SeeeDz ที่ 16
“...ซี ไอ้ซี”
“ห...หืออ...” ผมงัวเงียตื่นขึ้น
“ถึงโรงแรมแล้ว”
“อ้าว... เหรอ” ผมขยี้ตาแล้วบิดขี้เกียจ “กูหนาวจังว่ะ ไอ้นะ”
เขามองผมด้วยสีหน้าเครียดๆ “มึงตัวร้อนจี๋เลยนะ ไอ้ซี กูไม่สบายใจเลย”
“กูไม่เป็นไรหรอก แค่นอนพักดีๆ สักแป๊บก็คงหายแล้ว”
“ปล่อยมันไปเหอะ ร่างกายมัน มันย่อมต้องรู้ตัวดีที่สุด” ไอ้โจที่ยืนอยู่นอกรถพูดขึ้น “มันไม่อยากไปหาหมอ อยากนอน ก็ให้มันไปนอนซะ”
ผมก้าวลงจากรถ รู้สึกเคืองๆ กับคำพูดของมันนิดหน่อย แต่ก็ไม่อยากจะคิดอะไรมาก นะเดินเข้ามาประคองผมเดินเข้าโรงแรม ถึงผมจะไม่ได้แคร์สายตาคนอื่นสักเท่าไหร่ แค่รู้สึกเขินบ้างนิดๆ แต่ผมไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าแสดงออกถึงความเป็นห่วงและความเป็นเจ้าของในตัวของผมมากขนาดนี้
ไม่รู้ว่าเรื่องเมื่อคืนจะมีส่วนด้วยหรือเปล่า
หลังจากกลับขึ้นมาถึงห้อง ผมก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงทันที ส่วนไอ้โจเดินไปปรับอุณหภูมิแอร์ฯ ให้สูงขึ้น ไอ้นนท์เอาของไปจัดวางให้เรียบร้อย และนะคอยมาดูแลห่มผ้าให้กับผม
“มึงพักผ่อนซะ ไอ้ซี นอนเยอะๆ แล้วถ้ายังไงก็โทรบอกกูด้วยนะเว้ย ไหวไม่ไหวยังไงก็ต้องบอก เข้าใจรึเปล่า” ไอ้นนท์พูด
“มึงก็ดูแลแฟนมึงให้ดีๆ ไอ้นะ แล้วก็ระวังอย่าให้ติดหวัดไปอีกคนล่ะ” ไอ้โจตบบ่านะเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่อแฟนของมันเดินออกไปแล้ว ไอ้นนท์ก็เดินเข้ามาข้างเตียงแล้วพูดกับผมเบาๆ “เมื่อตอนอยู่ที่ลานจอดรถ กูขอโทษทีนะเว้ย ไอ้โจมันปากแบบนี้แหละ บางทีมันก็พูดจาแข็งๆ ไปบ้าง มึงอย่าไปถือสามันล่ะ ที่จริงมันก็เป็นห่วงมึงมากเหมือนกันนั่นแหละ แต่มันเป็นคนแสดงออกไม่ค่อยเป็น”
“เออๆ ไม่เป็นไร กูก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก”
“งั้นมึงนอนพักเหอะ ไอ้ซี กูไม่กวนพวกมึงละ”
“ขอบใจมากเว้ย ไอ้นนท์”
“ขอบใจว่ะ ไอ้นนท์ แล้วไงเดี๋ยวกูโทรไป” นะเดินตามไปปิดประตูห้อง จากนั้นก็เดินกลับมาหาผมที่เตียง “เป็นยังไงบ้าง ยังหนาวอยู่มั้ย”
ผมพยักหน้า “มาก...”
“แต่กินยาแก้ไข้ไปแล้ว อีกเดี๋ยวคงดีขึ้นมั้ง... แล้วอาการอย่างอื่นล่ะ รู้สึกยังไงบ้าง มึงเป็นอะไรอย่างอื่นอีกรึเปล่า ครั่นเนื้อครั่นตัว ปวดหัว ปวดตัวตรงไหนรึเปล่า”
ผมได้แต่คิดในใจเรื่องที่ผมถ่ายออกมาเป็นเลือดและยังรู้สึกเจ็บข้างในก้นอยู่ แต่ก็ไม่กล้าพูดออกไป แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนว่าเขาจะดูออกว่าผมกำลังมีเรื่องปิดบังเขาอยู่
“มึงเป็นอะไรวะ ไอ้ซี...”
“เปล่า ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว กูแค่เพลียๆ”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก เมื่อกี้หน้าตามึงเหมือนกำลังคิดหรือกำลังลังเลอะไรบางอย่างอยู่ชัดๆ”
ผมพลิกตัวเป็นนอนหันหลังให้กับเขา “ขอกูนอนก่อนเหอะว่ะ กูเพลียจริงๆ มึงอย่าเพิ่งกวนอะไรกูเลย”
เขาเงียบไปพักหนึ่ง “...ได้ กูไม่กวนมึงก็ได้ แต่มึงรู้เอาไว้แล้วกันว่ากูไม่สบายใจและเป็นห่วงมึงมากที่เห็นมึงเป็นแบบนี้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ “เวลามึงเห็นคนที่มึงรักกำลังแย่ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลยน่ะ มันทรมานนะเว้ย”
เมื่อพูดจบ เขาก็ลุกออกจากเตียงไป ผมรีบหันไปมองเขาทันที
“มึงจะไปไหน”
“ไปเดินเล่นข้างนอก ปล่อยให้มึงนอนไปไง” เขาหยิบกุญแจห้องกับโทรศัพท์มือถือขึ้นจากโต๊ะ “กูไม่อยากกวนมึง มึงนอนพักไปเหอะ”
“ไอ้เชี่ยนะ มึงอย่าประชดกูนะเว้ย กูไม่มีแรงจะมาทะเลาะกับมึงนะ”
“กูไม่ได้ประชด” เขาหยุดยืนอยู่หน้าประตู
“งั้นมึงจะไปข้างนอกทำไม”
“กูแค่ออกไปเดินเล่น เดี๋ยวกูกลับมา” เมื่อพูดจบ เขาก็เปิดประตูห้องออกแล้วเดินออกไปโดยไม่หันมามองผมเลย
“แม่งเอ๊ยย!!” ผมสบถกับตัวเองแล้วปัดหมอนที่อยู่ข้างตัวตกลงจากเตียงด้วยความขัดใจ
ผมรู้ว่าผมอาจจะเป็นคนเอาแต่ใจบ้าง แต่ในขณะที่ผมกำลังไม่สบายอยู่แบบนี้ มันใช่เวลาที่เขาจะมาทำตัวน้อยใจอะไรแบบนั้นมั้ย แทนที่จะคุยกันให้รู้เรื่อง พูดจากันดีๆ และอยู่เป็นเพื่อนผม กลับมาทำเป็นน้อยใจและปล่อยผมเอาไว้คนเดียวอย่างนี้ นี่มันแปลว่าเขาเป็นห่วงผมจริงอย่างนั้นเหรอ
ผมนอนหงุดหงิดอยู่ได้ไม่นานก็เริ่มรู้สึกสะลึมสะลือ ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือเพราะพิษไข้ แต่สุดท้ายผมก็หลับไปในที่สุด
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกทีเมื่อได้ยินเสียงประตูห้องถูกไขเข้ามา ผมพยายามที่จะลืมตา แต่ก็ลืมไม่ไหว ผมเห็นเงาลางๆ ของนะเดินมาที่เตียง แล้วจากนั้นก็รู้สึกถึงฝ่ามือเย็นๆ ของเขาบนหน้าผาก
“นอนไปเถอะ ไอ้ซี ไม่ต้องฝืนหรอก” เขาพูดเบาๆ “มึงยังไข้สูงอยู่เลย”
“มึง... ไปไหน... มา...”
“กูไปซื้อเจลลดไข้มาให้มึงน่ะ เดี๋ยวกูทำให้นะ”
“อืมมม....” ผมหลับตาลง จากนั้นก็รู้สึกถึงแผ่นลดไข้เย็นๆ หนักๆ ที่ถูกวางลงบนหน้าผาก
“นอนไปเถอะ กูจะคอยดูแลมึงอยู่ข้างๆ เอง” เขากระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของผม และไม่นานผมก็จมดิ่งลงสู่ความฝัน
ในฝันของผม ทุกอย่างแลดูสับสนวุ่นวายจนผมไม่รู้สึกว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว หลังจากที่หลับไปได้สักพัก ผมก็รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวเพราะเหงื่อที่ไหลออกมาจนตัวเปียกชุ่ม ผมบิดตัวไปมาและเตะผ้าห่มออก แต่ก็รู้สึกว่ามันกลับมาทับอยู่บนตัวของผมอีก ผมจึงเตะมันออกไปอีกครั้ง เมื่อไม่มีอะไรมาห่อรัดร่างกายของผมเอาไว้ ผมจึงเริ่มรู้สึกสบายตัวขึ้นเล็กน้อย จากนั้นไม่นาน ผมรู้สึกถึงผ้าเปียกๆ เย็นๆ ที่กำลังเช็ดไปตามใบหน้า ซอกคอ และหน้าอกของผมเบาๆ ซึ่งทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นก็เห็นว่านะกำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดตัวให้ผมอยู่
“รู้สึกเป็นไงบ้างวะ ดีขึ้นรึยัง” เขาถาม
ผมพยักหน้าเบาๆ “อืมมม แต่กูร้อนอะ...”
“เหงื่อมึงออกเต็มเลย ยาคงออกฤทธิ์แล้วน่ะ แต่ก็ดีแล้ว จะได้หายไวๆ ไข้มึงก็ลดลงเยอะแล้วด้วย”
ผมจับมือของเขาเอาไว้ “เมื่อกี้กูขอโทษนะเว้ย กูปวดหัว ไม่ค่อยสบายตัว ก็เลยหงุดหงิดแล้วพาลไปลงที่มึง...”
“ไม่เป็นไร กูผิดเองแหละ”
“มึงโกรธกูจริงๆ เหรอวะ ไอ้นะ”
“เปล่า กูไม่ได้โกรธ กูแค่เซ็งๆ น้อยใจมึงนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากหรอก”
“แล้วมึงออกไปไหนมา”
“กูออกไปซื้อแผ่นเจลลดไข้มาให้มึง กูตั้งใจจะออกไปซื้อตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตรงๆ ล่ะวะ กูไม่สบายใจนะเว้ย”
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “...กูบอกแล้วว่ากูผิดเอง ที่จริงกูน่าจะบอกมึง และกูก็ไม่ควรใช้อารมณ์แบบนั้นด้วย กูขอโทษ”
“ไอ้นะ ที่จริงแล้ว...” ผมหยุด ไม่รู้ว่าจะเลือกใช้คำพูดไหนดี
“มีอะไรวะ”
“คือ... กู... ที่จริงแล้วที่กูเป็นไข้เนี่ย บางที... มันอาจจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนก็ได้นะเว้ย” ผมพูดอายๆ รู้สึกกระดากชอบกล
“เรื่องเมื่อคืน... เรื่องเมื่อคืนทำไมวะ” เขาถามซ้ำด้วยน้ำเสียงตื่นๆ
“เปล่าๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรขนาดนั้นหรอก กูแค่จะบอกว่าเมื่อเช้านี้กู... กูเลือดออกอะว่ะ”
“มึงเลือดออกเหรอ!”
“อืออ”
“เยอะมั้ย”
ผมพยักหน้า “ก็... เยอะเหมือนกัน สองครั้งด้วย ตอนแวะที่ปั๊มก็ยังออกอยู่ แต่ไม่เยอะเท่าครั้งแรก”
“แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่เมื่อเช้า!”
“กูไม่อยากทำให้มึงรู้สึกแย่ กูไม่อยากทำให้มึงไม่สบายใจว่ะ กูขอโทษ”
เขาส่ายหน้าก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากผมเบาๆ “มึงเป็นแบบนี้กูยิ่งไม่สบายใจมากกว่าอีก จำเอาไว้นะเว้ย กูเป็นห่วงมึงมาก คราวหน้าคราวหลังถ้ามีอะไรให้รีบบอกกู เข้าใจรึเปล่า”
“เออๆ กูขอโทษ”
“แล้วตอนนี้ยังเจ็บอยู่มั้ย”
“แสบๆ นิดหน่อย แต่ไม่มากแล้ว”
“แล้วเมื่อกี้มึงบอกว่าการที่มึงไข้ขึ้นเนี่ย น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ด้วยเหรอวะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกัน กูแค่เดาอะ เพราะตอนเช้ากูเจ็บคอกับครั่นเนื้อครั่นตัวแค่นิดเดียว และพอกินข้าวเช้าเสร็จก็หายแล้ว แต่มีแค่อาการไข้เนี่ยแหละที่ยังอยู่ กูก็เลยเดาเอา ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวข้องกันรึเปล่าเหมือนกันว่ะ”
“ถ้าไงตอนนี้มึงนอนพักไปก่อนเถอะ มึงไม่เป็นอะไรมากหรอก ไม่ต้องกังวลนะ” เขาลูบหัวผมเบาๆ
“กูไม่อยากไปหาหมอว่ะ ไอ้นะ...”
“กูรู้แล้ว กูเข้าใจ มึงไม่ถึงขั้นต้องไปหาหมอหรอก เชื่อกูดิ นี่ไง ตอนนี้มึงก็ดีขึ้นเยอะแล้วไม่ใช่เหรอวะ” เขายิ้มให้ผม ถึงจะรู้ว่ามันเป็นแค่การปลอบใจ แต่ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นจริงๆ
เมื่อก่อนตอนคบกับผู้หญิง ผมไม่เคยรู้สึกปลอดภัยและถูกห่วงใยอย่างนี้มาก่อนเลย ผมเคยเป็นแต่ฝ่ายที่คอยดูแลและเอาใจคนอื่นมาตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับการปกป้อง มีคนที่พร้อมจะดูแลผมในยามที่ผมต้องการ ซึ่งความรู้สึกแบบนี้มันก็เป็นอะไรที่ไม่เลวเลยเหมือนกัน...
ไอ้โจกับไอ้นนท์มาเยี่ยมผมที่ห้องในช่วงเย็น พวกมันซื้อขนมมาให้เราสองคน และซื้อยามาให้ผมอีกนิดหน่อย ผมที่ไม่ค่อยรู้อะไรมากก็กินยาทุกอย่างตามที่ไอ้โจบอก จนกระทั่งเมื่อถึงเวลาอาหารเย็น และผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เราสี่คนจึงตัดสินใจออกไปหาอะไรกินกันแถวไนท์บาซาร์ และในขณะที่เรากำลังเดินเล่นกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเรียกไอ้นนท์กับไอ้โจดังขึ้นจากทางด้านหลังของพวกเรา
“ไอ้นนท์! ไอ้โจ!”
พวกเราทั้งสี่คนหยุดเดินและหันไปยังที่มาของเสียงทันที
“เฮ้ยยย!! มาได้ไงวะเนี่ย พวกมึง!” ไอ้นนท์ตอบกลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “ไหนบอกว่าจะมามะรืนไง!”
ผู้ชายหน้าตาดีสามคนเดินฝ่าฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่เข้ามาหาพวกเรา
“ตอนแรกก็คิดว่างั้นแหละว่ะ แต่ไอ้เชี่ยแป้นเนี่ยดิ เสือกต้องเลื่อนวันกลับให้เร็วขึ้น พวกกูก็เลยเลื่อนตั๋วบินมากันวันนี้เลย” ผู้ชาย
คนตัวใหญ่สุดพูด
“อ้าว ก็เพราะพี่มึงนั่นแหละ ดันเสือกจะเลื่อนวันไปทะเลขึ้นมาอีก กูก็เลยต้องรีบกลับอะ”
“แล้วทำไมพวกมึงไม่โทรมาบอกกูก่อนล่ะวะ จะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”
“ตอนแรกก็ว่าจะบอกแหละ แต่ไอ้นัทเนี่ยดิ เสือกบอกว่าให้มาถึงก่อนแล้วค่อยบอกก็ได้” คนตัวใหญ่พูดขึ้นอีกครั้ง “กูก็เลยกะจะโทรพรุ่งนี้”
“อ้าววว ไหงงั้นวะ นัท ทำไมไม่บอกนนท์ก่อนล่ะเนี่ย”
ผมสังเกตว่าสรรพนามที่ไอ้นนท์ใช้แทนตัวกับเพื่อนคนนี้มันเปลี่ยนไปแฮะ
“ก็แค่จะเซอร์ไพรส์เฉยๆ ตอนแรกว่าจะไปหาที่โรงแรมเลยด้วยซ้ำ แต่ดันมาบังเอิญเจอกันที่นี่ก่อนเนี่ยแหละ” คนที่ชื่อนัทหัวเราะเบาๆ จากนั้นเขาก็หันไปหาไอ้โจ “เป็นไงมั่งวะ ไอ้โจ”
“ก็ดีว่ะ” ไอ้โจตอบกลับพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า
“เออ พวกมึง กูลืมแนะนำว่ะ โทษทีๆ ไอ้ซี ไอ้นะ นี่เพื่อนๆ กูตั้งแต่มัธยม ไอ้เจย์ ไอ้เคน แล้วก็นัท”
“หวัดดี” ผมยกมือขึ้นเล็กน้อย
“กูว่าเราไปหาที่นั่งคุยกันก่อนดีกว่าว่ะ ยืนตรงนี้แม่งก็เกะกะคนเค้าเกินไปมั้ง” เจย์เสนอขึ้น
“เออ โดยเฉพาะมึงอะ ตัวยังกะควายป่า หลุดออกมาจากไนท์ซาฟารีรึเปล่าวะเนี่ย”
“เดี๋ยวกูเตะโด่งไปถึงงานพืชสวนฯ เลย ไอ้แป้น!”
“มึงสองคนนี่กัดกันยังกะผัวเมียไม่เปลี่ยนเลยนะ” ไอ้โจพูดพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
ผมกับนะมองหน้ากัน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จากนั้นเราก็เดินตามพวกเขาไปนั่งที่ร้านกาแฟร้านหนึ่ง ไอ้นนท์เริ่มแนะนำเพื่อนๆ ของมันให้เรารู้จักอย่างละเอียดอีกครั้ง และในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่านัทเคยเป็นแฟนคนแรกของไอ้นนท์ก่อนที่มันจะมาคบไอ้โจ และทั้งเจย์กับเคนต่างก็มีแฟนเป็นผู้ชายเหมือนกันด้วย
ตอนแรกผมก็ตกใจและอึ้งๆ นิดหน่อย เพราะพวกเขาทุกคนก็ดูไม่เหมือนคนที่จะชอบผู้ชายได้เลยสักนิด แต่เมื่อลองคิดไปคิดมาดีๆ แล้ว ไอ้นนท์กับไอ้โจก็ใช่ว่าจะเหมือน และที่จริงผมกับไอ้นะเองก็คงจะไม่ต่างกัน เมื่อคิดได้อย่างนี้จึงทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอีกนิด
จากบทสนทนาของพวกเขาทุกคนทำให้ผมเข้าใจได้ว่าสามคนที่เพิ่งมาถึงวันนี้มีแพลนที่จะมาเที่ยวเชียงใหม่อยู่แล้ว แต่ไม่ได้ตั้งใจที่จะมาพร้อมหรือมาเจอกับพวกไอ้นนท์ตั้งแต่แรก แค่เคยคุยกันไว้ว่าอาจจะนัดเจอกันเพื่อกินข้าวสักมื้อก่อนที่พวกเราจะกลับเท่านั้น
“แล้วนัทไม่มีแฟนกับเค้าบ้างเหรอวะ” ผมถามขึ้น
นัทหันมามองหน้าผมแล้วยิ้มน้อยๆ “ไม่มีว่ะ เรียนหนัก ยังไม่มีเวลาสนใจใครเลย”
“ว่าแต่พวกมึ... เอ้ย พวกนายเรียนอะไรกันมั่งวะเนี่ย”
“ใช้มึงกูก็ได้เว้ย พวกกูไม่ถือ” เจย์หัวเราะ “กูเรียนรัฐศาสตร์อินเตอร์ว่ะ ไอ้แป้นนี่มันเรียนสถาปัตย์ ส่วนไอ้นัทเรียนเภสัชฯ”
“แล้วคิดไงถึงมาเที่ยวกันสามคนได้วะ” ผมถามต่อ “เมื่อกี้เท่าที่ฟังดู เหมือนจริงๆ แล้วกลุ่มพวกมึงตอนมัธยมจะมีมากกว่านี้ไม่ใช่เรอะ”
“ช่ายยย แต่คนอื่นมันมาไม่ได้ไง ติดนั่นติดนี่กันอะว่ะ พวกกูเลยมากันแค่สามคนก่อน” เจย์ตอบ ก่อนจะมองหน้าผมกับนะสลับกันแล้วยิ้มๆ “ว่าแต่พวกมึงสองคนเป็นแฟนกันใช่มั้ยวะเนี่ย ไอ้นะ ไอ้ซี”
“เฮ้ยย!!!” ผมสะดุ้งและรีบหันไปหาไอ้นนท์ทันที “มึงบอกเพื่อนมึงเหรอวะ!”
“เฮ้ยๆๆ อย่าใส่ร้ายกันนะเว้ย กูเพิ่งจะได้คุยเรื่องนี้กับพวกมึงเมื่อวาน แล้วกูจะไปบอกพวกมันตอนไหนเล่า”
“ไอ้เชี่ยเจย์แม่งก็อย่างนี้แหละ ต่อมเสือกมันแรงดี มันเลยพอดูออกล่ะมั้ง”
“ครวยเหอะ! ไอ้เชี่ยโจ! มึงนี่กวนส้นตีนกูไม่เลิกนะ เดี๋ยวกูเอาตีนยัดปากแม่ง!!”
“พอแล้วๆ ไอ้หมี มึงสองคนนี่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ยังจะกัดกันได้อยู่อีกเหรอวะ” เคนรีบปราม
“สบายใจเหอะ ไอ้ซี มึงสองคนไม่ได้ดูออกง่ายอย่างนั้นหรอก” นัทพูดขึ้นราวกับอ่านใจผมออก “เพียงแต่ไอ้เจย์มันช่างสังเกตน่ะ และปกติมันก็ชอบทักให้คนนั้นคนนี้เป็นแฟนกันอยู่แล้วด้วย อย่าคิดมากเลย”
“อ้าว นี่สรุปมึงก็พูดเหมือนไอ้โจเหรอวะ ไอ้เชี่ยนัท” เจย์รีบหันขวับ
“เปล่าสักหน่อย”
ผมรู้สึกว่านัทดูจะเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในหมู่พวกเราเลยแฮะ เขาดูเป็นคนสุภาพ แต่ก็ยังเป็นกันเอง และยังดูเป็นคนใจเย็นมากอีกด้วย
“แล้วนี่พวกมึงไปเที่ยวไหนกันมามั่งแล้ววะ” เคนถามขึ้น
“ยังไม่ได้ไปไหนเลยว่ะ พอดีไอ้ซีมันไม่ค่อยสบายน่ะ เมื่อกลางวันก็เลยต้องกลับโรงแรมพามันไปนอนพักสักหน่อยก่อน”
“อ้าว แล้วนี่หายดีแล้วรึไง มาเดินร่อนไปร่อนมากันเนี่ย”
“ดีขึ้นมากแล้วว่ะ ไอ้เจย์ แต๊งกิ้วเว้ย” ผมตอบ
“แล้วมึงเป็นไรวะ ไปหาหมอรึยัง” นัทถามขึ้นบ้าง
“ไม่ได้ไปอะ ก็แค่เป็นไข้อะว่ะ แล้วก็...” ผมชะงักไป
“แล้วอะไรวะ” ไอ้โจหันมาถามผม
“อ่ออ... เอออ คือ มันก็เป็นไข้สูง ปวดหัวนิดหน่อย แล้วก็เจ็บคอ อะไรเงี้ยว่ะ ก็หวัดธรรมดาแหละมั้ง” นะรีบตอบแทนผม
“แค่นั้นแน่เหรอวะ” ไอ้โจเลิกคิ้วขึ้น “ถ้าแค่นั้นจริงก็ดี”
“เออ ก็แค่นั้นแหละ แล้วตอนนี้กูก็ดีขึ้นเยอะแล้วด้วย” ผมพูด
“แต่จะว่าไป... พวกมึงสองคนก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆ สมัยที่ไอ้นนท์กับไอ้นัทมันคบกันเหมือนกันนะเนี่ย ไอ้นะ ไอ้ซี” เจย์พูดยิ้มๆ
“เฮ้ยๆๆ ไอ้เจย์!” ไอ้นนท์รีบออกตัว “พอเลยมึง พอเลย สงสารไอ้นะกับไอ้ซีมันเว้ย พวกมันไม่ได้หน้าหนาเหมือนมึงนะ ไอ้ห่า!”
“เออๆ กูรู้แล้วล่ะน่า แค่เห็นท่าทางพวกมันกูก็พอจะเดาได้แล้วว่าแม่งคงจะเป็นพวกรู้ตัวช้าเหมือนกันล่ะสิ โดยเฉพาะอย่างไอ้ซีเนี่ย ถ้าให้กูเดานะ ก่อนนี้แม่งต้องเคยมีแฟนมาแล้วหลายคนแน่ๆ ส่วนไอ้นะ... ไม่รู้ว่ะ ถึงจะหน้าตาดี แต่คนเงียบๆ ขี้อายๆ อย่างมึง อาจจะเคยมีหรือไม่มีแฟนมาก่อนก็ได้ล่ะมั้ง ถ้ามีก็น่าจะคบกันนานอยู่”
โห... เพื่อนไอ้นนท์คนนี้มันเป็นร่างทรงหรืออะไรรึเปล่าวะเนี่ย ทำไมแม่งทายแม่นขนาดนี้วะ!
“ไอ้นะมันไม่ได้เงียบหรือขี้อายขนาดนั้นหรอกนะเว้ย หึๆ” ไอ้โจหัวเราะในลำคอเบาๆ
“อ้าวเหรอวะ เออๆ กูก็ไม่รู้หรอก แค่เดาๆ ไปตามเท่าที่เห็นว่ะ” เจย์ยักไหล่
เรานั่งคุยกันต่อสักพักก่อนที่จะนัดเจอกันอีกครั้งในตอนเย็นของวันรุ่งขึ้นที่ถนนคนเดิน ถึงจะเพิ่งรู้จักและได้คุยกับเพื่อนใหม่ทั้งสามคนไม่นาน แต่ผมก็รู้สึกชอบพวกเขานะ ผมรู้สึกได้เลยว่าคนพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นคนจริงใจ รักเพื่อน และเป็นกันเองมาก... มากจนตอนแรกผมยังรู้สึกตกใจเลยด้วยซ้ำ
“โดยเฉพาะไอ้เจย์นี่ตัวดีเลยว่ะ” ผมพูดพร้อมหัวเราะเบาๆ เมื่ออยู่กับนะตามลำพังที่โรงแรมแล้ว
“เออ นั่นดิ ตอนแรกกูแม่งสะดุ้งเลยนะเว้ย ไม่คิดว่าแม่งจะพูดอะไรตรงๆ โผงผางขนาดนั้น แถมยังเสือกเดาแม่นซะด้วยดิ”
“นี่กูชักจะไม่แน่ใจแล้วนะเนี่ย ว่าตกลงเราสองคนดูออกว่าเป็นแฟนกันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“กูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ แต่ถ้าเชื่อที่ไอ้โจ ไอ้นนท์ หรือไอ้นัทพูด กูว่าก็คงไม่ล่ะมั้ง... มึงกังวลเหรอวะ ไอ้ตี๋”
“ก็ไม่เชิงว่ะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน จริงๆ กูก็ไม่ได้แคร์เหี้ยอะไรมากมายหรอกนะ แต่กูก็ไม่อยากให้คนอื่นดูออกง่ายๆ แล้วตกเป็นขี้ปากให้แม่งนินทากัน อะไรอย่างนั้นอะ”
“กูเข้าใจ แบบนั้นกูก็ไม่ชอบเหมือนกัน...” เขาเดินเข้ามากอดผมจากทางด้านหลัง “แล้วเป็นไงบ้าง ยังรู้สึกไม่สบายตัวอยู่มั้ย”
“ดีขึ้นมากแล้ว รู้สึกหนาวๆ นิดหน่อยแค่นั้นเอง”
“มึงยังมีไข้รุมๆ อยู่นะ” เขาแตะมือลงบนคอของผม “แล้ว... ยังเจ็บก้นอยู่รึเปล่า”
“ตอนเดินก็ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้วว่ะ คงไม่เป็นอะไรแล้วมั้ง แต่ก็ต้องรอดูพรุ่งนี้เช้าอีกทีอะ กูว่า”
“อืมมม... ที่จริงตอนนั่งกินกาแฟเมื่อกี้ กูเปิดเน็ตในมือถือเสิร์ชอ่านนู่นอ่านนี่ดู กูเจออะไรน่าตกใจด้วยว่ะ”
“อะไรวะ” ผมเดินไปนั่งลงบนเตียง
“กูอ่านเจอว่าคนบางคนถ้าเพิ่งโดนเอามาแล้วเป็นแผลฉีก อาจจะอักเสบแล้วไข้ขึ้นได้ด้วยเหมือนกันอะว่ะ มึงว่ามึงเข้าข่ายมั้ยวะ ไอ้ซี”
“ถ้าไอ้ที่มึงอ่านเจอมันเป็นเรื่องจริง กูก็อาจจะเข้าข่ายมั้ง หรือไม่ก็แค่หวัดธรรมดาอย่างที่มึงบอกจริงๆ นั่นแหละ” ผมยักไหล่
“แต่ยาที่ไอ้โจมันเพิ่งซื้อมาให้มึงเมื่อกลางวันอะ คือยาแก้อักเสบนะเว้ย”
“เหรอ แล้วไงวะ”
“อ้าว จะแล้วไงอะไรล่ะ แบบนี้ก็แปลว่าไอ้โจเองแม่งอาจจะรู้อยู่แล้วน่ะสิวะว่ามึง... เป็นอะไร เพราะเราทำอะไรกันอะ”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นผมก็นึกถึงสีหน้าและน้ำเสียงของไอ้โจเมื่อตอนอยู่ร้านกาแฟขึ้นมาได้ทันที
“ไอ้เหี้ยยยยย!! แล้วแม่งรู้ได้ไงวะ!!”
“มันคงสังเกตอาการมึง ไม่ก็ท่าเดินมึง หรืออะไรอย่างนี้มั้ง กูก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“กูออกอาการขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ผมเริ่มรู้สึกแย่ๆ
“กูว่าก็ไม่ใช่อะ ไม่งั้นกูก็ต้องดูออกตั้งแต่แรกแล้วสิ ใช่ปะ หรือไม่งั้นมันกับไอ้นนท์ก็คงเคยเกิดเหตุการณ์อะไรคล้ายๆ กันแบบนี้ล่ะมั้ง กูคิดได้อย่างเดียวแล้วว่ะ”
“เฮ้ย!! จริงเหรอวะ!”
“กูจะไปรู้ได้ไงล่ะวะ กูเดา”
“แม่งเอ๊ยยยย! น่าอายชิบหายเลยว่ะ! พอพูดขึ้นมาแล้วกูก็ชักจะปวดหัวขึ้นมาตงิดๆ เลยเนี่ย” ผมกุมขมับ
“โอ๋ๆๆ อย่าคิดมากเลยนะค้าบบ ไปเถอะๆ ไปอาบน้ำกัน จะได้รีบเข้านอนนะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอาอีก” เขาหอมแก้มผม
“เออๆ แต่ท่าทางคืนนี้กูจะเอามึงไม่ไหวแล้วนะ ไอ้นะ”
เขาหัวเราะ “ฮ่าๆๆ แล้วยังไงต่อวะ”
“ไม่ไงอะ แต่ครั้งหน้ากูขอเบิ้ลสองนะเว้ย”
“ฮ่าๆๆๆ เอางั้นเลยเหรอวะ แต่นี่ขนาดมึงโดนเข้าไปทีเดียวยังไข้ขึ้นขนาดนี้ แล้วถ้ากูโดนสองที กูจะไม่ตายเหรอวะ ไอ้ซี”
“อ้าววว ไอ้ตูด มึงจะเบี้ยวกูเหรอวะ!”
“โห่ ไม่หรอกน่า ไม่กล้าหรอก ใครจะกล้าวะ และที่สำคัญ พอลองคิดดูดีๆ ยังไงกูก็คงไม่ไข้ขึ้นถึงขนาดมึงหรอกมั้ง เนอะ”
“ทำไม” ผมหรี่ตา
“ก็ของมึงมันไม่ได้ใหญ่ขนาดนั้นนี่หว่า ฮ่าๆๆๆๆ”
“ไอ้...!!!” ผมเงื้อมือออกหมายจะฟาดหัวเขาสักที แต่เขาก็ไหวตัวทันรีบกระโดดหลบไปเสียก่อน “กวนตีนนักนะมึง! ถ้าโดนกูเอาขึ้นมาเมื่อไหร่แล้วอย่าร้องให้ได้ยินก็แล้วกัน!”
“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่หว่า” เขาทำหน้าทะเล้น