***ยังรัก...แม้เราจำต้องจาก***
หลังจากงานเลี้ยงเลิกราคืนนั้น ผมนอนไม่หลับเลย ผมรอให้ถึงวันนั้น วันที่เราจะได้มาเจอกัน มันเป็นความรู้สึกแบบแปลกๆ ใจมันหายยังไงไม่รู้ เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นขึ้นมา ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข ผมไปหาโต๊ดและหน่อย เพื่อเล่าให้พวกมันฟังกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อคืนนี้ ผมเล่าอย่างมีความสุข ทั้งตื่นเต้นกับวันพรุ่งที่จะมาถึง อยากให้มันมาถึงแทบใจจะขาด
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่โทรไปหาเขาเพื่อยืนยันนัดของเราทั้งสองที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า สมัยนั้นพวกเราไม่มีหรอกครับโทรศัพท์มือถือน่ะ ผมไม่มีแม้แต่โทรศัพท์บ้าน จะมีก็แต่โทรศัพท์ของทางราชการที่บ้านนังหน่อยมันมี และบ้านต่อเองก็มี ผมน่าจะโทรไปหาเขาวันนั้น แต่ มันเหมือนมีอะไรมากดผมไว้ กดไว้เพื่อให้รอ รอให้ถึงวันนั้นเพื่อว่ามันจะเต็มที่ไปกับสิ่งที่รอคอย เพื่อให้มันคุ้มค่ากับสิ่งนั้น และมันก็คุ้มค่าเหลือเกิน...
ณ วันนัด วันนั้นผมจำได้ว่าผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า ผมรู้สึกกระตือรือร้นอย่างหื่นกระหายที่จะได้เจอกับเขา วันนี้คือวันที่ผมรอมานานสองค่ำคืนที่ผ่านมามันทำเอาผมถึงกับทุรนทุราย แต่ใครจะรู้ได้ว่าวันนี้มันทำให้ผมรู้สึก...รู้สึกได้มากยิ่งกว่าวันใดๆที่ผ่านมา และมันมาก...มากเกินกว่าที่จะรับไหว
สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว...ผมรีบนั่งรถออกไปเจอเขายังร้านข้าวที่เราสองคนชอบไปกัน ผมไปถึงที่นั่นก่อนเวลานัดประมาณสิบห้านาที ระหว่างทางที่เดินไปยังร้านนั้น ผมก็พยายามมองดูเขาว่าเขามารึยัง เดินผ่านที่ท่ารถที่เขาจะมาลงผมก็ยังแอบมองไป เพราะเขาอาจจะมาแล้วและเดินอยู่แถวนี้ก็ได้ แต่ก็ไม่มี ไม่เป็นไร ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา ผมก็ยังมีโอกาส ผมนั่งรอเขาอยู่จนกระทั่งเวลาผ่านไปเที่ยงครึ่ง ทุกอย่างยังคงเงียบงัน ผมคอยแต่ชะเง้อคอคอยมองหาเขาบริเวณนอกร้าน มองไปกี่ทีก็ไม่มีวี่แววของเขาเลยแม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปดูเขาที่ท่ารถ ประจวบเหมาะกับที่มีรถที่มาจากบ้านเขามาจอดที่ท่ารถพอดี ผมก็มองหาเขาในรถซึ่งก็ไม่มีเขานั่งมาด้วย คราวนี้ผมรู้สึกใจหายแบบบอกไม่ถูก เกิดอะไรขึ้น? เขาจะลืมวันนี้ไปแล้วเหรอ? ผมไม่ย่อท้อแต่กลับไปดูเขาที่ร้านข้าวอีกทีเผื่อว่าเขาจะลงรถก่อน แต่ก็ไม่มีเขาอีกตามเคย ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามที่ร้านค้าว่าเขาเห็นต่อบางมั้ย? ซึ่งที่ร้านนี้เขาจะรู้จักผมและต่อดี เนื่องจากเรามากินข้าวที่นี่กันบ่อย ทางร้านเขาก็ตอบมาว่า ไม่เห็นเลย ผมรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในใจผมคิดว่าเต้ยคงไม่น่าจะผิดนัด เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น และอีกอย่างเรื่องราวมันก็ดูเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว ผมจึงเดินกลับไปยังท่ารถของเขาอีกเพื่อไปยืนรอเขาเผื่อว่าเขาจะตกรถและออกมาช้ากว่ากำหนด
วันนั้นผมยืนรอเขาอยู่อย่างนั้นถึงห้าโมงเย็น...ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเขาอาจจะลืมหรืออาจจะมีธุระอะไรที่ทำให้เขามาไม่ได้ ผมคิดได้อย่างนั้น สักพักเวลาได้ประมาณหกโมงเย็นผมจึงตัดสินใจกลับไปยังที่บ้านหน่อยเพื่อไปขอมันใช้โทรศัพท์โทรไปหาต่อที่บ้าน แต่ปรากฏว่าหน่อยและที่บ้านนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน เข้าใจว่าคงจะพากันออกต่างจังหวัดกันหมดแล้ว เพราะเมื่อคืนก่อนที่ผมบอกลามันและโต๊ดว่าผมจะย้ายไปกรุงเทพฯ ผมก็ได้ยินมันบอกว่าวันนี้มันอาจจะไม่อยู่บ้าน เพราะจะต้องออกต่างจังหวัดกัน ผมถึงกับเดินคอตกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน ผมจึงตัดสินใจเดินไปยังบ้านโต๊ดซึ่งก็อยู่ไกลจากบ้านหน่อยพอสมควร ผมยืนรอรถต่อไปไม่ไหวแล้ว พอถึงบ้านโต๊ดผมก็ไปเรียกมัน แล้วก็ชวนมันไปโทรหาต่อเป็นเพื่อนผม
“ไงมึงเจอต่อแล้วสิ แต่ไหงกลับทำหน้าตาแบบนั้นวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องไม่เป็นอย่างที่มึงคิดน่ะ” มันพูดกระแทกกระทั้นความรู้สึกผมอีกแล้ว
“เปล่า นี่กูยังไม่ได้เจอต่อเลย กูไปยืนรอตั้งแต่เที่ยง แล้วนี่กูก็เพิ่งจะได้กลับมานี่แหละ กูว่าจะพามึงเดินไปโทรศัพท์หาต่อที่บ้านล็อกโน้นน่ะ” ผมพูดจบก็รีบพามันเดินไป
“เฮ้ย มันลืมแหละมั้ง หรือไม่มันก็อาจไปไหนกับที่บ้านรึเปล่า อย่าคิดมากนะ” มันปลอบใจผม ซึ่งผมเองก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น จนกระทั่งเราเดินมากันถึงยังโทรศัพท์ ผมไม่รีรอที่จะกดเบอร์ไปยังบ้านของเขา เสียงโทรศัพท์ดังเป็นระยะๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีใครมารับสายเลย ผมโทรอยู่ไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครมารับสาย
“เดี๋ยวมืดๆค่อยมาโทรใหม่เถอะเต้ กูว่าคงไม่มีใครอยู่บ้านแล้วล่ะ” โต๊ดกล่าวจูงใจผมให้หยุดการกระทำนี้ไปชั่วขณะ
“แต่โต๊ด พรุ่งนี้กูต้องไปแต่เช้านะ กูจะไม่ได้เจอต่อแล้วเหรอ? ทำไมวะโต๊ด มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ เรานัดกันแล้วนะ” ผมเอ่ยไปร้องไห้ไปอีกตามเคย
“เอาน่า มึงก็ มันอาจจะมีธุระอะไรแหละน่า ก็มึงไม่มีโทรศัพท์นี่หว่า มันเองก็อาจอยากจะบอกมึงก็ได้ แต่จะให้มันทำยังไงได้ล่ะ? รอก่อนนะเพื่อนนะ” มันพูดขึ้นมาซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา
คืนนั้นผมโทรหาเขาทั้งคืน จวบจนเที่ยงคืนก็ยังคงไม่เลิกโทร และปลายสายก็ยังคงไร้คนมารับสาย ผมหมดแรงแล้ว ผมหมดอะไรแล้วทุกสิ่ง ผมรอแค่เพียงความหวังครั้งต่อไป ผมอาจจะไม่ได้เจอเขาในวันนี้หรือวันพรุ่ง แต่ก็ต้องมีสักวันที่ผมจะได้เจอกับเขา แต่แล้ว...ผมไม่มีวันนั้นอีกต่อไป
ในวันรุ่งขึ้นผมกับแม่ออกเดินทางกันแต่เช้า โต๊ดมันก็มาส่งผมด้วย ก่อนที่ผมจะไปนั้นผมให้โต๊ดมันพาผมไปโทรหาต่ออีกครั้งก่อนที่จะออกเดินทาง ซึ่งก็ยังไม่มีใครมารับสายเหมือนเคย ผมตัดใจแต่ก็ตั้งใจไว้ว่าทันทีที่ไปถึงกรุงเทพฯ ผมจะเขียนจดหมายถึงเขาทันที
ผมมาถึงกรุงเทพฯได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว ผมได้เขียนจดหมายไปหาต่อตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง ผมเขียนคืนนั้นและส่งคืนนั้น ผมรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา ผมรอไม่ไหวแล้วเพราะเวลามันผ่านไปอาทิตย์กว่าๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาหน่อย และก็ติด กว่าผมจะได้คุยกับมันนี่ก็ลำบากน่าดูเพราะว่าต้องต่อส่วนกลางของกรมทหารก่อนถึงจะต่อเข้าไปยังบ้านมันได้ แต่ก็สำเร็จ หน่อยมารับสายพอดี และสิ่งที่ทำให้ผมได้ยินนั้นก็ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน หน่อยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับต่อให้ผมฟังอย่างละเอียด เนื่องจากครอบครัวหน่อยและต่อจะสนิทกันดี พ่อหน่อยและพ่อต่อเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรที่เป็นเพื่อนสนิทกัน หน่อยเล่าว่า...
วันนั้น...วันที่ต่อและผมนัดกันไว้ เป็นวันที่พ่อแม่และน้องสาวคนเล็กของต่อพากันออกต่างจังหวัดเพื่อไปทำบุญกัน แต่วันนั้นต่อไม่ไป และขออยู่บ้านคนเดียว ซึ่งผมก็คิดเอาว่าเป็นเพราะต่อได้นัดไว้กับผมว่าจะมาเจอกันวันนั้น หน่อยเล่าไปร้องไห้ไป ผมเองก็เริ่มใจเสีย มันพูดแบบช้าๆเนืองๆเสียงสั่นๆ มันบอกให้ผมทำใจดีๆ ผมเริ่มรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่ผิดปกติแล้ว หน่อยเล่าต่อไปว่า เวลาประมาณช่วงสิบเอ็ดโมงวันนั้นต่อได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านคนเดียว แล้วบอกแถวๆบ้านข้างเคียงไว้ว่าจะไปหาเพื่อนที่นัดไว้ที่ตลาด ซึ่งก็คือผมนั่นเอง ที่จริงแล้วต่อเป็นคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่เก่งนัก เป็นก็แต่จักรยาน แต่วันนั้นเขากลับดันขี่มันออกมา ถึงเวลานี้ผมได้ร้องไห้ตามหน่อยไปแล้ว หน่อยเองมันก็เริ่มพูดไม่เป็นประโยค มันเริ่มไม่อยากเล่าต่อ เพราะมันกลัวผมจะเสียใจ ผมถึงกับต้องขอร้องอ้อนวอนมันให้เล่าให้ผมฟังให้จบ หน่อยเล่าต่อไปว่า เมื่อเต้ยขับรถมาจนถึงปากทางถนนใหญ่ได้ไม่ไกลนัก ก็มีรถเก๋งวิ่งตามมาด้วยความเร็วสูง และเฉี่ยวรถของต่อ ทำให้รถต่อเสียหลักพุ่งข้ามไปยังเกาะข้างถนน ต่อถึงกับหมดสติสิ้นลมหายใจไปในทันที หน่อยพูด “ต่อตายแล้วเต้...ต่อตายแล้ว”...................
ผมช็อกแม้ว่าตลอดเวลาที่ฟังหน่อยเล่าอยู่นั้น ผมเองพอจะเดาเหตุการณ์ได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่ได้คิดถึงขั้นที่ว่าต่อถึงกับความตายอย่างนั้น ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมพูดไม่เป็นคำแล้วทีนี้ ผมร้องไห้แทบบ้าคลั่ง ผมแหกปากส่งเสียงร้องราวกับคนที่กำลังถูกตีหรือถูกทำร้าย ผมร้องไห้อย่างทรมาน ความรักของผมจากผมไปเสียแล้ว ผมไม่เหลือเขาอีกต่อไปแล้ว มันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน มันเร็วเกินกว่าที่ผมจะรับได้ไหว ภาพเหตุการณ์ในครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอได้คุยกันนั้นมันโลดแล่นเข้ามาในหัวของผม ภาพวันเก่าๆของเราทั้งสองก็พากันเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของผมอย่างไม่หยุดยั้ง หน่อยเล่าต่อไปว่า งานศพของต่อเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปเมื่อวันก่อน มันไม่รู้ว่าจะติดต่อผมได้ยังไงดี มันได้แต่เขียนจดหมายมาหาผม แต่จดหมายนั้นที่มันเขียนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีมาให้ผมได้เห็น
หน่อยเล่าให้ฟังว่า วันนั้นที่ตัวต่อมีของสองสิ่งติดไปด้วย ของสิ่งนั้นก็คือ หนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเอาเหน็บไว้ที่กางเกงบริเวณหน้าท้อง มันเป็นหนังสือรถครับ เพราะเขารู้ว่าผมชอบรถมาก และก็ยังมีรูปตัวการ์ตูนล้อเลียนมารายห์ แครี่ย์ ซึ่งเค้ารู้ว่าผมชอบเช่นกัน เขาวาดมันขึ้นมาเอง ทว่าของสองสิ่งนี้จมไปด้วยกองเลือดของเขา ทราบว่าแม่ของเต้ยได้ใส่ไว้ในโรงศพตอนที่ฌาปนกิจด้วย เขาคงคิดว่าต่อชอบของสิ่งนี้มาก ผมเสียดายที่ไม่ได้มีมันเก็บไว้ในวันนี้ ผมไม่รังเกียจแม้มันจะเปอะเปื้อนไปด้วยกองเลือด เพราะมันเป็นกองเลือดของบุคคลซึ่งเป็นที่รักของผม ผมเสียดายและเสียใจจริงๆครับ เขาจะมาถึงผมอยู่แล้ว ทำไมไม่ให้ผมและเขาได้เจอกัน ทำไมเขาต้องตาย เขาตายเพราะผมรึเปล่า? ผมได้แต่ถามตัวเองถึงทุกวันนี้
วันรุ่งขึ้นผมไม่รอช้า ผมรีบเดินทางกลับมายังสัตหีบ ผมแวะไปไหว้อัฏฐิของเขาที่บ้าน ผมไปกับเพื่อนๆคนอื่นๆรวมทังหน่อยและโต๊ดด้วย ผมร้องไห้จนเป็นที่น่าผิดสังเกตจากพ่อแม่ของเขา แม่ต่อเดินมายังผม แล้วก็ถามผมว่า “เราใช่มั้ยที่ชื่อเต้?” และเขาก็เอามือลูบหัวผม แล้วพูดอีกว่า “ต่อเขาตั้งใจแล้วนะลูก” พูดจบได้สองประโยคแม่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ผมไม่รู้ว่าท่านจะรู้อะไรรึเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปติดใจถามอะไรท่านอีก ผมเพียงแต่รับรู้เท่านั้น ผมมองไปยังรูปของต่อ หัวใจผมยิ่งเต้นแรง ผมเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ ผมรักต่อมากเหลือเกินครับ เขาไปจากผมทั้งๆที่เรายังไม่มีโอกาสได้แสดงความรักที่เรามีต่อกันได้อย่างเต็มที่เลย ผมอยากจะบอกเขาออกไปอีกสักครั้ง และอีกหลายๆครั้งว่า ผมรักเขามาก แต่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว ผมทำได้เพียงแต่บอกรักเขากับรูปของเขาเบื้องหน้าแค่นั้น ซึ่งผมก็หวังว่าเขาจะได้รับรู้มัน