บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 74 “ณัฐวนิช”
ขอแค่ใช้ชีวิตให้สนุกทุกวัน ใช้ชีวิตให้คุ้ม ให้มันไม่นึกเสียใจ วันนี้เราได้หัวเราะเต็มที่หรือไม่ และมีความสุขแค่ไหน เพราะชีวิตของฉันยังสนุกทุกวัน มีเรื่องที่ไม่คาดฝันให้เจออีกมากมาย ได้ยิ้มและได้หัวเราะเต็มที่ทุกวัน ยังจะต้องการอะไร ถ้าเราสุขใจ
เมื่อผมทำอาหารเช้าให้ทุกคนเสร็จ หลายๆ คนก็ทยอยกันลงมาทานอาหารด้านล่าง ผมจึงเดินขึ้นไปตามน้องหยกที่นอนหลับใหลอยู่ภายใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่น ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศในยามเช้า ผมสะกิดให้น้องหยกรู้สึกตัว ซึ่งเจ้าตัวก็ครางรับทั้งที่ตายังหลับอยู่ ผมจึงใช้ปลายนิ้วแหย่รูจมูกคนรักให้รำคาญเล่น เห็นน้องหยกยกมือปัดสะเปะสะปะ ผมก็เลยแกล้งแหย่เข้าที่รูหูจนเจ้าตัวนิ่วหน้าส่ายหัวหลบไปมา อยู่ๆ ก็ยกมือขึ้นมาจับข้อมือของผมได้ก็ปรือตาขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจแล้วหลับต่อ ผมมองการกระทำของคนรักพลางส่ายหน้ายิ้มๆ
“น้องหยกจ๋า ตื่นได้แล้วครับ ตื่นนะครับ วันนี้พี่ทำข้าวต้มปลาทูไปถวายเพลเลี้ยงพระให้คุณตาคุณยาย แล้วก็แม่ทิพย์ด้วยนะ“ ผมพูดเสียงนุ่มขณะมองใบหน้าของคนรักที่กำลังหลับสบาย พลางเกลี่ยเส้นผมที่หน้าผากน้องหยกออกเบาๆ ผมยังมองดูคนรักที่หลับสนิทด้วยสายตาที่อ่อนโยน ในความรู้สึกของผมน้องหยกช่างดูน่ารักเหลือเกิน น่ารักมากจนทำให้ไม่อาจจะควบคุมตัวเองได้เมื่อได้อยู่ใกล้ๆ
“หยกครับ ตื่นเถอะนะ ตื่นได้แล้วที่รัก นอนขี้เซาจริง นี่...ถ้าไม่ตื่นพี่จะปลุกแบบพิเศษนะครับคนดี” ผมนั่งบนเตียงอยู่ข้างตัวน้องหยกค่อยๆ ก้มหน้าลงมาจูบแก้มเนียนใสเบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่ พูดพลางจูบไล่ลงมาที่ริมฝีปากคนรักเบาๆ แต่น้องหยกก็ยังคงนอนเฉยไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร ผมจึงกัดเบาๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่ม พอปากน้องหยกเผยอออก ผมก็ประกบปากลงไปพร้อมกับสอดลิ้นอุ่นๆ เข้าไปควานหาความหอมหวานอย่างคุ้นเคย รสจูบที่หวามไหวทำให้คนรักค่อยๆ รู้สึกตัวจูบตอบโดยอัตโนมัติทั้งๆ ที่ยังหลับตา
น้องหยกยกแขนโอบรอบคอของผมเอาไว้ มีเสียงครางเบาๆ ออกมาจากลำคอคนรัก เราทั้งสองจูบกันไปสักพัก ผมก็ถอนริมฝีปากออกมองคนรักที่ยังอยู่ในอาการสะลึมสะลือด้วยความรู้สึกขำๆ ก่อนจะจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากอวบอิ่มซ้ำๆ อีกหลายครั้ง
“อืม...พี่กฤษ...พอแล้ว หยกง่วง ค่อยจูบทีหลังนะ ขอนอนก่อนครับ” น้องหยกเผลอเรียกผมว่ากฤษอีกแล้ว แถมพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงียพร้อมกับค่อยๆ ปรือตาขึ้นมามองจนพูดจบก็หลับต่อ ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ กับอาการนอนขี้เซาของคนรัก
“ไม่ได้นะครับ ต้องตื่นเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ตื่นพี่จะจูบอยู่อย่างนี้แหละ แล้วจะจูบตรงนี้ด้วย” ผมพูดพลางดึงผ้าห่มออกจากตัวน้องหยก แล้วเอื้อมมือไปลูบคลำเบาๆ ที่หน้าอกที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดที่คนรักใส่นอน น้องหยกยังปรือตาขึ้นมามองด้วยท่าทางงัวเงีย
“หลับต่อสิครับ พี่จะได้ลักหลับน้องหยกบ้าง” ผมพูดกระเซ้า พลางจับชายเสื้อของคนรักเลิกขึ้นมา ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบเบาๆ ที่กลางอก ก่อนจะจูบซุกไซร้ไปทั่วหน้าอกขาว และดูดเม้มปลายยอดอกสีชมพูใสของคนรักอย่างลุ่มหลง รู้ได้ทันทีว่าน้องหยกคงรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัวเมื่อถูกเล้าโลม ขนบางๆ ลุกชันไปทั่วบริเวณ ร่างกายคนรักเริ่มบิดไปมา
“อืม...พี่กฤษครับ อย่า...หยกเสียว” เสียงของน้องหยกสั่นนิดๆ พลางใช้มือดันใบหน้าของผมให้ออกจากอก ผมยันตัวขึ้นมาถอนใจอย่างแสนเสียดาย แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี น้องหยกดึงเสื้อนอนที่อยู่บนยอดอกลงพร้อมกับลุกขึ้นมานั่งทำปากยื่นใช้หลังมือสองข้างขยี้ตาตัวเอง แล้วนั่งทำหน้าเบลอๆ ดูน่ารักที่สุด
“น้องหยกครับ ไปอาบน้ำนะครับคนดี พี่ทำอาหารเช้าเอาไว้ข้างล่าง วันนี้เราไปวัดถวายอาหารเพลให้พระกันนะครับ” ผมพยายามสะกดกั้นอารมณ์หื่นเอาไว้ แล้วพาน้องหยกลุกขึ้นหยิบผ้าขนหนูผืนนุ่มส่งให้ ก่อนเจ้าตัวจะเดินเข้าห้องน้ำไป ผมต้องยิ้มขำคนรักที่เดินโดยมีส่วนกลางของลำตัวที่นูนดันตัวกวัดแกว่งไปมาตรงเป้ากางเกงนอนตัวบางตามจังหวะการเดิน เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่น้องหยกเดินออกมาจากห้องน้ำโดยพันตัวผ้าขนหนูสีขาวสะอาดที่เอว น้องหยกชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อเห็นผมยังอยู่ในห้อง จนผมต้องมองด้วยสีหน้าแปลกใจ
“นี่หยกอาบน้ำหรือวิ่งผ่านน้ำมากันแน่ครับ ทำไมมันถึงได้รวดเร็วขนาดนี้ ไหนขอเช็คหน่อยซิว่าอาบสะอาดรึเปล่า” ผมนั่งรออยู่ที่ปลายเตียงถามคนรักด้วยน้ำเสียงเข้มพลางรวบตัวเข้ามากอด พร้อมกับก้มหน้าดอมดมตามซอกคอน้องหยกอย่างถือวิสาสะ
“นี่หยุดเลยนะ พี่พลัสปล่อยเลย อูย...พี่พลัส อย่าน่า...นะครับ” น้องหยกพูดเสียงแผ่ว ดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดผม ผมเลื่อนฝ่ามือแข็งแรงลูบไล้คนรักที่ยืนสั่นสะท้านไปทั่วร่าง จนมากอบกุมหน้าอกด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้นก่อนจะก้มหน้าลงดอมดมพร้อมกับจูบเบาๆ ที่ปลายยอด แล้วค่อยๆ ดูดเม้มอย่างหิวกระหาย อีกมือก็เคล้าคลึงบีบเคล้นด้วยความลุ่มหลง
“ซี๊ดดด...พี่พลัสครับ อา...อย่าแกล้งหยกสิครับ” คนรักสูดปากด้วยความรู้สึกเสียวซ่านไปทั้งตัว ร้องครางเบาๆ ด้วยความรัญจวญใจ และเผลอตัวแอ่นอกขึ้นรับสัมผัสอันอ่อนโยนจากการดูดเม้มด้วยริมฝีปากของผม ปากคนรักยังปฏิเสธขณะที่มือเรียวทั้งสองก็กดรั้งศีรษะของผมไว้เพื่อให้ใบหน้าแนบสนิทกับปลายอก ให้ผมยังจูบซุกไซร้ไปทั่วทั้งบริเวณ
“โอ้ว...พี่พลัสครับ...หยก...จะทนไม่ไหวแล้ว” ผมมีความรู้สึกต้องการในตัวคนรักมาก แม้พยายามจะหักห้ามใจตัวเองไว้ ผมรีบดึงตัวน้องหยกมานั่งที่ตักก่อนจะประกบปากจูบอย่างดูดดื่ม ขณะที่จูบนั้นอยู่ๆ น้ำตาของคนรักก็ค่อยๆ ไหลลงมาอาบแก้ม ผมต้องชะงักไปนิดหนึ่ง รู้ดีว่าตอนนี้เราทั้งคู่กำลังรู้สึกทรมาน เพราะความรู้สึกที่กำลังต้องการของร่างกาย กับสิ่งที่ติดยึดอยู่ในใจนั้นมันสวนทางกันอยู่ ผมค่อยๆ ถอนปากออก แล้วเช็ดน้ำตาให้น้องหยกด้วยความอ่อนโยน
“หยกเป็นยังไงบ้าง” ผมถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง น้องหยกยังคงนั่งบนตักของผมนิ่ง สองมือโอบรอบลำคอของผมเอาไว้ สายตาของเราทั้งคู่ประสานกัน
“พี่พลัสครับ...หยกทำให้พี่รู้สึกทรมานอีกแล้วใช่ไหม” น้องหยกพูดขึ้นเบาๆ เอื้อมมือมาจับหน้าของผมเอาไว้
“หยกขอโทษนะครับ หยกต้องการพี่มากเหมือนกัน แต่...หยกทำไม่ได้ อย่าโกรธหยกเลยนะครับ” น้องหยกโถมตัวเข้ามากอดผมไว้แน่นพลางประคองหน้าผมให้ซบอยู่ที่กลางอกของตัวเอง คนรักพูดด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวด
“อย่าพูดอย่างนี้สิครับ พี่จะโกรธได้ยังไงกัน หยกไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย พี่ต่างหากล่ะที่ผิด ถ้าพี่ไม่เป็นคนเริ่มหยกก็คงจะไม่ต้องรู้สึกแย่แบบนี้หรอก พี่ขอโทษนะครับ ที่ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง ที่หลังจะไม่....” ผมยังพูดไม่ทันจบน้องหยกก็รีบพูดแทรกขึ้นมา
“รอให้เราทั้งคู่ออกทุกข์ก่อนนะครับ หยกเชื่อว่าคุณตาคุณยายเข้าใจเราทั้งคู่ดีอยู่แล้ว หยกอยากทำมากกว่านี้เหมือนกันแต่หยกคิดว่าช่วงเวลานี้ยังไม่สมควร” น้องหยกพูดจบ ผมต้องพยักหน้าช้าๆ วางสีหน้าเรียบเฉยไว้ แค่นี้ผมก็รู้สึกดีแล้วที่รู้ว่าคนรักยังต้องการผมมากแบบนี้
“หยกต้องการพี่มากเหมือนกันใช่ไหมครับ” ผมถามเพื่อความแน่ใจ คนรักเพียงพยักหน้าอีกครั้งด้วยท่าทางหงอยๆ ผมจึงหอมแก้มใสของคนรักเบาๆ แล้วดันตัวให้ลุกขึ้นยืน พาคนรักไปยืนหน้าตู้เสื้อผ้า ช่วยแต่งตัวให้จนเสร็จ เรายืนกอดกันแน่นอีกครั้ง แล้วพากันลงไปทานอาหารเช้าข้างล่าง
สายวันนี้ผมตั้งใจจะไปทำบุญให้กับคุณตาคุณยาย และแม่ทิพย์ ทุกคนจึงขอตามผมไปวัดเพื่อถวายเพลเลี้ยงพระกันทั้งหมด ผมกับน้องหยกไปกรวดน้ำด้วยกัน แล้วจึงเดินไปไหว้แม่ทิพย์ที่กำแพงวัด โดยมีพี่พีทตามมาด้วย หลังจากนั้นเราก็เข้าไปที่ศาลางานศพของคุณตาคุณยาย
“พี่พีทครับ หยกขอยืมโทรศัพท์โทรไปหาคุณป้าที่อเมริกาจะได้ไหมครับ” น้องหยกหันไปถามพี่พีทที่ยืนอยู่ข้างหลังผมด้วยน้ำเสียงดูเกรงอกเกรงใจ
“ได้สิครับ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ น้องสะใภ้ของพี่ทั้งคน” พี่พีทบอกน้องหยกยิ้มๆ ทำเอาเจ้าตัวยืนหน้าแดงเป็นลูกตำลึงสุกอยู่อย่างนั้น จนผมต้องเป็นคนคว้าโทรศัพท์ที่พี่พีทยื่นมาให้เอง แล้วส่งให้คนรักรับไป
“นายอย่ามาแหย่แฟนฉันบ่อยๆ ได้ไหม เห็นแล้วหงุดหงิดโว้ย” ผมบอกพี่ชายเบาๆ หลังจากที่น้องหยกรับโทรศัพท์แล้วออกไปโทรหาคุณป้าที่ด้านนอก
“อะไรวะ พูดแค่นี้เองนะ จะมาหึงอะไรบ้าบอวะ” พี่พีททำเป็นบ่นผม แต่ใบหน้ายังเปื้อนยิ้มอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วพาลอยากยกเท้าไปผลักเบาๆ ให้หงายหลังสักที เหมือนพี่ชายผมจะรู้ตัวจึงทำหน้าทะเล้นใส่แล้วรีบเดินหนีหายไปจากตรงนั้นด้วยความรวดเร็ว
“พลัส...ขอคุยอะไรด้วยหน่อยสิ” ผมหันขวับไปมองคุณโตโต้ที่เข้ามาเรียกผมจากทางด้านหลัง
“ได้สิ มีอะไรเหรอ” ผมเดินตามโตโต้ไปด้านหลังที่ห่างจากคนอื่นพอสมควร เราสองคนคุยพลางช่วยเตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ไว้รับแขกที่มาในงานศพช่วงเย็นนี้ วันนี้ผมจะทำอาหารเลี้ยงแขกด้วยตัวเองอีกครั้ง คิดว่าจะทำกับข้าวสองสามอย่างให้แขกได้เลือกตักมาทานเอาเอง ซึ่งน้องพลอยกับไอ้ทองได้เตรียมอุปกรณ์และวัตถุดิบมาให้ผมเรียบร้อย
“ผมดีใจนะที่เห็นพีทมันเป็นแบบนี้ นายคงไม่รู้หรอกว่าเมื่อก่อนมันเป็นยังไง” โตโต้เปิดบทสนทนาให้ผมงงเล่น โดยที่มือยังช่วยผมเตรียมวัตถุดิบทำอาหารอยู่
“ทำไมต้องดีใจล่ะ แล้วเมื่อก่อนพี่พีทเป็นยังไงเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย พลางมองหน้าโตโต้ที่ยืนส่งยิ้มมาให้ผมอย่างนั้น
“ก็เป็นคนเงียบๆ คุยน้อย หรือแทบจะเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง จะมีแค่คนสนิทเท่านั้นที่รู้ว่าไอ้บ้าพีทมันเป็นคนชอบแกล้งคน มันจะเป็นตัวของตัวเองกับเพื่อนไมกี่คนเท่านั้น ยิ่งเวลามันอยู่บ้านจะขลุกอยู่แต่ในห้องตัวเอง ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร” โตโต้เล่าให้ผมฟังจนต้องทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
“นายคงไม่เชื่อใช่ไหม” โตโต้ยังกล้าถามผมอีก จึงได้แต่ส่ายหน้าออกไป ทำให้คนเล่าขำออกมากับท่าทีของผม
“เชื่อผมเถอะ ตลอดเวลาหลายปีที่ผมรู้จักพีทมา มันเป็นคนสองบุคลิกแบบนี้มาตลอด ส่วนใหญ่จะเป็นคนเก็บตัว เลือกที่จะเข้าสังคม ไม่ค่อยเปิดตัวเท่าไร นั่นเพราะนายไงล่ะ” โตโต้หยุดเล่ามามองหน้าผมนิ่ง ทำให้ผมต้องหยุดมือจากการเตรียมอาหารมาตั้งใจฟัง
“พีทมันกังวลเรื่องนายมาตลอดเวลาที่ผ่านมา ด้วยความที่ครอบครัวนายไม่เคยลืมนายเลย นั่นเป็นการกดดันพีทโดยไม่รู้ตัวจนตลอดชีวิตของมัน ทำให้เวลาพีทมันอยู่บ้านจะไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร ทุกเทศกาลหรืองานต่างๆ ที่ครอบครัวนายร่วมฉลองอะไรกันก็แล้วแต่ ญาติพี่น้องรวมถึงพ่อแม่นายจะยังคงพูดถึงว่าเวลานี้ เวลานั้นนายจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า นายจะเป็นอะไรแบบไหนในตอนนี้ นายจะมีชีวิตอยู่ยังไงที่ไหนกับใคร นี่จะเป็นประเด็นของการสนทนาที่ทำให้พีทมันเสียใจอยู่ตลอดทุกครั้งที่ได้ยิน” โตโต้เล่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
“นายเข้าใจไหมว่าพีทมันรู้สึกผิดกับนายมากแค่ไหน แถมการที่ทุกคนในครอบครัวยังไม่เคยลืมนายนั้น มันเป็นการตอกย้ำความผิดของไอ้พีทตลอดเวลา มันถึงได้ไม่อยากอยู่บ้านไง ครั้งล่าสุดที่ทางโรงแรมดันเซอไพรส์วันเกิดให้มันในงานฉลองครบรอบวันแต่งงานของพ่อแม่นาย บรรยากาศแทบจะเป็นงานศพไปเลย แม่นายเอาแต่ร้องไห้เมื่อเห็นเค้กวันเกิดไอ้พีท นายเข้าใจความรู้สึกของมันตอนนั้นไหมล่ะ” โตโต้หันมาถามผม
“พอจะเข้าใจ แต่...ผมดีใจนะ ที่พ่อแม่ยังคิดถึงผมอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าการคิดถึงผมมันจะสร้างความเจ็บปวดให้พีทก็ตาม” ผมไม่กล้าปฏิเสธความคิดของตัวเอง ใจลึกๆ ผมรู้สึกดีกับความคิดถึงที่พ่อแม่แท้ๆ ของผมมีให้มา ถึงแม้ในนาทีนั้นจะสร้างความเสียใจให้กับพี่ชายร่วมสายเลือดมากมาย
“ผมถึงได้บอกไงล่ะ ว่าผมดีใจที่เห็นพีทมันกลับมามีตัวตน มันเปิดเผยความเป็นตัวตนของมันมากขึ้น มันกล้าที่จะแสดงลักษณะนิสัยของมันออกมาโดยไม่ต้องมีเรื่องกังวลใจอะไรค้างคาอยู่ในใจของมันอีกต่อไปแล้ว ผมหวังว่าพวกนายจะไปกันได้ดีในอนาคต” โตโต้พูดจบก็เข้ามาตบบ่าผมเบาๆ
“ผมรู้จักเพื่อนคนนี้ดีที่สุด พีทมันเป็นคนดี เหมือนนาย เพียงแต่นิสัยจริงของมันจะเป็นคนขี้เล่นมาก ซึ่งน้อยคนนักถึงจะรู้ แต่ต่อไปนี้ คนทั้งโลกจะได้รู้เสียทีว่าไอ้พีท เพื่อนผมคนนี้มันเป็นคนแสบแค่ไหน นายเป็นแฝดน้องของมัน ก็ช่วยดูๆ ให้มันด้วยแล้วกัน อย่าให้มันทำอะไรสนุกจนเกินเลยด้วยล่ะ” โตโต้เตือนผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“โตโต้...ผมมีเรื่องจะปรึกษา” พอผมได้ยินลักษณะนิสัยจริงของพี่พีทก็เริ่มกังวลจนเก็บเอาไว้ไม่อยู่ จึงอยากขอความเห้นจากเพื่อนสนิทของพี่ชายมากที่สุดในตอนนี้
“เรื่องอะไรเหรอ คงต้องเกี่ยวกับไอ้พีทแน่ๆ ใช่ไหม” โตโต้ถามเหมือนรู้ทันความคิดของผม จนต้องพยักหน้าให้แรงๆ แล้วรีบมองซ้ายมองขวาให้ดีว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ จึงขยับตัวเข้าไปใกล้โตโต้เพื่อให้ได้ยินกันเพียงสองคนเท่านั้น
“พีทให้ผมปลอมตัวเข้าไปในบ้าน เพื่อรอเจอพ่อกับแม่โดยแกล้งทำตัวเป็นพีท เพื่อจะดูว่าพ่อแม่ของผมท่านจะรู้ตัวไหมว่าผมไม่ใช่พีท นายว่าผมควรทำยังไงดี” ผมไม่รู้จะเล่าจากจุดไหนจึงสรุปเรื่อง แล้วถามความคิดเห็นของโตโต้ออกไปเลย
“ผมว่าแล้วว่าเพื่อนรักผมมันต้องมีความคิดแบบนี้ แต่...อืม...ฟังดูก็น่าสนุกดีนะ แล้วนายตัดสินใจยังไงล่ะ” โตโต้มีทีท่าลังเล แต่เหมือนจะเห็นด้วยกับพี่ชายผม
“ผมกลัวพ่อแม่รู้ความจริงแล้วจะโกรธผมน่ะสิ เลยยังไม่ได้ตอบรับว่าจะร่วมมือกับพีท” ผมบอกโตโต้ด้วยสีหนาเป็นกังวล เจ้าตัวทำท่าใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก็ตบบ่าผมแรงๆ
“เรื่องโกรธนายน่ะ รับรองว่าอาเลอสรวงกับอาวิมลพรรณไม่มีทางโกรธนายแน่ ท่านเป็นคนใจดีที่สุดในโลกเท่าทีผมเคยเจอมาเลย ว่าแต่นายนั่นล่ะที่จะเอายังไงกับเรื่องนี้ จะเดินเข้าบ้านไปบอกบอกว่านายกลับมาแล้วหลังจากหายไปยี่สิบกว่าปีง่ายๆ หรือจะลองปลอมตัวเป็นพี่ชายเข้าไปใช้ชีวิตกับครอบครัวที่แท้จริงของตัวเองดูก่อนสักพักแล้วค่อยบอกความจริง” โตโต้ให้ทางเลือกผม
“บอกไม่ถูกนะ แต่ก็...อยากลองอย่างหลังเหมือนกัน อยากรู้ว่าที่ผ่านมาพ่อกับแม่เป็นยังไงบ้าง อยากรู้ความรู้สึกจริงๆ ของท่านเวลาคิดถึงผม เพราะตอนนี้ผมก็คิดถึงท่านมากจริงๆ ถึงแม้ผมจะจำความอะไรไม่ได้เลย” ผมยอมรับความคิดตัวเองกับโตโต้ออกไป
“เอาน่า...ยังไงนายก็เป็นลูกชายท่านคนหนึ่ง ไม่ผิดหรอกที่นายอยากรับรู้ความรู้สึกของท่านที่มีต่อนาย เวลาที่นายหายไปจากชีวิตของพวกท่านตั้งหลายปี แต่นายก็ต้องคิดทางหนีทีไล่ให้ดีด้วยล่ะ เวลาที่ท่านจับได้ขึ้นมาว่าลูกชายที่หายสาบสูญกลับมาอยู่บ้านท่านแล้ว นายจะตอบพวกท่านว่ายังไง” โตโต้ทั้งปลอบทั้งขู่ผมจนเริ่มสับสนขึ้นมา
“ไม่เห็นจะยาก ฉันก็จะเข้าไปช่วยนายเฉลยความจริงเองไงล่ะ นายแทบไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ฉันจะเป็นคนปิดเกมนี้เอง อย่าลำบากใจเลยน่า คิดมากเปล่าๆ ทำตามที่ฉันบอกนี่ล่ะ” ผมกับโตโต้สะดุ้งขึ้นมาเมื่ออยู่ๆ พี่พีทโผล่มาจากไหนไม่รู้ แถมยังแอบฟังพวกผมคุยกันอีก
“ไอ้เวร ตกใจหมด ไม่มีมารยาทเลยนะมึง มาแอบฟังคนอื่นคุยกัน” โตโต้รีบด่าเพื่อนเสียงดัง
“อ้าว...ถ้าไม่แอบฟังจะรู้เหรอวะว่ากูมีน้องชายตัวใหญ่ยังกะตึก แต่ใจเล็กยังกะมด ขี้กลัวขนาดนี้” พี่พีทหันมาแขวะผมเข้าให้ ได้ยินแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนโดนหยามกันเห็นๆ ใครว่าผมใจเล็กเหมือนมด ผมแค่กลัวความรู้สึกตัวเองเวลาอยูกับพ่อแม่ที่แท้จริงต่างหาก
“อย่ามาดูถูกฉันอย่างนี้สิวะ แค่คนมันยังไม่แน่ใจว่าจะทำยังไงพ่อกับแม่ถึงจะจับไม่ได้ต่างหาก นายรีบบอกข้อมูลตัวเองมาให้ฉันเลยดีกว่า จะได้มีเวลาเตรียมตัวก่อนจะเข้าไปแทนที่นาย ฉันจะทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจในตัวฉันจนลืมนายไปเลย” ผมรีบบอกพี่ชายทันที เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่จริง
“อะโธ่...คนที่เพิ่งมาอย่างนายเหรอจะมาแทนที่ฉัน ต่อให้พ่อกับแม่รู้ว่านายกลับมาแล้วยังไงก็ไม่มีทางลืมฉันหรอกโว้ย เดี๋ยวจะได้รู้ว่าใครเป็นลูกรัก ไอ้น้องชาย” พี่พีทคุยโวใส่ผมจนรู้สึกหมั่นไส้
“พอเหอะว่ะ ฟังแล้วปวดหัว จะทำอะไรก็ทำแล้วกัน กูไม่ยุ่งด้วยแล้ว” อยู่ๆ โตโต้ก็โพล่งขึ้นมา แล้วทำท่าจะเดินหนีพวกผมที่ยืนเถียงกันอยู่ตรงนี้
“เฮ้ย...มึงอ่ะตัวสำคัญเลย มึงเข้าไปอยูในบ้านกู คอยช่วยน้องกูเอาตัวรอดด้วยแล้วกัน กูว่ามันคนเดียวเอาไม่อยู่หรอกว่ะ ในฐานะที่มึงเป็นเพื่อนรักที่สนิทที่สุดของกู แถมเข้าออกในบ้นกูยังกะเป็นลูกพ่อแม่กูอีกคน มึงต้องเล่นเกมตัวจริงตัวปลอมกับพวกกูด้วย ห้ามปฏิเสธ” พี่พีทรีบดึงแขนโตโต้แล้วสั่งทันที
“ไอ้บ้า...พวกมึงจะเล่นอะไรกันก็เล่นไปสิวะ อย่าเอากูไปยุ่งด้วยได้ไหม กูไม่เกี่ยวเลย ปล่อยกูเดียวนี้ไอ้พีท” โตโต้มีท่าทางขัดขืน แต่ผมรู้สึกเห็นด้วยกับพี่พีท ถ้ามีโตโต้อยู่กับผมด้วยในบ้าน อะไรๆ คงง่ายขึ้น เพราะโตโต้คงรู้จักทุกคนในบ้านผมดีอยู่แล้ว
“นั่นดิ โตโต้นายต้องอยู่ช่วยผมก่อน ไหนๆ นายก็เป็นเพื่อนสนิทพี่พีท เวลามีปัญหาผมจะได้หาคนช่วยได้ทัน” ผมรีบรั้งแขนโตโต้อีกข้าง ทำเอาเจ้าตัวมีสีหน้าตกใจ หันมามองหน้าผมทีมองหน้าพี่พีทที
“เวรแล้ว...งานเข้าจนได้ล่ะกู เฮ้อออ” โตโต้ทำหน้าเซ็งแล้วบ่นออกมา พลางถอนหายใจเสียงดัง ยืนคอตกให้ผมกับพี่พีทหิ้วปีกเหมือนคนหมดแรง แต่ดูทีท่าจะไม่ดิ้นรนขัดขืนพวกผมแล้ว ผมจึงหันไปมองหน้าพี่พีท เราสองคนแทบจะยักคิ้วให้กันพร้อมๆ กันทั้งคู่