SeeeDz ที่ 11
หลังจากสอบปลายภาคเสร็จ ผมก็ขนของที่หอกลับบ้านในเย็นวันนั้นเลย และเมื่อกลับถึงบ้าน ผมก็กินข้าว อาบน้ำ และนอนหลับยาวจนตื่นอีกทีก็เกือบสี่โมงย็นของวันถัดมา เมื่อผมเปิดโทรศัพท์มือถือที่ปิดเครื่องไปตั้งแต่สอบขึ้นดูก็พบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจากเพื่อนหลายคน รวมทั้งข้อความที่พวกมันส่งมาชวนผมไปกินเหล้าฉลองหลังสอบเสร็จด้วย แต่ผมคิดว่าผมคงไปกับพวกมันไม่ไหวหรอก เพราะต้องอดนอนอ่านหนังสือติดต่อกันมาหลายคืน แต่การที่พวกมันยังสามารถไปกินเหล้าโต้รุ่งกันอีกได้ก็เพราะว่ามันไม่เคยต้องอดนอนอ่านหนังสือเหมือนผมนั่นเอง
“แม่ค้าบบบ ซีหิวข้าววววว” ผมตะโกนหาแม่ขณะกำลังเดินลงจากบันได “มีไรกินม่างงงงง”
“หิวแล้วเหรอลูก แต่ตื่นสายขนาดนี้ แดกตีนก่อนดีมั้ยจ๊ะ”
“เฮ้ยยย!!” ผมตกใจกับคำตอบที่ได้รับกลับมาจนแทบจะลื่นตกบันได “เสียงนั่นมันไอ้นะนี่หว่า!! มึงมาทำอะไรที่บ้านกูวะ!”
ผมรีบวิ่งลงจากบันไดมาหยุดอยู่ที่ห้องรับแขก เห็นนะกำลังนอนเอนหลังดูทีวีอยู่บนโซฟาท่าทางสบายใจเฉิบ แถมเจ้าเป๊ปซี่ก็กำลังนอนเอาหัวหนุนตักของเขาอยู่อีกด้วย เมื่อมันได้ยินเสียงของผม มันก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าผม กระดิกหางเบาๆ แล้วก้มหัวลงกลับไปนอนต่อ
“กินหนมมั้ย” นะยื่นถุงเลย์ให้ผม
“ไอ้...!!” ผมเกาหัวแกรกๆ “นี่มึงมาบ้านกูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ มึงมาทำอะไร แล้วพ่อกับแม่กูไปไหน”
“เฮ้ย ใจเย็นดิ ถามทีละอย่างสิเว้ย” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “พ่อกับแม่มึงออกไปซื้อของกับพี่มึง แล้วก็เลยไปรับน้องมึงที่เรียนพิเศษด้วย กว่าจะกลับก็คงค่ำๆ แหละมั้ง”
“อ้าว แล้วข้าวเย็นกูล่ะ”
“แม่เค้าบอกให้มึงหากินเองเลย เพราะงั้นเดี๋ยวกูทำให้กินเอง กูทำอาหารเก่งนะเว้ยยย” เขาฉีกยิ้มกว้าง
ผมถอนหายใจ “แล้วตกลงมึงมาทำอะไรที่บ้านกู ไอ้ตูด มึงมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“ก็กูโทรหามึงไม่ติด กูเป็นห่วง เลยโทรไปหาแม่มึงไง แล้วแม่เค้าก็ชวนกูมาที่บ้าน กูก็เลยมา แค่นั้นแหละ เพิ่งมาถึงได้สักชั่วโมงนี่เอง”
“เดี๋ยวนะๆ นี่มึงมีเบอร์แม่กูตั้งแต่เมื่อไหร่วะ” ผมเดินไปนั่งลงข้างๆ เขา
“ก็ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ ตอนที่กูรับสายเค้าแทนมึงเพราะมึงกำลังอาบน้ำอยู่นั่นแหละ แม่เค้าขอเบอร์กูไว้อะ กูก็เลยเมมเบอร์เค้าเอาไว้เลย”
“เมื่อวันจันทร์... วันสอบวันแรกอะนะ”
“ช่ายยยย ทำไมวะ จำวันจำเวลาไม่ได้ซะแล้วเหรอวะมึง”
“เออ กูมึนๆ ว่ะ เบลอๆ บอกไม่ถูก”
“นอนมากไปอะดิ แถมช่วงสอบมึงคงไม่ค่อยได้กินอะไรดีๆ อีกแล้วด้วยใช่มั้ยล่ะ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ” ผมยอมรับ “แต่มึงมาตั้งนานแล้วทำไมไม่ขึ้นไปปลุกกูล่ะวะ”
“กูอยากให้มึงนอนพักผ่อนมากกว่าว่ะ ก็เลยมานั่งเล่นกับเป๊ปซี่แล้วก็ดูทีวีไปพลางๆ เนี่ยแหละ”
“ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยย คราวหลังมึงปลุกกูก็ได้นะเว้ย”
“ยังจะมีคราวหลังอีกเหรอวะ นอนแดกฝั่งธนหายไปทั้งฝั่งแบบนี้แล้วเนี่ยนะ” เขาหัวเราะ
“ครวยเถอะ ไอ้สัตว์ แล้วตกลงมึงมาทำอะไรแน่ ถึงมึงจะบอกว่ามาเพราะแม่กูชวนก็เหอะ แต่ที่มึงถึงขั้นต้องโทรหาแม่กูเนี่ย แปลว่าต้องมีอะไรใช่มั้ยวะ”
“เปล่า ไม่มีอะไรสักหน่อย กูแค่คิดถึงมึงไม่ได้รึไง ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน”
“กวนส้นตีน อย่ามาทำเล่นลิ้น บอกมาดีๆ” ผมตบหัวเขาเบาๆ
“ฮ่าๆๆ เออ กูล้อเล่นนิดหน่อยแค่นี้ทำโมโห ไอ้ห่า จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกเพื่อนๆ มึงไม่มีใครติดต่อมึงได้เลยไง ก็มึงเล่นปิดโทรศัพท์ เฟซบุ๊คก็ไม่ตอบ เอ็มก็ไม่ออน สไกป์ก็หายหัว พวกมันก็เป็นห่วงอะดิ แม่งก็เลยโทรมาหากูกัน และกูก็บอกพวกมันไปแล้วนะว่ามึงคงกำลังนอนอยู่ แต่มึงก็เล่นนอนนานเกิ๊นนน สุดท้ายกูก็เลยต้องโทรหาแม่มึงไง” เขาตอบพลางเกาหูให้เป๊ปซี่ไปด้วย “หมามึงแม่งขี้เซาเหมือนมึงเลยว่ะ ไอ้ซี”
“กูก็เป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว พวกแม่งยังไม่ชินกันอีกเหรอวะ”
“แต่ครั้งก่อนๆ อย่างน้อยกูก็จะต้องรู้ด้วยนี่หว่าว่ามึงจะนอนหรือจะไปไหนน่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม “แต่หนนี้มึงเล่นกลับบ้านไม่บอกใคร ปิดเครื่องก็ไม่บอกกู จู่ๆ ก็หายตัวไปเลย พวกมันก็กังวลกันน่ะสิวะ...” เขาเว้นช่วง ก่อนจะก้มลงไปเล่นกับเป๊ปซี่ต่ออีกครั้ง “คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะเว้ย ไอ้เหี้ย กูเองก็เป็นห่วงมึงเหอะ โทรหามึงตั้ง 3-4 รอบตั้งแต่เมื่อคืนยันตอนเที่ยงวันนี้ก็ไม่ติดสักที นึกว่าตายห่าไปแล้วซะอีก”
“โอเคๆ กูขอโทษว่ะ กูปิดเครื่องตั้งแต่ตอนสอบแล้วก็ปิดยาวไปเลยน่ะ กูผิดเองจริงๆ กูยอมรับ คราวหลังไม่ทำแล้ว”
“เออ ดี กูจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงมึงมากนัก”
“คร้าบบบ พ่ออออ” ผมยิ้มกว้าง
เขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้ผม “ดีมาก แล้วไง ตกลงหิวแล้วใช่มั้ย กูจะได้ทำอะไรให้กิน”
“ไม่ต้องอะ เกรงใจว่ะ ไอ้เหี้ย กูให้พี่ก้อยทำให้กินก็ได้”
พี่ก้อยคือคนดูแลบ้านของพวกเรา น่าจะอายุ 30 กว่าๆ ได้แล้วล่ะมั้ง เขาอยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ผมยังเด็กแล้ว และปกติในเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ พวกเราสามพี่น้องที่ทำอาหารไม่เป็นเลยสักคน ก็จะให้พี่เขานี่แหละช่วยทำนั่นทำนี่ให้กินมาตลอด
“นั่นไง มึงไม่เชื่อมือกูใช่มั้ยวะ ไอ้ตี๋”
ผมยักไหล่ “กูแค่เชื่อใจพี่ก้อยที่กูฝากท้องไว้กับเค้ามาตั้งนานแล้วมากกว่าว่ะ”
“อ๋อเหรอ ไอ้สาดดด” เขายืนขึ้น ไอ้เป๊ปซี่ที่นอนอยู่ข้างๆ ก็ผงกหัวขึ้นด้วยเหมือนกันทันที “บอกมา อยากกินไร ทำอะไรง่ายๆ กินกันก็ได้ มึงไม่ตายหรอกน่า เชื่อกูเหอะ”
“มึงแน่ใจเหรอวะ” ผมเลิกคิ้วขึ้น
“ไปดูกันดีกว่าว่าตู้เย็นบ้านมึงมีอะไรให้กูทำกินบ้าง”
ผมเดินตามเขาเข้าไปในครัว แล้วจากนั้นนะก็จัดแจงเปิดตู้เย็นเพื่อค้นดูว่าเขาพอจะทำอะไรให้เราสองคนกินกันเย็นนี้ได้ ในระหว่างนั้นพี่ก้อยก็เดินเข้ามาในครัวพอดี แต่พอนะบอกว่าเขาจะเป็นคนทำอาหารเอง พี่ก้อยก็เลยปล่อยให้เราได้ใช้ห้องครัวกันตามลำพัง
“ตกลงมึงจะทำอะไรวะ”
“ข้าวผัดมะ มีข้าวเย็นอยู่ มีเนื้อไก่อยู่ แล้วก็ทำผัดกะเพราด้วยเป็นไง กูเห็นใบกะเพรามันเริ่มจะเหี่ยวแล้ว มึงเองก็ชอบกินผัดกะเพราอยู่แล้วไม่ใช่เหรอวะ”
“เออ ดีๆๆ แต่ทำให้อร่อยๆ นะมึง”
“เชื่อมือเหอะน่า” เขายักคิ้วให้ผม
จากนั้นนะก็เริ่มต้นการทำอาหารโดยมีผมเป็นลูกมือช่วยหยิบนั่น หยิบนี่ ช่วยล้างช่วยหั่นบ้างเท่าที่จะช่วยได้ ในขณะที่ผมมองดูเขากำลังง่วนอยู่นั้น ผมก็อดที่จะรู้สึกชื่นชมเขาขึ้นมาอีกนิดไม่ได้ เพราะว่าเขาดูคล่องแคล่วกว่าที่ผมคิดเยอะเลยทีเดียว เมื่อผมถามเขาว่าเขาไปฝึกทำอาหารมาจากไหน เขาก็เล่าให้ผมฟังว่าแม่ของเขาเคยเปิดร้านอาหารเล็กๆ ตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็ก เขาก็เลยพลอยได้วิชาติดตัวมาด้วย
“มึงนี่นอกจากจะหล่อแล้ว ยังเรียนดี เล่นกีฬาเก่ง ร้องเพลงก็เพราะ แถมยังทำอาหารเป็นอีกเหรอวะ”
เขาหัวเราะชอบใจทันที “นี่มึงชมกูเหรอวะเนี่ย อย่างมึงเนี่ยนะ ชมกูเป็นด้วยเหรอวะ”
“งั้นกูถอนคำพูดคืนก็ได้ ไอ้สาดดดด”
“ไม่ต้องถอนก็ได้ กูยอมรับ แต่ว่ากูไม่ได้ดูเพอร์เฟ็กต์อะไรขนาดนั้นหรอกนะเว้ย อย่างเรื่องหน้าตาดี ก็อย่างที่กูเคยบอกว่ากูยอมรับว่ากูไม่ได้ขี้เหร่ แต่คนหน้าตาแบบกูก็ใช่ว่าจะหล่อถูกใจไปหมดทุกคน จริงปะล่ะ กูแค่คิดว่าตัวเองหน้าตาพอดูได้ในระดับนึงแค่นั้นอะว่ะ แล้วถ้าถามว่ากูเรียนเก่งมั้ย กูก็คงตอบว่าไม่เก่งอะ กูแค่หัวกลางๆ แถมขี้ลืมอีก แต่อาศัยการที่เป็นคนเข้าใจอะไรเร็วเท่านั้นเอง ตอนมัธยมกูก็ได้เกรดแค่สามต้นๆ เองนะเว้ย ไม่ได้สูงอะไรนักหนาเลย” เขาปิดแก๊สและส่งสัญญาณให้ผมหยิบจานที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ใกล้ตัวไปให้เขา เขารับจานไปแล้วจากนั้นก็ตักผัดกะเพราออกจากกระทะและเริ่มพูดต่อ “เล่นกีฬาก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมาย ไม่เคยชนะได้ที่หนึ่งสักครั้ง แถมถนัดก็แค่อย่างเดียว ไม่ได้เล่นบอล เล่นบาส หรืออย่างอื่นเก่งไปด้วย ร้องเพลงเพราะมั้ย... กูว่าก็งั้นๆ คนอื่นร้องเพลงกันเพราะๆ มีออกถมถืดไป แต่จะยกเว้นก็แค่เรื่องทำอาหารนี่แหละ” เขาหันมายิ้มให้ผม “ที่กูค่อนข้างมั่นใจในฝีมือเลยล่ะ เพราะว่ากูเป็นลูกมือช่วยแม่มาตลอดไง แล้วแม่กูก็สอนกูมาเยอะด้วย”
“กูว่ากูอิจฉามึงว่ะ ไอ้นะ”
เขาเลิกคิ้วขึ้นสีหน้าประหลาดใจ “อิจฉากูเนี่ยนะ อิจฉาอะไรวะ”
“ไม่รู้ดิ กูรู้สึกว่ามึงแม่งทำอะไรก็เก่งเนอะ ไม่เหมือนกูเลย ทำห่าอะไรไม่เป็นสักอย่าง”
“มึงพูดจริงรึพูดเล่นเนี่ย ไอ้ซี” เขาหัวเราะ “กูว่ามึงมีข้อดีเยอะแยะไปเหอะ เวลากูมองมึง กูยังอิจฉามึงเลย”
“มึงเนี่ยนะ อิจฉากู เรื่องอะไรวะ”
“ช่างมันเหอะน่า เอาเป็นว่า มึงจำไว้เหอะว่ามึงจะรู้สึกชื่นชมอะไรคนอื่นบ้าง มันก็ไม่แปลกหรอก แต่อย่าลืมว่าในขณะเดียวกันก็อาจมีคนอื่นที่แอบชื่นชมมึงอยู่บ้างเหมือนกันก็ได้นะเว้ย คนเรามันมีดีกันคนละอย่างสองอย่างว่ะ อย่างมึงน่ะ หน้าตาดีขนาดนี้ สาวๆ ติดตรึม ไหนจะยังอัธยาศัยดี เล่นบาสก็เก่ง แล้วก็เป็นคนตั้งใจอะไรแล้วตั้งใจจริงด้วย ถึงหน้าตาจะกวนตีนไปสักหน่อยก็เถอะ” เขาหัวเราะปิดท้าย
“ตกลงคนที่มีปัญหาคือมึงใช่มะ ไม่ใช่กู ไอ้ห่าาาา ชมๆ กูอยู่ก็ลงท้ายด้วยการด่ากูซะงั้น”
“ไปเหอะ กินข้าวกัน มึงคงหิวแล้วสิ”
“หิวมานานแล้วด้วยเหอะ”
“งั้นตักแบ่งกันคนละจานเลยเนอะ แต่เดี๋ยวกูแบ่งไว้ให้พี่ก้อยก่อน”
เขาจัดการตักข้าวผัดและผัดกะเพราะราดข้าวทั้งหมดสามจาน และจากนั้นเราสองคนก็ยกจานของตัวเองออกมานั่งกันอยู่ที่โต๊ะกินข้าว
“มึงกับน้อยเป็นไงมั่งวะ” เขาถามขึ้น
“ก็เรื่อยๆ อะว่ะ ก็คุยกันน้อยลง ไม่เหมือนตอนเป็นแฟนกัน แต่ก็ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดอะไรกันน่ะนะ”
“แล้วมึงคิดถึงเค้ามั่งมั้ยวะ เคยมีความคิดอยากกลับไปคบกันมั้ย”
“ไม่เลยว่ะ กูหมายถึงไม่อยากกลับไปคบนะ กูเป็นประเภทตัดแล้วตัดเลยอะ แต่ถ้าถามว่ามีคิดถึงมั้ยก็มีบ้าง บางเวลาที่อยากจะเล่านั่นเล่านี่ให้ใครสักคนฟัง แต่มันไม่มีคนๆ นั้นแล้วอะ...” ผมเหลือบไปมองหน้าเขา “นอกจากมึงนี่แหละ ไอ้ตูด”
“ฮ่าๆๆๆ งั้นกูว่ามึงกับกูก็คงคล้ายๆ กันอะว่ะ”
“เออ สงสัยจะอย่างนั้นมั้ง”
“แล้ว... ข้าวเป็นไงบ้างวะ อร่อยมั้ย ถูกปากมึงรึเปล่า”
“อร่อยๆๆ มึงเก่งจริงว่ะกูยอมรับ รสชาติแบบนี้แหละที่กูชอบเลย”
เขายิ้มกว้าง “แต๊งกิ้วว่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย”
“อ้าว ไหนบอกมั่นใจไง” ผมหัวเราะเบาๆ
“ก็มั่นใจอยู่ แต่ไม่รู้ดิ ทำให้มึงกินแล้วมันเกร็งๆ ว่ะ ฮ่าๆ แต่ละคนมันก็ชอบรสชาติไม่เหมือนกันใช่ปะล่ะ แต่อย่างมึงกูก็พอรู้ว่าชอบรสจัดๆ หน่อย ผัดกะเพราต้องเผ็ดและติดหวานนิดๆ ไรเงี้ย ก็พยายามทำให้ถูกปากมึงที่สุดแล้ว”
“อร่อยเว้ย อร่อย กูคอนเฟิร์มเลย”
“เออ มึงชอบกูก็ดีใจว่ะ”
เรานั่งกินข้าวและคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเมื่อทั้งผมและเขาต่างก็กินกันจนหมดเกลี้ยงแล้ว เราก็รินน้ำส้มมานั่งดื่มด้วยกันที่หน้าทีวี
“เอ้อ จริงด้วย กูลืมไปสนิทเลยว่ะ” เขาพูดขึ้น
“อะไรวะ”
“ที่จริงคืนนี้พวกเพื่อนๆ มึงมันจะไปกินเหล้ากันนะเว้ย มึงจะไปมั้ยวะ”
“ฮะ คืนนี้น่ะเหรอ กูนึกว่ามันไปกันตั้งแต่เมื่อคืนแล้วซะอีก”
“แม่งจะทำแฮททริกอะดิ” เขาหัวเราะ “คืนนี้มันก็จะไป พรุ่งนี้ด้วย ไอ้ก้องมันเพิ่งบอกกูเมื่อตอนบ่ายก่อนกูจะมาบ้านมึงเนี่ยอะ แล้วก็บอกว่าถ้ามึงยังมีชีวิตอยู่ก็ให้ชวนมึงไปด้วย”
“มันจะไปกันที่ไหนวะ”
“รัชดามั้ง เห็นว่า”
“แล้วมึงอะ อยากไปมะ”
เขายักไหล่ “ถ้ามึงไปกูก็ไปว่ะ กูยังไงก็ได้อยู่แล้ว มึงก็รู้นี่หว่า แต่เพิ่งจะสอบเสร็จมาแบบนี้ ไปปลดปล่อยบ้างก็ดีเหมือนกัน”
“งั้นแดกข้าวเสร็จแล้วก็ไปเตรียมอาบน้ำแต่งตัวกันได้เลย” ผมยักคิ้ว
สรุปว่าคืนนั้นเราสองคนก็ออกไปตะลุยผับย่านรัชดากับเพื่อนๆ ที่คณะของผม และก็เป็นเหมือนทุกครั้งที่ทั้งเขาและผมต่างก็ดึงดูดความสนใจจากผู้หญิงในผับได้จำนวนหนึ่ง แต่เราก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเธอเหล่านั้นมากนัก ผมรู้ว่านะไม่ใช่คนที่ชอบคุยกับผู้หญิงในผับอยู่แล้ว ส่วนผมเองก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์อย่างนั้นสักเท่าไหร่ เพราะผมแค่อยากจะไปสนุกกับเพื่อนๆ มากกว่า ผมจึงแค่ชนแก้วกับบางคนที่มาขอชนด้วยตามมารยาทเท่านั้น แต่เมื่อเริ่มดึกมากขึ้นและเราทุกคนต่างก็ดื่มกันเยอะขึ้น ผมก็หันไปเห็นนะกำลังยืนคุยอยู่กับผู้หญิงหน้าตาดีคนหนึ่ง ซึ่งตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอผมหันไปทางพวกเขาอีกครั้ง ผมกลับเห็นว่าเขากำลังแลกเบอร์โทรศัพท์กันแล้ว
“เฮ้ย! สงสัยไอ้นะแม่งได้แน่แล้วว่ะ ไอ้ซี!” ไอ้ก้องหันมาตะโกนใส่หูของผม “แล้วมึงอะวะ ไม่เอาสักคนรึไง กูเห็นคนสนใจมึงออกเยอะ! เอาแต่ชนแก้วไม่ได้ทำให้น้ำแตกนะเว้ย!”
“ไม่ต้องมาหวังดีกับกูเลย ไอ้ส้นตีน!” ผมตอบมันกลับไป จากนั้นก็หันไปมองนะที่กำลังหัวเราะกับผู้หญิงคนนั้นอยู่ แล้วจึงกระดกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม
พอตีหนึ่งกว่า ผมก็เริ่มจะเมาได้ที่ ส่วนนะที่คงไม่ค่อยได้ดื่มก็เริ่มจะคอยยืนประกบติดผมแทบตลอดเวลา พอเขามาคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ ผมแบบนี้ ผมถึงเพิ่งสังเกตว่าผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ที่โต๊ะตัวเดิมอีกแล้ว
“เมาแล้วใช่มั้ย ไอ้ซี ไหวรึเปล่าวะ!” เขาตะโกนแข่งกับเสียงเพลง
“ไหวๆ ยังไม่ได้เมามากหรอก ว่าแต่แล้วผู้หญิงคนนั้นอะวะ ไปไหนแล้วล่ะ”
“กลับไปแล้ว”
“อ๋ออออ” ผมพยักหน้า “แล้วมึงจะไปต่อกะเค้าป่าววะ”
“ไปต่อเหี้ยไรวะ” เขาทำหน้าสงสัย “กูก็กลับบ้านกับมึงไง”
“เฮ้ยยย! มึงไม่ต้องห่วงกูนะเว้ย มึงไปกับเค้าก็ได้ ส่วนกูกลับเองได้ สบายมากเว้ยย!”
“มึงอย่ามาเลอะเทอะ ไอ้ซี กูจะไปไหนกับใครได้ไงวะ ยังไงวันนี้กูก็จะกลับบ้านกับมึงนี่แหละ!”
“ก็ตามใจมึงละกันนน” ผมดื่มเหล้าที่เหลืออยู่ครึ่งแก้วรวดเดียวจนหมด
เมื่อถึงเวลาผับปิด ผมก็เมาจนแทบจะเดินไม่ตรงทาง แต่เท่าที่ดูคนอื่นๆ ก็สภาพไม่ต่างจากผมสักเท่าไหร่ เว้นก็แต่นะแค่คนเดียวที่ดูปกติกว่าใครเพื่อน เราสองคนบอกลาคนอื่นแล้วจึงขึ้นแท็กซี่กลับไปยังบ้านของผมด้วยกัน
“มึงจะไหวมั้ยเนี่ย ไอ้ซี เมามากมั้ยวะ” เขาหันมาถามผม
“ประมาณนึงว่ะ แต่ยังไหวอยู่” ผมเอนหัวพิงเบาะรถ “มึงจำทางเข้าบ้านกูได้ใช่ป่าว ไอ้นะ”
“ได้ดิ”
“เออ งั้นมึงบอกทางพี่เค้าด้วยนะเว้ย เผื่อกูหลับอ่า”
“ได้ มึงพักไปเถอะ อย่าอ้วกก็แล้วกัน” เขาพูดติดตลก
“ไม่อ้วกหรอกน่ะ ถ้ากูจะอ้วกนะ กูจะอ้วกใส่หัวมึงเนี่ยแหละ”
“อ้าวววว ไอ้เหี้ยยย กูไปทำอะไรให้มึงวะ”
ผมหันไปทางเขา “กูแค่หมั่นไส้มึงเฉยๆ มีไรปะ”
“เอ๊า เวร แล้วมาหมั่นไส้อะไรกูล่ะวะ”
“เมื่อกี้มึงได้ผู้หญิงไปกี่คนแล้ววะ ไอ้นะ”
“เฮ้ยยย ได้เหี้ยอะไร ไม่ได้สักคนนั่นแหละ ไอ้ห่า”
“อย่ามาแหล ไอ้ตูด กูเห็นมึงแลกเบอร์กับผู้หญิงคนนั้นกันแล้วไม่ใช่เหรอวะ คนที่สวยๆ นั่นน่ะ ชื่ออะไรวะ”
“ไม่รู้ กูจำไม่ได้ และกูก็ไม่ได้ให้เบอร์กูไปด้วย กูแกล้งให้เบอร์ผิดไปต่างหาก”
“อ้าวเหรอวะ ไหงงั้นอะ”
“มึงก็รู้นี่หว่าว่ากูไม่ชอบผู้หญิงที่มาจีบกูก่อนน่ะ และที่สำคัญ กูก็ไม่กล้าคุยกับเค้าหรอก ตอนนี้กูยังไม่อยากคุยอะไรกับใครทั้งนั้นอะว่ะ”
“อ๋อ... เหรอวะ”
“ทำไมวะ มึงมีปัญหาอะไรรึไง รึว่ากลัวกูจะได้เมียใหม่ก่อนมึง หืออ ไอ้ตี๋” เขาใช้ศอกดันหัวของผมเบาๆ
ผมปัดแขนเขาออก “ครวยเหอะ กูไม่สนใจเรื่องของมึงขนาดนั้นหรอก”
“เออ หึๆ” เขาดีดหน้าผากผมเบาๆ “นอนไปเหอะ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วกูปลุก”
หลังจากนั้นเราก็ต่างคนต่างนั่งกันเงียบๆ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ส่วนผมน่ะนอนไม่หลับหรอก ถึงจะมึนหัวแค่ไหนแต่ก็หลับไม่ลงแม้แต่นิดเดียว เพราะว่าก่อนหน้านี้ผมดันนอนไปตั้งเยอะขนาดนั้นแล้วนี่นา จนเมื่อมาถึงบ้าน เขาก็จ่ายค่าแท็กซี่แล้วช่วยพาผมเดินเข้าบ้านและขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ทั้งๆ ที่ผมบอกแล้วว่าผมเดินเองได้ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะช่วยประคองผมเดินตลอดทางจนถึงห้อง
เราสองคนผลัดกันไปอาบน้ำ โดยที่เขาเข้าไปอาบก่อน และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ผมก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมานิดหน่อย ยิ่งเมื่อผมเดินเข้าไปในห้องนอนและผิวกายสัมผัวเข้ากับแอร์เย็นๆ ผมก็ยิ่งรู้สึกสร่างขึ้นไปอีก
“เอ้า น้ำ” เขายื่นแก้วที่ใส่น้ำอยู่เต็มให้ผม
“ขอบใจ...” ผมรับแก้วน้ำมาดื่ม แล้วจึงคืนแก้วเปล่าไปให้กับเขา “มึงลงไปเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่วะเนี่ย”
“ก็ตอนมึงอาบน้ำเมื่อกี้นี้แหละ”
“อ่ออ เออเนอะ” ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าออกแล้วเลือกหาเสื้อกับกางเกงที่จะใส่นอน
“สร่างขึ้นบ้างแล้วใช่มะ”
“อือออ แต่ก็ยังมึนๆ อยู่อะว่ะ ยังอยากแดกต่ออยู่เลยยย”
“พอแล้วเหอะ ไอ้ห่า ถ้าต้องถึงขั้นให้กูหามมึงกลับบ้านก็ไม่ไหวนะเว้ย”
“ทำมายยย รังเกียจกูเหรอ สาดดด ใช่ซี้ กูมันไม่ใช่ผู้หญิง ไม่สวยไม่อึ๋มเหมือนคนนั้นนี่หว่าาา” ผมหัวเราะ
“กวนตีนแล้วมึง ถ้ามึงเป็นผู้หญิง ก็คงเป็นผู้หญิงที่ตัวสูงใหญ่และหน้าตากวนตีนมากอะ เพราะงั้นมึงเป็นตัวผู้แบบนี้แหละ ดีแล้ว”
“อะไรวะ ก่อนหน้านี้ยังเคยบอกอยู่เลยว่าถ้ากูเป็นผู้หญิงมึงคงจะรักกูตายอะ สาดดด กลับคำซะแล้ว”
“ใครกลับคำตรงไหน มึงเป็นผู้ชายแล้วกูรักมึงไม่ได้รึไง”
“เหรอๆ มึงเนี่ยนะ รักกูเหรอวะ ไอ้นะ”
“เออ กูก็เคยบอกมึงไปแล้วไงว่ามึงเป็นเพื่อนรักกูน่ะ แล้วมึงอะ ไม่รักกูเลยรึไง”
ผมอึ้งๆ ไปเล็กน้อย “ถ... ถามทำไมวะ”
“ไม่ทำไมอะ ก็แค่ถ้ามึงรักกู ก็ช่วยรีบๆ แต่งตัวแล้วมานอนได้แล้ว ไอ้ตี๋ เพราะกูหนาวและกูง่วงมากกกกกกก”
“คร้าบๆ นอนแล้วครับ” ผมสวมเสื้อยืดและใส่กางเกงบอล จากนั้นก็พาดผ้าเช็ดตัวไว้บนเก้าอี้ แล้วจึงเดินไปปิดสวิทช์ไฟ
ถึงห้องจะมืด แต่ผมก็อาศัยความเคยชินเดินกลับไปนอนที่เตียงได้อย่างไม่มีปัญหา
“มามะ มาให้ป๋ากอดที” เขาดึงตัวผมเข้าไปกอดทันทีที่ผมนอนลงข้างๆ เขา
“ครวยไรของมึง กูไม่ใช่ผู้หญิงในผับคนนั้นนะเว้ยยย” ผมแกะแขนของเขาออก
“มึงเป็นอะไรกับคนนั้นมากปะวะ ไอ้ซี ก็กูบอกแล้วไงว่ากูไม่ได้ชอบเค้าเลยนะเว้ย” เขาชันตัวขึ้น “ไม่ได้คิดอะไรด้วยเลยสักนิดจริงๆ”
“เปล่า กูไม่ได้เป็นไรทั้งนั้นแหละว่ะ แค่มึนๆ เมาๆ ไปตามประสาอะ อย่าสนใจกูเลย”
“จะไม่ให้สนใจได้ไงวะ ไอ้ตี๋เอ๊ยยยย” เขาดีดหูผม
“โอ๊ย!! ไอ้เหี้ยยย!!” ผมยกมือขึ้นจับหูแล้วหันขวับไปหาเขาทันที “เจ็บนะเว้ย!!”
“ก็เออดิ ไม่ดีดให้เจ็บแล้วจะดีดทำไมวะ” เขาตอบ “จำไว้นะเว้ยว่ากูแคร์มึง กูเป็นห่วงมึง กูเคยบอกแล้วไง กูไม่อยากเห็นคนที่กูรักหรือคนใกล้ชิดกูต้องเป็นอะไรไปเพราะการเมาเหล้าอีก และนั่นก็รวมถึงมึงด้วยเหมือนกัน เข้าใจรึเปล่า”
“เออๆๆ รู้แล้วล่ะน่า!” ผมนิ่วหน้า “ทีตอนไปทะเลมึงยังเมาได้เลย ไอ้ห่าาา”
“ก็ตอนนั้นมันแค่เมาอยู่หน้าโรงแรมนี่หว่า แถมกูรู้ว่ามึงจะดูแลกูได้ด้วยอะ”
“กูก็เหมือนกันนั่นแหละว่ะ เพราะกูรู้ไงว่ามึงจะพากูกลับบ้านได้”
“แล้วใครวะที่แม่งบอกให้กูไปต่อกับคนอื่นได้ ไม่ต้องห่วงมึงน่ะ ฮึ”
“กูพูดเหรอวะ...” ผมมองหน้าเขาในความมืด
“เออ ก็มึงนั่นแหละ”
“อ๋อเหรอ แหะๆ กูลืมว่ะ”
“เออๆ นอนกันเถอะ กูรู้สึกเหนื่อยๆ ชอบกลว่ะ” เขาล้มตัวลงหนุนหมอนเหมือนเดิม
เราสองคนต่างก็นอนกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง แต่ผมรู้ว่าเขายังไม่หลับหรอก
“ขอบใจนะเว้ย ไอ้นะ”
“อืมมม... ไม่เป็นไร กูเต็มใจ”
“การดูแลกูเนี่ย มันทำให้มึงเหนื่อยมากมั้ยวะ”
“เหนื่อยเด่ะ” เขาหัวเราะในลำคอเบาๆ “แต่ไม่มากหรอกว่ะ เพราะกูอยู่กับมึงแล้วสบายใจมากกว่าอยู่กับเพื่อนคนอื่นๆ น่ะ และกูก็ไม่คิดว่านี่เป็นการดูแลอะไรด้วย มึงโตเป็นควายขนาดนี้แล้ว กูยังจะต้องดูแลอะไรมึงอยู่อีกวะ”
“อ้าว ก็อย่างวันนี้ ไรเงี้ย...” ผมหันไปหาเขา
“กูไม่ได้ดูแลมึง แต่กูแค่เป็นห่วงมึงต่างหาก” เขาหันหน้ามาสบตากับผมด้วยเช่นเดียวกัน
“หึๆๆ จริงๆ กูมีเรื่องนึงอยากจะสารภาพกับมึงด้วยว่ะ ไอ้นะ กูไม่เคยคิดเลยนะว่ากูจะกล้าบอกมึงอะ แต่ถ้ากูจะพูด กูก็ต้องพูดตอนกูกำลังเมาๆ แบบนี้นี่แหละว่ะ”
“หืออ อะไรวะ”
“กูอะ ชื่นชมมึงนะเว้ย แล้วก็เป็นเพราะมึงนั่นแหละที่ทำให้กูอยากเป็นลูกที่ดีขึ้นของพ่อกับแม่ ทำให้กูตั้งใจเรียนมากขึ้น เพราะไม่อย่างนั้นกูก็คงทำตัวเรื่อยเปื่อยไปวันๆ แบบพวกไอ้ไมค์ ไอ้ก้อง อะไรแบบนั้นอะ กูอยากขอบใจมึงว่ะ ไอ้นะ มึงแม่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกูจริงๆ นะเว้ย”
เขาฉีกยิ้มกว้าง “ไอ้ห่า! กูเขินนะเว้ยยย!”
“เออ ใช่ๆ แล้วก็เวลามึงเขินอะ มึงแม่งน่ารักดีด้วย กูยังไม่เคยบอกมึงใช่ปะ ฮ่าๆๆ”
“ครวยเหอะ ไอ้เหี้ย!” เขายิ่งเขินหนักเข้าไปใหญ่ “พอตื่นขึ้นมาตอนเช้ามึงจะยังจำคำพูดตัวเองได้อยู่มั้ยวะเนี่ย”
“จำได้เด่ะ กูจำได้หมดทุกอย่างแหละ ไม่ว่าจะพูดจะทำอะไรไปเวลาเมาน่ะ”
“เมื่อกี้มึงยังลืมคำพูดตัวเองตอนอยู่ในผับอยู่เลย ไอ้เชี่ยตี๋”
“อ๋อเหรอๆ ฮ่าๆๆ จริงๆ กูจำได้เว้ย แต่กูแกล้งลืมต่างหาก”
“ถุยเหอะ ไอ้กะล่อนเอ๊ยยย” เขาดีดหน้าผากผมเบาๆ “ไปๆ ตะแคงหันไปข้างนู้นไป กูจะได้กอดมึงได้ถนัดๆ”
“เหี้ยไรล่ะ กูไม่ใช่ของเล่นมึงนะเว้ย มึงนั่นแหละหันไป กูจะกอดมึงเอง กูก็หนาวเหมือนกันเหอะว่ะ ตีนกูเย็นเฉียบเลยเนี่ย” ผมยื่นเท้าไปแตะลงบนหน้าแข้งของเขา
“เฮ้ยย! เย็นเว้ย!” เขาสะดุ้ง
“เห็นมะ บอกแล้ว เพราะงั้นรีบๆ หันไป เร็วๆ”
เขาตะแคงตัวเป็นนอนหันหลังให้กับผม ผมจึงกอดเขาเอาไว้จากทางด้านหลังท่าเดียวกับที่เขาเคยกอดผม ความอบอุ่นที่ผมรู้สึกได้ช่างเป็นความคุ้นเคยแบบที่ผมไม่ได้รับจากใครคนอื่นมานานมากแล้วเหลือเกิน ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นฝ่ายกอดผม แต่ความรู้สึกมันก็ไม่เหมือนกับการที่ผมเป็นคนกอดเขาแบบนี้ และที่สำคัญผมว่าความรู้สึกและสัมผัสที่ได้มันยังต่างไปจากการกอดผู้หญิงที่ตัวเล็กกว่าผม และผิวกายนิ่มกว่านี้เยอะเลยอีกด้วยสิ
แต่จะว่าไปความอบอุ่นแบบนี้ สัมผัสแบบนี้ มันก็ไม่เลวเหมือนกัน...
“เฮ้ย ไอ้ซี...”
“หือออ” ผมส่งเสียงในลำคอตอบไปเบาๆ
“ครวยมึงแข็งเหรอวะ มันทิ่มๆ ก้นกูอยู่อะ”
“เอ๊อะ..!!” ผมรีบขยับสะโพกออกทันที “ขอโทษทีว่ะ กูก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่ามันแข็งขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่อะ สงสัยเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์มั้ง แหะๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก มึงเงี่ยนเหรอวะ...”
“หึๆๆ ทุกวันอะ”
เขายกแขนของผมขึ้นแล้วพลิกตัวหันมาหาผม “กูก็เหมือนกันว่ะ...”
เราสองคนสบตากันและกัน แล้วจากนั้นเขาก็ชะโงกหน้าเข้ามาหาผมเล็กน้อย ก่อนจะหยุดลง ผมจึงเป็นฝ่ายที่โน้มตัวเข้าไปจูบปากของเขาแทน และเขาก็จูบผมตอบกลับในทันที เราสองคนแลกลิ้นกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออก
“ไอ้ซี...” เขาพูดด้วยเสียงแหบพร่า “คราวนี้กูอยากลองใช้ปากให้มึงมั่งว่ะ”