Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Kiss Love ► รักวุ่นวายนายสุดหล่อ 100 เพิ่งเริ่มเท่านั้น |10/3/18|(ตอนจบ)  (อ่าน 681139 ครั้ง)

ออฟไลน์ entirom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1010
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +85/-2
แหม สองหนุ่ม  ทำไรเกรงน้องมันบ้าง

[newZy]CASS

  • บุคคลทั่วไป
ขอให้สมหวังกันคะ
พี่เป้+เต้ย
สงสาร

ออฟไลน์ CarToonMiZa

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6338
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +820/-41
เป้กับเต้ยจะได้ลงเอย
กันไหมเนี่ยอยากทั้งคู่
ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆจัง :เฮ้อ:

ranaways

  • บุคคลทั่วไป
โอ๊ย

น่ารัก

จะน่ารักไปถึงไหน สองคนนี้

ชอบๆๆๆๆมากๆๆๆๆๆ

ออฟไลน์ takara

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4145
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +379/-13
สงสารพี่เป้อะ ไม่น่าเป็นพี่น้องกันเลย พี่เอกหื่นอะ

ออฟไลน์ Lemon_Tea

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +71/-2
จะแอบไปฟ้องกายว่าพี่เอกแอบไปจูบกับคนอื่น

ranaways

  • บุคคลทั่วไป
เมื่อไหร่จะมาน๊าาาาาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ Akidahaza

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 56
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่เอกเริ่มรักกายแล้วสินะ ><♥

ออฟไลน์ TONG

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2535
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-4
อยากให้พี่น้องคู่นี้ลงเอยกันจังต่างคนต่างรักกันต่างห่วงกันขนาดนี้

จะมีหักมุมไหมนะ

ออฟไลน์ fastation

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
รออ่านตอนต่อไปจ้า

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love ♥ [17] ประกาศผลรางวัล
[กาย...♥]



ผมวิ่งตามไอ้เต้ยออกไปนอกร้าน เป็นห่วงมันครับ เห็นตามันแดง ๆ พอกระชากแขนมันกลับมาได้ ก็เห็นน้ำตามันไหลพรากเลย
 
“เต้ย!!”
 
“กาย กูไม่รู้จริง ๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถึงพี่กูจะเหี้ย จะเลว จะปากหมาใส่กูขนาดไหน แต่กูยังรู้สึกว่าเป็นน้องของมันอยู่ แต่มาตอนนี้ มันทำเหมือนกูเป็นคนอื่น”
 
ผมรีบดึงมันเข้ามากอด ไม่อายครับ ใครจะมองยังไงก็ช่าง ความรู้สึกของเพื่อนต้องมาก่อน มันสะอื้นใหญ่ ยิ่งเป็นพวกอ่อนไหวง่าย ๆ อยู่ด้วย
 
“แต่กูไม่ยอมแพ้หรอก”
มันรีบผลักตัวเองออกไปปาดน้ำตา
 
“กูต้องรู้ให้ได้ ว่ามันเมินกูเพราะอะไร มันโกรธกูเรื่องอะไร กูไม่รู้ว่ากูทำอะไรผิด แต่กูจะต้องรู้ให้ได้ ถ้ามันไม่บอก กูก็จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง”
 
“เฮ้ย มึงใจเย็นก่อนดิ พี่เขาไม่ได้โกรธมึงหรอก แต่แค่ต้องการความเป็นส่วนตัวแค่นั้นเอง”
ผมรีบแก้ต่างให้
 
“มึงไม่ต้องพูดเลย มึงไม่ได้มาเป็นกู มึงไม่รู้หรอก ถ้าแค่ต้องการความเป็นส่วนตัว มันจะไม่ทำแบบนี้ นี่มันจงใจหนีหน้ากู ถ้ามันไม่บอกกูตรง ๆ กูก็จะค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง” มันบอกอย่างมุ่งมั่น

ผมยืนหนักใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น พี่เป้ที่พยายามหนี กับไอ้เต้ยที่พยายามจะวิ่งตาม ผมไม่รู้ว่าใครจะเป็นฝ่ายที่เหนื่อยและยอมแพ้ไปก่อน
 
แต่ที่แน่ ๆ พวกเขาจะเหนื่อย และเจ็บด้วยกันทั้งคู่
 
ผมพูดอะไรมากไม่ได้ เพราะถ้าขืนผมพูดอะไรมากไปกว่านี้ มันต้องรู้เรื่องที่ผมรู้แน่ ๆ
 
 
 
 
 
 

 
ผมกลับเข้าบ้านหลังจากไปส่งไอ้เต้ยกลับบ้านมันแล้ว บ้านเงียบเอามาก ๆ ผมเดินขึ้นห้อง ทิ้งตัวนอนหงายบนเตียงกว้าง แล้วดวงหน้าของใครบางคนก็ลอยเด่นขึ้นมากลางเพดานขาว ใบหน้าหล่อ ๆ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ รวมถึงน้ำเสียงนุ่ม ๆ นั้นด้วย
 
พี่เป้รักไอ้เต้ย และไอ้เต้ยก็รักพี่เป้
 
แล้วผมล่ะ รู้สึกยังไงกับพี่เอก
 
แล้วพี่เอกล่ะ คิดยังไงกับผม
 
ผมไม่รู้ความรู้สึกตัวเอง และผมก็ไม่รู้ความรู้สึกของพี่เอกด้วย
 
ถามว่ารักไหม ตอบได้เลย…
 
...ผมไม่รู้
 
ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกของคำว่ารักนั้นเป็นแบบไหน มันจะเหมือนหรือแตกต่างกับความรักที่ผมมีให้กับพ่อแม่  หรือเพื่อนอย่างไอ้เต้ยหรือเปล่า
 
...ผมไม่รู้
 
แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เวลาที่ได้อยู่ใกล้ ๆ พี่เอก
 
รู้สึกอบอุ่น แม้เพียงแค่ได้ยินเสียงทุ้มนุ่ม ๆ แบบนั้น
 
และรู้สึกวาบหวิวไปกับทุกสัมผัสจากเขา แม้เพียงแค่สายตาก็เถอะ
 
 






 
 
 
 
 
วันพรุ่งนี้มีงานนิทรรศการของมหาลัยครับ เห็นพวกพี่เอกวิ่งวุ่นกันใหญ่ ส่วนผมก็ตื่นเต้นลุ้นภาพที่ผมส่งเข้าประกวดทั้งสามภาพ ติดสักภาพก็ยังดี ไม่หวังสักรางวัลหรอก ขอแค่ผ่านเข้ารอบคัดเลือก 20 ภาพก็พอ
 
เพราะทั้งยี่สิบภาพนี้จะถูกจัดโชว์ไว้ในแกลลอรี่ของมหาลัยเหมือนกัน
 
ไอ้เต้ยมันอดทนจริง ๆ มันไปหาพี่เป้ที่ร้านทุกเย็น ถึงพี่เป้จะทำตัวเย็นชาใส่มันขนาดไหนก็เถอะ ผมเองก็พลอยลุ้นไปด้วย ลุ้นให้มันยอมแพ้ไปเอง หรือไม่ก็ลุ้นให้พี่เป้เอาชนะใจตัวเองให้ได้เร็ว ๆ ก็พอ


 
“ไอ้กาย มึงจะนั่งขัดอีกนานไหม กล้องมึงน่ะ ขัดจนเลขมันจะขึ้นอยู่แล้ว”
 
“อย่ายุ่งน่า กูกำลังอาบน้ำให้ลูกชายกูอยู่”

มันส่ายหน้าเอือม ๆ ไปมา
 
“กูว่าสักวันกูต้องพามึงเข้าโรงบาลศรีธัญญาแน่ ๆ”

ผมไม่สนคำพูดมัน ยังตั้งหน้าตั้งตาขัดลูกชายหัวแก้วหัวแหวนต่อไป
 
“เฮ้ย กายไปกับกูหน่อย”

ผมที่กำลังนั่งหรี่ตามองหาเศษฝุ่นอยู่ปลิวหวือไปตามแรงลากของมัน
 
“เฮ้ย!! จะไปไหน”
 
มันไม่ตอบครับ แต่พาผมมายืนแอบอยู่ข้างต้นไม้แถวตึกวิศวะ ปลายสายตาของเราคือพี่เป้ครับ กำลังยืนคุยอยู่กับสาว ๆ ไอ้เต้ยมันยื่นหน้าออกไปดู
 
“มันเดินหนีกูแม้แต่ในมหาลัย” มันพูดเบา ๆ ให้ผมได้ยิน

อ๋อ มิน่าล่ะ มันถึงได้ถ่อไปหาพี่มันถึงร้านกาแฟทุกวัน เพราะที่นั่นพี่เป้จะหนีมันไม่ได้
 
“เฮ้ย!! ไอ้เต้ย”
ผมรีบคว้ามันไว้ แต่คว้าได้แค่อากาศ มันเดินไปหาพี่มันแล้ว
 
“พี่เป้” มันเรียก
 
ผมรีบหดหัวกลับเข้าไปที่เดิม ไม่อยากให้พี่เป้รู้ว่าผมอยู่ตรงนี้
 
“มีเรื่องจะคุยด้วย”

เห็นพี่เป้ทำหน้านิ่ง ๆ หันหลังเตรียมจะเดินหนี แต่ถูกไอ้เต้ยฉุดเอาไว้ก่อน
 
โห พี่เป้ พระเอกมิวสิคมากมาย หน้าปูนซีเมนต์ได้ใจ
 
“พี่ต้องรีบไปทำงานที่สภาต่อ แค่นี้นะ”
พูดจบก็เดินหนีไปเลย ไอ้เต้ยยืนกำหมัดแน่น ท่าทางแบบนั้น มันคงพยายามกลั้นน้ำตาแน่ ๆ ผมรีบเดินเข้าไปปลอบมัน
 
“ไม่เป็นไรนะเต้ย”
 
มันรีบปาดน้ำตาที่กำลังหล่นแหมะทิ้ง
 
“กูไม่เป็นไร แค่นี้กูไม่ยอมแพ้หรอก กูว่าพี่เป้ต้องมีปัญหาแน่ ๆ กูไม่รู้ว่ามันปิดบังอะไรไว้ แต่กูจะช่วยพี่มัน”
 
กูว่ามึงอย่ารู้เลย
 
“เต้ย เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่สมควรจะรู้นะ”
 
มันหันขวับมามอง หรี่ตาจ้องหน้าผมใหญ่ ผมเหงื่อแตกพลั่ก
 
ผมเคยบอกรึยัง ว่าไอ้นี่มันหัวไว
 
“มึงรู้อะไร” นั่นไงล่ะ
 
“ก็แค่เดาเอาว่า พี่เป้คงไม่อยากเล่าให้มึงฟัง เอิ่ม…บางทีอาจเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับมึงโดยตรง หรือไม่ …เรื่องนั้นอาจทำให้คนเป็นน้องอย่างมึงไม่สบายใจก็ได้” ผมอ้อมแอ้มพูดเหมือนคาดเดา

หวังว่าตัวเองจะไม่หลุดอะไรออกไปนะ
 
“อันนั้นกูรู้”
 
อ้าว..
 
กูโง่ใช่ไหม ที่ไม่รู้ว่ามึงรู้
 
“กูรู้ว่ามันต้องมีบางเรื่องที่มันพยายามปิดบังกูอยู่ กูแค่อยากรู้ว่าเรื่องอะไร แค่นั้นแหละ”
 
ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ
 
ผมพูดได้แค่นี้ครับ ขืนพูดมากกว่านี้ คงเป็นผมเองที่ทำความลับพี่เป้แตก
 



สรุป ผมต้องเลยตามเลย ตามน้ำไปกับมันก่อน แล้วค่อยหาทางฉุด ๆ ให้มันออกห่างพี่เป้อีกที มันขอตัวไปเข้าห้องน้ำในขณะที่ผมยืนรออยู่ตรงจุดเดิม คิดทบทวนหาหนทางในการช่วยพี่เป้อีกที
 
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้” 

ผมสะดุ้งเฮือก หันไปมองคนที่มายืนขนาบอยู่ด้านหลัง
 
นี่ผมเป็นพวกความรู้สึกช้า หรือพี่เอกเป็นพวกย่องเบากันแน่นะ มาทีไรไม่เคยรู้ตัวเลย พี่ท่านยืนกอดอกทำหน้านิ่ง ๆ ตามสไตล์
 
“มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
พี่มันถามอีกทีเมื่อคำตอบยังไปไม่ทันใจ
 
อย่าใจร้อนสิพี่ ผมกำลังวิเคราะห์ความเฉื่อยของผมอยู่
 
“รอเต้ยมันน่ะ มันไปเข้าห้องน้ำ”
เมื่อกี้มันร้องไห้ไปเยอะ กลัวเดินผ่านคณะศิลปกรรมแล้วไม่หล่อ ตกลงมันห่วงพี่มันหรือห่วงหล่อมากกว่ากันวะ
 
พี่เอกพยักหน้า หันไปตามเสียงเรียกของพี่อิงที่ตะโกนเรียกอยู่ไม่ห่าง พี่อิงโบกมือให้ผมที แล้วหันกลับไปสั่งงานกับเด็กปีสามต่อ
 
“วันนี้เลิกเรียนกี่โมง”
พี่เอกถามกลับ ผมละสายตาจากพี่อิงมามอง
 
“ตอนบ่ายมีเรียนสองวิชา สี่โมงก็กลับแล้ว”
 
พี่มันทำท่าคิด เสียงพี่อิงแหกปากเรียกดังกว่าเดิม พี่เอกทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง ก่อนหุบปากแล้วเดินจากไป
 
ผมมองตามงง ๆ สักพักไอ้เต้ยก็มา
 
“ป่ะ ไปกันเถอะ”
มันชวน มันคงไม่ทันเห็นพวกพี่ ๆ เขา
 
ผมเดินไปกับมัน แต่แอบหันไปมองคนที่ทำหน้าซีเรียสในกลุ่มเพื่อนอีกนิดหน่อย
 
เมื่อกี้พี่มันจะพูดอะไร…
 
 
 

(ต่อด้านล่าง)
 
 
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05-08-2012 21:32:07 โดย memew »

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :

 (ต่อจากด้านบน)
วันนี้คงเป็นวันที่โกลาหลที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แต่ก็ตื่นตาตื่นใจดี ผู้คนเดินกันยั้วเยี้ย มีซุ้มต่าง ๆ พร้อมกับการแสดงเป็นจุด ๆ เสียงประกาศ เสียงเพลง เสียงผู้คนเซ็งแซ่ ดังระงมไปหมด
 
แต่ผมไม่สนใจครับ จุดเดียวที่ผมต้องการไปคือโซนแกลลอรี่ประกวดภาพถ่ายเท่านั้น
 
พอมาถึง ผมรีบลากไอ้เต้ยตรงไปยังโซนของภาพที่ผ่านการประกวดทันที พวกเขาเผยโฉมภาพที่ผ่านการคัดเลือกแล้ว ภาพที่ผ่านมีทั้งหมด 20 ภาพ แต่เห็นจริง ๆ มีแค่ 17 ภาพ เพราะอีกสามภาพเป็นภาพที่ได้รับรางวัลชนะเลิศที่หนึ่งถึงที่สาม ซึ่งตอนนี้มันตั้งอยู่บนเวที และถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวพร้อมหมายเลยบอกรางวัลบนหัว         
 
เวทีเป็นเวทีที่สร้างจากโต๊ะคลุมด้วยไม้กระดานอีกที สูงประมาณเอว ด้านหลังเขียนบอกรายละเอียดเกี่ยวกับงานอีกนิดหน่อย ซึ่งตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาประกาศผล
 
ผู้คนทั้งในและนอกมหาลัย ต่างพากันแวะเวียนเข้ามาชื่นชมผลงานที่ผ่านการคัดเลือกไม่หยุด ผมกวาดมองทุกภาพที่อยู่ภายใน
 
...แต่ปิ๋วครับ…
 
ไม่มีภาพของผมสักใบ
 
“กูชวดว่ะเต้ย”
ผมบอกมันเสียงเหี่ยว ไอ้เต้ยตบไหล่เบา ๆ
 
“ไม่แน่นะกาย…”
มันชี้ไปยังภาพถ่ายที่แปะรางวัลที่หนึ่งไว้
 
“นั่นอาจเป็นภาพของมึงก็ได้”
มันพูดแล้วทำท่าเกาคางคิด
 
“แล้วกูขอเดานะ…”
มันนิ่งไปหลายอึดใจ
 
“กูว่าภาพที่ได้รางวัลน่าจะเป็น…”
 
ผมนิ่งฟังมันว่าไป
 
“กบกินแมลงของมึงแหงม ๆ ว่ะฮ่า ๆ ๆ”
 
อยากตืบมันสักที =*=
 
“ภาพนั้นถ่ายยากนะเว้ยเฮ้ย กว่าจะถ่ายได้”
 
“เอ้อ กูเข้าใจ คุกเข่ารอร่วมชั่วโมง มึงนี่เป็นพวกความอดทนเป็นเลิศจริง ๆ ว่ะ กูเห็นตั้งแต่มึงไปนั่งจ้องเด็กดอยกินขนมแล้ว สุด ๆ ไปเลย นี่ถ้ากูไม่ใช่เพื่อนสนิทที่เห็นว่ามึงรักการถ่ายภาพนะ กูจะคิดว่ามึงเป็นพวกเด็กเอ๋อแน่ ๆ”
 
มันว่าพาเอาผมรู้สึกอายตัวเองขึ้นมาทันที เคยโดนแม่ด่าอยู่เหมือนกัน เวลาที่ผมชอบจ้องอะไรนาน ๆ เพื่อหาช็อตถูกใจ บางทีนั่งจ้องยืนจ้องได้เป็นชั่วโมง ๆ
 
ผมพ่นลมหายใจทิ้ง ยกกล้องขึ้นมาถ่ายสามภาพที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าขาวติดหมายเลขอีกที ที่นี่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ครับ แต่ห้ามเอาไปลอกเลียนแบบเท่านั้นเอง ผมยืนถ่ายหลาย ๆ มุม ถึงไม่มีภาพผมอยู่เลยสักใบ ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ อย่างน้อยก็ได้ส่งเข้าประกวดละนะ
 
ผมเล็งกล้องถ่ายภาพไปเรื่อย ๆ จนแพนไปเจอไอ้เต้ย

แม้ฉากหลังของมัน จะเต็มไปด้วยผู้คนที่มีใบหน้าประดับรอยยิ้ม บ้างคลุกเคล้าเสียงหัวเราะ แต่ใบหน้าของมันกลับเคลือบไปด้วยความเศร้า
 
ผมแพนกล้องไปยังปลายสายตามัน สิ่งที่เห็นคือพี่เป้ที่ถูกห้อมล้อมด้วยเพื่อน ๆ รวมถึงสาว ๆ ก่อนแพนกล้องกลับมาที่มันต่อ
 
ผมลั่นชัตเตอร์ทันทีที่เห็นดวงตามันคลอไปด้วยหยาดน้ำ
 
ก่อนกดอีกครั้ง เมื่อหยาดน้ำเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำเกาะค้างไว้ที่กลางดวงตาล่าง
 
และกดอีกครั้ง เมื่อน้ำตาหยดนั้นกลิ้งตกลงมาที่แก้ม
 
และอีกหลาย ๆ ครั้ง ตอนที่น้ำตาเหล่านั้น ไหลรินลงมาเป็นสาย
 
ผมรู้ว่ามันกำลังเศร้า ผมรู้ว่าตัวเองเป็นเพื่อนสนิท และมีหน้าที่ปลอบใจเพื่อน
 
แต่ตอนนี้ ผมอยากได้งานศิลปะอันทรงคุณค่า ที่มาจากความรู้สึกที่แท้จริง จากความรู้สึกจริง ๆ ที่ไม่เสแสร้ง ของคนคนหนึ่งที่ถูกเมินอย่างไร้เหตุผล...
 
…จากคนที่รัก


ผมยืนถ่ายใบหน้าด้านข้างของมัน ก่อนที่มันจะหันหน้ามองตรงมาทางผม ผมยังกดถ่ายมันไม่หยุด แม้กระทั่งตอนที่มันกำลังใช้หลังมือปาดน้ำตามันออกก็ตาม
 
“มึงจะถ่ายทำเชี่ยอะไร!”
มันด่าครับ มือก็ยังปาดน้ำตาป้อย ๆ
 
“กูไม่ได้ถ่ายตัวเชี่ย แต่กูถ่ายมึง”
ผมเถียงไปในขณะลั่นชัตเตอร์
 
มันชินแล้วล่ะครับ ผมถ่ายมันบ่อย มันหันไปมองพี่เป้อีกที ปากบางเม้มแน่น เหมือนคนกำลังตัดสินใจหรือมุ่งมั่นที่จะทำอะไรสักอย่างอยู่
 
พอผมถ่ายมันจนหนำใจ ก็แพนกล้องกลับไปหาพี่เป้ต่อ แล้วลั่นชัตเตอร์อีกที แต่ถ่ายไปได้แค่สองสามภาพ เลนกล้องผมก็ถูกบดบังจากสีขาว ๆ ของอะไรสักอย่าง ผมลดกล้องลงมองคนที่บังอาจมาบดบังทัศนีย์ภาพของตัวเอง
 
“พี่เอก”
เหมือนเป็นคีย์เวิร์ดไปแล้วครับ เจอพี่มันทีไร ผมต้องเรียกชื่อก่อนทุกที พี่เอกทำหน้านิ่ง ๆ
 
“จะถ่ายพี่ก็ขอกันดี ๆ หน่อยสิ ค่าตัวพี่แพงนะ”
 
ผมเบ้หน้า
 
“รอผลรางวัลอยู่เหรอ”
ปากพี่มันถาม ตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ สงสัยกำลังหาอยู่ว่าภาพของผมคืออันไหน
 
ผมพยักหน้า
 
“ปิ๋วแล้วล่ะ ไม่ติดสักภาพ เสียดายแต่หน้าหล่อ ๆ ของพี่นั่นแหละ คิดว่าจะได้มาโชว์ในงานนี้ซะอีก”
ผมบอกปลง ๆ
 
พี่เอกเปลี่ยนสีหน้านิดหน่อย ก่อนกลับมาราบเรียบเหมือนเดิม พี่แกมองไปรอบ ๆ อีกที ก่อนหยุดมองไปยังสามภาพที่ถูกผ้าปิดเอาไว้บนเวที 
 
“อ้าว นั่นยังไม่ได้เปิดนี่”
 
“โธ่พี่ รางวัลใหญ่ขนาดนั้น ผมไม่หวังหรอก”
 
อันนี้ผมพูดจริง ๆ เพราะปีที่แล้ว ภาพของคนที่ได้รับรางวัลและผ่านเข้ารอบยี่สิบคนสุดท้ายนั้นสวยเอามาก ๆ และปีนี้ รุ่นพี่เหล่านั้นก็ส่งเข้าประกวดกันอีก ผมไม่หวังที่หนึ่งสองหรือสามหรอก หวังแค่ว่า ภาพผมสักภาพ จะติด 1 ใน 20 บ้างก็พอ
 
“คิดในแง่ดีไว้สิ” พี่มันปลอบ
 
ผมยิ้มกว้าง
 
“กาย.. ไงได้สักรางวัลไหม” 
พี่อ้อยครับ นำทีมพวกเพื่อน ๆ เดินเข้ามาหา ผมส่ายหัว พยักหน้าให้พวกพี่ ๆ มองไปยังภาพในแกลกันเอง
 
“โหย สวย ๆ กันทั้งนั้นเลยว่ะ”
พี่โอมครับ พ่วงท้ายด้วยสาว ๆ สองสามคน
 
ที่พวกพี่ ๆ มาแกร่วกันแถวนี้ได้ เพราะซุ้มของพวกคณะกรรมการดูแลงานอยู่ข้าง ๆ แกลผมพอดี (สงสัยเป็นเรื่องบังเอิญ)
 
“ไม่แน่นะกาย ของกายอาจเป็นหนึ่งในภาพพวกนั้นก็ได้”
พี่โอ๊คเดินมาให้กำลังใจเสียงนุ่ม ผมยิ้มรับ
 
“ผมก็หวังงั้น”
 
“ถ้าไม่ได้พี่เลี้ยงขนมปลอบใจเราร้อยหนึ่งเลยเอ้า”
พี่อิงหยิบแบงค์ร้อยมาคีบไว้
 
“พี่ให้สองร้อยเลยเอ้า”
พี่อ้อยเอาบ้าง
 
“กูให้มึงห้าร้อยเลย”
ไอ้เต้ยมันเสนอขึ้น
 
“โห มึงจะทุ่มไปไหมเต้ย”
ผมหันไปพูดกับมัน
 
“กูปลอบใจมึงไง แต่มึงต้องเลี้ยงข้าวกูอาทิตย์หนึ่งเต็ม ๆ”
 
“ไอ้เลว งั้นมึงไม่ต้องมาปลอบใจกูเลย”
ผมด่ากลับ มันหัวเราะร่วน
 
“งั้นพี่ให้ห้าร้อยด้วย ถ้าไม่ได้สักรางวัลน่ะนะ”
พี่ปิงเห็นเงียบ ๆ ก็ยังเสนอกับเขา คราวนี้พากันเสนอยกฝูงเลยครับ งานนี้ถ้าผมไม่ได้สักรางวัล ผมก็จะได้เงินกลับบ้านร่วม ๆ ห้าพันได้มั้ง
 
...หวานแมวครับงานนี้
 
“อ้าว แล้วถ้าเกิดผมได้รางวัลขึ้นมาจริง ๆ ล่ะ”
 
พวกพี่ ๆ ทำท่าคิด
 
“งั้นนายก็เป็นเจ้ามือเลี้ยงพวกเรากลับละกัน”
 
ผมยิ้ม “ก็ได้ฮะ แต่ไปทำกินกันเองที่บ้านนะ งบผมไม่เยอะ”
 
“อ้าว กลัวอะไรล่ะ พ่อบุญทุ่มก็มี”
 
ผมขมวดคิ้วกับคำพี่กิ๊ฟ พี่มันยักคิ้วไปทางพี่เอก พี่แกหน้าเหวอ ทุกสายตาหันไปมองพี่แกเหมือนกัน
 
“มึง.. ถ้ากายได้รับรางวัล มึงต้องเป็นเจ้ามือนะ”
พี่กิ๊ฟโยนขี้ไปให้พี่เอกครับ ตอนแรกพี่แกทำท่าจะปฏิเสธ แต่ก็เงียบ มองหน้าเจ้าเล่ห์ๆ ของพี่กิ๊ฟสลับกับผม
 
พี่แกถอนหายใจเบา ๆ
 
“เออ ก็ได้ ๆ วันเกิดของมึงทั้งทีนี่”
 
เอ้อ! จริงด้วย วันนี้วันเกิดพี่กิ๊ฟนี่นา
 
พี่กิ๊ฟยิ้มรื่น
 
อ๋อ…
 
ที่แท้ก็เอาผมมาอ้าง เพื่อหาเจ้ามือเลี้ยงวันเกิดตัวเองนี่เอง
 
“พี่กิ๊ฟเจ้าเล่ห์” ผมว่า พี่แกยิ้มรับ
 
“ถึงไม่ใช่วันเกิดพี่ ถ้ากายขอ รับรองเอกมันให้อยู่แล้วล่ะ” พี่มันยักคิ้วใส่เพื่อนตัวเอง ส่วนพี่เอกยืนนิ่ง ๆ ไม่ตอบโต้อะไร
 
พี่แกพูดจริงหรือพูดเล่นหว่า?
 
แล้วจะมาทุ่มทำไม ไม่เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย
 
 
 
 
สักพักพวกพิธีกรก็ยกโขยงกันขึ้นไปบนเวที เสียงประกาศเตรียมพร้อมและเชิญชวน ดึงดูดผู้คนโดยรอบให้หันมาสนใจ
 
ผมยืนตื่นเต้นมากกว่าเดิม โดยมีพวกพี่ ๆ ยืนเป็นฉากหลังให้กำลังใจ
 
ภาพที่ได้รับรางวัลในงานนี้ จะถูกจัดโชว์ในแกลหลักของมหาลัย แถมยังได้นำไปโชว์ในแกลมีชื่ออย่าง C-Art อีกต่างหาก
 
ถ้าบังเอิญผมทำได้ ก็แจ้งเกิดครับงานนี้ แต่ถ้าไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นประสบการณ์ของชีวิต
 
ไอ้เต้ยยืนให้กำลังใจผมอยู่ข้าง ๆ มันก็ไม่ต่างกับแม่ผมหรอก พร้อมที่จะให้กำลังใจผมเสมอ ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน ๆ ก็ตาม
 
“ปีนี้มีภาพส่งเข้าประกวดเยอะกว่าทุกปี อาจเพราะปีนี้ ทางมหาลัยเราได้รับเกียรติจากคุณชรินทร์ อิทธิเดชา มาเป็นคณะกรรมการพิเศษให้ คุณชรินทร์ เป็นนักถ่ายภาพที่มีชื่ออันดับต้น ๆ ของไทยเรา เพราะงั้นภาพไหนที่ผ่านการคัดเลือก ถือว่าได้รับเกียรติอย่างสูง”
 
ยิ่ง พูดยิ่งตื่นเต้นครับ ผมปรบมือเสียงดังกว่าใคร ๆ เมื่อพิธีกรเชิญคณะกรรมการพิเศษขึ้นไปยืนบนเวที คุณชรินทร์เป็นนักถ่ายภาพที่ผมปลื้มเอามาก ๆ
 
เขาเป็นต้นแบบของผมเชียวนะ ผม มีอัลบั้มภาพถ่ายของเขาทุกอัน และตามไปดูงานของเขาบ่อย ๆ ด้วย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตัวเป็น ๆ ชัด ๆ ขนาดนี้ เพราะปกติ เขาไม่ค่อยจะอยู่เมืองไทยเท่าไหร่นักหรอก
 
เขาสอนเสมอว่า ให้ถ่ายภาพด้วยหัวใจ เพราะงั้น ผมจึงใช้หัวใจในการถ่ายภาพ จนลืมร่างกายตัวเองเป็นประจำ
 
คุณชรินทร์เป็นช่างภาพมืออาชีพที่ถูกนิตยสารและหนังสือหลายเล่มจองตัวให้ทำงาน เพราะงานที่แกถ่ายออกมา นอกจากจะสวยแล้ว ยังดูมีชีวิตชีวาอีกด้วย
 
เขาเดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ภาพถ่ายทั้งสาม แล้วพูดอะไรนิดหน่อย ผมยืนมองด้วยความปลาบปลื้ม ยิ่งรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่คัดภาพทุกภาพที่ส่งเข้าประกวดด้วยตัวเอง ยิ่งทำให้ผมแก้มบานยิ่งกว่าเดิม ถึงไม่ได้สักรางวัล อย่างน้อย ภาพของผมก็ผ่านตาเขาบ้างแล้วล่ะนะ 
 
แค่นี้ผมก็พอใจแล้วล่ะครับ


 
กล้องหลายตัว พากันสาดแสงใส่คุณชรินทร์พร้อมภาพภายใต้ผ้าขาวที่แกกำลังจับอยู่ ผมยกกล้องที่คล้องคออยู่ขึ้นจ่อที่ดวงตา วางมือไว้บนปุ่ม เตรียมลั่นชัตเตอร์ใส่ภาพที่กำลังจะถูกเปิดออก

มาถึงตอนนี้ ผมเลิกหวังไปแล้วล่ะครับ ว่าจะได้รางวัลหรือไม่ได้ เพราะผมกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการหาช็อตเด็ด เพื่อเก็บไว้ในคลังภาพของตัวเอง
 
ผ้าขาวเคลื่อนที่ออกจากภาพช้า ๆ จากล่างขึ้นบน ผมผ่อนลมหายใจให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้ภาพที่ผมกำลังจะถ่ายสั่นไหว
 
...ถ้าหยุดหายใจได้ ผมก็จะทำ...
 
สีเขียวคือสิ่งแรกที่ผมเห็น ผมลั่นชัตเตอร์ไปแล้วสองภาพ พอผ้าหลุดไปได้ครึ่งทาง ผมก็ลั่นชัตเตอร์ไปอีกสามภาพ และทันทีที่ผ้าหลุดออกจากภาพ ผมกดไปอีกหนึ่งที
 
…และหยุดนิ่งเอาไว้แค่นั้น
 
เพราะตอนนี้ สิ่งที่ผมเห็นผ่านเลนก็คือ...
 
กบตัวหนึ่งกำลังตวัดลิ้นกินแมลงอยู่
 
“กะ กาย”
เสียงไอ้เต้ยครับ มันกระชากเสื้อที่ไหล่ผมแรง ผมยังถือกล้องค้างไว้ท่าเดิม ก่อนจะกดแชะตอนมือคุณชรินทร์เคาะลงบนหัวภาพเบา ๆ
 
“ผมชอบภาพนี้นะ จริง ๆ ภาพแบบนี้ถ้าถ่ายด้วยกล้องอัตโนมัติจะง่าย แต่ได้ข่าวว่า คนถ่ายนั่งคุกเข่ารอเวลาให้กบกินแมลงเป็นชั่วโมงเชียว คนที่ใส่ใจถ่ายภาพแบบนี้ ถ้าใจไม่รักจริงคงทำไม่ได้ ผมเคยลองทำมาแล้วครั้งหนึ่ง ขาชาไปเป็นอาทิตย์ เลยไม่คิดจะทำอีก”
คุณชรินทร์พูดติดตลก
 
ผมยังช็อคอยู่ครับ กล้องยังค้างไว้ที่ตาจนพี่เอกต้องกดมันลงให้
 
“กบกินแมลงของนายได้รางวัลที่สามแน่ะ”
พี่แกบอกยิ้ม ๆ
 
ปากผมมันอ้าค้างไว้หน่อย ๆ จนพี่แกต้องมาจับปิดให้
 
“ดีใจด้วยนะกาย…แต่มึงอ่ะ ต้องเลี้ยงพวกกู”
พี่มอหันมาแสดงความยินดีกับผม ก่อนหันไปทวงสัญญากับพี่เอก
 
พิธีกรบนเวทีกล่าวเชิญเจ้าของภาพขึ้นไปบนเวที ผมทำท่ายึกยัก คือ..ไม่อยากเด่นอ่ะครับ ไอ้เต้ยกับพี่มอช่วยกันรุนหลังผมเบา ๆ ให้เดินขึ้นเวที ผมจับกล้องที่คล้องคอไว้ เดินก้มหน้าขึ้นไปบนเวที
 
“ยินดีด้วยนะ”
คุณชรินทร์ทักก่อน ผมงี้มือสั่นเลยตอนเขายื่นมือมาจับ คุณชรินทร์ส่งยิ้มอบอุ่นมาให้ ทำเอาผมต้องยิ้มเขิน ๆ ตอบรับ
 
“มือเย็นเชียว”
 
ผมยิ้มรับอีกที

“ฮะ ตื่นเต้นที่ได้เจอคุณมากกว่าภาพถ่ายได้รับรางวัลซะอีก”

คุณชรินทร์นิ่งไปพัก แล้วคลี่ยิ้ม
 
“ดีใจจังที่มีคนปลื้ม”
 
ผมยิ้มให้อีกที
 


พิธีกรสอบถามเกี่ยวกับแรงบันดาลใจ และวิธีการถ่ายภาพของผมบนเวทีอีกนิดหน่อย ผมก็อ้อมแอ้มตอบไป
 
อายครับ คนเต็มหน้าเวทีมองมาที่ผมเป็นตาเดียว ไม่อยากเด่นด้วย สอบถามกันอยู่สักครู่ ผมก็รีบก้าวฉึบ ๆ ลงจากเวที ใจจริงอยากยืนอยู่กับคุณชรินทร์นานกว่านี้
 
แต่เอาแค่นี้ก็พอครับ
 
ปลื้มไปทั้งชีวิตแล้ว T^T

 
“ต่อไปเป็นรางวัลที่สองนะคะ”
พิธีกรหลักประกาศตามหลัง ผมกลับมายืนที่เดิม พวกพี่ ๆ พากันขยี้หัวผมกันยกใหญ่ ผมหันกลับไปมองเวที ยกกล้องขึ้นจ่อไว้ที่ดวงตา เตรียมถ่ายภาพรางวัลที่สองต่อ
 
ผ้าขาวเคลื่อนที่ขึ้นสูง เสี้ยวแรกที่เห็นคือความมืด ผมกดถ่ายไปสองสามช็อต ก่อนผ้าขาวจะเคลื่อนที่ไปถึงครึ่งภาพ
 
ผมกดไปอีกแชะแล้วค้างกล้องไว้แค่นั้นครับ
 
แค่ครึ่งเดียว ผมก็จำได้แล้ว ว่าภาพนั้นเป็นของใคร
 
จะเป็นของใครไปได้ ถ้าไม่ใช่…
 
…ของกูเอง = =
 

พอผ้าขาวถูกเปิดออกจนหมด สิ่งที่เห็นก็คือ…
 
เด็กหญิงในชุดแม้วคนหนึ่ง กำลังนั่งยอง ๆ อยู่บนพื้นดิน หน้าตามอมแมม แก้มซ้ายเปื้อนคราบน้ำมูกไปแถบ ผมสั้นเต่อหน้าม้า เสื้อผ้าลุ่ย ๆ มือถือขนมกำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน ๆ
 
ภาพเด็กซกมก
 


คือ…
 
ภาพแรกได้รางวัลก็ว่าอึ้งแล้ว นี่ภาพผมได้ตั้งสองรางวัลเชียว
 
“และเจ้าของรางวัลที่สองนี้ ก็เป็นเจ้าของเดียวกับเจ้าของรางวัลที่สามค่ะ”

ผู้คนในงานพากันฮือฮา มองมาทางผมเป็นตาเดียว
 
ไม่ต้องมองกันก็ได้
 
กูอาย
 
พวก พี่เอกพากันโห่ฮิ้วเฮดังลั่น แสดงความดีใจเวอร์ ๆ เหมือนตัวเองเป็นเจ้าของภาพนั้นซะเอง ผมก้มหน้าด้วยความอับอาย พี่เอกแตะไหล่ผมเบา ๆ พอ ๆ กับไอ้เต้ยที่ตบหลังตบไหล่ผมยกใหญ่ รุนหลังให้ขึ้นเวทีอีกรอบ
 
“ไปเหอะมึง” มันพูดยิ้ม ๆ

ผมจำต้องเดินขึ้นเวทีอีกรอบด้วยท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งกว่าเดิม ดีกรีความอายมากกว่าเดิมอีกหลายร้อยเท่า คุณชรินทร์ยิ้มอบอุ่นให้เหมือนเคย งานนี้ไม่ต้องจับมือ ไม่ต้องพูดจาทักทายแนะนำตัวกันแล้ว
 
“รู้ไหม ผมชอบภาพนี้เพราะอะไร”
 
ผมส่ายหน้าปฏิเสธ
 
“เพราะคุณเลือกมองในมุมที่คนอื่นไม่มองยังไงล่ะ”
 
ผมกระพริบตาปริบ ๆ ตามแบบฉบับของตัวเอง หรือที่ไอ้เต้ยมันเคยบอกไว้ว่า ..กระพริบตากวนส้นนั่นแหละ…
 
“เป็นภาพที่ให้ความรู้สึกเหมือนโอบล้อมไปด้วยตัวตนที่แท้จริงของบุคคลน่ะ”
คุณชรินทร์ว่าต่อ ผมอมยิ้ม
 
พิธีกร ถามคำถามเดิมครับ ผมก็ตอบไปตามจริง พวกที่อยู่ข้างล่างพากันปรบมือกันยกใหญ่ ผมยิ้มเขิน กำลังจะก้าวลงจากเวที แต่คุณชรินทร์รั้งไว้ก่อน
 
“ไม่ต้องลงหรอก อยู่ด้วยกันนี่แหละ”
 
ผม ทำหน้างง ๆ แต่คุณชรินทร์ชวนซะอย่าง ไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว ผมยืนตกประหม่าอยู่ข้าง ๆ พอมองลงไปบนเวที เห็นพวกพี่ ๆ เป่าปาก ยกไม้ยกมือทักทายกันใหญ่
 
ส่วนพี่เอกแค่ยืนกอดอก ส่งยิ้มบางเบามาให้เท่านั้น
 
ในระหว่างที่พิธีกรกำลังพูดเพื่อเตรียมประกาศรางวัลที่หนึ่ง ผมก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายคนดู ซึ่งเป้าหมายแรกก็คือเขาคนนั้น ผมกดถ่ายไปภาพหนึ่ง

พี่เอกมองตาผมผ่านเลนกล้อง คลี่ปากส่งยิ้มบาง ๆ มาให้ ผมยิ้มรับ แล้วกดถ่ายไปอีกแชะ 

 
“รางวัลที่หนึ่ง”
 
ผมแพนกล้องกลับไปที่ภาพต่อ แต่เนื่องด้วยตัวเองอยู่บนเวที จึงต้องเลื่อนไปด้านหน้าเวทีนิด ๆ แล้วเอียงตัวเพื่อถ่ายภาพ
 
คุณชรินทร์เคลื่อนผ้าขาวขึ้นจากภาพเพียงเสี้ยวเดียวแล้วหยุดเอาไว้แค่นั้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือแสงสีส้ม ๆ ผมกดถ่ายไปแชะหนึ่งแล้วลดกล้องลง ผมเงยหน้ามองรอยยิ้มบาง ๆ จากคุณชรินทร์
 
เขากำลังจะดึงผ้าขึ้น ผมรีบเดินไปจับมือคุณชรินทร์เอาไว้ทันที
 
คือ…ทำใจไม่ทันครับ
 
เห็นแค่เสี้ยวเดียว ผมก็จำได้แล้ว ว่าภาพนี้เป็นภาพอะไร และเป็นภาพของใคร
 
เพราะมันเป็นภาพเดียวที่ผมนั่งมองมันทุกวัน วันและหลาย ๆ ชั่วโมง จดจำได้ทุกรายละเอียดของเส้นแสง ทุกเฉดสี ทุกรายละเอียดของอารมณ์ แม้แต่จุดเล็ก ๆ หรือรอยตำหนิด้านข้างของภาพ ผมก็จำได้หมด
 
ทุกคนพากันแปลกใจที่ผมหยุดมือคุณชรินทร์เอาไว้
 
“ผมว่าให้เจ้าของภาพเป็นคนเปิดเอาเองดีกว่า” คุณชรินทร์ละมือออก

ทุกคนพากันฮือฮา
 
ผมกำผ้าขาวในมือแน่น หัวใจเต้นโครมคราม มองไปที่พี่เอก ก่อนหันกลับมามองสิ่งที่อยู่ในมืออีกที ผมกำผ้าแน่นขึ้น ก่อนค่อย ๆ เคลื่อนที่ดึงมันขึ้นช้า ๆ
 
ทุกคนพากันเงียบกริบ
 
ภาพที่ปรากฏคือด้านข้างของชายหนุ่ม ที่กำลังทำหน้าเคลิบเคลิ้มไปกับแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยามเย็น เส้นแสงและสีสันที่นุ่มนวล มันให้ความรู้สึกอบอุ่นราวกับถูกโอบล้อมด้วยพระอาทิตย์เสียเอง
 
“ภาพนี้ ให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าคนในภาพ ไม่ได้มองพระอาทิตย์ แต่เขา…ได้กลายเป็นพระอาทิตย์ไปซะเอง”
คุณชรินทร์บอก
 
ครับ ตอนที่ผมถ่าย ผมรู้สึกเหมือนพี่เอกเป็นพระอาทิตย์ไปแล้วจริง ๆ ผมถึงได้ใช้ชื่อภาพว่า
 
‘ดั่งดวงอาทิตย์’
 
ไม่ใช่ ‘ดูพระอาทิตย์’ เหมือนคนทั่วไป
 
เพราะพี่เอกเป็นคนที่มีพลังเหมือนเป็นพระอาทิตย์จริง ๆ
 
ทั้งอบอุ่นและร้อนแรงในเวลาเดียวกัน
 

“ผมชอบตั้งแต่เห็นครั้งแรกแล้ว ทุกภาพมีพลังในตัวมันหมด แต่ภาพนี้ให้พลังที่เหนือกว่า”
 
ผมอมยิ้มกับคำวิจารณ์นั้น
 
พี่มอเป่าปากวี้ดวิ้ว แถมด้วยการตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ไอ้คนในภาพน่ะ!! เพื่อนผมเอง!!”
 
แล้วพี่มันก็ชี้มือไปที่พี่เอกยิก ๆ พี่เอกยืนลูบหัวทำหน้าเขิน พี่แกคงไม่คิดว่าตัวเองจะทำหน้าอบอุ่นได้ขนาดนี้ ผมส่งยิ้มให้พี่เอกไปที ทุกคนปรบมือให้ผมกับพี่เอกเสียงดังสนั่น
 
นี่คงเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ที่คนเพียงคนเดียว จะได้รางวัลถึงสามรางวัลขนาดนี้
 
‘ดั่งดวงอาทิตย์ เด็กซกมก กับกบกินแมลง’
 
สามภาพที่ผมภาคภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองรัก
 
ตอนนี้ผมอยากโทรหาแม่ซะแล้ว โทรไปบอกแก ว่าผมได้ทำในสิ่งที่ผมรัก และได้รับการยอมรับจากคนที่ผมนับถือแล้วด้วย



           To Be Con...
          ยิ้มไม่หุบกันทีเดียวเชียวกับตอนนี้ ขอแสดงความยินดีกับน้องกายด้วยนะคะ ที่ได้รับรางวัลตั้งสามรางวัลเชียว จริง ๆ น่าจะมีอีกรางวัลมอบให้น้องกายนะ "รางวัล ความอดทนเป็นเลิศ" หึหึ (ทั้งอดทนถ่ายภาพ และอดทนรองรับความหื่นของไอ้พี่เอก กร้ากกกก >//////<)

           ตอนที่แล้วพี่เอกเดินสบัดสบอมเข้ามาหา ชี้หน้าทำตาดุ ๆ ใส่
           "กูจะโดนคนอ่านตืบเพราะบทที่มึงให้นั่นแหละ" (อุ้ยพี่เอกหยาบคาย -//-)
           "หึหึ แหมพี่เอกก็ ก่อนรับบทก็บอกแล้วนะ ว่าพระเอกเรื่องนี้มีนิสัยยังไง ยิ่งโดนเกลียดมากพี่ยิ่งดังมากนะเออ เอาน่า ซีวอนในน้องซินโดนด่ากว่าพี่เยอะ โดนแค่นี้จิ๊บ ๆ พี่ยังต้องเจอเยอะกว่านี้อีกนะ หึหึ
           "หา! มีเลวกว่านี้อีกเรอะ" พี่เอกทำตาโต คนเขียนพยักหน้า แล้วพี่มันก็เดินตูดงอนหนีไปเลย ฮ่า ๆ ๆ

           ฉากที่คนเขียนชอบที่สุด คงหนีไม่พ้นฉากเต้ยร้องไห้ท่ามกลางฝูงชน โดยมีน้องกายลั่นชัตเตอร์เก็บความรู้สึกนั้นลงแผ่นฟิมล์ ให้ความรู้สึกดีพิลึก เพ้อ 0///0
 
            ย้ำ เรื่องนี้ไม่ดราม่านะคะ (เหรอ - -)

            และที่สุดของเรื่องนี้ต้องยกให้คนเน้ กรี๊ดดดดดด คุณชรินทร์โผล่แล้ว เฮียโผล่มาแล้วค้า กรี๊ดกร๊าดมากมาย นอกจากน้องกายจะเป็นแฟนคลับตัวยงของคุณชรินทร์แล้ว คนเขียนก็ตบเท้าขอเป็นแฟนคลับด้วยคน เป็นตัวละครที่คนเขียนชอบเป็นที่สุด คนอะไรหล่อลากมากมาย แถมยังกล้าบ้าบิ่นอีกต่างหาก >///////< กระทืบเท้าปั๊ก ๆ บนปุ่มไลค์
            คุณชรินทร์เป็นคนที่ทำให้คนเขียนอยากเรียนถ่ายภาพขึ้นมาจริง ๆ จัง ๆ ใจจริงคนเขียนอยากเรียนมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ที่ไม่เรียนสักที เพราะกลัวติดถ่ายภาพแล้วเมินเขียนนิยายน่ะ (รู้นิสัยตัวเองดี - -)
            หึหึ เพราะงั้น เรื่องถ่ายภาพเอาไว้ก่อนเนอะ ^^


ขอบคุณคนอ่านคนรีทุกคนค้าาาาา ถ้ามีรีก็มีนิยายเรื่องนี้ต่อปายยย
Memew

ต้องการหนังสือเรื่องนี้ไปจองได้ที่เฟส ทวิตเตอร์หรือเด็กดีเอาน้า ^^ คีส ๆ

ออฟไลน์ omuya

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2023
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-9
คิดถึงกายมากเลย ยินดีกะกายด้วยได้ 3 รางวัลแน่ะ

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
กายเก่งมากมาย น่ารักเวอร์

tawan

  • บุคคลทั่วไป
อ่านไปยิ้มไปยิ้มจนจบตอนจริงๆ น่ารักอ่ะ :o8:

 :call:

ออฟไลน์ fastation

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 632
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-3
ชอบรูปกบกินแมลงกับเด็กดอยซกมก -.,-
กายจ๋าเราว่านะลองเอารูปเต้ยไปให้พี่เค้าดูสิ อยากรู้จริงๆว่าจะรู้สึกยังไงที่ทำให้น้องสุดที่รักเสียน้ำตา - -*
รออ่านตอนต่อไปจ้า

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg
:กอด1: :กอด1:ในที่สุดก็มาต่อแย้ว :mc4: :mc4: :mc4:


กายเก่งมากเลยได้3รางวัล o13 o13 o13


รออ่านจ้า :call: :call: :call: :call:

ออฟไลน์ nekodollzz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 217
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ขอบคุณมากค่าาา อยากอ่านตอนต่อไวๆจัง \>[]</

ออฟไลน์ ormn

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3925
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +324/-8
    • http:///uc.exteenblog.com/riko-tomo/images/23213506_1208714389_3598161_Okane_ga_Nai_v01_ch01_pg002__Cover.jpg

ออฟไลน์ conut

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 16
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
 Kiss Love ♥ [18] งานเลี้ยง
[เอก...☼]
 




ผมยืนนิ่งมองภาพตัวเองที่อยู่บนเวทีนั้น ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายใส่เสื้อยืดสีเทาภายใต้แสงเงาสีส้มนั้นจะเป็นตัวผม และไม่น่าเชื่อมากไปกว่านั้น ว่าแค่กล้องเพียงตัวเดียวจากมือเล็ก ๆ ของคนที่ผมเผลอจูบไปหลายต่อหลายครั้ง จะถ่ายทอดอารมณ์และแสงเงาออกมาได้สวยงามขนาดนี้
 
ผมมองภาพนั้นสลับกับเจ้าของ ก่อนยิ้มให้มันนิดหนึ่ง
 
มันยิ้มเขินให้ผมด้วย
 
อย่างน้อยผมก็ดีใจ ที่ภาพของผมไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ผมมองภาพตัวเองสลับกับเด็กซกมกและกบกินแมลง
 
ไม่เข้ากันเลยสักนิด = =
 
แอบขัดใจนิดหน่อย ตอนมันใช้สายตาชื่นชมคุณชรินทร์ซะออกนอกหน้า

ไอ้อาการเหมือนมดกัดในอกนี่คืออะไรวะ


 
สรุป ผมต้องเป็นคนออกเงินเลี้ยงไอ้พวกเหลือบไรที่มันยืนแง้ว ๆ ทวงสัญญาในกลุ่ม มันหาเรื่องกินฟรีโดยเอากายกับกิ๊ฟมาอ้าง
 
หลังจากงานนิทรรศการผ่านไป พวกเราก็ยกโขยงกันไปเดินตลาดหาซื้อข้าวของสำหรับทำอาหาร ก่อนยกโขยงกันไปที่บ้านของไอ้ตัวเล็กมัน
 
งานนี้ไอ้เป้ถูกลากมาอย่างช่วยไม่ได้ ไอ้เต้ยรีบประชิดตัวพี่มันทันที ความพยายามมันสูงเอามาก ๆ ขนาดไอ้เป้มันตีหน้านิ่ง เดินหนีแล้วเดินหนีอีก มันก็ยังไม่ยอมแพ้เดินตามต้อย ๆ เพื่อน ๆ ในกลุ่มก็คิดว่าพวกมันกำลังงอนง้อกันในฐานะพี่น้องธรรมดา



 



บ้านไอ้ตัวเล็กเป็นบ้านสองชั้น ชั้นบนมีสามห้องนอน ชั้นล่างเป็นห้องรับแขก ห้องครัว และห้องเก็บของแค่นั้น แต่พื้นที่รอบบ้านกว้างครับ ไร่หนึ่งได้มั้ง รอบ ๆ ตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ จัดสวนสวยใช้ได้ แม่มันไม่อยู่ ยังไม่กลับจากเชียงใหม่
 
พอเข้าไปในบ้านได้ พวกมันก็เดินสำรวจตัวบ้านกันแทบจะทุกจุดโดยไม่เกรงใจเจ้าของบ้านกันแม้แต่ น้อย แอบทึ่งมาก ๆ ที่บ้านมันเต็มไปด้วยตู้หนังสือและภาพถ่ายฝีมือมันทั้งหมด
 
“โหย กายเก่งใช้ได้เลยว่ะ มีแต่ภาพสวย ๆ ทั้งนั้นเลย”
ไอ้สาวมันออกปากชม
 
จะเรียกว่าบ้านคงไม่ถูก เหมือนเป็นแกลลอรี่กลาย ๆ มากกว่า บ้านมันทำจากปูน ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์กึ่งโบราณทั้งหมด มีความเป็นล้านนาซะเกินครึ่ง แม่มันคงชอบอะไรที่เกี่ยวกับเหนือเอามาก ๆ
 
“ผมกับแม่ช่วยกันตกแต่งน่ะฮะ ดีสำหรับแม่ด้วย จะได้มีไอเดียในการเขียนหนังสือเยอะ ๆ”
มันบอก

ผมกวาดมองไปรอบ ๆ ไอ้มอกับไอ้โอมกำลังสนุกอยู่กับการเดินสำรวจรอบตัวบ้าน ไอ้ปิงกับไอ้โอ๊ค สิงร่างกับตู้หนังสือไปแล้ว ส่วนพวกผู้หญิงหอบหิ้วถุงผักกับเนื้อที่ซื้อมาเดินเข้าห้องครัวไปเตรียมทำ อาหาร
 
ผมหยุดมองภาพใบหน้ายิ้มแย้มของเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบบนชั้นโชว์ เด็กน้อยยืนอยู่ตรงกลางขนาบสองข้างด้วยชายหญิงหน้าตาดี ทั้งคู่ก้มลงเอาแก้มแนบแก้มกับเด็กชายตัวน้อย รอยยิ้มของแต่ละคน แทบจะเป็นบล็อคเดียวกัน
 
คงเป็นไอ้ตัวเล็กกับพ่อแม่มัน
 
“ตัวเล็กตึ๋งหนึ่ง”
ผมพูดเบา ๆ กับตัวเอง
 
“ไม่เล็กสักหน่อย”
 
ผมหันไปมองใบหน้าบูด ๆ ของคนที่เดินมาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ ผมยิ้ม เอามือวางไว้บนหัวมันแล้วเลื่อนมาที่หน้าอกตัวเอง ไม่ต้องพูดครับ มันรู้คำตอบดี

ไอ้ตัวเล็กขมวดคิ้วขัดใจ
 
“ผมไม่ได้ตัวเล็ก พี่นั่นแหละตัวใหญ่เอง”
มันว่าแค่นั้น แล้วเดินเลี่ยงขึ้นชั้นบนไป ผมเดินตาม มันหันมามอง
 
“มาทำไม”
 
ผมทำหน้ามึน เลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไร มันทำหน้าอึดอัด
 
“อยากเห็นห้องนาย”
 
มันหน้าแดงหน่อย ๆ หันหลังเดินเข้าห้องไป
 
หน้าผมหนาใช้ได้ใช่ไหมล่ะ
 
ผมเดินตามมันเข้าไปในห้อง มันหยิบมือถือขึ้นมากดหาใครบางคน ข้างล่างมันปล่อยให้ไอ้เต้ยเป็นคนดูแล มันบอกมันมาบ้านนี้จนจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของมันอยู่แล้ว
 
“ครับ ภาพที่ผมถ่ายได้รางวัลด้วยนะ”
 
ผมหันไปมองคนที่ยืนยิ้มแก้มบาน มือจับโทรศัพท์แนบไว้ที่หู อีกมือก็จัดโต๊ะที่มันรก ๆ ให้เข้าที่เข้าทาง ผมว่าปลายสายน่าจะเป็นแม่มัน
 
“ทุกภาพเลย กวาดเรียบคนเดียว สามรางวัลรวด”
มันพูดอย่างภาคภูมิ
 
ผมหยิบภาพถ่ายตั้งโต๊ะมาดู ในห้องไม่ได้มีภาพศิลปะหรือภาพถ่ายของมันอย่างที่คิด กลับดูธรรมดา เต็มไปด้วยตุ๊กตา (ที่เล่นกันได้ครั้งที่แล้ว) หุ่นยนต์ของเล่นผู้ชาย เตียงเดี่ยว ตู้เสื้อผ้าที่ทำจากไม้ โต๊ะเรียนที่มีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอยู่
 
เรียบง่ายกว่าที่คิด
 
ผมเดินดูรูปถ่ายครอบครัวแบบตั้งโต๊ะของมันไปเรื่อย ๆ พอหันไปมองอีกที ก็เห็นมันยืนเปลือยท่อนบนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้ว
 
ผมยืนมองตาค้าง
 
นี่มันรู้หรือเปล่า ว่าผมอยู่ตรงนี้ ผู้ชายที่เพิ่งจะบังคับมีอะไรไปกับมัน
 
มันยืนเลือกเสื้ออยู่ บานประตูบดบังแสงแดดจนสะท้อนเป็นม่านแห่งความมืดสาดใส่ลำตัวมัน เป็นภาพที่ผมมองว่าสวยดี ผมเผลอสะกดสายตาตัวเองไว้ ก่อนก้าวช้า ๆ ไปหยุดยืนอยู่ด้านหลัง มันหยิบเสื้อออกมาตัวหนึ่ง กำลังจะสวมลงที่หัว แต่ผมยึดจับเสื้อมันไว้ ส่วนมืออีกข้างก็จับเอวมันไว้เบา ๆ
 
มันสะดุ้งเฮือกหันขวับมามอง ผมชอบปฏิกิริยาแบบนี้แหละ ผมกวาดมองไปทั่วใบหน้าของมัน ก่อนเลื่อนสายตาลงต่ำไปที่แผ่นอกขาว ๆ ไร้อาภรณ์อีกที มันคงอาย รีบเอื้อมหยิบเสื้อในมือผม แต่ผมยืดสุดแขนจนมันเอื้อมไม่ถึง
 
“พี่เอก เอาเสื้อผมคืนมา”
มันพยายามรั้งแขนผมเพื่อเอาเสื้อคืน
 
ผมไม่ตอบอะไร แต่ก้มลงปิดปากมันเบา ๆ มันครางห้ามในลำคอ พยายามถอยห่าง แต่มันคงลืมว่ายืนชิดตู้เสื้อผ้าอยู่ แผ่นหลังมันเลยแนบไปกับเสื้อผ้าที่แขวนเรียงกันเป็นตับ ได้กลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มคลุ้งไปทั่วทั้งตู้ ผมกระชับเอวมันมากขึ้น ซ้ำยังลูบไล้เบา ๆ อีกต่างหาก

ผิวมันเนียนดีครับ ผมชอบ

จากที่ครางท้วง เสียงมันเริ่มเบาลงและเปลี่ยนเป็นครางสยิวแทน น้ำเสียงแบบนั้นพาเอาน้องผมกระตุกเลย มือที่พยายามผลักผมออกตอนแรก เริ่มหาที่ยึด ไปไม่ไกลหรอก ก็แขนผมนั่นแหละ ยิ่งมันบีบแรงมากเท่าไหร่ ผมยิ่งรู้ว่ามันกำลังรู้สึกหวิวมากขึ้นเท่านั้น

บอกตามตรง ผมคิดถึงร่างกายนี้ อยากกอด อยากสัมผัส อยากลูบไล้มาก ๆ ผมอยากไปทักมันตั้งแต่วันจันทร์แล้ว แต่งานเยอะจนไม่มีโอกาส พอได้ทักบ้าง ก็ถูกเรียกตัวให้ไปทำงานต่ออีก

ทั้งที่เราเคยมีอะไรกัน แต่แทนที่มันจะเข้ามาทักทายผมบ้าง มันกลับทำเฉยชา เจอหน้าก็ทักกันเหมือนเราไม่เคยมีอะไรกัน

ถ้าเป็นผู้หญิง ผมคงต้องรับโทรศัพท์ตั้งแต่เช้ายันเย็น แต่นี่ เบอร์มันผมก็ไม่รู้ เบอร์ผม.. มันจะรู้หรือเปล่าก็ไม่รู้

จากครางเสียงเบา มันเริ่มครางเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ใบหน้าก็แหงนไปตามแรงกดหนัก ผมขยับเนื้อตัวเบียดชิดร่างมันมากขึ้น

“อ่ะ เอ่อ…”
 
ผมชะงัก ถอนจูบออก หันไปมองหน้าประตู เห็นไอ้เต้ยมันยืนมองพวกเราตาค้าง ๆ
 
“คะ คือ ผมจะมาถามไอ้กายว่า ที่เปิดขวดอยู่ไหน หาไม่เจอ”

มันถามกุกกักหันซ้ายหันขวาทำอะไรไม่ถูก คงไม่คิดว่าจะได้มาเจอหนังสดของเพื่อนมันแบบนี้ ไอ้ตัวเล็กพยายามผลักตัวเองออกห่าง แต่ผมยังรั้งเอวมันไว้อยู่
 
“คงอยู่ในห้องแม่น่ะ เห็นแกเอาไปใช้ สงสัยจะลืมเอาลงไปเก็บ เดี๋ยวกูไปหยิบให้” คนในอ้อมแขนผมมันบอกทั้งยังพยายามดันตัวเองออก
 
“ไม่เป็นไร กูหยิบเองได้”
ไอ้เต้ยมันบอก กำลังจะปิดประตูลง แต่เบรกตัวไว้เงยหน้ามามองผม
 
“พี่เอก ผมว่าพี่อดใจเอาไว้กินหลังเลิกงานดีกว่านะฮะ ผมไม่อยากให้เพื่อนผมเดี้ยงก่อนจะได้สนุกกัน” มันพูดแค่นั้นแล้วปิดประตูลง
 
ไอ้ตัวเล็กในอ้อมแขนผมมันอ้าปากค้าง คงอยากด่าเพื่อนมัน แต่ด่าไม่ทัน มันก้มหน้าพยายามดันตัวเองออก
 
“พี่เอก ปล่อย เอาเสื้อผมคืนมาด้วย”
มันขอทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่
 
“มองหน้าพี่ก่อน”
 ผมต่อรอง มันก้มหน้านิ่ง ๆ ตามด้วยหันซ้ายหันขวา ทำเหมือนไม่รู้วิธีเงยหน้าไปได้
 
อะไรวะ แค่มองหน้ากู มันยากนักรึไง =*=
 
“มองหน้าพี่ก่อน”
ผมย้ำอีกที มันนิ่งไปพัก ก่อนค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมอง หน้ามันแดงเถือกเลย คงอายจัด ผมยิ้ม ยื่นเสื้อคืนให้มัน
 
“ปล่อยผมก่อน”
มันท้วงต่อ เพราะผมยังรั้งเอวมันอยู่ ผมค่อย ๆ คลายออกอย่างเสียดาย มันรีบสวมเสื้อทันที
 
“ไปกันเถอะ” มันรีบชวน

แต่ก่อนที่มันจะก้าวเดิน ผมรั้งเอวมันมากอดไว้ ก้มลงกดจูบอีกที มันพยายามขืนตัวออก ผมรัดมันด้วยแขนเพียงข้างเดียว ส่วนมืออีกข้าง ล็อกคางมันไว้ไม่ให้ขัดขืน บดเบียดริมฝีปากหนัก ๆ
 
กำลังจะทะลวงลิ้น แต่ได้ยินเสียงประตูเปิดออกผัวะ ผมค่อย ๆ ถอนริมฝีปากออกมอง เห็นไอ้เต้ยยืนมองอ้าปากตาค้างมือกำลูกบิดแน่นอยู่ตรงจุดเดิม
 
“คือ... ผมกำลังจะไปซื้อเหล้ากับข้าวของบางอย่างเพิ่ม พวกพี่ ๆ เขาให้มาเอางบจากพี่”
 
“มึงจะไปซื้อของใช่ไหม กะ กูไปด้วย”
มันพยายามดีดตัวออก แต่ผมยังรัดเอวมันอยู่ เลยกลายมันกำลังดิ้นกระแด๋ว ๆ อยู่ในอ้อมแขนผมแทน
 
“พี่เอกปล่อยก่อน”
มันยังดิ้นอยู่ครับ ผมไม่สนใจ หันไปมองไอ้เต้ยอีกที
 
“ไปกันยังไง”
 
ไอ้เต้ยมันมองผมทีสลับกับเพื่อนมันที
 
“ผมไปกับพี่เป้”
 
ผมเลิกคิ้วสูง
 
ไหงไอ้เป้ยอมไปกับน้องมันได้วะ
 
“กูไปด้วย”
ไอ้คนในอ้อมแขนผมยังไม่ยอมแพ้
 
“พี่เอกปล่อย”
มันพยายามดันตัวออก แม้จะเสียดาย แต่ผมก็จำต้องปล่อยให้มันเป็นอิสระ
 
“งั้นพี่ไปด้วยละกัน”
 
ไอ้ตัวเล็กทำท่าจะค้าน
 
“รีบไปกันเถอะ”
ผมรีบตัดบท คว้าแขนมันลากออกจากห้อง


         
ข้างล่างเหมือนปูในกระด้ง พวกผู้หญิงวิ่งวุ่นช่วยกันทำอาหารคนละไม้คนละมือ ต้องทำกันจำนวนเยอะครับ เพราะพวกผมกินจุ ส่วนพวกผู้ชาย ไม่ได้ช่วยอะไร นั่งเล่นเกมกันบ้าง เดินเล่นบ้าง ไอ้กิ๊ฟเดินมายื่นรายการของที่จะซื้อให้ แล้วพวกเราก็พากันออกเดินทาง
 
ทำเอาผมนึกถึงตอนไปดอยเลย ต่างกันตรงที่ ผมขับรถมาสด้าคันเก๋ของผมไม่ใช่รถบุโรทั่งแบบตอนนั้น หนทางไปก็ราบเรียบ ไม่ได้โคลงเคลงลำบากลำบนอะไร แต่ที่เหมือนกันก็คือ ผมมีกายนั่งอยู่ข้าง ๆ ส่วนไอ้สองพี่น้องนั่งหลังเหมือนเดิม
 
ไอ้เป้มันนั่งไขว้ห้าง มองวิวข้างทาง ส่วนไอ้เต้ยทำเป็นทองไม่รู้ร้อน คุยกับเพื่อนมันสลับกับพี่มัน ทั้งที่พี่มันไม่ยอมตอบคำถามอะไรมันเลยสักคำ
 
ไอ้เป้มึงก็ใจแข็งได้ใจ ส่วนไอ้เต้ยมันก็อึดได้ใจเหมือนกัน












“ถังใส่น้ำแข็งไม่พอ คงต้องซื้อลังโฟมไปไว้ใส่น้ำแข็ง”
ไอ้ตัวเล็กมันชี้ให้ดูลังเก็บน้ำแข็งที่ทำจากโฟมบนชั้น ผมพยักหน้าเอื้อมหยิบมาใส่รถเข็น มันก้มมองรายการในโพยอีกที
 
พวกเพื่อน ๆ ไม่ได้ใจร้ายอย่างที่คิด สรุปพวกมันก็เอาเงินที่บอกว่าจะยกให้กายมายื่นให้ผมก่อนออกจากบ้านมา งานนี้ผมจึงไม่ได้จ่ายหนักมากเท่าไหร่
 
เพื่อน ๆ ของผมแต่ละคนก็ไม่ได้ฐานะธรรมดากัน อย่างไอ้มอก็เป็นทายาทเจ้าของกิจการโรงแรมและรีสอร์ตหลายแห่ง ที่หัวหินนั่นเล็กสุดแล้ว มันมีแทบจะทุกจังหวัดสำคัญของไทย แต่เด่น ๆ จะเป็นแถบทางใต้ซะมากกว่า อย่างภูเก็ตหรือกระบี่มันก็มี
 
ส่วนไอ้โอมไอ้หน้าม่อนั่นมันเตรียมเป็นหมอครับ ท่าทางไม่ให้ ใจก็ไม่รัก แต่ครอบครัวมันบังคับเลยต้องทำ
 
ต้นตระกูลมันตั้งแต่สายทวดของทวดของทวดของทวดของทวดมันเป็นหมอมาหมด จะมาดับอนาถก็รุ่นมันนี่แหละ
 
แต่ผมว่ามันเป็นหมอที่ดีได้นะ
 
หมอฟันน่ะ
 
ส่วนไอ้โอ๊ค ครอบครัวมันทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เหมือนกับไอ้ปิง สองคนนี้เป็นเพื่อนกันมานาน เพราะครอบครัวของมันเป็นหุ้นส่วนกันอยู่
 
ส่วนสาวเป็นทายาทเจ้าของร้านทองครับ เกิดมาบนกองเงินกองทองของแท้ บ้านมันเปิดหลายสาขา ตอนนี้กำลังทะลายกินห้างทุกห้างสำคัญในประเทศอยู่ ส่วนอิงบ้านมันเปิดร้านอาหาร หลายสาขาอยู่เหมือนกัน เน้นอาหารไทยเป็นหลัก ตอนนี้เห็นอามันขนสูตรไปเปิดที่ต่างประเทศด้วย
 
ส่วนอ้อยกับผมทำธุรกิจส่งออกเหมือนกัน
         
สรุปพวกเราเป็นเพื่อนกันมานาน แถมพวกพ่อ ๆ แม่ ๆ เราก็ยังเป็นเพื่อนกันมาก่อนหน้านั้นอีก (พวกท่านเป็นเพื่อนเรียนรุ่นเดียวกันมา)
 
จะมีแหกหน่อยก็ไอ้กิ๊ฟนั่นแหละ เพิ่งมารู้จักกันตอนม.ปลาย พ่อแม่มันเป็นชาวสวนครับ แต่เป็นสวนปาล์ม สวนยาง สวนผลไม้ สวนองุ่น สวนส้มและอีกหลากหลายสวนรวม ๆ กันแล้ว คงเป็นหมื่น ๆ ไร่ในหลาย ๆ จังหวัด มันเป็นลูกสาวคนสุดท้อง นอกนั้นเป็นผู้ชายหมด ครอบครัวมันเป็นคาวบอยของแท้ครับ มีลูกน้องเป็นหมื่น ๆ มันถึงได้ห้าวและกร่างขนาดนี้
 
ส่วนไอ้เป้ บ้านมันเป็นตัวแทนจัดงานอีเว้นท์กับเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์ให้เช่าหลายแห่ง ไอ้เต้ยมันถึงได้เป็นคุณหนูขนาดนั้น


 
ไอ้เป้เดินดูของ โดยมีไอ้เต้ยเดินอยู่ข้าง ๆ ไอ้เป้มันทำหน้าเหม็นเบื่อเดินหนีน้องมัน แต่ไอ้นี่ก็ไม่ละความพยายามเดินตามต้อย ๆ เหมือนน้องหมาเดินตามเจ้าของ ดูแล้วก็ขำ ๆ ดี
 
“ไปหัวเราะเขา”
คนข้างผมมันว่า ผมตีหน้านิ่งทันที ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นชุดวัยรุ่นชายในหุ่นจำลอง ผมมองหุ่นนั้นสลับกับคนข้างตัว
 
“เป้กูฝากที่เหลือที”
ผมยัดรถเข็นใส่มือไอ้เป้พร้อมเงินอีก 5000 ดึงโพยในมือไอ้ตัวเล็กไปให้ไอ้เต้ยถือไว้ ลากแขนมันให้เดินตาม
 
“เดี๋ยวพี่เอก!”
มันท้วง แต่ผมไม่สนใจฟังลากมันเข้าไปในร้านเสื้อทันที
 
“เอาชุดนี้ชุดหนึ่งครับ”
ผมชี้บอกพนักงาน ยื่นบัตรทองให้ ไอ้คนข้างตัวผมทำหน้างง ๆ  สักพักพนักงานก็กลับเอาบิลมาให้เซ็นพร้อมยื่นถุงกระดาษให้ ผมยื่นให้คนข้างตัวทันที มันมองผมงง ๆ 
 
“อะไร”
 
“พี่ให้”
 
มันทำหน้างงยิ่งกว่าเดิม ก่อนส่ายหน้าจนผมสะบัด
 
“โอ๊ย อาทิตย์ที่แล้วพี่ก็ซื้อให้ผมแล้วนะ”
 
“มันคนละตัวกัน”

ไอ้ตัวเล็กส่ายหัวอีกที ผมตีคิ้วขัดใจ
 
“เอาไปเถอะ พี่ซื้อให้”
 
“พี่เอก…”
มันทำสายตาอ้อนวอน
 
“พี่ซื้อมาแล้ว ใส่เองคงไม่ได้ และที่สำคัญ ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับคนที่ได้รางวัลภาพถ่ายชนะเลิศสามรางวัล” ผมพูดรวดเดียวจบ มันทำหน้าปั้นยาก รับไปถือไว้ ผมยิ้มพอใจ
 
มันก้มหน้าท่าเดียวตอนเดินออกจากร้าน เราสองคนเดินไปสมทบกับไอ้เป้และไอ้เต้ย มันซื้อของกันเสร็จแล้ว และตอนนี้ไอ้เต้ยกำลังลากพี่มันมาทาบเสื้ออยู่ในร้านข้าง ๆ เรา
 
“พี่ไม่เอา”
 
“เอาน่า เสื้อตัวนี้เท่ดี”
 
ไอ้เต้ยจับเสื้อทาบอกพี่มัน ไอ้เป้ปัดออกแรง ซ้ำทำตาเขียวใส่ ไอ้เต้ยนิ่งไปพัก ก่อนฉีกยิ้มกว้าง
 
“งั้นเอาตัวนี้แหละ”
มันยัดเสื้อตัวนั้นใส่มือพนักงานพร้อมบัตร ไอ้เป้หันไปลอบถอนหายใจเบา ๆ ผมมองภาพตรงหน้าอยู่พัก ก่อนหันกลับมามองคนข้างตัว เห็นไอ้ตัวเล็กกำลังมองสิ่งที่ผมมองอยู่ไม่ต่าง 


พอเลือกของกันเสร็จ พวกเราก็ขนขบวนกันกลับ ไปถึง พวกมันก็ทำอาหารเสร็จแล้ว เหลือแต่ของบางอย่างที่ต้องรออุปกรณ์และเครื่องเคียงจากเรา
 


>ต่อด้านล่าง<

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
>ต่อจากด้านบน<


ไม่นานแก้วใส ๆ ที่มีน้ำเมาผสมโซดาซ่า ๆ ก็ถูกเวียนเสิร์ฟจนครบทุกหัว พวกเรานั่งกันอยู่บนโซฟากลางห้องรับแขก บางส่วนก็นั่งพื้น เพราะโซฟามีแค่สองตัว ไอ้มอเป็นดีเจ พ่วงเพลงจากไอพอดมันอีกที
             
พวกเราสนุกสนานเฮฮากันไป ไอ้ตัวเล็กมันก็กินด้วย มันนั่งอยู่ข้าง ๆ ผม มีไอ้เต้ยนั่งอยู่ข้าง ๆ  มัน และไอ้เต้ยก็ลากพี่มันมานั่งข้าง ๆ ด้วยอีกที
 
ไอ้เต้ยมันดื่มหนักเอามาก ๆ สงสัยจะเก็บกด ไอ้ตัวเล็กพยายามแย่งแก้วเหล้ามาเติมน้ำให้มันเพรียวลงหน่อย
 
“อย่ามายุ่งกะแก้วเหล้ากู ไอ้กายยย”
ไอ้เต้ยมันเมาไปแล้ว
 
“กูไม่ได้ยุ่ง แค่เพิ่มเหล้าให้เฉย ๆ”
ไอ้นี่ก็แหลกับคนเมาเก่ง
 
“กูไม่ได้โง่นะ มึงเติมน้ำไม่ใช่เหล้า”
 
แน่ะ มันยังฉลาดอีก
 
“กูไม่อยากให้มึงเมาเร็ว เดี๋ยวน็อคไปก่อน มันก็ไม่สนุกน่ะสิ”
 
ไอ้เต้ยมันยิ้ม เคลื่อนสองแขนโอบคอเพื่อนมันไว้ ผมชะงักแก้วเหล้าจ่อไว้ที่ปาก ย่นคิ้วจ้องมองสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
 
บอกตามตรง ผมไม่เคยเห็นไอ้เต้ยมันเมามาก่อน เลยไม่รู้ว่าปกติมันนัวเนียกันแบบนี้หรือเปล่า
 
“นี่กาย”
มันพูดเสียงเบาข้างหูเพื่อนมัน
 
“กูแค่อยากเมานิดหน่อยแค่นั้นเอง”
แล้วมันก็ซุกซอกคอเพื่อนมันมากขึ้น
 
ผมบีบแก้วเหล้าในมือแน่นขึ้น ขอบแก้วยังค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
 
“ร้อนชะมัดเลย”
ไอ้เต้ยพัดหน้าตัวเองเบา ๆ อีกมือก็จับคอเสื้อกระพือแรงไล่ความร้อน ตามันปรอย ๆ เยิ้ม ๆ ทั้งที่หัวยังซุกซอกคอเพื่อนมันอยู่
 
ใจผมอยากกระชากพวกมันสองคนออกจากกัน แต่ก็พยายามยั้งตัวเองเอาไว้
 
สักพักไอ้เต้ยมันทำท่าจะถอดเสื้อออก แต่ไอ้เป้มันรั้งไว้แล้วดึงกลับไปหามัน

ทุกคนกำลังเมาได้ที่ ไอ้มอกับไอ้โอม กระโดดขึ้นแด้นส์กันแล้ว สาว ๆ มาเห็นคงหมดรักพวกมันแน่ ๆ แต่ความหล่อของพวกมันเยอะ เพราะงั้น เต้นรั่วขนาดไหนก็ยังดูดี พวกเพื่อนผู้หญิงก็พากันนั่งกินกันไปเม้าส์กันไปตามประสา
 
ไอ้เต้ย พยายามรั้งตัวกลับมาหาไอ้ตัวเล็ก แต่ถูกพี่มันฉุดไว้
 
“ปล่อยเด้ ไอ้พี่เป้ กูจะไปหาเพื่อนกู มึงไม่อยากเป็นพี่กูแล้ว มึงก็ไปไกล ๆ”
มันด่าพี่มัน พยายามตะเกียกตะกายเข้าหาเพื่อนมัน ไอ้เป้มันไม่ปล่อยครับ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าสายตามันดูเจ็บปวดขนาดไหน
 
“แหมไอ้คู่นี้นี่ กูเกือบจะคิดว่าพวกมึงสองคนเป็นอะไรกันนะเนี่ย ดีว่าไอ้กายมันถูกหมายหัวไว้แล้ว”
ไอ้มอมันพูด ผมหันไปด่ามันทางสายตา มันยิ้มรับ
 
ไอ้เต้ยมันชี้หน้าไอ้มอ แล้วยิ้มรื่นตามประสาคนเมา
 
“กายเป็นของผม พี่เป้ก็เป็นของโผม..”
มันอ้อแอ้บอก ผมหัวเราะหึ ๆ ส่วนไอ้ตัวเล็กนั่งกินไปเงียบ ๆ
 
“เนอะกายเนอะ มึงเป็นของกูใช่ม้า ถึงมึงจะถูกพี่เอกกินไปแล้ว แต่มึงก็ยังเป็นของกูเนอะ”
 
ผมพ่นเหล้าในปากออกมากระฉอกใหญ่ ไอ้ที่ดิ้น ๆ กันอยู่ หยุดเลยครับ ทุกคนหันมามองคนเมาเป็นตาเดียว สลับกับผมและไอ้กาย
 
“ไอ้เอก นี่มึงกินน้องไปแล้วเหรอวะ”
ไอ้โอมมันพูดทึ่ง ๆ
 
“เฮ้ย นี่มันอะไรกันไอ้เอก มึงเปลี่ยนรสนิยมแล้วเหรอ”
ไอ้อิงมันถามตาโต
 
“มึงไม่รู้อะไร ไอ้เอกมันต้องมนต์กายตั้งแต่ได้จูบแรกกายไปแล้ว” 
ไอ้กิ๊ฟมันสาธยายต่อ
“แต่ไอ้ที่ได้กันนี่กูก็เพิ่งรู้ว่ะ ตกลงมึงได้น้องมันแล้วเหรอวะ”
มันถามไม่ดูตาม้าตาเรือ ผมทำท่าอึกอัก ส่วนไอ้ตัวเล็กก้มหน้างุด จ้องแต่แก้วเหล้า
 
“พวกมึงไม่รู้อะไร น้องเขาเสร็จไอ้เอกตั้งแต่อยู่ดอยแล้วโว้ย”
ไอ้มอมันพูดต่อ
 
ผมเบิ้ดกะโหลกมันไปที
 
“ไม่ใช่โว้ย หลังจากนั้นต่างหาก”
 
อ้าวกู..
หลุดซะละ
 
พวกมันนิ่ง ก่อนพากันเฮโลถามกันยกใหญ่
 
“หยุดไปเลยพวกมึง!!”
ผมปรามเสียงเข้ม
 
“ไม่ ๆ ๆ ๆ พวกพี่ ๆ หยุดกันให้หมดเลย”
ไอ้เต้ยมันปราม
“กายเป็นของผม ไม่ใช่ของพี่เอก”
ว่าแล้วมันก็โน้มตัวกอดคอเพื่อนมันไว้
 
“เต้ย มึงเมามากแล้วนะ พอเหอะเดี๋ยวกูพาขึ้นห้อง”
ไอ้ตัวเล็กมันรั้ง ๆ เพื่อนมันออก ไอ้เต้ยส่ายหัวไหว ๆ เหมือนหุ่นยนต์ไขลาน
 
“ไม่อ้าว กูจะนอนกับพี่กู...”
ว่าแล้วมันก็กลับลำหันไปกอดพี่มันแทน ไอ้เป้ทำหน้าตกใจเผลอตัวคว้าคนเมาไว้ในอ้อมแขน ไอ้เต้ยมันก็ไถลตัวไซ้พี่มันใหญ่ เหมือนลูกแมวอ้อนแม่แมว ไอ้เป้หลับตาแน่นอย่างระงับอารมณ์
 
“เต้ย พอเหอะ มึงเมาแล้วนะ”
ไอ้ตัวเล็กรีบดึงเพื่อนมันออก ไอ้เต้ยปัดเพื่อนมันแรงจนกายเสียหลัก ผมรีบคว้ามันไว้ในอ้อมแขนทันที
 
“วู้ ๆ ๆ ๆ!!”
ไอ้พวกเหลือบไรมันแซว แต่ผมไม่สนใจที่จะโต้ตอบ
 
“พี่เป้ มีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกผมสิ หนีผมทำไม”
ไอ้เต้ยกระซิบข้างหูพี่มัน ไอ้เป้สบตาผม ใจมันคงอยากดันน้องมันออก แต่ก็ทำไม่ได้
 
“เอ่อ พี่เอก ปล่อย..”
ไอ้คนที่ผมกอดไว้ดิ้นหน่อย ๆ ให้ผมรู้ตัว ผมละสายตามามอง ก่อนคลายปล่อยอ้อมแขนออก

“พี่เป้ ผมว่าพาเต้ยเข้านอนก่อนดีกว่า ไม่งั้นคนที่จะแย่คือพี่นะ”
ไอ้กายมันพูด ผมมองหน้ามันสลับกันไปมา พวกมันสองคนมองตากันอยู่
 
ไอ้ตัวเล็ก อาจจะรู้ในสิ่งที่ผมรู้ก็ได้ ไม่งั้นมันคงไม่ทำท่าเป็นห่วงกันขนาดนี้หรอก

ไอ้เป้พยักหน้ารับ หิ้วปีกน้องมันขึ้นห้องไป
 



 พวกที่เหลือก็นั่งกินกันเหมือนเดิม ผ่านไปประมาณสิบนาทีผมลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ส่วนไอ้ตัวเล็ก ลุกเดินไปเอากับแกล้มมาเพิ่ม ขากลับผมเห็นไอ้เป้เดินลงมาจากชั้นบน 
 
“เต้ยหลับแล้วเหรอ”
ผมถาม

มันพยักหน้า เสยผมไปด้านหลังเบา ๆ ผมตบหลังมันแปะ ๆ ไอ้ตัวเล็กที่วางกับแกล้มไว้บนโต๊ะเรียบร้อยเดินเข้ามาหา มันจับมือไอ้เป้บีบเบา ๆ คิ้วผมกระตุกทันที
         
ผมพอจะเดาได้ว่าไอ้ตัวเล็กมันคงรู้เรื่องแล้ว แต่ทำไมต้องจับมือถือแขนกันด้วยวะ และที่สำคัญ ไอ้เป้มันก็บีบมือไอ้ตัวเล็กกลับด้วย ผมขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม นี่ถ้าพวกมันยังไม่ปล่อยมือกันอีก ผมคงได้กระชากไอ้ตัวเล็กกลับแน่ ๆ ไอ้เป้พยักหน้าให้ไอ้ตัวเล็กเบา ๆ ชวนกันกลับไปนั่งกินที่เดิม
 
 
ผ่านไปร่วมชั่วโมง ไอ้เป้มันนั่งกินเงียบ ๆ จนเพื่อน ๆ บางคนเริ่มจับสังเกตุได้ ถามมันว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็เสตอบไปว่า 'เพิ่งอกหักมา'
 
พวกมันไม่รื้อฟื้นถามต่อ คนอกหัก ปลอบได้ปลอบ ปล่อยได้ปล่อย
 



ผ่านอีกชั่วโมง ไอ้สองตัวป่วนเริ่มหมดฤทธิ์ สลบเหมือดที่พื้น ยังดีที่บ้านมันพื้นสะอาด
 
“คงกลับกันไม่ไหวแล้วแหละ”
ไอ้ตัวเล็กมองไปรอบ ๆ
 
“พวกพี่ ๆ ขึ้นไปนอนที่ห้องแม่ผมก็ได้นะฮะ”
มันบอกสาว ๆ ซึ่งแต่ละนางก็คงไม่ไหวกันแล้วจริง ๆ ถึงได้พากันหอบหิ้วขึ้นไปบนห้อง ส่วนพวกสี่หนุ่มก็ปล่อยให้มันเลื้อยอยู่ที่พื้นนี่แหละ     
 


“เดี๋ยวพี่ช่วยเก็บ”         
ไอ้เป้มันอาสา มันเมาแต่ก็ยังมีสติ ไอ้ตัวเล็กพยักหน้า ผมก็ช่วยด้วยเหมือนกัน
 
ไอ้อาการมดกัดยิบ ๆ ในอกมันก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ ตอนไอ้เป้พยายามเข้ามาช่วยไอ้ตัวเล็กของผมหยิบจับนู้นนี่
 
“ไหวไหม”
ได้ยินไอ้ตัวเล็กมันถาม ผมหันไปมอง เห็นไอ้เป้ถอนหายใจแรง ไอ้ตัวเล็กเขยิบเข้าไปใกล้ เลื่อนมือซ้ายทาบแก้มมันไว้เบา ๆ
 
“เคร้ง!!”
ผมเผลอกระแทกแก้วเปล่าลงบนอ่างล้างจานเสียงดัง พวกมันสองคนหันมามอง
 
“โทษที พอดีมันหลุดมือ”
ผมบอกเสียงแข็ง ไอ้เป้จับมือกายออก ไอ้ตัวเล็กหันไปมองสบตา ก่อนแยกย้ายกันไปทำความสะอาดต่อ 
 
แม่ง!!
ตัวอะไรมันมากัดหน้าอกกูวะ



         
ไอ้ตัวเล็กกำลังล้างจานอยู่ โดยมีผมยืนอยู่ข้าง ๆ เป็นผู้ช่วยเช็ดจานอีกที ส่วนไอ้เป้เดินไปเก็บส่วนที่เหลือมาให้

“น่าจะหมดแล้วล่ะ”
ไอ้เป้มันบอก วางจานเปล่าที่เก็บมาล่าสุดวางไว้ในอ่าง ไอ้ตัวเล็กพยักหน้า หันไปล้างจานต่อ           
 
“พี่เป้…”
เสียงเรียกยาน ๆ ด้านหลังดึงความสนใจพวกเราให้หันไปมอง ไอ้เต้ยครับ มันเดินหัวฟู ๆ ตัวลอย ๆ มากอดเอวพี่มันไว้หมับ ตายังเปิดไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
 
“ไปนอนกาน…”
มันชวนเสียงยานยิ่งกว่าเดิม ไอ้เป้หลับตาลงแน่น พยายามดันตัวน้องมันออก
 
“ไปนอนกันนะ”
มันทำท่าจะหลับคาที่ ตัวมันไถลเลื่อนลงจากเอวพี่มันจนเกือบจะตกถึงพื้น ดีที่ไอ้เป้มันคว้าเอาไว้ได้ก่อน
 
“กูพาน้องกูเข้านอนก่อนนะ”
มันหันมาบอก ขยับพยุงไอ้เต้ยเดินขึ้นบันไดไปอีกรอบ
 
ผมถอนลมหายใจโล่งอก ไอ้อาการคันยิบ ๆ ที่หน้าอกเมื่อกี้หายไปแล้ว ผมหันไปช่วยไอ้ตัวเล็กเช็ดจานต่อ
 
“คอแข็งเหมือนกันนะเรา”
ผมชม มันหันมามอง
 
“เปล่าแข็งหรอก ผสมเหล้าแค่หนึ่งส่วนห้าน่ะ ไม่อยากเมาเดี๋ยวดูแลพวกพี่ ๆ กันไม่ได้”
มันพูดยิ้ม ๆ

ผมถอนหายใจออกมาเบา ๆ
 “งั้นนายก็ไม่ได้สนุกเต็มที่น่ะสิ”
 
“ใครบอกล่ะ…”
มันหันมายิ้มให้
 
“พี่เอกรู้ไหม นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ดื่มกับคนอื่น ที่ไม่ใช่แม่หรือไอ้เต้ยเลยนะ ผมไม่เคยมีเพื่อนกลุ่มใหญ่มาก่อน เลยไม่รู้ว่าต้องทำตัวยังไง วันนี้ผมสนุกมาก แต่ก็อยากซึมซับความรู้สึกดี ๆ ด้วย ผมชอบที่จะเฝ้ามองพวกพี่ ๆ เขาสนุกกันมากกว่า อยากถ่ายรูปด้วย แต่กลัวเพลิน เลยนั่งมองเฉย ๆ”
 
ผมพยักหน้าเข้าใจ เพราะวันนี้เห็นมันชงเหล้าให้คนนู้นคนนี้ แถมยังนั่งมองซะส่วนใหญ่ด้วย
 
“ครั้งหน้านายก็หัดสนุกให้เต็มที่ซะบ้าง”
 
“แล้วพี่ล่ะ” มันย้อน
 
“ผมรู้ว่าพี่เป็นพวกคอแข็ง แต่พี่ก็ไม่ได้ดื่มเยอะเท่าที่ควรจะเป็นเพราะไม่อยากเมาจนเกินไปจนดูแลพวกเพื่อน ๆ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
 
คือ.. มันพูดถูกครับ เป็นนิสัยของผมไปแล้วที่จะเมาให้มีสติที่สุด คือเมาได้ แต่ต้องรู้ตัวตลอด อารมณ์ประมาณนั้นแหละ








ทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ทุกมุมของบ้านสะอาดเอี่ยม ยกเว้นตรงจุดที่พวกบ้านั่นมันนอนเกลื่อนกันอยู่ ผมกับไอ้ตัวเล็กพากันมานั่งเงียบ ๆ ในสวนหลังบ้าน ตรงซุ้มม้านั่งแบบโยกได้มีหลังคาที่เต็มไปด้วยไม้เลื้อยและไทรย้อยด้านบน
 
ผมดันเท้ากับพื้น ผลักให้สิ่งที่เรานั่งกันอยู่แกว่งเบา ๆ เสียงเหล็กขึ้นสนิมด้านข้างเสียดสีกันดังเอี๊ยด ๆ แต่ก็ไม่ดังมากจนสร้างความรำคาญ ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าผ่านกลุ่มของใบไม้ที่กำลังพัดไหว แม้จะมองไม่เห็นดวงดาว แต่ภาพไหวของกิ่งใบต้องลมผสมฉากหลังท้องฟ้าสีสว่างจากแสงนีออนก็ทำให้ บรรยากาศในค่ำคืนนี้สวยงามได้เหมือนกัน คนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ผม กำลังทำสิ่งเดียวกับผมอยู่

“พวกเด็ก ๆ คงสนุกกับการเรียนหนังสือนะ”
ผมเปรยนึกถึงเด็ก ๆ ที่เราไปร่วมสร้างโรงเรียนด้วยกันมา
 
“ครับ แน่นอน”
มันตอบโดยไม่หันมามอง ผม หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของมัน มันแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มุมปากบุ๋มลงนิด ๆ เป็นรอยยิ้มบางเบา ฉากหลังของมันคือทิวไผ่เรียงกันสวยต้องสายลมลู่เอนไปมา

ผมหยุดสายตาตัวเองไว้เนินนาน ก่อนหันกลับมายังจุดเดิม ยันเท้าไว้ที่พื้นจนม้านั่งหยุดแกว่ง ดันตัวลุกขึ้นยืน
 
“ดึกแล้ว พี่กลับก่อนล่ะ เราจะได้พักผ่อนบ้าง กว่าพวกมันจะฟื้น ก็คงเที่ยงหรือไม่ก็บ่ายนู่นแหละ”
 
มันหันมายิ้มให้

“ฮะ แล้วผมจะเก็บกวาดพวกพี่ ๆ ออกจากบ้านอีกทีละกัน” มันยิงมุขใส่

เราสองคนเดินตรงไปที่รถ แต่ระหว่างทางผมได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากชั้นบน ผมหันไปมองหน้าไอ้ตัวเล็ก มันมองตอบ ก่อนพวกเราจะพากันหันหลังวิ่งลิ่วกลับเข้าบ้านไปดู   



 
“ว้ากกก!! ไปไกล ๆ เลย ไป้ ๆ ๆ ๆ !!”
ไอ้ ยินเสียงไอ้อ้อยดังลอดออกมา ไอ้ตัวเล็กกระชากเปิดประตูออก สิ่งที่เห็นก็คือ ไอ้อ้อยกำลังตะเกียกตะกายหนีสุดชีวิต โดยมีไอ้กิ๊ฟยึดจับคอเสื้อด้านหลังมันไว้จนยืดยาน ในมือถือแมลงสาบตัวเป้งที่กำลังดิ้นแด๋ว ๆ หนีตายไม่แพ้ไอ้อ้อยมัน
 
“ไอ้กิ๊ฟมึงหยุดเลยนะ ไอ้เพื่อนบ้า!!!”
ไอ้อ้อยมันโวยวายเสียงดัง อิงกับสาวนอนกอดกันหลับไม่รู้เรื่อง ผมกวาดมองไปทั่วทั้งห้อง ไอ้กิ๊ฟคงเป็นคนเดียวที่ได้นอนโซฟา ส่วนที่เหลือคงนอนเตียง สงสัยไอ้กิ๊ฟมันเห็นแมลงสาบเดินผ่าน เลยจับไปแกล้งเพื่อนมัน
 
“พวกมึง นอนกันได้แล้ว!”
ผมสั่งเสียงเข้ม
 
ไอ้กิ๊ฟพยักหน้าเหมือนเด็ก ๆ เดินไปทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาทั้งที่ในมือยังถือแมลงสาบอยู่ ไอ้ตัวเล็กเดินไปหยิบผ้าห่มสำรองมาห่มให้ไอ้กิ๊ฟ เห็นมันมองแมลงสาบตัวนั้นนิดหนึ่ง คงกำลังชั่งใจว่าจะหยิบออกหรือปล่อยไว้อย่างนั้นดี สุดท้ายมันก็เลือกที่จะปล่อย และผมก็เห็นด้วย ขืนไปยุ่งกับแมลงสาบมัน มันคงเปลี่ยนใจจากไอ้อ้อยมาเป็นไอ้ตัวเล็กแน่ ๆ

พอทุกอย่างเรียบร้อย ผมก็ทำหน้าที่ปิดไฟปิดประตูห้อง     
 
“ผมว่าเอาผ้าห่มไปให้พวกพี่มอด้วยดีกว่า ยิ่งดึกอากาศที่นี่ยิ่งหนาว”
 
ผมพยักหน้าเห็นด้วย ที่นี่ต้นไม้เยอะครับ ผมยังรู้สึกเย็น ๆ เลย มันเดินไปหยุดอยู่หน้าห้องรับแขกที่มีไอ้เป้กับไอ้เต้ยอยู่ มันยืนชั่งใจอยู่ชั่วครู่ก่อนเคาะประตูห้อง
 
เงียบครับ
 
มันมองหน้าผม ผมมองตอบ มันตัดสินใจจับลูกบิดหมุนเปิดออก ควานมือไปตรงขอบประตูหาสวิตซ์ไฟ พอเจอก็กดเปิด ความมืดพลันเปลี่ยนเป็นแสงสว่าง ภายในเงียบกริบ มองไปที่เตียง ไอ้เป้กำลังหลับสนิทโดยมีน้องมันอยู่ในอ้อมแขน
 
ไอ้ตัวเล็กเปลี่ยนสีหน้านิดหน่อย ก่อนเดินเลยไปยังตู้เสื้อผ้าใบใหญ่ ซึ่งภายในเต็มไปด้วยหมอนและผ้าห่มสำรองที่ถูกพับเอาไว้อย่างดี มันดึงออกมาสี่ผืน เป็นผ้าห่มแบบผ้าแพร ของยังใหม่อยู่เลย มันยื่นมาให้ผมถือไว้ แล้วเดินกลับไปที่เตียง ดึงห่มผ้าจากปลายเท้ามาห่มให้คนที่นอนอยู่ถึงหน้าอก
 
มันปิดไฟ ปิดประตู เดินนำผมลงไปยังชั้นล่างเพื่อห่มให้พวกเพื่อน ๆ ผมทีละคน
 
“พี่ว่า ถ้าเราเป็นผู้หญิง ต้องเป็นแม่ที่ดีแน่นอน”
 
มันชะงักหันมามองหน้าผม
 
“สมัยนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ทำหน้าที่ได้ดีเหมือนกัน”
พูดแล้วมันก็เงียบไป
 
ผมรู้ความหมายที่แท้จริงของมันครับ แต่ก็แอบคิดไปไกลกว่านั้น
 
“เอ่อ ผมว่าดึกแล้ว พี่รีบกลับดีกว่า เดี๋ยวจะขับรถลำบาก”
มันอ้อมแอ้มบอก

แต่แทนที่ผมจะขยับ กลับยืนนิ่งอยู่กับที่
 
“พี่เอก”
มันเงยหน้ามอง
 
“พี่ไม่อยากกลับแล้ว จะนอนที่นี่แหละ”
 
“เอ่อ…”
มันทำท่าอึดอัด
 
“งะ งั้น…”
มันหันซ้ายหันขวา สงสัยกำลังหาที่ว่างให้ผมอยู่ มันกัดปากตัวเองแน่น
 
“พี่นอนตรงนั้นก็ได้”
ผมชี้ไปยังพื้นที่ว่างข้าง ๆ พวกไอ้โอมที่นอนเกยไอ้มออยู่
 
มันทำท่าชั่งใจ
 
“พี่ไปนอนบนห้องผมก็ได้”
มันพูดเสียงเบา อ้าปากเหมือนจะพูดอะไรต่อ ก่อนเงียบเสียงลง
 
สุดท้าย ผมก็ได้เดินตามมันขึ้นห้องไป   



TBC..


หายไปนาน ยังมีคนตามอ่านอยู่ไหมเนี่ย ฮ่า ๆ มาต่อแล้วค่ะ ช้านิดเพราะยุ่งมากมายกับภารกิจส่วนตัวนิดหน่อย จะรีบมาต่อให้เร็วขึ้นนะคะ ^^
ขอบคุณที่ยังติดตามกันอยู่เสมอมา ช้ามาไปเรียกกันได้น้า T^T อยากลงให้ได้สักอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง นี่เว้นมากี่อาทิตย์แล้วเนี่ย T^T)
ไงก็ฝากเนื้อฝากตัวไปนาน ๆ นะคะ คีส ๆ ^^



ปล. ต้องการหนังสือ จิ้มแฟนเพจไปขอข้อมูลได้เลยค่ะ ^^facebook.com/memew28
ขอบคุณค่ะ ^^

ส่ว

fiat_so_cute

  • บุคคลทั่วไป
ยังสนุกเหมือนเดิมนะครับ มาต่อไวไวด้วยนะ  o13

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
 :impress2: :impress2: ค้างๆๆ มาต่อไวน้า รออ่าน คืนนี้ต้องมีซัมติงอะไรแน่ๆ

ออฟไลน์ omuya

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2023
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +121/-9
 :กอด1: คนเขียน

มาแล้ว คิดถึงจังเลยยยย  o13

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ benzdekba

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 503
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-2
 :haun4: :haun4: :haun4: :haun4: :haun4:

มาต่ออีกไม

ออฟไลน์ srikoon

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 530
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-6
ชอบนะครับ....สนุกดี

ออฟไลน์ xenosaga2000

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 24
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
ติดตามๆๆๆๆ

ออฟไลน์ memew

  • ขอบคุณที่เข้ามาอ่านจ้าาา
  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 456
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +382/-10
    • :: Memew แฟนเพจ :
Kiss Love ♥ [19] เมา
[กาย...♥]







 

หัวใจผมเต้นโครมครามตอนเดินขึ้นห้อง แต่ไม่เป็นไรหรอก ห้องผมมีโซฟานั่งเล่นอยู่ ให้พี่เอกนอนเตียงแล้วผมไปนอนโซฟาก็ได้

ตอนแรกว่าจะต่อรองไม่ให้พี่เอกทำอะไร แต่ก็เหมือนตัวเองจะร้อนตัวไป พี่เขาอาจไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นก็ได้ เพราะถ้าคิดจริง คงจะทำไปตั้งนานแล้ว ไม่ขอตัวกลับบ้านก่อนหรอก

จริงไหมล่ะ

“ผมไม่มีเสื้อผ้าไซส์ใหญ่ให้พี่เปลี่ยนนะ”
ผมหันไปบอก

พี่เอกพยักหน้าเข้าใจ ผมปล่อยให้พี่แกอาบน้ำก่อน สักพักพี่เอกก็เดินเปลือยท่อนบนออกมา กางเกงเป็นกางเกงสแล็ค ถอดเข็มขัดออกแล้ว คงไม่สบายตัวเท่าไหร่ แต่กางเกงที่ใหญ่มากพอให้พี่แกใส่ได้ก็ไม่มี หุ่นมันคนละไซส์เลย

ผมคว้าชุดนอนตัวโปรดจากตู้เสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำ พออาบน้ำเสร็จก็แต่งตัวเรียบร้อยออกมา เข็ดจากช่วงเย็นครับ แค่ผมเปลือยท่อนบนนิดเดียว พี่มันยังหื่นแตกขนาดนั้น ป้องกันไว้ก่อน ผมยังไม่อยากเสียเอกราชจริง ๆ

“พี่นอนเตียงไปละกัน”

คือเตียงผมเป็นเตียงเดี่ยว ไม่ใช่เตียงคู่แบบห้องแม่หรือห้องรับแขก

“แล้วนายล่ะ”

ผมชี้ไปที่โซฟาขนาดพอดีตัว

“ได้ไง นายเป็นเจ้าของห้องนะ นอนเตียงด้วยกันนี่แหละ”

ผมทำท่าอึดอัด

“มันเตียงเดี่ยวนะพี่”

“ก็ยังดีกว่านอนโซฟาละกัน มาเถอะ”
แล้วพี่มันก็ลากผมลงไปนอนด้วย

“เดี๋ยวพี่ ขอผมปิดไฟก่อน”
ผมเด้งตัวลุก

ห้องผมไม่ได้หรูแบบห้องพี่เอกที่มีโคมไฟหัวเตียง เพราะงั้นต้องเดินไปปิดไฟที่หน้าประตูก่อน

และตอนนี้ทั่วทั้งห้องก็เหลือไว้แค่แสงอ่อน ๆ จากดวงจันทร์ที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างประดับม่านขาว ผมนอนด้านนอกมีพี่เอกนอนด้านในติดกับกำแพง ห้องข้าง ๆ เป็นห้องแม่ เรานอนอยู่บนเตียงเดียวกันภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน

 
หัวใจผมเต้นโครมคราม พยายามนอนให้นิ่งที่สุดเท่าที่จะนิ่งได้ หัวไหล่เราแทบจะชิดกันอยู่แล้ว ผมนอนนิ่งลืมตามองเพดานภายใต้ความมืด

“นายรู้เรื่องของไอ้เป้แล้วใช่ไหม”
พี่เอกถามตัดความเงียบขึ้นมา

ผมหันไปมอง

“ฮะ”

พี่มันถอนหายใจแรง

“ตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ตอนไปเที่ยวกันครั้งล่าสุด ผม…เอ่อ… เข้าไปเห็นตอนพี่เป้กำลังจูบไอ้เต้ยพอดี”

พี่เอกเงียบไปนาน

“แล้วรู้ใช่ไหมว่ามันพยายามตัดใจอยู่”

“อืม รู้ฮะ ผมถึงได้พยายามช่วย สงสารทั้งพี่เป้แล้วก็ไอ้เต้ยด้วย ไม่รู้ว่าจะอดทนกันได้นานแค่ไหน”
 
พวกเราเงียบกันไปอีกรอบ
 
“นี่”
พี่มันเรียกตัดความเงียบขึ้นมาอีกที

“ฮะ”
ผมตอบรับเสียงแผ่ว

“นายไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เป้หรือไอ้เต้ยมันใช่ไหม”

“เอ๊ะ?”
ผมขมวดคิ้วมุ่นหันไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เอกยกตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้ ผมนอนตัวแข็งทื่อ จ้องหน้าคนที่อยู่ด้านบนเขม็ง แสงจากดวงจันทร์ส่องให้เห็นเสี้ยวหน้าหล่อเหลาได้ลาง ๆ

“ไม่ได้คิดอะไรกับไอ้เป้หรือไอ้เต้ยมันใช่ไหม”

ผมคิ้วขมวดกับคำถามนั้น

“พี่เป้เป็นรุ่นพี่ส่วนไอ้เต้ยเป็นเพื่อนสนิทผม”
ผมบอกตามจริง

พี่เอกจ้องหน้าผมอยู่นิ่งนาน

คิดอะไรอยู่ถึงได้ถามแบบนี้

ผมกวาดมองไปทั่วโครงหน้าหล่อเหลาสะท้อนแสงจันทร์ของพี่เอก ประติมากรรมมนุษย์ที่เห็นทีไรก็อยากจะคว้ากล้องมาถ่ายสักรูปสองรูป

สักพักพี่มันก็เคลื่อนตัวลงไปนอนที่เดิม ผมถอนหายใจเบา ๆ ค่อย ๆ ตะแคงข้างงอตัวกอดผ้าห่มไว้ ตุ๊กตาที่ปกติจะเต็มเตียง ผมกวาดไปไว้ที่พื้นหมด นอนคนเดียวมีตุ๊กตาได้ แต่พี่มันมานอนด้วยแบบนี้ พื้นที่คงไม่พอ

เคลิ้ม ๆ กำลังจะหลับ ก็รู้สึกเหมือนมีวงแขนมาพาดไว้ที่เอว ผมสะดุ้งเฮือก เอี้ยวหน้าไปมอง เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่เอกยกตัวขึ้นมาคร่อมผมไว้อีกที ผมเกร็งตัว ไล่สายตามองตามตื่น ๆ

พี่เอกไม่ได้ทำอะไร นอกจากจ้องหน้าผมนิ่ง ๆ ภายใต้แสงสว่างเจือจางจากดวงจันทร์

“โทษที พี่นอนไม่หลับ เรานอนไปเถอะ”

“แล้วพี่จะไปไหน”
ผมรีบลุกขึ้นนั่งทันทีที่พี่เอกลุกออกจากเตียง   

“ไปเดินเล่นในสวนสักหน่อย นายนอนไปเถอะ”
พี่แกลูบหัวผมเบา ๆ หันหลังเดินออกจากห้องไป

ผมนั่งนิ่งบนเตียง

..หรือพี่แกจะรู้ว่าผมเกร็ง..

ผมล้มตัวลงนอน ข่มซ่อนดวงตาตัวเองไว้ พลิกซ้ายก็แล้ว พลิกขวาก็แล้ว แต่ทำยังไงก็หลับไม่ได้สักที สุดท้าย ผมดีดตัวลุกขึ้นนั่ง สลัดผ้าห่มทิ้งไว้ข้างตัวลุกเดินไปเปิดไฟ จับลูกบิดหมุนเปิดประตูออกเป็นจังหวะเดียวกับที่ใครอีกคนหมุนเปิดประตูเข้า มาพอดี

พี่มันทำหน้าแปลกใจที่เห็นผมยังตื่นอยู่

“คิดว่านอนไปแล้วซะอีก”

“เป็นห่วงพี่”

พี่มันถอนหายใจแรง งับปิดประตูลงจนได้ยินเสียงกริ๊กของลูกกลอนเบา ๆ

“พี่ไปสงบอารมณ์มา”

ผมคิ้วขมวด

สงบอารมณ์?

เพื่ออะไร?

คิ้วผูกโบว์ของผมคงเป็นคำถามที่ดีแทนคำพูด

“พี่ไม่อยากทำอะไรนาย ไม่อยากให้นายตื่นกลัว”

ผมขมวดคิ้วหนักยิ่งกว่าเดิมไปกับสิ่งที่ได้ยิน ปกติเคยห่วงกูด้วยเหรอฟะ เห็นทีไรจับจูบเอาจูบเอา เมาแล้วกลายร่างเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมารึไงฮึ

“พี่ไม่อยากทำอะไรนายตอนพี่เมา…”
พี่มันหยุดคำพูดไว้ ผมจ้องหน้าพี่มันงง ๆ

 

“เพราะถ้าพี่ได้เริ่มแล้ว…มันหยุดยาก”

พี่เอกก้มกระซิบข้างหูก่อนรวบตัวผมเข้าไปกอด ผมตาโตรีบถอยหลังอัตโนมัติ แต่ก็ช้ากว่าวงแขนแกร่งที่รั้งเอวผมกลับไปอีกรอบ พี่แกดันจนผมติดกำแพงใกล้ประตู ก่อนโหมจูบลงมาหนัก ๆ

ทำไมกูต้องเล่นบทเป็นนางเอกโดนพระเอกข่มขืนด้วยวะ

ผมรู้สึกหวาดหวั่นกับท่าทางแปลก ๆ ของพี่เอก เมื่อกี้ยังดี ๆ อยู่เลย ไหงกลับมาอีกทีกลายเป็นงี้ไปได้ ผมดิ้นรน แต่ยิ่งดิ้นหลังผมยิ่งถูกดันจนติดกำแพงมากขึ้น สักพักพี่แกก็ดันจนผมถอยหลังลงไปนอนบนเตียง ผมพยายามจะลุก แต่พี่เอกทิ้งตัวลงมานั่งคร่อมหน้าขาผมไว้ ผมมองหน้าพี่เอกตื่น ๆ

ดวงตาคมนิ่งเอามาก ๆ ทั้งที่ปกติออกจะแพรวพราวส่อแววหื่นออกมาชัด ๆ ผมกลัวสายตาแบบนั้นจริง ๆ

พี่เอกถอดเสื้อผมออก ขึงจนตึงก่อนนำมันมามัดข้อมือผมไว้ด้วยกัน ผมมองพี่เอกหน้าตื่นยิ่งกว่าเดิม

“พี่เอกจะทำอะไรน่ะ!!”

พี่มันไม่ตอบครับ ยิ่งนิ่งผมยิ่งกลัว ผมพยายามดันตัวจะลุก แต่พี่มันกดหน้าอกผมไว้ด้วยฝ่ามือเดียว

แรงจะเยอะไปไหน

แล้วพี่แกก็ใช้มืออีกข้างถอดกางเกงผมออก ทันทีที่ผิวเนื้อสัมผัสอากาศ ผมรีบห่อตัวเข้าหากันทันที

พี่เอกละมือจากหน้าอกผมไปถอดเสื้อตัวเองออกบ้าง ผมรีบอาศัยจังหวะนั้นกระเถิบตัวถอยหนี พลิกตัวคว่ำหน้าหวังก้าวลงจากเตียง แต่ยังไม่ทันได้ทำดั่งใจ มือใหญ่ก็คว้าข้อเท้าผมไว้ กระชากทีเดียวผมก็มานอนแหมะคว่ำหน้าอยู่ที่เดิม

ผมรีบค้ำสองมือที่ถูกมัดไว้กับพื้นดันตัวหวังจะลุก ก่อนจะทรุดฮวบลงไปหาที่นอนอีกรอบเมื่อมีแผ่นอกกว้างมาทับหลังไว้   

หมดสิทธิ์ขัดขืนครับ
 
แต่ผมก็ยังไม่ยอมแพ้ดิ้นขลุกขลักหวังผลักพี่มันออก พี่เอกไม่พูดโต้ตอบอะไร นอกจากไล้ฝ่ามือไปมาสลับกับบีบเค้นท่อนแขนผมแรงจนเจ็บ ปากร้อนก็ไม่หยุดนิ่งพรมจูบไปทั่วตั้งแต่แผ่นหลังขึ้นมาที่ลำคองับเบา ๆ ที่ใบหูจนขนลุกซู่แล้วเลื่อนลงไปงับแรง ๆ ที่ลำคออีกที   
 
“พี่เอก ปล่อย!!”
ผมพยายามห้าม แต่พี่แกไม่หยุดยังพรมจูบอยู่อย่างนั้น
 
พี่เอกจับเอวผมยกขึ้นให้คุกเข่า จับสองขาผมแยกออกกว้าง จ่อความแข็งขืนไว้ที่ปากทางเข้า ผมพยายามขยับเคลื่อนตัวไปด้านหน้า แต่พี่แกจับสะโพกผมไว้ดึงเข้าหาตัว ซ้ำยังดันบางส่วนเข้ามาไม่ยอมหยุด
 
ตอนนี้ผมกำลังกลัว กลัวพี่เอกเอามาก ๆ
 
“พี่เอกอย่าทำแบบนี้!! ปล่อย!!”
ผมตะโกนห้ามทั้งยังพยายามขยับตัวออก
 
แต่สองมือยังไร้อิสระ แถมสะโพกยังถูกยึดแน่นทำให้ขัดขืนอะไรไม่ได้ ผมเกร็งร่างกายไม่ให้ความร้อนผ่านเข้ามา
 
พี่เอกละมือจากสะโพกจับสองขาผมแยกออกกว้างกว่าเดิม ผมเผลอตัวคลายความเกร็ง และทันทีที่ทำแบบนั้น ผมก็ต้องกรีดร้องเสียงหนัก เมื่อความร้อนที่จ่อรอไว้อยู่ถูกดันพรวดเข้ามาจนสุดทางในหนเดียว
 
ผมอ้าปากค้างปล่อยให้ลมหายใจและเสียงครางแผ่ว ๆ เป็นเครื่องระบายความจุกเจ็บที่ถาโถมเข้ามา หัวใจถูกบีบให้เต้นเร็ว ลมหายใจหอบกระชั้น สมองวูบโหวงว่างเปล่า
 
ยังไม่ทันที่ร่างกายจะได้คลายตัว พี่เอกก็ดึงร่างตัวเองออกแล้วใส่กลับเข้ามาใหม่จนผมต้องกรีดร้องอีกรอบ
 
“พี่เอก.. เบา ๆ!!”
ผมพยายามร้องขอเมื่อจังหวะถูกใส่ลงมาเร็วและแรงจนเกินไป
 
“อืม.. กาย”
พี่มันครางเสียงพร่า
 
แต่แทนที่พี่แกจะเบาตามคำขอกลับใส่จังหวะหนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม ผมแนบหน้ากับที่นอนไถลขึ้นลงตามจังหวะโหมนั้น
 
‘เพราะถ้าพี่ได้เริ่มแล้ว…มันหยุดยาก’
 
ผมเข้าใจความหมายของพี่มันทันที
 
จังหวะเริงรักถูกสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ผมไม่รู้ว่าผมไปถึงปลายทางกี่รอบ รู้แค่ว่าพี่เอกจะรุนแรง เร่าร้อน
 
...แล้วก็เงียบ
..

..

..

ผมลืมตาตื่นอีกทีตอนตะวันยามเช้าแยงตา หลอดไฟบนเพดานยังคงส่องสว่าง เมื่อคืนหลับไปโดยไม่ได้ปิดไฟ ผมพลิกหน้าไปด้านข้าง จนเห็นแผงอกกว้างเปลือยเปล่าของใครบางคน ผมเงยหน้ามองเจ้าของแผงอกนั้น พี่เอกนอนหายใจสม่ำเสมอ แขนซ้ายหนุนหัวราบไปกับหมอน ส่วนแขนขวาเกี่ยวไว้ที่เอวผมหลวม ๆ

โดนกอดกี่ที ๆ ก็รู้สึกเหมือนแขนพี่มันเป็นปีกนกเลยแฮะ

… ถ้าไม่เมาแล้วบ้าระห่ำจนน่ากลัวแบบเมื่อคืนน่ะนะ…

แค่ผมขยับตัวเบา ๆ มันก็เจ็บร้าวไปทั่วทั้งท่อนล่าง ผมเพิ่งได้นอนตอนเกือบตีห้า ตอนนี้เจ็ดโมงเช้าแล้ว เวลาตื่นนอนของผมเอง ต่อให้นอนดึกขนาดไหนก็ตื่นเวลานี้

พี่เอกคงเหนื่อยจัด ขนาดผมขยับยังไม่รู้สึกตัวเลย ผมพยายามขยับตัวลุกให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ร่างกายเหนียวเหนอะไปหมด อยากไปล้างตัวครับ ลูกนับล้านของพี่เอกคงเน่าอยู่ในตัวผมแล้ว

กำลังจะหลุดออกจากเตียง แต่แรงเกี่ยวจากวงแขนใหญ่รั้งผมลงไปนอนอีกรอบ พี่เอกพลิกตัวคร่อมร่างผมไว้ เรียวคิ้วเข้มขมวดหนักจนใบหน้าดูตึงเครียด

ผมตาโตจ้องหน้าพี่มันหวั่น ๆ

นี่พี่แกสร่างเมารึยัง

“เจ็บอยู่ไม่ใช่เหรอ ลุกทำไม”
พี่แกถามกลับเสียงนุ่ม

พูดได้ยาวขนาดนี้ แปลว่าสร่างเมาแล้วใช่ไหม

ผมหลุบเปลือกตาลงต่ำหลบหนีดวงตาคม

“ผมเหนียวตัว อยากอาบน้ำ”

“เดี๋ยวพี่พาไป”

ผมเงยหน้าสบตาพี่มัน

“ไม่เป็นไร ผมไปเองได้”

“พี่พาไป”

ดื้อจริงวุ้ย

สุดท้ายผมต้องยอมให้พี่แกพยุงตัวเข้าห้องน้ำไป

คือจริง ๆ แล้วกูอาย กูโป๊อยู่ มึงสำนึกบ้างสิ มึงมีกางเกงอยู่ แต่กูถูกปลดเอกราชทิ้งไปตั้งแต่เมื่อคืน

เมื่อคืนพี่แกมีอะไรกับผมโดยไม่ยอมถอดกางเกงฮะ

เอ่อ..คือ…ปล่อย แค่ส่วนนั้นออกมา พอใช้งานเสร็จก็เก็บเข้าที่ ตื่นเช้ามาพี่แกเลยอยู่ในสภาพกึ่งสมบูรณ์ ท่อนบนเปลือยเปล่า ท่อนล่างเป็นกางเกงนักศึกษา ซิปเปิดอ้ากระดุมหลุดออกจากรัง เผยลิงขาวขอบดำรำไร

สรุป พี่มันยังเท่อยู่ แต่ผมนี่สิ .. เดินห้อยต่องแต่ง

บอกได้คำเดียว…โคตรอาย

ผมอาบน้ำโดยมีพี่เอกยืนอาบอยู่ข้าง ๆ ผมหันหลังให้พี่แก ไม่มองหน้า ไม่มองตัว ไม่มองอะไรทั้งนั้น คิดซะว่าอาบอยู่คนเดียว

“พี่เอกออกไปก่อนได้ไหม”
ผมตัดสินใจบอกหลังจากยืนขัดตัวจนแทบจะเปื่อยอยู่นาน

พี่แกหันมามองด้วยความแปลกใจ

แล้วรายนี้จะอาบนาน ๆ ตามกูทำไมวะ

“คะ คือผมจะทำความสะอาด…”
ส่วนนั้นนั่นแหละ 0///0

พี่แกเล่นปล่อยข้างในซะหมด ไม่ล้างออกคงไม่ดี พี่มันพยักหน้าเข้าใจ แล้วปล่อยให้ผมยืนอาบอยู่คนเดียว

พอออกจากห้องน้ำไป ก็เห็นพี่เอกยืนเท่เปลือยท่อนบนอยู่ข้างหน้าต่าง ผมพยายามเดินให้เนียนที่สุดไปหาเสื้อผ้าใส่

ทั้งที่ใจอยากตะโกนออกมาดัง ๆ …

กูเจ็บตูดโว้ย T^T

“กาย”
พี่เอกเรียก ผมหันไปมอง พี่แกทำท่าจะพูดอะไรสักอย่าง ...ก่อนเงียบไป

“อย่าลืมใส่ชุดที่พี่ซื้อให้นะ”

ผมขมวดคิ้ว

“เอาไว้ซักก่อนละกันฮะ” 

พี่มันพยักหน้าเข้าใจ พอผมแต่งตัวเสร็จก็เดินลงไปข้างล่าง โดยมีพี่มันเดินโป๊ท่อนบนตามมา

ข้างล่างเงียบครับ ยังไม่มีใครตื่น ผมกวาดมองไปรอบ ๆ จนเห็นไอ้เต้ยเดินหัวฟูลงบันไดมา ซ้ำยังลากพี่มันลงมาด้วย นิสัยมันเหมือนแมว กอดแขนพี่มันแน่นหนึบเลย

“แปรงฟันยังมึง”
ผมถาม

ไอ้เต้ยพยักหน้าขึ้นลงหงึก ๆ

“แปรงแล้ว ล้างหน้าอาบน้ำแล้วด้วย”
มันยีปากจนเบี้ยวให้ดูฟันขาว ๆ ภายใน

ผมหัวเราะ เดินไปปัดเรด้าร์บนหัวมันลงมา ปกติเวลาที่มันมาบ้าน มันจะนอนกับผมตลอด เราคบกันมานาน ผมก็รักมันเหมือนน้อง แม่ก็รักมันเหมือนลูกอีกคนหนึ่ง เพราะมีมันอยู่ด้วยนี่แหละ แม่ถึงได้ไว้ใจให้ผมอยู่กรุงเทพคนเดียว อย่างน้อยมีอะไรก็อาศัยฝากฝังมันได้บ้าง (จริง ๆ แม่ก็พูดหรูหราไปงั้นแหละ แกอยากไปซะอย่าง ต่อให้ทิ้งลูกให้อยู่คนเดียว แกก็ทำ - - )

ผมไม่ค่อยไปบ้านมันเท่าไหร่หรอก แต่มันน่ะมาบ้านผมบ่อย เรียกได้ว่าแม่ไม่อยู่เมื่อไหร่ มันก็โผล่

“กาย กูอยากกินข้าวต้มกุ้ง”
ไอ้เต้ยมันอ้อน

ปกติแม่จะทำกับข้าวไว้ให้เราสองคนทาน พอแม่ไม่อยู่ ผมก็ต้องทำหน้าที่นี้แทน

“งั้นมึงมาช่วยกูแกะกุ้งละกัน”

มันพยักหน้า ปล่อยแขนจากพี่มันเดินมากอดคอผมแทน ไอ้นี่มันชอบนัวเนีย

มึงน่าจะไปเกิดเป็นแมวซะเลยนะ

เราสองคนพากันเดินเข้าครัว โดยมีหมียักษ์สองตัวเดินตามมาด้วย ผมอยากจะถามว่า แล้วพวกพี่จะตามเข้ามาด้วยทำไม

พี่เป้คงกำลังเบลออยู่ แต่ไอ้หมียักษ์ข้างผมนี่สิ

ผมไม่ได้สนใจ เดินไปหยิบหม้อมาเตรียมทำข้าวต้ม ต้องทำเผื่ออีก 8 ชีวิตที่เหลือด้วย พอเตรียมของเสร็จ ผมก็ลงมือตั้งหม้อปรุงรสตามสูตรของแม่ทันที
 

TBC…


หายไปนาน เหอๆ อยากมาลงเหมือนกันแต่มิมีเวลาเลย ภารกิจรัดเอวจนกิ่ว คิดฮอดคนอ่านที่นี่ทุกคน อิอิ ^^

ปล. ให้กำลังใจบ้านคนน้ำท่วมค่ะ ^^

คีส ๆ ทุกคน ^^ :bye2:

ต้องการหนังสือก็จิ้ม ๆ เลยค่ะ ^^ facebook.com/memew28 ^^


 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-09-2012 20:57:59 โดย memew »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด