(ต่อ)
ซอลลี่..?
เมื่อกี๊ซินเรียกคุณซอลฟาว่า ‘ซอลลี่’ สินะ? ...อืม กับซันชายน์ก็เรียกว่า ‘ซันนี่’ ..แล้วตัวซินเซียร์เองล่ะ? ..ซินดี้?
“.....ฮุ..” ดันไปเผลอนึกถึงหน้ากวนๆ กับหัวหลอดๆ ของหมอนั่นตอนเรียกชื่อพอดี ..อืม ไม่เข้ากันอย่างแรง ..อ่ะ แต่จะไปว่าคนอื่นเขาก็ไม่ใช่เรื่อง ขนาดตัวเองที่มักจะถูกเรียกว่า ‘ยูริจัง’ ก็ไม่เห็นว่าชื่อกับหน้ามันจะไปด้วยกันได้ตรงไหน
“ประหลาด” เสียงของคนที่นั่งไขว้ห้างอยู่บนโซฟาทำเอาผมแอบสะดุ้งเล็กๆ เพิ่งจะรู้สึกตัวว่าเดินเข้ามาถึงห้องนั่งเล่นแล้ว..
หลังจัดการกับมื้อเช้าไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็เก็บกวาดถ้วยเก็บชามไปล้างในครัว เจอคุณพ่อบ้านกำลังจะเอาถุงขยะไปทิ้งพอดี ตามประสาคนดีผมก็เลยอาสาเอาไปทิ้งให้ ที่ถังขยะนอกรั้วบ้านโน่น ขากลับเข้ามาเจอจีนกับเอลลี่กำลังช่วยกันเช็ดถูระเบียงทางเดินที่มีอยู่เกือบรอบบ้าน ก็เลยเข้าไปช่วยอีก(กำลังพยายามหามิตรในดินแดนห่างไกลอยู่ ฮ่ะๆๆ) เห็นทั้งสองคนว่างานนี้จะทำเพียงเดือนละสองครั้งเท่านั้น ปกติก็แค่กวาดถูพื้นทางเดินเฉยๆ กว่าจะเสร็จงานก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงเช้า ..จากนั้นผมก็เดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาเจอคุณซอลฟาในห้องนั่งเล่นนี่ล่ะ นึกว่าเขากลับขึ้นไปนอนบนห้องตัวเองซะอีก เห็นในมือเขาถือนิตยสารอยู่เล่มหนึ่ง ท่าทางจะอ่านค้างอยู่ ทีวีก็เปิดเอาไว้ แต่ไม่ได้เปิดเสียง มีภาพเคลื่อนไหวของบรรดานางแบบเดินขวักไขว่แทบกระแทกไหล่กันอยู่บนแคทวอล์ค
“ครับ?” ผมส่งเสียงตอบเป็นเชิงถาม ..ประหลาดอะไร? อะไรประหลาด? หมายถึงผมหรือเปล่า? หรือ..ใคร?
“ตอนแรกก็เห็นเดินขมวดคิ้วเข้ามา แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นยิ้ม แล้วก็กลับมาขมวดคิ้วย่นกว่าเก่าอีก ..ผมถึงได้บอกว่าประหลาดไง”
“หมายถึงผมเหรอ?” ผมชี้หน้าตัวเองงงๆ
คุณซอลฟาถอนหายใจเบาๆ แล้วกลับไปสนใจหน้ากระดาษบนตักต่อ “เปล่า.. ผมหมายถึงจิ้งจกบนผนังน่ะ”
หือ? ผมหันซ้ายหันขวามองหาจิ้งจกตัวนั้น ..แต่ก็ไม่เห็นมี ..แล้ว...เอ้อ ช่างเหอะ เขาคงหมายถึงผมนี่แหล่ะ
“แล้ว..นี่หายไปทำอะไรมาเหรอ?” เขาเอ่ยถามผมโดยไม่ได้ละสายตาไปจากตัวหนังสือบนหน้ากระดาษ
เดินเข้ามาทิ้งตัวนั่งบนโซฟาอีกตัวที่อยู่ข้างกัน “ผมไปช่วยจีนกับเอลลี่ขัดระเบียงทางเดิน”
“ขยันจริง”
“ก็ผมมาที่นี่เพื่อทำงานนี่นา” ตอนหยิบหมอนขึ้นมาวางบนตักก็เหลือบไปเห็นรีโมททีวีเข้าพอดี เลยเอื้อมมือไปหยิบมา “ผมเปลี่ยนช่องได้ไหม? ..เห็นคุณไม่ได้ดู”
“เอาสิ” อีกฝ่ายเหลือบตาขึ้นมาดูนิดนึง ก่อนอนุญาต “จริงๆ แล้วนายไม่ต้องไปทำงานพวกนั้นก็ได้ นั่นเป็นหน้าที่ของสองสาวนั่นอยู่แล้ว นายแค่จัดการงานในส่วนของตัวเองให้เรียบร้อยก็พอ ..ฮัดสันน่าจะอธิบายขอบข่ายงานให้ฟังแล้วนะ”
ผมพยักหน้า ..ลุงพ่อบ้านบอกผมหมดแล้วว่าหน้าที่ของผมมีอะไรบ้าง แต่หลักๆ ก็แค่นอนเป็นเพื่อน เตรียมอาหารสามมื้อ มื้อว่างอีกหนึ่งมื้อ ช่วยอาบน้ำสระผมให้เป็นบางวัน.. ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าคุณซอลฟาจะต้องการอะไรเพิ่มเติม เดี๋ยวเขาจะบอกเอง.. แค่นั้นแหล่ะ กับเงินค่าจ้าง 300 ปอนด์(ประมาณ 15,000 บาท)ต่อสัปดาห์ อาจดูพอๆ กับไปทำงานตามร้านอาหาร แถมผมยังไม่มีวันหยุด บางครั้งเวลางานก็อาจไม่แน่นอน แต่ถ้าเทียบกับว่าผมได้ที่อยู่ฟรี ได้กินอาหารฟรี ผมว่ามันก็มากโขอยู่นะ แล้วงานมันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรเลย(ถ้าไปทำตามร้านอาหารต้องถูกใช้งานจนคุ้มเงินนั่นล่ะ) ..ผมเลยค่อนข้างจะเกรงใจถ้าจะทำแค่งานเล็กๆ น้อยๆ พวกนั้น แล้วรอรับตังค์ของเขาง่ายๆ น่ะ ..เลยคิดว่าน่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์มากกว่านั้นหน่อย
“ถึงทำเกินหน้าที่ผมก็ไม่เพิ่มค่าจ้างให้หรอกนะ”
“ที่คุณให้มามันก็มากเกินพอแล้ว”
“มักน้อย..”
“สมเหตุสมผลต่างหาก ..ผมไม่ชอบเอาเปรียบใคร”
“เป็นคนดีจังนะ” ขณะที่พูดกับผม อีกฝ่ายก็ยังจดจ่ออยู่กับเนื้อหาในนิตยสารเหมือนเดิม
“ผมบอกคุณตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว” ..ว่าผมเป็นคนดีน่ะ ..ผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ เลยเปลี่ยนมาสนใจคู่สนทนาหน้าสวยดีกว่า
เมื่อกี๊ตอนที่ขัดระเบียงอยู่กับสองเมดสาว ผมถือโอกาสถามนู่นถามนี่ที่คิดว่าควรจะรู้เอาไว้ จนได้ความว่าบ้านหลังนี้เป็นของ มิสเตอร์มาร์ติน แอนเดอร์สัน นักธุรกิจ(เห็นว่าเกี่ยวกับค้าส่งดอกไม้สด)ชาวลอนดอน วัย 60 ปี ก่อนหน้านี้เคยเป็นพ่อหม้าย ทั้งลูกทั้งเมียตายในอุบัติเหตุรถยนต์กว่าสิบปีแล้ว ก่อนจะมาแต่งงานกับแม่หม้ายสาวสวยลูกสาม เจ้าของเอเจนซี่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ(มีโมเดลชื่อดังหลายคนสังกัดอยู่)อย่าง มาดามริต้า คล็อด เมื่อสี่ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จีนและเอลลี่เข้ามาทำงานในบ้านหลังนี้พอดี ..คุณซอลฟาย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่พร้อมกับแม่ของเขา ส่วนแฝดซินเซียร์กับซันชายน์เคยมาอยู่สองปี พอจบ ม.ปลายก็กลับไปปักหลักอยู่ที่เมืองไทยเหมือนเดิม(เห็นว่าอยู่กับพ่อมั้ง) และจะมาหาแม่กับพี่ชายเฉพาะช่วงซัมเมอร์เท่านั้น
จะว่าไป.. คุณซอลฟากับน้องชายแฝดของเขานี่แทบไม่มีอะไรเหมือนกันเลยนะ ที่เห็นชัดๆ เลยก็คงจะเป็นสีตา ขณะที่พวกฝาแฝดมีตาสีน้ำตาล คุณซอลฟากลับมีตาสีน้ำเงินอมเทา ..เป็นพันธุ์กรรมแบบไหนกันนะ คนครอบครัวนี้?
อืม.. จริงๆ แล้วผมอยากจะรู้เกี่ยวกับผู้ชายหน้าสวยคนนี้อีกสักหน่อย(..เอ่อ อย่าคิดเยอะนะ ที่ผมสนใจเรื่องนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่าตัวเองต้องนอนร่วมห้องกับใครไปอีกสองสัปดาห์น่ะสิ) แต่สองสาวเองก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากมายนัก พวกเธอเล่าให้ผมฟังว่าเขาเพิ่งจะเริ่มโด่งดังในฐานะโมเดลมาได้ราวๆ สองปีเท่านั้น ทั้งที่เริ่มเข้าสู่เส้นทางนี้มาตั้งแต่อายุ 17 ปี ..เดี๋ยวนะ ..17? ตอนนี้เขาอายุ 23 งั้นก็...อืม..4 ปีเลยสินะ กว่าจะดังเนี่ย? ทั้งที่รูปลักษณ์ของเขาน่าจะเป็นที่สนใจได้ตั้งแต่การปรากฏตัวครั้งแรกด้วยซ้ำ ..พอผมพูดแบบนั้นออกไป จีนก็หัวเราะและบอกว่าเมื่อก่อนเขาไม่ได้ไว้ผมยาว ไม่ดูสาวขนาดนี้ นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่เขาไม่ได้รับความนิยมก็ได้ เอลลี่บอกว่าพอเขาเริ่มไว้ผมยาวก็เริ่มมีคนพูดถึงมากขึ้น ยิ่งพอเขาเปลี่ยนสีผมจนกลายเป็นสาวบลอนด์อย่างทุกวันนี้ก็เลยยิ่งฮอตไปกันใหญ่ ทั้งช่างภาพทั้งดีไซเนอร์มักจะชอบจับเขามาใส่เสื้อผ้าผู้หญิงกันอย่างสนุกสนาน ..เอิ่ม..รู้สึกว่าโลกนี้มันชักจะเปลี่ยนจนผมเริ่มหมุนตามไม่ทันแล้วสิ ..คิดอะไรกันอยู่นะ คนพวกนั้น? ผู้หญิงจริงๆ ไม่สนใจ ดันไปจับผู้ชายมาใส่ชุดผู้หญิงซะงั้น..
ผมถามอีกว่าตอนที่เขาไว้ผมสั้นหน้าตาเป็นยังไง? คำตอบเพ้อๆ ของสองสาวคือ...หล่อมากกกกก
“...........” อืม.. ให้นึกภาพตอนนี้ยังไงผมก็นึกไม่ออกแฮะ ก็ดูเขาออกจะสวยหมดจรดขนาดนี้นี่นะ “ทำไมคุณถึงถูกเรียกว่า ‘ออโรร่า’ ล่ะ?”
จีนบอกผมว่าในวงการแฟชั่นเขาถูกเรียกว่า ‘ออโรร่า’ ทุกคนรู้จักเขาในนาม ‘ออโรร่า’ มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเขามีชื่อเล่นว่า ‘ซอลฟา’ และมีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นที่เรียกเขาว่า ‘ซอลลี่’ ..ส่วนชื่อจริงๆ ของเขา...มีหรือเปล่าวะ? ผมไม่รู้แฮะ
แล้ว ‘ออโรร่า’ มันมายังไง? ..หรือจะเป็นเพราะความงามที่ธรรมชาติสร้างมาอย่างผิดธรรมชาติของเขา ..ผมว่าน่าจะมีส่วนนะ ไม่มากก็น้อยล่ะ
คนถูกถามเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วแปลกใจ ดูก็รู้ว่าเขาคงไม่คิดว่าผมจะถามอะไรแบบนี้ ผมเองก็ไม่เคยคิดจะถามหรอก ถ้าไม่สงสัยล่ะก็นะ.. (แล้วจะพูดทำไม? ..ก็นั่นน่ะสิ)
“ชื่อจริงของผม..”
“ชื่อจริงของคุณ?” ..อะไร?
“ผมชื่อ แสงเหนือ”
“แสงเหนือ..” ผมพยักหน้า นึกชื่นชมอยู่ในใจ ใครนะช่างตั้งให้ ถึงมันจะดูไม่เหมาะกับหน้าของเขาเท่าชื่อ ‘ซอลลี่’ ก็เหอะ แต่ก็ฟังดู.. “..เท่ห์ชะมัด”
“รู้ตัวไหมว่านายคิดออกมาเสียงดัง?” เขามองผมแปลกๆ
“โทษที ผมไม่ทันระวัง” ผมเคาะปากตัวเองเบาๆ ...แต่ก็คิดงั้นจริงนะ อย่างน้อยมันก็ฟังเท่ห์ว่า ‘ยูริ’ ล่ะน่า
“ไม่.. ไม่เป็นไร” คุณแสงเหนือพูดยิ้มๆ ..หรือว่าเขา...จะชอบคำชมนั่น?
“แสงเหนือ.. แอนเดอร์สัน ..เหรอ?” ผมเบี่ยงหัวข้อกลับมาที่ประเด็นเดิม
“เฮย์เดน ..ผมไม่ใช่ลูกของมาร์ติน”
“อ่อ...เอ๊ะ พ่อคุณไม่ใช่คนไทยหรอกเหรอ?” ผมมีเรื่องสงสัยใหม่ขึ้นมาอีก ..เท่าที่ได้ยินมาแม่ของเขาน่าจะเป็นฝรั่งนะ ก็ชื่อ ‘ริต้า คล็อด’ ไม่ใช่เหรอ? แล้วพ่อเขาก็นามสกุล ‘เฮย์เดน’ อีก แต่เขาชื่อไทย แถมยังพูดไทยคล่องปร๋อ ..ตกลงมันยังไง?
“พ่อผมเป็นลูกครึ่งไทยแคนาเดี้ยน.. ส่วนแม่เป็นไทยไอริส ..มีอะไรสงสัยอีกไหม คุณหัวลูกชิ้น?” คราวนี้เขาปิดนิตยสารแล้วหันมามองผมยิ้มๆ
“ผมชื่อ ยู..” ..ตายล่ะ มัวแต่ถามเพลินปากไปหน่อย นี่เขาจะหาว่าผมสอดรู้สอดเห็นหรือเปล่าเนี่ย? ผมไม่ใช่คนแบบนั้นนะ ก็แค่..เอ่อ..ช่างสงสัย..เท่านั้นเอง ..อือ ตามนั้น “ผมรบกวนการอ่านหนังสือของคุณหรือเปล่า?”
“ไม่หรอก.. มันไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว” เขาโยนนิตยสารเล่มนั้นไปรวมกับเล่มอื่นๆ ซึ่งวางซ้อนกันอยู่บนโต๊ะข้างๆ โซฟา “แล้วนายล่ะ.. ไม่คิดจะเล่าเรื่องตัวเองให้ผมฟังบ้างเหรอ?”
“เฮะ? เรื่องผมเหรอ?” ...จะอยากรู้ไปทำไม?
“ก็ล้วงข้อมูลของผมไปได้ตั้งเยอะแล้วนี่ ..ไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนบ้างเหรอ? เอาเปรียบกันจัง” เขาแสร้งตีหน้าเศร้าเล็กน้อย
“ล้วงข้อมูลอะไรกัน..” ..เอาเปรียบอะไรกัน? ก็แค่ถามนิดๆ หน่อยๆ ตามประสาคนช่างสงสัยเอง “เรื่องผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก”
“น่าสนใจสิ..” เขายิ้มแบบเมื่อเช้าอีกแล้ว รอยยิ้มที่ทำให้ผมใจแกว่งๆ ...ให้ตาย ไม่อยากมองเลย ผมแพ้คน(ยิ้ม)สวย “ผมบอกไปแล้วไงว่าสนใจนาย เพราะงั้นไม่ว่าเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับนาย..ผมก็สนใจทั้งนั้นแหล่ะ”
นอกจากรอยยิ้มของเขาจะดาเมจระบบหัวใจของผมแล้ว ..คำพูดของเขายังดาเมจระบบสมองของผมอีก ..แย่แฮะ ท่าทางว่าการอยู่ใกล้ผู้ชายคนนี้จะอันตรายกว่าที่คิดไว้ซะแล้ว ไอ้ยูเอ๋ย
“นี่คุณ.. คิดจะจีบผมจริงๆ เหรอ?” หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง ผมก็สามารถเค้นคำถามออกมาได้
“อาฮะ” เขาตอบด้วยท่าทางสบายๆ “ผมดูเหมือนล้อเล่นหรือไง?”
“แต่คุณดูไม่จริงจัง..” ...หรืออย่างน้อยผมก็อยากจะเชื่อแบบนั้น “..ผมคิดว่าคุณคงอำเล่น”
“ผมเอาจริง”
“อ่า..” ผมนึกไม่ออกแล้วว่าควรจะพูดอะไรต่อ เกิดมายังไม่เคยเจอใครประกาศว่าจะจีบผมซึ่งๆ หน้ามาก่อนเลย ..แถมยังเป็นเกย์หน้าสวยอีกต่างหาก “ผม..เป็นผู้ชายนะ”
“สี่ครั้ง..”
“ฮะ?”
“ผมนับได้สี่ครั้งแล้วที่นายพูดแบบนี้” เขายกยิ้มมุมปาก สายตาที่มองมาฉายแววเจ้าเล่ห์ “ไม่แน่ใจว่าต้องการจะตอกย้ำกับตัวผมหรือตัวนายเองกันแน่? แต่ถ้าจะบอกกับผมล่ะก็.. ผมชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว”
“.....?....” หรือว่านี่ผมจะกำลังตอกย้ำกับตัวเองอย่างที่เขาว่า? ..อะไรกัน? ผม...ยังไม่อยากไขว้เขวนะ
“คงเป็นอย่างหลัง..หรือเปล่า?” เขาชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยรอยยิ้มกลุ้มกริ่ม “เอ.. หรือว่าจะเริ่มตกหลุมรักผมเข้าให้แล้ว? ..สารภาพได้นะ ตอนนี้ผมฟรีอยู่”
ไม่ดีล่ะม้าง.. ผมมองหน้าเขาแบบไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง
“อ่า.. อย่าดีกว่า ขอผมเก็บไว้ในใจเหมือนเดิมแหล่ะดีแล้ว”
“เอางั้นเหรอ?” คุณซอลฟาหัวเราะชอบใจ แล้วถอยกลับไปนั่งพิงโซฟาเหมือนเดิม
“...........” อืม...
หรือว่านี่ผมจะเริ่มก้าวเข้าสู่กระบวนการวิวัฒนาการสายพันธุ์เข้าซะแล้ว..?
TBC. 
แนะนำว่าให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ตอนแรกอีกรอบจะดีมาก
เพราะขนาดไวท์เขียนเอง ก็ยังลืมไปแล้วเลยว่าเคยเขียนอะไรเอาไว้ ฮ่าๆๆๆ