พิมพ์หน้านี้ - "รัก(เกิน)เพื่อน"

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: pipozac ที่ 21-12-2007 18:05:41

หัวข้อ: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 21-12-2007 18:05:41
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ



.::.กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ .::. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)







ผมเป็นคนหนึ่งที่มีประสบการณ์เรื่องราวความรักระหว่างเพื่อน เคยมีความรู้สึกที่ทั้งทุกข์และสุข มันอาจเกิดขึ้นมานานแสนนานแล้ว ตั้งแต่สมัยที่ผมเองยังเรียนอยู่มัธยมปลายโน่น ก้อเกือบสิบปีแล้วล่ะครับ แต่ก้อไม่เคยลืมมันได้เลยสักที หลายๆคนอาจประสบความสำเร็จที่ได้ความรักนั้นมาครอบครอง บางคนนั้นก้ออาจผิดหวัง ส่วนรักในแบบของผมนั้น ผมบอกไม่ถูกครับ รู้แต่ว่ามันสุขใจเหลือเกินครับ รัก(เกิน)เพื่อน เป็นความรู้สึกที่ตื้นเต้นและมันมีอะไรมาให้ลุ้นตลอดเวลาจริงๆ แต่ถึงกระนั้นความรักของผมมันทำให้ผมร้องไห้ มันทำให้ผมแทบขาดใจตายเมื่อตอนสุดท้ายไม่รู้ทำไมมันเป็นแบบนี้ ผมไม่รู้ว่าเรื่องราวจะน่าติดตามหรือไม่ แต่ขอฝากไว้อีกเรื่องที่ผมอยากร่วมแบ่งปันความรู้สึกร่วมกันกับทุกๆคน

เริ่ม..........

ขอใช้นามปากกาว่า ละลายพันธุ์




*** ขออนุญาตแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ  แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
 ทิพย์โมบอร์ดนิยาย
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-12-2007 18:51:10
เข้ามาเจาะไข่เด่ะใหม่  :mc3:

อ้างถึง
ขอใช้นามปากกาว่า ละลายพันธุ์

โอ้วววว ช่างคิด บรรเจิดดีแท้  :mc2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: LonelyBoiZ ที่ 21-12-2007 19:02:07
ว้าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

มาแอบติดตาม ต่อแบบติดๆ เคียงข้างพี่แน๋วๆๆๆๆ

อิอิ   :mc2: :mc2: :mc2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 21-12-2007 19:27:57
มีน้องโตโต้ตามติดมานั่งข้างๆงี๊ ชื่นจายยยยยยจาง อิอิ  :pig3:



 :oni2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: detective Q ที่ 21-12-2007 19:31:07
มาต่อนะครับ
รออยู่
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 21-12-2007 20:11:12
มาเลย....รออยู่จ้า :a11:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fulres ที่ 21-12-2007 20:38:01
 รออ่านคับ รออ่านๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 21-12-2007 21:03:48
***ที่มาของความรู้สึก***

"เสียงดังกึกก้องอยู่ในความนึกคิดลั่นว่า ไม่!
แต่ภายในจิตใจนั้นมันช่างขัดแย้งกับความนึกคิดโดยสิ้นเชิง
แอบรักเขาหมดใจ...บอกเขาไม่ได้ ติดอยู่เพียงเพราะคำว่า เพื่อน
คำที่คอยกั้นความรู้สึกที่แท้จริงไม่ให้เปิดเผยออกไป
แต่สุดท้ายมันก็..."

ความรักนั้นเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เกิดกับใครก็ได้ มันไม่เลือกอยู่แล้วว่าคนๆนั้นจะเป็นใครมันขึ้นอยู่กับหัวใจ มันมีจังหวะของมันเอง มันอยากจะหยุดที่ไหนก็ได้ในที่ที่มันคิดว่าควรหยุด  เว้นซะแต่กับคนๆนี้ คนที่ผมเรียกเขาว่า เพื่อน มันเป็นเรื่องยากที่จะรักษาความสัมพันธ์ทั้งสองแบบไว้ในคนๆเดียวกัน นัยหนึ่งเขาคือเพื่อนอีกนัยหนึ่งเขาคือคนที่อยู่เบื้องลึกภายในจิตใจของผมลึกมาก...จนเขาไม่อาจเข้าถึง ผมรักเขา ทุกครั้งที่ใกล้ชิดกับเขาผมทั้งอบอุ่นและก็อึดอัดใจเหลือเกินทุกอย่างเกินห้ามใจอยากขีดเส้นแบ่งกั้นไว้ ทว่าเรื่องราวทั้งหลายถูกเก็บไว้อย่างมิดชิด ความรู้สึกต่างๆที่มีแสดงออกมาได้เพียงน้อยนิดจะให้ไปแสดงทีท่าอะไรมากมายไม่ได้เด็ดขาด ทุกอย่างที่ผมทำเพื่อเขาผมจะต้องแคร์สายตาคนอื่นด้วย โดยเฉพาะกับตัวของเขา ผมต้องให้เกียรติเขามากที่สุด ที่สำคัญการแสดงออกความรู้สึกมากเกินไปอาจทำให้ผมต้องสูญเสียตัวเขาและคำว่า เพื่อน จากเขาไปในที่สุด ความรักครั้งแรกของผมมันช่างหดหู่เสียเหลือเกิน มันลำบากยากเย็นเหลือเกินที่จะเปิดเผยให้เขาได้รับรู้ว่าผมนั้นรักเขาเกินกว่าคำว่า เพื่อน ไปแล้ว จะด้วยเหตุผลอันใดนั้นเหรอ? มันก็ไม่มากมายอะไรนักหรอก แค่เพียงทั้งผมและเขานั้นคือ ผู้ชาย!!!

ปล. ผมเพิ่งเข้ามาเว็บนี้เป็นครั้งแรก โดยมีคนแนะนำให้ผมมาลงผลงานที่นี่ การใช้ตัวอักษร รวมทั้งลูกเล่นต่างๆผมไม่คุ้นนัก อันที่จริงเรื่องราวที่ผมเขียนอยู่นี้ ผมได้เขียนมันเสร็จมานานแล้ว และผมก็เก็บไว้ในโปรแกรมเวิร์ด แต่กรรมของผม ที่ผมทำไม่เป็น พยายามก็อปปี้มาลงไว้เพื่อความรวดร็วแต่ไม่เข้าใจ ทำไมทำไม่ได้ ใครทราบช่วยแนะนำหน่อยนะคร้าบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 21-12-2007 21:31:15

มาเป็นกำลังใจให้ค่ะ :m1:

จะคอยติดตามเรื่องของพี่ต่อไปนะค่ะ  เป็นดำลังใจให้ +1 แล้วกันน๊า


ป๋อลอ...ทำไมก๊อปปี้ไม่ได้อ่ะ  ปกติก้อก๊อปปี้แล้วมาวางเลยได้ไม่ใช่เหรอค่ะ

  เหอๆ  สงสัยต้องรอถามผู้รู้คนอื่นแล้วอ่ะ :m23:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 21-12-2007 21:33:12
 :pig2: ยังไงก้มาต่อนะคับ จะรออ่านคับผม :oni1:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: iceageno7 ที่ 21-12-2007 22:20:47
มาต่อเร็วๆ นะค้าบบบ

 :mc2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: -~iK@iZ_KunG~- ที่ 21-12-2007 22:54:31
มาเป็นกำลังใจให้ครับ  :m1: :m1:

คงจำน้องคนนี้ได้นะครับ  :oni2: :oni2:

Mr.Wallence  :m23:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-12-2007 04:13:24
อืมมม ใช้คำอุปมาเยอะเกินไปหรือป่าว บางประโยคก็ใช้คำซ้ำกันจนเฟ้อ ลดพวกคำอุปมาลงมานิดนึงท่าทางจะดีนะ สำนวนจะได้ไหลลื่นมากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วมานไม่ได้อารมณ์เลยง่ะ ลองลดคำอุปมาลงแล้วใส่คำบรรยายแบบธรรมดาๆดูจิ ลองปรับๆดูนะ อย่างละนิดอย่างละหน่อยค่อยๆฝึกฝีมือกันไป เอาใจช่วยจ้า

 :pig3:



แล้วที่บอกว่าก๊อปปี้มาไม่ได้ยังไงเหรอ ลากเมาส์แล้วกดก๊อปปี้มาpasteไม่ติดหรือว่ายังไง?   :m28:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 22-12-2007 11:10:24
อืมมม ใช้คำอุปมาเยอะเกินไปหรือป่าว บางประโยคก็ใช้คำซ้ำกันจนเฟ้อ ลดพวกคำอุปมาลงมานิดนึงท่าทางจะดีนะ สำนวนจะได้ไหลลื่นมากกว่านี้ เพราะรู้สึกว่าอ่านแล้วมานไม่ได้อารมณ์เลยง่ะ ลองลดคำอุปมาลงแล้วใส่คำบรรยายแบบธรรมดาๆดูจิ ลองปรับๆดูนะ อย่างละนิดอย่างละหน่อยค่อยๆฝึกฝีมือกันไป เอาใจช่วยจ้า

 :pig3:



แล้วที่บอกว่าก๊อปปี้มาไม่ได้ยังไงเหรอ ลากเมาส์แล้วกดก๊อปปี้มาpasteไม่ติดหรือว่ายังไง?   :m28:
.ใช่แล้วครับพอก็อปมาวางมันก้อขึ้นโค้ดอะไรก้อไม่รู้ครับ งง??
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 22-12-2007 11:22:18
ละลายพันธุ์[/b

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจที่มีให้กันนะครับ และกับคำแนะนำเรื่องการเขียนนั้น ก้อขอน้อมรับเก็บไว้เพื่อนำไปปรับปรุงฝีมือต่อไป เนื่องจากผมก้อไม่ได้จัดว่าเป็นนักเขียนมือฉกาจ แค่เพียงมือสมัครเล่นเท่านั้นครับ ถ้ายังไงก้อขอฝากไว้ด้วยละกันนะครับ]......เดี๋ยวจะมาต่อเรื่องอีกนะครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 22-12-2007 11:25:50
อ่านครับอ่าน

มาลงเน่อ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 22-12-2007 11:33:24
มาเป็นแรงใจด้วยคน :a2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 22-12-2007 12:30:53
 o7
***ย้อนกลับไป***
เรื่องราวทั้งหลายเหล่านั้นยังคงถูกเก็บไว้ในความทรงจำที่ดีของผมเสมอมา ผมไม่เคยมีแม้แต่ความคิดวูบเดียวที่จะลืมเลือนมันเลยสักครั้ง ถึงแม้มันจะเป็นความรักที่ทำให้ผมผิดหวัง และแม้มันจะทำให้ผมร้องไห้ แต่ทุกครั้งที่ผมนึกถึงมัน มันทำให้ผมยิ้มได้...แม้มันจะเป็นรอยยิ้มที่แปะเปื้อนด้วยรอยน้ำตาก็ตาม และผมก็สุขใจทุกครั้งที่ได้แอบนึกภาพเรื่องราวของผมกับเขาในอดีต เรื่องราวทั้งหมดที่ผมกำลังจะเล่าให้คุณผู้อ่านฟังผ่านตัวหนังสือของผมต่อไปนี้ มันได้เกิดขึ้นจริงกับตัวของผมเอง เมื่อสมัยที่ผมยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มันนับเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตของผมเลยก็ว่าได้...

ผมเป็นคนที่มีเพื่อนสนิทที่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่องไม่มากนักหรอกครับ ที่สนิทกันจริงๆก็มีอยู่สี่ถึงห้าคน แต่พอเรียนจบชั้นมัธยมต้นทุกคนก็แยกทางกันไป บางคนไปเรียนต่อในโรงเรียนเตรียมอุดมฯที่กรุงเทพฯ อย่างเช่นเพื่อนของผมอีกสองคน หนึ่งและต้อง พวกเราจะสนิทกันมากเมื่อตอนสมัยเรียนอยู่ ม.ต้นด้วยกัน พอแยกย้ายกันไปเราก็ได้แต่คุยกันทางจดหมาย สมัยนั้น อินเตอร์เน็ต ยังไม่มีให้ใช้แพร่หลายเหมือนสมัยนี้ บางครั้งที่ผมมีปัญหา ผมอยากปรึกษากับหนึ่งและต้อง แต่กว่าผมจะเขียนจดหมายเสร็จเรื่อง กว่าจดหมายจะเดินทางไปถึงมือของหนึ่งและต้อง เรื่องราวทุกอย่างก็คลี่คลายไปแล้ว แย่จังเนอะ! เพื่อนบางคนก็ไปเป็นนักเรียนเตรียมทหารฯ บางคนที่แม้จะเรียนต่อที่โรงเรียนเดิมก็ไม่อาจเรียนอยู่ห้องเดียวกันได้ ผมและเพื่อนๆถูกจับแยกคละห้องเรียนกันไป ทุกคนต้องเจอกับเพื่อนใหม่ๆ ความสนิทคุ้นเคยจึงค่อยๆจางหายไป มีเพียงผมและแจ๊กเท่านั้นที่ยังคงคบหากันแม้จะเรียนอยู่คนละห้องกันก็ตาม ผมและแจ๊กเรารู้จักและเรียนด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นอนุบาลโน่นแน่ะ ดังนั้นเราจึงไม่ทิ้งกัน นี่แหละครับเพื่อนแท้ แจ๊กจัดได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีของผมคนหนึ่งเลยล่ะครับ แต่ถ้าจะไปคุยหรือขอคำปรึกษาอะไรจากมันนั้น ผมขอผ่านดีกว่าครับ แจ๊กเป็นคนร่าเริงแต่นิ่งๆ งงมั้ยครับ? การขอคำปรึกษาในเรื่องของหัวใจกับมันนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้ในยามที่ผมเครียด เพราะอย่างที่บอกไปว่ามันก็เป็นคนที่มีความร่าเริงแบบขำๆอยู่บ้าง อืม...แต่เพื่อนๆอย่าหลงคิดเข้าใจผิดไปนะครับ! เรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ระหว่างผมกับแจ๊กแน่นอน ผมกับมันน่ะเห็นไส้เห็นพุงกันมาหมดแล้ว จะให้รัก(เกิน)เพื่อนยังไงไหว เรื่องราวทั้งหมดมันได้เกิดขึ้นกับเพื่อนใหม่ของผมคนนี้ต่างหากล่ะ...

"เฮ้ย! แจ๊กกูได้เพื่อนใหม่มาคนนึงแล้วว่ะ นิสัยดีด้วยนะมึงเออ..." ผมบอกแจ๊กอย่างตื่นเต้นในไม่กี่วันของการเปิดภาคเรียน
"เหรอ? มึงนี่มันพวกจิ้งจกจริงๆเลยเนอะ ปรับตัวเข้ากับอะไรใหม่ๆได้ดีเชียว อย่างว่าละวะ มึงมันแหลเก่งอยู่แล้วนี่หว่า แล้วคนไหนวะ กูเคยเห็นมั้ย หน้าตามันเป็นยังไงกันวะ แล้วชื่ออะไร?"  แจ๊กยิงคำถามกลับด้วยความที่กระสันต์อยากรู้ เอ้อ...ลืมบอกไปว่าไอ้แจ๊กมันก็เป็นผู้ชายอย่างว่าเหมือนผมแหละครับ เพียงแต่เราทั้งคู่ต่างก็พากัน แอ๊บส์! เอาไว้ไม่ให้มันแจ๋นออกมา ด้วยเหตุนี้เองเราเลยยังคงคบกันอยู่ได้แบบนี้
"ก็ดีนะ เงียบๆว่ะ เซื่องๆ ตัวขาวๆ....โคตรขาวเลยนะมึง หูกางๆ เฮ้อ...น่ารักดีด้วยว่ะ เสียอย่างเดียวแมร่ง!เตี้ยไปหน่อย (ผมปลื้มคนสูงอ่ะ) ว่าแต่มึงจะมาถามกูไปทำไมวะ? เพื่อนกูนะเว้ย กูไม่ได้คิดอะไรมากหรอก" ผมแอบทำเคลิ้มระหว่างที่บรรยายรูปพรรณสันฐานของต่อให้เเจ๊กฟัง ทันใดนั้นเอง
"อ้าว!...เฮ้ย!...เต้! ไปกินข้าวมารึยัง เรากำลังเดินหานายอยู่พอดีเลย ถ้ายังไม่ได้กิน เราไปกินด้วยคนนะ" เขาคนนั้น ต่อนั่นเอง คนที่ผมกล่าวถึงอยู่ให้แจ๊กมันฟังเมื่อสักครู่ ต่อเดินมาพร้อมกับเพื่อนอีกสองคน นั่นก็คือ โจ้และหนุ่ม ที่สุดท้ายเราก็ได้มาเป็นเพื่อนร่วมแก๊งกัน

ระหว่างทางเดินไปโรงอาหารพวกเราต่างแนะนำตัวทำความรู้จักซึ่งกันและกัน และความเป็นเพื่อนก็เริ่งขึ้น พวกเราต่างคุยกันถูกคอ คุยกันได้แทบทุกเรื่อง ผมกับโจ้มักจะชอบคุยชอบดม้กันเรื่องรถ เพราะเราทั้งคู่ต่างก็บ้ารถพอๆกัน ส่วนต่อนั้นจะบ้าฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ เวลาต่อมาชวนผมคุยเรื่องบอลผมมักจะทำเป็นรู้หรือไม่ก็โบ้ยไปให้โจ้คุยแทน เพราะโจ้ก็บ้าบอลเหมือนกัน หนุ่มนั้นจะเป็นพวกอารมณ์ศิลปิน จะชอบฟังเพลง เขามักจะมาชวนผมคุยเรื่องเพลงอยู่เสมอ รวมถึงเรื่องการเรียนด้วยหนุ่มมักจะมาปรึกษาผมเสมอ (ประมาณว่ากูดูเหมือนจะเก่งว่างั้น?) เขามักคิดว่าผมน่ะเรียนเก่ง และก็ชอบมาลองภูมิกับผมเสมอ พวกเราพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ เวลาพักกลางวันก็หมดลง เสียงออดส่งสัญญาณเตือนเป็นระยะ พวกเราพากันวิ่งไปรวมใต้อาคารเรียน เพื่อฟังการอบรมจากอาจารย์ก่อนขึ้นชั้นเรียนในภาคบ่าย

ผมมีความสุขครับกับการที่ได้เจอเพื่อนใหม่ ผมอยากให้ทุกๆวันเป็นแบบนี้ล่ะ อยากมีเพื่อนดีๆแบบนี้ตลอดไป อย่างไรก็ตามผมกับแจ๊กต่างปิดบังเรื่องพฤติกรรมที่แอบแฝงของกันและกันเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ เพราะเกรงว่าจะไม่มีใครคบนั่นเอง

ปล.จะมาอัพเรื่อยๆนะครับ ฝากเพื่อนๆเป็นกำลังใจด้วยคร้าบบบบ....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: My name M ที่ 22-12-2007 12:55:58
 :a11: :a11: :a11:

มันต้องเก็บไว้จริง ๆ ล่ะครับ

เป็นกำลังใจให้เน่อ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขū
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 22-12-2007 17:11:51
 :mc4:
***จุดชนวน***
หนึ่งปีผ่านไป พวกเราเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ ม.5 กันแล้ว....

ความเป็นเพื่อนของพวกเรายังคงไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีลดน้อยลงไป มีแต่จะมากขึ้นและมั่งคงในมิตรภาพ รักกันมากขึ้นด้วยซ้ำ...

รักกันมาก....

จนมัน...............มากเกินไป.....


และแล้วผมก็เริ่มมีความรัก ผมเริ่มเพิ่มความรู้สึกพิเศษที่ต่างออกไปจากความเป็นเพื่อนธรรมดาให้กับต่อ ขณะเดียวกันนั้นเองผมก็ยังคงต้องเก็บกดมันเอาไว้ภายในลึกสุดใจ ผมไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้อย่างแจ่มแจ้ง  และตลอดเวลานั้นผมก็พยายามที่จะห้ามใจแล้ว

แต่ทำไม?

ทำไมนะ?

ทำไมผมทำไม่ได้สักที 

และจะให้ผมทำได้อย่างไรในเมื่อ.....ต่อ...มาเติมเต็มความรู้สึกนั้นให้กับผมมากขึ้นทุกวัน

ความรู้สึกของผมจึงทวีคูณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คนสองคนอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดแทบทุกวัน ใจหนึ่งบอกว่าใช่ เอาเลย!!!  อีกใจหนึ่งก็ เฮ้อ!...อย่าดีกว่าเรา ความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาบางครั้งมันเขย่งก้าวกระโดดข้ามขั้นอย่างน่ากลัว แต่ก็เอาน่าผมเบรคความรู้สึกไว้ได้เสมอ แต่ผมจะเก็บกดความรู้สึกนี้ไว้ได้อีกนานแค่ไหนกันน่ะเหรอ? เหอๆ คอยดูกันต่อไปละกันครับ

@โรงเรียน...

ท้องฟ้ายามนี้แจ่มใสแม้อาทิตย์เริ่มจะลับฟ้าแล้วก็ตาม ฝูงนกพากันบินเข้ารังของพวกมัน ท่าทางพวกมันคงจะเหนื่อยกับการออกหาอาหารกันมาทั้งวัน ได้เวลาพักสักทีนะ...

"เต้!..." เอ๊ะ! เสียงนั้น ต่อนั่นเองครับ

"นายรีบกลับบ้านรึเปล่า? ถ้าไม่รีบ รอกลับพร้อมกันกับเรานะ เดี๋ยวเราไปเล่นบอลกับเพื่อนก่อนแป๊บนึง" เต้ยเอ่ยถามพร้อมกับพูดอ้อนวอนผมให้รอ...

"เออ...ไม่นะ เอาสิ เดี๋ยวเรานั่งทำการบ้านรอนายไปพลางๆก็ได้ นายไปเล่นเหอะ" ผมตอบยิ้มแก้มปริ อันที่จริงผมไม่จำเป็นต้องกลับบ้านทางเดียวกับเขาก็ได้ เพราะผมสามารถขึ้นรถที่วิ่งผ่านบริเวณหน้าโรงเรียนได้เลย แต่รถมันมักจะเต็มมาตั้งแต่ต้นสายที่ตลาด ผมจึงเลือกที่จะไปขึ้นที่ตลาดดีกว่า เพราจะได้มีที่นั่งไม่ต้องมายืนห้อยโหนโจนทะยานให้เมื่อยตุ้ม ส่วน ต่อ นั้นเขาต้องไปขึ้นรถที่ตลาดอยู่แล้ว เพราะท่ารถเขาอยู่ที่นั่น อีกอย่างที่สำคัญก็คือนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ใกล้ชิดกับเขาได้มากขึ้น

ระหว่างที่ผมนั่งรอเขาเล่นฟุตบอลอยู่อย่างเพลิดเพลิน ผมก็พลางหยิบหนังสือเรียนมาอ่านเพื่อฆ่าเวลาและแก้เขินไปด้วย แต่ไอ้สายตาเจ้ากรรมของผมมันมักจะละออกจากหนังสืออยู่เรื่อยๆเป็นระยะๆ โน่นสายตาของผมมันกำลังจดจ้องไปยังที่เขาอยู่อย่างไม่ลดละ ทุกอิริยาบถของเขาโดนผมเต็มๆเลยครับ ผมนึกในใจ..."มันจะอะไรขนาดนั้นวะนั่น" คิดกันเอาเองนะครับว่ามันคืออะไร ผมนั่งมองเขาอยู่อย่างนั้น  แล้วก็เคลิ้ม....เหะๆ



"ไงเต้ รอเรานานมั้ย? เบื่อรึเปล่าเนี่ย??.....เฮ้อเหนื่อยจัง แต่ก็สนุกดีวันหลังลองมาเล่นด้วนยกันสิ" ต่อกล่าวชักชวน

"โอ้ย...ไม่หรอก เราไม่ถนัดเล่นกีฬาพวกนี้ วิ่งไปวิ่งมา กะอีแค่ลูกกลมๆกลิ้งไปกลิ้งมา วิ่งไล่เตะกันอยู่ได้ เล่นอย่างอื่นมันส์กว่ามั้ง?" ผมพูดแบบเซ็งๆ พร้อมกับแอบเหน็บเล็กๆ

"เล่นอย่างอื่น?...นายหมายถึงเล่นอะไรเหรอ...แล้วมันจะมันส์กว่ากันยังไง?" เขาถามทำตีหน้าซื่อแบบตาใสๆ ผมไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ทิ้งรอยยิ้มไว้เป็นปริศนา

"ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร..หึๆ เอาน่ะ ลองดูก่อนสิ ถ้าเล่นไม่เป็นเดี๋ยวเราสอนให้ก็ได้นะ" เขายังยื้อ

"เอาเถอะ เราแค่นั่งดูนายเล่นแบบนี้เราก็เพลินแล้วล่ะน่ะ"

"แล้วไม่เบื่อเหรอ?"..."ไม่หรอก ก็โอเคนะ"...

"ดีจัง...แบบนี้ค่อยดีหน่อย เฮ้อ...หิวข้าวจัง เต้...นายไปกินข้าวกับเรานะ ที่ตลาดมีร้านข้าวร้านนึงเขาทำอร่อยดี ไปด้วยกันนะ" เขาเอ่ยปากชวนผมพลางโอบไหล่ผม กลิ่นตัวปนกลิ่นเหงื่อของเขาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆมันเหมือนกับกลิ่นที่เชิญชวนผมให้คิดทำอะไรสักอย่าง  อันที่จริงผมก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาหิวข้าวจริงมั้ย? เพราะเขาอาจจะกินเพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอรถเท่านั้น เพราะรถที่จะบ้านเขานั้น แต่ละคันกว่าจะมาถึงท่ารถใช้เวลาทิ่งช่วงเป็นชั่วโมง ผมคิดในใจ "...กะจะให้กูอยู่รอเป็นเพื่อนล่ะสิ..."

"ไปสิไป เราก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะอร่อยสักแค่ไหนกัน" ผมตอบไปงั้นๆแหละ ไม่ได้อยากไปกินหรอก ข้าวที่บ้านก็มีให้กิน ไม่ต้องเสียเงินด้วย แต่เป็นเพราะว่าผมอยากหาเวลาอยู่ใกล้ชิดกับเขาก็เท่านั้นเอง




....ในระหว่างที่เดินไปขึ้นรถไปยังตลาดนั้น ผมรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผมรู้สึกได้ เราเดินคู่กัน คำสนทนามันสั้นลงเรื่อยๆ ผมยิ่งอึดอัดมากขึ้น หายใจหายคอไม่สะดวก

"ทำไมเงียบไปล่ะ?" ต่อเริ่มบทสนทนาขึ้น

"เอ่อ...ก็เปล่านี่ จะคุยอะไรกันดีล่ะ" ผมตอบด้วยท่าทีเริ่กรั่ก

"ไม่รู้" เขาตอบสั้นๆ แต่หนักแน่น ทำเอาผมเขวไปต่อไม่ถูก กระทั่งเรานั่งรถมาจนถึงตลาด เรามุ่งหน้าไปยังร้านข้าวที่เขาแนะนำ เราเดินไปเรื่อยๆอย่างเงียบๆ ผมแอบมองเขาทุกอิริยาบถ พยายามอยู่ใกล้เขาให้มากที่สุด มันช่างมีความสุขเหลือเกิน รักเงียบๆข้างเดียวแบบนี้...




ตอนนี้มีต่ออีกนะคร้าบบบบบบ

...
ละลายพันธุ์ : เดี๋ยวถ้าคืนนี้ว่างๆ จะมาอัพใหม่นะครับ ตอนนี้จะเลิกงานแล้ว ต้องรีบกลับบ้านก่อน ขอไปงีบสักพักเพราะเมื่อคืนไปเที่ยวมา กลับมาตี 4 จะตายเสียให้ได้    :m29:











ปล.   หวัดดีเคอะ เจ้ ขอสาระแน่ เข้ามาจัดหน้าให้ใหม่นะ พร้อมกับแก้คำผิดไปเลยในตัว  อ่านไปก็งงๆ กับสำนวนของน้องหนู  แต่ไม่เป็นไร จะพยายามตามอ่านอยู่เรื่อยๆ

แต่ว่า  คุณน้องสับสนอะไรบ้างอย่างหรือเปล่าเคอะ  ระหว่าง  ต่อ กับ เต้ย  ตกลงใครกันแน่เคอะที่ชวนให้คุณน้องอยู่ต่อ  รอกลับบ้านพร้อมกัน  เจ้งง  หรือว่า เจ้โง่เคอะ

***ละลายพันธุ์ ตอบ ข้อสงสัยเจ้นะครับ  คือว่าผมยังใหม่อยู่สำหรับที่นี่ครับ ผมยังไม่คุ้นกับการใช้งานเท่าไหร่ ขอโทษเจ้ร่วย ส่วนเรื่องชื่อนั้น ระหว่างต่อกับเต้ย ผมสับสนครับ แต่เหตุที่สับสนเป็นเพราะว่า ผมไม่เคยลืมเต้ยไงครับ งงมั้ย? เพราะจริงๆคนที่ผมเอ่ยน่ะตัวจริงๆเค้าคือเต้ย แต่ผมมาเปลี่ยนเป็น **ต่อ แค่นั้น ทีนี้เวลาเขียนเลยงงเองไงครับ ขอโทษเจ้ด้วยครับ
ขอบคุณที่เจ้ติดตามผลงานผมคร้าบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 22-12-2007 21:33:17

เอามาลงต่อด่วนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 22-12-2007 23:10:07
 :a4:
จุดชนวน ต่อ...

@ที่ร้านค้า

"รับอะไรดีคะ?" พนักงานถามเสียงเจื้อยแจ้ว
"กะเพราไก่ไข่ดาว!" น่าน...เมนูสิ้นคิดบรรเจิดออกมา เราทั้งสองตอบประสานเสียง จะว่าบังเอิญหรืออะไรก็ช่าง แต่ว่าผมแอบคิดเข้าข้างตัวเองในใจ "ว้าว...ใจตรงกันเลย" แค่คิดในใจ แต่ท่าทางผมมันออกนอกหน้า
"เป็นไร?" ต่อถามผมหน้างงๆ
"อ๋อ...เปล่านี่ แต่สั่งเหมือนกันเลยเนอะ" ผมตอบแก้เขิน
"ชอบเหมือนกันก็ไม่บอก...ฮิฮิ" ต่อเอ่ยเสียงแปลกๆแบบมีเลศนัย
"รู้เหรอว่าเราชอบแบบไหน...แล้วรู้ได้ไงว่าเราชอบเหมือนนาย?" ผมตอบกลับ เล่นเขาหน้าหงายไปเลยครับ
"เปล่านิ...เห็นสั่งก็เห็นว่าสั่งเหมือนกันไงก็เลยคิดว่าคงชอบอะไรเหมือนๆกัน"
"ราก็สั่งของเราไปเรื่อย ไม่รู้จะกินอะไรดีน่ะ" ผมเสริมต่อ
ข้าวมื้อนี้ทำเอาผมอิ่มแปร้ไปเลยครับ เพราะหลังจากจบด้วยข้าวไปแล้ว ผมยังต่อด้วยน้ำแข็งใส่อีกหนึ่งถ้วยเบอเริ่ม ไม่ใช่ว่าหิวหรอกนะ แต่หาเรื่องอยู่กับต่อนานๆต่างหาก เย็นวันนั้นผมเลยไม่ได้กินข้าวที่บ้าน ปล่อยให้มันบุดคาตู้กับข้าวซะงั้นแหละ
ฮ้า....คืนนี้มีความสุขจังเลยครับ เรื่องเมื่อเย็นทำให้ผมคิดอะไรไปมากมาย รู้ก็รู้ว่าถ้าคิดมากไปอาจจะเจ็บตัวและเจ็บใจได้ แต่มันก็สุขใจนะที่ได้แอบคิดเข้าข้างตัวเองแบบนี้ มันดูลุ้นดีน่ะครับ เหมือนกับว่ากำลังรอผลการสอบปลายภาคเรียนยังไงยังงั้นเลย แต่ผมว่าคนเราทุกคนก็คงจะเคยตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกันกับผมบ้างล่ะครับ
วันนี้ผมตื่นแต่เช้าตรู่เลยล่ะ ขนาดเมื่อคืนผมนอนดึกนะเนี่ย มัวแต่นอนวาดฝันถึงเขาอยู่นั่นแหละ ผมมักมีโลกส่วนตัวเสมอ แน่นอนในโลกของผมจะต้องมีเขาและผมเคียงข้างกัน ผมอยากให้โลกแห่งความจริงของผมเป็นดั่งที่ผมนึกคิดสักวัน สักครั้ง...ที่มันจะกลายเป็นจริงขึ้นมา ขอเพียงแค่วันเดียวที่ผมจะได้อยู่กับสิ่งที่ผมปรารถนา ขอแค่วันนั้นขอให้มันได้มีเข้ามาผมก็คงสุขใจ

ยามเช้า@โรงเรียน
ผมมักจะเป็นคนแรกๆของการมาถึงที่ห้องเรียนเสมอ เมื่อผมมาถึงห้องเรียน ผมชอบที่จะเดินมาสำรวจที่บริเวณโต๊ะเรียนของต่อทุกครั้ง ต่อจะนั่งอยู่ตรงประตูด้สนหลังของห้องเลย ต่อเขาเป็นคนที่ไม่ค่อยกล้าแสดงออกน่ะ เขามักจะกลัวอาจารย์เรียกให้ตอบคำถามอะไรประมาณนั้น ส่วนผมเหรอ โน่น...ผมนั่งอยู่ตรงโซนด้านหน้าเลยครับ เหตุผลหนึ่งที่ผมชอบมาวนเวียนที่โต๊ะของเขาน่ะเหรอ...ก็เผื่อว่าเขาจะแอบเขียนโน๊ตอะไรถึงผมบ้างล่ะสิ ไม่มี๊...ไม่มีหรอกครับ ผมหวังลมๆแล้งๆก็แค่ประมาณว่า เอาน่า....มันต้องอะไรบ้างล่ะนะ
นี่ก็ใกล้เวลารวมแถวตอนเช้าแล้ว ต่อยังไม่มาเลย เขามาสายเสมอ เพราะบ้านเขาอยู่ไกลจากโรงเรียน แล้วก็หารถมายากด้วย
"ต่อยังไม่มาอีกเหรอโจ้?" ผมเอ่ยถามโจ้ พร้อมกับชำเลืองตามองหาดูรอบๆ
"ยังไม่เห็นมันเลยเนี่ย" โจ้ตอบ พร้อมกันนั้นเสียงเพลงมาร์ชก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณเตือนให้นักเรียนทุกคนเดินไปรวมแถวกันที่หน้าเสาธง
"โน่นไง! วิ่งมาโน่นแล้ว" ผมร้องตะโกนท่าทีแสดงออกนอกหน้า สะเหร่อซะไม่มีอ่ะ
"ไงมาสายอีกแล้ว นอนดึกอีกล่ะสิ" ผมถาม
"ก็เออสิ เมื่อคืนดูบอลรอบดึกเลยตื่นสาย" เห็นมั้ยล่ะผมบอกแล้วว่าต่อน่ะบ้าบอลเป็นชีวิตจิตใจเลย ยิ่งถ้าเป็น ลิเวอร์พูล แล้วล่ะก็ ต่อไม่มีพลาดเด็ดขาด นี่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ตอกย้ำให้ผมต้องเก็บกดความรู้สึกเบื้องลึกที่ผมมีต่อเขาเอาไว้ มันตอกย้ำเสมอว่า "เฮ้ย...เขาเป็นผู้ชายนะเว้ย! เหยียบไว้ เหยียบไว้"
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 22-12-2007 23:19:07
แล้วไงต่อจ๊ะค้างคานะ :m21:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: nolirin ที่ 22-12-2007 23:32:36


มาขอตามติดด้วยคน :m1:

อ่านตอนแรกก้องงนะ จากต่อแล้วเป็นเต้ยเลยงงๆ

แต่ตอนหลังได้อ่านที่คุณละลายพันธุ์คุยกะเจ๊ก้อเข้าใจแระ :m13:  อิอิ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: abcd ที่ 22-12-2007 23:54:09
 :pig3:  มารอด้วยโคนนนนน ให้กำลังจายมือใหม่โด้ยยยยย  :mc2: เด๋วก็ลื่นขึ้นเอง ไม่ต้องซีเรียส









ปล. แปะให้ดูหน่อยได้ป่าวว่ามานขึ้นเปงโค๊ดยังไง
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขū
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 23-12-2007 00:55:43
 :serius2:นอนไม่หลับ เลยแวบลงมาต่อเพิ่มอีกตอนเน้อ....ต้องขอโทษเรื่องชื่อตัวแสดงด้วยจริงๆครับ เนื่องจากผมยังติดอยู่กับเรื่องวันวาน ผมยังคิดถึงเขาเสมอ ผมเปลี่ยนชื่อตัวแสดงแต่เวลาพิมพ์ผมยังคงนึกถึงแต่เขามันก็เลยเผลอเอ่ยชื่อจริงออกไป...เลยทำใหเพื่อนๆงงกันไปตามระเบียบ....คืนนี้ทำไมมันเหงาจังเล้ย เพื่อนๆพากันออกต่างจังหวัดกันหมดเลย มะมีใครอยู่เป็นเพื่อนเลย เหอๆ :m15: เศร้าเลยเรา เอาล่ะ มาต่อเรื่องราวระหว่างต่อและเต้อีกสักหน่อยละกัน  - **ละลายพันธุ์

***ค่อยๆประทุ***

ต่อและผมมักจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสองเสมอ เรามักไปไหนมาไหนด้วยกัน เรากลับบ้านพร้อมกันแทบทุกวัน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดมาขัดซะก่อน แจ๊กกับโจ้นั้นจะมีคนที่บ้านมารับ จะมีก็แต่ผม ต่อ และหนุ่มที่ต้องกลับบ้านกันเอง ก็อาจจะมีบ้างที่นานๆทีพ่อของต่อจะขับรถมารับ ผมจะรู้สึกรำคาญทุกครั้งที่มีหนุ่มคอยติดตามมาด้วย ผมจะรู้สึกเหมือนว่ามีอุปสรรคมาขวางกั้นระหว่างผมและต่อเสมอ ถึงแม้ว่าบ้านของหนุ่มจะถึงก่อนตลาดก็ตาม แต่การไม่มีหนุ่มเลยจะเป็นการดีมากสำหรับผม ดังนั้นผมจึงมักหาเหตุทำให้หนุ่มแคล้วคลาดกับพวกผมเสมอ (นางมารร้ายประมาณนั้น) และก็ดูเหมือนว่าต่อจะเห็นด้วยกับผมซะด้วยสิ เพราะนิสัยของหนุ่มนั้นเพื่อนๆทุกคนจะทราบดีว่าเขานั้นชอบคุย คุยแบบน่ารำคาญ ถามโน่นนี่นั่น เรื่องที่ไม่น่าถามก็หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นอยู่ได้ ผมล่ะเบื่อ..ด้วยเหตุนี้ผมและต่อจึงช่วยกันเขี่ยหนุ่มออกไปจากสาระบบ และมันก็สำเร็จแทบทุกครั้งไป
"ต่อ...ต่อ มาทางนี้ดีกว่า หนุ่มมันเดินหาเรากันอยู่โน่น"
"เออ...งั้นเราไปทางโน้นกัน" ต่อออกความเห็นสอดรับกับผม ทันใดนั้นเองเขาก็ยื่นมืออันนุ่มนวลราวกับมือผู้หญิงมาจับกับมือของผม ผมตกใจมาก ใขฃจผมมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ใจหนึ่งก็นึกอยากสลัดมือของเขาออกไปด้วยความที่เขินอาย...อ๊าย...อาย ประหนึ่งสาวรุ่นกำลังจะถูกเปิดซิงยังไงยังงั้นแหละ (ดูมียางอายมั้ยเนี่ย?) แต่อีกใจหนึ่งก็อยากที่จะจับมันไว้อย่างนั้นให้นานเท่านาน ผมรู้สึกดีเหลือเกินครับ ผมอยากหยุดเวลานี้ไว้ แต่ผมคงได้เพียงแค่นั้น...เท่านั้นเองจริงๆครับ
"ต่อ..." ผมเรียกเขาเบาๆ
"อะไร...มีอะไร?" เขาถามตีหน้าซื่อ
"ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร รถ...รถมันเยอะจังเนอะวันนี้น่ะ" ผมพูดไม่เป็นคำ
"ก็นี่ไงก็เดินมาใกล้ๆเราสิ" เขาพูดพลางจับมือผมแน่น ตอนนี้มือผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ
"มือนายนิ่มเนอะ อยู่บ้านไม่ค่อยได้ทำอะไรแน่เลย กินแล้วก็นอนแหงๆ" ผมพูดแก้เขิน แล้วก็สลัดมือเขาทิ้ง
"อืม...น้อยไปสิ ล้างจานน่ะงานหลักเราเลย แต่ใส่ถุงมือนะ" เขาพูดพลางหัวเราะไปด้วย เขาดูน่ารักดีจัง

เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อใหม่น้าคร้าบบบบบบบบบบบบ....ง่วงแล้ว
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 23-12-2007 14:23:17
 :oni1:ตามมาต่อกันกับตอนเดิม (ค่อยๆประทุ) นะคร้าบบบ...เมื่อคืนว่าจะต่อให้เสร็จ แต่ง่วงมากเลยไม่ไหว...

ตอนนี้ความรู้สึกของผมที่มีกับต่อมันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมพยายามควบคุมมันอยู่ แต่มันก็...
"ไปเดินเล่นกันก่อนนะ เราอยากไปร้านหนังสือ" ต่อชวนผมหลังจากที่เรามาถึงตลาดกันแล้ว
"ไปสิ...ยังไงก็ได้ เราก็อยากได้หนังสือรถเล่มใหม่อยู่พอดี" ผมเอ่ยตอบ

@ร้านหนังสือ...

มาถึงที่ร้านหนังสือ ผมได้สัมผัสความรู้สึกแปลกๆบางอย่างจากเขามากขึ้น ผมแอบเห็นว่าสายตาของเขามองมาทางผมในขณะที่เขาก็ถือนิตสายฟุตบอลไว้ในมือ ผมสบตาเขา เราต่างสบตากันไปมาอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งนาทีเห็นจะได้ มันทำให้ผมรู้สึกว้าวุ่น "มันคืออะไร?"  ผมถามตัวเอง ครั้นเมื่อเขารู้สึกตัวเขาก็ละสายตาคู่นั้นทิ้งไป พร้อมกับเดินดิ่งตรงมายังผม หัวใจผมเต้นตึกตัก เขายื่นหน้าเข้ามาใกล้กับใบหน้าของผมมาก ผมแอบสูดลมหายใจเล็กๆบางๆ เพื่อว่าจะได้กลิ่นไอจากแก้มอันขาวนวลของเขาบ้างสักครั้ง
"นายนี่คงจะชอบรถเนอะ ไหนขอเราดูซิ โอเหดู เบ๊นซ์ ซะด้วย อืม...สวยดีเนอะ เราคงไม่มีปัญญาซื้อหรอก ดูท่าทางมันจะแพง" ต่อพร่ำไปเรื่อย
"อ้าว! แพงแล้วไงล่ะ อีกอย่างนายจะซื้อได้หรือเปล่าก็เรื่องของนายดิ จะมาบอกเราทำไม?" ผมย้อนกลับ
"ก็เผื่อเรามีปัญญาเราจะได้ซื้อให้นายนั่งไง เห็นชอบนักไม่ใช่เหรอรถเบ๊นซ์น่ะ?" ต่อพูดยอกย้อน ดูหยอกเอินผมนิดๆ สายตาเขามองดูแปลกๆ
"โอ๊ย...กว่าจะถึงวันนั้น เราว่านายคงเอาไปให้แฟนนายนั่งแล้วล่ะ เราจะยังมีโอกาสอยู่อีกเร้อ...ถ้าถึงวันนั้นน่ะ" ผมกล่าวเสียงอ่อยๆ
"อย่ามารู้ดีหน่อยเลยน่า โธ่เอ๊ย! วันนั้นมันยังมาไม่ถึงสักหน่อย จะได้มีแฟนกับเขารึเปล่าก็ไม่รู้" ต่อพูดพร้อมกับจ้องตาผม ผมสบตาเขาบ้างเป็นระยะๆ ไม่กล้ามองตาเขามากนัก ผมกลัวเก็บความรู้สึกไม่อยู่น่ะครับ
"นายได้หนังสือของนายแล้วหรือยังล่ะ เราได้แล้วน่ะ" ผมพูดตัดบท พลางชูหนังสือให้เขาดู
"อืม...นี่ไง" เขาพูดพลางยื่นนิตยสารฟุตบอลเล่มนั้นให้ผมดูเช่นกัน
"งั้นก็ไปกันเถอะ เย็นมากแล้ว เดี๋ยวเราเดินไปส่งนายนะ" น่าน...เป็นไงล่ะ ไม่ได้ขอร้องเลยนะเนี่ย หนูเปล่าน้า...เขามาเอง หนูเปล่าชวนน้า...เขามาเอง อิอิ
"เหรอ?...เอาสิ ไปกันเลยแล้วกัน" ผมพูดเสียงหลงด้วยความตื่นเต้นอยู่ภายใน
"ได้กลับบ้านกับนายแบบนี้ทุกวันก็คงดีเนอะ" ผมพูดพลางหลบสายตา
"ฮะ...อะไรนะได้ยินไม่ถนัด" เขาทำทีท่าเป็นหมาสงสัย....
"เปล่า...หมายถึงว่าเรากลับบ้านด้วยกันแบบเนี้ยะดีเนอะ" ผมกล่าวซ้ำ
"ดียังไงล่ะ?" เขาถามกลับ
"ก็..."
"ก็...อะไร?" เขาสวนกลับทันที
"ก็รู้สึกดีไง ไม่เหงา กลับบ้านไปก็น่าเบื่อ มีเพื่อนเดินเล่นอย่างนี้ดีจะตายไป" ผมรีบหาเหตุผลประกอบทันทีเช่นกัน
"อ๋อ...อือ...เข้าใจแล้ว ก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ" เขาพูดทิ้งท้าย ส่วนผมนั้นได้แต่ยิ้มและจบบทสนทนาไปแค่นั้น เพราะกลัวว่าอะไรๆมันจะเลยเถิด
"ถึงคิวรถนายแล้วเนอะ เอ่อ..." เขาพูดเหมือนคิดอะไรอยู่ในใจ
"เอ่อ...อะไรเหรอ?" ผมถามเหมือนอยากรู้
"เอ่อ...เปล่าหรอก กลับบ้านดีๆล่ะแล้วพรุ่งนี้เจอกันนะ" เขาตัดบทพลางหัวเราะแบบเขินๆ ทำหน้าจ๋อยๆ โบกมือลาพร้อมกับเดินจากผมไป ผมยังไม่ทันได้เอ่ยคำลาเขาสักครั้ง ได้แค่เพียงคิดในใจ

@ที่บ้าน...

ผมมาถึงบ้านแล้ว แต่ผมยังอยากคุยกับเขาต่อ ผมเป็นแบบนี้เสมอ ผมมักจะไปขลุกตัวอยู่ที่บ้านของเพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเราก็สนิทกันมาก มันเป็นชะนีน่ะครับ ชื่อว่ายัยหน่อย เรารู้จักเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนประถม รู้จักกันมาไล่กับแจ๊กนั่นแหละ หน่อยเป็นเพื่อนชะนีที่น่ารักคนหนึ่ง มันออกจะห้าวๆสักหน่อย เป็นคนขวานผ่าซาก ไม่ค่อยยอมใคร ถ้าใครมาร้ายใส่มันล่ะก็เป็นต้องโดนแม่นี่แหกอกแน่ๆ หน่อยรู้จักผมดีครับ สันดานของผมเป็นยังไงมันก็รู้ดีเช่นกัน เพียงแต่มันยังไม่รู้หรอกว่าผมเป็นเกย์ แต่ว่าไปมันก็คงสงสัยผมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน มันมักพูดจาเหน็บแนมผมเสมอ ไม่ก็มาล้อผมว่าผมป็นตุ๊ด ผมไม่ได้ถือสาอะไรมันหรอก แต่ก็ฝันไปเถอะว่าผมจะยอมรับ
ที่บ้านหน่อยจะมีโทรศัพท์ที่ใช้ติดต่อได้ภายในหน่วยและนอกหน่วยทหาร คุยได้ทีละนานๆและไม่ต้องเสียตังค์ ที่นี่แหละเป็นที่ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับต่อได้ในยามที่ไม่ได้เจอกัน และเย็นวันนั้นผมก็ได้คุยกับต่อนานนับชั่วโมงเลย อันที่จริงผมก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรคุยกับเขามากนักหรอก แค่ได้ยินเสียงเขาผมก็ดีใจแล้ว ในบทสนทนามักจะมีแต่คำว่า อือ...ฮึ...อือ...ฮึ หาสาระอะไรไม่ค่อยได้ แต่ก็มีบ้างในบางครั้งที่....
"อืม...เต้เดี๋ยวไม่ได้เจอกันตั้งสองวันแน่ะ นายจะเหงามั้ยไม่ได้เจอเราเนี่ย?" เขาพูดมาแบบนี้มันหมายความว่าอะไรเหรอครับ?
"อืม...ต่อ เราก็คงเหงาน่าดูแหละ นายก็รู้ว่าเราขี้เหงาไม่ใช่เหรอ? นายก็มาหาเราบ้างสิ เราจะพานายมานั่งเล่นที่ทะเล แล้วก็นั่งคุยกันไง" ผมก็ดพร่งออกไปโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้คิดว่าเขาจะรู้สึกอะไรกับสิ่งที่ผมพูดไปรึเปล่า?
"เอาน่า...เรายังเจอกันอีกนาน ต้องมีสักวันล่ะน่า" เขาพูดเหมือนให้ความหวัง
"อือ...จะรอนะ งั้นเท่านี้ก่อนเราจะไปแล้ว ต้องกลับบ้านแล้วล่ะ" ผมพูดจบก็รีบวางสายไปทันที ยังไม่ทันได้ฟังเขาพูดลาสักคำ  นี่แหละมันมักจะมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น แล้วผมจะคิดยังไงดีล่ะ...

พูดถึงยัยหน่อยต่อดีกว่า ผมจะไปหาหน่อยทุกวันในตอนเย็นหลังเลิกเรียน รึไม่ก็บางทีหน่อยจะมารับผมที่บ้าน เรามักจะไปวิ่งออกกำลังกายกันรอบหน่วยทหาร วิ่งไปกินขนมไป เล่นกันไป ไม่รู้ว่าจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง ว่าไปวิวมันก็สวยดีนะ มีทหารเป็นกองร้อยกองพันเลย พูดแล้วก็อดคิดถึงวันเวลาเก่าๆไม่ได้ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความสุขมาก หน่อยกับผมมักจะไปเดินเล่นกันที่ริมทะเล บ้านของผมอยู่ใกล้กับทะเลเลยล่ะ ผมอยากมีวันเวลาเหล่านั้นอีกสักครั้งจังครับ บรรยากาศมันอาจจะดูเหงาๆในยามค่ำคืน แต่มันทำให้ผมมีสติ ได้มีเวลาคิดไตร่ตรองถึงเรื่องราวต่างๆได้ดีเลยทีเดียว
"เฮ้อ!  เหนื่อยจังเลยว่ะ อีดำ!" ผมเอ่ยกวนๆใส่มัน
กูก็เหนื่อยเมื่อยหอยเหมือนกันแหละวะ อีเป็ด!" หน่อยตอกกลับ มันมักจะเรียกผมว่า อีเป็ด ทุกครั้งเวลาที่ผมไปจี้ปมด้อยของมันก่อน ส่วนชื่อ อีเป็ด ของผมนี้ ผมได้รับสมญานามมาจากครูผู้สอนภาษาอังกฤษสมัยที่ผมเรียนอยู่ชั้นประถมโน่น แกว่าผมเดินเหมือนเป็ดน่ะ ครับ แหม!...ก็ใครล่ะที่จะไปเดินโยกย้ายส่ายสะโพกได้สวยงามเท่าแก เอ้อ...แกเป็นกระเทยด้วยล่ะ  หน้าไม่ให้แต่ใจแกรักครับ เธอมุ่งมั่นที่จะสวยให้สมใจเธอให้จงได้ ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีเรื่องขำๆกับแกด้วยสิ ตอนนั้นผมก็เรียนอยู่ ม.ปลายแล้วด้วย แต่ไม่ขอเล่านะครับ มันไม่ดีครับ
"เฮ้ย...หน่อย! หน่อย! นี่รถใครวะ? กูคุ้นๆว่ะ" ผมตะโกนถามันซะลั่น
"รถใครก็ช่างมันเหอะ ไม่ใช่รถพ่อมึงหรอก" มันตอบกวนประสาทผม
"อ้าวอีมืดนี่! กูถามมึงดีๆ ไหงมากวนทีนกูซะงั้น"   
"โธ่! ลูกเป็ดของแม่ งอนไปได้ รถตาหมี พ่อเพื่อนมึงไงไอ้ต่อน่ะ"
"จริงเหรอ? แล้วเขารู้จักกับพ่อมึงได้ไงวะ" ผมเริ่มให้ความสนใจออกนอกหน้า
"แล้วกูจะรู้มั้ยวะ ว่าเขามารู้จักกับพ่อกูตอนไหน? เพื่อนพ่อกูเยอะแยะ วันๆไม่ไปไหน ตกเย็นก็พากันมานั่งแ**กเหล้าฟรีกันที่บ้านกู" ดูมันว่าสิครับ แต่ก็จริงของมันนะ เพราะมันเองก็ชอบมารับผมตอนเย็นให้ไปเดินเล่นที่ตลาดกับมัน เพื่อที่จะไปซื้อกับแกล้มมาให้พ่อมัน
"แล้วพ่อต่อมาบ้านมึงบ่อยมั้ยวะ?" ผมถามต่อไป
"พักนี้มาโคตรบ่อยเลย กูไม่รู้แล้วว่าที่นี่มันบ้านใครกันแน่" ว่าไปน่าน...
"มึงสนใจพ่อเพื่อนล่ะสิ เอามั้ยล่ะ เดี๋ยวกูติดต่อให้" มันหยอกผม
"มึงจะบ้าเหรอ! อีควายเอ๊ย..." ผมด่ามัน ในใจก็พลางคิดว่าลูกต่างหากล่ะที่กูอยากได้
"โถ...กูล้อเล่นน่า เพื่อนกูออกจะแมนขนาดนี้" มันว่าแดกผมอีกแล้วครับ
นั่นล่ะครับ นังหน่อยเพื่อนชะนีสาวชาวแก๊งของผม มันเป็นเพื่อนผู้หญิงที่สนิทกันแบบสุดๆของผมเลยล่ะ เห็นมันพูดจากวนๆแบบนี้ แต่จริงๆแล้วมันนิสัยดีเอาการอยู่นะครับ
คืนนั้นทั้งคืน ผมอบอุ่นใจอีกครั้ง นี่ขนาดผมเห็นแค่พ่อของเขานะ ผมยังทำราวกับว่าผมได้เจอตัวเขาเองซะอย่างนั้น

...

ละลายพันธุ์ : เดี๋ยวว่างๆแล้วจะมาต่อใหม่นะครับ วันนี้ว่าจะตามไปหาเพื่อนๆ ที่บางแสนสักหน่อยน่ะ อยู่ กทม. คนเดียวไม่ไหวแล้ว เหงาเหลือเกิน ไปดูของสวยๆงามๆดีกว่า วันหยุดทั้งที นอนหมกตัวเองอยู่แต่ในห้องมันยังไงๆอยู่ แล้วจะมาอัพต่อนะครับ ฝากเพื่อนๆเป็นกำลังใจให้ผมด้วยครับ เรื่องราวกำลังเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: กลั่นกรอง ที่ 23-12-2007 18:03:05
 :a2:  เป็นกำลังใจคับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 23-12-2007 19:42:20
มาต่ออีกนะคับ

เริ่มนึกเข้าตัวเองบ้างแร้ววว :m4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 24-12-2007 22:45:44
 :m15:
ละลายพันธุ์ : เพิ่งกลับมาจากบ้านเพื่อนที่บางแสน ออกจะเหนื่อยและเพลียไปสักหน่อย แต่ก็ขอลงตอนต่อไปไว้สักหน่อยละกัน...

**จุดพลิกผัน***

เช้าวันนี้เหงาจัง...วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมจึงไม่ต้องไปโรงเรียน และแน่นอนผมไม่ได้เจอกับเต้ย ผมทรมานใจจังอยากเจอต่อแทบขาดใจ
แต่ถึงกระนั้นผมก็มีโอกาสได้คุยกับเขาทางโรศัพท์ที่บ้านยัยหน่อยบ้าง วันนี้แม่ผมออกไปทำงานแต่เช้า แม่ผมเป็นลูกมือทำกับข้าวร้านอาหารตามสั่งที่บ้านของคนรู้จักกัน แม่ผมเป็นคนขยันอดทน สู้ทุกอย่างเพื่อความเป็นอยู่ของเราสองแม่ลูก แม่กับพ่อเลิกกันและแยกกันอยู่ตั้งแต่ผมเรียนอยู่ชั้น ม.2 เราลำบากกันมาก อ้อ...ผมลืมบอกไปว่าผมเนี่ยลูกทหารเรือนะครับ และบ้านที่ผมอยู่เนี่ยก็เป็นบ้านพักที่อยู่ในค่ายทหารด้วย บ้านหลังนี้คือสิ่งเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้เราสองคนแม่ลูกได้มีที่ซุกหัวนอน มันเหมือนกับว่าเป็นสินสมรสที่แม่พึงได้รับจากพ่อเมื่อหย่าขาดกันแล้ว ทว่าบ้านหลังนี้ไม่ได้เป็นสมบัติของพ่อผมเลย มันเป็นของทางราชการต่างหาก ผมและแม่อาศัยอยู่ใต้ชายคาบ้านหลังนี้ได้ไม่นานนัก ทางการก็ได้ทำการยึดบ้านคืน เนื่องจากพ่อได้ลาออกจากราชการแล้วอย่างเต็มตัว เหตุการณ์นั้นผมจดจำได้เป็นอย่างดี... ผมกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้น ม.5 ชีวิตของผมและแม่ที่น่ารันทดอยู่แล้ว มันจึงยิ่งตอกย้ำให้ภาวะความเป็นอยู่ของเราสองแม่ลูกแย่ลงไปอีก มันแย่มากๆ ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย ผมไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามันจะมีเหตุการณ์อะไรที่แย่ไปกว่านี้เกิดขึ้นกับเราสองคนแม่ลูกอีกหรือเปล่า และเราจะทนกับสภาวะเช่นนี้ได้ต่อไปอีกนานแค่ไหน? นึกไม่ออกเลยจริงๆครับ สิ่งที่ผมกลัวที่สุดก็คือ ผมจะได้เรียนหนังสือต่อไปถึงระดับไหน? จะมีใครส่งเสียให้ผมเรียนหรือเปล่า? ผมกลัว...แต่ผมก็ไม่กล้าที่จะตั้งคำถามนั้นออกไปให้กับแม่ เพราะผมไม่ได้ต้องการสร้างแรงกดดันให้กับแม่ ผมสงสารแม่ครับ เหตุการณ์วันนั้น...
"นราฤทธิ์! คุณแม่มาพบลูก" เสียงอาจารย์ที่ปรึกษาเรียกหาผม
"ครับ...ไหนครับ?"
"โน่นแน่ะ...คุณแม่รออยู่ข้างล่าง นั่นไง...ตรงม้านั่งหินอ่อน คุณแม่ร้องไห้ด้วยนะ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าลูก?" อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใยผม
"ไม่ทราบครับ" ผมมองไปยังแม่ของผม ในภาพนั้น...ภาพที่ผมได้เห็น ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังนั่งร้องไห้อย่างหมดหวัง หัวใจของผมมันรู้สึกหวิวๆขึ้นมาทันที ผมรีบวิ่งลงไปทันใดนั้น
"มีอะไรรึเปล่าแม่?" ผมถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ
"เต้...บ้านเราน่ะ เขาจะมาเอาคืนแล้วนะลูก" แม่พูดพร้อมกับร้องไห้
"อ้าว ทำไมล่ะ?" ผมถาม
"พ่อเขาลาออกจากทหารแล้วลูก เขาจะไปอยู่ที่อื่นกับเมียน้อยเขาแล้ว"
"แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนกันล่ะแม่" ผมกังวลใจยิ่งนัก
"เต้...เต้ไม่ต้องกลัว แม่จะรีบหาที่อยู่ใหม่ให้ได้" แม่กล่าวพร้อมให้ความหวัง ผมไม่พูดอะไรต่อไปอีก ต้องยอมรับว่าตอนนั้นผมโกรธพ่อมาก ผมรู้สึกผิดหวังในตัวพ่อมากที่สุด พ่อไม่ใช่ฮีโร่ของผม ไม่เคยเป็นและจะไม่มีวันได้เป็นเลยด้วยซ้ำ ผมเสียใจ น้ำตาผมไหลเอ่อ แต่ผมก็ต้องกลั้นมันเอาไว้ ผมต้องเข้มแข็งและจะไมม่มีทางอ่อนแอ
ผละจากแม้ออกไปไม่กี่ก้าว น้ำตาที่กลั้นไว้สุดท้าย...ไม่สามรถกลั้นเอาไว้ได้ต่อไป มันไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง ผมเดินหลบไปสงบสติอารมณ์ก่อนที่จะกลับขึ้นไปเรียนใหม่บริเวณหลังอาคารเรียน ซึ่งอยู่ข้างหลังห้องพักครูพอดี
"อย่าร้องไห้เลยลูก...อย่าร้องเลยนะเต้" เสียงนั้นที่เร็ดรอดออกมาข้ามผ่านศีรษะผม อาจารย์ที่ปรึกษาของผมเองครับ แกเดินลงมาแอบดูผมอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงนั้นฟังดูอบอุ่นแต่มันยิ่งกระตุ้นผมให้ร้องไห้หนักขึ้น ผมปล่อยโฮเลยทีเดียว
"ผมขอยืนอยู่ตรงนี้สักพักนะครับ ผมยังไม่พร้อมขึ้นไปเรียนตอนนี้ครับอาจารย์" ผมกล่าวขออนุญาต
"ขึ้นมาคุยกับครูก่อนดีมั้ยลูก? มีอะไรก็ปรึกษาครูได้นะเต้"
"ไม่เป็นไรครับ ขอบคุณอาจารย์มากครับ ผมขอยืนอีกสักพักแล้วผมก็จะขึ้นไปห้องเรียนเองครับ"
"ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็มาคุยกับครูได้นะลูก อย่าเก็บเอาไว้คนเดียว หากครูแนะนำอะไรได้ครูก็อยากจะทำนะลูก แต่ตอนนี้ถ้าไม่พร้อม...อยากร้องไห้...ก็ร้องไป...ร้องออกมาให้พอ แต่อย่าลืมว่าเมื่อร้องพอแล้ว ก็ให้มันจบไปแค่นั้น ครูเป็นห่วงเต้นะลูก" อาจารย์กล่าวปลอบซ้ำ
"ได้ครับ...ขอบคุณครับอาจารย์"


ละลายพันธุ์ : เรื่องราวของผมและแม่จะเป็นไปอย่างไรต่อ คอยติดตามนะครับ วันนี้ขอตัวไปพักผ่อนก่อน เพลียมากมายครับ กู้ดไนท์คร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 24-12-2007 22:52:44
เฮ้อ  มามี :sad2:ปัญหาเรื่องที่บ้านอีก
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 24-12-2007 23:33:54
เฮ้อ เศร้าใจแทนแทนอ่ะคับ
หัวข้อ: "รัก(เกิน)เพื่อน" .....ทรมานขนาดไหน...เจ็บไปเท่าไหร่....แต่สุขใจที่ได้รัก
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 25-12-2007 15:02:50
ละลายพันธุ์ : วันนี้ตื่นมาซะบ่ายเลย ยังไม่ได้กินข้าวเลยนะเนี่ย อยากรีบมาอัพเรื่องก่อนไง...อยากให้ไปถึงตอนสำคัญไวๆ ยังไงก็ขอขอบคุณผู้ที่มาเยือนและเป็นกำลังใจให้กับผมทุกคนนะครับ.... :pig4:

***จุดพลิกผัน**** (ต่อ....)

สุดท้าย...พวกเราสองแม่ลูกก็มีความหวัง มีนายทหารผู้ใหญ่คนหนึ่ง แกใกล้จะปลดเกษียณอายุจากราชการแล้ว แกรักแม่ผมมาก รักอย่างว่า...แต่แม่ผมรักท่านแบบญาติผู้ใหญ่มากกว่า  แกให้เราสองแม่ลูกไปพักอาศันอยู่กับแก

ที่บ้านหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น อยู่ใกล้ทะเลเลยล่ะครับ เดินออกไปประมาณ 50 เมตรก็เจอทะเลแล้ว ลุงแกอยู่คนเดียวครับ เมียแกตายไปนานแล้ว  เมียแกก็เคยเป็นครูสอนหนังสือผมมา

ส่วนลูกๆแกก็พอเรียนจบก็ไปหางานทำที่กรุงเทพฯกันหมด ได้ดิบได้ดีกัน แต่นานๆจะโผล่มาเยี่ยมพ่อตัวเองกันสักครั้ง ลุงภุชงค์...แกเป็นพวกขี้เมา แกดื่มเหล้าแทนน้ำเปล่าเลยแหละ ร่างกายแกอ่อนแอ เดินกระเสาะกระแสะ  บางทีแกก็จะมีอาการกล้ามเนื้อเกร็งและชักกระตุก เกิดอาการทีหนึ่งบ้านลั่นแทบพังครับ  ผมกับแม่ต้องวิ่งขึ้นไปดูแกไปช่วยแกนวดคลายเส้นให้แก

เฮ้อ...พูดไปผมก็ท้อเหมือนกัน แต่ทำไงได้ผมต้องทนอยู่ต่อไปจนกว่าจะเรียนจบม.ปลาย และต้องทนกับเสียงคนติฉินนินทาที่เขากล่าวหาว่าเราสองแม่ลูกมาเกาะลุงกิน ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย แม่ผมซะอีกที่บางทียังต้องคอยหาข้าวให้แกกิน แต่ก็อย่างว่า ปากคนน่ะ มันอยากจะพูดอะไรมันก็พูดกันไป หาอะไรไปปิดปากมันไม่ได้หรอก

บ้านหลังนี้แม้มันจะไม่ใช่ของผม แต่ผมก็รักมันมาก มันคือบททดสอบความอดทนของผมเลยแหละครับ เวลาที่ผมเหงาผมจะเดินไปนั่งเล่นที่ชายทะเล นั่งอยู่คนเดียว ฟังเพลงไปเรื่อย ผมก็มีความสุขดี แต่บางทีเสียงคลื่นทะเลมันกลับทำให้ผมร้องไห้ มันบาดใจของผมเหลือเกิน

เวลาที่ผมคิดถึงต่อหรือเรื่องราวชีวิตของผมที่มันแย่ๆแบบนี้ ยามที่ผมพยายามนึกหาวิธีหรือทางออกใดๆ ที่จะทำให้ผมคงความสัมพันธ์แบบนี้ระหว่างผมกับต่อให้ยาวนานที่สุด มันทำให้ผมเครียดและหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้เลย สุดท้ายผมร้องไห้...ที่ชายหาดแห่งนี้ ที่ที่เป็นจินตการในโลกส่วนตัวของผม ที่นี่มีต่อกับผม  มีแม่และมีอนาคตที่สดใสของผมรวมอยู่ด้วย

บางครั้งดึกดื่นเพียงไหนผมก็ยังไปนั่งอยู่อย่างนั้นของผมคนเดียว มันเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมสบายใจ ยามใดที่เสียใจไม่ว่าเรื่องใด ผมจะมาที่นี่ มานั่งร้องไห้ของผมคนเดียว บางทีเสียงคลื่นซัดฝั่งมันก็ยิ่งตอกย้ำให้ผมเจ็บปวด แต่สุดท้ายมันกลับทำให้ผมมีเวลาคิด...ให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง

วันหนึ่งผมก็ได้พบกับเพื่อนใหม่ของผมอีกคน ชื่ว่า โต๊ด เราคบกันได้เพราะเราชอบคุยเรื่องรถเหมือนกัน โต๊ดมันก็เป็นเกย์เหมือนผมล่ะ แต่อีนี่มันออกสาวน่าดู จัดว่าเป็นสาวมั่นเชียวแหละอีกอย่างนะแม่นี่น่ะยังเป็นที่รู้จักของคนเกือบทั้งโรงเรียนเลยก็ว่าได้ ประมาณว่าป็อบฯ น่ะครับ ทีแรกผมไม่แน่ใจหรอกนะว่ามันจะรู้หรือเปล่าว่าผมเป็นเกย์ แต่ไม่นานนักมันก็มากระชากวิญญาณผม ผีร้ายในตัวผมได้ปรากฎตัวขึ้นมาเพราะมัน แต่ก็ดีนะครับเพราะผมจะได้มีเพื่อนไว้คอยปรึกษา อีกอย่างนิสัยมันก็ใช้ได้

ผมมีบทบาทในความเป็นเพื่อนของมันมากมาย ซึ่งมันก็ทำให้ผมได้รู้ว่ามันคือเพื่อนแท้ ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอ โต๊ดจัดเป็นเพื่อนคนที่สองรองจากแจ๊กที่รู้ว่าผมแอบรักต่อ  รู้มั้ย? ทุกครั้งที่ผมได้คุยกับมันเรื่องต่อทีไร มันมักจะทำให้ผมหมดหวังที่จะคิดรักต่อทุกที คำแนะนำของมันแต่ละอย่างทิ่มแทงผมทั้งนั้น มันไม่ค่อยพูดจาให้ความหวังผมนักหรอก มันกลัวผมจะคิดอะไรเกินเลยมั้ง แต่ก็ดีนะ...อย่างน้อยมันก็มีอะไรมาคอยยับยั้งความรู้สึกของผมไว้ได้บ้าง


โต๊ด ช่วยแบ่งเบาภาระความเครียดของผมได้เยอะเหมือนกัน มันเป็นคนคอยสร้างเสียงหัวเราะให้กับผม ทุกครั้งที่ผมเศร้า มันจะมาหาผมที่บ้านถูกจังหวะเสมอ บางทีเราก็จะไปเดินเล่นกัน เดินมันไปเรื่อยๆ คุยกันสับเพเหระ บางครั้งมันจะพาผมไปนั่งรถเล่น โตฃ๊ดจะมีรถเก๋งคันใหญ่ๆ เป็นรถยุโรปทรงคล้ายรถอเมริกัน เสียงปิดประตูก็ดังไพเราะเสนาะหู ปิดทีดัง โครม! ถึงกระนั้นก็เถอะ แม้มันจะไม่ใช่รถของผม แต่ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงมันเสมอ มันเหมือนพาหนะที่คอยแบกความทุกข์และสุขของผมไว้ทั้งปวง เฮ้อ...ผมรักมันจัง
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 25-12-2007 16:50:11
เศร้า จิตตตตต   :m21:

แต่ แหลม แหลม... :m4: :m4:

ขอบคุณครับบบ ผมมารอน่ะ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: piyakorn ที่ 25-12-2007 17:44:57
 :a4:เป็นกำลังใจให้นักเขียนครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 25-12-2007 18:43:39
 :mc3:
MERRY X'MAS!!!!!  วันนี้ใครๆก็อาจจะได้ไปเดินเที่ยวดูไฟกันตามสถานที่ต่างๆ แต่ผมสิหมกอยู่ห้อง เพราะเพื่อนมันไม่ไปกัน เหอๆ แย่จัง แต่ไม่เป็นไรดีเหมือนกัน จะได้เอาเวลามานั่งอัพเรื่องของตัวเองต่อ....ตอนต่อไปเลยแล้วกันนะ.....

***ซ้อนความรู้สึก***

ช่วงเวลานี้ผมทั้งมีความสุขและทุกข์ใจยิ่งนัก มันผสมปรนเปรกันไปหมด อยู่กับเพื่อนผมก็สุข พอกลับมาบ้านผมก็มาจมปักอยู่กับความทุกข์ มันช่างสุดแสนจะเดียวดาย เหงาเหลือเกินครับ ผมรักต่อมากขึ้นทุกวัน ไม่มีแม้สักวันที่ผมจะไม่คิดถึงเขา หรือลดความรู้สึกนั้นให้น้อยลง ผมบอกตัวเองทุกค่ำคืน "เอาน่ะ...เดี๋ยวก็เช้าแล้ว"
@โรงเรียน...
วันนี้ผมมีเรียนภาษาอังกฤษคาบแรกเลย ผมชอบมากครับ  ผมชอบเรียนวิชานี้มากเป็นพิเศษ ผมมันพวกหัวนอกน่ะครับประมาณว่าเด็กอินเตอร์... ในระหว่างที่อาจารย์ยังไม่เข้าสอน ผมลองหันไปมองหลังห้องตรงจุดที่ต่อนั่งอยู่ ผมแอบมองเขาอยู่นาน เขากำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออะไรสักอย่างอยู่

ผมมองเขา...ทันใดนั้นเอง เขากลับเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับมองมาทางผม ผมตกใจมาก ทำอะไรไม่ถูก แทนที่จะละสายตาผมกลับมองจ้องเขากลับไป เขามองผม ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่เรามองตากันอยู่จนอาจารย์เดินเข้ามา เขาจึงละสายตาคู่นั้นไป


ละลายพันธุ์ : เย้ๆ เดี๋ยวต้องขอตัวก่อนนะคร้าบ พอดีแฟนเก่าที่เคยคบหากันมาเพิ่งโทรมาชวนออกไปดูหนังรอบสองทุ่มบอกไม่ถูกเหมือนกันนะว่ารู้สึกยังไง แต่อย่างน้อยก็ยิ้มได้ล่ะ เอาไว้กลับมาหรือไม่ก็พรุ่งนี้ ผมจะมาอัพเรื่องราวให้ฟังต่อนะครับ เรื่องราวกำลังน่าติดตาม (รึเปล่าน้อ?) แล้วจะรีบกลับมาคร้าบบบบบบบบบ....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 26-12-2007 10:40:39
 :mc1:
ละลายพันธุ์ : เมื่อคืนหลังจากกลับจากไปดูหนังกับอดีตแฟนเก่ามา ก็อุตส่าห์รีบกลับมาอัพตอนต่อ แต่โชคร้ายพิมพ์กำลังเสร็จปรากฎว่าเครื่องน็อกครับท่าน หายหมดเลย เซ็งโคตรๆเลยต้องมานั่งเริ่มใหม่ ต่อเลยแล้วกันครับ...

***ซ้อนความรู้สึก*** (ต่อ....)

"Please....Satnd Up!" ผมกล่าวบอกให้เพื่อนๆทุกคนยืนทำความเคารพด้วยเสียงที่สั่นพร่าต่างไปจากทุกวัน ทำไมผมต้องเป็นคนบอกน่ะเหรอ ก็ผมเป็นหัวหน้าชั้นเรียนนี่ครับ ไม่ได้คุยหรอกนะ...อิอิ
"Good Morning Class, Sit down!" อาจารย์กล่าวทักทายตอบ
"ไงหัวหน้า...เมื่อคืนนอนดึกเหรอ เสียงนี้พร่าเชียวนะ" อาจารย์แซวผม
"เปล่าครับ...ผมแค่..." ผมกล่าวเริ่กรั่ก
"แค่...แค่อะไร?" อาจารย์ซักกลับ
"ก็...แค่ไม่มีอะไรครับ" ผมพูดตัดบท
"โอเค...ไม่มีอะไรก็ไม่มีอะไรนะ งั้นเริ่มเรียนเลยแล้วกัน" อาจารย์เข้าเรื่องซะที
ผมไม่มีจิตใจที่จะเรียนแล้ว ภาพที่เขามองตาผมยังคงค้างอยู่ในความรู้สึกส่วนนั้นของผม มันคืออะไรกัน เพื่อให้แน่ใจผมหันกลับไปมองเขาอีกครั้ง หันไปอย่างช้าๆ ทันใดนั้นเองภาพที่ผมเห็นก็ปรากฎต่อสายตาผม ต่อกำลังนั่งมองมาที่ผมอยู่ ผมหันไปแล้วรีบหันกลับด้วยความตกใจ แต่เพื่อความชัวร์ผมจึงมองเขากลับไปอีกรอบ เขาก็ยังคงมองผมอยู่อย่างนั้นบรรยากาศเหมือนกับตอนที่อยู่ร้านหนังสือไม่ผิดเพี้ยน ตัวผมชาไปหมดทำอะไรไม่ถูกเหมือนถูกสะกดจิค เรามองตาซึ่งกันและกันอยู่อย่างนั้นเกือบหนึ่งนาที หนึ่งนาทีจริงๆครับ ผมไม่ได้กล่าวเท็จเพื่อเข้าข้างตัวเองแต่อย่างใด แล้วก็ไม่กล้าที่จะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วด้วย ผมเดาไม่ออกจริงๆว่าเขาคิดอะไรอยู่ จนกระทั่ง...
"นี่! หัวหน้า คุณหัวหน้าห้องคะ ใจลอยไปถึงไหนแล้วคะ?" อาจารย์เรียกผม ท่านคงจะเห็นว่าผมนั่งเหม่ออยู่นาน โดยที่ไม่รู้สึกตัว
"ครับ...เปล่าครับ...ใครไปไหนครับ?...อะไรกันเหรอครับ?" ผมกล่าวอึกอักงงๆ
"ใจเราน่ะลอยไปถึงไหนแล้ว แอบคิดถึงใครอยู่ล่ะ? เอาล่ะ...ไหนอ่านบทความนี้ซิ เปิดไปที่ Lesson 14 หน้า 42 แล้วอ่านให้เพื่อนฟัง...เพื่อนๆก็ตั้งใจฟังด้วยล่ะ"
"ครับ...Lesson 14...Hometown... There is a boy in the wonderful town. His name is Peter. He is very popular of the town...." ผมอ่านเนื้อเรื่องจบ อาจารย์ปรบมือให้ผม แน่ล่ะ...ผมบอกแล้ว ภาษาอังกฤษน่ะหมูมากสำหรับผม แม้ใจผมจะหลุดลอยไปถึงไหน แต่ถ้าให้ผมได้อ่านเนื้อเรื่องหรือบทความภาษาอังกฤษแล้วล่ะก็...ผมชอบมากครับ
"ไง...สติกลับมาซะทีนะ นึกว่าจะกู่ไม่กลับซะแล้ว" อาจารย์แซวผมอีก
"ครับผมกลับมาแล้วครับ" ผมกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะร่วนของเพื่อนทั้งห้อง
ผมหันกลับไปมองต่ออีกครั้ง ผมแลเห็นเขานั่งอมยิ้มหน้าแดงกร่ำ ผมแลบลิ้นให้เขาแบบแหยๆ เขาหันหน้าหนีผม "เออ...ไม่เป็นไร" ผมคิดในใจแล้วผมก็เมินหน้าหนีและดึงจิตใจที่กำลังกระเจิดกระเจิงมากไปกว่านี้ให้กลับเข้าสู่บทเรียนต่อ ผมเพิ่งรู้ว่าอาจารย์ยังคงมองผมอยู่ ผมยิ้มทำหน้าเจื่อนๆ อาจารย์ยิ้มตอบรับ แล้วท่านก็สอนต่อ



ปล. เดี๋ยวจะแวบเข้ามาต่อเรื่องเป็นระยะๆ ตอนนี้งานเข้า ขอตัวทำงานก่อนเน้อ....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 26-12-2007 12:12:13
 o12
***ซ้อนความรู้สึก***(ต่ออีกคร้าบบ....)

เฮ้อ! พักกลางวันสักที วันนี้ผมเรียนหนักมากในช้วงเช้า คาบแรกภาษาอังกฤษอีกสองคาบต่อมาเป็นวิชาฟิสิกส์ ยากสุดๆเลยครับ ผมเรียนแทบไม่รู้เรื่องเลยตลอดทั้งสองคาบนั้น เพราะมัวแต่นั่งคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อตอนคาบวิชาภาษาอังกฤษ "มันคืออะไรกันน้า?..." ผมตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง ผมเดินกลับห้องเรียนอย่างเหม่อลอยไปคนเดียวเรื่อยๆพลางคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นเอง...
"เต้! เฮ้ย! เต้....รอเราด้วย...ได้ยินมั้ย? รอก่อน!" เสียงต่อตะโกนเยกให้ผมหยุดไล่ตามหลังผมมา
"ตายห่าละกู มาแล้ว" ผมพรึมพรำพร้อมกับเร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้น ผมกลัวเขาเข้ามาคุยกับผมแล้วผมจะพูดอะไรไม่ออก แต่เขาเดินเร็วกว่าผมอีก จนกระทั่งเขาเอามือมากระชากไหล่ผม แต่ผมยังก้าวต่อไป
"เดี๋ยวก่อนสิ นายจะรีบเดินไปไหน อ้าวๆ...หยุดเดินก่อนสิ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นขึ้น
"เปล่าๆ เรารีบ เราจะไปห้องน้ำน่ะ" ผมพูดโดยที่ไม่มองอะไรทั้งนั้น แม้กระทั่งใบหน้าของเขา ทางไปห้องน้ำอยู่ทางไหนผมเองยังไม่รู้เลย และแล้ว...
"นายนี่ท่าทางจะไปกันใหญ่แล้วนะ ห้องน้ำมันมาอยู่อะไรทางนี้กันล่ะ นี่มันทางเดินขึ้นตึกแล้วนะ นายเป็นออะไรไปรึเปล่า พอเรียนเสร็จนายก็ไม่รอพวกเราเลย นายหนีใครเหรอ หนีเราอยู่รึเปล่า?" เขาถามทิ้งท้ายสีหน้าเขาดูคร่ำเครียดจริงจังขึ้นมา พร้อมกันนั้นเขากุมมือผมไว้แน่น...แน่นมากครับ ผมรู้สึกได้ถึงความอึดอัด
"เฮ้ย! นายก็พูดไปเรื่อย เปล่าสักหน่อย เราจะไปเดินหนีนายทำไมล่ะ? เราแค่จะเอาหนังสือขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนแล้วก็จะเดินเลยไปห้องน้ำ แล้วนายอย่าลืมสิว่านี่มนช่วงพักกลางวันแล้ว พอดีเรานัดกับแจ๊กไว้ตรงหน้าห้องน้ำไง เราถึงต้องรีบเดินออกมา นายคิดอะไรอยู่ของนายเนี่ย" ผมตั้งสติแล้วก็พูดออกไปเป็นชุดเลย
"โอเค เข้าใจนายแล้ว อย่างนั้นเราขอโทษ เราขอเดินไปด้วยคนกับนายได้มั้ย เพราะเราเดินตามโจ้กับหนุ่มไม่ทันแล้วล่ะ" เขากล่าวพร้อมกับผละมือนั้นออกจากอุ้งมือของผม สีหน้าเข้าเหมือนคนหน้าแตกยังไงยังงั้น
"ก็ได้ เดินไปด้วยกัน แต่อย่าถามอะไรเรามากนะ" ผมพูดดักคอเขา
"อืม...ไม่หรอกน่า ช่างมันเถออะเนอะ" เขาเอ่ยเสียงเนือยๆ
"อืมดีละ..." ผมรับถ้อยคำสั้นๆ
".........................................................."
"แหม..." แจ๊กออกอาการ
"แหมอะไรของมึงวะ?" ผมถามมัน
"แล้วโจ้กับหนุ่มล่ะ ทุกทีเห็นเดินมาพร้อมๆกันนี่นา" มันเปลี่ยนเรื่องถามซึ่งก็ดีแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นผมคงจะอึดอัดน่าดูเลย
"เดินไปแล้วมั้ง พอดีเราเต้เอาหนังสือขึ้นไปเก็บบนห้องก่อนน่ะ เลยเดินตามไม่ทันกัน" ต่อช่วยคลีคลาย เขาพูดไปพลางมองหน้าผมไป (มองทำไมวะ?) ผมหลบหน้าเขา แล้วก็เดินออกไปเฉยๆ
"โจ้! หนุ่ม! ทางนี้!" ผมตะโกนเรียกโจ้และหนุ่ม ทั้งสองกำลังเดินอยู่ในโรงอาหาร
"พวกนายเดินไปไหนกันมาเรากับหนุ่มหาไม่เจอก็เลยเดินมาก่อน" โจ้กล่าวพร้อมทำหน้าฉงนใจ
"อ๋อ....พอดีเรากับเต้เอาหนังสือขึ้นไปเก็บบนห้องกันก่อนน่ะ" ต่อตอบแทนผม
"เอ้อ...หาที่นั่งกันก่อนดีกว่า คนเริ่มเยอะแล้วเดี๋ยวไม่มีที่นั่ง" ผมพูดเปลี่ยนเรื่องก่อนที่โจ้จะซักถามอะไรมากไปกว่านี้
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 26-12-2007 12:38:11
รออ่านอยู่นะ  :a3:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 26-12-2007 16:52:37
 :m1:
***ซ้อนความรู้สึก*** (ต่ออีกนะคร้าบบบบ....)

ในขณะที่เรากำลังเดินหาโต๊ะกันนั้น ผมรู้สึกว่าต่อพยายามเดินเข้ามาใกล้ผม ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆครับ พอเราหาโต๊ะได้เราก็เลือกที่นั่งกัน หนุ่มนั่งเคียงข้างโจ้ ส่วนผมก็หย่อนก้อนลงนานแล้ว ระหว่างนั้นเองผมก็เรียกแจ๊กให้เข้ามานั่งข้างๆผม แต่ต่อกลับเร็วกว่า เขาเดินปาดมานั่งด้านข้างของผม แจ๊กจึงเดินไปนั่งตรงข้ามกันกับผมเหมือนจะรู้งานยังงั้นแหละ แจ๊กมันมองหน้าผม มันก็คงจะคิดอะไรไม่ต่างกับผมนัก ผมไม่พูดอะไร ทีท่าของต่อเองก็นิ่งมาก นิ่งจนดูไม่ออกเลยว่าเขาคิดอะไรอยู่
"พวกนายไปซื้อกันก่อนก็ได้ เดี๋ยวเรากับเต้นั่งเฝ้าโต๊ะไว้ให้ก็ได้เนอะเต้เนอะ" ต่อบอกพวกนั้นพร้อมกับหันมาถามความเห็นผม ผมไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าเฉยๆ จากนั้นพวกนั้นก็ลุกไปกันหมด โดยเฉพาะนังแจ๊กมันรีบลุกออกไปเหมือนเป็นใจ ระหว่างที่ผมและต่อนั่งนั่งรอเพื่อนๆอยู่นั้น ผมรู้สึกว่าบรรยากาศทั้งโรงอาหารมันดูเงียบสงัด ทั้งๆที่มีนักเรียนนับพันคนที่มารวมตัวกันอยู่ในนั้น ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเขาเลยจริงๆ ผมหันไปมองหน้าเขา...เขาก็มองหน้าผม "พูดอะไรบ้างสิ" ผมเอ่ยในใจ
"เต้...นายเป็นอะไรไปหรือเปล่า เราเห็นนายเงียบๆไปน่ะ มีอะไรก็บอกเราได้นะ นายพูดกับเราได้เสมอนะ" เขาเริ่ม...
"เปล่านี่ ไม่มีอะไร แค่วันนี้เรารู้สึกว่าเราเรียนไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะ" ผมตอบ
"อ้าว...ทำไมล่ะ ปกติเราเห็นนายตั้งใจเรียนดีออกนะ วันนี้นายเป็นอะไรไปรึเปล่า ไม่สบายเหรอ?" เขาถามเซ้าซี้
"อ้อ...อยากรู้เหรอ...ก็เปล่าหรอกนะแค่รู้สึกเหมือนโดนใครมาสะกดจิตไว้น่ะ" ผมตอบเป็นนัยๆ
"แล้วไปโดนใครเขาสะกดมาตอนไหนล่ะ" เขาพูดไปพลางยิ้มไป
"รู้สึกจะเป็นคาบวิชาภาษาอังกฤษแหละมั้ง?" ผมตอบเขาทำหน้าตากวนๆ คราวนี้ผมอารมณ์ดีขึ้นมาแล้ว กลับมาเป็นเต้คนเดิมแล้ว พอดีกับจังหวะที่โจ้และหนุ่มกำลังเดินมาถึงโต๊ะพอดี ผมจึงเปลี่ยนเรื่อง
"ไปเถอะ ตึงตาเราไปซื้อกันบ้งแล้ว โจ้กับหนุ่มเดินมาทางโน้นแล้ว"
"เต้ วันนี้หลังเลิกชุมนุมแล้วนายรอเราด้วยนะ กลับบ้านพร้อมกันนะ" เขาพูดชวนผม พูดแบบรีบๆเพราะสองคนนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ปกติแล้วทุกๆวันจันทร์เราไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยกันหรอก เพราะคาบสุดท้ายจะเป็นวิชาชุมนุม ซึ่งเป็นวิชาเลือก ผมเเละต่อเรียนคนละตัวกัน ดังนั้นเราจึงมักจะไม่ได้กลับบ้านด้วยกันในวันนี้...
"ได้สิ นายจะรอเราตรงไหนดีล่ะ" ผมเอ่ยถาม
"เราไปรอนายที่หน้าตึกวิทย์ฯดีกว่า" เขาออกความเห็น
"อย่าเลย...เดี๋ยวหนุ่มมันจะเห็น" ผมเสริมต่อ หนุ่มกับแจ๊กเรียนอยู่ชุมนุมเดียวกับผม
"เป็นไรล่ะ เห็นก็ช่างมันสิ" ต่อว่า...
"ก็ไม่เป็นไรหรอก เรารำคาญมันน่ะ เฮ้ย...ลุกเถอะมันมานั่นแล้ว เดินไปคุยไปก็ได้" ผมชวนเขาลุกจากโต๊ะ เพราะหนุ่มเดินมาจะถึงแล้ว
"นายก็รู้ว่าหนุ่มมันชอบถามโน่นถามนี่ ถามอยู่ได้บางทีเรื่องที่มันรู้อยู่แล้วมันก็มาถาม ทำอย่างกับจะมาลองภูมิเราน่ะ" ผมเอ่ยหาเหตุผลประกอบ
"อืม...งั้นเรารอนายที่ข้างตึกม.6 ก็แล้วกันนะ" เขาเสนอแนวทาง
"โอเค...4 โมงเย็นเจอกัน" ผมตบปากรับคำนัด
คราวนี้ต่างคนต่างเงียบ ผมไม่รู้หรอกครับว่าเขาจะคิดอะไรอยู่ในใจ แต่ผมนี่สิ...ผมคิด คิดว่าเขามีอะไรจะคุยกับผมหรือเปล่า...เพราะโดยปกติแล้วทุกวันจันทร์เราไม่ได้กลับบ้านพร้อมกันอยู่แล้ว แต่วันนี้เขามาแปลก เขาชวนผมกลับบ้านด้วยกันทั้งๆที่เขาน่าจะอยู่เล่นบอล กอร์ปกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้มันดูเหมือนว่าเขาคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมแอบดีใจนะ แต่ลึกๆแล้วผมกลัว...กลัวที่ไม่รู้เลยจริงๆว่าเขาจะพูดอะไรออกมาทำร้ายจิตใจผมหรือเปล่า กลัวว่าเขาจะรู้ว่าผมแอบรักเขาแล้ว...และเขารับไม่ได้ กลัวว่าสุดท้ายแล้วมันต้องจบ....ผมกลัวว่ามันจะจบเร็วเกินไป
"I am thinkin' of you in my sleepless solitude tonight..." ผมยืนร้องเพลงรอเขาอยู่ที่ข้างตึก ม.6 ผมมายืนรอเขาก่อนเวลาตั้ง 20 นาทีแน่ะ
"มาเร็วจัง เราบอกนายแล้วไงว่า 4 โมงเราจะมารอนายเอง ทำไมรีบมารอล่ะ จะมาหาว่าเรามาช้าไม่ได้นะ เรามาตรงเวลาพอดีเป๊ะ" เขาพูดพลางยื่นนาฬิกาข้อมือให้ผมดู
"อ๋อ...พอดี...เอ่อ...คือว่า...เรา...วันนี้อาจารย์แกปล่อยให้เราทำการบ้านแทนน่ะ แกไม่รู้จะสอนอะไรแล้ว เป่าแก้วเราก็เป่าเป็นแล้ว พอทำการบ้านเสร็จเราก็ขอแกชิ่งออกมาก่อน ขี้เกียจนั่งอยู่น่ะ เดี๋ยวแกให้อยู่ช่วยเช็คสมุดงานวิชาเคมีอีก คราวนี้ล่ะนายรอเรานานแน่ อีกอย่างเรามาก่อนก็ดีแล้ว นายจะได้ไม่ต้องคอย เราเองก็มาถึงก่อนนายแค่ 5 นาทีเอง" ผมกล่าว
"อืมๆ งั้นวันนี้เราไปกินข้าวกันนะ ร้านเดิมหรือร้านไหนก็ได้ตามใจนาย" เขาชวนผม
"ที่บ้านนายไม่มีให้กินเหรอข้าวเย็นน่ะ เห็นนายชอบกินที่ตลาดจัง ติดใจอะไรที่ร้านนั้นหรือเปล่า?" ผมถามแซวเขา
"ก็มันหิวน่ะ...อีกอย่างที่บ้านเราน่ะเขากินข้าวเย็นกันตอนหัวค่ำโน่นแน่ะ เพราะทั้งพ่อและแม่เราทำงานกันทั้งคู่เลย กว่าจะพากันกลับมาถึงบ้านก็หกโมงเย็นแล้ว บางทีก็มืดกว่านั้น เราเลยต้องหาอะไรกินรองท้องไปก่อน" ต่ออธิบายให้เหตุผล ซึ่งฟังดูแล้วก็น่าเห็นใจจริงๆ ก็อย่างว่าแหละนะ พ่อต่อน่ะบางทีก็ชอบไปปรากฎตัวอยู่ที่บ้านยัยหน่อย ไปนั่งกินเหล้าฟรีประมาณนั้น สังสรรค์กันไปเรื่อย นี่แหละชีวิตข้าราชการทหารไทยชั้นสัญญาบัตร ทำงานเช้าชามเย็นชาม ไม่สิ...ต้องเช้ากลมเย็นสองกลมถึงจะถูก
"ต่อ..." ผมเรียกเขาพร้อมสบตาเขา
"มีอะไรรึเปล่า?" เขาถามกลับ
"เปล่าหรอก ไม่มีอะไรเราแค่อยากจะบอกนายว่าเราเองก็หิวเหมือนกัน" ผมตอบ
"หน้าเราเหมือนกระเพราไก่เหรอเห็นมองอยู่ได้" เขาถามหยอกกลับ
"อ่ะนะ...ก็แล้วมันอร่อยรึเปล่าล่ะ?" ผมแฝงความนัยไว้ใคคำตอบ โดยไม่ได้หวังหรอกนะว่าเขาจะเข้าถึงมันหรือเปล่า แต่แล้ว...
"ลองชิมดูสิ จะได้รู้ว่าอร่อยหรือไม่อร่อย" นั่งไงล่ะครับ...คำตอบของเขาทำเอาผมขนลุกชันด้วยความตื่นเต้น มันแฝงอะไรไว้ในประโยค
"ไปกันเถอะเดี๋ยวจะเย็นมากไป นี่ก็สี่โมงกว่าเข้าไปแล้ว" ผมเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง
เราทั้งคู่พากันเดินไปขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังตลาด ความรู้สึกสดใสซาบซ่านมันเป็นอย่างนี้นี่เอง ช่วงเวลาของวันนี้ ผมมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ผมอมยิ้มตลอดเวลาเหมือนคนติงต๊อง... ทุกครั้งที่ผมสบตาเขามันมักมีสัญญาณแปลกๆจากเขาส่งกลับมายังผมเสมอ แม้มันจะยังคลุมเครือ มันไม่ชัดเจนนัก แต่ผมยังคงคิดอยู่เสมอว่าผมมีโอกาส ดูเลื่อนลอยเหรอ? ไม่รู้สิผมอาจจะคิดเข้าข้างตัวเองอยู่ก็เป็นได้ แต่หากใครมาลองเป็นผมแล้วล่ะก็ ผมรับรองใครคนนั้นต้องคิดไมม่ต่างจากผมแน่นอน
เย็นวันนั้นผมมีความสุขเหลือเกิน ใช่...มันคงไม่ต่างจากวันเก่าๆที่เราเคยมีกันหรอก แต่อย่างว่าล่ะนะมันคือความสุข สุขใจก็ทำไปเถออะ
วันแล้ววันเล่า...ผมเก็บกดความรู้สึกซ่อนเร้นไว้ภายใน ผมยังคงไม่กล้าเผยความรู้สึกที่แท้จริงของผมที่มีต่อเขาออกไป เพราะ เพื่อน คำๆนี้สำคัญที่สุด ผมทรมานใจเหลือเกินครับ ผมมักจับเจ่านั่งคำนึงคิดถึงแต่เขา อยากบอกเขาออกไปถึงความรู้สึกนั้น คิดหาทางทุกวิถีทางที่จะบอกออกไปแต่ก็ยังทำไม่ได้สักที...

".........................................." ค่ำคืนที่มันแสนจะเงียบเหงา เสียงลมทะเล ท้องฟ้ามืดสนิทประดับประดาไปด้วยดวงดาวที่ทอแสงเป็นประกายแลเห็นเต็มดวงสวยงามจับใจ ต้นตาลทะเลโบกไหวไปตามกระแสลม เสียงใบของมันเสียดสีกับอากาศและกีบใบของมันเองยิ่งฟังยิ่งตอกย้ำความรู้สึกถึงความเหงา หัวใจของผมเต้นสั่นระรัวราวกับว่ามันกำลังกรีดลึกลงไปถึงขั้วหัวใจของผม ผมอยากมีใครสักคนมาอยู่เคียงข้างผมในช่วงเวลานี้ ทุกค่ำคืนของผม ผมมีสายลมทะเลและเสียงคลื่นเป็นเพื่อน อย่างที่ผมบอกไป ผมมักจะไปนั่งเล่นที่ริมทะเลเสมอแทบทุกค่ำคืน ผมมักกลบเกลื่อนความรู้สึกนี้โดยการฟังเพลง ผมมีซาวเบาท์คู่ใจกับตลับเพลงสากลที่ผมชอบฟัง แต่กระนั้นเอง...เพลงเหล่านั้นพลันทำให้ผมแย่ลงไปในทันใด เพราะมันช่างบาดลึกถึงใจผม ผมร้องไห้...ผมเหง...ลมทะเลพัดโบกน้ำตาที่ไหลเอ่อออกมาแบบไม่มีที่สิ้นสุด นัยน์ตาที่ร้อนผ่าวแต่ลมทะเลที่ปะทะเข้าใบหน้าของผม เปลี่ยนน้ำอุ่นๆให้กลายเป็นน้ำเย็นในบัดดล ผมร้องไห้จนน้ำตาแห้งเหือด....นั่งอยู่จนพอใจพอเหนื่อยแล้วก็เดินกลับบ้าน
"1...2...3...4....  1...2...3...4 1234 1234..." เสียงตะโกนร้องนับเลขแบบนี้มีให้ได้ยินอยู่ในทุกๆวันช่วงรุ่งอรุณวันใหม่ของผม ผมสามารถตื่นนอนโดยไม่ต้องใช้นาฬิกาปลุก เพราะจะมีพลทหารฯทั้งกองร้อยมาวิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าบ้านผมทุกเช้า มากันเป็นขบวนเลยแหละ ร้องเพลงบ้างนับเลขบ้างสลับผลัดเปลี่ยนกันไปเพื่อให้เข้ากับจังหวะของการวิ่ง เสียงที่โห่ร้องออกมาแม้จะเป็นเสียงของชาติชายนับร้อยคนที่พากันตะเบ็งเสียงออกมานั้นมันฟังดูเย็นๆนิ่งๆยังไงไม่รู้ แต่บางทีมันก็ทำให้ผมรู้สึกฮึกเหิมได้เหมือนกัน
เฮ้อ...อาบน้ำเสร็จก็รีบแต่งตัว ค่อยๆบรรจงหวีผมให้ได้ทรงเก๋ไก๋อย่างที่ผมช๊อบ...ชอบ ก้าวเท้าออกจากบ้านมายืนรอรถสองแถวที่หน้าบ้าน ผมจะยืนอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ลมปะทะตัวผมพร้อมกับหอบเอากลิ่นน้ำหอมของแม่ที่ผมแอบบรรเลงฉีดพรมใส่ตัว ไปสัมผัสที่ปลายจมูกของแม่เข้าให้
"นี่ๆ....ฉีดซะฟุ้งเลยนะน้ำหอมแม่น่ะ ไปเรียนหนังสือหรือไปเหล่สาวกันแน่ฮะ?" แม่พูดเหน็บแนมผม ผมไม่ได้ตอบอะไรได้แต่ยืนยิ้มและแอบตอบในใจ "เหล่ผู้ชายต่างหากล่ะ..."


ละลายพันธุ์ : กลับบ้านก่อนนะคร้าบบบบ เดี๋ยวมาต่อใหม่
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-12-2007 21:21:12
ตามอ่านจนทันแล้ว  :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 26-12-2007 22:12:32
พี่คนเขียน แลดูเป็นคนที่เงียบๆ

ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูงนะคับ

เก็บความรุ้สึกจนแบบ อึดอัด สุดท้ายจะต้องระบายออกมาด้วยนะตา




ไม่รุ้ว่าเปนอย่างงั้นรึป่าวนะคับ

ถ้าเปนแบบนั้นก้คงคล้ายๆผม

แต่ผมจะบ้าๆบอๆหน่อย





ยังไงก้ยังติดตามนะคับ :pig4: แระ  :pig3:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 26-12-2007 22:23:07
 o2 ย่อหน้าบ้าง เว้นวรรคหน่อยก็ดีนะ 

เต้ดูคิดมากจริงๆล่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขū
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 27-12-2007 09:17:36
 :m23:

ขอบคุณทุกกำลังใจนะคร้าบบบบ....ก่อนอื่นขอโทษกับการจัดเรียงหน้า ซึ่งอาจทำให้อ่านยากไปสักหน่อย เพราะพยายามรีบลง และไม่ค่อยรู้ว่าต้องทำยังไง ที่จริงเรื่องนี้ผมเขียนเสร็จมานานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะก็อปปี้มาวางยังไงได้ เพราะพอลองทำมันขึ้นโค้ดว่าอะไรไม่รู้ กลัวมันไม่ติดเลยต้องมานั่งพิมพ์เอาใหม่.....

ส่วนเรื่องชีวิตของเต้...ต้องบอกว่า ก็คงจะต้องเรียกว่าเป็นคนที่เก็บกด เพราะเขามีโลกส่วนตัวสูงจริงๆครับ การที่ต้องเป็นในสิ่งที่คนอีกมากมายที่ยังไม่พร้อมที่จะยอมรับ ดังนั้นเขาจึงต้องอึดอัดสับสนกับตัวเอง เนื้อเรื่องอ่านไปแล้วอาจจะดูเครียดๆและตรึงๆไปสักหน่อย เพราะเรื่องราวมันเป็นไปอย่างนั้น อันที่จริงมีอีกหลายเรื่องราวที่ต้องตัดทิ้งไป เพราะมันอึดอัดจริงๆครับ ยังไงซะลองติดตามดูเรื่อยๆครับ เต้จะคิดเข้าข้างตัวเองรึเปล่า? หรือว่าต่อจะมีใจให้เต้บ้างมั้ย? มาดูกันนะครับ...

ละลายพันธุ์..............
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 27-12-2007 14:14:18
 :oni1:

***ซ้อนความรู้สึก*** (ต่อ......)

     แสงอรุณแจ่มจ้าเจิดจรัส.... ท้องฟ้าทอสีครามสดใส บรรยากาศที่แสนดีแบบนี้ช่วยบรรเทาจิตใจที่แสนจะปั่นป่วนของผมให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง ผมเดินผ่านเข้าประตูโรงเรียนอย่างสบายใจ มองเข้าไปภายในช่างเงียบสงัด
"โรงเรียนหรือป่าช้ากันแน่วะเนี่ย...?" ผมคิดในใจ 

เนื่องจากมันยังเช้าอยู่เวลาเช่นนี้นักเรียนส่วนมากยังไม่มีใครมากันหรอกครับ บางคนยังนอนหลับสบายอยู่บนเตียงอยู่เลยมั้ง แต่ถ้าปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปอีกสักหน่อยสิ....หึๆ ทั้งรถทั้งคนจอแจยิ่งกว่าในตลาดสดซะอีก โรงเรียนผมจัดว่ามีบริเวณที่กว้างมากๆเป็นร้อยๆไร่ นักเรียนมีมากกว่าสามพันคนมันจึงดูอีรุงตุงนังไปสักนิด  ผมไม่ค่อยชอบนักผมจึงเลือกที่จะมาเช้าๆก่อนใคร

"มาแต่เช้าเลยนะนายเต้! มาก่อนครูอีกเหรอเนี่ย" อาจารย์กล่าวทักทายผม
"ครับ! หวัดดีครับ...จารย์!" ผมทักทายกลับพร้อมกับเหลือบไปเห็นผู้ชายคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่อาคารเรียน มือหนึ่งถือกระเป๋า หลังคร่อมเล็กน้อย แต่ขาวโคตร...ต่อนั่นเองครับ วันนี้ต่อมาเช้าเป็นพิเศษ มันแปลก! แปลกจริงๆครับ ปกติจะมาสายไงครับ ในใจผมมันแป๊บๆแบบว่าตื่นเต้นน่ะครับ

"ทำไงดีว้า? ไงดีวะกู..." ผมพรึมพรำ
"หวัดดีเต้!" ต่อเอ่ยทักผม พร้อมกับโบกมือไปมาให้สัญญาณ
"เอ้อ...หวัดดีเพื่อน มาซะเร็วเลยนะวันนี้" ผมทักตอบแบบงงๆ
"ถ้าไม่รีบมาแล้วเราจะได้มาเจอนายแบบนี้เหรอ?" น่าน...โดนไปเต็มๆครับ
"เจอแบบไหนอ่ะ...พูดถึงอะไรเอ่ย?"  ทำไรเดียงสา ประมาณว่าเขิน...
"ปล๊าว...ไม่มีไรนี่ เจอไรแบบไหนเหรอ?...ก็หลอนๆแบบนี้ไง 555" ต่อตอบยียวนกวนประสาทผม
"เดี๋ยวถีบไปโน่นเลยว่ะ" ผมว่าพลางยกเท้าขึ้นทำท่าถีบ
"มาเด่ะมา...สู้นะเว้ย เตี้ยกว่าก็จริงแต่สู้ยิบตาแน่เอาดิ" ต่อทำท่ากำหมัดดูน่ารัก...มันดูขัดๆกับบุคลิกที่ดูสุภาพอ่อนโยนของเขาอย่างสิ้นเชิง ผมอยากโผเข้าไปกอดเขายิ่งนัก แต่...ผมทำไม่ได้หรอกครับ
"มาดิ...เข้ามา เฮ้ย! ทำไมเงียบไปล่ะ นายกลัวแพ้เราล่ะสิ เต้...เต้! นายเป็นไรเปล่าเนี่ย? เราล้อเล่นนะ" ต่อยังคงทำท่าทีหยอกผม แต่ตอนนี้ผมกลายเป็นคนจิตหลุดไปแล้ว ราวกับว่าผมหายไปอยู่อีกโลกหนึ่ง เขาเรียกผมดังลั่น ผมยังคงไม่สั่นไหวใดๆจนกระทั่ง...
"ไป...เราไม่เล่นแล้วก็ได้ ขึ้นห้องเรียนกันเถอะ" เขาพูดพลางโอบไหล่ผมเดินไปด้วยกัน แม้เขาจะตัวเตี้ยกว่าผมแต่มันก็ดูอบอุ่นดีจัง ผมยังคงคิดอะไรอยู่มากมายภายในใจของผม
"ต่อ...นายนี่กวนดีเหมือนกันนะ"
"อ๋อ...นายชอบกวนๆแบบนี้ก็ไม่บอก ต่อไปจะทำให้มากกว่านี้อีก เชอะ! นี่ขนาดแค่นี้ยังหงอยซะ" เขาทำปากดี

ภายในห้องเรียนนี้มีเพียงเราสองคนเท่านั้น มันดูเงียบสงัดไปหทด บทสนทนาหายไปอีกแล้ว เพื่อไม่ให้ตัวเองหลุดอีกผมจึงหาอะไรทำ ผมเดินไปเปิดหน้าต่างห้องเรียนทีละบาน ผมไล่เปิดจากหลังห้องไปจนถึงหน้าห้อง ผมเดินถอยหลังมาเรื่อยๆจนมาถึงหน้าต่างบานสุดท้ายนั้นเอง  ด้วยความที่ไม่ได้มองว่ามีอะไรกีดขวางอยู่ทางด้านหลัง ผมก้าวเท้าเหยียบไปบนหน้าเท้าด้านซ้ายของต่อเต็มๆ แทนที่เขาจะร้องด้วยความที่เขาอาจจะเจ็บ ตรงกันข้ามเขานิ่งมากซ้ำยังเอามือทั้งสองข้างเข้ามาโอบผมไว้อีก คราวนี้สถานการณ์ยิ่งตรึงเครียดและผมก็กระอักกระอ่วนใจเหลือเกิน ผมทำอะไรไม่ถูกแล้ว ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ข้างใน ผมเอามือของผมทั้งสองข้างประคองมือของเขากลับ มือเขาเย็นมาก มือผมเองนั้นก็แทบจะชุ่มเต็มไปด้วยเหงื่อ ผมรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันใดนั้น

"ต่อ...นายมายืนอยู่ตั้งแต่เม่อไหร่วะเนี่ย? เราตกใจหมดเลย อย่าเล่นแบบนี้ดิ เดี๋ยวหัวใจวายกันหมดพอดี" ผมกล่าวแบบใจแปล้ว แต่ก็ตั้งสติไว้ได้
"เรามาเมื่อนายเห็นเนี่ยแหละ นายตกใจจริงเหรอ? โทษทีนะเราแค่กะว่าจะย่องมาแกล้งนายเฉยๆ ไม่คิดว่านายจะดูซีเรียสมากขนาดนี้" เขาแลเห็นท่าทีแปลกๆของผม เพราะอาการของผมมันคงแสดงบางสิ่งบางอย่างออกมาจนเกินพอดี
"เฮ้ย...นายจะมาขอโทษเราทำไมล่ะ เราสิต้องเป็นฝ่ายขอโทษนาย เราเหยียบเท้านายเข้าเต็มๆจัง  เจ็บมั้ยล่ะเนี่ย?" ผมรีบพลิกสถานการณ์ ซึ่งมันกพอช่วยกลบเกลื่อนได้บ้าง
"เจ็บสิ แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง"
"แค่นี้เองเหรอ? ไหนเอามาดูหน่อยซิ" ผมถามออกไปเพราะผมหมายถึงเท้าของเขาจริงๆ ผมอยากดูว่ามันเป็นรอยฟกช้ำอะไรหรือเปล่า แต่......
"นายจะให้เราถอดให้นายดูตรงนี้เลยเหรอ? ไม่ดีมั้ง มันคงไม่ได้แค่นี้อย่างที่นายคิดหรอกนะบอกเอาไว้ก่อน" เขาตอบแบบมีความนัยแฝง ผึงกับอึ้ง ทันใดนั้นโจ้ก็โผล่พรวดพราดเข้ามาขัดจังหวะพอดี ผมผลักต่อออกไปทันที
"ไง...แหมแอบมาคุยอะไรกันอยู่สองต่อสองเนี่ย?ใมแต่เช้าเลยนะต่อ นัดกันมารึเปล่าวะ?" โจ้พูดจาแบบที่ว่าทิ่มแทงตรงจุดพอดี ผมกะว่าจะทำเนียนแล้วเชียว
"เปล่าหรอก...ไม่มีอะไรนี่ พอดีเรากับเต้มาแอบดูอะไรกันอยู่ โน่นไงดูสิ" ต่อบอกโจ้แล้วก็ชี้มือไปทางหลังตึก ภาพที่เห็นเป็นภาพหมาสองตัวกำลังทำอะไรกันอย่างว่า โจ้ถึงกับหัวเราะร่วน
"อ๋อนี่...เดี๋ยวนี้พวกนายชอบแบบนี้เหรอวะ?"
พวกเรายืนมองมันหมาสองตัวนั้นประกอบภารกิจฟิโช่กันอยู่อย่างนั้น จนทำให้ทั้งผมและต่อลืมเหตุการณ์เมื่อสักครู่ไป วันนี้เลยรอดไปอีกวัน ผมกลัวตัวเองจะหลุดจริงๆ กลัวเก็บความรู้สึกไว้ไม่ได้ แต่ก็ได้เพียงแต่คิดว่าจะเก็บมันไว้ได้อีกนานแค่ไหน?

ดวงอาทิตย์กำลังจะลับฟ้า ท้องฟ้าทอสีครามหม่นหมอง...มันก็ไม่ต่างอะไรกับความรู้สึกของผมหรอก ผมทอดสายตาไกลห่างออกไปจากประตูบ้าน ภาพที่ผมมองเห็นนั้นทำให้ผมสะเทือนใจ ผมมองเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังยืนร้องไห้อย่างหมดหวัง เสียงสะอื้นมีอยู่ไม่ขาดระยะ

เด็กน้อยกำลังยืนโอบกอดตัวเองอยู่เหมือนกับว่ากำลังต้องการอะไรบางอย่าง ผมมองอยู่อย่างนั้น อยากจะลุกเดินไปหาใกล้ๆเข้าไปปลอบให้หยุดร้องไห้ แต่มันเหมือนกับว่ามีอะไรมาดึงผมไว้ ผมจึงไม่สามารถลุกขึ้นไปได้ จนกระทั่งมีเสียงคนเรียกชื่อผมดังขึ้นมาแทรก

"เต้!" แม่ผมเองครับ ผมถึงกับสะดุ้งเฮือก...ทันใดนั้นภาพเด็กน้อยก็พลันหายลับตาไป ผมไม่ได้ติดใจอะไรกับสิ่งนั้นที่เกิดขึ้น อาจเป็นเพราะว่าผมอาจจะคิดมากเกินไป ผมคงจะเอ๋อไปสักหน่อยเลยเกิดภาพหลอนขึ้นมาก็เป็นได้


"เป็นอะไรไปรึเปล่าลูก ทำไมมานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ มีอะไรบอกแม่ได้นะลูก" ผมงงและตกใจกับสิ่งที่แม่เอ่ย ผมร้องไห้โดยที่ผมไม่รู้ตัว ผมเป็นอะไรไป?....
"เปล่าหรอก เต้แค่เหงาๆน่ะแม่ เดี๋ยวเปิดเพลงฟังก็หายแล้ว" ผมพูดพร้อมกับลุกไปเปิดเพลงฟังดังลั่น ผมยิ้มให้แม่เพื่อเป็นการกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้น
"มีอะไรก็คุยกับแม่นะ อย่าเก็บไว้คนเดียว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว เดี๋ยวเดินไปกินข้าวกับแม่ที่ร้านนะเย็นมากแล้ว" แม่แลดูเป็นห่วงผมมากมาย
"อืม...เดี๋ยวเต้เดินตามไป แม่ไปก่อนเถอะ"
ผมไม่ได้อยากทำตัวมีปัญหา ผมไม่ต้องการให้แม่ต้องมานั่งห่วงผมอยู่ และผมเองก็ไม่ได้อยากจะมานั่งจับเจ่าอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ แต่ผมจะทำอย่างไร? ผมดึงตัวเองออกจากมันไม่ได้เลย.......
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 27-12-2007 14:30:22
เต้เครียดเกินไปรึเปล่าเนี่ย ยังเด็กอยู่อย่าคิดมากซิ :oni2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 27-12-2007 14:35:32
เต้เครียดเกินไปรึเปล่าเนี่ย ยังเด็กอยู่อย่าคิดมากซิ :oni2:

ละลายพันธุ์ ขอตอบคร้าบบบบบบ.....

ต้องขอตอบคุณ T-JANG ว่าตอนนี้เต้ไม่เด็กแล้วคร้าบ แก่แล้วล่ะ แต่ว่าไปแล้วผมจะเครียดมากไปรึเปล่าต้องขอให้อ่านถึงตอยจบก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณที่แข้มาให้กำลังใจกันครับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 27-12-2007 14:49:26
เต้เครียดเกินไปรึเปล่าเนี่ย ยังเด็กอยู่อย่าคิดมากซิ :oni2:

ละลายพันธุ์ ขอตอบคร้าบบบบบบ.....

ต้องขอตอบคุณ T-JANG ว่าตอนนี้เต้ไม่เด็กแล้วคร้าบ แก่แล้วล่ะ แต่ว่าไปแล้วผมจะเครียดมากไปรึเปล่าต้องขอให้อ่านถึงตอยจบก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณที่แข้มาให้กำลังใจกันครับ :pig4:


เป็นกำลังใจให้เต้เสมอนะ ที่บอกว่าเครียดไปรึเปล่าเพราะตอนเราเท่าๆกับน้องสมองกลวง ไม่คิดอะไรเลย 5555  คิดไปก็หนักหัวตั้งใจเรียนไปดีกว่าเนอะ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 27-12-2007 14:58:31
เต้เครียดเกินไปรึเปล่าเนี่ย ยังเด็กอยู่อย่าคิดมากซิ :oni2:

ละลายพันธุ์ ขอตอบคร้าบบบบบบ.....

ต้องขอตอบคุณ T-JANG ว่าตอนนี้เต้ไม่เด็กแล้วคร้าบ แก่แล้วล่ะ แต่ว่าไปแล้วผมจะเครียดมากไปรึเปล่าต้องขอให้อ่านถึงตอยจบก่อนนะครับ แล้วจะเข้าใจมากขึ้น ขอบคุณที่แข้มาให้กำลังใจกันครับ :pig4:


เป็นกำลังใจให้เต้เสมอนะ ที่บอกว่าเครียดไปรึเปล่าเพราะตอนเราเท่าๆกับน้องสมองกลวง ไม่คิดอะไรเลย 5555  คิดไปก็หนักหัวตั้งใจเรียนไปดีกว่าเนอะ

ก็ต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับกำลังใจ ตอนนี้ไม่ได้เครียดเหมือนตอนนั้นแล้วล่ะครับ จะตั้งใจทำงานแทนตั้งใจเรียนละกันคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 27-12-2007 15:43:00
พี่เต้ฮะอย่าเครียดมากนะครับ เครียดมากเดี้ยวปวดท้องเอานะครับ :m23:  สู้ๆนะครับผมยังไงตะวันยังมีให้เห็นนะครับป๋มเป็นกำลงใจให้นะครับผม :oni1:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 27-12-2007 18:28:14
 :a4: :a11: :a4: :a3: :a11: :a3: :a4:

***วันวาน...แสนสุข...มิอาจลืมเลือน...***

อย่างที่บอกไปแล้วผมเป็นคนที่มีเพื่อนสนิทกันไม่มากนัก ฉะนั้นเพื่อนที่ผมมีอยู่จึงจัดได้ว่าเป็นเพื่อนแท้ที่ผมรักมากและเราก็คบกันอย่างชนิดที่เรียกว่าใสๆเลยล่ะครับ ไม่ต้องมานั่งคอยเสแสร้งใส่กันไปมา รู้สึกอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น

ผมและหน่อยมักจะเจอกันในเวลาหลังเลิกเรียนเสมอ พอตกเย็นสักประมาณห้าถึงหกโมงเย็น หน่อยจะขี่จักรยานหรือไม่ก็ขับมอร์เตอร์ไซค์มาหาผมที่บ้านแทบทุกวัน กิจกรรมของเราก็คือการวิ่งออกกำลังกายนั่นเอง คุณผู้อ่านลองนึกถึงภาพบรรยายกาศตามผมดูนะครับ ลองหลับตาแล้วจิตนาการตามไปด้วย สายลมพัดไหวไปยังต้นตาลสูงตระหง่าน หอบเอากลิ่นเค็มปรนเปรไปกับเสียงคลื่นซัดฝั่งของทะเล ถนนสายยาวคู่ขนานกันไปกับต้นดอกเข็มที่ปลูกไว้ราวกับรัวริมทาง ทอดสายตาไกลออกไปก็จะเห็นภูเขาและต้นไม้ใหญ่สีเขียว หากแหงนมองขึ้นบนฟ้าไม่สูงนักก็จะแลเห็นพระอาทิตย์สีส้มสุกสกาวดวงโต มันกำลังบอกลาท้องฟ้าและค่อยๆลดตัวลงสู่ท้องทะเล ฝูงนกน้อยใหญ่พากันโกลาหลบินถลาเข้าสู่รัง

"เฮ้ย! หน่อย กูอยากกินไอติมว่ะ แวะสโมสรกันก่อนเถอะ" ผมชวนหน่อยหาอะไรกิน
"มึงจะบ้าเหรอวะ....มาออกกำลังกายแล้วกินไอติมเนี่ยนะ แล้วมันจะได้อะไรวะเนี่ย ดีไม่ดีจุกอีกนะ" หน่อยแสดงอาการเหมือนจะปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่สุดท้าย....
"เออกูเอารสเผือก วิ่งไปกินไปก็ได้วะ" เห็นมั้ยล่ะสุดท้ายก็ปฎิเสธความอยากไม่ได้ จะมากลัวอ้วนไปทำไม จะว่าไปผมและหน่อยต่างก็ผอมเพรียวอย่างกะไสยบผีทั้งคู่ ที่มาวิ่งออกกำลังกายกันเนี่ยก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ วิ่งเพื่อสุขภาพคร้าบบบ....สุขภาพสายตาน่ะจ้า...อ่ะๆ ไม่ต้องงงกัน ก็อาหารหูอาหารตาไงครับ ทหารทั้งนั้นครับท่าน เส้นทางที่วิ่งก็ไม่ใช่ที่ไหนเลย แต่เป็นค่ายทหารทั้งนั้น อย่าได้บรรยายเลยครับ ตรึม! หันไปทางไหน นั่นก็ผู้ชาย นี่ก็ผู้ชาย ผมล่ะช้อบ...ชอบ นังหน่อยมันเองก็คงไม่ได้รู้สึกต่างไปจากผมหรอก ดูมันจะชอบใจด้วยซ้ำไปที่เวลามีเสียงเห่าหอนจากบรรดาชายชาติทหารเหล่านั้น ไอ้ผมเองรึ...ก็หน้าชื่นตาบานไปด้วย
ผมกับหน่อยจะพากันวิ่งบ้างเดินบ้างสลับกันไป เหนื่อยนักก็นั่งพักสักหน่อย พอหายเหนื่อยก็ไปต่อกัน ระยะทางก็ประมาณสองถึงสามกิโลเห็นจะได้ มันก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอกนะแต่ก็พอเรียกเหงื่อได้บ้างเหมือนกัน นี่แหละครับกิจกรรมยามเย็นหลังเลิกเรียนของผม มองย้อนกลับไปกี่ครั้ง นึกถึงภาพวันเก่าๆมันก็อดคิดถึงเหตุการณ์นั้นๆไม่ได้เลย มันมีความสุขจริงๆเลยครับ

"หน่อย..." ผมเรียกชื่อมันเสียงเนือยๆ
"อะไร?" หน่อยหยุดเดินแล้วหันมาหาผม มันคงสังเกตเห็นว่าผมดูผิดปกติไป เพราะระหว่างทางที่เราเดินกลับกันนั้น ผมแทบไม่พูดจาอะไรเลย
"มึงมีอะไรรึเปล่า?" หน่อยถามซ้ำ
"มึงเคยมีความรู้สึกดีๆกับใครบ้างมั้ยวะ? ประมาณว่าสุดๆไปเลยแต่ก็แสดงออกไปไม่ได้น่ะ" ผมเอ่ยออกไป
"อย่าบอกนะว่ามึงแอบมาชอบกู" ดูๆ...ดูมัน
"มึงจะบ้าเหรอวะ? กูจะไปชอบมึงทำไมวะ มึงนี่ก็บ้ากล้าคิดเนอะ" ผมซัดมันกลับ
"อ้าว...งั้นมึงไปชอบใครวะ...สาวที่ไหน...บอกกูมาเดี๋ยวกูติดต่อให้" มันพูดทำท่าจริงจัง
"ไม่หรอก กูแค่ถามมึงดูเฉยๆ ไม่ต้องมาสาระแน"
"เออกูก็ว่า อย่างมึงคงไม่ชอบสาวๆหรอก ถ้าผู้ชายล่ะไม่แน่" น่าน...ดูมันพูดว่าเข้าให้ โดนจุดผมพอดีเลยครับ
"อ้าว...อีมืดนี่วอนซะเเล้วมึง"
"งั้นบอกกูได้ป่ะว่าใคร? กูไม่ไปบอกใครหรอกรับรองได้" มันยื้อผมด้วยความใคร่รู้ (เสือกนั่นเอง)
"สักวัน...นะเพื่อน สักวันเพื่อนคนนี้จะต้องเล่าให้มึงฟังแน่นอนรับรองเช่นกัน เพราะเพื่อนคนนี้คงเก็บเอาไว้คนเดียวไม่ได้แน่ ถ้าวันนั้นมาถึง" ผมเอ่ยไปแบบเสียงสั่นๆ
"ถ้ามึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนของมึงล่ะก็มีอะไรก็ขอให้บอกมา แต่เออ...กูจะรอวันที่มึงพร้อมนะ แล้วกูนี่แหละที่จะเป็นคนรับฟังสิ่งที่มึงจะระบายออกมา" หน่อยในท่าทางเคร่งขรึมของมัน พาให้ผทรู้สึกเหมือนกับว่าผมมีที่พึ่งที่ระบายแล้ว แต่กระนั้นผมก็ยังไม่พร้อมที่จะบอกให้มันรู้
"กูสัญญานะเพื่อน กูบอกมึงแน่ๆถ้าถึงวันนั้น" ผมให้คำมั่นต่อมัน
"อืม...ถ้าเก็บไว้ไม่ไหว ก็แบ่งมันมาให้คนรอบข้างบ้างก็ได้เพื่อน มันจะได้เบาลงนะ" หน่อยให้กำลังใจผม ผมรู้สึกดีกับคำพูดของมันมาก
"เอาน่ะ...ไป วิ่งแข่งกันดีกว่าว่าใครจะถึงหน้าบ้านกูก่อนกัน" พูดจบผมกับมันก็พากันวิ่งฉับๆมุ่งไปยังหน้าบ้านของผม
"เฮ้! ถึงก่อนโว้ยอีเป็ด" หน่อยแสดงท่าทีดีใจที่มันวิ่งถึงที่หมายก่อนผม ราวกับว่ามันจะได้โล่หรือเหรียญทองยังไงยังงั้นแหละ
"เออ...กูยอมแพ้ก็ได้วะ มึงรีบขี่อีตั๊กแตนของมึงกลับบ้านไปได้แล้วไป ป่านนี้แม่มึงคงนึกว่าลูกสาวแสนสวยโดนลากไปโทรมที่ไหนแล้วมั้ง" ผมไล่มันกลับบ้านไปเพราะเห็นว่ามืดแล้ว อีกอย่างผมอยากอยู่คนเดียวเงียบๆในเวลาเช่นนี้ ตั๊กแตน...คงจะงงกันล่ะสินะว่ามันคืออะไร? มันก็คือมอเตอร์ไซค์คันเก่าของนังหน่อยมันเองแหละ คันสีน้ำตาลดำ ดูเก่าๆ รูปร่างผอมเพรียวคล้ายตั๊กแตน ผมเลยเรียกมันอย่างนั้น ผมและหน่อยเคยมีเรื่องราวกับมันครั้งหนึ่ง..........................


ละลายพันธุ์  :  เดี๋ยวค่อยมาเล่าต่ออีกนะครับต้องกลับบ้านก่อน บายครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 27-12-2007 20:23:01
เริ่มเข้มข้น และ น่าติดตามทุกขณะ

รู้สึกว่า เต้ จะเป็นคนที่มีความคิดโตเกินวัยมาก

ผมเองตอน อายุ ขนาดนั้น ยังไม่ได้คิดมากขนาดนี้ เลย
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 27-12-2007 21:03:19
มาเป็นกำลังใจให้นะคร้าบบ  :m4: :m4:

พี่เต้มาต่อไวๆนะครับ  :oni3: :oni3:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 27-12-2007 22:10:49
รออ่านอยู่นะน้องเต้....ที่ไม่เครียดแล้ว  :m4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 27-12-2007 23:47:21
เพื่อน :m29:

เมื่อความกล้ายังมีไม่มากพอ

ก้คงไม่อาจจะทำอะไรได้มาก

เท่ากับการดูอยู่ห่างๆ




มาต่ออีกนะคับ :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 28-12-2007 16:46:03
 :oni2:

วันวาน...แสนสุข...มิอาจลืมเลือน....(ต่ออีกครับ....)

เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตั๊กแตนของผมและหน่อย....ในวันนั้น...ผมไปหาหน่อยที่บ้าน พอทำธุระเสร็จหน่อยก็อาสาไปส่งผมที่บ้านโดยควบตั๊กแตนคู่ใจของมันและผมเองที่เป็นคนขับมัน ระหว่างที่ผมกำลังขับอยู่เพลินๆ กำลังแหงนหน้ารับลมทะเลที่ปะทะเข้ามาอยู่เลยเชียว อยู่ๆก็มีหมาสองตัววิ่งพุ่งเข้ามาที่ด้านซ้ายของผม ผมและหน่อยตกใจกันมากจึงพากันส่งเสียงกรีดร้อง...วี้ด...ว้าย ดังลั่นเลย

ผมเองก็ลืมตัวส่งเสียงกรี๊ดรับกับเสียงของนังหน่อยอย่างเมามัน ปรสานเสียงกันอย่างไพเราะเสนาะหู  โชคดีที่อย่างน้อยผมยังมีความแข็งแรงของความเป็นผู้ชายอยู่ ผมจึงสามารถควบคุมรถเอาไว้ได้ไม่ให้ล้ม ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงมีการเจ็บตัวกันบ้างล่ะ พอผ่านตรงนั้นมาได้ผมและมันก็พากันขำขี้แตกขี้แตนเลย นี่เป็นเพราะเจ้าตั๊กแตนคันนั้นนะเนี่ยที่ทำให้ผมกับนังหน่อยรอดมาได้

"ไปก็ได้...อย่าแอบไปร้องไห้อยู่คนเดียวอีกล่ะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันใหม่นะ" หน่อยบอกลาผมแล้วค่อยๆขับตั๊กแตนออกไป ในระหว่างที่ผมกำลังยืนมองตามหลังหน่อยอยู่นั้น ผมก็ได้ยินเสียงรถยนต์แว่วมาทางด้านหลังของผม เสียงมันช่างคุ้นหูผมเหลือเกิน  ผมหันกลับไปหาเสียงรถนั้น โต๊ดนั่นเองครับ

โต๊ดมาพร้อมกับยานพาหนะคู่ใจของมันและก็ของผมด้วย รภยุโรปทรงคล้ายรถอเมริกันคันใหญ่ๆ ลองนึกภาพดูนะครับ ออกจะเก่าๆสักหน่อยแต่ก็คลาสสิคดี เป็นรถที่มีความแข็งแกร่งมาก โครงสร้างผลิตด้วยเหล็กเนื้อหนา...หนามาก...หนากว่าหน้าผมนิดนึง...ลองเคาะดูก็จะได้ยินเสียงดัง ปั่ก!!ๆ ภายในก็ตกแต่งด้วยเหล็กชั้นดี ลายม้งลายไม้ไม่มีร้อก เพราะอย่างที่บอกมีแต่เหล็กครับท่าน แผงประตู...เหล็ก...หน้าปัด...ก็ยังเป็นเหล็กอ่ะครับ มีแต่เบาะแหละที่ทำจากหนัง บางจุดแอบมีสปริงโผล่มาให้เห็นด้วย

แต่ก็อย่างว่าแหละครับรถมันมีอายุนานมากแล้ว กาลเวลาผ่านไปอะไรๆมันก็เสื่อมสภาพกันได้ทั้งนั้น อย่างน้อยมันก็สามารถพาผมไปไหนต่อไหนได้อยู่ล่ะ อีกอย่างผมก็รักมันเหมือนกันแม้มันจะไม่ใช่รถผมก็ตาม ทุกวันนี้ผมก็ยังคิดถึงมันอยู่เสมอ เฮ้อ...ไม่รู้ป่านนี้พ่อนังโต๊ดจะเอาไปปลูกตำลึงแล้วรึยังน้อ???....

"ไงยะ...กินข้าวรึยัง? วันนี้ฉันเอากับข้าวมาฝากแกกับแม่ด้วย มีปลาราดพริกกับแกงไก่" โต๊ดก้าวเท้าขวาออกจากรถอย่างช้าๆสวยงาม...ราวกับว่ามันกำลังก้าวลงจากลิมูซีนคันหรูยังงั้นแหละ มือซ้ายของมันหอบหิ้วถุงกับข้าวอยู่สองถุง อย่าได้คิดเชียวว่าเป็นถุงท็อปส์ โลตัส หรือจากซูเปอร์ฯอะไรพวกนั้น มันก็ถุงหูหิ้วธรรมดานี่เอง แต่นังนี่มันทำยังกับว่ามันถือของดีไว้ในมือยังไงยังงั้น โต๊ดมักจะเอากับข้าวมาฝากผมกับแม่เสมอ เพราะแม่ของมันนั้นเขาขายกับข้าวอยู่ในตลาด ลาภปากจึงบังเกิดแก่ผมและแม่

"แหม....ไม่ต้องลำบากก็ได้ แม่กูก็ขายข้าวเหมือนกันเดี๋ยวแม่กูก็หิ้วมาให้กินแล้ว เออ...ยังไงก็ขอบคุณนะ แล้วมึงกินหรือยังล่ะมากินด้วยกันก็ได้นะ"
"ไม่หรอก...ฉันรีบ...ฉันมีธุระ" มันบอกปัดอย่างไร้เยื่อใย นี่แหละมันล่ะ ชอบวางมาดดป็นผู้ดีไฮโซ
"มึงจะรีบไปไหนวะ?" ผมถามมัน
"มันเรื่องของฉัน!" ดูมันสิ น่าหมั่นไส้มั้ยล่ะ?
"อ้ะ...อีห่านี่กูถามมึงดีๆนะ" ผมเริ่มโมโห
"โอ๋.....อย่าโกรธเลยนะเพื่อนสาว เพื่อนก็กะจะมาชวนไปด้วยกันนี่แหละ แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนจะไปได้หรือเปล่า" มันพูดคลายความรู้สึกผม
"ก็มึงจะไปไหนล่ะ?"
"พัทยา..." มันกระซิบตอบ
"ฮะ!...ไปทำห่าอะไรวะตั้งไกล แล้วไปนานมั้ยวะ?" ผมถามมันไปอย่างนั้นเอง แต่ในใจก็อยากไปใจแทบจะขาด อยู่บ้านก็เหงาได้ไปนั่งรถเที่ยวก็คงดูสนุกกว่ากันเยอะเลย
"จะไปเดินซื้อของที่โลตัสน่ะ พอดีของใช้ที่บ้านเริ่มหมดแล้ว อีกอย่างอยากไปเดินเล่นด้วย อยู่แต่แถวๆนี้น่าเบื่อจะตายไป หาดูอะไรที่มันไกลหูไกลตาบ้างดีกว่า" มันพูดซะผมอยาก...
"เออก็ดีกูก็กำลังเซ็งๆอยู่พอดี ว่าแต่กูจะไปบอกแม่กูว่าไปไหนดีวะ? ขืนกูบอกว่าจะไปพัทยา แม่ต้องแหกอกกูแน่ๆ" นี่แหละนะผมมันเป็นลูก(สาว)คนเดียว แม่ก็ต้องเป็นห่วงเป็นธรรมดา เหมือนไข่ในหินยังงั้นแหละ
"มึงก็บอกว่ากูพาไปนั่งรถแถวนี้ก็ได้ ไปหาอีแจ๊กที่ตลาดหรืออะไรก็ว่าไป โกหกบ้างก้ได้ทำป็นมั้ย? กูพามึงไปแค่สองสามชั่วโมงเดี๋ยวก็กลับ พัทยาอยู่ใกล้แค่นี้ขับรถแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว"  โต๊ดออกอุบายอย่างแยบยล ทำให้ผมเริ่มสนใจมากขึ้น
"อืม...เดี๋ยวกูลองไปขอแม่กูก่อน รอแป๊บนะเดี๋ยวกูมา" พูดจบผมก็รีบแจ้นไปขอแม่เลย
"แม่!...เดี๋ยวเต้มานะไปข้างนอกกับโต๊ดเดี๋ยวกลับประมาณสองสามทุ่ม" ผมรวบรวมสติแล้วพูดออกไป
"ไปไหนกันอีกล่ะ...แล้วไม่กินข้าวกับแม่เหรอ?" แม่ถามกลับทำเอาผมชะงัก
"ไปนั่งเล่นที่บ้านแจ๊กน่ะ น่า...นะเดี๋ยวเต้ก็กลับมาแล้ว อยู่แค่ตลาดนี่เองไม่ไปไหนไกลหรอก"
"อืม...ไปแล้วอย่าถเลไถลกลับดึกๆดื่นๆล่ะ แม่เป็นห่วงนะลูก" แม่ผมเป็นแบบนี้เสมอแหละ
"ครับ...แล้วจะรีบกลับนะ" เพื่อไม่ให้เสียเวลา ผมทิ้งประโยคไว้แค่นั้นแล้วรีบวิ่งไปที่รถโต๊ดทันที
"ไป...เร็วเดี๋ยวจะดึกซะก่อน กูขอแม่เรียบร้อยแล้วเว้ย" ผมรีบกระโจนขึ้นรถมันอย่างรวดเร็ว มันเองก็รีบพรวดพราดตามผมมา
"เออ...แล้วมึงบอกแม่ว่าไงวะ?"
"กูก็บอกว่าไปหาแจ๊กเดี๋ยวสองสามทุ่มกลับ"
"กระเทยมันก็แหลเก่งอย่างนี้แหละว้า" มันเหน็บผม
"ก็มึงสอนกูไม่ใช่เหรอ?...อีห่านี่"
"ฮิฮิ..พร้อม! ไปค่า!!!" มันพูดแบบฮาๆตามแบบของมัน แล้วก็ถอยรถขับออกไปโดยเร็ว


ละลายพันธุ์ : เดี๋ยวจะมาเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยาต่อนะคร้าบบบบบ ขอตัวกลับบ้านก่อน บาย.....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: T-Jang ที่ 28-12-2007 16:54:18
ยังมารอเชียร์อยู่นะ  :a4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 29-12-2007 00:03:25
มารออ่านตอนต่อไปครับ  :m1:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: stupidchild ที่ 29-12-2007 01:51:14
 :m4:  เจอคนจังหวัดเดียวกันซะงั้น หุหุ

ผมนี่เดกพัทยาเรย 5555+

พี่อาจจะอยุ่เรยผมไปอีก ผมพอเดาๆได้แระ

ว่าพี่น่าจะเปนเดกแถวไหน

แต่ผมก้อุบส์ไว้แหละ ม่ายอยากนิสัยเสีย อิอิ o13

มาต่ออีกน๊าคับบบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 31-12-2007 23:34:30
 :mc3:

HAPPY NEW YEAR!!!!.........

อีกไม่กี่นาทีก็จะก้าวเข้าสู่ปีใหม่แล้ว...ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข....ความเจริญ...เงินทองไหลมาเทมาทุกคนเลยคร้าบบบบบ....ช่วงวันหยุดนี้ก็ขอตัวไปเที่ยวเบิกบานพักผ่อนสมองก่อน แล้วพอผ่านช่วงนี้ไปแล้ว จะรีบกลับมาอัพเรื่องต่อนนะคร้าบบบบบ........

ละลายพันธุ์...
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 02-01-2008 15:53:07
 :pig3:

***วันวาน...แสนสุข...มิอาจลืมเลือน**** (ต่ออีก...)

คืนนั้นที่พัทยาผมมีความสุขมากมายครับ รู้สึกว่าตัวเองได้เว้นว่างจากความว้าวุ่นจิตใจไปชั่วขณะ ได้ปลดปล่อยความรู้สึกไปกับความเพลิดเพลินอย่างเต็มที่ นังโต๊ดมันพาผมตระเวนซะเกือบทั่วเมืองพัทยาแน่ะ แม้จะไปแค่ผ่านๆ เพราะมีเวลาไม่มากแต่ก็สนุกดีครับ มองฝรั่งเพลินเลย "อุ๊ย! ผู้ชายถอดเสื้อ"  นี่เป็นคำอุทานที่เกิดขึ้นกับผมและโต๊ดเป็นระยะๆ เพราะถนนแทบทั้งสายจะเต็มไปด้วยฝรั่งที่นุ่งน้อยห่มน้อยไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายเดินกันนัวไปหมด แต่ผมรึที่จะเลือกมองชะนีต่างชาติให้เปลืองสายตา โน่น...ลูกตาของผมทั้งคู่มันพากันกลมกลิ้งไปจดจ้องอยู่ที่ผู้ชายแน่ะ มองส่วนไหนน่ะเหรอ? ไม่เอาน่า....อย่าทึกทัก ก็คิดกันเอาเองละกันครับสัญชาตญาณอย่างผมจะเลือกมองอะไรก่อนเป็นอันดับแรก ผมไม่ได้พูดหรือบอกใบ้ออะไรนะครับ เพราะฉะนั้นไม่มีการติดเรทอย่างว่าแน่นอน...
"นี่...อีโต๊ด ไหนมึงบอกว่าจะมาซื้อของที่โลตัสไง?" ผมถามมันออกไปเพราะเห็นว่าเริ่มจะดึกแล้ว เวลาผ่านพ้นไปจนเกือบจะสามทุ่มครึ่งแล้ว ผมและนังโต๊ดยังคงเวียนว่ายอยู่เมืองพัทยาอยู่เลย
"แหม.....เอาน่า ซื้อไม่ทันก็ไม่เป็นไร เอาไว้ไปซื้อที่ตลาดบ้านเราก็ได้ นานๆจะได้มาเที่ยวแบบนี้สักที อย่าใจร้อนเลยนะเพื่อนสาว" มันพูดแบบไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตอนนี้โต๊ดใจจดใจจ่ออยู่กับแสง สี เสียง ที่ล่อตาล่อใจเหลือเกิน ผมเองก็เริ่มเคลิ้มกับมันไปด้วยแล้ว
"เฮ้ย!...อีโต๊ดนี่มันจะสี่ทุ่มแล้วนะกูว่าเหอะเดี๋ยวแม่กูเป็นห่วง" ผมเริ่มอยากกลับบ้านขึ้นมา เพราะเกรงว่าแม่จะเป็นห่วง
"เออ...กูรู้แล้วน่า กลับก็กลับ...เบื่อจริงๆเลยกระเทยลูกแหง่เนี่ย" มันว่าผม
"อ้าว! อีนี่เดี่ยวเถอะมึง แล้วมึงไม่กลัวแม่มึงจะเป็นห่วงบ้างหรือไงวะ"
"อุ้ย! ต๊าย...ตาย...ชั้นโตพอแล้วย่ะ ไม่ต้องมาห่วงอะไรชั้นหรอก ถึงเวลากลับชั้นก็กลับของชั้นเองได้ ไม่ชอบให้ใครมานั่งเป็นห่วงอยู่" ดูมันพูดเข้า นี่ล่ะสันดานของมัน มั่นซะ....พูดจาอะไรออกมาก็ไม่ค่อยคิด
"มึงก็พูดไป แม่มึงเขาไม่รักมึงรึไง? เขารักมึงเขาก็ต้องเป็นห่วงมึงเหมือนกันแหละน่า" คำพูดของผมคงไปแทงใจดำมันเข้า มันเงียบไปชั่วขณะ
"งั้นกลับเลยละกัน ไว้วันหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบมันเร่งเครื่องรถออกไปอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าสู่ถนนสายสุขุมวิท ไม่นานนักก็มาถึงที่บ้านผม เวลาผ่านไปเกือบเที่ยงคืนแล้ว ระหว่างที่โต๊ดกำลังหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปยังบริเวณหน้าบ้านผมนั้น ผมสังเกตไปยังที่ประตูบ้าน มันยังคงเปิดค้างไว้และมีแสงไฟส่องสว่างออกมาถึงบริเวณหน้าบ้าน แม่ยังไม่นอนครับ....แม่รอผมอยู่
"เดี๋ยวกูลงไปส่งมึงด้วยดีกว่า กูว่าแม่มึงต้องเม้งมึงแน่เลยอีเต้" โต๊ดมันรู้จักแม่ผมดี มันเองก็เข้าทางแม่ผมถูก ด้วยความที่มันเป็นคนร่าเริงเข้ากับคนง่าย นี่แหละคือข้อดีของมัน และมันก็สามารถจัดการสงบอารมณ์เดือดของแม่ผมไว้อยู่หมัด
"แอ๊ะๆ...นั่นแน่ยังไม่นอนจริงๆด้วย นี่....หนูซื้อขนมมาฝากแม่ด้วยแหละ อร่อยดีนะแม่หนูชิมแล้ว กลับซะดึกเลย แหะๆ... ก็แม่หนูแหละอยากได้โน่นอยากได้นี่ เลยเดินหาซื้อกันเป็นชั่วโมงเลย โลตัสก็ไม่ใช่เล็กๆเนอะ" นั่นไงมันเอาขนมมาล่อแม่ผม แล้วก็อ้างไปเรื่อย  ได้ผลแฮะ แม่ผมดูสีหน้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
"อืม...ไม่เป็นไรหรอก แต่แม่ก็เป็นห่วง โทรศัพท์ก็ไม่มีติดต่อ แม่ก็ได้แต่รอ ทีหลังก็รีบๆกลับกันละกัน" แม่ผมดูเป็นห่วงผมมาก ผมรู้สึกขึ้นมาทันที ดีนะที่แม่ไม่ขอดูของที่ไปซื้อกันมา เพราะมันไม่มีอะไรเลยสักอย่างเดียว แต่ก็รอดมาได้ล่ะนะ
"ไปเต้...ไปอาบน้ำได้แล้วจะได้เข้านอน พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนเดี๋ยวจะตื่นสาย ไปโต๊ดลูก...เราก็กลับบ้านได้แล้ว แม่ไม่ได้ไล่นะ แต่เดี๋ยวแม่เราเขาจะเป็นห่วง พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่ มาบ่อยๆก็ดีเต้มันจะได้มีเพื่อน...ไม่เหงา" แม่ผมพูดจบโต๊ดก็ลากลับออกไป แม่เอ่ยออกมาขนาดนี้ถ้ามันจะอยู่ต่อก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
"เต้....แม่ไม่ว่าอะไรนะถ้าเต้จะคบโต๊ดไว้เป็นเพื่อน แม่พูดอะไรไปก็อย่าโกรธแม่ละกัน" แม่เริ่มเปิดบทสนทนาอย่างจริงจัง
"มีอะไรเหรอแม่?" ผมถามโดยที่ผมก็รู้แล้วในใจว่าแม่จะถามอะไร
"เปล่าหรอก พวกคนแถวนี้ใครๆเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่าโต๊ดมันป็นกระเทย เขาเห็นมันมาหาเต้ ไปไหนมาไหนกับเต้บ่อยๆ เขาก็พากันพูดว่าเต้เป็นแบบโต๊ดมันรึเปล่า แม่ไม่ได้คิดอะไรมากหรอกนะ เต้เป็นลูกแม่...เต้เป็นคนดี...ทำดีก็ดีอยู่แล้ว ไม่สร้างปัญหาให้แม่ก็พอ และอีกอย่างแม่รู้ว่าเต้ไม่ได้เป็นแบบโต๊ดมัน" ผมตั้งใจฟังแม่อย่างใจจดใจจ่อ พร้อมกับเตรียมคำพูดไว้ในใจ คำพูดที่ผมคิดว่าผมอาจทำให้แม่เชื่อผมหรืออาจไม่เชื่อก็ได้
"แม่ไม่สนใจคำพูดใครก็ดีแล้ว เต้เองก็เป็นของเต้แบบนี้แหละ เต้คบโต๊ดเป็นเพื่อนก็เพราะว่ามันนิสัยดี มีเพื่อนเป็นตุ๊ดเป็นกระเทยก็ไม่เห็นว่าเต้จะต้องไปเป็นตามมันสักหน่อย" พูดจบผมก็อมยิ้ม แล้วก็โผเข้ากอดแม่อย่างอบอุ่นใจ
"อืม...แม่ก็ไม่ได้อะไรหรอกลูก ไป...นอนเถอะ ดึกแล้ว"
ความจริงแล้วผมเองก็อยากจะเอ่ยบอกแม่ไปให้รู้แล้วรู้รอดไปซะ แต่ผมก็ไม่กล้า เพราะใครจะไปรู้ล่ะว่าถ้าผมพูดออกไปแล้วแม่จะคิดอะไรบ้าง แม่จะเสียใจหรือเปล่า? แม่อาจบอกว่าไม่ได้คิดอะไรแต่ในใจของแม่นั้นผมกลัว...กลัวว่าแม่จะคิดมาก ผมไม่อยากให้แม่ต้องมาผิดหวังในตัวผม คืนนั้นผมเองก็อึดอัดใจน่าดูเลยเหมือนกัน ผมนอนกระสับกระส่ายในใจมันร้อนรนยังไงบอกไม่ถูก ถึงผมจะเป็นจะตายอย่างไรผมก็ต้องทนเก็บความรู้สึกนี้ไว้ต่อไป จนเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมผมถึงจะเปิดเผยออกไป ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่? จะช้าจะเร็วยังไงวันนั้นก็ต้องมาถึง....ผมรู้


ละลายพันธุ์.....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 02-01-2008 16:08:39
แล้วจะบอกแม่ได้ยังไงล่ะ :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 02-01-2008 23:39:03
เหนื่อยใจแทนเต้

อ่ะนะ สู้ สู้  :a2: :a2: :a2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 03-01-2008 00:09:21
ต่อคิดไรอยู่นะ
ไม่เคลียร์คาใจแบบนี้ ก็แย่หน่อยเนอะ
 :mc1: :mc1: :mc1:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 03-01-2008 15:24:38
 :เฮ้อ:

***นี่แหละ...ชีวิต***

นึกไปชีวิตของคนอย่างพวกผมมันก็ดูน่าเศร้าใช่หยอก ชีวิตที่จมปักอยู่แต่ในด้านมืด ด้านที่น้อยคนนักยากจะมองเห็น หรืออีกนัยหนึ่งอาจไม่มีใครอยากมองเลยก็ว่าได้ ผมดำเนินชีวิตผ่านพ้นไปในแต่ละวันอย่างแสนลำบาก เหมือนมีบางสิ่งบางอย่างมาคอยฉุดรั้งให้ตัวผมต่ำอยู่เสมอ แต่อย่างน้อยผมก็อยู่กับสิ่งต่างๆเหล่านี้จนชินชาแล้วล่ะครับ และผมก็ผ่านพ้นมันมาได้เสมอ มันกลับกลายเป็นภูมิต้านทานให้ผมแกร่งขึ้นและสามารถที่จะรับมือกับปัญหาต่างๆได้ ผมไม่สนว่าใครจะมารังเกียจในสิ่งที่ผมเป็น ผมไม่ใส่ใจใครที่ไหนจะมาเดียดฉันท์ผมหากพวกเขาไม่ใช่บุพการีของผม ผมไม่ยอมจำนนต่อใครทั้งนั้นแม้พวกเขาอาจทำให้ผมถึงกับต้องฉิบหาย......

อ๊ะ...อ๊ะ...อย่าเพิ่งตกใจไป ผมยังไม่ได้จิตหลุดหรือเป็นบ้าไปแล้วถึงได้มาตัดพ้อต่อว่าใครต่อใครรุนแรงขนาดนี้ ผมไม่ได้ไปโมโหใครมาด้วยซ้ำไป แต่นี่แหละนะชีวิตของผม ตัวของผม แต่ผมก็ไม่ใช่คนที่สุดโต่งทำอะไรไม่สนใจใครหรอกนะ มันไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ธรรมดามนุษย์ก็คือสิ่งหนึ่งที่ผมพึงเป็น แต่ด้วยความที่เป็นตัวผม ผมอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จำต้องให้ผมนั้นมิอาจเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกไปได้ ผมมีกลุ่มเพื่อนที่ก็เป็นผู้ชายปกติ ไม่ว่าจะเป็น โจ้ หนุ่ม  หรือแม้กระทั่งต่อเองก็ตาม  นอกจากนั้นผมเองก็ยังมีเพื่อนผู้ชายอีกกลุ่มที่โคตรจะ ผู้ชายเลย!!! ผมเลยต้อง แอ๊บส์ ไว้ไม่ให้มีหลุด จะไปแต๋วแตกก็ไม่ได้ ผมกลัวว่าเพื่อนๆจะรับผมไม่ได้ ฉะนั้นผมจึงต้องสร้างกรอบให้กับตัวเอง ผมต้องขีดเส้นแบ่งเอาไว้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม ทุกอย่างต้องออกมาแบบพอดีๆ ผมอยู่กับเพื่อนผู้ชายทั่วไปผมก็จะวางตัวแบบผู้ชายปกติ แต่เมื่อไหร่ที่ผมอยู่กับแจ๊กหรือโต๊ดในสถานที่ที่เหมาะๆ ผมก็จะมีหลุดออกไปบ้างแต่ก็ไม่ได้กรี๊ดกร๊าดอะไรจนดูเกินงาม ผมรู้จักการวางตัวเสมอครับ ผมจะรู้สึกว่าผมโอเคที่ได้อยู่กับเพื่อนอย่างโต๊ดหรือแจ๊ก เพราะนั่นคือตัวผม ผมไม่ต้องมานั่งเก๊กแมนให้เมื่อย อยากทำอะไรผมก็ทำ ผมอยากร้องเพลงผมก็ร้องออกไปดังๆ แบบไม่เคอะเขิน ที่ผมต้องเขินและขัดๆก็เพราะผมร้องเป็นแต่เพลงของผู้หญิง ยิ่งเพลงของมารายห์ แครีย์ แล้วล่ะก็ ฮึ่ม...ร้องตามได้แทบทุกเพลงครับ เจ๊แกร้องไต่บันไดเสียงสูงไปถึงขั้นไหน อีเป้ก็ปีนตามไปเรื่อยๆ เพี้ยนๆไปบ้างแต่ก็ไม่ลดละความพยายามเอาซะเล้ย.... เนี่ยผมชอบแบบนี้แหละ ถ้าให้ผมไปแหกปากร้องให้พวกเพื่อนผู้ชายฟัง พวกมันก็คงจะงงกันแน่ๆ

ครั้งหนึ่ง...เมื่อสมัยผมเรียนอยู่ประมาณชั้น ม.5 มีรุ่นน้องผู้หญิงฝั่งม.ต้นมาแอบปลาบปลื้มผม ประมาณว่าคลั่งไคล้เลยแหละครับ ไม่ได้หลงตัวเองนะครับเนี่ย แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ  ตามมาขอผมถ่ายรูปเป็นเรื่องเป็นราว ผมเองก็เขินๆวางตัวไม่ถูกเลยครับ อายก็อายไม่รู้น้องเขามาสะดุดอะไรผมเข้า เล่าให้ไอ้แจ๊กกับโต๊ดฟังมันก็พากันขำ ฮากันขี้แตกขี้แตน “อีเต้มีชะนีมาชอบว่ะ…” ดูนั่นๆ เห็นมั้ย? อีโต๊ดมันแซวผม ผมล่ะอึดอัดใจเอามากๆเลยครับ เพราะน้องเขาเล่นส่งขนมมาให้ผมทุกวันเช้าเย็นเลยครับ แต่ผมน่ะเหรอ? เชอะ! ไม่ได้แอ้มฉันหรอกชะนีเด็ก ผมไม่มีแม้แต่ปฏิกิริยาอะไรตอบสนองกับไปเลยแม้เพียงน้อยนิด ผมรู้จักการวางตัวน่ะครับ ถ้าไม่ชอบก็เฉยๆไปจะดีกว่า นานเข้าเด็กสาวหลงผิดคนนั้นก็ค่อยๆตีห่างจากผมอย่างไปเอง ผมไม่อยากฝืนความรู้สึกตัวเองหรอกครับ ถ้ามันไม่ใช่ตัวเรา ก็อย่าไปฝืนทำมันเลย มันไม่ดีกับตัวเราและกับน้องคนนั้นหรอก เดิมทีผมเองก็อยากลองคบกับน้องเขาดูเหมือนกันนะ ผมอยากทำให้ใครๆได้เห็นว่าผมก็แมนเต็มร้อยเหมือนกัน คิดไปคิดมาก็...ไม่เอาดีกว่า ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร มันอาจจะทำให้ผมมีเวลาได้อยู่กับต่อน้อยลงก็ได้ เพราะผมจะต้องเผื่อเวลาส่วนตัวให้กับเด็กคนนั้นแน่นอน ผมคิดอะไรรอบคอบเสมอ แต่เหตุการณ์นี้ก็พอให้ผมได้สัมผัสความรู้สึกอะไรบางอย่างจากตัวต่อมากขึ้น...

“ไง...เดี๋ยวนี้มีหญิงมาติดด้วยแล้วนี่ ต่อไปนี้นายคงไม่กลับบ้านกับเราแล้วมั้ง ชอบล่ะสิ” ต่อเดินตามเข้าประชิดตัวผม แล้วก็ค่อยๆกระซิบที่ข้างๆหูผม

“อืม...พูดดีไปเถอะ หาได้อย่างเราหรือเปล่าล่ะ แต่นายเองก็คงอยากเดินกลับบ้านคนเดียวอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ผมเสยคำพูดเหน็บเขากลับไป เขาเงียบไป...

“ว่าแต่ว่านายคิดดีแล้วเหรอว่านายจะคบเด็กคนนั้นน่ะ...” เขาถามผมทำหน้าตาจริงจัง

“แล้วนายเอาอะไรมาพูดล่ะ นายเห็นเหรอว่าเราไปไหนมาไหนกับน้องเขา แล้วนายรู้เหรอว่าเราชอบน้องเขาด้วยน่ะ เราว่าเราไม่เคยบอกนายเลยนะว่าเราเออออไปกับน้องเขาแล้ว” ผมใส่เขาเป็นชุดสีหน้าผมดูซีเรียสเอามากๆเวลานี้ ผมทำเขาถึงกับอึ้งไป

“เฮ้ย...เต้นายอย่าเครียดน่าเราแค่พูดเฉยๆ ไม่มีอะไรก็ดีแล้วล่ะนะ งั้นเย็นนี้นายไปอ่านหนังสือที่ร้านในตลาดเป็นเพื่อนเรานะ” เขาพูดจาพะเล้าพะโลมให้ผมใจเย็นลง

“เราก็ไม่ได้อะไรสักหน่อย ว่าแต่ไอ้คำว่า ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว... น่ะหมายความว่าอะไรเหรอ?” ผมยิงคำถามตรงจุดทำให้เขาถึงกับต้องอึ้งแล้วก็เดินหน้าแดงกล่ำหนีผมออกไป ผมไม่ตามเพราะผมไม่อยากบีบคั้น หรือไปทำให้เขารู้สึกอะไรมากกว่านี้ เขาอาจจะรู้สึกดี หรืออาจรู้สึกแย่ลงก็เป็นได้ แต่กระนั้นอย่างน้อยผมว่าผมก็ได้รู้อะไรบางอย่างจากเขาเพิ่มมากขึ้น แม้ว่ามันจะยังไม่กระจ่างออกมาอย่างแจ่มแจ้งก็ตามที เฮ้อ! ผมรักต่อจัง!  ผมทำอะไรไม่ได้เลยผมได้แต่ยืนมองเขาค่อยๆเดินไกลผมออกไปอย่างช้าๆ ผมมองเขาตาละห้อย แล้วก็เดินตามหลังเขาไปแบบห่างๆ

 ผมไม่เคยผิดหวังกับสิ่งที่ผมเป็นเลยสักนิดจวบจนถึงทุกวันนี้ เพียงแต่ผมนั้นจะคอยห่วงถึงความรู้สึกของคนใกล้ตัวผมมากกว่า โดยเฉพาะกับแม่ของผม ผมไม่อยากให้แม่เสียใจ อ้อเกือบลืมแน่ะยังมีอีกคนที่ผมนั้นไม่สามารถบอกให้เขาได้รับรู้เลย บุคคลนั้นก็คือพ่อของผมนั่นเอง อันที่จริงผมก็ไม่ได้กลัวอะไรหรอกนะ เพียงแต่ถ้าพ่อผมได้รับรู้ขึ้นมาล่ะก็ชีวิตผมจะต้องอยู่แบบไม่เป็นสุขแน่นอน พ่อของผมจัดว่าเป็นคนที่ดุมากคนหนึ่งเลย ผมไม่อยากให้พ่อต้องมานั่งตีกรอบให้ผม ผมอยากเดินชีวิตด้วยตัวของผมเอง ซึ่งในช่วงนั้นผมยังต้องอยู่ในความปกครองของพ่ออยู่ส่วนหนึ่งแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม ผมเองก็เฝ้ารอนับวัน วันใดที่ผมเรียนจบม.ปลาย ผมคงเป็นอิสระจากพ่อ เพราะเมื่อวันนั้นมาถึงผมก็คงจะต้องย้ายตามมาอยู่กับแม่ที่กรุงเทพฯอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงต้องมุ่งมั่นหาที่เรียนในระดับมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯให้ได้ ผมยังจำได้ดีในวันที่ครอบครัวของเรายังอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา พ่อมักจะบีบคั้นและกดดันผมอยู่เสมอ ผมไม่เคยอยู่กับพ่ออย่างไร้ความกังวลเลย ผมมักจะต้องมาคอยระแวดระวังอยู่เรื่อยไม่ว่าผมจะทำอะไร เวลาเดินก็ต้องมั่นใจแล้วว่าก้นไม่ส่ายอย่างสวยสดงดงามไปเตะตาพ่อเข้า ไม่เช่นนั้นผมจะโดนพ่อเตะเข้าให้ เวลาพูดจาก็ต้องพูดชัดถ้อยชัดคำ  ผมต้องวางตัวให้ดีดูสมกับเป็นลูกผู้ชายกระทิงแดงอยู่เสมอ หลุดไม่ได้เลยแม้สักนิด บางวันผมยังต้องทำในสิ่งที่ขัดกับความเป็นตัวของตัวเองอย่างมาก พ่อชอบบังคับผมให้ผมไปเตะฟุตบอลกับพ่อเสมอ ผมละเกลียดเข้าไส้เลยไอ้กีฬาบ้าบอเนี่ย  ผมเองก็ต้องฝืนเล่นไป ในใจก็...เออดี กูจะได้มองผู้ชายวิ่งไข่แกว่งไปมาให้เพลินเลย ครั้นเวลาที่โต๊ดมันขับรถผ่านหน้าบ้านผม พอมันเห็นผมเข้ามันก็จะออกอาการขำๆออกมา มันเองก็คงจะรู้สึกขัดๆลูกตามันอยู่เหมือนกัน ผมเองก็อ๊าย...อาย แต่ก็เอาเถอะเพื่อความสบายใจของพ่อ ผมทำให้ได้อยู่แล้ว อีกอย่างเขาจะได้มั่นจากขึ้นว่าเขาไม่ได้มีลูกสาว แต่เขามีลูกชายที่โคตรจะแมนที่สุดเลยค่า........

และก็ยังมีอีกหลายต่อหลายคนที่เคลือบแคลงสงสัยในสิ่งที่ผมเป็น บางคนก็เข้ามาถามผมแบบดีๆ บางคนกวนๆหน่อยก็มาล้อผมให้ผมรู้สึกอาย แต่ผมก็ต้องแกร่งเข้าไว้ ผมตอบเสียงแข็ง “กูไม่ได้เป็นเว้ย! กูเป็นผู้ชาย” น่าน....ผมเก๊กเสียงข่มเสียงสาวแตกหายหมดสิ้น ผมตั้งปฏิญาณตนกับตัวเองเอาไว้ว่าถ้าหากจับผมไม่ได้คาหนังคาเขาแล้วล่ะก็เมินซะเถอะที่อีเต้จะยอม เอาไว้ค่อยมาเจอผมแต่งหน้าทาปาก เดินใส่กระโปรงเมื่อไหร่ วันนั้นแหละผมถึงจะยอมรับ แต่ก็คงไม่มีวันนั้นหรอก เพราะมันไม่ใช่ในแบบที่ผมเป็น แต่กระนั้นเองผมก็ไม่อยากที่จะปิดบังใครๆหรอกนะ ผมไม่ใช่คนที่ชอบเก็บความลับอะไรสักเท่าไหร่หรอก ออกจะเป็นคนเปิดเผยด้วยซ้ำไป เพียงแต่มันยังไม่ถึงเวลาก็แค่นั้นเอง

ละลายพันธุ์............  
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 03-01-2008 16:21:49
 :m4:

เย้ๆๆๆ ในที่สุดก็ก็อปปี้มาลงเป็นแล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลานั่งพิมพ์ใหม่แล้ว นั่งงมอยู่นานเลยกว่าจะทำได้  จากนี้ไปก้อคงจะอัพตอนใหม่เร็วขึ้น อย่างที่บอกไปว่าเนื้อเรื่องนี้ผมได้เขียนเสร็จไปนานมากแล้ว เพียงแต่ยังอยากจะแก้ไขปรับปรุงเนื้อเรื่องบางตอนให้ดูดีขึ้นอีกสักนิด ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ ตอนจบของเรื่องนั้นเต้กับต่อจะลงเอยกันแบบไหน....จะรัก(เกิน)เพื่อนรึเปล่า? รอดูกันครับ....

ละลายพันธุ์***
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 03-01-2008 16:57:25
แล้วเมื่อไหร่จะเปิดเผยความรักกันซักทีล่ะทั้งเต้ ทั้งต่อ :m13:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 03-01-2008 17:42:23
 :a1:

ละลายพันธุ์ : มาต่ออีกตอนก่อนกลับบ้านคร้าบบบบ....

***เมื่อไหร่กันนะ?***

                ห้องเรียน...ในยามที่ไม่มีใครนั่งอยู่เลยมันดูเงียบเหงาและวังเวงยังไงชอบกล ผมและโจ้กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำสะอาดห้องเรียนกันอยู่สองคนเท่านั้น เพื่อนคนอื่นๆน่ะเหรอ? โน่น...ป่านนี้ชิ่งหนีกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ส่วนต่อก็ขอตัวรีบลงไปเล่นบอลอยู่ที่สนามใหญ่ข้างหน้านู้น... แม้ว่าต่อจะอยู่ไกลสายตาผม แต่ผมก็พยายามแอบมองเขา ดูเขาเล่นบอลกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนาน เขาดูมีความสุขมากมายเหลือเกิน บางทีผมยังแอบอิจฉาไอ้ลูกบอลบ้านั่นด้วยซ้ำไปที่มันมาแย่งเวลาส่วนหนึ่งของผมและต่อไป แต่ผมก็ไม่ได้หวังให้ต่อมาวิ่งไล่เตะผมราวกับลูกบอลลูกนั้นหรอกนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นคงเจ็บตัวน่าดูเลย เห็นเตะกันแต่ละทีดัง ตุ้บ! ตั้บ!

"เฮ้ย! เต้ ตายละ...ใจลอยไปใจลอยไปถึงไหนแล้วเพื่อน น้ำเปียกชุ่มพื้นไปหมดแล้ว มานี่เอาไม้ถูพื้นมาให้เราดีกว่า เดี๋ยวเราจัดการเอง จะได้เสร็จ"  โจ้รีบคว้าไม้ถูพื้นไปจากมือผมแล้วก็รีบถูพื้น ปาดไปปาดมาจนเสร็จ ผมรู้สึกละอายใจจัง

"โจ้...เราขอโทษว่ะ เรากำลังคิดอะไรอยู่นิดหน่อยน่ะ นายอย่าโกรธเรานะเว้ย" ผมพูดเสียงอ่อย พร้อมกับเดินตามง้อโจ้ไปด้วย

"เฮ้ย... ไอ้ทิดเอ๊ย! เราไม่ได้คิดอะไรหรอก อย่าซีเรียสเลยเพื่อนเอ๊ย ถ้าเราจะโกรธนะ เราเอาอารมณ์ไปเครียดใส่ไอ้พวกห่าพวกนั้นที่มันหนีกลับไปกันก่อนดีกว่า" โจ้ดูโกรธพวกนั้นมากจริงๆเวลานี้ ทำเอาผมถึงกับต้องเงียบไป แต่ก็อย่างว่าล่ะนะพวกเนี้ยเห็นแก่ตัวกันสุดๆเลย ขนาดอาจารย์ทำโทษตั้งไม่รู้กี่ครั้งแต่ก็ไม่เคยหลาบจำ เอาเถอะนะ...ผมไม่ได้ถือโทษโกรธใครหรอกนะ ทำตัวเราเองให้ดีที่สุดเป็นพอแล้ว ใครจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขาเถิด ....

"แล้วเดี๋ยวนายจะกลับบ้านพร้อมเรามั้ย? พ่อนายไม่มารับไม่ใช่เหรอ?" ผมเอ่ยปากชวนโจ้กลับบ้านพร้อมกับผมและต่อ

"จะดีเร้อ? ฮื่ม...ฮื่ม... เอ่อเราหมายถึงเราขี้เกียจรอต่อมันน่ะ เดี๋ยวนายก็ต้องรอมันเล่นบอลก่อนไม่ใช่เหรอ? เดี๋ยวมันจะเย็นมากไป เราต้องรีบกลับก่อนว่ะ" โจ้ทำทีท่าหยอกผม เหมือนเขาจะรู้อะไร ใช่...โจ้อาจรู้ก็เป็นได้ โจ้ปฏิเสธที่จะกลับบ้านพร้อมกันกับผมและต่อ ซึ่งก็ดีแล้วล่ะ อิอิ...ผมจะได้มีเวลาอยู่กับต่อสองต่อสอง ฉะนั้นผมจึง...

"เออ...งั้นเราลงไปก่อนนะ เราจะลงไปนั่งรอต่อข้างล่างนะ แล้วพรุ่งนี้เจอกันเพื่อน" ล่ำลาจบผมก็รีบสะบัดตูดแจ้นไปหาต่อที่สนามกีฬาโน่นแน่ะ ทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วตามหลังนั้นมา

"เฮ้ย! อย่าวิ่ง...อย่าวิ่งเดี๋ยวล้ม" โจ้ตะโกนแซวไล่ตามหลังผมมานั่นเอง ผมเองก็ไม่ได้สนอะไรแล้วทั้งนั้น ใจผมไปอยู่ที่สนามกีฬาแล้วเวลานี้

"ต่อ! ใกล้...โอ๊ย!......." ผมกำลังตะโกนเรียกต่ออยู่ ทันใดนั้นเองก็มีวัตถุลูกกลมลอยมาจากทิศไหนผมเองก็ไม่ทันได้สังเกต เพราะว่ามันมาทางด้านหลังผม ลูกบอลนั่นเองครับ มันกระแทกหลังผมเข้าอย่างจัง เจ็บก็เจ็บ อายก็อาย แต่กระนั้นเองผมก็ต้องเก็บอาการเจ็บปวดนั้นไว้ อึ๊บๆ...โอ๊ย...ไม่เจ็บเว้ย ผมพรึมพรำคนเดียว

"เต้! นายเป็นไรเปล่า เจ็บมั้ย? เดินมาได้...ไม่ได้มองเล้ย ไหนดูซิ หันหลังมาสิ จะช้ำมั้ยเนี่ย?"  ต่อวิ่งเข้ามาดูผมพร้อมกับตรวจเช็คร่างกายผมราวกับเป็นหมออย่างนั้นแหละ เขาดูพิถีพิถัน เขาเป็นห่วงผมหรือเนี่ย? ผมรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาค่อยๆเอามือสัมผัสพน้อมกับนวดเบาๆที่บริเวณแผ่นหลังของผม มือคลึงไป ปากก็พลางถามผมไปว่าเจ็บมั้ย? ผมน่ะไม่ได้รู้สึกเจ็บหรอกนะครับ แต่กลับรู้สึกวูบวาบกับสัมผัสของเขามากกว่า

"เจ็บมั้ยเนี่ย?" เขาถามอย่างเป็นห่วง

"อืม...ดีๆ อย่างนั้นแหละ อืม...สุดยอดเลย อย่าหยุดนะ" ผมทำกวนเขาก็อย่างที่บอกผมไม่ได้เจ็บอะไรสักหน่อย ผมไม่ใช่นางเอกละครน้ำเน่าซะด้วยสิที่จะต้องขี้สำออยทำเป็นกระเสาะกระแสะ

"อ๋อ...กวนเราเหรอฮะ สบายตัวนักใช่มั้ย ชอบนักใช่มั้ย? นี่แน่! งั้นต้องเจอแบบนี้"  ต่อเปลี่ยนจากนวดคลึงมาเป็นจั๊กจี้เอวผมแทน ผมงี้ร้องลั่น บิดตัวเร่าๆเลย ผมมันคนบ้าจี้นี่ครับ ถึงกับหมดแรงเลยเชียวล่ะ

"โอ๊ย! พอ...พอแล้ว กลับบ้านเถอะ เดี๋ยวช็อกตายพอดีกัน เราหิวข้าวแล้วด้วยไปหาอะไรกินกันที่ตลาดดีกว่าเนอะ" นั่นไงล่ะ บางทีคนเรามันก็ต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสกันบ้าง แน่นอนล่ะ ต่อไม่มีปฏิเสธผมหรอก เออออห่อหมกกันไปกับผมเอาง่ายๆด้วยซ้ำไป

ระหว่างที่เราเดินอยู่นั้น ความรู้สึกร่าเริงของผมเมื่อสักครู่นี้มันกระเจิงหายไปไหนหมดผมเองก็ไม่ทราบได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมน้อ?....เวลาที่ผมอยู่กับเขาสองต่อสอง ผมจะต้องเงียบสงบราวกับว่าตัวเองเป็นนางเอกละครชื่อดังย่านวิกหมอชิตด้วย มันเป็นอย่างงี้ทุกทีเลย แต่นักแสดงอย่างผมน่ะเล่นได้หลายบทบาทครับ ถ้าเปรียบกับนักแสดงผมคงไม่ต่างอะไรกับอั้ม พัชราภา ที่เล่นได้สมบทบาทไม่ว่าจะเป็นนางเอกที่แสนเรียบร้อยเจี๋ยมเจี้ยม หรือแม้แต่นางร้ายที่ตามราวีพระเอกได้อย่างน่าฉอเลาะได้อย่างน่าหมั่นไส้ และแล้วผมก็เริ่มบทแสดงบทหนึ่ง ผมทำทีท่าว่าผมนั้นปวดหลังขึ้นมากะทันหัน บ่นอีดๆออดๆ "โอ๊ย...ทำไมมันเริ่มปวดแป๊บๆวะเนี่ย?"  บ่นไปมือก็พรางทำเป็นนวดคลึงไปด้วย และมันก็ได้ผลจริงๆซะด้วยสิครับ

"ไหน? ขอเราดูหน่อยอีกทีซิ เผื่อมันเริ่มช้ำ ปวดมากหรือเปล่า? ตรงนี้ปวดมั้ย? ถ้าตรงนี้ล่ะ..." เห็นมั้ยล่ะ? มารยาร้อยเล่มเกวียนของผมสามารถดึงความสนใจเขาได้อยู่หมัด เขาเอามืออันอ่อนนุ่มของเขาล้วงเข้ามาภายในเสื้อของผม เขาค่อยๆเอามือที่อ่อนโยนนั้นสัมผัสไปยังแผ่นหลังผมเบาๆ อย่างมีจังหวะ ผมรู้สึกดีมาก ที่จริงผมเองก็ไม่ได้รู้สึกปวดอะไรหรอกนะ  เขาถามอาการของผมอย่างเป็นห่วง ผมรู้สึกบอกไม่ถูกเลย ผมพูดอะไรไม่ออก ผมหันไปมองหน้าเขา เขาหยุดนวด และถามผม

"มีอะไรหรือเปล่า? ไม่ปวดแล้วเหรอ?"

"เราไม่เป็นไรแล้วล่ะ เราขอบคุณนายมากๆเลยนะ ขอบคุณที่ทำให้เราขนาดนี้" ผมรู้สึกปราบปลื้มกับสิ่งที่เขาทำกับผมอย่างบอกไม่ถูกจริง และก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมาในใจที่โกหกเขา

"นายจะซีเรียสอะไรกัน เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ?" เขาพูดจบประโยคนี้ ผมรู้สึกเหมือนว่าโลกทั้งใบนั้นหยุดหมุนกะทันหัน  ผมสบตาเขา เขาสบตาผม ทุกอย่างดูจริงจังขึ้นมา   

"ใช่...เรารู้ว่านายคือเพื่อนของเรา ขอบใจนายมากนะที่เป็นห่วงเราขนาดนี้ ขอบใจจริงๆ เพื่อน..." ให้ตายสิผมอยากบอกรักเขาเหลือเกิน แต่มันก็สุดความสามารถที่ผมจะทำได้ ผมทำได้เพียงแสดงความเป็นเพื่อนอย่างจริงใจต่อเขาออกไป แต่สายตาของผมนั้นผมพยายามสื่ออะไรหลายอย่างให้เขาได้รับรู้ ส่วนเขาจะเข้าถึงมันหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่แน่ใจ ในทันใดนั้นเขาก็...

"เพื่อน...เหรอ? อืม...เพื่อนก็ต้องเป็นห่วงเพื่อนเสมอแหละน่า อย่าคิดมาก เราเป็นห่วงนายเสมอแหละนะ" คำพูดของเขาดูกำกวม ในตอนแรก สายตาเขาดูแปลกๆ แต่เขาก็กลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นไปในฉับพลัน

"ไปกันเถอะ เริ่มเย็นมากแล้ว เดี๋ยวรถกลับบ้านนายหมดไม่รู้ด้วยนะ" ผมกลัวว่าพอเย็นมากไปแล้วเขาจะต้องรีบกลับน่ะ ผมอยากไปเดินเล่นที่ตลาดกับเขานานๆ แม้ว่าตอนนี้เขาก็ยังคงอยู่เคียงข้างผมก็ตาม

"กลับไม่ทันรถเราก็ไปนอนบ้านนายก็ได้นี่นา ฮะ? นายจะยอมให้เราไปนอนบ้านนายได้มั้ยล่ะ?" คำพูดของเขาทำเอาผมรู้สึกมีความหวังขึ้นมาในทันที

"ทำไมเราจะไม่ยอมล่ะฮึ? นายอยากไปจริงมั้ยล่ะ? ไปกันเลยก็ได้นะ ดีซะอีกเราจะได้มีเพื่อนคุย ตอนกลางคืนเรายิ่งนอนไม่ค่อยหลับอยู่ซะด้วยสิ มีนายอยู่ด้วยเราก็คงจะไม่เหงา" ผมชวนเขาไปแบบทีเล่นทีจริง แต่ผมก็รู้อยู่แล้วล่ะว่าเขานั้นคงจะไม่ และมันก็...

"อืม...เราคงไปด้วยไม่ได้หรอก พ่อแม่เขาหวงนะ ฮิฮิ...ว่าแต่ถ้าไปได้จริงก็คงดี เราเองก็อยากอยู่กับนายนะรู้มั้ย?"  เขาพูดมันออกมา...ผมไม่ได้หูเพี้ยนแต่อย่างใด เขาพูดออกมาอย่างนั้นจริงๆ แต่ผมก็เล่นบทเงียบอีกเช่นเคย ผมได้แต่นั่งอมยิ้มอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งถึงตลาด เดินกันได้ไม่นาน เราก็ต้องแยกกันไป ข้าวก็ยังไม่ได้กินกันเลย เพราะแม่ของเขามาซื้อของที่ตลาดพอดี และก็มาเจอต่อพอดี ต่อเลยต้องกลับบ้านกับแม่ไปในวันนั้น กระนั้นเองต่อก็ยังฝากคำพูดบางประโยคให้ผมนำกลับไปนอนคิดที่บ้านอีกจนได้

"เดี๋ยวคืนนี้จะไปอยู่เป็นเพื่อนตอนนอนนะ นายจะได้ไม่เหงาไง" เขาพูดแปลกๆ ผมงงเล็กน้อยว่าเขาจะมาอยู่เป็นเพื่อนผมได้อย่างไร? เขาจะมาหาผมคืนนี้เหรอ?

"เดี๋ยว...แล้วนายจะมาหาเรายังไงล่ะ...แล้วจะมาตอนไหน?" ผมถามด้วยความใคร่รู้ และผมก็อยากให้เขามาหาผมจริงๆ แต่แล้วเขาก็ฉุดความรู้สึกของผมลงซะ ทว่ามันก็ยังแฝงความนัยอยู่มากมาย

"ก็เราจะไปหานายในความฝันไง...ฝันดีนะเพื่อน" คำพูดของเขาโดนผมอย่างแรง แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะเน้นความเป็นเพื่อนลงไปในท้ายประโยคนั้นเอง

ผมไม่ได้รู้สึกแย่อะไรแต่กลับรู้สึกดีกับคำพูดนั้น กลับถึงบ้านผมถึงกับเหม่อลอย แอบคิดเข้าข้างตัวเองซะมากมาย เขาคิดอะไรหรือเปล่านั้น เราก็ไม่ทราบได้ ก็ได้แต่บอกตัวเองว่า เอาน่ะ...มันต้องมีแอบคิดบ้างละวะ

ผมคงไปใคร่ขอร้องสิ่งใดจากเขามากไม่ได้นัก ความรู้สึกวูบวาบแบบอิ่มเอมใจเช่นนี้ มันก็ทำให้ผมรู้สึกสุขใจยิ่งนัก แม้ผมจะต้องรอ...รอโดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่? เมื่อไหร่ที่เขาจะตอบแทนความรู้สึกนั้นกับผม ให้ผมได้สัมผัสกับความสุขอย่างแท้จริง...สักที

ผมยังคงนอนไม่หลับอีกคราในค่ำคืนที่เหงาจับใจเช่นนี้ ผมเหมือนคนเหม่อลอย นั่งอยู่เพียงลำพังกับเสี่ยงคลื่นทะเลที่คอยส่งเสียงเป็นเพื่อนผม เหมือนมันจะคอยกล่อมผมให้ผมได้รับรู้ว่าผมไม่เหงา ผมยังมีมันอยู่เป็นเพื่อนเสมอ ใครๆก็พูดว่าทะเลในยามค่ำคืนมันช่างน่ากลัวและดูลึกลับ แต่กับผมแล้ว มันเป็นสถานที่ที่ทำให้ผมสงบเยือกเย็น และผมรักมันเหลือเกิน ประหนึ่งว่าพวกมันนั้นเป็นแค่เพียงคนรู้จักผมเท่านั้นในยามฟ้าสาง เพราะมันเองก็ต้องแบ่งความสุขและความสดชื่นให้กับผู้คนมากมาย แต่เมื่อยามค่ำคืนเช่นนี้มันคือเพื่อนแท้ที่ดีที่สุดของผม เพราะมีแค่ผมและมันเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างกันในเวลานี้ ผมพูดกับตัวเอง เพียงแค่หวังว่ามันจะรับฟังผมได้บ้างแม้มันจะไม่สามารถหาคำตอบใดๆให้กับได้เลยก็ตาม อย่างนั้นมันก็ยังตอบสนองผมได้บ้างโดยการพัดเอาลมทะเลหอบผ่านร่างกายของผมให้ได้รู้สึกถึงความสดชื่นบ้าง

“เต้! เต้รึเปล่า?” เสียงเรียกดังขึ้นข้างหลังผม ทำเอาผมถึงกับสะดุ้ง ไม่ใช่ใครที่ไหน โต๊ด นั่นเอง

“เออ...มึงนี่เรียกกูทำไม กูกำลังได้อารมณ์เลย”

“มึงจะมานั่งทำห่าอะไรของมึงคนเดียวแบบนี้ เดี๋ยวผีทะเลก็ดึงมึงลงน้ำไปหรอก มึงจะบ้าเหรอมานั่งคร่ำครวญอะไรคนเดียวอยู่ได้” มันด่าผมเป็นชุดๆ เลยครับ

“ก็กูเหงา เพื่อนเอ๊ย กูอยากไปหามึงแต่มันก็ดึกแล้ว ถ้ากูมีรถนะ กูขี่ไปหามึงแล้ว กูไม่รู้จะทำยังไงดีว่ะ กูอยากมานั่งระบายอารมณ์ก็เท่านั้น” ผมพูดไปแบบเสียงสั่นเครือ

“เฮ้อ...มึงนี่ก็เน้อ จะมานั่งคิดมากอะไรกันวะ ไหนมึงมีเรื่องอะไรในใจเล่าให้กูฟังก็ได้นะ แต่ถ้ามึงไม่ไว้ใจกูก็ไม่เป็นไร” มันหลอกถามผมแบบมีชั้นเชิง

“แล้วมึงคิดว่าแน่ใจเหรอ ที่มึงอยากจะมารู้เรื่องของกูน่ะ....” ผมถามมันกลับไปแล้วก็เงียบไปพักหนึ่ง   

“เอาอย่างนี้นะ...มึงคิดว่ากูเป็นเพื่อนมึงมั้ย? ถ้ามึงคิดว่าใช่ มึงมีอะไรในใจมึงเล่าให้กูฟังนะ แล้วกูจะรอมึงเล่าให้กูฟังตอนนี้ ตรงนี้แหละ”  มันใช้ถ้อยคำแห่งความเป็นเพื่อนมาพูดที่บีบบังคับให้ผมต้องเล่าให้มันฟัง อย่างเลี่ยงไม่ได้  ถึงตอนนี้ผมก็ปล่อยโฮออกมาซะมากมาย

“สัญญานะว่ามึงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เรื่องนี้มีแต่กูกับแจ๊คเท่านั้นที่รู้”

“ฮะ! มึงชอบอีแจ๊กเหรอวะ?”  ดูซิ มันช่างกล้าเดาอย่างสุ่มๆ

“มึงจะบ้าเหรอ?  ไม่ใช่เว้ย มึงสัญญากูก่อนนะว่ามึงจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครๆ” ผมสร้างเงื่อนไขให้กับมันก่อนที่จะพลั้งปากออกไป

“อืม...กูสัญญากูไม่เล่าให้ใครฟังแน่” มันพูดพร้อมกับจับมือผมไว้แน่น ผมจึงเริ่ม...

“กูรักต่อมากๆเลยว่ะ กูจะทำยังไงดีวะ? รักมานานแล้วด้วย ก็ไม่รู้...กูจะเป็นยังไงบ้างวะเนี่ย? เพื่อน” ผมพูดออกไปน้ำตาก็ไหลอย่างไม่สิ้นสุด โต๊ดถึงกับงงกับสิ่งที่ผมเป็นไป

“ใจเย็นๆ สิวะเพื่อน ค่อยๆคิดไป แล้วต่อมันรู้รึเปล่าเนี่ยว่ามึงรักมันน่ะ”

“กูเองก็ไม่รู้หรอกนะ แต่มันก็มีอะไรแปลกๆ เหมือนเป็นสัญญาณอะไรหลายๆอย่างให้กูกลับมานั่งคาดเดาไปเรื่อยเปื่อยทุกวันเลย กูสับสนน่ะ กูจะระเบิดอยู่แล้ว”  ตอนนี้ความรู้สึกผมมันกระจัดกระจายไปหมดแล้ว พูดจาก็เริ่มไม่เป็นภาษาแล้ว

“ไป...ลุกขึ้น เดี๋ยวกูพาไปนั่งรถเล่น พอสงบสติอารมณ์ได้แล้วมึงค่อยเล่าให้กูฟัง เอาแบบตั้งแต่ต้นเลยนะ แล้วเดี๋ยวกูจะบอกให้ว่ามึงต้องทำยังไง?” 

คืนนั้นโต๊ดพาผมขับรถไปเรื่อยๆ พอผมมีสติควบคุมอารมณ์ได้ ผมก็เริ่มเล่าให้มันฟังตั้งแต่ต้น ดูเหมือนมันก็จะเข้าใจความรู้สึกของผมดี แต่ด้วยความที่โต๊ดเป็นคนพูดจาอะไรตัดรอนความรู้สึกอยู่เสมอ ประมาณว่ามันจะพยายามพูดไม่ให้ผมไปคิดอะไรมากนั่นแหละ  มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาบ้างล่ะนะ

“มึงว่าเมื่อไหร่วะ? เมื่อไหร่ที่กูจะได้รู้คำตอบนั้นว่ามันคืออะไร” ผมถามให้มันช่วยออกความคิดเห็น

“เต้...กูเองก็บอกมึงไม่ได้หรอกนะ มันขึ้นอยู่กับตัวของมึงเองเท่านั้นแหละ มึงพร้อมที่จะระเบิดเมื่อไหร่มันก็คงจะเป็นตอนนั้นแหละ มันจะเป็นวันที่มึงจะได้ค้นพบคำตอบ แล้วมันจะออกมาแบบไหนมึงก็คงได้รู้ เพียงแต่ว่ามึงจะรับได้กับสิ่งที่มึงอาจจะต้องเสียไปได้มั้ยแค่นั้น”  มันตอบแบบให้ผมคิดใคร่ครวญ ผมนั่งไตร่ตรองและคิดว่าตัวผมเองคงไม่กล้า และคงรับไม่ได้หากผมต้องเสียต่อไป

“งั้น...กูคงต้องรอให้มันแน่ใจกว่านี้อีกสักหน่อยเนอะ เมื่อถึงวั้นนั้นกูคงพร้อมที่จะพูดออกไป และวันนั้นมันก็น่าจะแน่ใจอะไรมากกว่านี้ ตอนนี้กูก็คงต้องรอต่อไป ยังไงมึงก็รู้เรื่องของกูแล้ว มึงต้องคอยเป็นที่ปรึกษากูนะ”

“ได้สิ มึงมีอะไรมึงก็อย่าเก็บไว้คนเดียว บอกให้กูได้รู้นี่แหละดีแล้ว มึงจะได้ไม่ต้องฟุ้งซ่าน กูนี่แหละจะคอยเตือนสติมึง” มันรับปากผม แต่ก็ไม่ลืมที่จะรั้งความรู้สึกผมกลับมาทุกครั้ง

เมื่อไหร่? คำถามนี้ก็ยังต้องอยู่กับผมต่อไป จนกว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่ผมพร้อมที่จะบอกทุกสิ่งออกไปให้ต่อได้รับรู้  แล้วผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหนกัน ผมจะได้รับความรู้สึกดีๆกลับมา หรือว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นการทำร้ายตัวของผมเอง... ผมจะเป็นยังไงน้อ? ผมอยากหลุดจากความรู้สึกนี้ไปเร็วๆเหลือเกิน


ละลายพันธุ์....





หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: fc_uk ที่ 03-01-2008 18:15:36
บอกไปเล้ยยยยย มะต้องกั๊ก

ให้มันรุ้แล้วรุ้รอดกานปายยยย


 o7 o7 o7 o7


มาให้กำลังใจคนแต่งครับ....ขอบคุณมากมายยยยยย
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 06-01-2008 16:19:50
 :m13:

***พูดอะไรบ้าง...สักที***

รุ่งอรุณในวันหยุดสุดสัปดาห์ของผมวันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษ ผมตื่นแต่เช้า รีบลุกผละจากเตียงทันใดนั้น มุ่งตรงสู่กระจกเงาบานใหญ่เพื่อเช็คดูหน้าตาตัวเองสักนิด ดูๆไปก็ดูดีเหมือนกันนะ...อิอิ  วันนี้ใบหน้าของผมไม่มีแม้ความหม่นหมองสักนิด เพราะอะไรน่ะเหรอ?  ก็วันนี้ผมมีนัดเดทกับคนสำคัญของผมนั่นเอง เมื่อเย็นวานนี้ต่อนัดผมไว้ก่อนแยกย้ายกันกลับบ้าน ว่า...อยากชวนผมไปเดินหาซื้อหนังสือเป็นเพื่อนเขาในวันนี้ ผมน่ะรีบตบปากรับคำในทันใดนั้นแบบไม่ลังเลใจเลย  มือเอื้อมไปหยิบผ้าขนหนูอย่างคุ้นเคยสองขาพลันรีบก้าวเข้าห้องน้ำอย่างไม่ยี่หระ เสียงแม่เรียกถามผมด้วยความสงสัย “ทำไมวันนี้ตื่นเช้าจังล่ะ คุณชาย?”  ผมไม่สนใจอะไรแล้ว สองมือช่วยกันปฏิบัติการอย่างแข็งขัน มือหนึ่งจ้วงขันตักน้ำอาบ อีกมือหนึ่งค่อยๆจับแปรงสีฟันพยุงเข้าปาก ปกติแล้วผมจัดว่าเป็นคนที่อาบน้ำช้ามากๆ แต่วันนี้ทุกอย่างดูรวบรัดและรวดเร็วเป็นพิเศษ ผมอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จภายในเวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง  แต่ก็แปลกนะ...การทำอะไรแบบรวกๆ มันก็ทำให้เราดูดีไปได้อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ดูดีแบบไม่ได้ตั้งใจไง...พอแต่งตัวเสร็จด้วยความที่ชินแล้ว ผมก็ทำอย่างเคยนั่นแหละ ผมแอบขโมยเอาน้ำหอมของแม่มาพรมฉีดซะทั่ว พอมั่นใจว่าหอมได้ที่แล้วก็รีบออกไปรอรถหน้าบ้าน

มองนาฬิกาก็จวนจะเก้าโมงเช้าแล้ว สมัยนั้นน่ะเด็กๆอย่างพวกผมไม่มีโทรศัพท์มือถือไว้ใช้โทรตามตัวกันหรอก เพราะฉะนั้นเวลานัดอะไรกับใครก็จะต้องไปให้ตรงเวลา ผมนัดต่อไว้เก้าโมงตรงที่ท่ารถ โดยที่ถ้าใครมาถึงก่อนก็ให้ไปรอที่ท่ารถของอีกฝ่ายหนึ่ง ตอนนี้จะเก้าโมงตรงเต็มแก่แล้ว รถสองแถวที่ผมนั่งก็กำลังเลี้ยวเข้าซอยไปยังท่าที่จอดพอดี ผมชะโงกหน้าออกไป...ภาพที่เห็นก็คือ ผมเห็นผู้ชายตัวเล็กๆ ผิวขาว สวมใส่เสื้อฟุตบอลทีมโปรด แล้วก็กางเกงขาสั้นสีดำ หันหน้ามองมาทางผม ผมก็มองเขาออกไป เขาส่งยิ้มและโบกมือให้ผม แต่กระนั้นเองผมเหมือนคนไม่มีสติ อาจป็นเพราะกำลังตกตะลึงอะไรกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า ที่จริงมันก็คือความตื่นเต้นนั่นเอง รู้สึกตัวอีกทีรถก็จอดสนิทพอดี ต่อเข้ามาตบบ่าผม “เฮ้ย! ลงรถสิ” เสียงนั้นทำเอาผมสะดุ้ง

“ไป...ไปร้านหนังสือ” ผมกล่าว

“ร้านมันยังไม่เปิดเลย จะรีบไปไหน ไปหาอะไรกินกันก่อนเถอะ หิวน่ะ ยังไม่ได้กินอะไรเลย ว่าแต่พอดูหนังสือเสร็จแล้วนายรีบไปไหนมั้ย?” เขาถามผมแบบนี้มันหมายความว่ายังไงกัน

“ก็เปล่านี่เราก็คงจะกลับบ้านเลยมั้ง นายจะไปไหนล่ะ?”

“เรายังไม่อยากกลับบ้าน นายมีที่ที่น่าสนใจบ้างรึเปล่าล่ะ” นั่นไงใกล้เข้ามาแล้วเต้เอ๊ย...

“ไปนั่งเล่นที่ทะเลตรงบ้านเรามั้ยล่ะ...ถ้านายมีเวลาพอนะ” ผมนำเสนอเขาให้เขามาอยู่ในที่ของผม และมันน่าจะเป็นของเราแบบที่ผมต้องการ

“อืม...ก็ดีนะ ไปก็ได้ ไปนั่งอ่านหนังสือที่นั่นก็คงดีเหมือนกัน แหมแต่ไม่ค่อยจะเอาเปรียบกันเลยนะ เลือกที่ซะใกล้บ้านตัวเองเลยเชียว”

“อ้าว...ก็นายถามเราเองนี่หว่า แต่ไปที่นั่นก็ดีนะ เราอยากให้นายไป”

“ทำไมล่ะ ที่นั่นมีอะไรเหรอ? บอกได้มั้ย?”  ต่อถามผมกลับทำหน้านิ่งๆ แล้วหยุดเดิน ใจผมเต้น ตึก ตัก ทันใดนั้นเอง...

“พี่...พี่คะ พี่ชื่อพี่เต้ใช่มั้ยคะ?”

“ครับพี่เองมีอะไรเหรอ?” ผมตอบรับเด็กสาวน้อยนัยน์ตาใสคนนั้น

“พอดีกวางน่ะ เขาให้หนูวิ่งมาถามพี่ว่าขนมที่เขาซื้อให้พี่น่ะ พี่ได้รับบ้างหรือเปล่า?”  เด็กสาวพูดกระหืดกระหอบถามผม จากคำพูดนี้ทำให้ผมนึกได้ว่าเรื่องเป็นมายังไง ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามีชะนีน้อยชะตาขาดนางหนึ่งมาแอบปลื้มหลงใหลผมอยู่ น้องแกเล่นฝากขนมมาให้ผมกินมันทุกวันเลย แต่ผมน่ะเหรอ...เชอะ! ผมไม่สนใจหรอกครับ ส่วนขนมพวกนั้นผมก็กินเองบ้าง ให้เพื่อนๆเอาไปกินกันบ้าง

“อ๋อ...เขาเป็นเพื่อนน้องเหรอครับ งั้นพี่ฝากไปบอกด้วยนะว่าขอบคุณมากๆเลย แต่ทีหลังไม่ต้องก็ได้นะครับ พี่เกรงใจ” ผมกล่าวแบบรักษาน้ำใจออกไป ตอนนี้ผมรู้สึกว่าต่อมีอาการบางอย่างแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด แล้วบทบาทต่อไปก็เป็นหน้าที่ของเขา...

“เอ้อ...น้องขนมฟรีๆน่ะพวกพี่ชอบ อร่อยมากๆเลย พี่เต้เขาก็เอามาให้พวกพี่กินกันเรื่อยๆแหละ ซื้อมาฝากพี่เขาบ่อยๆล่ะพี่ชอบ” นั่นไงต่อเล่นผมซะหน้าแหก ทำเอาน้องคนนั้นหน้าเหวอไปเลย แล้วก็รีบเดินหนีไปเลย ผมมองหน้าต่อพร้อมกับทำท่าทางให้เขาหยุดพูดแบบนั้น แต่มันก็สายไปซะแล้ว

“นายไปพูดกับน้องเขาแบบนั้นได้ไง เดี๋ยวเขาก็เสียใจแย่” ผมพูดเพื่อให้เขาคิด

“นายคงชอบน้องเขาล่ะสิ เรารู้ เราแอบเห็นหน้านายทุกครั้งเวลาที่รับขนมนั้น หน้านี้บานเชียว ชอบน้องเขาก็บอกไปเลยสิ” ต่อพูดเหน็บผม

“อะไรนะ? นายแอบมองเราด้วยเหรอ ทำไมล่ะ?” ผมถามเขากลับ ทำเอาเขานิ่งเงียบไปเลย ตอนนี้เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย จากที่ร่าเริงอยู่ก็ดูหงอยๆไป  ตอนนี้ผมรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ  แต่ก็รู้สึกนิดๆว่าต่อน่าจะคิดอะไรอยู่ในใจแน่ๆ ตอนนี้ผมมีความรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในห้วงของสงครามประสาท อยู่ก็เหมือนถูกจับโยนไปอยู่อีกที่หนึ่ง ที่ที่มีแต่ผมและต่ออยู่กันอย่างเงียบๆ แต่อยู่กันแบบสภาพอารมณ์แบบนี้ผมไม่เอาดีกว่านะ

“ก็ชอบรึเปล่าล่ะ เรามองดูก็รู้ว่านายก็ชอบใจอยู่ไม่น้อย” ต่อตอบไม่ตรงประเด็น

“ก็ไม่รู้สิ น้องเขาก็น่ารักดีนะ...”  ผมพูดจบต่อก็เดินหนีผมไปไกลเลย ผมเดินจ้ำตามแทบไม่ทัน ขนาดว่าผมขายาวกว่านะเนี่ย

“ต่อ! เฮ้ย! นายจะรีบเดินไปไหนวะ ไหนบอกว่าจะไปกินข้าวไง แล้วนั่นนายจะเดินไปไหน หยุดก่อนดิ” ผมรีบเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ผมผลักเขาจนหลังติดผนังกำแพงในซอยแคบๆนั้นเอง ต่อหลับตาสนิทและไม่พูดอะไร ท่าทางของเขาเหมือนคนกำลังกลัวอะไรอยู่มากๆ คงคิดว่าผมจะชกเขามั้ง?...

“เราไม่เข้าใจนายเลย นายเป็นไรไปวะเนี่ย? นายมาโกรธเราเรื่องอะไรกัน เราไปทำอะไรให้นายโกรธเหรอ?”

“ไม่มีอะไรหรอก เราแค่อิจฉานายมั้ง... เราก็ไม่รู้ว่ะ นายอย่าถามเราได้มั้ย?” ต่อตอบแบบเลี่ยงๆ แต่มองดูก็รู้ว่ามันผิดปกติจริงๆ

“งั้น...เราไม่ถามนายก็ได้ แต่สัญญานะว่า นายจะทำตัวเป็นปกติ” ผมกลบเกลื่อนความใคร่รู้ของผมลง  อย่างน้อยเขาก็พยักหน้ารับผมว่าเขาจะไม่โกรธผมและไม่ปล่อยให้อะไรมันเป็นไปแบบนี้ คราวนี้เต้ยเผยรอยยิ้มพลอยให้เห็นฟันเหยินๆของเขา ก็ดูน่ารักดีไปอีกแบบนึงเหมือนกัน เพราะแม้ฟันจะเหยิน แต่ก็ดูสะอาดตาจัง ไม่เหมือนบางคนที่พอยิ้มที ยิ้มเกษตรมาเชียว...อิอิอิ

“ไปร้านหนังสือเลยแล้วกัน เราไม่อยากกินแล้ว เดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินแถวทะเลบ้านนายดีกว่า” 

ผมยิ้มซะแก้มแทบปริ คิดว่าเขาจะยกเลิกไม่ไปไหนกับผมซะแล้ว ทันใดนั้นผมก็รีบชวนเขาเดินไปยังร้านหนังสือโดยเร็ว เพราะผมอยากพาเขาไปยังที่ที่ผมรัก และผมก็วาดฝันมาตลอดว่าสักวันหนึ่งผมและเขาจะได้มนั่งเล่นกันในที่แห่งนี้

ต่อหยิบหนังสือนิตยสารเล่มโปรดขึ้นมาสองเล่ม แล้วเดินไปยังแคชเชียร์เพื่อชำระเงิน แน่นอนหนึ่งในนิตยสารสองเล่มนั้น มันจะต้องเป็น ซ็อกเกอร์ นิตยสารฟุตบอลที่เขาหลงใหลนั่นเอง ส่วนอีกเล่มหนึ่งผมแลเห็นไม่ถนัดนักว่ามันคือหนังสืออะไร เพราะเขาถือมันซ้อนกันเอาไว้ โดยเอา ซ็อกเกอร์ ไว้ด้านบน พอเดินออกมาข้างนอกร้าน เขาก็ย้ำถามผมว่าไม่เอาอะไรแล้วใช่มั้ย? ผมก็พะยักหน้าตอบ เขายื่นหนังสืออีกเล่มหนึ่งออกมา แล้วบอกว่าให้ผม ผมหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ และมันก็ไม่ใช่หนังสืออะไร          แต่มันคือหนังสือรวมรูปภาพรถยนต์ยี่ห้อ เมอเซเดสเบ็นซ์ ที่ผมนั้น ช้อบ...ชอบนั่นเอง ผมพูดอะไรไม่ออก อาการผมตอนนั้นราวกับว่า มีผู้ชายคนหนึ่งที่ตัวเองชอบมากๆ กำลังยื่นดอกไม้ให้อยู่ขนาดนั้นเลยแหละ ผมไม่รีรอสองมือรีบหยิบฉวยมันมาเป็นของตนเองทันที ผมโคตรจะดีใจเลยครับ เพราะผมกำลังจะเก็บเงินซื้อพอดี ราคามันไม่ได้ถูกนี่ครับ ตอนเป็นนักเรียนนั้นมันจะมีเงินใช้แต่ละวันสักกี่แดงเชียว ผมรู้สึกดีนะ ที่จู่ๆมีคนที่ตัวเองหลงรักมาทำอะไรดีๆให้แบบนี้...

“เฮ้ย...ต่อ เราไม่รู้จะพูดยังไงดีเลย เราขอบคุณนายมากๆเลยว่ะ เรากำลังอยากได้มันอยู่พอดีเลย รู้มั้ยเนี่ย?”

“ไม่เป็นไรหรอก เราเห็นว่านายชอบ เราได้ยินนายบ่นกับไอ้โจ้ว่าอยากได้ เพื่อนกันนี่นะเรื่องแค่นี้ไม่ต้องคิดมากน่า อีกอย่างนายจะได้เอาไว้คอยนอนฝันถึงบ่อยๆ เผื่อสักวันนายอาจได้มีของจริงไว้ขับสักคัน แล้วเราจะได้นั่งด้วยไง”

“นายหมายความว่าไงเหรอ ถึงเวลานั้นนายจะมานั่งกับเราเหรอ?”

“เหอะน่า เพื่อนกันยังไงก็ไม่ทิ้งกันอยู่แล้วนี่ วันนี้เราซื้อหนังสือให้นาย วันหน้านายมีของจริงขับ นายก็จะได้ไม่ลืมเราไง ไงก็ขับมารับเราด้วยละกันนะ”

“นายนี่ก็เนอะ...พูดไปโน่น เพื่อนกันน่ะยังไงก็ไม่ทิ้งกันอยู่แล้วล่ะ”

ผมไม่แน่ใจว่าบทสนทนาของผมกับเขาในช่วงนี้ มันแฝงความรู้สึกอะไรไว้บ้างมั้ย? มันอาจดูไม่มีอะไรเลย แต่กับคนสองคน ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าคำพูดที่กลั่นออกมานั้น มันออกมาแบบสื่อความหมายตรงๆ หรือแอบซ่อนความหมายเป็นนัยๆอะไรไว้หรือเปล่า? ผมอดคิดไม่ได้เลยจริงๆ

เราเดินกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงยังคิวรถกลับบ้านของผม เราจึงรีบขึ้นไปนั่งบนรถ สักพักรถก็ออกและแล่นมาจนถึงที่บ้านของผม ผมไม่รีรอที่จะชวนเขาเข้ามาภายในบ้านของผมก่อน

“เข้าไปกินน้ำกันก่อนเนอะ แล้วค่อยออกไปอีกที เราอยากล้างหน้าก่อนน่ะ”  ผมรู้สึกว่าอยากให้หน้าตามันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้างก็เท่านั้น ไม่ได้จะมาเล่นบทมารยาหญิงอย่างที่ในหนังเขาทำกันหรอก

“นายอยู่กับแม่สองคนเหรอ?” ต่อเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เปล่าหรอก มีลุงอีกคนแกอยู่แต่ข้างบนน่ะ ไม่ค่อยลงมาหรอก”

“เราต้องขึ้นไปหวัดดีแกมั้ยล่ะ?”

“เออน่า ไม่ต้องหรอก” ผมบอกปัดๆไปซะ เพราะไม่อยากให้เขาขึ้นไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของลุงที่ข้างบนนั้น เพราะมันไม่ได้น่าดูเลย แล้วผมก็อายด้วย

“นายนั่งรอเราอยู่บนเตียงนี่ก่อนละกัน”

จากนั้นผมก็เดินตรงไปยังห้องน้ำแล้วก็ทำภารกิจของผมไปเรื่อยๆ ผมไม่รู้เลยว่าเขามายืนอยู่ข้างหลังผมเมื่อไหร่กัน พอผมหันหน้ากลับผมก็ชนกับเขาเข้าจังๆ แล้วก็ลื่นไถลไปชนเขาเข้าให้ เนื่องจากพื้นห้องน้ำมันมีตะไคร่จับ เขากอดผมไว้แน่น ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมจึงกอดเขากลับ คราวนี้ผมประคองตัวเองได้แล้ว แทนที่ผมจะปล่อย ผมกลับกอดเขาอาไว้ให้แน่นขึ้น ผมแอบหอมที่ท้ายทอยคอของเขาด้วยซ้ำ ผมไม่รู้ว่าเขาจะรู้ตัวหรือเปล่า แต่ตอนนั้นทุกอย่างมันเร็วมาก สักพักผมก็ผละออกจากเขา เขาถามผม...

“เป็นอะไรมั้ย?”

“หึ...เปล่า เราไม่เป็นไร แต่เหวอๆยังไงไม่รู้ แล้วนายโผล่เข้ามาทำไรตอนไหนเนี่ย”

“ก็เราปวดฉี่ เลยมายืนรอนายเงียบๆ ทีแรกกะว่าจะแหย่ให้ตกใจ แต่ดันเข้ามาใกล้ไปอ่ะดิ แหม! ผิดแผนเลยเรา”

“กอดซะแน่นเชียว” ผมพูดเสียงอ่อยๆ

“ว่าไรนะ” เขาถาม

“เปล่าไม่มีอะไรหรอก เราแค่บอกว่ารู้สึกมันแน่นๆยังไงไม่รู้”  ผมรีบพูดเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไป ในใจลึกๆก็อยากบอกเขาออกไปว่าผมพูดไปอย่างที่หลุดปากออกไปจริงๆ แต่มันก็ไม่กล้าเอาซะเลย

ทำธุระส่วนตัวของแต่ละคนเสร็จ ผมก็รีบพาเขาเดินไปที่ทะเล จากนั้นพาเขาไปนั่งเล่นตรงจุดที่ผมชอบและอยากให้เขามาอยู่กับผมที่นี่เสมอมา ผมแอบมองเขา...เขาดูมีความสุขดีจัง ผมเองก็สุขใจไปด้วยที่เห็นเขาดูเป็นแบบนั้น ผมกลัวว่าเขาจะอึดอัด และอยากจะรีบร้อนพากันกลับ เราสองคนนั่งเล่นนั่งคุยกันอยู่นาน สักพักถ้อยคำหรือบทสนทนากลับสั้นลงเรื่อยๆ และกลายเป็นความเงียบสงัด เพราะเราต่างหมดเรื่องคุยกันซะแล้ว แต่ผมเองก็ยังไม่อยากจะรีบลุกไปไหนอยากนั่งอยู่กับเขาอย่างนี้ และก็หวังในใจลึกๆว่าเขาเองก็คงคิดไม่ต่างไปจากผม ผมดูเหมือนคิดเข้าข้างตัวเองไปใช่มั้ย? ใช่...ผมรู้ตัวเองดี แต่เดี๋ยวก่อน...คอยดูกันต่อไปเถอะครับ

“นายนี่ก็ดูเป็นคนขี้เหงาเนอะ แล้วก็ดูมีโลกส่วนตัวจัง ท่าทางจะคิดมากด้วยนะ" ต่อพูดหลังจากที่เราต่างเงียบงันไปอยู่ช่วงหนึ่ง

“เราก็เป็นคนอย่างนี้แหละ เวลาเหงาๆเราก็จะมานั่งเล่นที่นี่แหละ”

“แต่ตอนนี้นายก็ไม่เหงาแล้วนี่ เราอยู่นี่อีกคนไง อย่าทำหน้าหงอยๆแบบนั้นสิ เอ้า! ยิ้มหน่อยนะ”  เขาหยอกเอินผม มันทำให้ผมรู้สึกดีจังเลยครับ

“ต่อ!”

“ฮะ! มีอะไร?”

“นายจำวันนี้เอาไว้นะเว้ย อย่าได้ลืมมันเชียว” ผมพูดไปพลางในใจมันก็เต้นตึกตัก

“ที่ผ่านมา...เราก็เก็บมันไว้เสมอแหละ เราไม่เคยลืมมันหรอกน่า อะไรที่มันดีๆ ที่ควรเก็บไว้ก็ต้องเก็บมันไว้เป็นความทรงจำที่ดีๆสิ อะไรที่มันไม่ดีก็ลืมมัน ปล่อยมันให้ผ่านเราออกไปซะ อย่างวันนี้เราก็รู้สึกดีนะ ดีใจที่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้” ผมไม่รู้ว่าเขาได้รู้ตัวรึเปล่ากับสิ่งที่เขาพูดออกมานี้ เขาจะรู้มั้ยว่ามันโดนผมแบบเต็มเปาเลย ผมรู้สึกว่าขอบตาผมมันร้อนผ่าว และมีน้ำใสๆที่มันไหลเอ่อจนล้นออกมาแปะเปื้อนที่แก้มทั้งสองข้างของผมนี้ ผมนึกไปถึงทุกเหตุการณ์ณืที่ผมและเขาอยู่ด้วยกัน ผมนึกไปตามคำพูดของเขา

“นายก็คิดรู้สึกแบบนั้นเหมือนกันเหรอ?” ผมถามแล้วหันหน้าไปมองเขา โดยที่ลืมไปว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่

“ร้องไห้ทำไม? นายไม่รู้สึกดีอย่างนั้นหรอกเหรอ? เรารู้สึกอย่างที่เราพูดออกไปนั่นแหละ แต่บางอย่างมันก็ควรมีขอบเขตของมันนะ บางทีการทำอะไรหรือแสดงออกไปตามใจตัวเองทั้งหมด มันอาจไม่ได้หมายถึงสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำจริงๆก็ได้นะ” เขาพูดออกมาแบบแฝงความรู้สึกอะไรไว้บางอย่าง ซึ่งมันก็ยากที่จะตีความหมายออกมาให้ชัดเจน และแน่นอนผมถามเขากลับไป...

“นายหมายถึงอะไรเหรอ? พูดอะไรให้มันชัดเจนกว่านี้ได้มั้ย?”

“ช่างมันเถอะ วันนี้ไม่รู้สักวันมันก็ต้องได้รู้ เพียงแต่มันจะออกมาแบบไหนก็เท่านั้นเอง นายอย่าเพิ่งไปคิดอะไรมากเลยนะเพื่อนนะ เดี๋ยวจะพลอยคิดมากเกินไปเปล่าๆ รู้ไว้แค่เพียงว่าเรามีอะไรที่ดีๆต่อกันก็พอ แล้วไม่ต้องถามอะไรเราอีกนะ เพราะเราจะไม่ตอบ”  เขาพูดกันท่าผมไปซะหมด และแน่นอนว่าผมไม่กล้าไปทำให้ไก่ตื่นอยู่แล้ว ผมทำได้แค่เพียงฟัง คิดตาม และปฏิบัติตาม  ผมกลับนิ่งเงียบไปเฉยๆ อีกครั้ง ในใจพลางครุ่นคิดไปต่างๆนาๆ

“เต้...นายเงียบไปอีกแล้วนะ บอกนายแล้วไงอย่าคิดมาก”

“โถ่เอ๊ย...ใครบอกนายวะว่าเราคิดมาก เอาอะไรมาพูด ดูหน้าเราดิ ยิ้มแฉ่งขนาดนี้ ไปเล่นน้ำกันดีกว่า” ผมฉีกยิ้มสวยๆให้เขาดูเพื่อที่จะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย ดูฝืนไปหน่อย แต่มันก็แนบเนียนอยู่ไม่น้อย

“เฮ้ย...ไม่หรอก เราไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน ให้นั่งรถกลับบ้านตัวเปียกๆก็ไม่เอาด้วยหรอก”

“เอาเถอะน่า เดี๋ยวเราหาเสื้อผ้าเปลี่ยนให้นะ”  พูดจบผมก็ผลักต่อลงทะเลไปโน่นเลย พอดีเป็นช่วงที่น้ำขึ้นพอดี นี่แหละที่เขาว่ากันว่า “น้ำขึ้นให้รีบตัก” ผมจึงไม่รีรอที่จะตักตวงความสุขจากเขาให้ได้มาก และมากที่สุด ต่อยอมผมแต่โดยดี เราสองคนพากันเล่นน้ำทะเลอย่างมีความสุข ระหว่างที่เราพากันเดินลงไปในระดับความลึกได้สักช่วงหนึ่งแล้ว มันมีแค่ผมละเขาสองคนเท่านั้นที่ยืนกันอยู่บริเวรนี้ ผมรู้สึกแปลกๆ ทุกอย่างดูเงียบสงัด ผมเรียกเขา “ต่อ!” แล้วก็รีบมุดตัวลงน้ำหายไป เขารีบถลาเข้ามาหาผมเพื่อหวังจะแกล้งผม โดยการกดน้ำ ผมไม่รู้ว่าเขาทำเล่นๆ หรือว่าเอาจริงกันแน่ เพราะมันเหมือนจริงมาก “จะฆ่ากูรึวะนี่....” เขาแกล้งผม กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างนั้น ผมล่ะก็ ช้อบ...ชอบ คิดในใจว่าอยากให้กอดไปนานๆเลย สักพักผมเริ่มรู้สึกอึดอัด อาศัยช่วงชุลมุน เนื่องจากเขาโอบผมอยู่ทางด้านหลัง ผมเลยเอามือตวัดไปด้านหลังแล้วก็จัดการจับเป้าเขาซะหนึ่งที นี่แน่ะ... เขาทำท่าสะดุ้งโหยง ผมก็แบบประมาณว่าตลกๆกันไปน่ะครับ หน้าเขาแดงอย่างเห็นได้ชัดเจน ผมก็ทำเป็นฮาขี้แตกไป และแล้ว...สิ่งที่ผมไม่คาดคิด (หรืออาจคิดให้มันเกิดอยู่ในใจ...อิอิ) ก็เกิดขึ้น ต่อแก้เกม โดยการเอาคืน เขาวิ่งกระโดดพรวดพราดเข้ามาจนถึงตัวผม แล้วก็กอดรัดผมจนแน่น ผมทำดิ้นทุรนทุรายแต่ใจจริงน่ะก็ชอบเอาการอยู่ ผมรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่อยู่เบื้องล่างนั้น มันกำลังสัมผัสอยู่ตรงเอวของผม ผมรู้ว่ามันคืออะไร แต่ก็ทำนิ่งๆไป และมันทำให้ผมถึงกับจิตหลุด จากนั้นเขาก็เอามือของเขามาจับของผมคืน แต่ผมกลับไม่ขัดขืนอะไร กลับยืนหันหน้าเข้าหาเขา แล้วก็ให้เขาได้ จับ! มัน เขาคงรู้สึกว่ามันมีอะไรเปลี่ยนไป เพราะผมเองก็จิตใจไม่นิ่งซะแล้ว ผมคิดว่าเขาคงตกใจมากเหมือนกัน เพราะเขาไม่ปล่อยมือเลย ผมมองหน้าเขา จากนั้นก็ยิ้มให้เขา แล้วก็ทำแบบนั้นกับเขาบ้าง และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ มันเปลี่ยนจากเด็กเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ (เฮ้อ...อธิบายยากจริง จะติดเรทมั้ยครับ?) เขาค่อยๆปล่อยมือ แต่ผมยังคงสัมผัสของเขาอยู่แบบนั้น และแล้วเราสองคนก็พากัน...ฝันเปียกตอนกลางวันแสกๆ ณ ตรงนั้นเอง มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกๆ มันช่างเด็กจริงๆในตอนนั้น อะไรมันจะแป๊บเดียวได้ขนาดนั้น ผมดึงเขาเข้ามากอดแล้วก็...

“ไม่เป็นไรหรอกเพื่อน มันก็แค่ผ่านไป” ผมกระซิบที่ข้างหูของเขา

“นายอย่าบอกใครนะ เราขอโทษด้วย ไม่รู้ทำไมมันเลยๆไป” เขาพูดพร้อมกับหลบสายตาผม

“นายจะให้เราไปบอกกับใครๆได้ล่ะ เอาเถอะก็ถือซะว่าเราแค่เล่นกันแบบนั้น ก็แค่นั้นเอง”

“นายคิดแค่นั้น แบบนั้นเองจริงๆมั้ยล่ะ?” เขาถามย้ำผม แต่ผม...

“เออ...แล้วนายจะให้คิดอะไรล่ะ ไม่ต้องคิดมากหรอกน่าเพื่อน มันไม่ได้เสียหายอะไรสักหน่อย เราก็แค่เล่นกัน ไม่มีอะไรหรอก” ผมปากไวรีบพูดออกไปเพราะว่ารู้สึกอยากผ่านตรงนี้ไปไวๆ ก็เท่านั้น แต่ใจจริงแล้ว ผมอยากบอกเขาใจแทบขาดว่าผมคิดมากกว่าที่พูดไป

“อืม...งั้นเรากลับกันเถอะ เดี๋ยวจะเย็นไปกว่านี้ รถจะหมดไม่ได้กลับบ้านกันพอดี หาชุดให้เปลี่ยนด้วยเลย แฉะไปหมดแล้ว หนาวด้วยอยากอาบน้ำแล้ว”

“อะไรแฉะเหรอ?... เอาเถอะน่าถ้านายกลับไม่ได้ก็นอนที่บ้านเราไปเลยสิ” ผมพูดกวนเขา

“ไม่ได้สิ ต้องกลับ ค้างได้ไง ลูกเขามีพ่อมีแม่นะเนี่ย”

“เอางั้นก็ไป รีบขึ้นละกัน เดินตามมาเลย เดี๋ยวอาบน้ำเลย แล้วจะหาชุดเปลี่ยนให้ด้วย” ผมรีบพาเขาเดินขึ้นจากทะเล แล้วก็พากันดิ่งตรงกลับไปยังบ้านของผม

“นายไม่รู้สึกแหยะๆตรงนั้นบ้างเหรอเต้”

“ฮะ...อะไรนะ นายถามอะไรแบบนั้นวะ บ้าเหรอ ก็ไม่เห็นรู้สึกอะไรเลย ก็ลื่นๆดี” ผมตอบแบบทะลึ่งๆ

“อ้าวไอ้นี่ บ่อยล่ะสิ” เขาถามหยอกผม

“อืม...ทำไมล่ะ?” ผมยอกย้อน

“ไม่น่าล่ะ ไวเชียว” เขาหมิ่นผมแบบไม่คิดเอาซะเลย

“จ้า...ไอ้เสร็จช้า ก็แป๊บเดียวจอดเหมือนกันล่ะว้า ไอ้หอกเอ๊ย”  นี่แน่ะให้มันรู้กันซะบ้างว่าไผเป็นไผ...

พอเดินมาถึงยังที่บ้าน มันก็มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมไม่คาดฝันว่ามันจะเกิด ได้เกิดขึ้น ต่อชวนผมอาบน้ำด้วยกัน ผมจะปฏิเสธแต่เขาก็ดึงผมเข้าห้องน้ำไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าจะอายเขาหรือว่าจะรับมือยังไงดี

“นายจะอายอะไรไม่ต้องอายหรอก เพื่อนกันน่า ไม่เห็นกันวันนี้สักวันก็ต้องได้เห็นล่ะ อีกอย่างถ้านายนั่งรอเรานายคงหนาวตาย หรือถ้าให้เรารอนายเราก็คงไม่เอาเหมือนกันนะ มันเหนอะหนะยังไงก็ไม่รู้” เขาพูดไปพลางถอดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จนเหลือแต่กางเกงในสีฟ้าอ่อน ผมก็ค่อยๆถอดออกจนเหลือแต่กางเกงในสีแดงตัวเก่งของผมเช่นกัน ตอนนี้ผมรู้สึกเขินจังเลยครับ มันไม่เหมือนตอนที่อยู่ในทะเลสักเท่าไหร่ และแล้วเขาก็...

“เราคงต้องเดินโทงเทงกลับบ้านแน่เลย กางเกงในไม่ได้เอามาสำรองไว้เลย อีกอย่างเราคงต้องทิ้งมันแล้วล่ะ เพราะมันเลอะ” เขาพูดไป ในทันใดนั้นก็ถอดกางเกงในนั้นออกซะอย่างนั้น แทนที่ผมจะมองหน้าเขา ตอนนี้ตาผมเลื่อนลงไปอยู่ที่ส่วนนั้นของเขาซะแล้ว ผมไม่กล้าถอดกางเกงในออกซะแล้วสิครับ เพราะว่ามันตรึงไปหมดแล้ว

“ทำไมนายไม่ถอดกางเกงในออกล่ะ ถอดออกเถอะ ไม่ต้องอายหรอก เรารู้น่า ช่างมันเหอะ” เขายื้อให้ผมถอดออกให้หมด แล้วผมก็ถอดมันจริงๆ อายนะ เพราะว่ามันตรึงอย่างว่าแหละ เขาก็ยิ้มๆ ผมน่ะเขินไปหมดแล้วตอนนี้ แต่ก็หลับหูหลับตารีบอาบน้ำไปจนเสร็จ อาบน้ำนะครับ ไม่ได้เสร็จอะไร ผมอาบเสร็จก่อนเขา เพราะเขามัวแต่ซักผ้าอยู่ผมก็แอบมองทุกส่วนของร่างกายเขาอย่างพินิจ และแทนที่ผมจะออกไปก่อนผมกลับยืนรอเขาอยู่อย่างนั้น ดูเขาอาบน้ำจนเสร็จ ผมออกมาเอาผ้าเช็ดตัวให้เขา จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเขา เขายืนรอผมอยู่ เขายืนกางแขนออก ทำท่าเหมือนกับจะกอดผม ผมไม่รู้หรอกว่าเขาจะหมายถึงอะไร ผมเดินเข้าไปหาเขา แล้วเขาก็กอดผมอยู่อย่างนั้น คราวนี้ผมกลั้นอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว น้ำตาผมไหล เขาเอามือตบที่หลังผม แล้วก็พูดว่า “มีความสุขดีนะ เพื่อนนะ” ผมยิ่งร้องไห้ออกมา แต่ก็ไม่ได้สะอื้นอะไร เพียงแต่ปล่อยให้น้ำตามันไหลเอ่อมาก็แค่นั้น ผมไม่ได้พูดอะไร ผมแอบหอมเขาที่ซอกคอ มันรู้สึกดีจริงๆครับ ผมน่าจะบอกเขาออกไปว่าผมรักเขา แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจและก็ไม่กล้า ผมไม่เลยจริงๆ มันคงยังเด็กมากเกินไปที่จะกล้าทำอะไรออกไป ผมคิดเสมอ และทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นี้ ทุกครั้งที่นึกย้อนกลับไป ผมถามตัวเองว่า ทำไม? ทำไมผมไม่ทำมันลงไป? แต่เรื่องมันก็ผ่านมาแล้ว ยากที่จะกลับไปแก้ไขและคงไม่มีวันนั้นอีกแล้ว

หลังจากนั้นต่อกลับไปแล้ว แต่ก็ยังทิ้งความรู้สึกดีๆไว้กับผมมากมาย มันทำให้ผมมีความสุขจริงๆ มีอะไรที่ทำให้ผมยังคงต้องขบคิด แม้มันอาจจะดูแล้วว่าชัด แต่เรื่องของอารมณ์และความรู้สึกนั้นมันยากที่จะอธิบายครับ 

ละลายพันธุ์ :  เหลืออีกไม่กี่ตอนก้อจะจบเรื่องแล้วล่ะครับ ฝากเพื่อนๆติดตามและเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 06-01-2008 20:04:24
 :เฮ้อ: หากวันนั้นพูดออกไป ใครจะรู้อาจจะไม่ต้องปวดใจก็ได้  :m13:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 07-01-2008 13:20:08
 :m15:

***ทรมาน...มันเป็นแบบนี้***

ความรู้สึก “รัก” ที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย เป็นรักที่แท้จริงและก็ใสซื่อ หาได้ยากนักกับความรักสมัยนี้       แต่รักในครั้งวันวานของผมนั้นมันช่างหดหู่แล้วก็ขื่นขมยิ่งกว่าบอระเพ็ดซะอีก  สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างต่อและผมที่ทะเลครานั้น มันยิงกดดันความรู้สึกของเราทั้งสองมากขึ้น แทนที่ผมและเขาจะต่างเปิดใจเข้าหากัน ทว่ากลับยิ่งต้องซ่อนเร้นความรู้สึกนั้นให้ลึกลงไปอีก และมันก็ลึกซะยิ่งกว่าพื้นผิวมหาสมุทรซะอีก ต่อสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อเป็นเกราะกำบังให้ตัวเองมากขึ้น ตัวผมเองนั้นก็ยิ่งหวั่นใจกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น แต่ก็ต้องเผชิญกับสิ่งที่มันนั้นก็ดูขัดแย้งกันออกไปอย่างสิ้นเชิงในบางเวลา ความรู้สึกเหมือนคนนับเลขหนึ่งถึงสิบแต่นับเท่าไหร่มันก็ไปไม่ถึงเลขสิบสักที ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลย

เช้าวันหนึ่งผมกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนคนเดียวอย่างลำพัง ครู่หนึ่งผมก็ได้ยินเสียงขยับเก้าอี้ดังขึ้นข้างหลัง ผมค่อยๆหันไปมอง และก็ไม่ใช่ใคร เขาคนนั้นก็คือต่อนั่นเอง วันนี้เขามาถึงโรงเรียนเร็วเป็นพิเศษ

“ไงต่อ! วันนี้มาแต่เช้าเลยเนอะ” ผมทักเขา แต่เขากลับไม่มองผมเลย เขาทำเหมือนกับว่ารีบร้อน เขาหยิบสมุดเล่มหนึ่ง แล้วก็เดินจากผมออกจากห้องไป ผมถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เขาเป็นอะไร? เกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือ? ผมตั้งคำถามให้ตัวเอง และผมก็กดดันสุดๆ ผมคิดอะไรไปมากมาย ผมทั้งกลัวแล้วก็เสียใจกับสิ่งเล็กๆแค่นี้ที่มันได้เกิดขึ้น แน่นอนผมเดินตามเขาลงไปในทันที แต่แล้วผมก็เจอเขายืนอยู่กับโจ้ ผมจึงไม่กล้าพูดอะไร เพียงแต่...

“แหม...ต่อเราทักนาย ทำเป็นไม่ตอบ ไม่พูดไม่จาเลยนะ” ผมทำเป็นแสร้งพูดเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์ที่แท้จริง

“อ๋อ โทษที เรารีบน่ะ ว่าจะเอาสมุดงานไปแอบส่งอาจารย์ทัศนีย์น่ะ เมื่อวันก่อนลืมส่ง ตอนนี้แกยังไม่มาต้องรีบเอาไปสอดในกองไว้ก่อนที่แกจะมาตรวจ” ต่อให้เหตุผล ซึ่งมันก็ฟังดูแล้วพอจะทำให้ผมรู้สึกดีๆขึ้นมาบ้าง เขาพูดจบก็พลันวิ่งจากผมและโจ้ไปในทันที

“ไงเต้ เมื่อวันเสาร์เราเห็นนายกับต่อเดินกันที่ตลาดด้วยล่ะ เรากะว่าจะลงจากรถพ่อเราแล้วไปทักสักหน่อย พอหันไปอีกทีนายสองคนก็เดินหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แอบวิ่งหนีเรากันรึเปล่าเนี่ย” โจ้พูดแบบเหน็บๆผมนิดหน่อย ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นเขาเลยจริงๆ แต่ถ้าหากผมเห็นเขาในวันนั้น ผมก็อาจจะหลบเขาจริงๆก็ได้ เรื่องอะไรผมจะให้เขาเข้ามาขัดขวางความสุขของผมล่ะ

“เฮ้ยโจ้ นายนี่ก็พูดไปโน่น ถ้าเราเห็นนายเราต้องทักนายอยู่แล้วล่ะ เดินกันสองคนน่ะมันน่าเบื่อจะตาย ไปหลายๆคนน่าจะสนุกดีกว่าอีก” เป็นไงล่ะ มารยาผม อะไรมันจะช่างสตรอเบอร์รี่ได้ขาดนี้น้อ พูดไปก็ตีหน้ามึนๆ ไป โจ้มันจะแอบหมั่นไส้อยู่ในใจรึเปล่าก็ไม่รู้

วันนี้ผมรู้สึกอึดอัดใจอยู่ไม่น้อยเลย ผมพยายามที่จะเข้าหาเขา แต่มันทำได้ยากเหลือเกิน เขาคงจะรู้สึกอะไรบางอย่างและคิดอยู่ในใจก็เป็นได้ ที่จริงผมจะเดินเข้าไปคุยกับเขาเหมือนอย่างที่เคยทำมันก็ทำได้นะ แต่หลังจากเหตุการณ์วันนั้นมันทำให้ผมรู้สึกเกรงๆเขามากขึ้น เหมือนเด็กที่ไปทำอะไรผิดมาสักอย่างทำนองนั้น เราสองคนวางตัวห่างกันออกไป นึกถึงแล้วตอนนี้ผมก็ยังปวดใจอยู่ไม่น้อย นี่แหละครับความรู้สึก บางทีถ้าเราไม่ไปฝืนมัน มันก็คงผ่านไปได้ไม่ยากเย็นอะไร แต่หากเราไม่สร้างเกราะกำบังให้มันพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ มันก็คงยากที่จะทลายลงได้ หรือ เราอาจพังมันลงได้ แต่มันก็อาจสายเกินไปอย่างผม...

สิ่งนั้นที่ได้เกิดขึ้นกับผมและเขา ผมไม่เคยได้พลั้งเผลอพูดออกไปให้ใครได้ฟัง แม้แต่เพื่อนของผมอย่าง แจ๊ก และ โต๊ด เพราะมันรู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นข้อตกลงหรือสัญญาของเราสองคนที่จะต้องเก็บมันเอาไว้ให้ได้รับรู้แค่เพียงเรา แม้เราจะไม่ได้คะยั้นคะยอให้ต่างคนต่างเก็บมันไว้เป็นความลับก็ตามที มันเป็นเรื่องของคนสองคนจริงๆ ครับ บางทีที่ผมอยู่กับแจ๊กหรือโต๊ด ผมก็อยากจะพูดออกไปให้พวกมันได้ฟัง แต่ผมก็ต้องห้ามใจไม่พูดออกไป ผมอยากเก็บมันไว้ เก็บไว้เพื่อให้มันอยู่ในความทรงจำของผมและเขาเท่านั้น ตัวของเขานั้นจะคิดยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นรึเปล่าผมเองก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ผมรู้ว่ามันมีผลกระทบต่อจิตใจของเขาไม่น้อยเหมือนกัน หากมองดูที่ความสัมพันธ์ของเราที่มันดูห่างเหินกันออกไป และมันทำให้ผมเจ็บไม่น้อยเหมือนกันที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ บางครั้งผมนึกโกรธตัวเองเหมือนกันที่ปล่อยให้มันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น โกรธที่ชวนเขามาที่บ้านของผม มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเขามาหาผม มาอยู่กับผมในวันนั้น เพื่อที่จะบอกความรู้สึกจริงๆกับผมให้ได้รับรู้ และก็เอาคืนกลับไปทั้งหมดพลันที่เราแยกกันในวันนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ผมและเขาห่างกันออกไปทุกขณะ...

ความทรมานใจเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม มันมาหาผมบ่อยมากขึ้น มันนำพาเพื่อนคนอื่นๆมาหาผมด้วย แต่ละคนก็แสบๆทั้งนั้น ไอ้เหงา ไอ้สับสน ไอ้ซึม ไอ้เศร้า และอีกมากมาย มันประดังเทซาถาถมเข้าหาผมอย่างไม่หยุดยั้ง หลายครั้งที่ผมเหม่อลอย มันเคว้งไปหมดเลยล่ะครับ ถึงช่วงนี้ความใกล้ชิดระหว่างผมและเต้ยเริ่มหดหายไป หลายครั้งที่เขาได้แต่เดินผ่านหน้าผมไปเฉยๆ ทำได้อย่างดีก็เพียงแค่ส่งยิ้มนั้นให้กับผม มันดูคลุมเครือมากมาย รอยยิ้มบนใบหน้าเศร้าๆ นั้น บาดใจผมยิ่งนัก

วันนี้ผมกลับบ้านคนเดียวลำพัง ยังดีที่ผมได้เจอกับหน่อยที่ระหว่างทางนั้นเอง มันช่วยคลายเหงาให้ผมได้บ้าง ผมอยากระเบิดความรู้สึกออกไป

“เต้ มึงเป็นอะไรของมึงวะ เศร้าเชียวมึง กูเรียกมึงตั้งนานจนคอจะแตกอยู่แล้ว มึงก็ไม่หัน เป็นไรไปเหรอ?”  มันช่างถามผมได้ผิดเวลาจริงๆ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ว่าผมก็ยังมีมันข้างๆเวลาที่เหงาเช่นนี้ ความก๋ากั่นปากสุนัขของมันช่วยให้ใบหน้าของผมได้มีรอยยิ้มขึ้นมาได้บ้าง

“กูกำลังบิ้วท์อารมณ์อยู่มึงมองไม่เห็นกล้องเหรอ มึงนี่ขัดกูจริงๆ เสียเวลาเทค...” ผมแสร้งไปแบบน้ำตื้นๆ

“วันนี้คู่หูมึงไม่มาด้วยเหรอ ปกติเห็นติดกันเป็นตังเม” วันพูดจี้จุดโดนต่อมนางเอกขึ้นในบัดดล ผมแอบน้ำตาเอ่อขอบตาอยู่เป็นเนืองๆ ไม่รู้ว่ามันจะแอบเห็นหรือเปล่า...

“คนเรามันก็ต้องแอบมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างสิวะ กูก็อยากเดินกลับบ้านคนเดียว คิดอะไรคนเดียวของกูบ้างจะเป็นไรไปล่ะ” ผมพูดฟังดูเหมือนไล่มันยังก็ไม่รู้ แต่ความจริงผมก็อยากอยู่คนเดียวจริงๆอย่างที่พูด แต่คนอย่างนังหน่อยรึ มันไม่สะทกสะท้านอะไรกับคำพูดของผมหรอก แถมมันยังชวนผมคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งมันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

ความรู้สึกของผมตอนนี้มันว้าวุ่นไปหมด ผมไม่สามารถเข้าหาต่อได้อย่างเคยอีกต่อไป  ผมจะต้องทำยังไงผมยังคงคิดหาทางต่อไป ยอมรับว่าเวลานี้ผมทำตัวแย่มากๆ แต่แย่ในที่นี้ไม่ใช่ว่าผมไปทำตัวเหลวแหลกอะไร ที่มันแย่ก็คือ การเรียนของผมนั่นเอง ผมไม่เป็นอันเรียนเลย ถึงคาบเรียนก็เอาแต่นั่งเหม่อ หนักๆเข้าก็ไม่เอาอะไรเลยสักอย่าง ตอนนี้

สมองผมมันไม่แล่น เอาแต่นั่งคิดหาทางออกที่คิดว่าดีที่สุด คิดเพื่อทำให้สมหวัง คิดเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้หากไม่เป็นดังหวัง แต่...

เวลานั้นจะมาถึงแล้ว มันกำลังไล่ตามหลังผมมาอย่างไม่หยุดยั้ง ผมเองก็เริ่มที่จะเหนื่อย มันไม่ไหวแล้วจริงๆ ผมพร้อมที่จะพ่ายแพ้ต่อความรู้สึกเบื้องลึกของผมแล้วทุกขณะ แต่ก็ยังคงกลัวรับผลสุดท้ายที่จะต้องได้รับไม่ได้ หากมันออกมาตรงข้ามกับความต้องการของใจ ผมจะทนได้มั้ย? ไม่รู้สิ ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น ยิ่งคิดผมยิ่งทรมาน ความรักทำให้ผมร้องไห้ ทำไมมันต้องเป็นแบบนี้ ความรู้สึกแบบเดิมๆ ในสิ่งต่างๆที่ผมเคยมี ชีวิตประจำวันเก่าๆของผมมันหายไปไหนหมดแล้ว

ผมเดินลงจากรถสองแถว สองขาของผมพาผมก้าวต่อไปอย่างไร้เรี่ยวแรง มุ่งตรงไปยังบ้านของผมเบื้องหน้านั้นเอง ผมก็คือคนที่ไม่ต่างจากคนที่ไร้วิญญาณคนหนึ่ง อะไรมันจะเป็นได้ถึงขนาดนั้น ตอนนั้นผมคงไม่รู้ตัวอะไร ผมคงไม่รู้สึกอะไร รู้เพียงแต่ว่ามันเสียใจ สับสน และจะหางทางออกอย่างไรดี? จำได้ว่าคืนวันนั้นผมไม่สามารถอยู่อย่างลำพังได้ ผมทุรนทุรายเหมือนมีไฟมารนก้นผมยังไงยังงั้น ผมอยากจะจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดแล้วเวลานี้ ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อยผมต้องยอมทนรับมันให้ได้ ผมตัดสินใจไปบ้านโต๊ดเพื่อขอความเห็นของมันว่าผมควรทำอย่างไรดี คิดเองไม่ได้แล้วต้องหาตัวช่วย ตอนนี้คิดอย่างเดียว อะไรจะเกิดช่างแม่ง!!!

ละลายพันธุ์.....ฝากไว้ด้วยครับ  
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 07-01-2008 14:21:47
 มาเป็นกำลังใจให้นะครับ  :m13:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 07-01-2008 21:11:45
 :pig4:

ขอบคุณทุกกำลังใจนะครับ ขอบคุณมากมาย

***ละลายพันธุ์***
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 09-01-2008 10:36:34
 :o12:

***อืม...อย่าคิดมากสิ***

                ครั้นเมื่อจิตใจช่างว้าวุ่น หาอะไรมาฉุดไว้มันคงไม่อยู่อีกแล้ว อารมณ์ที่ไวคลอเคลียไปกับความคิดอันฉับพลัน แม้แต่ฝีเท้าที่แม้มีถึงสองข้างก็ยังมิอาจก้าวตามได้ทัน  ผมพุ่งตรงไปหาโต๊ดที่บ้านของมันนั่นเอง ตอนนี้ผมคิดอย่างเดียวคือ จบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ครั้นเมื่อมาถึงที่บ้านของโต๊ด ผมก็ได้พูดคุยกับมันว่าผมควรเอายังไง ควรตัดสินใจกับเรื่องนี้แบบไหนดี แม้ภายในใจของผมนั้นมันพร้อมแล้วที่จะระเบิดมันออกมา

“เอาเลยเต้ มึงจะทำอะไรมึงทำเลย ไม่ต้องรออะไรแล้ว มึงอยากรู้ว่ามันคิดยังไงกับมึง มึงก็ถามมันไปเลย แต่อย่าลืมว่ามึงต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ” โต๊ดกล่าวเหมือนกระตุ้นให้ผมทำซะ

“อืม...วันนี้แหละ เดี๋ยวนี้เลย กูไม่ไหวแล้ว” ผมพูดจบก็พามันเดินออกไปโทรศัพท์ข้างนอกทันที  ระหว่างที่กำลังเดินไปยังโทรศัพท์นั้น ผมเองก็รู้สึกหัวใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะ รู้สึกตื่นเต้น กลัว...แต่ก็อยากให้มันรู้แล้วรู้รอดไปสักที และเมื่อผมและโต๊ดมาถึงยังโทรศัพท์ ผมหยิบมันขึ้นมา และ...กดเบอร์โทรนั้นที่ผมคุ้นเคย ทว่าครั้งแรกนั้นผมกดผิด ด้วยความที่จิตใจมันไม่อยู่กับเนื้อกับตัวซะแล้ว มันรนรานไปหมด ก่อนที่ผมจะกดเบอร์อีกครั้ง ผมหันไปหาโต๊ด แล้ว....

“โต๊ด...มึงอยู่เป็นเพื่อนกูนะ หรือจะพากูไปไหนก็ได้”

“อืม...มึงอยากไปไหนก็บอกแล้วกัน”

ทันใดนั้นผมก็กดเบอร์ไปยังบ้านของต่อทันที  ที่ปลายสาย...

“ฮัลโหล!...” เสียงนั้นเป็นเสียงผู้หญิง ฟังดูมีอายุหน่อย ซึ่งน่าจะเป็นแม่ของต่อนั่นเอง

“ครับ! เอ่อ...สวัสดีครับ ขอสายต่อครับ” ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก

“อ๋อ เพื่อนต่อเหรอลูก รอแป๊บนึงนะ ต่อล้างจานอยู่จ้ะ เดี๋ยวจะไปตามให้นะ” เสียงนั้นก็คือแม่ของต่อจริงๆ ช่วงระหว่างที่ผมกำลังรอต่อมารับสายอยู่นั้น ผมรู้สึกเหมือนใจมันจะขาดยังไงไม่รู้ และแล้วเขาก็มา...

“ฮัลโหล ว่าไง ใครอ่ะ?” เขาถาม เพราะผมยังไม่ได้พูดอะไรออกไป

“เราเองต่อ เต้ไง...”

“เอ้อ! เต้ว่าไง เรากำลังล้างจานอยู่พอดีเลยโทษทีที่ให้รอ”

“อืม ไม่เป็นไรหรอกเรารอได้น่ะ แต่เราขอคุยได้มั้ย? ขอเวลาแป๊บนึงนะ คือ...มีเรื่องอยากจะคุยกับนายมานานมากแล้ว วันนี้ขอคุยนะ แต่นายสัญญาเราก่อนนะว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามนะ” ผมพูดแบบเสียงสั่นเครือ เพราะน้ำตาผมมันได้ไหลพรากออกมาอย่างที่ไม่รู้สึกตัวเลยทีเดียว

“นายมีอะไรเหรอ? พูดเถอะ เราสัญญาอ่ะ นายว่ามาเลย มีอะไรก็พูดเถอะเผื่อนายอาจจะสบายใจขึ้น” ต่อพูดเหมือนกับว่ารู้อยู่แล้วว่าผมจะบอกอะไรกับเขา ผมจึงไม่รอช้า...

“ต่อ เราน่ะ...เรารักนายมากนะเว้ย เราแบบ...แบบว่ารักนายเกินเพื่อนไปแล้วจริงๆ นายคิดอะไรกับเราบ้างมั้ย? เราขอโทษจริงๆนะเพื่อน” ผมพูดไปพลางร้องไห้ไป แต่ก็พยายามพูดออกไปให้หมด ให้ถ้อยคำทุกคำพูดที่ออกจากปากไปนั้น ฟังชัดเจนที่สุด โดยที่เขาจะได้ไม่ต้องถามผมกลับว่าผมพูดอะไร เขานิ่งเงียบไปชั่วขณะ แต่ผมได้ยินเสียงบางอย่างในความเงียบนั้น เหมือนเสียงคนที่เป็นหวัดและหายใจแบบมีน้ำมูก แต่เขาจะเป็นหวัดรึไม่นั้นผมไม่ทราบได้ เพราะผมไม่เห็นหน้าเขา สักพักเขาก็...

“อืม...อย่าคิดมากสิ เต้แล้วก็อย่าร้องไห้นะ อย่าเป็นแบบนั้น” เขาพูดปลอบผม เพราะผมปล่อยโฮออกไปแบบเต็มที่เลย

“แล้วนายว่าไง คิดแบบเรารึเปล่าต่อ” ผมถามทั้งๆที่ก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคำตอบนั้นของเขา

“เต้ ฟังเรานะ ยังไงเราก็เพื่อนกันนะ รักกันได้อยู่แล้ว อีกอย่างที่นายถามเราและให้เราสัญญาว่าเราจะยังเป็นเพื่อนกันน่ะ เรายังรักษาคำพูดนะ เราเป็นเพื่อนกันเสมอนะ รักเราได้นะเต้ แต่ขอแบบเพื่อนเถอะนะ ได้มั้ย?” ทุกคำพูดของเขาสะกดผมให้สงบไปชั่วขณะ ผมช็อกหรือเป็นอะไรไปก็ไม่อาจทราบ รู้สึกแต่ว่าทรมานข้างในเหลือเกิน เพื่อน...ได้เพียงเท่านั้น แต่ในใจอยากให้มันเป็นอย่างที่หวัง ถึงตอนนี้ คำตอบที่ได้ก็ชัดเจนแล้ว สงบได้สักพัก ผมจึงเอ่ยต่อไป...

“อืม เราเข้าใจ ขอบคุณนายมากๆ พรุ่งนี้เจอกันนะ...เพื่อน” ผมกลั้นใจพูดออกไป แต่คำว่า เพื่อน ที่ปิดประโยคไปนั้น ผมพูดมันแบบไม่เต็มปากนัก เพราะผมร้องไห้ออกไปมากมาย สะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ และผมก็วางสายทันที

โต๊ดไม่ปล่อยให้ผมแย่ไปมากกว่านี้ มันรู้เกมดี มันรีบพาผมขึ้นรถ และไปยังบ้านหน่อยทันที จากนั้นก็พากันไปนั่งที่ริมทะเล ที่ที่ผมมักจะไปนั่งเล่นปลดปล่อยอารมณ์ลำพัง แต่คืนนั้นผมมีโต๊ดและหน่อยเป็นเพื่อน นั่งกันอยู่ได้สักพักใหญ่ๆ ผมร้องไห้ไปมากมาย น้ำตาแห้งเหือด ทว่าข้างในนั้นมันยังร้าวทรมานเจียนจะขาดใจตาย ชีวิตผมอยู่ได้ด้วยเพียงไม่กี่สิ่งรอบข้าง ผมมีแม่ มีเพื่อนที่รัก มีเขา และความฝันของผมที่ทำให้ผมยังคงอยู่ได้ ตอนนี้หายไปแล้วสองสิ่ง นั่นคือเขาและความฝัน ที่ผมบอกว่าผมเสียเขาไปนั้น เพราะผมเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่เราจะยังคงมองหน้ากันได้อย่างเคย และผมก็คงรับสภาพเช่นนั้นไม่ได้ น่าเศร้าที่ผมนั้นก็ไม่สามารถรับได้จริงๆ วันรุ่งขึ้นผมไปโรงเรียนตามปกติ ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปก็คือผม ผมร้องไห้จนตาบวม ใครเห็นใครก็รู้ว่าผมมีปัญหา ไม่ว่าจะเพื่อนหรืออาจารย์ทุกคนจับความเปลี่ยนไปของผมได้หมด ผมเอาแต่นั่งร้องไห้เพียงคนเดียว เพื่อนบางคนที่ไม่รู้ก็เดินเข้ามาปลอบประโลมผม แต่ผมไม่ได้พูดอะไรออกไปว่าผมเป็นอะไร พวกเขาก็ทำได้แค่นั่งเป็นเพื่อนสักพักและก็เดินออกไป ส่วนเพื่อนที่รู้ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ก โต๊ด และหน่อย มันก็ทำกันได้แค่เพียงเดินมาบอกผมว่าให้สงบสติลง และอย่าไปคิดมาก คิดได้เท่านั้นมันก็ได้แค่เพียงคิด หากจะให้ทำตามนั้นมันก็ยากเหลือเกิน ยิ่งเวลาที่ต่อเดินผ่านผมมา และเขาทำได้แค่เดินผ่านผมไปเฉยๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกเจ็บและแย่มากยิ่งขึ้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะผมเองที่วางตัวผิดปกติไป หากผมทำเฉยๆไปซะทุกอย่างอาจคงเดิม แต่ผมทำไม่ได้...ไม่เลยจริงๆ ด้วยเหตุนี้เองต่อจึงไม่กล้าเข้าหาผมเหมือนอย่างเคย

ในแต่ละวันผมเอาแต่ร้องไห้ ช่วงนั้นก็เป็นช่วงเวลาแห่งการสอบเอ็นทรานซ์ ผมไม่ได้ดูหนังสือเลย เรียนก็ไม่ตั้งใจเรียนเหมือนอย่างเคย ทำตัวไม่สนโลกไปซะอย่างนั้น เป็นเอามากจริงๆ ความร่าเริงที่มีอยู่ในตัวนั้นได้หายไปหมดสิ้น เหลือแต่ความโศกเศร้า ความทุกข์ที่มันครอบงำผมไว้

วันเวลาผ่านพ้นไป แต่ละวันผ่านไปไม่หยุดยั้ง ความเฉยชาต่อกันยังคงอยู่ ผมและต่อกลับห่างกันออกไปเรื่อยๆ ความสนิทค่อยๆหมดสิ้น ทุกอย่างดูแย่ไปหมด ผมโทรมมากเหลือเกิน ไม่มีอะไรที่เรียกว่าดีเลย เก็บตัวเอง อยู่กับตัวเองละโลกส่วนตัวไปวันๆ เท่านั้นที่ทำได้ เรียนเสร็จก็แยกตัวเองออกจากเพื่อนๆ บางวันก็ไปเดินเล่นคนเดียว ไปในที่ที่เคยมีผมและเขาอยู่ด้วยกัน ไปนั่งร้านข้าวที่เคยไปนั่งกินด้วยกันบ่อยๆหลังเลิกเรียน แต่พอสั่งมาผมก็กินมันไม่ลง ผมเอาแต่นั่งร้องไห้ จนแม่ค้าเองก็งงว่าผมเป็นอะไรไป  กลับถึงบ้านผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ออกไปนั่งริมทะเลคนเดียวลำพัง ทอดสายตามองออกไปในทะเล ก็แลเห็นภาพวันนั้น ที่ผมและเขาหยอกล้อเล่นกันอย่างมีความสุข หากเทียบกับตอนนี้ที่ผมนั่งอยู่ตรงนี้ผู้เดียวแล้ว มันน่าทรมานใจยิ่งนัก เพราะมันไม่มีอีกแล้ว...มันจะไม่มีอีกสำหรับวันนั้น

ละลายพันธุ์ : ใครเคยบอกรักคนที่ตัวเองรักมากๆ แล้วสิ่งที่ได้กลับมากลายเป็นความผิดหวังแบบนี้บ้างครับ....แล้วรู้สึกต่างจากผมยังไงบ้าง หรือเหมือนกันยังไง ร่วมกันแบ่งปันความรู้สึกกันหน่อยสิครับ....ขอบคุณครับ

 

 

  

 

 

 

 
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 09-01-2008 11:14:28
ละลายพันธุ์.....

ฝากภาพวันวานให้นึกถึงเหตุการณ์เก่าๆ

ภาพแรก - เด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นในทะเลอย่างสนุกสนาน เหมือนครั้งหนึ่งที่ต่อและเต้ เคยมีวันเวลาดีๆแบบนี้ร่วมกัน...และไม่มีอีกแล้ว
ภาพที่สอง - ม้านั่งหินตัวนี้เคยเป็นที่ที่ต่อและเต้นั่งคุยกัน เป็นเพียงครั้งเดียวที่ทั้งสองได้อยู่ใกล้ชิดกันมาก....แต่ตอนนี้ไม่มีต่ออยู่ข้างเต้อีกต่อไป....

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 09-01-2008 11:15:56
เคยหลงรักคน ๆ หนึ่ง จนในที่สุดก็ตัดสินใจบอกเขาไปด้วยความอัดตั้นตันใจ แต่ตอนนั้น เดาคำตอบได้แล้วว่าจะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือเป็นเพื่อนกันดีกว่านะ แบบว่ารู้คำตอบอยู่แล้ว เลยทำใจได้ แต่มันก็ยังเศร้าอยู่ดี ปัจจุบัน คน ๆ นี้ นาน ๆ ได้คุยกันบ้าง ห่างเหินกันไปทุกขณะ แม้จะดูเหมือนห่างเหิน ปีใหม่ วันเกิเขา วันเกิดผม ต่างก็ยังส่ง msg อวยพรให้กันตลอด เขามักจะเป็นคนแรก ๆ ที่ส่ง msg หรือ โทรมาอวยพร ซึ่งแค่นี้ก็ดีแล้ว สำหรับมิตรภาพความเป็นเพื่อนที่ยังคงมีให้กันอยู่

ความผิดหวัง เสียใจ เกิดขึ้นได้ แต่ต้องมีสติและพร้อมจะยอมรับในความผิดหวังที่จะเกิดขึ้นด้วย

เอาใจช่วยครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 09-01-2008 11:26:19
ละลายพันธุ์...

ผู้หญิงคนเดียวที่เต้หลงรัก และอยู่เป็นเพื่อนเต้เสมอมาในยามที่เต้เหงา คนที่ไม่ค่อยชอบเธอนัก (มารายห์ แครี่ย์) อย่าร้องยี้...นะครับ เพราะบอกตามตรงนักร้องคนนี้มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิคของเต้มาก และก้อทำให้เต้เป็นอย่างทุกวันนี้ได้อย่างภาคภูมิ....

ฝากเนื้อเพลง Don't Forget About Us ไว้ละกันครับ มันเข้ากันดีกับต่อและเต้ครับ...
"Don't Forget About Us"

[Intro:]
(Don't forget about us)
Don't baby, don't baby, don't let it go
No baby, no baby, no baby no
Don't baby, don't baby, don't let it go
My baby boy...

[Verse 1]
Just let it die
With no goodbyes
Details don't matter
We both paid the price
Tears in my eyes
You know sometimes
It'd be like that baby

[Bridge 1]
Now everytime I see you
I pretend I'm fine
When I wanna reach out to you
But I turn and I walk and I let it ride
Baby I must confess
We were bigger than anything
Remember us at our best
And don't forget about

[Chorus]
Late nights, playin' in the dark
And wakin' up inside my arms
Boy, you'll always be in my heart and
I can see it in your eyes
You still want it
So don't forget about us

I'm just speaking from experience
Nothing can compare to your first true love
So I hope this will remind you
When it's for real, it's forever
So don't forget about us

[Verse 2]
Oh they say
That you're in a new relationship
But we both know
Nothing comes close to
What we had, it perseveres
That we both can't forget it
How good we used to get it

[Bridge 2]
There's only one me and you
And how we used to shine
No matter what you go through
We are one, that's a fact
That you can't deny
So baby we just can't let
The fire pass us by
Forever we'd both regret
So don't forget about

[Chorus]

[Rap]
And if she's got your head all messed up now
That's the trickery
She'll wanna have like you know how this lovin' used to be
I bet she can't do like me
She'll never be MC

Baby don't you, don't you forget about us

[Chorus x2]

Don't baby, don't baby, don't let it go
No baby, no baby, no baby no
Don't baby, don't baby, don't let it go

When it's for real, it's forever
So don't forget about us.

[attachment deleted by admin]
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 10-01-2008 14:43:18
 :a6:

***พยายาม***

ใกล้สอบปลายภาคแล้ว ผมยังคงซึมเศร้า แม้อาการจะดีขึ้นมาบ้าง เวลามันก็พอเยียวยาได้บ้างล่ะ อีกอย่างเรื่องเรียนนั้นก็เป็นสิ่งที่ผมไม่อาจทิ้งไปได้ แม้จะเบลอๆไปชั่วขณะ สมองจูนไม่ทันก็ตาม แต่ผมก็ต้องทำมันออกมาให้ดีที่สุด เวลาผ่านมาถึงตอนนี้ ผมและต่อก็ยังคงห่างกันเหมือนเดิม ผมท้อจนอยู่ตัว ไม่อยากทำอะไรอีกแล้วในเรื่องระหว่างผมและเขา สิ่งที่ทำได้ก็คือเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ดีต่อกัน เพื่อนที่ห่างๆกันในความสัมพันธ์คนหนึ่ง มากที่สุดก็คงได้เพียงเท่านี้ 

ระหว่างนี้ทุกคนขะมักเขม้นกับการเตรียมตัวสอบกันมากขึ้น ไหนจะเรื่องสอบปลายภาค ไหนจะเรื่องสอบเอ็นทรานซ์ มันตีกันยุ่งเหยิง ผมเองก็บอกตรงๆว่า ไม่ได้มีความตั้งใจเลย ไม่มีแม้การเตรียมตัวที่ดีพอสำหรับการสอบเอ็นฯ ผลที่ออกมาก็เลยสมแก่ใจผม นั่นคือตกรอบ เหะๆ แต่มหาวิทยาลัยไม่ใช่สิ่งที่มากำหนดชีวิตของผมได้ ผมคิดแบบนี้แหละ ไม่ว่าจะตอนนั้นหรือตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิม สุดท้ายผมก็ตั้งหน้าตั้งตาพยายามอ่านหนังสือ จนสอบติดได้เรียนที่สถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งฝั่งพระนคร ผมดีใจมากที่ได้เรียนที่นี่ และได้เรียนในวิชาเอกภาษาอังกฤษ ซึ่งก็ตรงกับความตั้งใจของผม เพราะผมชอบเรียนภาษาอังกฤษมากมายอยู่แล้ว

ย้อนกลับไปในวันที่ใกล้จะจบ...

เย็นวันนั้นผมเดินอยู่คนเดียวที่หลังห้องน้ำชายหลังอาคารเรียน เดินไปเดินมา จนกระทั่งผมได้ไปเจอกับต่อโดยบังเอิญ เราต่างคนต่างตกใจผมทำท่าทีไม่ถูก ก้าวหน้า ก้าวหลัง มั่วไปหมด เขาเองก็เช่นกัน สุดท้ายเราต่างตัดสินใจที่จะเดินสวนทางกันไป แต่แล้ว...

“เต้! นายอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ย?” เขาถามผมด้วยเสียงที่เบามาก แต่มันยังคงลั่นอยู่ในโสตประสาทของผมจวบจนถึงวันนี้

“แล้วนายจะให้เราทำยังไงต่อ? เราอยากทำให้ได้อย่างที่นายต้องการนะ แต่เราทำได้แค่นี้แหละ เรารู้ว่ามันไม่ดี ไม่ทั้งตัวเราและก็ตัวนาย แต่เราห้ามตัวเองไม่ได้ เพราะนายเองก็ห่างเราไปไม่ใช่เหรอ? ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เห็นมั้ย?” ผมพูดไปร้องไห้ไป เขาจึงดึงผมไปยังบริเวณที่ลับตาคน

“ก็นายเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ แล้วนายจะให้เราเข้าหานายได้ยังไง? เกิดนายโวยวายร้องไห้ฟูมฟายใส่เรา เราจะทำยังไงล่ะ? คนอื่นก็รู้กันหมดพอดี อีกอย่างตอนนี้ใครๆก็รู้กันบ้างแล้วนะ” เขาพูดไปพลางเอามือเช็ดน้ำตาผม ผมจับมือเขา และต้องยอมรับว่าผมรู้สึกดีเหลือเกินที่ได้มีวันนี้

“เราขอโทษ เราเองไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ เราเองไม่ได้อยากเสียนายไป แต่เราอ่อนไหวมากเกินไป เรารักนาย...ต่อ” ผมยิ่งพูดก็ยิ่งจะร้องไห้ออกมามากขึ้น มันจึงทำให้เขารู้สึกอึดอัด เขาทำได้แค่กอดผมและเดินจากผมไป ส่วนผมก็นั่งจมกองน้ำตาอยู่อย่างนั้น

อย่างน้อยผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขามากขึ้นว่าทำไมเราถึงไกลห่างกันออกไป ผมเข้าใจแต่ก็ไม่ได้โทษตัวเองที่เป็นแบบนี้ แต่ก็มีโกรธตัวเองอยู่บ้าง สับสนมั้ยเนี่ย? ความกดดันในการอยู่ร่วมกันกับเขาในห้องเรียนน้อยลงไป เพราะเราเข้าใจกันหลังจากที่ได้คุยกันบ้าง นับเป็นการคุยกันครั้งแรกหลังจากวันนั้นที่ผมสารภาพความรู้สึกของผมที่มีต่อเขาออกไป ผมก็ได้คุยกับเขาบ้างในยามที่มีโอกาส ได้ทำอะไรดีๆให้กับเขาบ้างแม้มันจะไม่มากนักก็ตาม แต่ก็ดีใจที่ได้ทำมันลงไป ถึงตอนนี้ผมก็ทำได้เพียงแค่พยายาม...พยายามเก็บความรู้สึกดีๆที่เราเคยมีให้กัน และสิ่งที่เราทำให้เขาได้ในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด เขาจะเห็นมันมั้ย? ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ให้เราได้มีโอกาสได้ทำแค่นั้นก็สุขใจแล้ว

“ไงเต้มึง เป็นไงบ้างวะ สอบจะเสร็จแล้วนะ ทำใจได้บ้างยัง?” หน่อยถาม

“อืม...ก็ดีขึ้นว่ะ ขอบใจมึงนะที่ห่วงกูและก็คอยถามกูตลอด แต่หากเป็นไปได้ มึงลืมๆ มันไปซะ กูไม่ได้อยากจะลืมนะ แต่ก็ไม่อยากเศร้ากับมันมากนักน่ะ”

“มึงลืมได้ก็ลืมเหอะ ยังต้องเจออะไรอีกเยอะนะ” มันพูดต่อ

“เออ...กูจะลืมๆมันซะ มึงก็ไม่ต้องถามกูเรื่องนี้แล้วนะ”

“อือ...กูสัญญา เป็ดน้อยเอ๊ย” มันพูดแล้วก็เอานิ้วก้อยมันมาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผม ทำเป็นว่าสัญญา ผมกอดมันและร้องไห้กับมันครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้าย

ทว่าเรื่องที่เราอยากจะลืมนั้น บางทียิ่งลืมมันกลับยิ่งจำ มันก็เป็นอย่างนี้แหละคนเรา บางสิ่งบางอย่างคล้อยตามกันไป แต่ในบางสิ่งก็อาจขัดแย้งกันอย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายก็อยู่ที่ตัวเราเองว่าเราจะพยายามลืมมันได้มั้ย? เท่านั้นเองแหละครับ

 

 

 
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 10-01-2008 15:21:11
 :o12: :o12:
อ่านแล้วเศร้าจังครับ
แต่ว่าบางครั้งเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเศร้า แล้วอยู่กับมันให้ได้ครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ  :m11:
หัวข้อ: โศกนาฎกรรมความรักกับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 10-01-2008 17:18:50
 :m15: :m15: :o12: o7
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 11-01-2008 10:19:21
 :m15:  o7

***ครั้งสุดท้าย***

จะจบแล้ว...ใกล้เต็มแก่แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราจะต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้นแล้ว จะอย่างไรก็ตามเพื่อนจะยังคงอยู่ในความทรงจำต่อไปเสมอ อีกไม่กี่วันจะมีงานเลี้ยงส่งที่ทางโรงเรียนและระดับชั้นจัดขึ้นเพื่อเป็นการล่ำลากัน เป็นการให้ศิษย์ได้แสดงความเคารพอาจารย์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันไป ผมตื่นเต้นกับงานวันนั้นที่จะมาถึง มันจะเป็นวันสุดท้ายที่ผมจะได้เจอเพื่อนๆ และต่อ เพราะหลังจากวันนั้นไม่กี่วันผมจะต้องย้ายที่อยู่ตามแม่ไปอยู่ที่กรุงเทพฯแล้ว นึกแล้วมันก็ใจหายบอกไม่ถูกเลยจริงๆ

“ไงอีเต้! แกมีชุดใส่ออกงานแล้วรึยัง นี่เดี๋ยวชั้นจะพาแกไปดูชุดของชั้น สั่งตัดจากห้องเสื้อหรูเชียวนะยะ” อีโต๊ดมาคุยโอ่เรื่องชุดสวยของมันอีกตามเคย ตามประสาคน(เหมือนจะ)ไฮโซอย่างมัน

“มึงจะใส่ชุดห่าอะไรของมึงก็ช่างเหอะ ชุดกูก็แค่ชุดธรรมดาๆแค่นั้นแหละ กูไม่ได้ไฮโซอย่างมึงนี่” ผมพูดพร้อมกับเบะหน้าใส่มันด้วยความหมั่นไส้ ก็เพราะผมไปทำสาวแตกอย่างมันไม่ได้นั่นเอง แต่ใจจริงผมก็ไม่ได้อยากเป็นแบบมันหรอก ผมก็เป็นได้เท่าที่ผมเป็นแค่นี้แหละ

ในวันงานทุกคนต่างเตรียมเสื้อผ้าสวยๆใส่มาประชันกันอย่างสุดฤทธิ์สุดเดชเลย ส่วนผมก็ไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไรมากมาย เสื้อเชิ้ต กับ สแล็ค และรองเท้าหนังคู่เห่ยๆที่สมใส่ไปงานแต่ผมก็ชอบมันนะ เพราะแม่ผมเป็นคนเลือกซื้อชุดนี้ให้ ส่วนรองเท้าหนังนี่ก็ได้ป้าผมนี่แหละที่ไปผ่อนไอบังมาให้ผม ไม่เหมือนกับนังโต๊ดที่คราวนี้ได้ทีให้แม่เจ้าหล่อนได้แต่งสวยงามตามที่หล่อนต้องการ และมันก็แต่งมาอย่างอลังการตามที่มันมาคุยโอ่ไว้กับผมนั่นเลย

“สวยมาก....” ผมพูดประชดมัน

“แน่ล่ะ ถ้าชั้นไม่สวย ชั้นไม่มั่นพอ ชั้นก็ไม่แต่งมาหลอกย่ะ ว่าแต่เธอเถอะ อย่ามาปี่แตกกลางงานซะล่ะ” มันเหน็บผมกลับแบบโดนผมจังๆ จากที่พยายามจะไม่คิด ตอนนี้มันกลับมาอีกแล้ว

ผมเดินเข้างานโดยที่นัดกับโจ้และหนุ่มเอาไว้ก่อนแล้ว วันนี้โจ้หล่อมาก แต่งมาซะหล่อเชียว

“ไงเต้! แหม แต่งมาซะหล่อเลยนะเพื่อน” โจ้ทักทายผม

“เฮ้ย น้อยกว่านายว่ะ” ผมพูดพลางส่องสายตามองหาต่อ

“นั่นๆ รู้นะว่ามองหาใคร มันมาแล้วล่ะแต่ไม่รู้ว่ามันเดินหายไปไหนนะ” โจ้รู้ทันผมได้ตลอดเวลา ผมก็ยิ้มรับแบบเขินๆไปอย่างนั้น สักพักผมก็เดินแยกออกมา เพื่อตามหาแจ๊ก ผมเดินไปเดินมาก็ไม่เจอแจ๊ก เดินวนไปวนมาอย่างนั้น จนกระทั่ง...

“เต้! นายตามหาใครอยู่เหรอ?” เสียงนั้นคือเสียงของต่อนั่นเอง

“อ้าว ต่อ! นายนี่เองนะ เรามาตามหาแจ๊กนะ” ผมตอบเสียงสั่นๆแบบประหม่าๆเล็กๆ

“แจ๊กน่ะเหรอ เมื่อกี๊เราเห็นแว๊บๆตรงหน้าตึกเรียนน่ะ” เขาพูดพรางชี้นิ้วไปยังหน้าตึกเรียน ผมมองตามนิ้วเขาไป และพยายามจะผละตัวเองไปจากเขา แต่ทันใดนั้นเอง

“เต้! เดี๋ยว...นายอย่าเพิ่งไปได้มั้ย? เราอยากคุยกับนาย” เขาเรียกผมพร้อมกับใช้มือที่นุ่มของเขาฉุดแขนของผมไว้ และใช่...ผมหยุด และผมร้องไห้ ทันใดนั้นเอง เขากอดผม และแน่นอนผมกอดเขาตอบกลับไป กอดอยู่อย่างนั้น จำได้ว่าบริเวณนั้นค่อนข้างมืดมาก ดังนั้นจึงแน่ใจได้ว่าไม่มีใครเห็น สักพักผมตั้งสติได้จึงเริ่มถามเขา

“นายจะคุยอะไรกับเราเหรอ? คุยเถอะ พูดอะไรก็ได้พูดมาเลย เรารออยู่น่ะ” ผมพูดเร้าให้เขาพูดอะไรออกมา ทั้งๆที่ก็ไม่รู้และไม่ได้คิดว่าเข้าข้างตัวเองกับสิ่งที่เขานั้นจะพูดมันออกมา

“เราทำให้นายต้องเสียใจ เราขอโทษ จริงๆเลยเต้ เรามันไม่กล้า ที่ผ่านมาเราไม่กล้าเลยจริงๆ เราเห็นแก่ตัว นายอย่าโกรธเรานะเต้” เขาดูเสียใจมากมาย รู้สึกว่าเขาจะร้องไห้ด้วยซ้ำไป ผมไม่คิดมาก่อนว่าจะมีวันนี้ วันที่เขามาพูดสิ่งเหล่านี้กับผม แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้

“เราไม่เคยคิดโกรธนาย มีแต่คิดโกรธตัวเราเองที่ทำให้เราต้องห่างไกลกันออกไป เพราะเราคนเดียวที่ไปรักนาย รักแบบมากกว่าคำว่าเพื่อน เราผิดเองแหละที่ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ เราคิดมากไปเองเราเข้าใจนะต่อ” ผมกล่าวไปร้องไห้ไป มันอดไม่ได้จริงๆ

“เต้...เราขอบคุณนายนะที่รักเรามากขนาดนั้น แต่นายรู้มั้ย? ไม่ใช่แค่นายที่รู้สึกแบบนั้น แต่เราเอง...” เขาพูดออกมาจนได้ ผมหยุดร้องไห้ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกจากปากเขา เขาหยุดพูดไปชั่วขณะ ผมไม่ปล่อยให้เงียบไป ผมจึงถามเขาต่อไป

“นายทำไม? นายคิดอะไร? นายบอกเรามาสิ เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้อะไรเป็นไปตามแบบที่เราหวังไว้ก็ได้นะ ขอแค่ให้เราทั้งสองคนได้รู้ก็พอ นายคิดไรเราคิดไร แค่นั้นพอ เพราะเราเข้าใจ บางอย่างทำได้แค่คิด บางอย่างทำออกมาไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร นายพูดมาเถอะ” ระหว่างที่ผมรอเขาพูดต่ออยู่นั้น ผมรู้สึกว่ามีคนกำลังเดินเข้ามายังเราทั้งสองคน ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร แจ๊กนั่นเอง ผมจึงรีบสรุป

“ต่อ...อีกสามวันเราจะย้ายเข้ากรุงเทพฯแล้ว...” ผมพูดไม่ทันจบ

“งั้น มะรืนนี้เราเจอกันได้มั้ย? เราอยากเจอนายนะเต้นะ” เขารีบพูด

“ได้สิต่อ เจอกันที่ร้านข้าวร้านเดิมนะ ตอนเที่ยงนะ โอเคมั้ย?”

“อืม โอเค แล้วไปเจอกันนะ” เขาตอบรับผม แล้วแจ๊กก็เดินมาถึงพอดี

“เต้...เรารักนาย” ผมอึ้งกับประโยคนี้มาก นี่คงเป็นคำบอกรักจากผู้ชายคนแรก และน่าจะเป็นคนเดียวจวบจนถึงทุกวันนี้ ที่ผมมั่นใจว่ามันคือรักแท้ แม้มันจะสั้นๆ ไม่มีประโยคอื่นใดมาต่อเสริมอีก แต่มันก็ทำให้ผมจำมันมาจนถึงวันนี้ เขาเดินจากผมไป ผมได้แต่เพียงมองตามหลังเขาไป

“กูมาขัดจังหวะมึงรึเปล่า? ขอโทษทีนะกูไม่รู้” แจ๊กพูดแบบเกรงใจ

“อืมไม่เป็นไรหรอก กูดีใจว่ะแจ๊ก” ผมกล่าวทั้งน้ำตา

“ทำไมเหรอวะ? ดีใจอะไร?” แจ๊กถามแบบงงๆ

“ต่อนัดเจอกูวันมะรืนนี้ ต่อบอกรักกูด้วยเมื่อกี๊น่ะ กูดีใจมากเลยแจ๊ก ต่อรักกู มึงได้ยินมั้ย?” ผมเอ่ยทั้งกอดมันด้วยความดีใจ

“อืม กูได้ยินแล้ว เมื่อกี๊กูก็แอบได้ยินบ้างแหละ ดีแล้วล่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว เดี๋ยวพอได้เจอกันก็คุยกันซะว่าจะเอายังไงกันต่อไป” แจ๊กเอ่ยแนะนำผม

ผมและแจ๊กเดินกลับเข้างานไปรวมตัวกันกับพวกโจ้และเพื่อนคนอื่นๆ ซึ่งก็รวมถึงต่อด้วย คืนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันอีกเลย ทำได้เพียงแค่มองหน้ากัน และยิ้มให้กันอย่างมีสุข และนั่นเป็นภาพทุดท้ายที่ผมเห็นจากเขา ผมมีความสุขและไม่ได้คิดมาก่อนว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายของเราจริงๆ หากย้อนเวลากลับไปได้ คืนนั้นผมจะใช้เวลาอยู่กับเขาให้มากที่สุด พูดคุยกับเขาให้มากที่สุด โดยที่ไม่ต้องไปแคร์สายตาใครๆ แต่ผมก็ทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไม? เหมือนมีอะไรมากั้นเราเอาไว้ และมันก็สาย...


ละลายพันธุ์ : มันสายเกินไปแล้วจริงๆครับ เรื่องราวของเต้และต่อถือเป็นโศกนาฎกรรมความรัก ทุกอย่างลงเอยด้วยความรู้สึกรัก...แต่มันคือ...รักที่สายเกินไป ช้าเกินไป...เกินกว่าใครๆจะรับได้ไหว ผมคิดว่าไม่ว่าใครก็ตามที่เคยเจอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนผม ใครคนนั้นต้องรู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย...เช่นผมแน่ๆ

 
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 11-01-2008 12:34:56
แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ก็นัดเจอกันแล้วนี่นา หรือว่า ไม่ได้ไปตามนัดกัน  :m15: :m21:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 13-01-2008 00:54:42
 :oni3:

ตอนต่อไปมันจะเป็นยังไงน่ะเหรอครับ????....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 13-01-2008 16:28:32
 :m15:

เพลงๆนี้เป็นอีกเพลงที่ฟังกี่ครั้งก็อดไม่ได้...น้ำตามันไหลครับ เพลง I LOVE U ของ SARAH MCLACHLAN.....ใครที่พอหาเพลงนี้มาลงให้ได้ก็ฝากหน่อยนะครับ เพราะผมทำไม่เป็น ยังไงก็ลองดูที่เนื้อหาก่อนละกันนะครับ ซึ้งมากมายครับ

***I Love You***

I have a smile
stretched from ear to ear
to see you walking down the road

we meet at the lights
I stare for a while
the world around disappears

just you and me
on this island of hope
a breath between us could be miles

let me surround you
my sea to your shore
let me be the calm you seek

oh and every time I'm close to you
there's too much I can't say
and you just walk away

and I forgot
to tell you
I love you
and the night's
too long
and cold here
without you
I grieve in my condition
for I cannot find the strength to say I need you so

oh and every time I'm close to you
there's too much I can't say
and you just walk away

and I forgot
to tell you
I love you
and the night's
too long
and cold here
without you
 
   
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 13-01-2008 19:41:31
แล้วเกิดอะไรขึ้นหรือครับ ก็นัดเจอกันแล้วนี่นา หรือว่า ไม่ได้ไปตามนัดกัน  :m15: :m21:

สงสัยด้วยเหมือนกันเลยครับ  :o12:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 14-01-2008 19:50:55
มาต่อให้ถึงจุดจบของเรื่องเลยละกันครับ ผมไม่อยากทิ้งไว้นานแล้ว เพราะเหลืออีกแค่ 2 ตอน อยากเขียนเรื่องใหม่ดูบ้าง แต่เรื่องตอไปจะเป็นเรื่องที่เกิดจากจินตนาการของผมเอง.....ก่อนจะจบเรื่อง "รัก(เกิน)เพื่อน" ลง ผมเองต้องขอขอบคุณเพื่อนๆทุกคนที่มาเป็นกำลังใจให้ผม (แม้จะมีไม่มากนัก... :m20:) คอยแนะนำความรู้เกี่ยวกับทักษะการเขียนให้ผม รู้สึกขอบคุณจริงๆครับ....ยังไงก็ฝาก 2 ตอนสุดท้ายไว้ละกันครับ

ละลายพันธุ์ :pig4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 14-01-2008 20:29:24
เป็นกำลังใจให้ครับ ในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ  :oni2: :m4:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 14-01-2008 20:37:46
 :m15: o7 :o12:

***ยังรัก...แม้เราจำต้องจาก***
หลังจากงานเลี้ยงเลิกราคืนนั้น ผมนอนไม่หลับเลย ผมรอให้ถึงวันนั้น วันที่เราจะได้มาเจอกัน มันเป็นความรู้สึกแบบแปลกๆ ใจมันหายยังไงไม่รู้ เช้าวันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นขึ้นมา ผมนอนกระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุข ผมไปหาโต๊ดและหน่อย    เพื่อเล่าให้พวกมันฟังกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อคืนนี้  ผมเล่าอย่างมีความสุข ทั้งตื่นเต้นกับวันพรุ่งที่จะมาถึง อยากให้มันมาถึงแทบใจจะขาด
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงไม่โทรไปหาเขาเพื่อยืนยันนัดของเราทั้งสองที่จะมาถึงในวันพรุ่งนี้ อย่างที่บอกไปแล้วว่า สมัยนั้นพวกเราไม่มีหรอกครับโทรศัพท์มือถือน่ะ ผมไม่มีแม้แต่โทรศัพท์บ้าน จะมีก็แต่โทรศัพท์ของทางราชการที่บ้านนังหน่อยมันมี และบ้านต่อเองก็มี ผมน่าจะโทรไปหาเขาวันนั้น แต่ มันเหมือนมีอะไรมากดผมไว้ กดไว้เพื่อให้รอ รอให้ถึงวันนั้นเพื่อว่ามันจะเต็มที่ไปกับสิ่งที่รอคอย เพื่อให้มันคุ้มค่ากับสิ่งนั้น และมันก็คุ้มค่าเหลือเกิน...
ณ วันนัด วันนั้นผมจำได้ว่าผมตื่นขึ้นมาแต่เช้า ผมรู้สึกกระตือรือร้นอย่างหื่นกระหายที่จะได้เจอกับเขา วันนี้คือวันที่ผมรอมานานสองค่ำคืนที่ผ่านมามันทำเอาผมถึงกับทุรนทุราย แต่ใครจะรู้ได้ว่าวันนี้มันทำให้ผมรู้สึก...รู้สึกได้มากยิ่งกว่าวันใดๆที่ผ่านมา และมันมาก...มากเกินกว่าที่จะรับไหว
สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว...ผมรีบนั่งรถออกไปเจอเขายังร้านข้าวที่เราสองคนชอบไปกัน ผมไปถึงที่นั่นก่อนเวลานัดประมาณสิบห้านาที ระหว่างทางที่เดินไปยังร้านนั้น ผมก็พยายามมองดูเขาว่าเขามารึยัง เดินผ่านที่ท่ารถที่เขาจะมาลงผมก็ยังแอบมองไป เพราะเขาอาจจะมาแล้วและเดินอยู่แถวนี้ก็ได้ แต่ก็ไม่มี ไม่เป็นไร ในเมื่อยังไม่ถึงเวลา ผมก็ยังมีโอกาส ผมนั่งรอเขาอยู่จนกระทั่งเวลาผ่านไปเที่ยงครึ่ง ทุกอย่างยังคงเงียบงัน ผมคอยแต่ชะเง้อคอคอยมองหาเขาบริเวณนอกร้าน มองไปกี่ทีก็ไม่มีวี่แววของเขาเลยแม้แต่น้อย ผมจึงตัดสินใจเดินออกไปดูเขาที่ท่ารถ ประจวบเหมาะกับที่มีรถที่มาจากบ้านเขามาจอดที่ท่ารถพอดี ผมก็มองหาเขาในรถซึ่งก็ไม่มีเขานั่งมาด้วย คราวนี้ผมรู้สึกใจหายแบบบอกไม่ถูก เกิดอะไรขึ้น? เขาจะลืมวันนี้ไปแล้วเหรอ? ผมไม่ย่อท้อแต่กลับไปดูเขาที่ร้านข้าวอีกทีเผื่อว่าเขาจะลงรถก่อน แต่ก็ไม่มีเขาอีกตามเคย ผมจึงตัดสินใจเดินเข้าไปถามที่ร้านค้าว่าเขาเห็นต่อบางมั้ย? ซึ่งที่ร้านนี้เขาจะรู้จักผมและต่อดี เนื่องจากเรามากินข้าวที่นี่กันบ่อย ทางร้านเขาก็ตอบมาว่า ไม่เห็นเลย ผมรู้สึกแย่ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในใจผมคิดว่าเต้ยคงไม่น่าจะผิดนัด เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น และอีกอย่างเรื่องราวมันก็ดูเหมือนจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว ผมจึงเดินกลับไปยังท่ารถของเขาอีกเพื่อไปยืนรอเขาเผื่อว่าเขาจะตกรถและออกมาช้ากว่ากำหนด
วันนั้นผมยืนรอเขาอยู่อย่างนั้นถึงห้าโมงเย็น...ใจผมไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดอะไรมาก คิดแต่เพียงว่าเขาอาจจะลืมหรืออาจจะมีธุระอะไรที่ทำให้เขามาไม่ได้ ผมคิดได้อย่างนั้น สักพักเวลาได้ประมาณหกโมงเย็นผมจึงตัดสินใจกลับไปยังที่บ้านหน่อยเพื่อไปขอมันใช้โทรศัพท์โทรไปหาต่อที่บ้าน แต่ปรากฏว่าหน่อยและที่บ้านนั้นไม่มีใครอยู่เลยสักคน เข้าใจว่าคงจะพากันออกต่างจังหวัดกันหมดแล้ว เพราะเมื่อคืนก่อนที่ผมบอกลามันและโต๊ดว่าผมจะย้ายไปกรุงเทพฯ ผมก็ได้ยินมันบอกว่าวันนี้มันอาจจะไม่อยู่บ้าน เพราะจะต้องออกต่างจังหวัดกัน ผมถึงกับเดินคอตกเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่เลยสักคน ผมจึงตัดสินใจเดินไปยังบ้านโต๊ดซึ่งก็อยู่ไกลจากบ้านหน่อยพอสมควร ผมยืนรอรถต่อไปไม่ไหวแล้ว พอถึงบ้านโต๊ดผมก็ไปเรียกมัน แล้วก็ชวนมันไปโทรหาต่อเป็นเพื่อนผม
“ไงมึงเจอต่อแล้วสิ แต่ไหงกลับทำหน้าตาแบบนั้นวะ อย่าบอกนะว่าเรื่องไม่เป็นอย่างที่มึงคิดน่ะ”  มันพูดกระแทกกระทั้นความรู้สึกผมอีกแล้ว
“เปล่า นี่กูยังไม่ได้เจอต่อเลย กูไปยืนรอตั้งแต่เที่ยง แล้วนี่กูก็เพิ่งจะได้กลับมานี่แหละ กูว่าจะพามึงเดินไปโทรศัพท์หาต่อที่บ้านล็อกโน้นน่ะ” ผมพูดจบก็รีบพามันเดินไป
“เฮ้ย มันลืมแหละมั้ง หรือไม่มันก็อาจไปไหนกับที่บ้านรึเปล่า อย่าคิดมากนะ” มันปลอบใจผม ซึ่งผมเองก็ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น  จนกระทั่งเราเดินมากันถึงยังโทรศัพท์ ผมไม่รีรอที่จะกดเบอร์ไปยังบ้านของเขา เสียงโทรศัพท์ดังเป็นระยะๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ไม่มีใครมารับสายเลย ผมโทรอยู่ไม่รู้กี่สิบครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครมารับสาย
“เดี๋ยวมืดๆค่อยมาโทรใหม่เถอะเต้ กูว่าคงไม่มีใครอยู่บ้านแล้วล่ะ” โต๊ดกล่าวจูงใจผมให้หยุดการกระทำนี้ไปชั่วขณะ
“แต่โต๊ด พรุ่งนี้กูต้องไปแต่เช้านะ กูจะไม่ได้เจอต่อแล้วเหรอ? ทำไมวะโต๊ด มันเกิดอะไรขึ้นล่ะ เรานัดกันแล้วนะ”  ผมเอ่ยไปร้องไห้ไปอีกตามเคย
“เอาน่า มึงก็ มันอาจจะมีธุระอะไรแหละน่า ก็มึงไม่มีโทรศัพท์นี่หว่า มันเองก็อาจอยากจะบอกมึงก็ได้ แต่จะให้มันทำยังไงได้ล่ะ? รอก่อนนะเพื่อนนะ” มันพูดขึ้นมาซึ่งก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมา
คืนนั้นผมโทรหาเขาทั้งคืน จวบจนเที่ยงคืนก็ยังคงไม่เลิกโทร และปลายสายก็ยังคงไร้คนมารับสาย ผมหมดแรงแล้ว ผมหมดอะไรแล้วทุกสิ่ง ผมรอแค่เพียงความหวังครั้งต่อไป ผมอาจจะไม่ได้เจอเขาในวันนี้หรือวันพรุ่ง แต่ก็ต้องมีสักวันที่ผมจะได้เจอกับเขา แต่แล้ว...ผมไม่มีวันนั้นอีกต่อไป
ในวันรุ่งขึ้นผมกับแม่ออกเดินทางกันแต่เช้า โต๊ดมันก็มาส่งผมด้วย ก่อนที่ผมจะไปนั้นผมให้โต๊ดมันพาผมไปโทรหาต่ออีกครั้งก่อนที่จะออกเดินทาง ซึ่งก็ยังไม่มีใครมารับสายเหมือนเคย ผมตัดใจแต่ก็ตั้งใจไว้ว่าทันทีที่ไปถึงกรุงเทพฯ ผมจะเขียนจดหมายถึงเขาทันที  
ผมมาถึงกรุงเทพฯได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว ผมได้เขียนจดหมายไปหาต่อตั้งแต่วันแรกที่ผมมาถึง ผมเขียนคืนนั้นและส่งคืนนั้น ผมรอแล้วรอเล่าก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา ผมรอไม่ไหวแล้วเพราะเวลามันผ่านไปอาทิตย์กว่าๆแล้ว ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาหน่อย และก็ติด กว่าผมจะได้คุยกับมันนี่ก็ลำบากน่าดูเพราะว่าต้องต่อส่วนกลางของกรมทหารก่อนถึงจะต่อเข้าไปยังบ้านมันได้ แต่ก็สำเร็จ หน่อยมารับสายพอดี และสิ่งที่ทำให้ผมได้ยินนั้นก็ทำให้ผมแทบล้มทั้งยืน หน่อยเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับต่อให้ผมฟังอย่างละเอียด เนื่องจากครอบครัวหน่อยและต่อจะสนิทกันดี พ่อหน่อยและพ่อต่อเป็นทหารชั้นสัญญาบัตรที่เป็นเพื่อนสนิทกัน หน่อยเล่าว่า...
วันนั้น...วันที่ต่อและผมนัดกันไว้ เป็นวันที่พ่อแม่และน้องสาวคนเล็กของต่อพากันออกต่างจังหวัดเพื่อไปทำบุญกัน แต่วันนั้นต่อไม่ไป และขออยู่บ้านคนเดียว ซึ่งผมก็คิดเอาว่าเป็นเพราะต่อได้นัดไว้กับผมว่าจะมาเจอกันวันนั้น หน่อยเล่าไปร้องไห้ไป ผมเองก็เริ่มใจเสีย มันพูดแบบช้าๆเนืองๆเสียงสั่นๆ มันบอกให้ผมทำใจดีๆ ผมเริ่มรู้สึกถึงเหตุการณ์ที่ผิดปกติแล้ว หน่อยเล่าต่อไปว่า เวลาประมาณช่วงสิบเอ็ดโมงวันนั้นต่อได้ขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านคนเดียว แล้วบอกแถวๆบ้านข้างเคียงไว้ว่าจะไปหาเพื่อนที่นัดไว้ที่ตลาด ซึ่งก็คือผมนั่นเอง ที่จริงแล้วต่อเป็นคนที่ขี่รถมอเตอร์ไซค์ไม่เก่งนัก เป็นก็แต่จักรยาน แต่วันนั้นเขากลับดันขี่มันออกมา ถึงเวลานี้ผมได้ร้องไห้ตามหน่อยไปแล้ว หน่อยเองมันก็เริ่มพูดไม่เป็นประโยค มันเริ่มไม่อยากเล่าต่อ เพราะมันกลัวผมจะเสียใจ ผมถึงกับต้องขอร้องอ้อนวอนมันให้เล่าให้ผมฟังให้จบ  หน่อยเล่าต่อไปว่า เมื่อเต้ยขับรถมาจนถึงปากทางถนนใหญ่ได้ไม่ไกลนัก ก็มีรถเก๋งวิ่งตามมาด้วยความเร็วสูง และเฉี่ยวรถของต่อ ทำให้รถต่อเสียหลักพุ่งข้ามไปยังเกาะข้างถนน ต่อถึงกับหมดสติสิ้นลมหายใจไปในทันที  หน่อยพูด “ต่อตายแล้วเต้...ต่อตายแล้ว”...................
ผมช็อกแม้ว่าตลอดเวลาที่ฟังหน่อยเล่าอยู่นั้น ผมเองพอจะเดาเหตุการณ์ได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่ได้คิดถึงขั้นที่ว่าต่อถึงกับความตายอย่างนั้น ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่ขาดสาย ผมพูดไม่เป็นคำแล้วทีนี้ ผมร้องไห้แทบบ้าคลั่ง ผมแหกปากส่งเสียงร้องราวกับคนที่กำลังถูกตีหรือถูกทำร้าย ผมร้องไห้อย่างทรมาน ความรักของผมจากผมไปเสียแล้ว ผมไม่เหลือเขาอีกต่อไปแล้ว มันผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน มันเร็วเกินกว่าที่ผมจะรับได้ไหว ภาพเหตุการณ์ในครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอได้คุยกันนั้นมันโลดแล่นเข้ามาในหัวของผม ภาพวันเก่าๆของเราทั้งสองก็พากันเข้ามาในความรู้สึกนึกคิดของผมอย่างไม่หยุดยั้ง หน่อยเล่าต่อไปว่า งานศพของต่อเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปเมื่อวันก่อน มันไม่รู้ว่าจะติดต่อผมได้ยังไงดี มันได้แต่เขียนจดหมายมาหาผม แต่จดหมายนั้นที่มันเขียนมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีมาให้ผมได้เห็น
หน่อยเล่าให้ฟังว่า วันนั้นที่ตัวต่อมีของสองสิ่งติดไปด้วย ของสิ่งนั้นก็คือ หนังสือเล่มหนึ่งที่เขาเอาเหน็บไว้ที่กางเกงบริเวณหน้าท้อง มันเป็นหนังสือรถครับ เพราะเขารู้ว่าผมชอบรถมาก และก็ยังมีรูปตัวการ์ตูนล้อเลียนมารายห์ แครี่ย์ ซึ่งเค้ารู้ว่าผมชอบเช่นกัน เขาวาดมันขึ้นมาเอง ทว่าของสองสิ่งนี้จมไปด้วยกองเลือดของเขา ทราบว่าแม่ของเต้ยได้ใส่ไว้ในโรงศพตอนที่ฌาปนกิจด้วย เขาคงคิดว่าต่อชอบของสิ่งนี้มาก ผมเสียดายที่ไม่ได้มีมันเก็บไว้ในวันนี้ ผมไม่รังเกียจแม้มันจะเปอะเปื้อนไปด้วยกองเลือด เพราะมันเป็นกองเลือดของบุคคลซึ่งเป็นที่รักของผม ผมเสียดายและเสียใจจริงๆครับ เขาจะมาถึงผมอยู่แล้ว ทำไมไม่ให้ผมและเขาได้เจอกัน ทำไมเขาต้องตาย เขาตายเพราะผมรึเปล่า? ผมได้แต่ถามตัวเองถึงทุกวันนี้
วันรุ่งขึ้นผมไม่รอช้า ผมรีบเดินทางกลับมายังสัตหีบ ผมแวะไปไหว้อัฏฐิของเขาที่บ้าน ผมไปกับเพื่อนๆคนอื่นๆรวมทังหน่อยและโต๊ดด้วย ผมร้องไห้จนเป็นที่น่าผิดสังเกตจากพ่อแม่ของเขา แม่ต่อเดินมายังผม แล้วก็ถามผมว่า “เราใช่มั้ยที่ชื่อเต้?” และเขาก็เอามือลูบหัวผม แล้วพูดอีกว่า “ต่อเขาตั้งใจแล้วนะลูก” พูดจบได้สองประโยคแม่ก็ไม่พูดอะไรอีกเลย ผมไม่รู้ว่าท่านจะรู้อะไรรึเปล่า แต่ผมก็ไม่ได้ไปติดใจถามอะไรท่านอีก ผมเพียงแต่รับรู้เท่านั้น ผมมองไปยังรูปของต่อ หัวใจผมยิ่งเต้นแรง ผมเหมือนจะขาดใจเสียให้ได้ ผมรักต่อมากเหลือเกินครับ เขาไปจากผมทั้งๆที่เรายังไม่มีโอกาสได้แสดงความรักที่เรามีต่อกันได้อย่างเต็มที่เลย ผมอยากจะบอกเขาออกไปอีกสักครั้ง และอีกหลายๆครั้งว่า ผมรักเขามาก แต่ไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว ผมทำได้เพียงแต่บอกรักเขากับรูปของเขาเบื้องหน้าแค่นั้น ซึ่งผมก็หวังว่าเขาจะได้รับรู้มัน















หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 14-01-2008 20:44:18
มาต่ออีกครับ....ตอนสุดท้ายนะครับ

***นายอยู่ไหน?***
ก่อนที่ผมจะกลับกรุงเทพฯ คืนนั้นผมกลับไปนั่งที่ริมชายหาด สถานที่เก่าที่ผมเคยไปนั่งเพียงลำพังอีกครั้ง ผมขอโต๊ดและหน่อยที่จะอยู่กับตัวเองสักพัก ผมให้สัญญากับพวกมันว่าผมจะไม่ทำอะไรตัวเองเป็นอันขาด ซึ่งผมก็คิดแล้วว่าไม่...
ผมนั่งอยู่อย่างนั้นจนเวลาล่วงเลยไปเกือบๆจะสามทุ่มแล้ว ผมนั่งมองไปยังสถานที่ที่มันเคยมีผมและเขาอยู่ด้วยกัน ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นที่เขาและผมมีความสุขด้วยกันที่ทะเลแห่งนี้ น้ำตาอาบรดผืนทรายเวลานี้ ผมเจียนจะตายด้วยอาการอาดูร เสียงลมแว่วมาเข้ากระทบกกหูทั้งสองข้าง มันน่าจะหนาวแต่มันกลับอบอุ่นเหลือเกิน คืนนั้นผมรู้สึกได้ว่าผมไม่ได้อยู่อย่างลำพัง แต่ผมกลับรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าต่ออยู่ข้างๆผม ผมจะบ้าไปหรือเปล่าผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ ต่อมาอยู่เป็นเพื่อนผม ผมรู้สึกได้ กลิ่นแป้งที่เขาชอบใช้มันส่งกลิ่นมาถึงปลายจมูกผม และมันใช่ ผมมั่นใจว่ามันใช่ มันคือกลิ่นของเขา
“ต่อ...นายอยู่ไหน? นายอยู่ตรงนี้กับเราใช่มั้ย?” ผมรำพึงถึงเขา ทันใดนั้นก็มีสายลมสายหนึ่งพัดผ่านผมไปในห้วงเวลาหนึ่ง มันเป็นลมที่ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเหลือเกิน กลิ่นแป้งของเขาฉุนแรงมากขึ้น ตอนนี้ผมมั่นใจมากขึ้นแล้วว่าเขาอยู่กับผม 




“เธออยู่แห่งหนไหน เธอรับรู้มั้ยฉันมาหา...
ฉันมาอยู่นี่ อยู่กับเธอทุกเวลา...
แต่ครานี้เธอล่ะ...เธออยู่หนใด
เห็นมั้ย? ฉันร้องไห้  เพราะฉันไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ที่แห่งไหน
เธออยู่แถวๆนี้ใช่หรือไม่? จะเงียบทำไมเธอจ๋าตอบฉันที
ตลอดเวลาที่ผ่านมา รู้มั้ยว่าฉันรอเธอให้มาอยู่กับฉันที่แห่งนี้
ใยเธอทำไมไม่ตอบฉันมาสักที
เธอทำแบบนี้...เธอไม่อยู่ ฉันจะอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
เธอจ๋า...เธออย่าไปฉันร่ำไห้
น้ำตาอาบรดบนผืนทราย เธอรู้มั้ย?
หากเธอรับรู้เมื่อใด ขอเพียงได้รู้ไว้
ฉันมีเธออยู่ในใจ จะเก็บเธอเอาไว้มิลิมเลือน...รักต่อ”

หัวใจที่เต็มไปด้วยรัก มันเป็นรักที่แท้จริงและเป็นรักที่บริสุทธิ์ ผมเชื่อในความรักของเราที่มีให้แก่กัน มันไม่ใช่รักที่ลวงหลอก ไม่ใช่รักที่หวังผลใดๆ แต่มันคือรัก...รักที่เกิดขึ้นจากการหล่อหลอมขึ้นมา จากความเป็นเพื่อน...ความใกล้ชิด ทุกอย่างสานสัมพันธ์ ทำให้คนสองคนรักกันได้ มันเป็นเรื่องที่ดีครับ หากวันใดที่ไม่ว่าใครเกิดความรู้สึกรักเช่นนี้ ผมอยากบอกเอาไว้ว่า เมื่อคุณมั่นใจแล้วว่าคุณทั้งสองต่างรักกัน อย่าปล่อยความรักให้หลุดลอยไป คว้ามันเอาไว้ บอกเขาออกไป...บอกเขาดังๆว่ารักเขา หากไม่ได้ทำมันแล้วนั้นโอกาสนั้นอาจหลุดลอยไป หรืออาจเกิดกับคุณเมื่อมันนั้นได้สายไปแล้วอย่างผม ถ้ามั่นใจแล้วก็อย่าไปรออะไรเลยครับ อย่าไปคิดถึงคนอื่นหรือคนรอบข้างมากนัก คิดถึงตัวเองไว้บ้าง เพราะบางทีความถูกต้องมันก็อาจไม่ได้ถูกต้องเสมอไป บางสิ่งบางอย่างนั้น เราไม่จำเป็นต้องเดินตามสูตรหรือตามกฎไปซะทุกอย่าง โดยเฉพาะกับความรัก...ที่เขาบอกกันว่า “รักออกแบบไม่ได้” นั่นไงครับ
ถึงวันนี้ผมยังคงต้องเดินต่อไป ต่อจะยังคงอยู่ในความทรงจำของผมแบบนี้เสมอ เขาจะไม่ถูกลบเลือนไปจากผม เพราะบัดนี้ผมได้บันทึกเรื่องราวของผมกับเขาไว้ผ่านตัวหนังสือถ่ายทอดอารมณ์ไปยังพวกคุณทุกคน ผู้ซึ่งจัดว่าเป็นพยานความรักของผมและเขานั่นเอง
ต่อ...เรารักนายเสมอ แม้เราจะมีใครในวันนี้ แต่ขอให้รู้ไว้ว่านายยังคงเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเราแบบนี้ตลอดไป


               ด้วยรัก
               จาก เต้

จบบริบูรณ์ ......ละลายพันธุ์

*********************************************************

 




หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 14-01-2008 21:11:32
เดาไว้แล้วว่า ต้องเป็นแบบนี้

สุดท้ายจบลงด้วยความเศร้า... :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 16-01-2008 20:46:59
 o7

คิดถึง....
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 16-01-2008 21:54:07
 :o12: :o12:

ไม่น่าเลย พูดไม่ออก  o7

เสียใจด้วยจริงๆ :sad2:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น ที่ 18-01-2008 00:36:15
เจ็บเข้าไปในหัวใจเลยจริงๆ
จะรักกันก็ต้องแคร์สังคมจนเรื่องกลับมาบานปลายขนาดนี้
 :m15: :m15: :m15: :m15:
ถ้าหากรักใครสักคน อย่างลังเลที่จะรักให้เต็มที่
เพราะวันเวลาไม่เคยปรานีใคร
 :o12:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 18-01-2008 10:11:51
 :m15:

***ละลายพันธุ์....

เข้ามาบอกความรู้สึกครับ.........

คงต้องบอกว่า ช่วงเวลานั้นผมทรมานมากมาย...คำตอบที่ได้รับ "เรารักนาย" มันทำให้ผมรู้ว่าผมมีความรัก ต่อรักผม ผมไม่ได้คิดไปเองตลอดเวลาที่ผ่านมาที่เรามีกัน ทุกๆสัญญาณที่เค้าพยายามส่งหาผม...ทุกอย่างมันใช่ทั้งหมดเลย หากวันนั้น...ตอนนั้นผมมั่นใจในรักของผมและเค้า และในสิ่งที่เค้าทำให้ผม ผมจะไม่ปล่อยให้ความรู้สึกที่คลุมเครือมาครอบงำเราทั้งสองไว้นาน...นานจนสายไปแล้วอย่างนั้น ผมยากได้วันเวลาเหล่านั้นกลับมา แต่ทำไม่ได้...หลังจากวันนั้น...วันที่ผมได้รู้ว่าเค้าไปแล้วจากผม...ผมได้แต่ถามตัวเองว่า "ทำไม?" น้ำตาที่มันไหล ทุกหยดเพื่อเค้าเลยล้วนๆเวลานั้น ผมทุกข์กับการจากไปของเค้า ผมทำใจไม่ได้...ยิ่งผมนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่เราสองคนเคยมีร่วมกันผมยิ่งหยุดไม่ได้เลย แม้ในคราวที่ผมได้กลับไปยังสถานที่เดิมๆเหล่านั้น ที่ๆมีเค้าและผม ผมได้แต่ร้องไห้...และคงต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ก้อยังคงเป็นเช่นนั้น....ที่กำลังเขียนอยู่นี้ พอนึกไปถึงวันเหล่านั้นก้ออดใจหายไม่ได้ เหมือนใจมันจะขาดน่ะครับ................

ลองมาดูสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ต่อมีให้กับเต้ ช่วงที่ทั้งสองสนิทกันมากมาย สิ่งเหล่านี้แหละที่ต่อทำให้เต้ได้รับความรู้สึกแปลกๆ และกลายเป็นความรู้สึกรัก แม้จะเป็นรักที่ไม่มั่นใจเลยก้อตาม รักที่ไม่เข้าใจว่าเค้าคิดอะไรกับเรามั้ย?....จวบจนวันสุดท้าย...

----"เต้...ขอบคุณนายนะที่มาเป็นเพื่อนเรา" คำพูดนี้เค้าเอ่ยกับผมในวันแรกๆที่เราเริ่มรู้จักกัน แต่มันยังไม่ได้สะกิดผมท่าไหร่...

----"เต้...ไหนขอเราดูมือนายหน่อยดิ เราอยากรู้ว่าลายมือนายคล้ายเรามั้ย?" ผมเหมือนกำลังถูกผู้ชายหลอกจับมือยังไงยังงั้นเลย...มือเค้านิ่มมาก ผมมองตาเค้า..แต่เค้ายิ้มเฉยๆ แล้วปล่อยมือผมลงเท่านั้น

----"เฮ้อ! อย่างเราเนี่ยคงไม่มีใครหรอก...ใครจะมารักเราชอบเรา?" ผมนึกในใจ "กูไง" เค้าพูดประโยคนี้ออกมา ตอนที่เราคุยกันถึงอนาคตของกันและกัน ผมแซวเค้าว่าเค้าคงหาแฟนได้ไม่ยาก ตอนนั้น หลังจากที่เค้าพูดจบ เค้ามองตาผม...แต่ผมอายและก้อเดินนำเค้าออกไป

----ตอนนั้นผมนั่งอยู่บริเวณนอกห้องเรียน ผมนั่งมองไปยังเค้า...เค้ากำลังนั่งคุยกับโจ้อย่างสนุกปาก ผมมองเค้าไปอยู่เพลินๆ แต่แล้วเค้าก้อหันหน้ามาทางผม แล้วก้อนั่งจ้องตาผมอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 วินาทีได้...ผมหันหน้าหนีกลับ มองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปยังสนามบอล แต่แล้วก้อต้องสะดุ้งเมื่อผมหันกลับมาอีกที...ก้อเจอเค้ามานั่งข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ "มานั่งทำไรข้างนอกนี่...ทำไมไม่เข้าไปนั่งคุยกันข้างในล่ะ?" ผมหน้าแดงตอนนั้นจำได้ว่าเค้าแซวผมด้วย ผมทำอะไรไม่ถูกเลย แต่โจ้ช่วยผมไว้...โดยเข้ามาขัดจังหวะพอดี

----หลายๆครั้งที่เค้าชอบจับมือผม หรือไม่ก้อจูงมือผมข้ามถนนแบบทีเผลอ แล้วก้อทำเนียนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเองก้อไม่กล้าหืออืออะไร ปล่อยไปแบบนั้น แต่รู้สึกดีจริงๆครับ

----และอีกหลายๆครั้งที่ผมสังเกตว่าเค้าชอบแอบมองผม ทุกครั้งที่ผมหันไปหาเค้าผมต้องถึงกับแปล๊บๆ เมื่อพบว่าเค้ามองผมกลับมา และพอหันไปอีกครั้งเค้าก้อยังคงมองมาที่ผมอยู่ มันคืออะไรครับ? แต่ตอนนี้มันชัดแล้ว...

----เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บ้านผม...ในห้องน้ำ....ทะเล....ทุกคำพูด...การกระทำ...ทุกอย่างชัดเจนแล้ว แต่ทำไมผมไม่รู้จักฉวยโอกาสนั้นบอกเค้าไปซะ????

----วันสุดท้าย...วันที่เค้าบอกรักผม "เรารักนายนะ" วันสุดท้ายที่ผมเห็นเค้า วันที่เค้าทำให้ผมมีความสุข วันสุดท้ายแห่งการเฉลยคำตอบ ที่เหมือนว่าผมทำข้อสอบได้ถูกทุกข้อ แต่แล้วมันกลับกลายเป็นข้อสอบที่ไม่มีตอนต่อไปให้มานั่งทำอีกต่อไป เรารักนายมากเหลือเกินต่อเอ๊ย...

----และยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายระหว่างเค้ากับผม ที่มันยังตราตรึงอยู่ในใจผมไม่ลืมเลือนเลย...

เพื่อนๆคนไหนเคยผ่านความรู้สึกแบบนี้กันมา ก้อลองเข้ามาแลกเปลี่ยนความคิดความรู้สึกกันนะครับ ถ้าหากบางสิ่งที่ผมพอจะแนะนำได้ ก้อจะแนะนำให้นะครับ....ขอบคุณทุกๆกำลังใจครับ

ละลายพันธุ์
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: M@nfaNG ที่ 18-01-2008 10:19:16
ปวดใจจริงๆ :sad2:

พอเล่าถึงเรื่องที่ผ่านๆมามันพลอยเห็นภาพไปด้วยอ่ะ :m15:

ขอตัวไปร้องไห้ก่อนนะ :o12:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ★L'Hôpital ที่ 18-01-2008 19:37:07
 :sad2:  ทำไมมันเศร้าอย่างนี้อ่าครับ
ทั้งๆที่อุตส่าห์ได้บอกรักกันแล้วแท้เลย  :m15:

แงๆๆๆ  :o12:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 29-01-2008 15:32:13
 :pig4:

หากยังพอจะมีเพื่อนๆคนไหนที่ชอบนิยายแนวนี้ แนวโศกนาฎกรรมความรัก ยังไงก้อขอฝากผลงาน "รัก(เกิน)เพื่อน" ไว้ด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: myLoveIsYOu ที่ 29-01-2008 16:15:27
อย่างน้อย ก็ได้รับรู้ว่า คนที่เรารัก เขาก็รักเรา แม้มันจะมาเมื่อเกือบสายไป  :m15:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 08-02-2008 21:36:02
มาอัพให้โผล่หัวขึ้นมาอีกหน่อย ฝากไว้ด้วยนะคร้าบบบบบ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: ninaprake ที่ 18-04-2008 01:44:18
เพิ่งเห็นเรื่องนี้คร้าบ เดี๋ยวขอไปอ่านก่อนแล้วจะมาเม้นท์นะคร้าบ

สู้ๆครับ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 29-04-2008 22:36:27
มาอัพเดทให้เรื่องกระเตื้องขึ้นมาบนๆน่ะ ไม่มไรครับ เพราะว่าเรื่องจบไปและ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: BABY_CHICK ที่ 08-05-2008 00:21:15
 :m15:หวัดดีครับ คุณเต้ เพิ่งเข้ามาอ่านครับ รวดเดียวจบเลย เศร้ามากๆ เลยครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ สำหรับ เรื่องราวที่ผ่านมา
 เก็บไว้ เป็นความทรงจำ...ตลอดไป

 ผมก็มีประสบการณ์แบบนี้ มาแลกเปลี่ยนครับ ....นานมาแล้วเหมือนกัน แต่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ก็ตอนที่ได้ มาอ่านเรื่องราว ของหลายๆ คนในเล้า รวมทั้งของคุณด้วย
 
 มันอาจไม่ได้ สะเทือนใจแบบนี้ แต่การได้รักใครสักคน โดยที่เขาก็แบบนายต่อ มันทรมานสุดๆเลยนะ

 แต่ผมเลือก ที่จะพูด...ยังจำได้ จนทุกวันนี้

 " นี่..มึงอ่ะ..กูชอบมึงนะ..เป็นแฟนกะกูมะ" ผมถามมัน หลังจากที่เราสนิทกันพอสมควร (กล้ามาก ตอนนั้น)

 "......." ไม่มีเสียงตอบรับ จากหมายเลขที่คุณเรียก

 " มึงเอาไรทำหูไม่ทราบ ที่กูถามตกลงป่าว.." ผมทำลายความอึ้ง และเงียบของมัน

 "ก็...ไม่ว่าไร ตามที่มึงขอก็แล้วกัน.."มันพูด แต่ก้มหน้าเขินๆด้วย

 หลังจากนั้นก็ตกลงเป็นแฟนกัน คบกันมาเรื่อยๆ มีเพื่อนไม่กี่คนที่รู้ครับ

 อีกมุมหนึ่ง ผมก็คบแฟนผู้หญิงผมด้วย โดยที่มันก็รู้ แต่มันไม่เคยแสดงความรู้สึกว่าหึงผมเลยสักนิด

 ถึงเป็นแฟนกัน แต่ผมและมันไม่เคยมีไรลึกซึ้ง เลยนะครับ เรื่องราว มันก็ผ่านเข้าเป็นช่วงๆ

 ความหวานก็มีบ้าง ที่อยู่กันสองคน แต่อยู่กับเพื่อนๆ 55 ไม่อยากพูด เถื่อนๆ กันทั้งนั้น แต่มันนิ่งมาก

 มีแต่ผมที่เป็นบ้า หึงมันฝ่ายเดียว มันคุยหญิงผมไม่ว่า แต่มันคุยชายผมกะมันต้องได้เจ็บตัวกันบ้าง

 มีครั้งหนึ่ง ผมหึงโหด ถึงได้เลือด ได้แผลเลย ไม่บอกนะครับ ว่าทำไงเดี๋ยว มันดูโหดไปหน่อย

 แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมรักมันขนาดไหน ส่วนแฟนสาวผม เขาแยกไปเรียนอีกที่ คนละขั้ว ของเมืองไทยเลย

 ทำให้ต้องห่างกันไปโดยปริยาย

 หลังจากเรียนจบ เราก็แยกย้ายกันไป แต่ความรักยังคงอยู่...จนวันสุดท้าย..ที่ผมกับมันต้อง...หยุด

 ผมโทรหามัน แม่มันรับสาย...แล้วบอกว่า..มันไม่ว่าง..เพิ่งเสร็จงานแต่งงาน..

 "เหรอครับ..เมื่อไหร่ครับ..ขอบคุณครับ..หวัดดีครับ"ตอนนั้น สมองมันไม่สั่งการใดๆทั้งนั้น

 เพื่อนๆ คงเคยอกหักนะครับ เจ็บปวดยังไง ผมก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมไม่คิดว่าแบบมันจะไปแต่งงาน

 แต่มันเคยบอกว่าแม่จะให้แต่งงาน..ผมก็บอกมันถ้ามึงแต่ง..งานมึงไม่เสร็จแน่..

 ยังงี้แหละมั้ง มันเลยไม่ส่งข่าวให้ผมรู้เลย คงกลัวฤทธิ์เดชผม..เพราะเคยเจอมาแล้ว

 ผมต้องเอาแอลกอฮอล์เป็นเพื่อน..มันทำให้ดื่มเป็นมาแต่นั้น(ไม่ดีเลยใช่ไหม)

 ทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืมมันเลย ยังรักมันเสมอ และไม่กล้ารักใครด้วย กลัวครับ

 ยังไงก็ขอให้คุณเต้ มีความสุขมากๆละกันนะ

 อย่าลืมเข้ามาอ่านด้วยนะครับ  :L2: :L2: เป็นกำลังใจให้ครับ

  :pigwrite: สำหรับเรื่องราวของผมกะมัน ผมเขียนไว้ปึกหนึ่งละ แต่คงไม่เอามาลง ขอเก็บไว้ เป็นความทรงจำก็แล้วกันนะครับ :o8: :o8:
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: pipozac ที่ 29-07-2008 03:12:30
:m15:หวัดดีครับ คุณเต้ เพิ่งเข้ามาอ่านครับ รวดเดียวจบเลย เศร้ามากๆ เลยครับ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ สำหรับ เรื่องราวที่ผ่านมา
 เก็บไว้ เป็นความทรงจำ...ตลอดไป

 ผมก็มีประสบการณ์แบบนี้ มาแลกเปลี่ยนครับ ....นานมาแล้วเหมือนกัน แต่เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น ก็ตอนที่ได้ มาอ่านเรื่องราว ของหลายๆ คนในเล้า รวมทั้งของคุณด้วย
 
 มันอาจไม่ได้ สะเทือนใจแบบนี้ แต่การได้รักใครสักคน โดยที่เขาก็แบบนายต่อ มันทรมานสุดๆเลยนะ

 แต่ผมเลือก ที่จะพูด...ยังจำได้ จนทุกวันนี้

 " นี่..มึงอ่ะ..กูชอบมึงนะ..เป็นแฟนกะกูมะ" ผมถามมัน หลังจากที่เราสนิทกันพอสมควร (กล้ามาก ตอนนั้น)

 "......." ไม่มีเสียงตอบรับ จากหมายเลขที่คุณเรียก

 " มึงเอาไรทำหูไม่ทราบ ที่กูถามตกลงป่าว.." ผมทำลายความอึ้ง และเงียบของมัน

 "ก็...ไม่ว่าไร ตามที่มึงขอก็แล้วกัน.."มันพูด แต่ก้มหน้าเขินๆด้วย

 หลังจากนั้นก็ตกลงเป็นแฟนกัน คบกันมาเรื่อยๆ มีเพื่อนไม่กี่คนที่รู้ครับ

 อีกมุมหนึ่ง ผมก็คบแฟนผู้หญิงผมด้วย โดยที่มันก็รู้ แต่มันไม่เคยแสดงความรู้สึกว่าหึงผมเลยสักนิด

 ถึงเป็นแฟนกัน แต่ผมและมันไม่เคยมีไรลึกซึ้ง เลยนะครับ เรื่องราว มันก็ผ่านเข้าเป็นช่วงๆ

 ความหวานก็มีบ้าง ที่อยู่กันสองคน แต่อยู่กับเพื่อนๆ 55 ไม่อยากพูด เถื่อนๆ กันทั้งนั้น แต่มันนิ่งมาก

 มีแต่ผมที่เป็นบ้า หึงมันฝ่ายเดียว มันคุยหญิงผมไม่ว่า แต่มันคุยชายผมกะมันต้องได้เจ็บตัวกันบ้าง

 มีครั้งหนึ่ง ผมหึงโหด ถึงได้เลือด ได้แผลเลย ไม่บอกนะครับ ว่าทำไงเดี๋ยว มันดูโหดไปหน่อย

 แต่มันก็ทำให้ผมรู้ว่า ผมรักมันขนาดไหน ส่วนแฟนสาวผม เขาแยกไปเรียนอีกที่ คนละขั้ว ของเมืองไทยเลย

 ทำให้ต้องห่างกันไปโดยปริยาย

 หลังจากเรียนจบ เราก็แยกย้ายกันไป แต่ความรักยังคงอยู่...จนวันสุดท้าย..ที่ผมกับมันต้อง...หยุด

 ผมโทรหามัน แม่มันรับสาย...แล้วบอกว่า..มันไม่ว่าง..เพิ่งเสร็จงานแต่งงาน..

 "เหรอครับ..เมื่อไหร่ครับ..ขอบคุณครับ..หวัดดีครับ"ตอนนั้น สมองมันไม่สั่งการใดๆทั้งนั้น

 เพื่อนๆ คงเคยอกหักนะครับ เจ็บปวดยังไง ผมก็เป็นแบบนั้นแหละ ผมไม่คิดว่าแบบมันจะไปแต่งงาน

 แต่มันเคยบอกว่าแม่จะให้แต่งงาน..ผมก็บอกมันถ้ามึงแต่ง..งานมึงไม่เสร็จแน่..

 ยังงี้แหละมั้ง มันเลยไม่ส่งข่าวให้ผมรู้เลย คงกลัวฤทธิ์เดชผม..เพราะเคยเจอมาแล้ว

 ผมต้องเอาแอลกอฮอล์เป็นเพื่อน..มันทำให้ดื่มเป็นมาแต่นั้น(ไม่ดีเลยใช่ไหม)

 ทุกวันนี้ก็ยังไม่ลืมมันเลย ยังรักมันเสมอ และไม่กล้ารักใครด้วย กลัวครับ

 ยังไงก็ขอให้คุณเต้ มีความสุขมากๆละกันนะ

 อย่าลืมเข้ามาอ่านด้วยนะครับ  :L2: :L2: เป็นกำลังใจให้ครับ

  :pigwrite: สำหรับเรื่องราวของผมกะมัน ผมเขียนไว้ปึกหนึ่งละ แต่คงไม่เอามาลง ขอเก็บไว้ เป็นความทรงจำก็แล้วกันนะครับ :o8: :o8:
:pig4: ผมไม่ได้เข้ามาอัพเดท เรื่อง "รัก(เกิน)เพื่อน" ของผมซะนานเนื่องจากมันจบไปนานละ ผมอยากอ่านเรื่องของคุณบ้างนะครับ ถ้าหากพอมีเวลาลองเอามาแชร์กันสิครับ ผมว่าเพื่อนๆในเล้าเป็ดยินดีอ่าน รับรู้และร่วมแชร์ความคิดเห็นให้คุณด้ เผื่อคุณมีข้อคับข้องใจอะไรที่ตอนนี้อาจยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ บางทีการแลกเปลี่ยนเรื่องราวและประสบการณ์ต่อกัน อาจมีใครช่วยคุณได้นะครับ เหอๆ
หัวข้อ: Re: ฝากนิยายที่เขียนจากเรื่องจริงของผมไว้ให้เพื่อนๆทุกคนครับ "รัก(เกิน)เพื่อน" ครับ
เริ่มหัวข้อโดย: chalerm ที่ 30-07-2008 19:19:39
เป็นกำลังใจให้ฮะ
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: thehackzzi ที่ 20-04-2011 22:54:20
อ่านคอมเม้นท์แล้ว

ผมบอกตามตรง ใจผมสู้ไม่ไหวพอ

เข้ามาเม้นท์ให้กำลังใจแทนละกัน
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: nbom_pkai ที่ 21-04-2011 03:09:21
ความรักที่สวยงามก็เก็บมันไว้  ผมมั่นใจว่าวันที่คุณจะมีความรักที่สวยงามจะวนกลับมาอีกแน่นอน
คุณต่อต้องกำลังอวยพรให้คุณเต้ได้เจอคนที่รักคุณเต้เหมือนเขาแน่นอนครับ
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆครับ

ขอให้ตุณเต้ได้เจอรักแท้อีกครั้ง และอย่าได้เสียมันไปอีก ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลด้วยนะครับ
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 22-12-2011 19:34:50
ThankS
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: suonlyyou ที่ 22-12-2011 21:03:22
แงๆๆ.. :monkeysad:


เศร้าอ่ะ...สู้ๆนะค่ะ
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: IöLIKE ที่ 04-08-2012 23:44:39
ThankS

                      :bye2:
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: youuue ที่ 22-10-2014 20:56:54
 :hao4: :hao4:


ก็เพิ่งได้มาอ่านนะขอรับ

ข้าน้อยเองก็ มีเรื่องคล้ายๆกับ เป็นเรื่องที่มันยังคงติดตัวข้าน้อย สำหรับข้าน้อยแค่สองสามคนในชีวิตเท่านั้นที่รู้


ข้าน้อยทั้งรัก และ โครตเกลียดวันเกิดของตัวเอง โดยเฉพาะปีที่ 15

ผมกับ บ่าว เรารู้จักกันตั้งแต่ป.5เพราะงานกีฬาเขต ที่ทุกโรงเรียนประถมจะมาเจอกัน

ผมขี้โรค เลือกไปพักใต้ต้นนุ่น มันร่มรื่นมาก กำลังสบายเลย แต่รู้สึกเหมือนมีลูกขนุนหล่นตุบข้างตัว

เป็นครั้งแรกที่เราเจอกัน มันอยู่คนละโรงเรียน บ่าวเป็นลูกทะเล ดำๆ แต่มีรอยยิ้มที่สว่างไสวมาก

ผมให้เบอร์บ้านมันไป ไม่รู้ว่าให้ไปได้อย่างไร จนเกือบลืมๆไปนั่นแหละ

จนเข้าม.1 ผมได้ห้องที่บ๊วยที่สุด อาจเพราะแรงบนบานของแม่ เพราะสุขภาพไม่ดี อาจหยุดเรียนบ่อย

จำได้ว่าตื่นเต้นมากจน ใต้ต้นไม้ เหมือนเดิม และมันก็หล่นตุบลงมา นั่นทำให้เจอกันอีกครั้ง ผมจำมันไม่ได้

เพราะมันสูงขึ้น แต่มันจำผมได้ รื้อฟื้นเรื่องราว มันอยู่ห้อง3 ผมอยู่ ห้อง6 มันเริ่มแวะเวียนบ่อย ทั้งผมทั้งมัน

เช้ากินข้าวด้วยกันเป็นคนที่อยู่ด้วยกันแล้วสบายใจ จนซันนี่ แวกความเป็นผัวตัวเมีย ระหว่างผมกับมัน

ผมยอมรับว่าชอบมัน มันก็บอกว่าชอบผม ม.2 อยู่ด้วยกันเยอะขึ้น เพราะผมต้องเฝ้าห้องสมุดไม่ต้องเข้าแถว

มันเองก็ตามผม จนจารย์ดวงท่านไม่ว่าอะไร ด้านหลังโรงเรียนเป็นเขา เราปืนด้วยกัน รู้สิ่งที่อยากทำ สิ่งที่มันคิด

สำหรับผมตั้งแต่ตอนนั้นถึงทุกวันนี้  มันโครตเท่ที่สุด มันไปรับไปส่งผม

ทั้งๆที่บ้านเราอยู่คนละทิศ ตรงกันข้ามฝากเมือง อาจเพราะเราไม่ประสีประสา กับการเรียก ผัวเรียกเมีย

ไม่ทำให้น่าอาย ผมชอบเวลานั่งซ้อนท้ายมัน ขี่หลัง กอดคอกัน พ่อแม่มันก็ไม่เคยว่าอะไร เพราะผมไปบ้านมันบ่อย

พอๆกับที่มันมาบ้านผม   จนปลายม.2 แม่ผมเสีย ผมต้องย้ายบ้าน ตอนแรกผมไม่ได้บอกใคร ไม่ให้บ่าวไปส่ง เพราะ

ผมอยู่บ้านญาติ มันคงรู้ แต่ผม ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตอนนั้นไม่บอกใคร พยายามใช้ชีวิตปกติ

จนมันบุกเข้าห้องผมตอนเรียน ลากผมออกมา  ผมบอกมันไป ว่าแม่ผมเสีย และผมต้องย้ายโรงเรียน

ผมร้องแบบไม่อาย มันก็ถามว่าทำไมไม่บอก ผมกลัว กลัวมันโกรธ กลัวมันเกลียด กลัวมันจะไม่เป็นเพื่อนกับผม

ที่ผมให้มันไป คือเบอร์มือถือของพี่ชาย แล้วผมก้ย้ายมา โดยไม่ได้บอกมัน

การปรับตัวกับโรงเรียนใหม่ ดี แต่ผมก็เหงา คิดถึงมัน ไม่มีเบอร์โทร ไม่มีจดหมายตอบกลับ จนประชาสัมพันธ์เรียกชื่อผม

เที่ยงวันหนึ่ง ผมเดินไม่ถาม แต่มันยืนอยู่ข้างหลัง มันใส่ชุดบ้าน ยิ้มมันสดใส อย่างทุกครั้งที่ได้เจอกัน ผมร้องเลย

มันก็กอดๆลูบๆ มันบอกว่าเรื่องไรจะปล่อยผมไปง่ายๆ ผมดีใจ ชีวิตมันไม่คว้างต่อไป

(ย้ายมาคนละจังหวัด นั่งรถประมาณ สองชั่วโมง) มันบอกว่ารู้จากจดหมาย มันก็ขึ้นรถบัสมา ให้คนขับบอกเวลาถึงโรงเรียน

จากนั้นทุกเดือนมันจะมาหาผม เช้ามาเย็นกลับ มันมีมือถือ แต่ของมะมัน มีโทรกันบ้าง

จนวันเกิดผม วันนั้นฝนตก และมีรถเครื่องทะลุมาหน้าบ้านผม มันมา ตัวเปียก ไม่มีของขวัญไม่มีคำอวยพร

แต่บอกว่าคิดถึง และ  กุรักมึง แม้ไม่ใช่การบอกครั้งแรก แต่ผมก็ดีใจที่สุด มันบอกต้องกลับไปให้ทันออกเล เรือปลา

ผมนึกเสียใจอย่างเดียวคือไม่ได้รั้ง ไม่แม้แต่บอกลา

มันหายไปหลังจากนั้น ผมโทรหา เจอมะรับสาย มะ ก็บอก ว่า พระองค์ประสงค์ให้มันไปอยู่ด้วย มันกลับมาไม่ถึงบ้านด้วยซ้ำ

ฝนตกหนัก เบาะลื่น เบรกไม่ดี มันหลุดโค้งฟาดที่กั้นถนน ลงทะเล 

เพราะผมไม่ห้ามมันไว้ เพราะวันเกิดผม มันเลยมา เพราะ ผมเกลียดตัวเองมาก ตอนที่แม่เสียผมยังไม่เป็นขนาดนี้

มะบอกอย่าคิดแบบนั้น มันบอก ว่าความสุขมัน นอกจากการเป็นมุสลิมที่ดี ก็คือผม ผมเป็นลูกมะเหมือนมัน

ก็โทษตัวเอง อย่าลืมมัน อย่ากลับที่จะมาเยี่ยมปะกับมะ  ผมหวังให้มะด่าผม มันอาจทำให้ผมรู้สึกดีกว่านี้ แต่ก็ไม่

ผมเป็นอยู่แบบนั้น จนปิดเทอม ไปหามะ ไปหาปะ มีแต่ลูกสะอื้นติดคอ มะกอดผมไว้ บอกดีใจที่มา ผมได้แต่ขอมาอัพ

ขอโทษซ้ำไปซ้ำมา


จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังไปเยื่ยมปะกับมะ ท่านทั้งสองยังคงสบายดี ต้อนรับผมอย่างอบอุ่น ทุกอย่างที่มะบอกว่ามันอยากทำ

มันเคยพูด ผมเอาไปทำทุกอย่าง

เรียนจบมหาลัย เดินทางท่องเที่ยว ยิ้ม ตอนนี้ ผมยังคงจำทุกอย่างของมันได้ การคิด รอยยิ้ม สิ่งที่มันเคยพูด

เหมือนไกด์นำทางชีวิตผม ผมอยากให้มันอยู่ตรงนี้ ทุกที่ที่ไป ทุกสิ่งที่ทำ แม้จำหน้ามันแทบไม่ได้ แต่มันคือตัวตนผม


หากมันยังอยู่ ผมก็อยากบอกมันว่ารักมันมาก และผมหวังว่า มันคงไม่ว่าที่ผมเขียนเรื่องมันแบบนี้


ไม่รู้นะครับ ว่าที่ผมรู้จักมันมา3ปี กับทุกสิ่งที่มันทำนำชีวิตผมมาจนวันนี้ จะเรียกว่ารักได้ไหม

แต่ผมคิดถึงมันเสมอ

แชร์ๆความรู้สึกกันครับ

 :bye2: :bye2:
หัวข้อ: Re: "รัก(เกิน)เพื่อน"
เริ่มหัวข้อโดย: top_fy ที่ 04-12-2016 18:38:50
ขอบคุณมากครับที่มาแชร์เรื่องราวความรักของพี่นะครับ ทำให้ผมได้แง้คิดต่างๆ มันทำให้เรารุ้ว่าเวลานั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากๆ อ่านตอนสุดท้ายแล้วร้องไห้ตามพี่เต้เลย5555. ยังไงก็ขอให้พี่เต้โชคดีนะครับ เพราะผมเชื่อว่าพี่ต่อเค้าก็คงมองพี่เต้อยู่บนฟ้าอยู่เสมอ เป็นกำลังใจให้ครับ :mew1: