Inert 6เลขหก
นาฬิกาบอกเวลาหกโมง เป็นหน้าปัดดิจิตอล
ได้ยินเสียงทุบประตูดังออกมาจากข้างนอก
“ไผ่! ทำไมแกไม่ออกมาจากห้อง! วันนี้แกมีสอบไม่ใช่หรอไง! ออกมาสิ!”
อา เสียงอะไรกันนะ ทำไมมันช่างน่ารำคาญเช่นนี้
กลับตัวเรือนนาฬิกาคว่ำลงที่เดิม หน้าปัดบอกเวลาเลขเก้า
เก้าโมง
การสอบวิชาแรกเริ่มไปแล้ว
หัวใจนิ่งเฉย มีแต่คำว่า “แล้วทำไม” เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา
“…ออกมาเดี๋ยวนี้นะไผ่ ไผ่ นี่แกทำอะไรอยู่ ได้ยินเสียงหรือเปล่า”
ประตูถูกทุบ ดังมาแบบนี้จะชั่วโมงแล้ว
หมุนตัวซุกลงผ้าห่ม หลับตา
รู้สึกถึงความเงียบที่ไร้จุดสิ้นสุด โดยมีตัวเองเป็นศูนย์กลาง…
…………………………
………………..
…..เพียะ!!!เจ็บ
เจ็บจนต้องลืมตา เห็นแม่ยืนตาแดงก่ำอยู่ตรงหน้า มองจากที่ๆสูงกว่า
“ทำไมแกไม่ตอบชั้น! ขังตัวเองในห้องทำไม!”
ถูกดึงข้อมือทั้งสองข้างขึ้น ไม่มีรอยแผลอะไร
“แม่…แม่นึกว่าแกจะทำอะไรบ้าๆไปซะแล้ว”
ไม่รู้จะพูดอะไร
ส่งได้แต่ความว่างเปล่าไปให้
“ไผ่ ไผ่ ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า”
มองไปที่ประตู เห็นพ่ออยู่ตรงนั้น นาฬิกายังบอกเวลาไม่ถึงสิบโมงดี แม่คงจะโทรเรียกให้พ่อกลับมาบ้าน พ่อดูโมโห แต่ก็ดูโล่งใจในเวลาเดียวกัน
“ทำไมไม่ไปสอบ”
“…ผมไม่รู้”
“บอกเหตุผลมาสักข้อ ถ้าฟังไม่ขึ้นก็ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ แล้วไปสอบวิชาที่เหลือ”
“…ผมไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไร”
“มีปัญหาอะไรที่โรงเรียนหรือเปล่า”
ส่ายหน้าก่อนที่จะได้คิด
ส่ายหน้ามาตลอดสำหรับคำถามนี้ตั้งแต่เด็ก
เพราะแค่นี้ ความห่วงใยทั้งหมดก็จะถูกตัดขาดออก
คนถามคงจะคิดในใจว่า ไม่เป็นไร ในเมื่อบอกเองว่าไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้นก็คงจะไม่มีอะไร
ไม่ได้อยากเรียกร้องความสนใจจากใคร อยากจะถูกปล่อยทิ้งไว้ เหมือนตุ๊กตาที่ถูกฝุ่นจับ
“เรียนไปก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดปัญหาวุ่นวายแบบนั้นทีหลัง”
พ่อยื่นมือจะมาจับ
เผลอถอยตัวออก
ไม่อยากให้ใครจับตัวทั้งนั้น อย่างตอนนี้ที่โดนจับข้อมือไว้ก็รู้สึกอึดอัด พ่อจึงเป็นฝ่ายถอยออกไปเอง
“เดี๋ยวพ่อไปส่ง”
นานแล้ว ที่ไม่ได้มากับพ่อแบบนี้
ทั้งรถเต็มไปด้วยความเงียบ จมอยู่แต่ความคิดของตัวเองที่แสนจะเวิ้งว้าง
เมื่อคืน
หลับตาลง รู้สึกเหมือนกำลังทิ้งตัวอยู่ในสูญญากาศ ไม่มีอะไรให้ยึดเหนี่ยว ล่องลอยออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จนรอบตัวไม่มีใคร
“กินยารึยัง”
“…กินแล้วครับ”
โกหกไม่อยากกินอีกแล้ว
ไม่รู้เป็นยาอะไร แต่กินมาตั้งแต่จำได้
ถ้าเป็นโรคอะไรก็ขอให้แสดงอาการเร็วๆ รู้สึกเหนื่อยหน่ายเต็มทน
รถจอดลงที่หน้าโรงเรียน เงียบเชียบ มีเพียงยามที่เดินออกมาดูเท่านั้น อาจารย์ที่ปรึกษาถูกโทรตามออกมา โดนซักถาม “ทำไมพึ่งมาเอาป่านนี้หล่ะทิวไผ่?” ก็ตอบกลับไปตามคำที่แม่บอกว่า “ผมไม่สบายครับ”
เพราะเป็นเด็กดี เด็กเรียนเก่งมาตลอด ไม่ว่าพูดอะไร ก็คงจะเชื่อ
ต่อให้มีรอยแดงเป็นรูปฝ่ามืออยู่บนหน้า ก็คงจะไม่มีใครฉุกใจคิด
ไม่มีใคร….……………………………..
………………….
“จอห์นนิ..”
“มาทำอะไร ไม่ใช่ว่าสอบตึกสิบหรอกหรอ?”
ได้ยินเสียงซุบซิบของคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า
กำลังนั่งรอเวลาสอบวิชาต่อไป ที่กำลังจะเริ่ม อีกแค่สิบนาที
ไม่ได้หันไปมองข้างหลัง เพราะรู้ว่าจะได้เห็นอะไร
ต้องการอะไรอีกนะ..
จ้องมองชีทสีน้ำตาลที่อยู่ในมือ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ เหมือนไม่ใช่ภาษาที่อ่านออก
“ไผ่…ผมมีเรื่องจะคุยด้วย”
เหตุการณ์เมื่อวาน มีอะไรหลายๆอย่างเยอะแยะไปหมด จนคิดว่าเมื่อวานคงจะมีเวลามากกว่า 24 ชั่วโมง
แต่วันนี้กลับรู้สึกยาวนานยิ่งกว่า
เข็มนาฬิกา เหมือนเคลื่อนที่ด้วยความหน่วง
“ไผ่..”
“ไผ่ จอห์นเรียกหน่ะ”
ผู้หญิงในห้องสะกิดเรียก ไม่รู้ว่าชื่ออะไร แต่จำได้ว่าเคยเป็นข่าวกับจอห์นอยู่พักหนึ่ง แสดงออกถึงท่าทางยินดีอย่างมีจริตจก้าน
แว่นเมื่อวานก็ยังไม่ได้คืน
วันนี้ต้องเอาแว่นเก่าตอนประถมมาใช้ ซึ่งไม่พอดีกับสายตา อย่างน้อยก็อยากได้แว่นนั้นมาใช้ แทนแว่นที่ถูกเหวี่ยงแตกไปแล้ว
“ไผ่ เราไปคุยตรงนั้นกันได้ไหม?”
“มีอะไร”
“อยากคุยกันสองคนหน่ะ”
ได้ยินเสียงซุบซิบ
เอาอีกแล้ว ตกกลายเป็นเป้าสายตาอีกแล้ว
ทุกครั้งที่อยู่ใกล้จอห์นในที่ๆมีคนอื่นอยู่ มักจะเป็นแบบนี้เสมอ
อาจเป็นหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รู้สึกอึดอัด
รู้สึกงั้นหรือ…พอคิดได้ ทุกอย่างก็กลับคืนสู่จุดกำเนิด ภายในกลับมาเรียบเฉยอีกครั้ง
ถูกจับไว้ที่ข้อมือ
ร้อนเหมือนไฟสุม
สะบัดออก แต่สะบัดไม่หลุด กลับกัน ถูกบีบแน่นจนเจ็บ
“ไปคุยตรงนั้นกันนะ”
ทั้งๆที่ใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับดูเหมือนตั้งใจจะทำให้กระดูกข้อมือแตก
ต้องลุกขึ้นตามไปอย่างไร้ทางเลือก ทิ้งเสียงพูดคุยที่เหมือนตั้งใจหลบซ่อนเพียงฉาบฉวยไว้เบื้องหลัง
ยืนคุยที่บันได เป็นมุมอับสายตา
จอห์นล้วงกระเป๋า มองตาม แว่นตาที่ถูกเอาไปเมื่อวานยื่นมา
“มีแว่นกี่อันกันแน่”
ไม่จำเป็นต้องตอบ
คว้ามือออกไปหยิบ แต่กลับถูกจับไว้เสียก่อน
“ทำไมไม่ยอมตอบ”
แล้วมีความจำเป็นอะไรที่ต้องตอบ
เสียงพูดดังข้างในความคิด แต่ติดที่ไม่ได้พูดออกไป
น่าขำ
ถ้าไม่พูดออกไป จะไปได้ยินได้ยังไงกัน
แต่ต่อให้พูดออกไป ก็เป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน ไม่ต่างกันนัก
“..หลายอัน”
จอห์นขมวดคิ้ว เหมือนยังไม่พอใจในคำตอบแต่ก็ยอมปล่อยแขนที่จับอยู่ เก็บแว่นที่ใส่อยู่ลงกระเป๋ากางเกง หยิบแว่นสำรองที่ตอนนี้กลายเป็นแว่นหลักขึ้นมาใส่ รู้สึกสบายตาขึ้น พอๆกับทีเห็นหน้าจอห์นชัดขึ้น
ไม่ดีเลย
เสียงออดดังขึ้นมา คั่นความเงียบที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา จะเดินหนีก็ถูกคว้าแขนไว้
“สอบเสร็จอย่าไปไหนหล่ะ”
ปรายตามองแค่ข้อมือที่ถูกคว้าไว้ เริ่มขึ้นรอยแดงอีกแล้ว
“…อย่าคิดต่อต้านหล่ะ….ไม่งั้นที่หน้าอาจมีรอยมืออีกรอยก็ได้….”
……………………………..
…………………….
ปวดหัว
รู้สึกปวดจริงๆ ไม่ใช่ละครที่แสดงขึ้น
ตอนนี้รู้สึกแสบตากับแสงสว่างจ้า ถูกถอดแว่นออกอีกแล้ว ตอนเช้าเจอแว่นที่ไม่เหมาะกับสายตา เลยไม่แปลกที่จะรู้สึกแบบนี้
หลับตาลง
คงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ถูกดันนิ้วเข้ามาในปาก ยาเม็ดกลมถูกดันเข้ามาด้วย พยายามจะใช้ลิ้นผลักออก แต่ก็ทานแรงไม่ไหว
ติดคอ
ไอจนตัวโยน จูบที่ตามมา มีน้ำอยู่ ทำให้กลืนยาเม็ดนั้นลงคอไปได้
“จะได้ไม่ต้องมานอนตายซากเหมือนคราวที่แล้ว”
ไม่อยากลืมตาขึ้น
ไม่อยากรับรู้ว่าอีกฝ่ายจะแสดงสีหน้าแบบไหนอยู่
ที่เข้ามายุ่งวุ่นวายด้วย ก็คงจะอยากได้แค่คู่ขาสักคนที่ครอบงำง่ายๆสินะ ถึงได้เลือกคนที่เหมือนกับวัตถุได้ขนาดนี้
สัมผัสไปตามตัว
ยิ่งหลับตา ยิ่งชัดเจน
เหมือนสูญญากาศที่ลอยขว้างอยู่ปั่นป่วน ฤทธิ์ยาคงจะเริ่มทำงาน ถึงได้รู้สึกแปลกไปทั้งตัว
“…รู้สึกแล้วสินะ”
ไม่อยากตอบ
แต่เสียงหลุดออกมาจากคอ…”อ้ะ…”
โลกถูกจับหมุนไปตามองศาที่กำหนดไม่ได้ เหมือนเข็มทิศที่ถูกรบกวน ในควาเวิ้งว้างนั้น มีบางอย่างกำลังหมุนวน
เหงื่อซึมออกตามไรผม หยดลงบนฝ่ามือที่ยันรับน้ำหนักตัวเองไว้
เหนื่อย
รู้สึกเหนื่อยกับการวิ่งไล่จับลมหายใจของตัวเอง ที่เหมือนจะดูห่างไกลออกไปทุกที
ได้ยินเสียง
เสียงที่ทุ้มต่ำ แต่กังวาลอยู่ในคอ
เมื่อร่างกายแนบติดกัน
ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่า ที่กำลังถ่ายเทเข้าหากัน
ความว่างเปล่า ที่หนาวเกินกว่าจะทน…ชั่วเวลาสั้นๆที่ลืมตาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ
ไม่ได้จับจ้องไปที่ใด
รู้สึกเหมือนร่างกายถูกปิดเครื่องลง….
……………
………
เพียะ!!!ถูกฟาดที่บั้นท้ายแรงจนสะดุ้ง เสียงดังก้องห้องของจอห์น ความเจ็บที่เหมือนกับเข็มเป็นพันเล่มค่อยๆไล่มาตั้งแต่เอว ขึ้นมาจนถึงไหล่ ลงไปจนถึงปลายเท้า รู้สึกตัวกลับมาอีกครั้ง เห็นปลายนิ้วของตัวเองที่กำลังขยุ้มผ้าปูเตียงจนยับย่นไปหมด เป็นภาพที่เมื่อครู่ มองไม่เห็น…
ขมวดคิ้วเข้าหากัน หลับตากลับไปใหม่
กลับสู่โลกของตัวเอง ที่ๆทุกอย่างสามารถควบคุมได้
….ควบคุมได้งั้นหรือ?
ณ ตอนนี้ สิ่งไหนที่เรียกว่าควบคุมได้
“ลืมตา…ลืมตาขึ้นมา”
ถูกจับพลิกตัวทั้งๆที่ยังเชื่อมกันแบบนี้ รู้สึกถึงความเย็นที่วิ่งไล่ขึ้นมาตามแนวสันหลัง เสียงของตัวเองที่เก็บไว้ไม่ได้ ลอยล่องออกมา เหมือนฟองสบู่ที่หลุดออกจากผิวน้ำ “อือ…”
“บอกว่าให้ลืมตาขึ้นมาไง!!”
เปิดตาขึ้นมาช้าๆ
มองไม่ชัด ทุกอย่างเป็นเพียงแค่ภาพเลือนลาง
รู้เพียงร่างกายที่สั่นกระตุกของตัวเองเท่านั้น
ถูกไล่ต้อนตามมาด้วยแรงทั้งหมด เป็นเหมือนการวิ่งไล่จับในความคิดที่ไร้จุดจบ แต่ก็มีบทสรุปของเรื่องนี้
ฟองสบู่ลอยออกจากผิวน้ำมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดๆหนึ่ง ก็แตกออกหายวับไป
ที่ผิวฟองใสนั้น สะท้อนภาพต่างๆ ฉาบลงบนผิวที่เมื่อต้องกับแสงแดดแล้วจะเห็นเป็นสายรุ้งจางๆ
เด็ก..
เห็นเด็กคนนึงบนผิวฟองนั้น พยายามจะเพ่งตามองให้ดี แต่ก็ไม่ชัดเจน เอื้อมมือจะไขว่ขว้า ก็ถูกจอห์นคว้ามือไว้
หันกลับไปมองที่ฟองสบู่นั้นอีกครั้ง
ผิวอ่อนๆต้องลม แตกออกในที่สุด….
รู้สึกเปียกที่หน้าท้อง…ก้มลงมอง เห็นไม่ชัดแต่รู้ว่าคืออะไร
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหอบหายใจ
การวิ่งไล่จับนี้ จบลงโดยที่มีแต่ผู้แพ้ ไร้ซึ่งผู้ชนะใดๆทั้งสิ้น
……………………………………………
……………………………..
“ครับ ไผ่อยู่กับผมครับ คืนนี้กะว่าจะติวกัน ผมอาจจะไปส่งดึกหน่อยนะครับ”
ได้ยินเสียงพูดคุย
ในห้องที่มีเพียงไฟจากห้องน้ำลอดออกมา เห็นเงาคนนั่งอยู่บนเตียง พื้นที่ข้างๆ
“…หรอครับ? ให้ไผ่ค้างได้หรอครับ”
ไม่
ไม่ได้
จะกลับ กลับไป
พอลุกขึ้นจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็รีบเอามือปิดปากไว้ มีเพียงเสียงอู้อี้ออกไป ปิดแน่นจนหายใจลำบาก
เห็นรอยยิ้มจอห์นลางๆ เป็นรอยยิ้มที่ไม่เคยสบายใจเวลาเห็น มือถือที่หมดประโยชน์ถูกทิ้งลงกับพื้นข้างเตียง ได้ยินเสียงตกลงพื้น ไม่รู้จะพังหรือเปล่า
“…พ่อนายนี่ใจดีจังนะ ไม่เห็นเหมือนแม่นายเลย”
ถูกปล่อยมือที่ปิดปากอยู่ออก อ้าปากหายใจ
“คืนนี้ก็มีเวลาสนุกกันทั้งคืนแล้ว…”
“…..ไม่”
“…ทั้งๆที่เป็นแบบนี้แล้ว….” นิ้วปาดไปตามหน้าท้อง ไฟสะท้อนเล่นกับของเหลวบนนั้น “ยังจะบอกว่าไม่ ไม่คิดว่าสายไปแล้วหรอ?”
“…ทำแบบนี้เพื่ออะไรกัน…. ไม่เหนื่อยหรือไง”
“ไผ่เหนื่อยแล้วหรอ?” ทำหน้าเหมือนไม่รู้มาก่อน ดูก็รู้ว่าเสแสร้ง “คงจะใช้เวลาหมดไปกับการอ่านหนังสือเสียจนไม่ค่อยได้ขยับตัวเลยสินะ ผอมไปทั้งตัว…ขาวเหมือนไม่เคยโดนแดดมาก่อนด้วยซ้ำ…”
ไม่มีใครพูดอะไรต่อ นอกจากมือที่ยังลูบไปตามตัว
สัมผัสที่น่ารังเกียจ
หมดสิ้นฤทธิ์ยา ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติ สภาวะที่ร่างกายไม่ปั่นป่วน
“เหนื่อย….”
“…..”
“เราเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแล้ว”
“ตอนแรกที่เห็นไม่มาสอบตอนเช้า…นึกว่าตายไปแล้วเสียอีก”
“….ผิดหวังหรือไง”
“ความจริงก็…นิดหน่อยอ่ะนะ”
คงจะมีอีกหลายๆคนที่คิดแบบนี้
แม่
ที่ร้องไห้ เพราะได้เห็นภาพไม่เป็นอย่างที่หวังหรือเปล่า
“ถ้างั้นทำไมไม่ฆ่ามันซะตอนนี้เลยละ”
“…มีของเล่นฆ่าเวลาแบบนี้ ไม่ได้โง่ถึงขั้นที่จะโยนทิ้งไปง่ายๆหรอก…ดูเปราะบาง เหมือนตุ๊กตาแก้ว แต่พอมองดีๆกลับเห็นรอยร้าวแตกเต็มไปหมด เป็นอีกด้านที่ไม่เคยมีใครเห็นเลยสินะ คนทั่วไปคงได้เห็นแต่ความเฉยชา นิ่งเชย สุขุม หรืออะไรก็ตามที่สร้างขึ้นมา”
“…เหมือนๆกับนายนั่นแหละ”
จอมปลอม
หลอกลวง
ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาบรรยายได้
รอยยิ้มจริงใจแบบนั้น สร้างขึ้นมาได้ยังไง
“เรามันก็ไม่ต่างกันหรอก…”
ว่างเปล่ามีแต่ภาพที่สร้างขึ้นมา เพื่อใช้ชีวิตในสังคม จนถึงจุดๆหนึ่ง ที่ไม่อาจจะแบกรับหน้ากากเหล่านั้นไหวอีกต่อไป
คนที่ทนไม่ได้ ก็คงจะต้องแตกร้าวก่อน…
“…ต่างสิ….”
ไม่มีเหตุผลต่อจากคำพูดนั้นๆ
ทั้งๆที่เป็นคนพูดอะไรแล้วต้องต่อด้วยเหตุผลแท้ๆ
เหมือนแค่เป็นคำแก้ตัว
นัยน์ตาที่เคยแวววาวจากไฟน้อยนิดนั้น ดูจะดูดกลืนแสงไว้จนหมด..
เหลือเพียงแต่ความดำมืดเท่านั้น ที่ดูลึกลงไปอย่างที่สิ้นสุด………………………..
………………..
[Inert 6: complete]
[1.1.55]
เขียนเรื่องนี้แล้วเหมือนคนเขียนจะโดนคนอ่านกระทืบในใจอย่างไร้สาเหตุ (
)
เอาน่าๆ ดิส อิท อะ ฟิคชั่น น้อท เรียล ยูโน้ว? (
)
ฮปนย.คัฟ