13
พบเจอ
แสงแดดยามเช้าที่สาดส่องผ่านผ้าม่านเข้ามาในห้องทำไห้ไม่ร้อนจนเกินไป สายมากแล้วแต่หากว่าตอนนี้ยังไม่มีใครยอมลุกจากที่นอน อีกคนกำลังหลับสบาย กับอีกคนที่ตื่นแล้วทว่ายังไม่อยากจะลุกไปไหน...
นอนมองใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายแล้วอมยิ้มกับตัวเอง คนที่เห็นหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเข้านอนและคนที่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นหน้าเป็นคนแรก ถึงจะเป็นแบบนี้มาได้สักพักแต่ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปแล้วในตอนนี้ก็ทำให้ความรู้สึกที่เคยมีเปลี่ยนตามไปด้วย
ไม่ใช่ความฝัน เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนไม่ได้เป็นเพียงแค่ฝันไป ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง สัมผัสของคำว่ารักบนฝ่ามือยังคงไม่จางหายไปไหน ขยับตัวเข้าไปกดจูบแผ่วเบาลงบนหน้าผากมนก่อนจะเลื่อนไปกระซิบปลุกให้อีกฝ่ายตื่นจากนิทราแสนหวาน
“ตื่นได้แล้วครับคนเก่ง วันนี้พี่จะพารันไปหาพ่อกับแม่พี่นะ”
ร่างเล็กค่อยๆขยับตัวทีละน้อยเมื่อโดนปลุก ดวงตากลมโตกระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับให้คุ้นชินกับแสงที่ส่องเข้ามา ใบหน้าที่คุ้นเคยของนิธิศคือสิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรก ริมฝีปากบางยกยิ้มน้อยๆส่งกลับไปให้อีกฝ่ายแทนการทักทายกันในตอนเช้า
ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาใช้ห้องน้ำข้างนอกเหมือนปกติ แต่ก็ต้องแปลกใจเล็กน้อยเมื่อแปรงสีฟันและข้าวของเครื่องใช้ที่เคยวางอยู่บริเวณเคาท์เตอร์บนอ่างหายไป...เมื่อคืนก็จำว่ายังใช้อยู่เลยแท้ๆ
ไม่รอช้าที่จะเดินกลับเข้าไปในห้องนอน ห้องน้ำในตัวที่ถูกเปิดประตูเอาไว้ทำให้เจ้าตัวมองเห็นนิธิศกำลังยืนแปรงฟันอยู่หน้ากระจก กำลังจะเดินเข้าไปถามเรื่องของแต่ก็ต้องชะงักเท้าลง เพราะอีกฝ่ายส่งแปรงอีกอันที่บีบยาสีฟันไว้เรียบแล้วให้เสียก่อน...แปรงสีฟันของเขา
ร่างสูงหัวเราะเบาๆในลำคอกับท่าทีงงๆเหมือนสมองยังประมวลผลไม่ทันของวิพารันต์พลางหันไปหยิบแก้วน้ำมาส่งให้เจ้าตัวอีกอย่าง
เริ่มจะเข้าใจสิ่งที่นิธิศต้องการสื่อมากขึ้น วิพารันต์ยื่นมือไปรับแก้วน้ำนั้นไว้ก่อนจะขยับตัวเดินเข้าไปยืนแปรงฟันใกล้ๆกันกับอีกฝ่าย
ภาพของคนสองคนที่ยืนอยู่เคียงข้างกันสะท้อนออกมาให้เห็นผ่านกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า กระจกที่สะท้อนให้เห็นรอยยิ้มและสายตาของทั้งสองคนที่สบประสานกันอยู่ในนั้น
กระจก...ที่ไม่กี่วันก่อนยังเห็นเพียงภาพของตัวเองสะท้อนอยู่ในนั้นคนเดียว...
...................
....................................
สถานที่ที่นิธิศบอกว่าจะพาวิพารันต์มาหาพ่อกับแม่ของเขาก็คือวัด วัดที่อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเขามากนักจึงใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน ต่างจากวัดที่เคยพาเจ้าตัวไปทำบุญครั้งก่อนซึ่งค่อนข้างจะอยู่ไกลออกไปจากตัวเมืองสักหน่อย
ร่างสูงก็ขับรถเข้าไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ภายในก่อนจะเดินลงไปเปิดท้ายรถเพื่อหยิบดอกไม้ที่แวะซื้อระหว่างทางก่อนจะมาถึงที่นี่ ซึ่งตัววิพารันต์เองพอลงมาจากรถได้ก็รีบเดินมาทำท่าจะช่วยถือทันที
“ขอบคุณครับ แต่แค่ดอกไม้พี่ถือคนเดียวได้นะเด็กน้อย”
เอ่ยบอกยิ้มๆแล้วจับมืออีกฝ่ายให้เดินไปด้วยกันตามทางเดินที่มีไม่มากนักแต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะช่วยกันแสงแดดที่ส่องลงมาให้คลายความร้อนได้ในระดับหนึ่ง
นิธิศพาวิพารันต์มาหยุดอยู่ที่หน้าเจย์ดีเก็บอัฐิขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ ที่บริเวณข้างหน้ามีรูปผู้หญิงกับผู้ชายสองคนแปะอยู่เคียงคู่กัน.รอยยิ้มอ่อนโยนของคนในรูปที่ยังคงติดอยู่ในความทรงจำ...
“พ่อครับ แม่ครับ...” มือใหญ่เอื้อมไปสัมผัสภาพนั้นก่อนจะลูบเบาๆด้วยความคิดถึง “ ...ปีนี้...ผมไม่ได้มาเยี่ยมพ่อกับแม่แค่คนเดียวเหมือนทุกปีแล้วนะ เพราะวันนี้...ผมมีคนที่อยากพามาแนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักด้วย นี่รัน วิพารันต์ครับ คนที่ผมเลือกแล้ว เลือกแล้วว่าจะให้มาเป็นลูกสะใภ้ของพ่อกับแม่ เป็นไงบ้างครับน่ารักถูกใจทั้งสองคนไหม...”
นิธิศพูดติดตลกเพื่อกลบเกลื่อนอารมณ์เศร้าในตอนนี้ของตัวเอง แต่คนที่ยืนมองอยู่อย่างวิพารันต์ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังฝืนทำแบบนั้นอยู่มากขนาดไหน
เวลาหลายปีที่ไม่ใครคอยอยู่เคียงข้าง ช่วงเวลาที่ต้องอยู่คนเดียว ช่วงเวลาที่ต้องทนเหงา ความรู้สึกแบบนั้น...เขาเข้าใจมันเป็นอย่างดี
“ผม...คิดถึงพ่อกับแม่จังครับ ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่...ทั้งสองคนจะต้องชอบแล้วก็รักรันเหมือนที่ผมรักแน่ๆเลยล่ะ...”
ไม่มีน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้ออกมาให้เห็น แต่หากในใจตอนนี้กำลังเจ็บปวดอย่างที่สุด หลายปีมาแล้ว แต่ความรู้สึกเหล่านี้ก็ยังไม่เคยจางหายไป ช่วงเวลาที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาด้วยตนเองเมื่อผู้เป็นที่รักและที่พึ่งทั้งสองคนจากไปในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ความรู้สึกอ้างว้างที่เขาฝังมันเอาไว้อยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ เหมือนแผลที่แห้งแล้วในสายตาของคนอื่น ซึ่งจะมีสักกี่คนที่รู้ว่าความจริงแล้วมันยังเป็นเพียงแค่แผลตกสะเก็ดที่เลือดสดๆพร้อมจะไหลออกมาได้เสมอเมื่อถูกสะกิดแม้เพียงเล็กน้อย
อยากจะช่วย อยากแบ่งเบาความทุกข์นั้นออกมาบ้าง มือเล็กกระชับฝ่ามือใหญ่ของอีกฝ่ายที่ยังจับกันไว้แล้วบีบเบาๆอย่างอยากให้กำลังใจ อยากให้รู้...ว่าอย่างน้อยตรงนี้ก็ยังมีเขาอยู่ข้างๆ
นิธิศก้มลงมองที่มือตัวเองก่อนจะหันไปยิ้มบางๆให้วิพารันต์ ไม่ต้องมีถ้อยคำปลอบใจให้รู้สึกดี ไม่ต้องมีคำพูดใดๆที่สวยหรู ไม่ต้องทำเหมือนที่ใครเขาทำกัน แต่เพียงแค่นี้...เพียงแค่มีใครอีกคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างและคอยจับมือกันไว้แบบนี้ มันก็เพียงพอแล้ว...สำหรับเขา
........................
......................................
“คุณไนท์คะ ท่านประธานโทรมาสั่งให้พัดมากำชับคุณไนท์เรื่องงานเลี้ยงที่โรงแรมเย็นนี้ค่ะ”
ผ่านไปหลายอาทิตย์แล้วสำหรับเหตุการณ์สารภาพรักที่ไม่สมหวังในวันนั้น พัดชายังคงมาทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเหมือนปกติ ซึ่งนิธิศเองก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนเดิมทุกอย่าง
ความสัมพันธ์ระหว่างเลขากับเจ้านาย ความสัมพันธ์ที่เหมาะสมที่สุดระหว่างเธอและนิธิศ...
“ครับ ผมทราบแล้วครับ ขอบคุณมากนะคุณพัดชา”
คนเป็นเจ้านายเงยหน้าขึ้นมาจากแฟ้มเอกสารก่อนจะตอบรับเลขาสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ
ด้วยสัญญาลงทุนทำธุรกิจร่วมกันระหว่างบริษัทของเขาและบริษัททีทีกรุ๊ป ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อต้นปีที่แล้วได้รับผลประสบความสำเร็จในด้านการประกอบการมากเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก ในเย็นวันนี้ทั้งสองบริษัทจึงมีความเห็นตรงกันที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นให้กับพนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง
“ค่ะ งั้นพัดขอตัวก่อนนะคะ”
หลังจากพัดชาเดินออกจากห้องไปแล้ว นิธิศก็นั่งทำงานต่อไปแบบนั้นจนกระทั่งได้เวลาสามโมงกว่าๆถึงได้เก็บของแล้วออกไปรับวิพารันต์ที่บ้านของมาริสาก่อน เพราะวันนี้เขาจึงตั้งใจจะพาเจ้าตัวเล็กออกไปงานเลี้ยงเย็นนี้กับเขาด้วย
“วันนี้เลิกงานเร็วหรือไง ถึงได้มารับน้องเร็วขนาดนี้ นี่ยังอีกตั้งเกือบชั่วโมงแน่ะกว่าจะสี่โมง”
มาริสายืนเกาะเคาท์เตอร์คุยเพื่อนรักในขณะที่รอวิพารันต์เดินเข้าไปเก็บของใช้เล็กๆน้อยๆที่มักจะเอาใส่กระเป๋าเป้ใบเล็กน่ารักติดตัวมาด้วยเสมอ
“อืม พอดีวันนี้ตอนห้าโมงจะต้องออกไปงานเลี้ยงของบริษัทที่โรงแรมน่ะ เลยออกมาเร็วหน่อยเพราะเดี๋ยวต้องกลับไปที่คอนโดก่อนอีก”
“อ้าวเหรอ งั้นจริงๆก็ไม่เห็นรีบมารับน้องเลย ฝากฉันไว้ก่อนก็ได้นี่ อะ...อ้อขอโทษทีลืมไป ลืมไปว่าตอนนี้แกกำลังอยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามัน อยู่ห่างน้องเกินแปดชั่วโมงไม่ได้ ไม่งั้นมันจะขาดใจตาย”
มาริสาเบะปากแซวอย่างรู้ทัน ทำเอานิธิศที่กำลังจะอ้าปากอธิบายได้แต่หัวเราะเบาๆในลำคออย่างพูดอะไรไม่ออก...ก็เพราะเจ้าตัวรู้ดีไปหมดเสียทุกเรื่องแบบนี้สิน่า วันนั้นที่เขาตัดสินใจบอกเพื่อนสนิททั้งสามคนให้รับรู้เรื่องที่เขาคบกับวิพารันต์ถึงไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเลยสักนิด แถมยังทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่รู้ๆกันอยู่แล้วอีกต่างหาก
และเมื่อร่างสูงพาวิพารันต์กลับมาถึงคอนโดแล้ว เขาก็ต้องพยายามหาสารพัดวิธีมาหลอกให้เจ้าตัวเล็กที่หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็ตั้งท่าจะเดินเข้าห้องไปนอนอย่างเดียว เพราะไม่รู้ว่าวันนี้มาริสาพาเจ้าไปซนถึงไหนมา ถึงได้ดูท่าทางอยากนอนมากขนาดนี้ ให้ออกไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนเขาก่อน
ถึงจะดูใจร้ายสำหรับเด็กไปหน่อยแต่นั่นก็คือเรื่องจริง เรื่องจริงที่เหมือนกับที่มาริสาบอก เรื่องจริงที่ว่าช่วงนี้เขาติดวิพารันต์มากจนอยากจะให้อยู่ข้างๆตัวตลอดเวลา
งานเลี้ยงฉลองร่วมกันของทั้งสองบริษัทที่ถูกจัดขึ้นภายในโรงแรมหรู นิธิศที่อยู่ในชุดสูทเต็มยศเดินจูงมือวิพารันต์เข้าไปในงานก่อนจะหยุดทักทายเหล่าผู้บริหารต่างๆทั้งในบริษัทของตัวเองและของทีทีกรุ๊ปที่เคยได้ร่วมงานกันมาตลอดหนึ่งปีเต็ม
ความง่วงที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ของคนตัวเล็กดูเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งชั่วคราวเมื่อได้เข้ามาเจอกับบรรยากาศแปลกใหม่ ห้องโถงใหญ่ที่ถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้ ผู้คนมากมายที่ผลัดกันเดินเข้ามาทักทายและพูดคุยกับนิธิศในเรื่องที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง
อีกมุมหนึ่งในการทำงานของอีกฝ่ายที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน…
“หิวหรือยังครับหือ ไปหาอะไรกินกันนะ”
หันมาก้มกระซิบบอกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะแกล้งเนียนเลยไปหอมแก้มนุ่มนิ่มทีหนึ่งอย่างนึกหมันเขี้ยวและถือเป็นการประกาศความเป็นเจ้าของไปด้วยในตัว เพราะดูท่าแล้วว่าเจ้าตัวเล็กของเขาจะยังไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ความน่ารักของตัวเองเป็นที่สะดุดตาของแขกที่อยู่ในงานมากแค่ไหน ยิ่งโดยเฉพาะกับบรรดาพวกหนุ่มสาวลูกหลานบุคคลระดับผู้บริหารที่หันมาจ้องกันชนิดตาไม่กระพริบ
เห็นแล้วมันก็อดจะนึกหวงขึ้นมาไม่ได้...
นิธิศเดินจูงมือเล็กของอีกฝ่ายให้เดินตามตัวเองมาที่ซุ้มอาหารที่มีของกินคาวหวานให้เลือกมากมาย ก่อนจะหยิบจานพร้อมกับช้อนส้อมส่งให้ แล้วปล่อยให้เจ้าตัวได้เดินเลือกหยิบขนมกินเองด้วยท่าทางตื่นตาตื่นใจ จนร่างสูงเองที่เห็นภาพแบบนั้นแล้วก็อดที่จะอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้...ยังไงเสียเด็กก็ยังเป็นเด็กล่ะนะ เจอขนมเข้าหน่อยก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
“เด็กน้อย เดี๋ยวพี่มานะ ยืนกินขนมอยู่ตรงนี้อย่าไปไหนล่ะเข้าใจมั้ยครับ”
นิธิศหันมาบอกวิพารันต์พร้อมกับลูบศีรษะเบาๆ ก่อนจะเดินตามเลขาสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาบอกว่าเจ้านายของเขาเรียกให้ไปพบ
คนตัวเล็กยืนกินขนมอยู่ตรงนั้นได้พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าอีกคนจะเดินกลับมาเสียทีจึงเริ่มที่จะชะเง้อมอง อยากเดินไปหา แต่ก็ไม่กล้า เพราะอีกฝ่ายบอกให้รออยู่ตรงนี้ กลัวว่าถ้าเดินไปแล้ว เวลานิธิศ กลับมาอาจจะยิ่งหลงกันไปอีก
“ไม่ทราบว่ามองหาใครอยู่เหรอครับ ให้ผมช่วยไหม”
ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดสูทที่คาดว่าน่าจะเป็นลูกหลานของใครสักคนในงานเดินเข้ามาทักวิพารันต์ เมื่อสบโอกาสเห็นว่าคนน่ารักที่ตัวเองยืนมองมาได้สักพักเริ่มมีท่าทางกระวนกระวายเหมือนหาใครไม่เจอ
วิพารันต์ส่ายหน้าแล้วส่งยิ้มแหยๆกลับไปให้คนที่ตัวเองไม่รู้จัก การอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้าเยอะๆในงานแบบนี้โดยที่ไม่มีนิธิศอยู่ด้วยทำให้วิพารันต์รู้สึกประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก ภายในใจนึกภาวนาให้คนที่เดินหายไปรีบกลับมาหาตัวเองไวๆ
“งั้น ถ้าไม่รังเกียจจะให้ผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วยคนได้ไหมครับ”
ท่าทางที่ดูไม่น่าไว้ใจ กับมือไม้ของอีกฝ่ายที่เริ่มมาถึงเนื้อถึงตัว ทำให้วิพารันต์รีบถอยห่างออกมาจากตรงนั้นทันทีอย่างนึกกลัว ทว่าไม่ทันได้ระวัง ไม่คิดว่าจะมีใครยืนอยู่ข้างหลังเจ้าตัวเลยเผลอไปชนเข้ากับร่างของใครคนหนึ่งเข้าจนตัวเองล้มลงไปนั่งกับพื้น เรียกสายตาของแขกในงานที่ยืนอยู่บริเวณนั้นให้หันมามองได้ไม่น้อย
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าหนู”
ชายวัยกลางคนที่ดูจากภายนอกแล้วน่าจะอายุประมาณสี่สิบปลายๆเอ่ยถามคนที่ถอยมาชนตัวเอง ก่อนจะย่อตัวก้มลงไปช่วยดูอาการเจ้าตัวที่หลังจากล้มลงไปแล้วก็เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่แบบนั้นไม่ยอมลุกขึ้นมาเสียที
“...เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ถามย้ำกลับไปอีกครั้งจนร่างบอบบางยอมเงยหน้าที่เปรอะไปด้วยคราบน้ำตาขึ้นมามอง
“วิชุดา...”
เขาครางออกมาเบาๆเมื่อเห็นหน้าของวิพารันต์แวบแรก ไม่ใช่...ไม่ใช่วิชุดา แต่ถึงแบบนั้น โครงเค้าหน้าของเด็กคนนี้ก็มีส่วนที่คล้ายกับผู้หญิงคนนั้นอยู่มากเหลือเกิน
นิธิศที่เพิ่งขอตัวผละออกมาจากเจ้านายของตัวเองได้ก็รีบเดินกลับมาหาวิพารันต์ทันที แต่แล้วก็ต้องตกใจเล็กน้อยเพราะบริเวณที่เขาบอกให้ร่างบางยืนรออยู่มีคนจำนวนหนึ่งยืนมุงอยู่ อีกทั้งเมื่อมองเข้าไปแล้วยังเห็นเจ้าตัวเล็กของเขากำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่พื้นแถมคนที่นั่งอยู่ข้างๆยังเป็นติณภพที่เป็นถึงท่านประธานใหญ่ของบริษัททีทีกรุ๊ปอีก
เห็นแบบนั้นนิธิศก็ไม่รอช้าที่จะเดินฝ่าวงล้อมย่อยๆของบรรดาแขกเหรื่อเข้าไปกอดปลอบวิพารันต์ ก่อนจะหันไปถามอาการของติณภพที่ดูเหมือนจะกำลังอึ้งๆกับอะไรสักอย่างอยู่
“โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี คือ...ขอโทษนะครับ ท่านไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหม”
“ผะ...ผมไม่ได้เป็นอะไร เด็กคนนี้มากับคุณหรอ”
ท่านประธานที่เพิ่งหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเองเอ่ยปากถามกลับไป โดยที่ยังไม่ละสายตาไปจากร่างเล็กในอ้อมกอดของคนตรงหน้า
“ครับ รันเค้ามากับผมเอง คือท่านมีอะไรหรือเปล่าครับ”
ร่างสูงบอกพลางฉุดร่างบอบบางของวิพารันต์ให้ลุกขึ้นยืนตาม ซึ่งเจ้าตัวเล็กเองก็ยอมแต่โดยดีแถมยังกอดตัวเขาเอาไว้แน่นเหมือนกลัวจะหนีหายไปไหนอีก
“ไม่มีอะไรหรอก ผมก็แค่สงสัยอะไรนิดหน่อย ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ”
ติณภพตอบก่อนจะเดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้น...ออกไปพร้อมกับสิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในใจ
นิธิศมองตามหลังท่านประธานบริษัทคู่ค้าของตัวเองไป ก่อนจะหันกลับมาสนใจคนตัวเล็กในอ้อมกอดต่อเขาไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่เขาถูกเจ้านายกักตัวเอาไว้ แต่ดูท่าว่าวิพารันต์คงจะต้องตกใจกลัวอะไรสักอย่างเพราะไม่เช่นนั้นเจ้าตัวคงไม่ถึงกับต้องร้องไห้แบบนี้...
ให้ตายสิ...เขาไม่น่าประมาทปล่อยเจ้าตัวให้อยู่คนเดียวเลยจริงๆ
ท้องฟ้าที่เริ่มมืดลงแล้ว ร่างสูงเดินพาวิพารันต์หลบความวุ่นวายในงานออกมานั่งรับลมเย็นๆอยู่ภายนอกตัวอาคาร ศีรษะเล็กเอนพิงกับอกของอีกคนที่นั่งซ้อนอยู่ด้านหลังก่อนจะหลับตาลงช้าๆ
ที่ที่อยู่แล้วสบายใจ ที่ที่อยู่แล้วรู้สึกปลอดภัย ที่ที่เดียวที่ทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ ที่ที่มีนิธิศอยู่...
“โกรธพี่ไหมคนเก่ง โกรธไหมที่พี่ทิ้งให้รันยืนอยู่ตรงนั้นคนเดียว พี่ขอโทษนะครับ”
นิธิศเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบพลางกดจูบลงไปที่ขมับเล็ก วิพารันต์ส่ายหน้าเบาๆก่อนจะจับมืออีกฝ่ายขึ้นมาแนบไว้ที่แก้มของตัวเอง นิธิศไม่ใช่คนที่สมควรจะถูกโกรธ เพราะถ้าคิดจะโกรธใครสักคนแล้วก็ควรจะควรเป็นตัวเขาเองเสียมากกว่า ที่โตขนาดนี้แล้วยังดูแลตัวเองไม่ได้จนทำให้นิธิศต้องคอยมานั่งเป็นห่วงมากขนาดนี้
“รัก รัก รักที่สุด...”
กระซิบแผ่วเบาให้ได้ยินที่ข้างใบหูแล้วเอาคางเกยไหล่เล็กเอาไว้แบบนั้น ความรู้สึกที่ค่อยๆเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ความรู้สึกที่เพียงได้อยู่ใกล้ๆกันก็มีความสุข ความรู้สึกที่ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ ความรู้สึกที่เรียกว่ารัก...
งานเลี้ยงที่ดำเนินต่อไปจนใกล้จะเลิกเต็มที ผู้บริหารหลายคนออกมายืนถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่ระลึกก่อนจะขอตัวแยกย้ายกันกลับไป
“รันครับ ตื่นได้แล้วครับ...ได้เวลากลับบ้านกันแล้วนะเด็กน้อย”
นิธิศเขย่าตัวเรียกวิพารันต์ที่นั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ในงานเบาๆ เมื่อได้เวลาที่ต้องกลับบ้านแล้วแต่เนื่องจากอาการง่วงที่ยังค้างคาอยู่ตั้งแต่แรกของร่างบางเริ่มออกฤทธิ์อีกครั้ง บวกกับตอนที่เดินกลับเข้ามาข้างในเจ้าตัวยังเผลอไปหยิบค็อกเทลสีใสๆที่คิดว่าเป็นน้ำเปล่ามาดื่มอีกเลยยิ่งทำให้หลับง่ายมากขึ้นไปอีก
อมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆกับเจ้าตัวเล็กที่ดูเหมือนจะแบตหมดแบบเต็มขั้น ชนิดที่ว่าต่อให้พยายามปลุกอีกนานแค่ไหนก็คงจะไม่ยอมตื่นขึ้นมาง่ายๆ นิธิศจึงต้องตัดสินใจอุ้มคนที่กำลังนอนหลับสบายขึ้นบ่าเหมือนเวลาอุ้มเด็กเล็กๆก่อนจะพาเดินออกไปขึ้นรถที่จอดอยู่ข้างนอก
แขกในงานที่กลับไปจนเกือบจะหมดจนเหลือน้อยเต็มที แต่ใครจะคิดล่ะว่าคนที่เป็นถึงท่านประธานบริษัทอย่างติณภพจะยังอยู่ในงานเป็นคนท้ายๆ สายตาของเขามองตามแผ่นหลังของนิธิศที่เดินออกไปด้วยความคิดหลากหลาย
ทั้งๆทีมันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ เรื่องบังเอิญที่ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่เลย แต่ทั้งๆที่คิดแบบนี้ มันก็ยังเหมือนมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจของเขาอยู่
สิ่งที่ยังค้างคา ความรู้สึกผิดและตราบาปในอดีตที่ฝังอยู่ในใจมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงขึ้นมากด เพราะบางครั้ง...คนเราก็มักเลือกที่จะเชื่อสัญชาตญาณของความรู้สึกมากกว่าความคิด
“คุณชิตชัย พรุ่งนี้ตอนเช้าเข้ามาพบผมที่บริษัทหน่อย ผม...มีเรื่องที่อยากให้คุณสืบ”
TBC.
Rewrite
ย่องมาต่อแบบเงียบๆๆ ตอนนี้อาจจะดูมึนๆงงๆไปบ้างเล็กน้อยเพราะมันมีปมเพิ่มขึ้นมา(ฮา) แต่ตอนหน้าจะมาคลายปมกันคลายความสงสัยค่ะ 555 รีเช็คอยู่หลายรอบไม่ถูกใจเสียที แต่ก็ออกมาได้แค่นี้ เศร้าใจเล็กน้อย ช่วงที่ต้องบรรยายรู้สึกมันฝืดๆ ยังไงก็ไม่รู้ 555 คะแนนแกทแพทเพิ่งออก ใกล้เวลาแอดมิชชั่นเต็มที ลุ้นๆ เอาล่ะ โม้มาเยอะและ เอาเป็นว่าตอนหน้าเจอกันค่า
ป.ล. ขอบคุณทุกการติตาด ขอบคุณทุกการแนะนำค่ะ แต่เรื่องลงเร็วๆเนี่ย ต้องขอโทษจริงๆ เป็นโรคเขียนช้าแก้ไม่หาย ถึงขนาดกับว่า Cn9095 เอาไปล้อเลยทีเดียว 55