(ต่อ)
สายๆ ของวันนี้คุณซอลมางานเปิดตัวคอลเล็คชันน้ำหอมของ วิคตอเรีย ซีเคร็ต ในฐานะเซเลปฯคนดัง ที่ห้างแฮร์รอดส์ แถวถนนบรอมพ์ตัน ในเขตไนท์สบริดจ์ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผมจึงจัดเต็มราวกับกลัวว่าจะสู้เหล่านางฟ้าวิคตอเรียไม่ได้ยังไงยังงั้น..
“เวลาไปออกงานคุณต้องแต่งเป็นผู้หญิงแบบนี้ทุกครั้งเลยเหรอ?” ผมถามขณะที่เราเดินออกจากร้านเสริมสวยเพื่อมาขึ้นรถ ดูเหมือนคุณซอลจะมาใช้บริการที่นี่เป็นประจำ นอกจากจะต้องมาแต่งหน้าทำผมแล้ว สไตลิสต์ประจำตัวเขายังจัดเสื้อผ้าส่งมาให้เปลี่ยนที่นี่เลย
“ผมไม่ได้แต่งเป็นผู้หญิง..” เขาพูดแบบนั้นแล้วก้มมองตัวเอง ผมก็มองตามสายตาเขาไปด้วย.. กางเกงหนังสีดำขาสั้นกุด เสื้อเชิ้ตแขนยาวปล่อยชายดีไซน์แปลก สีขาวขลิบดำ ความยาวของชายเสื้อเกือบเสมอขากางเกง บู๊ทสั้นสีดำกับถุงเท้ายาวสีเทาที่ดึงขึ้นมาจนเลยเข่า(ถ้าผมใส่คงจะเหมือนนักบอล แต่คุณซอลใส่แล้วทำไมมันถึงดูน่ารักนักก็ไม่รู้แฮะ?) ไหนจะหน้าที่แต่งมาแบบหวานหยดกับลิปสติกสีชมพูหวานเจี๊ยบ ทรงผมที่ถูกเซ็ตมาให้ดูแบบไม่ตั้งใจเซ็ต(?) ..เอาเป็นว่า...มันดูไม่ใช่ผู้หญิงตรงไหนมิทราบ?
ผมเลิกคิ้วหลังจากกวาดตามองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า คุณซอลก็เหมือนจะรู้ตัวเลยถอนหายใจออกมา
“โอเค มันอาจจะดูเหมือน แต่ผมก็ไม่ได้พยายามจะแปลงร่างเป็นผู้หญิงหรอกนะ ผมไม่ได้ใส่บรา ไม่ได้เสริมหน้าอกเพื่อปกปิดความเป็นเพศชายของตัวเอง และที่ผมต้องแต่งแบบนี้ออกงานก็เพราะผมถูกยกให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของ ‘เบอร์ริ่ง เซ็กส์’ หรือเพศที่ไม่ชัดเจน ในยุคที่ข้อจำกัดทางเพศถูกทำลายลงอย่างทุกวันนี้ สิ่งที่ผมสามารถทำได้ก็คือการสะท้อนเรื่องนี้ออกมาในรูปแบบของแฟชั่นสไตล์ผม..” คุณซอลหยุดพักหายใจ แล้วพูดปิดท้าย “..แต่ก็ไม่ใช่ทุกงานหรอกที่ผมจะต้องแต่งขนาดนี้ ต้องดูตามความเหมาะสม”
“อ้อ..” ผมพยักหน้าว่าเข้าใจคำอธิบายยืดยาวนั่น แต่ก็อดสงสัยไม่ได้เลยเดินเข้าไปเลิกชายเสื้อของเขาขึ้นดู เจ้าตัวทำหน้างงไม่น้อย ก่อนส่งสายตาเป็นเชิงถาม
“ผมแค่สงสัยว่าคุณเก็บ ‘ไอ้นั่น’ ไว้ที่ไหนน่ะ?” ผมถามซื่อๆ นี่ล่ะ ก็คนมันอยากรู้ เพราะเท่าที่ดูกางเกงตัวนี้มันก็ค่อนข้างจะรัดรูปนะ แต่ทำไมถึงไม่เห็นอะไรตุงๆ เลยล่ะ? ...อืม ของเขาก็ใช่ว่าจะเป็นแหนมตุ้มจิ๋ว(จากที่เคยเห็นเขาแก้ผ้าต่อหน้ามาหลายครั้ง) ..เอาไปซ่อนไว้ตรงไหนหมด?
คุณซอลดูอึ้งไปเหมือนไม่คิดว่าจะมีคนมาถามอะไรแบบนี้(..ก็ผมสงสัยจริงๆ นี่ครับ) แต่สุดท้ายก็หัวเราะพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
“มันก็มีเทคนิคของมันล่ะนะ” คนพูดพยายามจะหยุดหัวเราะ “นายจะลองคลำดูไหมล่ะ? เผื่อจะเจอ”
“บ้าหรือไง..” ผมบ่นกับความคิดพิเรนๆ ของเขา ก็พอดีกับที่เราเดินมาถึงรถที่จอดรออยู่
พอมาถึงห้างแฮร์รอดส์เราก็แยกกันเข้างาน คุณซอลต้องไปทำหน้าที่เซเลปฯของเขา ส่วนผมก็ขอแว้บไปส่องเหล่านางฟ้าเจ้าของงานที่เขาลือเขาเล่าอ้างว่าขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามสักหน่อย กลับไปกรุงเทพฯจะได้เอาไปโม้กับเพื่อนฝูงได้ว่าผมเคยเห็นตัวเป็นๆ ของนางฟ้าวิคตอเรียมาหมดแล้ว ฮ่ะๆๆ
อยู่ในงานได้พักไม่ใหญ่นักผมก็ถอยออกมาเพราะรู้สึกวิงเวียนกลิ่นน้ำหอมคละคลุ้งจากทั้งเจ้าของงานและเหล่าผู้ร่วมงานที่ขนประโคมกันมาจนไม่รู้ว่ากลิ่นใครเป็นกลิ่นใคร ..ผมเดินวนไปเวียนมาอยู่ในห้างซึ่งเต็มไปด้วยของแบรนด์เนมและของแปลกหูแปลกตาที่ราคาแพงจนน่าแปลกใจได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของพื้นที่ก็รู้สึกล้าขา เลยตัดสินใจกลับไปรอที่รถเมื่อเห็นว่าอีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้แล้ว ..สักพักก็เห็นคุณซอลเดินมาพร้อมกับผู้ชายผอมสูงอีกคน
หมอนั่นถูกแนะนำว่าชื่อ มิคุนิ เป็นนายแบบสังกัดเดียวกับคุณซอล อายุสิบเก้าเท่าผม ดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นกับอะไรสักอย่างที่เป็นฝรั่ง(ผมคิดงั้นนะ) รูปร่างหน้าตารวมทั้งท่าทางดูคุณชายสุดๆ ทั้งผมหยักศก ทั้งลูกตากลมๆ เป็นสีดำสนิท หมอนั่นผงกหัวให้ผมนิดหน่อยตอนที่คุณซอลแนะนำ หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรผมอีก เอาแต่คุยเรื่องที่ผมไม่รู้อยู่กับคุณซอลเป็นวรรคเป็นเวรราวกับชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้คุยกันอีกแล้ว จนผมที่ยืนหัวโล้นอยู่ชักจะเมื่อยน่อง
“อ่า..” คุณซอลหันมามองผมเหมือนเพิ่งจะนึกได้ว่าตรงนี้ยังมีผมอยู่อีกคน ก่อนหันกลับไปพูดกับมิคุนิ
“ผมว่าเราไปหาอะไรทานแล้วค่อยคุยกันต่อดีกว่า นี่ก็เลยมื้อเที่ยงมาพักใหญ่แล้ว”“ก็ดีครับ” มิคุนิก้มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วพยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นไปร้านที่เราเคยไปคราวก่อนดีไหม? ..วันนั้นคุณกินอะไรเข้าไปนะ แล้วบอกว่ารสชาติอย่างกับราบนถั่ว ..อ๋อ เนยถั่วใช่ไหม? แต่รสชาติกลับเหมือนราบนถั่วมากกว่า”คุณซอลหัวเราะตามหมอนั่น พลางส่งสายตาล้อเลียน
“มิกุมิกุ นี่ความจำดีจังเลยนะ”“โธ่ ผมบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกเรียกผมแบบนั้นสักที”
“หรือจะให้เรียกกว่า ‘มิคุริน’ ดีล่ะ?”
“อันไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นแหล่ะครับ ..เมื่อไหร่คุณจะเลิกตั้งชื่อเล่นพิลึกๆ ให้คนอื่นสักทีนะ? ผมว่าผมไปดีกว่า เจอกันอีกทีที่ร้านครับ”
มิคุนิบอกลา แล้วเดินไปหารถของตังเองโดยไม่ได้เหลือบมามองผมด้วยซ้ำ
“พวกคุณดูจะมีเรื่องให้คุยกันเยอะแยะเลยนะ..” พอขึ้นมาบนรถ ก็ดูเหมือนผมจะได้ความสามารถทางการพูดกลับคืนมา “ไม่ค่อยได้เจอกันเหรอ?”
“อืม หมอนั่นอยู่ในความดูแลของตัวแทนเอเจนซี่สาขานิวยอร์คน่ะ นานๆ เลยไม่ค่อยได้โผล่มาที่ลอนดอนเท่าไหร่ ถ้าไม่มีงาน” คุณซอลตอบขณะพยายามถอยรถออกจากซอง
“เอเจนซี่คุณมีสาขาที่อื่นด้วยเหรอ?”
“มีสิ ถ้าเป็นแถบยุโรปก็จะใช้สาขาที่ลอนดอนเป็นศูนย์กลาง แต่ถ้าเป็นฝั่งอเมริกาก็จะใช้สาขาที่นิวยอร์ค ..อย่างมิคุนี่เพราะครอบครัวอยู่ที่นิวยอร์ค ริต้าไปเจอหมอนั่นตอนไปงานแฟชั่นวีค ก็เลยชวนมาเข้าสังกัดด้วย”
“จริงสิ พูดถึงแม่คุณแล้วก็เพิ่งจะนึกได้ ไม่เห็นท่านกลับมาสักทีล่ะ? ผมจำได้ว่าวันแรกที่มาบ้านแอนเดอร์สัน แฝดบอกผมว่าอีกวันสองวันแม่คุณจะกลับมานี่นา แต่นี่ก็ผ่านมาสี่วันแล้วนะ”
“อ๋อ.. ไปฮาวายแล้วล่ะ”
“ฮาวาย?”
“อือ พอเสร็จธุระจากมิลาน ริต้าก็ไปหามาร์ตินที่เนเธอร์แลนด์ จากนั้นทั้งคู่ก็ควงกันไปพักร้อนที่ฮาวายหน้าตาเฉย ทิ้งภาระให้คนข้างหลังจัดการกันเอง ..เป็นแบบนี้ตลอด นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา ..แล้วนี่ก็ไม่แน่ใจด้วยว่าจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“อ่อ.. ผมสังเกตมาหลายครั้งแล้ว ทำไมคุณถึงเรียกแม่ตัวเองด้วยชื่อแบบนั้นล่ะ” เวลาคุณซอลพูดถึงแม่ เขามักจะไม่เรียกว่า ‘แม่’ แต่เรียกว่า ‘ริต้า’ ตลอด
“ผมชินปากน่ะ.. ริต้ามีผมตอนที่ยังเป็นนางแบบอยู่ และเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ามีลูกแล้วก็เลยสอนให้ผมเรียกว่า ‘ริต้า’ แทนที่จะเป็น ‘แม่’ เหมือนเด็กคนอื่นๆ”
ผมพยักหน้า แต่ก็นึกสงสัยขึ้นมาอีก “แล้วพ่อคุณล่ะ? ไม่เห็นเคยพูดถึงเลย ยังอยู่ดีหรือเปล่า?”
“ก็คงงั้น..” คุณซอลพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “ผมไม่ค่อยได้เจอเขาเท่าไหร่ ..แล้วก็ไม่คิดว่าจะอยากเจอสักเท่าไหร่ด้วย”
“คุณ.. ไม่ค่อยลงรอยกับพ่อเหรอ?” ถามไปแล้วก็เพิ่งจะมานึกเกรงใจ เขาจะหาว่าผมละลาบละล้วงหรือเปล่าล่ะเนี่ย?
“เปล่าหรอก เราแค่ไม่ค่อยจะมีอะไรให้คุยกันน่ะ ..ผมสนิทกับริต้ามากกว่า คงเพราะอยู่ด้วยกันมาตลอด ส่วนป๊ะป๋า..เอ่อ..พ่อผมน่ะสนิทกับแฝดมากกว่า” คุณซอลยังคงเล่าต่อ “พ่อกับแม่ผมเลิกกันมาได้สิบปีแล้วล่ะ ตอนแยกทางก็ตกลงแบ่งลูกกันโดยให้ผมมากับริต้า ส่วนแฝดอยู่กับพ่อ ..ตอนแรกผมก็เคว้งนะ ครอบครัวที่เคยมีกันอยู่ห้าคน มีเรื่องให้หนวกหูทุกวัน จู่ๆ ก็วับหายไป เหลืออยู่แค่สองคน แถมริต้ายังหอบผมมาลอนดอนทันทีที่เซ็นใบหย่า ต้องปรับตัวปรับใจ ปรับสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมด ถึงผมจะโชคดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องภาษา แต่ตอนที่ริต้าออกไปทำงานผมก็ต้องอยู่คนเดียวตลอด รู้สึกเหงามากเลยล่ะ ..บางครั้งก็อดนึกอิจฉาแฝดไม่ได้ เพราะไม่ว่าพ่อจะหายออกไปจากบ้านนานแค่ไหน แฝดก็ยังคงอยู่ด้วยกันตลอด เจ้าพวกนั้นคงไม่รู้จักคำว่า ‘เหงา’ หรอกมั้ง..”
“...........” ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี จะให้ปลอบใจมันก็ดูจะเยอะเกินไปไหม? เพราะท่าทางเขาก็ไม่ได้ต้องการการปลอบใจสักหน่อย ก็แค่เล่าไปเรื่อยๆ ไม่ต่างจากพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ สุดท้ายผมก็เลยทำได้แค่นั่งฟังไปเรื่อยๆ เท่านั้น
“ตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ พี่เลี้ยงที่เลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กๆ ที่ริต้าหอบหิ้วมาพร้อมกันถูกรถชนตอนที่กำลังข้ามถนน ต่อหน้าต่อตาผมเลย ผมช็อคมากจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็กำลังเขย่าร่างแน่นิ่งนั้นอยู่ มีเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนไปทั่วหน้าทั่วตัว เลือดไหลนองเจิ่งไปทั่วพื้น..”
“เดี๋ยวๆ คุณซอล เดี๋ยวก่อนๆ” ผมเห็นท่าไม่ดีเลยรีบเบรกภาพความทรงจำเลวร้ายของเขา ก่อนที่ร่างท่วมเลือดรายต่อไปจะเป็นผมเอง “มันไม่ใช่เลือด ไม่ใช่หรอก แค่น้ำหวานช็อคโกแล็ตน่ะ กลิ่นก็ไม่เหมือนกัน ลองสูดหายใจเข้าลึกๆ สิ...นั่นแหล่ะ...ลองอีกครั้งสิ..ดีมาก.. คุณได้กลิ่นใช่ไหม? กลิ่นหวานๆ น่ะ ..อืม หอมมากเลยใช่ไหม? คิดถึงรสชาติตอนที่ราดมันลงบนแพนเค้กสิ”
ผมยิ้มให้เขา ใบหน้าสวยที่ซีดเผือดเมื่อครู่ค่อยๆ กลับมามีสีเลือดอีกครั้ง “ไว้กลับถึงบ้านแล้วผมจะทำแพนเค้กให้คุณกินนะ”
รู้สึกดีใจที่สามารถดึงเขาออกมาจากความทรงจำสีแดงได้ และโล่งใจมากที่เขาไม่วูบไปทั้งที่กำลังขับรถอยู่
“คุณคงเป็นโรคกลัวเลือดตั้งแต่ตอนนั้นล่ะสิ” ..จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรก เขาเป็นลมเพราะเห็นเลือดกำเดาของตัวเอง ผมก็เลยเดาว่าเขาน่าจะเป็นโรคกลัวเลือด ..หรือเปล่า?
“อืม.. คิดได้ยังไง น้ำหวานช็อคโกแล็ต?”
“เอาน่า ผมยังไม่อยากไปสวรรค์ก่อนวัยอันควรหรอกนะ” ผมทำเป็นไม่ใส่ใจ หันหน้ามองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รู้สึกถึงสายตาคุณซอลอยู่อึดใจหนึ่ง ก่อนที่เสียงของเขาจะดังขึ้นอีก
“ดูเหมือนผมจะเริ่มนอนคนเดียวไม่ได้ราวๆ ช่วงนั้นเหมือนกัน”
“แล้วคุณทำยังไง?”
“ริต้าซื้อแมวมาให้ผมเลี้ยง”
“แมว?”
“อืม ให้มันคอยอยู่เป็นเพื่อน”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหนล่ะ? ผมไม่เห็นที่บ้านคุณจะมีแมวสักตัว”
“มันหนีออกจากบ้านไปหลายปีแล้วน่ะ”
“คงทนเจ้านายอย่างคุณไม่ไหวล่ะสิ” เพราะเขาไม่ได้มีทีท่าอาลัยรักแมวตัวนั้นสักเท่าไหร่ ผมเลยกล้าที่จะแหย่เขาเล่น
“แมวน่ะ มันไม่เคยเห็นเจ้าของเป็นเจ้านายหรอก รู้ไหม? ..มันเห็นเจ้าของเป็นทาส เป็นผู้รับใช้คอยหาน้ำหาข้าวเกาพุงให้มันต่างหาก”
“จริงเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว เพราะไม่เคยเลี้ยงแมว เรื่องนี้จึงเป็นความรู้ใหม่
“นายไม่เคยเลี้ยงแมวล่ะสิ”
ผมส่ายหน้า “ผมเคยเลี้ยงแต่หมา ตอนนี้ที่บ้านก็มีอยู่ตัวนึง เป็นหมาไทยพันธุ์ทาง หลังอานด้วยนะ สีขนสวยเชียว ..มันหลงมาจากไหนไม่รู้ ผมก็เลยเลี้ยงเอาไว้ ฉลาดสุดๆ ฉลาดกว่าหมาฝรั่งอีก สอนอะไรก็จำได้หมดเลย ..แต่มีเรื่องเดียวที่มันไม่เคยจำ มันไม่เคยจำเลยว่าผมเป็นเจ้านายของมัน เจอหน้ากันทีไรแม่งเห่าใส่ตลอด”
คุณซอลหัวเราะชอบใจหลังได้ฟังเรื่องหมาน้อยน่ารักของผม
“เวลายายไม่อยู่เลยต้องล่ามมันเอาไว้ เพราะกลัวว่ามันจะโดดมางับหัวผมเข้าสักวัน”
“ท่าทางว่านายจะทำคุณกับใครไม่ขึ้นนะ” คุณซอลพูดทั้งที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ ผมพยักหน้ารับเห็นด้วย
“คงงั้น.. หมาที่ผมเก็บมาเลี้ยงก่อนหน้านี้มันก็ไปจงรักภักดีกับบ้านข้างๆ อย่างหน้าตาเฉย กลายเป็นหมาของเขาไปเลย ส่วนตัวก่อนหน้านั้นอีกก็หนีออกจากบ้าน ผมไปเจอมันอยู่ถัดไปอีกสองซอย เรียกชื่อก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ แถมสะบัดตูดหนีเข้าบ้านใหม่ต่อหน้าต่อตา ตอนนั้นเข้าใจเลยว่าอารมณ์อกหักมันเป็นยังไง”
“ช่างเป็นชีวิตรักสัตว์ที่รันทดจริงๆ” คนพูดยังคงหัวเราะร่วน
ผมเหลือบมองทางเขานิดนึง ก่อนว่าต่อ “..แล้วตอนนี้ก็มีอยู่อีกหนึ่ง หาข้าวหาน้ำให้กินทุกวัน แต่ก็ไม่วายจ้องจะงาบผมอยู่นั่นแล้ว”
คราวนี้คุณซอลระเบิดเสียงหัวเราะลั่นรถ ..คงเข้าใจแหล่ะ ว่าผมกำลังพูดถึงตัวไหน ฮ่ะๆๆ
กว่าจะขับรถมาถึงที่หมายก็มีเรื่องอะไรผ่านเข้ามาให้เราได้คุยกันอีกเยอะ ผมรู้สึกเหมือนได้รู้จักเขามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ เผยตัวตนให้เขาได้รู้จักมากขึ้น ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่ทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ผมไม่รู้สึกฝืนใจหรืออึดอัดสักนิดเวลาที่อยู่กับเขา แม้จะรู้ว่าเขาคิดยังไงกับผมก็ตาม ..แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมใจต้องใจตรงกับเขาหรอกนะ ผมแค่รู้สึกสบายใจและเพลิดเพลินเวลาที่ได้ใช้เวลาร่วมกับเขาก็เท่านั้นเอง
เขาทำให้ผมรู้สึกดี.. เรื่องนี้ไม่ปฏิเสธหรอก
ส่วนเรื่องอื่น.. ผมคงต้องขอปฏิเสธ
รักฤดูร้อนจะคงอยู่ได้ยังไงเมื่อฤดูฝนมาเยือน? ท้ายที่สุดก็คงต้องจบกันไป และกับจุดจบที่ถูกกำหนดวันเวลาล่วงหน้ามาแล้วอย่างนั้น ..อย่าเริ่มมันตั้งแต่แรกเลยคงดีกว่า
“อ่ะ.. ทำไมเอาไม่ออก?” ผมกำลังจะปลดเข็มขัดนิรภัยเพื่อลงจากรถ แต่ไม่รู้มันติดอะไรถึงปลดไม่ออกสักที
“ไหน ..ขอดูหน่อย” คุณซอลโน้มตัวเข้ามาช่วย ใบหน้าของเราทั้งคู่จึงเข้ามาใกล้กันอย่างไม่อาจเลี่ยง ผมคงจะไม่คิดอะไรถ้าในใจไม่ได้มีแต่เรื่องของเขาเต็มไปหมดอย่างในตอนนี้ แม้จะพยายามหักห้ามใจ แต่กลีบปากสีชมพูหวานด้วยอานุภาพของลิปสติกราคาแพงคู่นั้นกลับร่ายมนต์ใส่ผมเต็มๆ จนไม่อาจหันเหสายตาไปมองที่ไหนได้อีก
“ยู..” เรียวปากนั้นขยับเปลี่ยนรูปตามเสียงที่เปล่งออกมา ผมไม่รู้ตัวเลยว่าจดจ่ออยู่กับมันจนไม่ทันสังเกตเห็นระยะห่างที่ค่อยๆ ย่นเข้าหา ..ระยะห่างที่ผมเป็นคนทำลายมันเอง
“อย่ายั่วผมนักสิ..” เสียงที่เปล่งออกไปฟังราวกับไม่ใช่เสียงของผมเอง
“ยู..?”
“ชู่วว..” ตั้งแต่เมื่อกี๊แล้ว.. ตั้งแต่ตอนที่บอกให้คุณซอลนึกถึงกลิ่นหวานๆ.. กลิ่นที่ผมนึกถึงกลับไม่ใช่น้ำหวานช็อคโกแล็ต แต่เป็นกลิ่นหวานๆ ที่น่าจะมาจากกลีบปากสีชมพูนี่ต่างหาก ตั้งแต่ตอนนั้นผมก็นึกสงสัยมาตลอดทางว่ามันจะมีรสหวานแบบไหน?
แบบไหนกันนะ?
“อืมม..”
อธิบายไม่ได้จริงๆ
“คุณคิดจะจริงจังกับผมแค่ไหน?” ผมถามทั้งที่ยังคลอเคลียไม่ห่างจากกลีบปากสีชมพู คุณซอลเผยอปากขึ้นคล้ายจะตอบ แต่ผมรีบเอาปากของตัวเองไปปิดไว้ก่อน หลังจากผละออกอีกครั้ง จึงพูดต่อ “..ไม่ต้องรีบตอบ ผมอยากให้คุณคิดให้ดีๆ ..ถ้าไม่ได้คิดจะจริงจังก็ให้อยู่ห่างๆ ผมเอาไว้ ...เพราะผมรักใครแค่ขำๆ ไม่เป็น”
“ยู..” คุณซอลอ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ดูลังเล สุดท้ายเลยหุบปากไปเหมือนเดิม
“เอาล่ะ ..ผมหิวแล้ว” ผมกลับมาพูดด้วยเสียงปกติเหมือนเดิม จับประตูรถทำท่าจะเปิดลงไป คุณซอลเลยยอมถอยออกห่าง ผมยิ้มให้เขานิดหนึ่ง ก่อนจะออกมาจากรถ ก็พอดีกับที่มิคุนิเดินมาถึงรถพวกเรา หมอนั่นมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แต่ไม่พูดอะไร แม้ผมจะพยายามยิ้มให้อย่างเป็นมิตร หมอนั่นก็แค่แค่นยิ้มกลับมาราวกับไม่เต็มใจ ..ท่าทางว่าเขาจะไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมแฮะ
“อ้าว มาถึงก่อนผมอีกเหรอเนี่ย?” คุณซอลที่มัวลีลาทำอะไรอยู่ไม่รู้ ค่อยๆ โผล่หัวออกมาจากรถในสภาพสวยงามเรียบร้อย เจ้ามิคุนิอะไรนั่นยิ้มหน้าบานทันที ..อะไรวะครับ? เลือกปฏิบัติเห็นๆ
“งั้นเข้าไปข้างในกันเถอะ” คุณซอลชักชวนแล้วออกเดินนำหน้าพวกเราไปโดยไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ...ไม่สิ เป็นผมต่างหากที่ไม่ได้มองไปทางเขา เจ้ามิคุนิที่กำลังจะก้าวตาม ชะงักเท้าเล็กน้อยแล้วโน้มตัวมาใกล้ ก่อนกระซิบบอกผมด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาเย็นเฉียบ
“เช็ดรอยลิปสติกออกหน่อยก็ดีนะ”!!..
หมอนั่นเดินออกไปแล้ว ผมรีบถอยกลับไปเช็คสภาพตัวเองกับกระจกรถ และพบว่ามีลิปสติกสีชมพูเลอะอยู่รอบๆ ปาก พอจะรู้แล้วล่ะว่าเมื่อกี๊คุณซอลมัวทำอะไรอยู่..
ให้ตายสิ ไม่คิดจะเตือนกันเลยหรือไง?
TBC. 
ตามชื่อตอน มันเป็นแค่การถกเถียง มิใช่สงครามบนเตียงจริงๆ นะฮัฟ
