายจริงๆ ..ผมก็ไม่แน่ใจว่ามันเป็นส่วนผสมของอารมณ์ไหนกับอารมณ์ไหนบ้าง แต่เอาเป็นว่า ...มันฮามาก
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ทุกคนที่ได้เห็นรูปนั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างพร้อมเพียง ..ไม่สิ เว้นอยู่คนนึง
“คุณไปถ่ายมันมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” มิคุนิกำหมัดแน่น ใบหน้าแดงแป๊ดเป็นลูกแอปเปิล ..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอายหรือโกรธ?
“นาย..นายไม่รู้เหรอว่า..สวนสนุกที่นี่..มัน..มันมีกล้อง..ไว้จับภาพเราเวลา..เวลาอยู่บนเครื่องเล่น” เด็ฟป์พูดกระท่อนกระแท่นเพราะยังหยุดหัวเราะไม่ได้
“ถ้า..ถ้าอยากได้..ก็ไปจ่าย..จ่ายเงินซื้อเอา..น่ะ”“จริงเหรอ?” คำบอกเล่าของเด็ฟป์ทำผมหยุดหัวเราะชะงัด
“มีของแบบนั้นด้วยเหรอ?”“มีสิ” เด็ฟป์พยักหน้า ใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมาเพราะหัวเราะมากไป ขณะที่คุณซอลและสาวๆ ยังหัวเราะคิกๆ กันจนตัวงอ ..ส่วนมิคุนั้นนั้นกลายเป็นแอปเปิลหินไปแล้ว
“ทุกเครื่องเลยหรือเปล่า?” ผมถามอีก
“ทุกเครื่องที่หวาดเสียว”“งั้น...”“หยุด!!” ก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรต่อ เสียงเฉียบขาดของคุณซอลก็ดังแทรกเข้ามาในความคิด
“หือ?” ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ผมรู้ว่านายกำลังคิดอะไร หยุดความคิดไม่เข้าท่านั่นเดี๋ยวนี้ ..ไม่งั้นจะโดนมิใช่น้อย” เขากัดฟันพูดในตอนท้าย คนอื่นๆ ทำหน้างง ไม่เข้าใจว่าเรากำลังคุยอะไรกัน(เขาพูดภาษาไทยน่ะ)
“คุณขู่ผมเหรอ?” ผมลองยิ้มยั่ว
“เตือน” เขาทำหน้าจริงจัง
“โอเค้..” ผมยักไหล่อย่างเสียไม่ได้
แต่แหม.. เสียดายจังเลย ผมกะว่าจะไปขอซื้อรูปตามจุดที่เราเคยไปเล่นมาก่อนหน้านี้สักหน่อย ไม่รู้ว่าหน้าคุณซอลจะฮามากฮาน้อยกว่ามิกุมิกุนะ ฮ่าๆๆ
“หัวเราะอะไรกันอยู่เหรอ? เสียงดังลั่นเชียว” เสียงของหญิงสาวผู้มาใหม่ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมอง แฟร้งก์ในชุดเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์รัดรูปที่ผมเห็นจนเริ่มชินตาโบกมือให้ทุกคน ด้านหลังมีเจเรมี่ผู้ร่าเริง..ซึ่งตอนนี้ดูไม่ค่อยร่าเริง เดินแก้มแดงตามมาติดๆ ..ว่าแต่ ทำไมมันแดงอยู่ข้างเดียว?
“แก้มคุณไปโดนอะไรมาเหรอคะ?” จีนถามในสิ่งที่ผมกำลังสงสัยอยู่พอดี
“ถามป้านี่ดูสิ” เจเรมี่บุ้ยใบ้ไปทางแฟร้งก์ สาวเจ้าก็เลยง้างฝ่ามือขึ้นทำท่าจะฟาดคนที่เรียกเธอว่า ‘ป้า’ จนอีกฝ่ายต้องรีบวิ่งไปหลบอยู่หลังเด็ฟป์ด้วยท่าทางหวาดผวา
“ฝีมือเธอหรอกเหรอ?” เด็ฟป์ถามแฟร้งก์
“อือ.. ตอนอยู่ในบ้านผีสิง อยู่ดีๆ ก็มีมือคนมาจับก้นฉัน พอฉันหันไปก็เห็นเจ้าเด็กนี่พอดี ก็เลย..”“ก็เลยตบเข้าให้สินะคะ” เอลลี่ช่วยสรุป ทุกคนพยักหน้าหงึกหงักแล้วพร้อมใจกันหันไปประณามผู้ต้องหาผ่านทางสายตา
“แต่ผมเปล่านะ! ผมไม่ได้ทำสักหน่อย” จำเลยรีบปฏิเสธหน้าตาตื่น
“ตาแก่ที่อยู่ข้างๆ ผมเป็นคนทำต่างหาก” “ใช่..” แฟร้งก์พยักหน้า
“ตาลุงนั่นพยายามจะจับก้นชั้นอีกครั้งตอนใกล้ถึงทางเอง ฉันก็เลยแกล้งเหวี่ยงพันท้ายปืนไปฟาดหน้าเข้าให้”“ปืน?” คุณซอลส่งเสียงแปลกใจ
“มันเป็นปืนที่เอาไว้ใช้ยิงผีในบ้านผีสิงน่ะ”
“แหม.. นายนี่ซวยจริงๆ ว่ะ” เด็ฟป์หัวเราะชอบใจพลางตบหลังรุ่นน้องป้าบๆ เจเรมี่เบะปากเหมือนจะร้องไห้
“ว่าแต่พวกนายสองคนไปด้วยกันได้ยังไงวะ?”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็เหลือกันแค่สองคนแล้ว”
“ใช่ๆ พวกนายหายไปไหนกันไวชะมัด” แฟร้งก์ขมวดคิ้วสงสัย แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้
“เออ แล้วเมื่อกี๊พวกนายหัวเราะอะไรกันอยู่เหรอ? ท่าทางน่าสนุกเชียว”“อ๋อ.. นี่ไง” เด็ฟป์ยื่นรูปไปให้แฟร้งก์ดูด้วยท่าทางภูมิใจ
“นี่มัน..”“อย่าดูนะ!” มิคุนิที่เพิ่งตื่นจากการเป็นหินร้องห้ามเสียงหลง ก่อนถลาไปแย่งรูปต้องคำสาปนั่นมาจากมือเด็ฟป์
“เฮ้ย เดี๋ยวสิ ผมยังไม่เห็นเลย” เจเรมี่ที่พลาดโอกาสสำคัญอยู่เพียงคนเดียวพยายามจะแย่งรูปกลับ
“ไม่ต้องดู” แต่มิคุนิฉีกมันเป็นสองชิ้นต่อหน้าทุกคน จากนั้นก็เป็นสี่ชิ้น แปดชิ้น และโดยไม่มีใครคาดคิด มิคุนิผู้เยือกเย็นและรักษาท่าที(คุณชาย)อยู่เสมอก็กลืนเศษซากรูปถ่ายแห่งเกียรติยศ(หรืออัปยศ?)ลงท้องไปทั้งหมด
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน คู่แฝดซินซันก็หิ้วตะกร้าเสบียงกลับมาเวลานั้นพอดี..
“ดูเหมือนจะมีคนหิวจนรอพวกเราไม่ไหวแฮะ ฮันนี่” ซินพูดขณะมองมิคุนิตาปริบๆ
“............”
จากนั้นทุกคนก็หัวเราะกันออกมาอีกยกใหญ่..
สวนใน อัลตัน ทาวเวอร์ส บรรยากาศดีมากๆ ..หรือจะพูดให้ถูกก็ทั้งสวนสนุกนั้นแหล่ะที่บรรยากาศดีมากๆ ต้นไม้สีเขียวมากมาย ดอกไม้สีสันสดใสก็เยอะแยะ สูดดมออกซิเจนกันได้ชุ่มฉ่ำปอดไปเลยแหล่ะ แถมวันนี้ยังอากาศดี ฟ้าเปิด แต่ไม่ร้อน มีลมพัดตลอดทั้งวัน เดินเล่นจนมืดค่ำก็ไม่เหนื่อยหรอก ..ผมว่านะ
เราเลือกทำเลริมสระน้ำมานั่งล้อมวงกันอยู่บนพื้นหญ้า ตรงกลางมีตะกร้าใบใหญ่สองใบ และกล่องทัพเพอร์แวร์คละขนาดอีกหลายใบ
“ว้าวววว~” ทันทีที่ทัพเพอร์แวร์กล่องแรกเปิดออก เสียงฮือฮาจากผู้คนรอบๆ ก็ดังขึ้น
“น่ากินชะมัด” เจเรมี่พูดพลางเช็ดน้ำลายที่ใกล้จะหก
“เก็บอาการหน่อย เจ้าหนู” เด็ฟป์ผลักหัวรุ่นน้องเบาๆ แต่ตัวเองก็ตาวาวไม่แพ้กัน
“สีสันสดใสจัง” มิคุนิพึมพำเบาๆ
“ฝีมือยูริหมดเลยหรือเปล่า?” แฟร้งก์ถามขึ้นอย่างสนใจ
ผมส่ายหน้า
“ไม่หรอก เมนูพวกนี้คุณพ่อบ้านเป็นคนคิด ส่วนผมเป็นแค่ลูกมือ จีนกับเอลลี่ก็ช่วยทำ”เมื่อคืนผมคิดเมนูเด็ดๆ ที่น่าจะกินง่ายๆ นอกสถานที่ไม่ออกจริงๆ ก็เลยลงไปปรึกษาลุงพ่อบ้านที่ห้องทำงาน แกก็แนะนำว่าน่าจะทำพวกมินิแซนด์วิช คานาเป้โรล แล้วก็ทำคัพเค้กเป็นของหวาน ผมเห็นชอบด้วย แต่ไม่ค่อยรู้จักอาหารพวกนี้ดีเท่าไหร่ เพราะถนัดอาหารไทยมากกว่า ลุงแกเลยบอกจะจัดการให้ พอตอนเช้าตื่นมาเข้าครัวผมก็เห็นขนมปังตัดขอบกับบรรดาสารพัดไส้เตรียมไว้รอให้ประกอบร่างอยู่แล้ว ผมแค่ทำตามตัวอย่างที่ลุงแกทำให้ดูก็เป็นอันจบ ..อืม มื้อนี้ก็มีประมาณนี้แหล่ะ
“เหรอ..” แฟร้งก์ทำหน้าผิดหวังเล็กน้อย
“เสียดายจัง ฉันอยากลองทานอาหารฝีมือยูริดูสักครั้งจังเลย” แล้วก็บุ้ยใบ้มาทางคุณซอลที่นั่งอยู่ข้างผม
“..เห็นซอลฟาชอบคุยนักคุยหนาว่าอร่อยงั้นงี้”“เออใช่ หมอนี่ชอบมาโม้เรื่องของนายให้ฉันฟังบ่อยๆ เหมือนกัน” เด็ฟป์พูดขึ้นบ้าง ก่อนจะทิ้งท้ายให้ทุกคนได้หัวเราะกันอีก
“ฟังมันโม้จนฉันนึกอยากจะมีเมียเป็นของตัวเองบ้างแล้วตอนนี้”“คุณทำแบบนั้นด้วยเหรอ?” ผมที่ทำหน้าไม่ถูก แอบกระทุ้งถามเขาเบาๆ
“ก็ผมเห่อแฟนไง มีอะไรไหม?” คุณซอลยักไหล่ตอบแบบไม่ใส่ใจนัก
“อ้อ..” ผมพยักหน้า แล้วตามด้วยส่ายหัว “ไม่.. ไม่หรอก”
“ดีแล้ว” คุณซอลพยักหน้าบ้าง
“กูว่ามื้อนี้แม่งเลี่ยนแน่”
“ว่างั้น..” เสียงแฝดที่นั่งถัดไปแอบซุบซิบกันเบาๆ
“นายทำอาหารเป็นด้วยเหรอ?” มิคุนิถามขึ้น ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแฮะ นึกว่าคุณซอลจะไปโม้ให้ฟังแล้วซะอีก ฮ่ะๆๆ ..อ่ะ ไม่เป็นไร เดี๋ยวรายนี้ผมโม้ให้ฟังเอง
“อร่อยด้วยนะ” ผมยืดอกบอก แต่พอเห็นคนฟังทำหน้าไม่เชื่อเท่าไหร่ ก็เลยท้าพิสูจน์มันซะเลย
“ถ้าคุณไปที่บ้านแอนเดอร์สันอีกเมื่อไหร่ผมจะทำให้กินก็ได้ ..เดี๋ยวจะหาว่าคุย”
“อาหารไทยของยูริอร่อยจริงๆ นะคะ” สองเมดสาวช่วยการันตี
“อาหารไทยเหรอ?” มิคุนิถามด้วยความสนใจ
“ใช่แล้ว อาหารไทย” ผมยกนิ้วโป้ง...ให้ตัวเอง(ฮ่ะๆๆ) เลยถูกคุณซอลกระทุ้งสีข้างมาที ไม่เบานัก ไม่รู้ว่าอยากให้กำลังใจหรือหมั่นไส้กันแน่?
“ทำให้ฉันทานด้วยสิ” แฟร้งก์ยกมือ
“ฉันด้วย” เด็ฟป์ก็ยกมือ
“ผมด้วยๆๆ” เจเรมี่ก็ยกมือเหมือนกัน
“งั้นก็ไปลองชิมกันทั้งหมดนี่แหล่ะ” ผมประกาศ สามคนนั้นไชโยโห่ร้อง
“นายเป็นเจ้าของบ้านหรือไง?” คุณซอลขัดขึ้นอย่างเจตนาให้ทุกคนได้ยิน
“งั้นผมขออนุญาตคุณตรงนี้เลยแล้วกัน” ผมเอายิ้มเข้าสู้ ก่อนหันไปชูสองนิ้วให้สามคนนั้นได้ไชโยโห่ร้องกันอีกรอบ
“ขอกัดหูสักทีได้ไหม..” เสียงคุณซอลพึมพำเบาๆ แต่ผมทำเป็นไม่ได้ยิน
“ว้าวววว~” เมื่อทัพเพอร์แวร์กล่องสุดท้ายถูกเปิดออก คัพเค้กสตรอว์เบอร์รี่ที่แต่งหน้าด้วยครีมสดหนาๆ กับสตรอว์เบอร์รี่ลูกเป้งๆ ฝีมือลุงพ่อบ้าน ก็เผยโฉมอวดความน่ารักน่าเขมือบต่อหน้าทุกคน
“นายนี่ชอบสตรอว์เบอร์รี่ซะจริงเลยนะ” มิคุนิทักขึ้นทันทีที่เห็นสิ่งนั้น ..ซึ่งมันก็จริง เมนูนี้ผมเป็นคนรีเควสเอง พอพ่อบ้านบอกว่าจะทำคัพเค้ก ผมก็ขอเป็นคัพเค้กสตรอว์เบอร์รี่ตามความอยากส่วนบุคคลซะเลย(ฮ่ะๆๆ ก็ผมชอบนี่นา) มิคุนิจะคิดแบบนั้นก็ไม่แปลกหรอก จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรก ที่เราไปกินข้าวพร้อมกันสามคน(ผม คุณซอล มิคุ) ผมก็สั่งเค้กสตรอว์เบอร์รี่มาเป็นของหวานปิดท้ายเหมือนกัน
“คุณก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ เห็นแวะมาที่บ้านทีไรเป็นต้องซื้อเค้กสตรอว์เบอร์รี่มากินด้วยทุกครั้ง” ผมสวนกลับไป ..ความจริงล้วนๆ นะนั่น หมอนั่นมักจะโผล่มาพร้อมเค้กสตรอว์เบอร์รี่เสมอเลย
แต่ไม่รู้ทำไมมิคุนิถึงทำหน้าแปลกๆ แล้วบทสนทนาก็เกิดช่วงเดทแอร์ขึ้น หมอนั่นเหลือบมาทางคุณซอลที่หรี่ตามองอยู่ก่อน ก่อนดึงสายตากลับมาที่ผม แล้วพยักหน้าตอบแบบงกๆ เงิ่นๆ
“อืม.. นั่นสินะ” “............” เมื่อกี๊มันอะไรน่ะ? หรือเจ้านี่จะไม่รู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองชอบสตรอว์เบอร์รี่? ที่ผ่านมาทำไปเพราะสัญชาตญาณล้วนๆ? พอถูกทักเข้าหน่อยก็เลยเพิ่งรู้สึกตัว?
แต่แหม.. มันไม่น่าอายหรอกน่า ถ้าผู้ชายจะชอบสตรอว์เบอร์รี่น่ะ ..ดูอย่างผมเป็นตัวอย่างสิ
“กูว่ามื้อนี้แม่งอาจจะมันส์ก็ได้นะ”
“ว่างั้น..” แว่วเสียงแฝดที่นั่งถัดไปแอบซุบซิบกันเบาๆ
TBC. 
ชอบ...กดบวก, ไม่ชอบ...กดบวก, เฉยๆ...ก็ กดบวก ....นะคะ อิอิ