บาปรัก...บาปบริสุทธิ์ 07 “กรหยก”
อยากจะกอดจะกลืนทั้งกาย จนนาทีสุดท้าย (อย่าปล่อยให้ฉันหลงเลย) ใจมันยังทุรนทุราย อยากจะกอดจะจูบแทบตาย
ผมล้มตัวลงนอนข้างนายกฤษเหมือนเดิม แต่รู้สึกเขินกว่าเดิมมากมันอึดอัดอยู่ในใจ จึงพยายามเว้นระยะห่างข้างตัวพอสมควร อยู่ๆ ก็นายกฤาก็ใช้มือมาดึงหมอนที่ผมหนุนอยู่ให้ชิดกับหัวของเค้า แล้วทันใดนั้น...กฤษก็หอมแก้มผม ทำให้ต้องตกใจมากหัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะ ผมจึงหันกลับไปมองด้วยความตกตะลึงก็เห็นแววตาหยาดเยิ้ม นอนอมยิ้มมองผมก่อนแล้ว
ผมมองดวงตาคมๆ ของผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาที่นอนอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะตอนนี้นายกฤษมองตาผมแบบแทบจะกลืนกินแลดูหื่นกระหายยังไงไม่รู้ ทั้งที่เค้าเพิ่งจะเสร็จไป ทำให้ผมเริ่มมีสติหลุดลอยอีกครั้ง ก่อนเค้าจะค่อยๆ ไล่สายตาลงมาที่ริมฝีปากของผมแล้วก้มลงมาจูบ นายกฤษคงจะไม่รู้ว่าการกระทำแบบนี้ของเค้าทำให้หัวใจผมเต้นแรงเลือดสูบฉีด รุนแรงจนเกือบจะช็อกตายให้ได้ หลังจากถอนปากออกนายกฤษยังคงมองผมเหมือนจะมองให้ทะลุให้ถึงหัวใจ จนผมได้สติรู้สึกเขินจัดอีกครั้งต้องเบือนหน้าหนีสายตาของเขา
“ถ้า...เอ่อ...คุณยังไม่นอน งั้น...ผมขออีกรอบแล้วกันนะ” ผมรีบหันกลับมามองคนที่พูดด้วยความพิศวง แทบไม่อยากเชื่อว่าอะไรมันง่ายดายปานนี้ คนพูดยกตัวขึ้นมาทับบนตัวผม เราต่างประกบปากแลกลิ้นจูบกันอย่างดูดดื่ม แล้วคืนนั้นผมก็ตกเป็นของนายกฤษ หลังจากนั้นเราไม่ได้คุยกันอีกและผมก็หลับอยู่ในอ้อมกอดของคนตัวใหญ่จนกระทั่งเช้า
ผมได้ยินเสียงมอเตอไซด์ของนายกฤษดังแว่วเข้ามาใกล้จนดังชัดเจน ที่ผมจำได้เพราะมันเป็นมอเตอไซด์รุ่นโบราณเสียงมันดังมาก ตอนนี้รู้สึกปวดหัวตุบๆ อาการร้อนรุ่มเหมือนจะเป็นไข้ทำให้ยังไม่อยากลุกจากที่นอนเลย ทั้งที่รู้จากแสงสว่างภายนอกว่าตอนนี้สายมากแล้ว
ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้นแสงแดดยามบ่ายก็ส่องสว่างแยงสายตา ผมนอนนิ่งหลับตาปรับสภาพแสงเพียงสักครู่ประตูห้องนอนก็เปิดออกมา พยายามมองออกไปก็เห็นนายกฤษถือถ้วยกระเบื้องใบหนึ่งที่มีควันลอยเอื่อยขึ้นมาพร้อมน้ำเปล่าหนึ่งแก้วเดินมานั่งข้างผม
“ตื่นแล้วเหรอ...คุณกรหยกตัวร้อนมากเลยรู้ไหม เมื่อเช้าผมเลยไม่กล้าปลุกสงสัยคุณจะเหนื่อยและพักผ่อนน้อยตั้งแต่เมื่อวาน ลุกไหวไหม...ขึ้นมาทานข้าวต้มปลาทูก่อน ผมทำเองนะแล้วก็กินยาด้วย” นายกฤษวางถ้วยข้าวต้มหอมฉุย และแก้วน้ำไว้ข้างตัวผมที่นอนอยู่ แล้วพยายามประคองผมให้ขึ้นมานั่งพิงผนังห้อง
นายกฤษใชช้อนสั้นคนข้าวต้มในชาม และตักข้าวต้มน้ำใสแจ๋ว มีกระเทียมเจียวโรยต้นหอมหั่นเป็นแว่นเล็กๆ พร้อมเนื้อปลาทูที่แกะก้างมาเรียบร้อยแล้วยกขึ้นมาเป่าเบาๆ แล้วค่อยๆ ป้อนใส่ปากผม นายกฤษทำให้ผมรู้สึกว่าข้าวต้มชามนี้จากที่คิดว่ามันน่าอร่อยอยู่แล้ว กลับเพิ่มความอร่อยมากที่สุดในชีวิตที่ผมเคยกินข้ามต้มมา มันอบอุ่นจนรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งร่างกาย
พอผมทานข้าวต้มที่นายกฤษป้อนเข้าปากจนหมด เค้าก็เอายามาให้ผมทานพร้อมน้ำดื่ม แล้วเดินออกไปเอากะละมังใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูผืนน้อยกลับมาวางไว้ นายกฤษก็นั่งลงข้างๆ ผม เอามือลูบหัวผมเบาๆ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีพี่ชายใจดีคอยดูแลอยู่ข้างๆ กำลังจ้องมองใบหน้าคนข้างๆ ที่มองผมแล้วยิ้มน้อยๆ ก็ให้นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาซะได้
“ท่าทางจะยังมีไข้อยู่นะ ตัวไม่ร้อนแล้วแต่หน้ายังแดงอยู่เลย...เดี๋ยวผมเช็ดตัวให้แล้วคงดีขึ้นนะ” พูดจบนายกฤษก็หันมาหยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดๆ มาเช็ดจามใบหน้าของผมที่นอนนิ่งอยู่บนฟูกปล่อยให้คนตัวใหญ่ดูแลด้วยสัมผัสอันอ่อนโยน นายกฤษเช็ดเรื่อยมาจนถึงลำคอ แขน และนิ้วมือที่บรรจงเช็ดจนทั้วทีละนิ้ว ก่อนจะหันมาเลิกเสื้อผมขึ้น จนผมต้องจับข้อมือเค้าค้างไว้ กฤษทำหน้างงจ้องผม
“พ่อแม่นายหายไปไหนกันหมด” อะไรไม่รู้ทำให้ผมอยากหยุดสถานการณ์นี้แล้วถามเค้าออกไปแบบนั้น
“พ่อ...ผมทิ้งแม่แล้วไปแต่งงานใหม่แล้วมั้ง ส่วนแม่ผมก็เป็นบ้าตายไปตั้งแต่ผมยังเด็ก” กฤษตอบเสร็จก็ถอนหายใจเสียงดังมองหน้าผมด้วยแววตาที่ผมไม่รู้ความหมาย บรรยากาศเริ่มหดหู่จนเกือบจะเห็นหยาดน้ำตาคลอจากคนที่พูด
“พ่อแม่ผมตายไปพร้อมกันเมื่อสี่ปีที่แล้ว ตอนนี้ผมก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนนาย” นายกฤษไม่มีสีหน้าประหลาดใจปากยิ้มน้อยๆ แต่แววตาที่มองผมอยู่อย่างนั้นไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย
“ผมรู้แล้ว...เมื่อตอนเกือบเช้านายกอดผมแล้วละเมอร้องไห้ฟูมฟายหาพ่อกับแม่ ผมเลยลุกขึ้นมาดูเลยรู้ว่านายเป็นไข้” อ้าว...นี่ผมเป็นเด็กขี้แยเป้นเด็กขาดความอบอุ่นขนาดนี้เลยหรือเนี่ย น่าอายเหมือนกันนะ ที่มาร้องไห้ให้คนที่เพิ่งเจอกัน แถมยังมีอะไรกันครั้งแรกด้วย
“วันนี้คุณกรหยกพลาดอะไรหลายอย่างซะแล้วล่ะ อดไปใส่บาตรที่คลองหลังบ้าน อดไปดูผมเก็บน้ำตาลมาเคี่ยวทำน้ำตาลมะพร้าว อดไปเรียนทำขนมที่ตลาดน้ำ วันนี้คนเยอะซะด้วย” อยู่ๆ นายกฤษก็เปลี่ยนเรื่องเหมือนจะทำให้บรรยากาศดีขึ้น
“เลิกเรียกผมว่าคุณซะทีเถอะ แล้ววันนี้นายไม่ต้องไปช่วยคุณพลอยกับคุณทองที่โรงแรมเหรอ” ฟังนายกฤษเรียกผมแล้วรู้สึกห่างเหินยังไงไม่รู้ ตอนนี้ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ที่มานอนให้เค้าดูแลอยู่แบบนี้
“วันนี้ผมบอกน้องพลอยกับนายทองว่าคุ...เอ่อ...นายไม่สบาย แล้วผมก็ไปทำกับข้าวทิ้งไว้ พอสอนทำขนมเสร็จก็ขอลางานมาดูแลนายที่นี่ล่ะ” นี่นายกฤษเป็นคนสอนทำขนมด้วยเหรอเนี่ย ผมอดซาบซึ้งไม่ได้ นี่ผมจะเข้าข้างตัวเองได้ไหมว่าเค้ามีใจให้ หรือแค่ใจดีกับผมเหมือนที่ใจดีกับทุกคนเป็นปกติของเค้าหรือเปล่า
“เอ้อ...นี่...เมื่อวานนี้ทำไมนายต้องทำตาขวางแล้วออกอาการมึนตึงใส่ผมด้วยล่ะ” ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าพฤติกรรมคนตรงหน้าเมื่อวานกับวันนี้มันช่างดูเป็นคนละคนกันได้จริงๆ
“ฮ่าๆๆ ก็ใครใช้ให้นายมองผมหัวจรดเท้าแบบนั้นล่ะ เวลามีใครมาโวยวายใส่หน้านายแล้วมองนายแบบนั้น นายจะยังยิ้มใส่เค้าได้แล้วพูดจาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้อีกเหรอ” ได้ยินนายกฤษตอบแล้วต้องคิดว่านี่ผมทำทุเรศขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย
“เอ่อ...ขอโทษ...เมื่อวานแค่เหนื่อยแล้วหิว แถมกลัวไม่มีที่พักด้วยน่ะ” ผมตอบไปอย่างนั้น แต่ไม่อยากจะบอกเลยว่าจริงๆ แล้วเห็นสภาพนายแต่งตัวแล้วมันไม่เข้ากับหน้าตานายเลยเผลอมองทั้งตัวต่างหาก หน้าตารูปร่างก็ดีแต่แต่งตัวไม่ได้เรื่อง แถมดูสกปรก แล้วยังมีเหงื่อซกขนาดนั้น
“นายทำงานที่นั้นมานานรึยัง แล้วนายยังทำงานที่บ้านด้วยเหรอ ตกลงนายทำงานกี่อย่างกันแน่” ผมถามเป็นชุดเพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมคนตรงหน้าต้องทำงานหนักขนาดนี้ ใช้แรงงานซะตัวดำเมี่ยมแถมยังออกแรงจนมีกล้ามขึ้นทั้งตัวอีก
“ตอนนี้ผม...เอ่อ...เหลือแค่ตากับยายกันสามคน ท่านเลี้ยงผมมาตั้งแต่เล็ก แล้วตอนนี้ท่านก็ทำงานแทบไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังไม่ยอมหยุดพักซะที เฮ้อ...ผมเรียนจบมัธยมปลายก็เลยออกมาทำงานที่ตลาดเพิ่ม พ่อแม่น้องพลอยกับนายทองเค้าเห็นผมตามยายมาขายของมาตั้งแต่เด็ก ก็เลยฝากมาช่วยทำงานที่โรงแรม นั่นเพราะเห็นผมเป็นเพื่อนกับเจ้าทองด้วยละมั้ง พอสองคนนั้นเรียนจบมหาลัยก็มาดูแลเอง ตอนนี้พ่อแม่เค้าเลยไปดูแลกิจการอื่นในกรุงเทพปล่อยให้สองพี่น้องบริหารกันเองที่นี่” นายกฤษเล่าไปพร้อมมองหน้าผมตลอดเวลาเหมือนอยากระบายอะไรที่อัดอั้นมานาน
“แล้วนายไม่อยากเรียนมหาลัยกับเค้าบ้างเหรอ” ผมถามทั้งที่น่าจะเดาคำตอบได้อยู่แล้ว
“หึหึ...ตากับยายไม่มีปัญญาส่งผมเรียนหรอก ตอนแรกผมคิดว่าจะไปเรียนทางไปรษณีย์เหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เริ่มซะที ความฝันผมอยากทำงานเป็นพ่อครัว หรือเป็นเชฟในโรงแรม แต่ต้องไปเรียนกับสถาบันสอนทำอาหารก็เลยตัดใจ ราคาค่าเรียนมันแพงแต่บ้านผมมันจน แม้แต่ที่ดินที่อยู่ตอนนี้ก็ได้แต่เช่าคนอื่นอยู่ โชคดีที่เจ้าของที่เค้าใจดีให้เช่าราคาถูกแล้วก็ไม่เคยขึ้นราคาหรือมาดูเราเลย ตากับยายผมปลูกมะพร้าวทำน้ำตาลส่งขายในตลาดเลี้ยงผมมาจนโตขนาดนี้ ตอนเด็กๆ ผมก็ช่วยตากับยายทำงานตลอดไม่ค่อยได้ไปไหนหรอกนอกจากตามยายไปส่งน้ำตาลในตลาดผมเลยมีเพื่อนน้อย” กฤษเล่าชีวิตสมัยเด็กให้ผมฟังเรื่อยๆ เหมือนกับอยากระบายให้ผมฟังทุกเรื่องที่อยู่ในใจเขา
“แล้ว...เอ่อ...นายไม่มีแฟนกับเค้าบ้างเหรอ หน้าตาดีอย่างนายไม่น่าจะโสดเลยนะ” ผมลองหยั่งเชิงดูว่านายกฤษจะมีใครคบกันอยู่หรือเปล่า
“ฮ่าๆๆ ใครที่ไหนจะมาชอบคนจนอย่างผม เคยคบใครเค้าก็ทนความจนของผมไม่ไหวกันหรอก ตอนนี้ผมเลิกคิดไปแล้วเรื่องความรักอะไรน่ะไร้สาระ” นายกฤษหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา ทั้งทีผมกลับใจเต้นตุบตับ นายคนนี้ยังโสดแถมเป็นคนดีกตัญญูมีน้ำใจ หน้าตาก็ดีอีกต่างหาก บุพเพกำลังอาละวาดใส่ผมแน่นอน เรื่องจองห้องไว้ที่โรงแรมอะไรนั่นผมไม่สนใจแล้ว ขอผมอยู่ที่นี่ไปสักพักแล้วกันนะตอนนี้