ราตรีประดับดาว
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ราตรีประดับดาว  (อ่าน 103289 ครั้ง)

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
สองคนในร่างเดียว   :m13:
วากับสนนี่ยอมรับความรู้สึกตัวเองง่ายดีจัง  :m3:

NC  รออยู่ ตอนนี้น่ารักดี หวานมั่กๆ  :o8:  :o8:



ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :m13:  :o8:   :give2:  :m3:   :m25:


ราตรีประดับดาว21 [มันมาแล้ว... No Children miss]
โดย:ทิวารา

พระจันทร์สวย...
แสงสีนุ่มนวลชวนมอง...จับต้องลูบไล้ผิวเนื้อนวลสร่าง
แม้เพียงได้มองก็ต้องใจหมายติดตาม...อยากเอ่ยถามถึงความรักมิหักใจ

คนตัวสูงนั่งยิ้มบาง ๆ ให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก่อนที่จะค่อย ๆ กระซิบถามเบา ๆ

“ วา...เป็นไงบ้าง หายตื่นเต้นรึยัง ? ”

คนตัวเล็กไม่ตอบ...หากแต่ยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะที่อกกว้างของคนถาม ก่อนที่สัมผัสที่สะท้อนจากอกนั้นจะทำให้เจ้าของวงหน้ามน ๆ เกิดร้อนผ่าวขึ้นมาถึงใบหู

“ มาถามวา...แต่หัวใจสนกลับเต้นซะเร็ว...เร็วมากขนาดนี้เนี่ยน่ะนะ ”

คนตัวโตหัวเราะ...พลางค่อย ๆ กระซิบสารภาพ

“ วา...สนเป็นคนเริ่มนะ แล้ว...อย่างที่สนบอกวาแหละ ว่าสนเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ดังนั้นพอคิดว่าต้องทำ...แล้วก็ไม่อยากให้วาเจ็บเท่านั้นแหละมันก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกันนะ... ”

พอสารภาพไปอย่างนั้น...คนพูดก็นึกด่าตัวเอง ที่เมื่อเวลาที่เพื่อน ๆ ชวนกันไปดูอะไรดี ๆ หลังเลิกเรียนที่บ้านเพื่อนนั้น เขากลับไม่เคยสนใจใยดีแล้วก็เอาแต่คิดแต่จะไปร่อนหาอะไรกินมากกว่า ดังนั้นก็คงมีไม่กี่ครั้งที่จะไปทำอะไรมก ๆ พิเรนทร ๆ ตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนฝูงเหมือนคนอื่นเขา

อีกอย่าง...กับผู้หญิงที่ถือว่าพอจะไปส่องวิดิโอกับเพื่อน ๆ พอได้ความรู้มามั่ง...เขาก็ยังไม่เคยเลย

แล้วนี่...วาเป็นผู้ชายนะ ถึงจะพอรู้นิดหน่อยว่ามันต้องทำยังไงแต่พอคิดสภาพว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเกิดร้องไห้ขึ้นมานั่นมันก็ทำเอาตัวเขาใจฝ่อขึ้นมาเหมือนกัน

ระหว่างที่คิดก่นด่าตัวเองอยู่เพลิน ๆ ...ทิวาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไล้นิ้วกับแก้มของคนตัวโต ก่อนที่จะเอ่ยเสียงอ่อน ๆ

“ เปียกไปหมดแล้ว...เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกสน ”

เท่านั้นเอง...สนธยาถึงพึ่งสังเกตว่ากางเกงที่สวมนั้นเปียกซ่ก...แล้วไหนยังจะกอดจนทิวาเปียกไปด้วยอีกคน ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อของคนตัวเล็กช้า ๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองดวงตากลมโตซึ่งกำลังเม้มปากน้อย ๆ พลางทำตัวเกร็งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

“ ที่นี่มีแค่เรานะ...อย่ากังวลไปเลยคนดี สนไม่คิดมากหรอกนะวา เพราะว่า...วาน่ารักเสมอแหละนะ ก็วา...คนดีของสนนี่นา ”

ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงใช้คำพูดคำจาเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อยากใส่ใจอีกต่อไปแล้ว...เพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้ ทำแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะเขาเองก็อยากทำตัวอ่อนหวานให้วาเห็นเหมือนกัน

ดังนั้นสนธยาจึงตัดสินใจได้ว่า...จะไม่ต่อต้านความเป็นตัวเองที่อาจจะไปคลับคล้ายใครคนอื่นของทิวาอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนตัวเล็กคนนี้ก็ได้พูดออกมาแล้วว่าตัวเขาก็คือตัวเขาเองในสายตาของคนตัวเล็กน่ารักคนนี้ โดยที่เขาไม่เคยถูกทิวานำร่องรอยไปทาบทับหรือเปรียบเทียบเป็นตัวแทนของใครที่ไหน

สนธยาค่อย ๆ แตะริมฝีปากลงที่ปลายจมูกเล็ก ๆ แผ่วเบา ก่อนที่จะใช้ปลายจมูกดุนที่ข้างแก้ม...พาให้คนตัวเล็กต้องแหงนหน้า เงยขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สนธยาจะก้มละแนบริมฝีปากลงไปที่กลีบปากนุ่มนั้นเบา ๆ

แตะน้อย ๆ ราวหมู่ผีเสื้อทอดกายลงบนกลีบใบของหมู่มวลดอกไม้ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำหวาน ก่อนที่จะถอยห่างเล็กน้อย แล้วค่อยกดริมฝีปากลงอีกครั้งให้ชัดเจนถึงความรู้สึกอ่อนหวานดื่มด่ำที่ลึกล้ำในวิญญาณ

นิ้วมือ...ลูบไล้ใบหน้านวล ๆ นั้นอย่างเบามือ และโอบประคองไว้ด้วยรอยสัมผัสอบอุ่นเต็มที่

“ หวานเอยหวานใด...จะเทียบได้เท่า...ความหวานของเจ้าบัวน้อย ”

หลุดปากไปตอนใดก็ไม่รู้...แต่สนธยารู้เพียงว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิดจริง ๆ โดยไม่ใช่คำพูดของใครอื่นเลย เพราะทิวานั้นอ่อนหวาน...นุ่มนวลแลอบอุ่นราวแสงตะวันอ่อน ๆ ยามไล้อนูไปทั่วร่างของผู้คนที่ยังหลับใหลในขณะที่อาทิตยาพึ่งมาเยือนในยามรุ่ง และทั้งยังให้ความรู้สึกหอมหวานนวลเนื้อนุ่มราวกลิ่นไม้...ดอกไม้ที่หอมนุ่มนวลอ่อนหวานและไม่ฉูดฉาดรุนแรง

// เหมือนบัว...เหมือนดอกบัว //

“ สน... ”

ทิวาเอ่ยเรียกคนที่โอบประคองตนเองเอาไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่เจ้าของชื่อจะยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน พร้อม ๆ กับอาการลดใบหน้าลงซบที่ไหล่เล็ก ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระซิบอู้อี้อยู่ทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นยังซบนิ่งกับไหล่บอบบางของทิวา

“ สนธยาแปลว่า...ยามค่ำ แต่ทิวา...แปลว่ายามรุ่ง ยามอาทิตย์ฉาย ”

สนธยายิ้มบาง...พลางค่อย ๆ กระซิบแผ่วเบา

“ ยามค่ำนั้นแลสิ่งใดไม่ใคร่เจนชัดทั้งยังเย็นเรื่อย...แต่เบื่อแล้ว เย็นมากเข้าก็หนาวจับใจ มีทิวา...มีตะวันฉายเป็นของตัวเองอย่างนี้ค่อยอุ่น อบอุ่นแลอ่อนหวาน... ”

นิ้วมือของคนตัวสูงค่อย ๆ เลื่อนและไล้แผ่วเบาที่แผ่นหลังเล็ก ลูบไล้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานที่สัมผัสบางเบาพร้อมไออุ่นจากปลายนิ้ว ก่อนที่จมูกโด่งจะกดลงกับลำคอขาว ดุน...ดันน้อย ๆ จนทิวาเผลอร้องออกมาเบา ๆ

ทั้งเขิน...ทั้งอาย ไม่รู้สนคนเดิมหายไปไหน

ทิวาคิดเช่นนั้นก่อนที่ในหัวสมองจะขาวโล่งราวห้องว่างไร้รอยระลึกอันใด เพราะสัมผัสอ่อนหวานนั้นไซร้...พอให้หัวใจลอยไปตามความหอมหวาน ลอยไป...ตามสัมผัสเบาบางเนิบช้าราวปีกผึ้งไล้กลีบและใบยามหาน้ำหวาน

เสื้อนอนตัวบางถูกคนตัวสูงถอดจนพ้นไป ในขณะที่กางเกงนอนนั้นถูกเลื่อนลงหมิ่นเหม่เต็มที ...สนธยาค่อย ๆ กดริมฝีปากลงที่กลางอกของคนตัวเล็กเบา ๆ ยังจุดที่รู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนไหวรุนแรงของหัวใจเล็ก ๆ ที่โลดแรง ก่อนที่จะจุมพิตตรงนั้นย้ำลงไปอย่างอ่อนหวาน

“ สน...สนแกล้งวา ”

เจ้าตัวเล็กร้องเสียงแผ่วเมื่อการกระทำเมื่อครู่นั้นพาให้ทิวารู้สึกเขินจนใบหน้าร้อนผ่าว...ร้อนผ่าวจนไม่รู้จะทำอย่างไรได้นอกจากเอ่ยบ่นว่าคนตัวสูงแกล้ง...รังแกให้ต้องอายจนถึงขนาดนี้

น่ารัก...คิดได้เพียงนั้นสนธยาก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนที่จะเงยขึ้นไปแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของคนตัวเล็กช่างว่า ก่อนจะแกล้ง...งับกลีบปากเล็กนั้นเบา ๆ

รู้ว่ายิ่งทำ...คนตัวเล็กในอ้อมแขนก็ยิ่งเขิน แต่...ก็อยากทำ อยากให้เขิน...อยากเห็น!!

“ สน...บ้า! ”

คนตัวเล็กชักรู้ว่า ‘ถูกแกล้ง’ เจ้าตัวจึงได้ว่าคนตัวสูงเข้าให้ แต่ยิ่งดูเหมือนสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายยิ่งอมยิ้ม...ชอบใจ

“ ก็...เป็นไอ้บ้าสนปากเสียของวามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา หึ หึ หึ ”

สนธยากระซิบพลางใช้ปลายนิ้วรั้งขอบกางเกงนอนของคนตัวเล็กแล้วรูดลงไปตามท่อนขาเล็ก ๆ โดยที่ทิวาไม่ทันตั้งตัว โดยที่รอยยิ้มบนใบหน้าคมนั้นพรายด้วยรอยหยอกเย้าไม่ปิดบัง

“ สน...บ้า อึ่ก!! สนแกล้ง...ไม่เอาแล้ว...สนแกล้ง ฮึก!! ”

พอรู้ว่าถูกแกล้ง...หนัก ๆ เข้าคนตัวเล็กก็ก็อายจนอยากร้องไห้ พาให้ดวงตากลม ๆ นั้นค่อย ๆ รื้นด้วยหยดน้ำใส ๆ จนคนช่างแหย่ชักเห็นท่าไม่ดี...ใจไม่ดี

ชอบแกล้ง...อยากเห็นเวลาอีกฝ่ายเขินจนใบหน้าระเรื่อ แต่ก็ดันมาแพ้...น้ำตาของเจ้าตัวเล็กนี่แหละหวา ดังนั้นพอทิวาจะร้องไห้...คนแหย่อย่างสนธยาก็เลยต้องมาแย่เสียเอง...เพราะต้องปลอบไม่ให้อีกฝ่ายร้องไห้

เพราะน้ำตาของทิวาเหมือนยาขม...จนสนธยาทนเห็นไม่ได้เลย ตั้งแต่ครั้งแรกในห้องเรียนหรือครั้งต่อ ๆ จากนั้นมาจนวันนี้ ไม่ว่าครั้งไหน ๆ ก็ตามที่เห็นน้ำตาของทิวา...เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด ไม่รู้ว่าเจ็บแค่หัวใจหรือว่าเจ็บไปหมดทั้งร่าง...เขาไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่าเจ็บแสนเจ็บ

แล้วก็รู้แต่ว่า...ทนไม่ได้!!

“ โอ๋ ๆ...คนดี ไม่ร้องนะวานะ สนขอโทษ สนไม่แกล้งแล้วนะครับ...อย่าร้องเลย...นะ...นะ ”

คนตัวโตพยายามปลอบ...พยายามพูดช้า ๆ แต่น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นพาลสั่นน้อย ๆ จนแม้แต่ทิวาเองยังจับความรู้สึกได้ว่าคนตัวสูงรู้สึกแย่ รู้สึกแพ้น้ำตาของทิวาเข้าจริง ๆ

สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบพลางแตะปลายจมูกลงบนแก้มนิ้ม ทั้งง้อ...ทั้งขอโทษ จนคนตัวเล็กใจอ่อนก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

ทิวารู้แล้ว...รู้สึกได้แล้วด้วยทุกอย่างที่ได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู และสัมผัสได้ด้วยหัวใจ...ว่าคนที่โอบกอดตนเองไว้นั้นให้ความสำคัญกับตัวเขา ให้ความสำคัญจนถึงขนาดที่ไม่สามารถทนเห็นน้ำตาของตนเองได้เลย

ไม่ใช่มารยา...ไม่ใช่การปั้นแต่ง แต่เป็นความเป็นจริง...สำหรับน้ำเสียงงอนง้อที่สั่นไหว และใบหน้าที่หมองลงทันทีเมื่อทิวาเริ่มมีรอยชื้น ๆ รื้นที่ดวงตากลม ๆ นั้น...

“ วาไม่ร้องแล้ว...ไม่เป็นไรนะสน อย่า...ทำหน้าอย่างนั้นสิ ”

คนตัวเล็กเอ่ยเบา ๆ พลางยิ้มให้เขา...อ่อนหวาน อ่อนหวานน่ารักเสียจนสนธยาชักจะเริ่มรู้สึกทนไม่ได้

เขาค่อย ๆ ถอดกางเกงยีนส์ที่เปียกชื้น...ทั้ง ๆ ที่มันถอดยากเหลือเกิน แต่คนตัวสูงก็ถอดมันออกอย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ดันมันไปจนพ้นตัว ร่างกายเปลือยเปล่าในแสงเงาอ่อนหวานจากแสงจันทร์นั้นเน้นเค้าโครงและกล้ามเนื้อบนร่างที่สูงหนานั้นจนเห็นชัด จนตากลม ๆ ที่ปรือมองต้องค่อย ๆ เส...มองไปอีกทาง

“ เอ่อ... ”

คนตัวสูงมองใบหน้ามน ๆ ซุกหน้าลงกับหมอนงุด ๆ แล้วก็ขำจนหัวเราะเบา...

“ เขินเหรอ ? ”

สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบถาม...ในขณะที่คนตัวเล็กยิ่งเขยิบซุกหน้างุดหนักกว่าเก่า จนสนธยาต้องก้มลงดุนปลายจมูกลงที่หลังใบหูของทิวาเบา ๆ จนเจ้าตัวเล็กสะดุ้ง เขาจึงถือโอกาสนั้นค่อย ๆ ประคองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นให้หันกลับมาแล้วก้มลงจูบหวาน ๆ ...นานหลายอึดใจ นาน...จนคนตัวเล็กหายใจไม่ทัน

“ วาอย่าหลบสิ...อย่าว่าแต่วาเลย สนก็อายนะ แล้วก็...สนอยากให้วาแตะนะ แตะตรงไหนก็ได้ เวลามือนิ่ม ๆ แตะลงบนตัวสนน่ะมันทำให้สนรู้สึกอบอุ่นจังเลยนะวา... ”

คนตัวโตออดอ้อน คนตัวเล็กก็ค่อยถาม...แผ่วเบา

“ แล้ว...สนจะแตะบนตัววาไหม ? วาก็ชอบ...เพราะว่ามือของสนอุ่นจังเลย ”

น่ารัก...น่ารัก คิดได้แค่นั้นคนตัวโตก็ครางในลำคอเป็นการรับคำ ก่อนที่จะค่อย ๆ แนบสัมผัส แนบมือหนาอบอุ่นลงบนแผ่นอกเล็ก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสถึงผิวเนื้อนวลเนียนโดยการลูบไล้ไปมาอย่างเชื่องช้า...แผ่วเบา จนคนตัวเล็กต้องครางในลำคอเบา ๆ กับสัมผัสอุ่นจนร้อนนั้น

ดวงตาคม ๆ เป็นประกายพราวขณะที่มือหนึ่งค่อย ๆ ไล้ไปตามร่างเล็ก ๆ ไล้ไปตามเนื้อตัวนิ่มนวลและหอมหวาน ในขณะที่อีกมือหนึ่งไล้ที่แก้มนุ่ม ๆ

“ แตะผมสิครับ...คนดี ”

สนธยาอ้อนขอ...พลางคว้าข้อมือเล็ก ๆ นั้น ให้แตะฝ่ามือแนบลงบนแก้มของเขาเอง เจ้าตัวยิ้มหวานให้ทิวา ก่อนที่จะจูบกลางฝ่ามือเล็ก ๆ จนเจ้าของมือเขินจนแทบชักมือกลับโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว

“ แตะผมนะ...วา ผมชอบเวลามือนิ่ม ๆ ของวามาแตะจังเลย...นะ...นะวา ”


ทนแรงอ้อนไม่ไหว...จนทั้ง ๆ ที่แม้ว่าจะทั้งอายและตกประหม่า แต่มือเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ แตะไล้ไปตามใบหน้าคม ๆ นั้น ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่ไหล่หนา แล้วแตะนิ่งที่อกซ้ายของคนตัวโตช่างอ้อนคนนั้น จนทำให้ได้รู้ว่าหัวใจของคนขี้เล่นคนนี้ก็ตื่นเต้นตกประหม่าพอกัน

“ อื๊อ...สนจั๊กจี้...เอ๊ะ!!...ไม่เอานะ ตรงนั้นมัน... ”

ทิวาร้องแผ่วเบา...เมื่อสนธยาไล้ริมฝีปากลงบนไหล่เล็ ก ๆ ช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่อีกมือหนึ่งเลื่อนต่ำลงสู่เบื้องล่าง

“ ก็วาแตะสนนี่ครับ...สนเลยทนไม่ไหวแล้วละวา ”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยด้วยรอยเสียงต่ำลึก...ก่อนที่จะก้มลงแตะเบา ๆ ที่ซอกขาด้านใน...จนคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก นิ้วมือเล็ก ๆ ถูกยกขึ้นปิดริมฝีปากราวกับจะเขินอายที่ต้องหลุดเสียงร้องแปลก ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนให้อีกฝ่ายได้ยิน

สนธยาค่อย ๆ สัมผัสที่ส่วนอ่อนบางนั้นแผ่วเบาและเนิบช้า...ทั้งด้วยปลายนิ้วและปลายลิ้น ดวงตาคม ๆ เหลือบมองใบหน้าหวานเป็นพัก ๆ ในขณะที่ทิวาที่พยายามกลั้นเสียงร้องแปลก ๆ ของตัวเองนั้นกลับค่อย ๆ เผลอหลุดเสียงครือครางออกมาทีละน้อย...ทีละน้อย

“ ฮึก!!...สน...วาจะตายแล้ว...ทำไมมันรู้สึกแบบนี้ละ...ฮึก!!...วาจะตายไหมสน......สน ”

เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย...จนสนธยายังสงสาร ดวงตาคมกริบกลับไปจ้องลงไปบนดวงตากลมโตที่ทอดประกายเชื่อม...อ่อนหวานจนแทบหยาดหยดนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ ให้

“ ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอกนะคนดี...วา ทรมานหรือรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าละ ? ”

คนตัวเล็กส่ายหน้า ในขณะที่ครางเสียงสูงออกมา...เมื่อสนธยาสัมผัสด้วยปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง ให้สัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้วและความอ่อนหวานสลับหนักเบาแห่งรอยสัมผัส ขยับไหวอย่างเนิบช้าและมอบให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป...ไม่เร่งไม่ร้อน...ไม่รุนแรง

“ ฮึก!! …อื๊อ!! ”

“ อย่ากลั้นสิครับคนดี...กลั้นเสียงทำไมกัน ทำแบบนั้นก็ทรมานสิ เสียงน่ารัก ๆ ...ให้สนได้ยินหน่อยไม่ได้เหรอวาถึงได้กลั้นไว้อย่างนั้นน่ะ ”

“ อื๊อ!!...สน...วาไม่ได้...ฮ๊า!! ”

นิ้วมือเล็ก ๆ เปลี่ยนจากกุม...ปิดริมฝีปากของตนแน่นหนา กลับเปลี่ยน...ค่อย ๆ ยกขึ้นมารั้งที่ไหล่หนา ๆ แทน ทิวาค่อย ๆ หลุดเสียงครางหวานออกมาเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสช้า ๆ เนิบนาน...จนกระทั่งระยะสัมผัสค่อย ๆ กระชั้นขึ้น นั่นจึงทำให้นิ้วมือเล็ก ๆ นั้นค่อยเผลอออกแรงกด...จิกลงบนไหล่และแผ่นหลังของคนช่างแกล้งอย่างเผลอตัว

“ สนอยากกินวาแล้วน่ะ...อยากทนนะแต่ไม่ไหวแล้ว เพราะเสียงวา...น่ารักเกินไป!! ”

สนธยาก้มลงกระซิบเบา ๆ ด้วยรอยเสียงแหบพร่า...ก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนนิ้วมือลงไปจากจุดเดิม แล้วค่อยแตะแผ่วเบาลงยังอีกจุดหนึ่งทำเอาทิวาสะดุ้ง

“ สน...สนอื๊อ!!...จะทำ...จะทำอะ...ฮึก!!...ไรน่ะ ”

“ ไม่ต้องกลัวนะวา...คนดีของสน อย่าร้องไห้สิครับ สนไม่ได้แกล้งวานะครับ คือว่า...สนจะบอกว่าเราจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะสำหรับผู้ชายแบบเราสองคนน่ะ...เอ่อมันไม่ได้เหมือนกับ...เอ่อผู้ชายกับผู้หญิงไงละครับคนดี ”

สนธยาพยายามอธิบาย...รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้อธิบายให้คนตัวเล็กฟังเสียก่อน จึงตัดสินใจที่จะค่อย ๆ อธิบายไปปลอบไปด้วย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถึกกับผวาเฮือกจนน่าสงสารอย่างเมื่อครู่

“ กลัวเหรอ ?...สนขอโทษนะที่ไม่ได้อธิบายก่อนน่ะ อย่า...อย่ากลัวไปเลยนะคนดี...สนไม่ทำร้ายวาหรอกนะ วาเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ ? ”

คนตัวสูงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน...และทิวาที่หอบสะท้านก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับน้อย ๆ ทั้ง ที่ใบหน้าเรื่อสีชดเจน

“ วาจะตายไหมสน...มัน...ฮึก!! มันรู้สึกแปลกกว่าตะกี๊อีก...อื๊อ!!...สน...สน ”

ทิวาสะอื้นถาม...ในขณะที่สนธยาค่อย ๆ กด...ล้ำปลายนิ้วรุกเข้าไปในความอบอุ่นอย่างช้า ๆ

“ ไม่ตายหรอก...คนดี สนไม่ให้วาเป็นอะไรไปหรอกนะวา...ใจเย็น ๆ นะ ถ้ากลัวก็มองตาสนนะวา ถ้าวากลัวก็มองสนนะ ”

สนธยาค่อย ๆ ทาบทับบนร่างที่เล็กกว่าช้า ๆ

แต่ในขณะที่น้ำตาหยดน้อยไหลออกมาบนผิวแก้มเรื่อสีนั้นบาง ๆ ทำเอาสนธยาอยากจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลงเสียตั้งแต่วินาทีนี้...ถึงขนาดที่คิดว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น เพราะทนให้คนตัวเล็กร้องไห้ไม่ไหวจริง ๆ

“ วา...วา อย่าร้องเลยนะคนดี ไม่เอาแล้ว...สนไม่ทำแล้วก็ได้ ”

สนธยาปลอบ...ในขณะที่ทิวาค่อย ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น

“ สน...วาจะทำได้ไหม? สนว่าวาจะทำได้ไหม ? ”

เพราะไม่มั่นใจ...กลัวแสนกลัว ถึงได้ถาม...เพราะรู้ว่าต่างก็อยากให้ทุกอย่างสามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะที่สุดแล้ว...ต่างคนต่างก็อยากจะได้รู้สึกถึงความรักให้มากกว่านี้ อยากได้สัมผัสความอ่อนหวานเป็นสุขมากกว่านี้

แต่สำหรับทิวาที่กลัวแสนกลัวนั้น...อย่างน้อยคนตัวเล็กก็อยากขอกำลังใจ ขอคำมั่น...ขอคำยืนยันเพื่อให้ความรู้สึกมั่นคงนั้นพัดพาความกลัวให้จางหายไป

ใบหน้าเนียนนั้นเรื่อสี ดวงตากลมโตฉ่ำหวานด้วยคลื่นอารมณ์ แต่ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายคล้ายคำร้องขอ...ขอแค่คำพูดเพียงคำเดียว

สนธยายิ้มอ่อนหวาน ก่อนที่จะก้มลงปัดริมฝีปากลงกับแก้มนิ่มบาง ๆ ...ซับรอยชื้นจากหยาดเหงื่อเบาผิวแก้มนุ่มนิ่มเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก...มั่นคง

“ ได้สิ...วาของสนต้องทำได้แน่ ๆ ไม่กลัวนะคนดี...ไม่ต้องกลัว วาทำได้... ”

เพียงเท่านั้น...ก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ่งหอบน้อย ๆ ได้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะโอบแขนเล็ก ๆ ของตนเองโอบแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น ก่อนที่จะหลับตาพริ้มด้วยรอยอบอุ่น...

“ ทำเถอะ...ทำให้วารู้สึกถึงความอบอุ่นของสนนะ…ได้ไหม? ”

“ ครับ... ”

สนธยาค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วอย่างเชื่อช้า...ในขณะที่ริมฝีปากคมนั้นแนบสัมผัสลงที่เปลือกตาบางของทิวาแผ่วเบา ก่อนที่รอยเสียงทุ้มหวานจะกระซิบบอกช้า ๆ

“ เจ็บก็ร้องนะ...สนจะค่อย ๆ ...สนสัญญา ”

คนตัวเล็กค่อยพยักหน้าเบา ๆ สนธยาจึงกดรอยจูบลงที่ปลายจมูกเล็กเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ล้ำกายเข้าหา...อย่างเชื่องช้า เสียงครางเบา ๆ ทำให้คนตัวสูงต้องหยุดสังเกตคนตัวเล็กอยู่เป็นระยะ ๆ หูของเขาได้ยินเสียงครางผสมผเสกับเสียงหอบหายใจอย่างทรมานน้อย ๆ อยู่ชั่วระยะหนึ่งจนกระทั่งถึงที่สุดแล้วน้ำตาของทิวาก็เหือดไป

“ อึ๊ก!!...สน...วาอึดอัดจังเลย ”

เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะกดจูบลง...แทรกปลายลิ้นล่วงล้ำอ่อนหวาน

“ ผม...ขยับ...ได้ไหม ? ”

เขาเอ่ยราวกับขออนุญาต...ด้วยรอยเสียงแหบพร่า ประหม่าและสั่นไหวไปด้วยแรงความรู้สึกลิบโลดเป็นทวีคูณ มากมาย...กว่าเมื่อแรกนักหนา

“ อือ... ”

จากสงบนิ่ง...ก็ค่อยดำเนินอย่างเชื่อช้า ราวกับผืนน้ำที่เคยสงบนิ่งนั้นถูกใครโยนก้อนหินลงไป...ผืนน้ำจึงค่อยสะท้อนไหวเบาบาง

ลมหายใจหนัก ๆ เป่ารดที่ปลายคางมนเมื่อคนตัวสูงวนเวียนอยู่กับริมฝีปากนุ่มนิ่มไปพร้อม ๆ กับ...ดวงตาคมกริบมีรอยหวานเชื่อมแลอ่อนไหวไม่ต่างกับคนตัวเล็ก

“ วา...อะ...อึ่ก!! ”

จากเบาบางเหมือนระรอกคลื่นในสระบัว กลับค่อย ๆ เร่งเร้า...รุนแรงเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนจากพายุ ทั้งหนักแน่นและอ่อนหวาน ด้วยรอยสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มนวล ด้วยเสียง...ด้วยสายตา

แสงกับเงามาบรรจบกันตรงไหน...ไม่มีใครรู้ได้

แต่สนธยาแลทิวากาลนั้น...บัดนี้มาบรรจบกันแล้วด้วยรอยสัมผัสทั้งหมดในห้วงใจ

ทุกอย่างอุ่นและร้อนแต่พร้อม ๆ กันนั้นกลับสงบและเยือกเย็นในหัวใจ...ไม่โลดโผนแต่เนิบนาบอย่างใจเย็นและค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรู้สึกผูกพันและด้วยรัก

“ สน...อื๊อ!!...อะ...สน ”

เสียงหวาน...เรียกหาคนที่กอดกระชับไว้ ดวงตาชื้นด้วยหยดน้ำรื้นช้า ๆ...แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกหมองเศร้า

“ วา... ”

รักไม่จำเป็นต้องร้อนที่สุด...และไม่จำเป็นต้องเย็นที่สุด สิ่งที่อาจเป็นความสุขที่สุดอาจจะเกิดจากการสัมผัสอบอุ่นเมื่อเวลาที่ควรอบอุ่น และสัมผัสที่เย็นฉ่ำระรื่นชื่นใจ...เมื่อเวลาที่ควรรู้สึกสงบนิ่งไม่หวั่นไหว

ไม่ร้อน...และไม่เย็น ไม่เมินเฉย...และไม่เรียกร้องมายมายให้เหนื่อยล้า เพียงแต่หลอมให้เหมาะสม...ให้รวมอยู่ในความสุขของการอยู่ร่วมกันเพียงแค่นั้นก็พอ!!

เหมือนพายุ...แล้วสุดท้ายก็สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำในสระบัวกว้างที่ระรินไหวไปตามแรงลมพัดเอื่อยให้ฉ่ำเย็น

คนตัวเล็กกระตุกกายเฮือก...ในขณะที่เจ้าของไหล่หนาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากเล็ก ๆ ก่อนจะดุนปลายจมูกลงบนผิวแก้มแล้วค่อยยิ้มให้คนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และในดวงตาคมคู่นั้น...มีประกายแห่งความฉ่ำเย็นลึกซึ้ง

“ เข้าใจแล้วละ... ”

ทิวาเอ่ยพลางยกมือขึ้นไล้แก้มคนตัวโตซึ่งยังทาบทับอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง...อ่อนหวาน

“ สนธยา...เพราะเป็นยามสนธยา ยามรักก็ยังฉ่ำ...ยังเย็น ยังอ่อนหวาน ”

พอคนตัวเล็กพูดถึงขนาดนั้น...สนธยาที่ยังหอบน้อย ๆ ก็ถึงกับฟุบตัวลงกับอกคนตัวเล็ก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าคมนั้นแดงเรื่อขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน พร้อม ๆ กับเสียงทุ้มระคนอาการเหนื่อยหอบนั้นจะเอ่ยบ่นงึมงำแผ่วเบา

“ วา...ขี้โกง วาแกล้ง...โอย แค่นี้สนก็สุข...จนจะสำลักตายอยู่แล้ว ยังจะมา...พูด...แบบนี้อีก ”

ฟังแล้วคนตัวเล็กก็หัวเราะสดใส พลางโอบท่อนแขนเล็ก ๆ นั้นกอดคนตัวสูงซึ่งซบใบหน้าคม ๆ กับอกขาวเนียนไว้ แสงจันทร์ยังทอแสงงามนวลผ่อง...ให้คนตัวเล็กแอบมองเห็นใบหน้าของคนตัวโตขี้แกล้งซึ่งซบอยู่นั้นได้ชัดเจน...ได้รู้ว่าเขิน...ว่าอายกับเขาเป็นเหมือนกัน

ดวงตาคมงาม...มองไปยังหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง มองยังดวงจันทร์ที่ทอแสงเต็มทีงดงาม แล้วเมื่ออาการหอบทุเลาหาย...เสียงทุ้มนุ่มก็ค่อย ๆ เอื้อนแผ่วเบาในลำคอช้า ๆ

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย //

สนธยาร้อง...ไม่รู้ว่าทำไมถึงร้องได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกอยากร้องขึ้นมา...แต่รู้สึกแค่ว่า มีความสุข...ใต้ราตรีนี้ที่ประดับดาว สุขราวกับจันทร์อวยพร...สุขราวกับแสงอ่อน ๆ ...อวยพรให้รู้สึกลึกล้ำในรักของหัวใจ

“ หลับเถอะ... ”

สนธยากระชับร่างเล็ก ๆ เข้าหาก่อนจะก้มลงกระซิบแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากทิวาก่อนที่ดวงตากลมโตจะค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ

สนธยา...นอนครวญเพลงช้า...ชัด อ่อนหวานในถ้อยคำเป็นจังหวะหวานแลแผ่วไหว นาน...ช้าอยู่เช่นนั้น ก่อนที่รอยยิ้มอบอุ่นจะปรากฏในแววตาเมื่อได้ยินเสียงหายใจเปี่ยมสุขดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้รู้ถึงภาวการณ์หลับอย่างสนิทนิทราของทิวาน้อยของหัวใจ

“ รักเอยรักไหนจะได้เท่า...โอ้รักเราดั่งแสงเงาไม่พรากจากกัน ”




ปล...อย่าถามว่าทำไมมันยาว ก็เพราะอยากขอโทษคนอ่านจากการที่ลงเลทไป1ตอนนั่นแหละ (ก้มหัวปะหลก ๆ) สิริรวม...ตอนที่21นี้ ยาวถึง 9 หน้ากระดาษ (อร๊ากกกกก...ปั่นทั้งวันมา...นับนิ้ว ๆๆๆ 4วัน) <<< สถิติไม่คืบหน้า รอบนี้ก็ยังใช้เวลาเท่ากับ 4 วันเต็มเหมือนเดิม T^T



ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว22
โดย:ทิวารา

ในห้วงสำนึกที่ลางเลือน...ความฝันคล้ายมีเพียงสีขาวโล่ง สนธยาเห็นใครอีกคนหนึ่งซึ่งละม้ายคล้ายกับคนเองยืนอยู่ต่อหน้าด้วยเครื่องแต่งกายสีขาวโบราณ

// ขอเพียงเจ้ายอมรับหัวใจเท่านั้นก็จะเข้าใจ...เพราะอย่างไรเสียเราก็เป็นคน ๆ เดียวกัน //

เสียงทุ้มเย็นดังกังวานในห้วงฝัน ก่อนที่นายสนธยาจะพยักหน้าเบา ๆ ยอมรับด้วยความเต็มใจ...อีกฝ่ายจึงเดินมาหาทั้งชุดโบราณก่อนจะเดินหายเข้ามาในร่างกายของเขา

วินาทีนั้นเองที่เหมือนภาพมัวสองภาพที่ไม่ซ้อนทับกันสนิทแนบ...กลับแนบสนิท แล้วภาพเหตุการณ์หลายหลากก็ไหลบ่าเข้ามาในพื้นที่สมอง และจากที่ไม่เข้าใจ...สนธยาก็เข้าใจทุกอย่าง เหมือนกับ...วินาทีนี้เขาได้รับอีกครึ่งหนึ่งซึ่งหายไปคืนมา

สนธยาที่มีแต่ความสับสน...ทิฐิ...และร้อนเร่า บัดนี้ได้ถูกเติมเต็มให้ครบ...ถึงส่วนที่อ่อนหวานเย็นรื้นแล้วในที่สุด!!


แสงยามเช้าส่องกระทบวงหน้ากลมจนคนตัวเล็กค่อย ๆ ตื่นขึ้นจากห้วงฝันอันสนิทแนบ พร้อม ๆ กับสัมผัสได้ว่าอ้อมแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งโอบรอบตนเองเอาไว้อย่างแหนหวง

ทิวายิ้มกับใบหน้าคมซึ่งบัดนี้ยังหลับสนิทนิทรา...ก่อนที่จะหันไปสูดอากาศ รับลมที่พัดวูบเข้ามาจากทางหน้าต่าง

กล่อง...ที่วางสงบอยู่ที่หัวนอน ทิวาหยิบมันมาเปิดช้า ๆ ด้วยแววตาอมโศกน้อย ๆ แต่ของดวงตานั้นก็ยังมีรอยหวาน เมื่อมองยังแหวนทองลายบัวกระหวัดก้านรัดพันไปมาอย่างงาม ระหว่างที่จะเลื่อนมือลงแตะยังของชิ้นนั้นอย่างแสนรัก...คนตัวสูงซึ่งเคยหลับสนิทกลับขยับกาย แล้วความเอวบางวูบเข้าหา

“ ตื่นแล้วเหรอเจ้า ?... ”

คนตัวตัวยังงัวเงีย...แต่คำพูดคำจานั้นเล่าพาให้ทิวาใจสะดุ้ง เนื่องจากสนธยาดูแปลกแผกไปกว่าที่เคย

“ อื้อ...สน ”

“ ฮื้อ!...ไม่เอาสิ เรียก...พี่สนสิเจ้าตัวน้อย ”

คนตัวโตค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง...ดวงตาที่เคยแลดูสดใสและโลดเต้นเหมือนเด็กรุ่น ๆ นั้นบัดนี้กลับกลายเป็นแววตาที่จะเย็นสงบเหมือนผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ จะโลดเต้นแรงร้อนเหมือนเด็กหนุ่มก็ไม่เชิง...เหมือนผสมผเสกันอยู่ในที

“ จำได้ว่าบอกไม่รู้กี่รอบ...ว่าให้เรียกพี่สน เดี๋ยวเถอะ...ถ้าดื้อเดี๋ยวพี่ตีมือให้ซะหรอก ”

ดวงตากลม...หวาน ยังมีรอยงุนงงเหมือนกำลังเห็นความฝันกระนั้น ในขณะที่คน ‘จะตีมือ’ กลับยิ้มหวานอ่อนโยนให้ราวกับย้อนคืนวันวานให้ย้อนมาต่อหน้าคนตัวเล็ก

“ พี่จำได้แล้ว...ทิวาน้อยของพี่เอย ”

เพียงเท่านั้นจริง ๆ ที่เรียกน้ำตาให้หยดเผาะลงจากดวงตากลม ๆ ทั้งรอยยิ้มเป็นสุขล้นเหมือนฝันเป็นจริง สนธยารวบมือเล็กบางก่อนจะลูบเบา ๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายปล่อยโฮ ก่อนที่จะใช้นิ้วซับน้ำตาหยดน้อยมาแตะที่ริมฝีปากตนเบา ๆ

“ เจ้าจะร้องไปใยเล่า...ดูซิ น้ำตาหยดใหญ่แล้ว...ดูเถิด ถ้าไม่หยุดละก็พี่จะกินน้ำตาเจ้าให้หมดเลยดีไหม? ”

เจ้าตัวไม่ขู่เปล่า...ก้มลงแตะริมฝีปากลงกับรอยชื้นบนแก้มนิ่มเป็นหลักฐานประกอบไปด้วย จนคนตัวเล็กหยุดร้อง...นั่นแหละเขาถึงได้หยิบแหวนทองวงเดิมที่เคยคุ้นในหัวใจขึ้นมาสวมให้ทิวา ค่อย ๆ ...สอดแหวนลงไปบนนิ้วน้อย ๆ อย่างเบามือ

“ สาว ๆ เขาใส่นิ้วนางซ้าย...พี่ให้เราใส่นิ้วกลางแล้วกัน เพราะถึงอย่างไรเราก็ผู้ชาย ”

เขาบ่น...ในขณะที่ทิวาเต็มตื้นในหัวใจ

// ดูเถิด...เจ้าตัวได้ครองเขาแล้ว แต่ก็ยังคำนึงถึงศักดิ์ถึงศรีแทนให้โดยไม่มองผ่าน เช่นนี้ไงเล่า...ที่เขาว่าแม้ใครมองไม่ผ่องใส แต่หัวใจที่คนรักทอดมองแก่กันนั้นยังคงไว้ซึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ไร้ราคี และพร้อมที่จะเมตตาปราณี...ยกคนที่รักไว้ให้สูงเสมอค่าตนเองอยู่ตลอดกาล //

นับจากวินาทีที่ได้สวมแหวนวงนั้น...ชีวิตก็เหมือนกับรอยฝันที่ลืมตื่นของทิวานั้นได้คืนย้อนมาอีกคราหนึ่ง!


นับจากวันนั้น...สนธยาไม่เคยเลยจะปล่อยให้คนตัวเล็กต้องเดียวดาย เขาทั้งไปทั้งมาในโรงเรียนเคียงข้างราวกับเป็นเงาใหญ่ของคนตัวเล็กนิดเดียวอย่างทิวา แล้ว...ทิวาน้อยก็สดใสขึ้นเป็นลำดับ จากที่ยิ้มน้อยก็ค่อยยิ้มมาก...ถึงแม้จะแค่ยิ้มบาง ๆ ก็ตามที

คนตัวสูงมิเคยใส่ใจสายตาของเพื่อนฝูงและคนรอบข้างซึ่งค่อย ๆ มองกันแปลก ๆ เพราะประสบการณ์ครั้งที่ยังเป็น ‘คุณสน’ นั้นสอนให้นายสนธยาคนนี้รู้ว่า

// การไม่ได้อยู่กับคนที่รัก ไม่ได้ทำอย่างที่อยากทำและอยากรักมันทรมานเพียงไหน...จนกว่าเมื่ออายุไขจะหมดสิ้นในกาลนั้น //

ดังนั้นในหนนี้เจ้าตัวจึงถือว่าสายตาเสียดแทงของคนรอบข้างนั้นเป็นเพียงแค่ใยเบาบางในลมฟ้า ในอากาศเท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นหนักเป็นหนาอันใดเลย!!

พิมลที่ทิวาเคยไปอาศัยขอนั่งเรียนด้วยช่วงระยะหนึ่งก็ยังทัก ยังแซว...แต่ก็ทักและแซวด้วยความยินดีที่เห็นคนทั้งคู่ที่เคยทะเลาะหมางใจนั้นกลายมาเป็นเหมือนเงาตามตัวกันและกัน และแสงเงานั้นก็พาให้ห้วงอารมณ์ของคนทั้งคู่สมบูรณ์

แต่...ก็มีบ้างที่เพื่อน ๆ บางคนจะเห็นขัน บางคนก็แสดงทีท่ารังเกียจรังงอน แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยใส่ใจ...เว้นแต่จะถูกล่วงล้ำ ข่มเหงน้ำใจ

“ ยิ่งมองพวกแก ก็ยิ่งแขยงว่ะ...!! ”

เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ไปไหน ๆ ด้วยกันในช่วงแรก และในตอนนั้นเองที่สนธยาคนที่เคยเย็นขึ้นกลับเหมือนถูกปลุกให้กลับกลายคืนไปเป็นสนธยาคนขวานผ่าซาก และดูเหมือนจะแรงร้อนได้เสียกว่าเดิม

“ กูก็แขยง... ”

สนธยาตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเย็นยะเยือก...ในขณะที่ดวงตานั้นต่างหากเล่า...ที่ทอประกายวะวับโลดแรง

“ อะไรวะไอ้สน!! พูดงี้หมายความว่าไง...มาแขยงกูตรงไหน กูไม่ได้เหมือนพวกมึงซักหน่อย!! ”

คนตัวสูงค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงที่หมู่นี้พุ่งพรวด ๆ ดวงตาคมกริบที่ทุกคนเคยเห็นว่าระยะหลังแลดูฉ่ำเย็นนั้นกลับแปรรอยไปอย่างสิ้นเชิง สร้างความกดดันแก่ผู้เข้ามาสพประมาทเป็นกำลัง จนเจาตัวถึงกับเผลอผวาถอยหนีอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว

“ แขยง...พวกดีแต่ปาก สมองก็อัดแน่นด้วยก้อนขี้เลี่อยจนทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากแส่...ส่าย หาเรื่องชาวบ้านไปวัน ๆ โดยไม่เคยทำตนเองให้มีคุณค่าราคาใดใด!! ”

วาจาเผ็ดร้อนรุนแรง...เต็มไปด้วยคำกระทบแบบผู้ใหญ่ ทำเอาคนอื่น ๆ ที่กำลังเงี่ยหูฟังตามประสานิสัยช่างสอดรู้เรื่องชาวบ้านถึงกับผวา เนื่องจากมิเคยเป็นมาก่อนเลยที่สนธยาจะกล่าววาจาได้เผ็ดร้อนเต็มกำลังเช่นนี้

แต่ทุกอย่างนั้นเป็นเพราะสนธยาทนไม่ได้...

// ด่าว่าเพียงเขา ๆ ทนได้ แต่อย่าหมายมาฉุดทิวาลงมาด้วยคำปรามาส...เพราะสำหรับเขา เขารักของเขา...ยกของเขาไว้ให้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมแลเสมอกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางทนได้หากใครอื่นจะมาฉุด...มาทำให้ด้อยค่าลง //

ทิวาเป็นเด็กทุน...เกรดก็ออกมาสวยยิ่งกว่าสวย ส่วนสนธยา...เด็กที่ปรกติแม้ไม่ใยดีกับการเรียนก็ยังรั้งลำดับที่ไม่ต่ำกว่า 5 และเป็นที่รู้กันว่าวิชาหลัก 2 อย่างคือวิทย์และคณิตนั้นคนตัวสูงเป็นที่พึ่งของเพื่อนฝูงค่อนห้องยามที่ข้อสอบเทอมไหนมันเกิดมหาหินจนต่างคนต่างก็ทำกันไม่ได้ สุดท้ายก็นายสนนี่แหละให้ลอกทั่วราชอาณาจักรจนผ่านมรสุมกันยกห้อง

ยิ่งเคร่งขรึมยิ่งพาให้คนรอบข้างค่อยเกรง...จนมาพักหลังทุกคนเห็นการกระทำของสนธยาและทิวาเป็นเรื่องปรกติไปโดยปริยาย

“ พี่สนนี่น้า...เวลาดุเนี่ยน่ากลัวจัง ”

ถ้าแค่ระหว่างสนกับวาคุยกัน...คนมักได้ยินทิวาเรียกอีกฝ่ายด้วยการเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘พี่’ อย่างอ่อนหวาน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ในขณะที่สนธยาเองก็ก็เรียกคนตัวเล็กอย่างที่คุ้นปากมาช้านาน...

“ ก็มันมาว่า...วาน้อย ”

แสง...เงา กลางวัน...และกลางคืนประจงผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ไม่แปลกแยกแตกต่าง เป็นเช่นนั้นได้เพราะต่างคนต่างก็รักและเอาใจใส่ อีกทั้งต่างก็ยกกันเอาไว้เสมอเทียมกันด้วยความรัก ไม่ปรารถนาหักหาญข่มเหงกันเอง

ความสุขก็เลยเป็นความสุขโดยมิมีวันแปร...เพราะหัวใจที่ไม่เคยเปลี่ยน ทำให้รักและศักดิ์ศรีของกันและกันไม่เคยเปลี่ยนเลยเช่นกัน!!

=TBC=

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว23
โดย:ทิวารา

ในขณะเดียวกันนั้นภูริที่พึ่งกลับมากจากการไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดนั้นกลับเวียนวนมาสนทนากับทิวาบ่อยครั้ง จนสนธยายังแอบรู้สึกแอบหวงไม่ได้ จนกระทั่งทิวามองคนตัวโตทำหน้างอราวจวักนั่นแล้วอดขำไม่ได้...จนหนักเข้าจึงได้เฉลยความ

“ พี่สนโกรธที่วาคุยกับภูริเหรอจ๊ะ ? ”

“ เปล่า...พี่จะไปโกรธวาทำไม ”

คนตอบพยายามบังคับไม่ให้เสียงที่เอ่ยนั้นแสดงอารมณ์ใดใด แต่นัยน์ตาคมคู่นั้นกลับแวววาวเมื่อพูดถึงภูริขึ้นมา

“ ...พี่สนจ๊ะ อย่างอนเลยนะ ก็...ภูริแค่มาปรึกษาปัญหาหัวใจเฉย ๆ ”

พอพูดถึงหัวข้อสนทนาเท่านั้นแหละ...คนตัวโตที่กำลังงอนก็เริ่มตาลุกวาว

“ อ๊ะ!! ”

อ้อมแขนแข็งแรงคว้าคนตัวบางก่อนจะกดลงกับเตียงนอน ใบหน้าคม ๆ นิ่งสนิท แต่ดวงตานั้นกลับมีแววตัดพ้อหมองเศร้าจนทิวาสงสาร...ไม่อยากแกล้งอีกสืบไป

“ พี่สน...วาขอโทษ อย่าทำหน้าแบบนี้สิ...วากับภูริคุยกันเรื่องพี่นุชเท่านั้นเอง ”

คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ่อนลง ในขณะที่สนธยาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ ก็...ภูริน่ะสิ ภูริเค้าชอบพี่นุชละจ้ะพี่สน เค้าก็เลยแวะไปหาพี่นุชก่อนกลับมาที่หอ แล้วคงคุยกันยังไงแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน...ถึงได้โกรธกันมา ”

สำหรับคุณนุชที่อายุ 26 พึ่งจบมหาลัยและเข้าทำงานราชการเป็นครูหมาด ๆ กับเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างภูริ...ที่อายุเพียงแค่ 16 นั้นทำให้สนธยาอดตกใจไม่ได้...

“ ฮื้อ!! นายภูริไปชอบพี่นุชรึ!!...อายุห่างกันเป็น 10 ปีเชียวนะ!!...วาอย่าล้อเล่นไปสิ ”

แต่คำยืนยันของคนตัวเล็กกลับทำให้สนธยาต้องมองนายภูริเสียใหม่...เพราะเจ้าตัวไปบ้านทิวามาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งก็คือตอนม.2 จากนั้นก็เทียวแวะไปเยี่ยมกันบ่อย ๆ ...ลงท้ายถึงได้มาสารภาพให้ทิวาฟังถึงความในใจเมื่อไม่นานมานี้เอง

“ พี่นุชเค้าไม่มีแฟนนะ...แต่ไม่เห็นพี่เค้าจะเอาใจภูริเป็นพิเศษเลยเนี่ยสิ สงสัยเค้าจะเห็นว่าภูริเด็กกว่ามากละมั้ง...ภูริก็กลุ้มใจจนมาปรึกษาวาเนี่ยละจ้ะ แต่...วาก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เลย ”

ท้ายประโยคนั้นคนตัวเล็กเริ่มมีสีหน้าหม่นหมองเมื่อช่วยเหลือเพื่อนสนิทไม่ได้เท่าที่ควร ทำเอาสนธยาต้องลูบไหล่ปลอบทั้งรอยยิ้มบาง ๆ

“ อย่ากังวลไปเลย...กรณีภูริเนี่ยไม่ใช่กรณีปรกตินะวา พี่ว่าเราคงช่วยได้ไม่มากนักหรอก คงต้องให้พี่นุชเค้าคุยกับภูริกันเอง ”

สนธยาแนะนำพลางให้เหตุผลเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก...แต่ในใจกลับคิดว่าตนเองควรพูดคุยกับภูริบ้าง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรลงไปตามอารมณ์จนเกินไป

// อย่างน้อยทางวิญญาณเขาก็เป็นพี่...เป็นอาวุโสกว่าภูริหลายสิบปีละนะ //

หลังจากที่ทิวาหลับสนิท...สนธยาค่อย ๆ เคาะห้องของเพื่อนจนกระทั่งภูริเปิดประตูรับ สภาพของภูริค่อนข้างแย่เพราะดูเครียดขึงและดูเหมือนคนพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอสักเท่าไหร่ ทำเอาสนธยาต้องคิดใหม่...เมื่อในตอนแรกเขาคิดไว้ว่าภูริอาจจะคิดอะไรไปตามประสาวัยรุ่นมากกว่าจะเป็นความรู้สึกแท้จริงหรือทำไปเพราะใคร่ครวญแล้วอย่างลึกซึ้งว่ารักคุณนุชจริง ๆ

“ วาบอกเราแล้ว...นายมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับคุณนุชเหรอ ? ”

ภูริดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขื่น ๆ ให้แขกผู้มาเยือนถึงในห้อง

“ อือ...สน กูบอกพี่เค้าแล้วนะว่ากูชอบเค้า แต่...เค้าบอกว่ากูยังเด็ก มีอนาคต แล้ว...บ้านกูก็มีสวนมีไร่มาก แล้วกูยังเป็นลูกคนเดียวอีก...เค้าบอกว่าวัยของเราห่างกันเกินกว่าที่ใคร ๆ จะเห็นดีเห็นงามให้รักชอบกันได้ ”

ภูริเล่าตามตรง...ทำเอาสนธยาต้องค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนแล้วตบไหล่เจ้าคนที่เคยร่าเริงเบา ๆ เป็นการปลอบ

“ นายชอบเค้ามากเลยใช่ไหม ?... ”

พอถูกถามเช่นนี้...นายภูริที่เคยขี้เล่นกลับทำหน้าราวกับคนอยากจะร้องไห้

“ สน...ถึงกูจะกำพร้าแม่ แต่ที่กูรักคุณนุชนั่นไม่ใช่ว่ากูจะเอาเขามาแทนแม่ กูรักเค้าเพราะเค้าเป็นคนอ่อนหวาน...ใจเย็น แล้วก็เตือนสติกูตลอด...ในขณะที่ผู้หญิงคนไหนก็เป็นไม่ได้เท่าคุณนุชเลย มึงดูซิ...กี่คน ๆ ก็เอาแต่เป็นนางงามนกหงส์หยกเกาะกระจกตบแป้งไปวัน ๆ แบบเดียวกับแม่เลี้ยงกูไม่มีผิด กู...รักใครไม่ลงจริง ๆ จนกระทั่งกูไปบ้านวา แล้วกูก็พบคุณนุชที่นั่น ”

ภูริเว้นระยะไปหน่อยนึงเพื่อปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวก่อนจะเอ่ยต่อ

“ ตั้งแต่จบม.2ปีนั้นกูก็ตั้งใจเรียนมาตลอด อยากจะเอนต์ติดแล้วก็ทำงานดี ๆ ไม่ให้คนในอาชีพครูอย่างคุณนุชต้องอายหากจะมาคบหากับคนอย่างกู ... ใคร ๆ เขาจะได้ไม่หาว่ากูรวยท่าเดียวแต่หาความรู้ไม่ได้ กูเองก็คิดว่ากูยังไม่อยากพูดหรือบอกคุณนุชตอนนี้เลยว่ากูชอบเค้า แต่ว่า...ตอนกูไปหาที่โรงเรียน กูเห็นคุณนุชอยู่กับนักเรียน แล้วก็...มีครูหนุ่ม ๆ คุยกับคุณนุชเค้าท่าทางสนิทกันมาก กูก็เลยกลัว...แล้วก็เลยบอกไปว่าชอบ ”

พอพูดมาจนถึงตรงนี้...ภูริก็ก้มหน้านิ่ง หยุดเสียงสั่นไหวนั้นลง ก่อนจะกลั้นใจถามขึ้นทั้ง ๆ ดวงตาคลอน้ำตา

“ สน...กูบ้าไหมนี่ที่เป็นแบบนี้ กูผิดรึเปล่าเนี่ยที่รักเค้า ? ”

“ บ้า...รักไม่เคยเป็นความผิดหรอก จะผิดก็ต่อเมื่อเอาความรักมาทำให้คนอื่นเสียใจ...หรือทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียคุณค่า ”

สนธยาพูดพลางยิ้มให้เพื่อนด้วยรอยยิ้มเย็นรื่น...ทำเอาภูริยิ้มออกมาได้บ้าง หลังจากเฝ้าโทษตัวเองมาตลอดทั้งวัน แต่...สนธยาไม่นึกโทษเพื่อนเลย เนื่องจากรู้ดีว่า...หัวใจรักไม่สามรถบังคับได้ด้วยเหตุผลซึ่งกลั่นกรองด้วยสมอง แต่...สมองนั้นสามารถใช้คิดหาทางให้ตัวเรารักคนที่เรารักได้อย่างถูกวิธีได้...ก็เท่านั้นเอง

“ จำไว้...อย่าใจร้อนอีก คุณนุชเธอเป็นกุลสตรี นิสัยเธอก็นุ่มนวลเรียบร้อยเหมือนวา...คงไม่ใช่คนเข้าหาใครง่าย ๆ ดังนั้นนายต้องอดทนนะภูริ ทำตัวให้โตสิ...นายจะได้โตแล้วก็สมกับคุณนุชจริง ๆ โดยที่สามารถยืนข้าง ๆ เข้าได้โดยไม่ต้องอายใครไงล่ะ ”

เหมือนพี่...สอนน้อง จนภูริพยักหน้าทั้ง ๆ น้ำตาจะหยด ก่อนที่สนธยาจะขอตัวกลับห้อง ปล่อยให้นายภูริอยู่เงียบ ๆ และหาหนทางที่เหมาะสมต่อไป

// ภูริเอ๊ย...10ปีรักกันน่ะไม่ยากหรอก ยาก...ตรงรักษารักให้งดงามมั่นคงและยืนนานชั่วชีวิตต่างหากเล่า //

สนธยาเดินเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าเบากริบ...ก่อนที่จะนั่งลงข้างเตียง ปัดริมฝีปากลงบนแก้มนวลของคนตัวเล็กที่หลับสนิทเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เอนกายลงนอนเคียงข้าง

=TBC=


ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
 :o8:  :o8:  :o8:  :o8:  :o8:
เรื่องนี้หวาน ๆ เย็น ๆ ดีจัง ชอบมากเลยค่ะ  :give2:   :give2:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป

ken_krub

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
แม้แต่บทฮัศจรรย์ยังหวานเลย  ซึ้งๆ ได้บรรยากาศมากๆ  :m1:  :m1:

อ้างถึง
10ปีรักกันน่ะไม่ยากหรอก ยาก...ตรงรักษารักให้งดงามมั่นคงและยืนนานชั่วชีวิตต่างหากเล่า
พูดอีกก็ถูกอีก 

รออ่านต่อน้า  อยากรู้ว่าเรื่องจะเดินไปทางไหน  อิอิ เป็นกำลังใจให้ himecrazy กับคนแต่งด้วยจ้า  :a2:

graydragon

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :try2: :o11: :undecided:  ขอโทษษษ ค่า  ที่ไม่ได้มาอัพซะนานเลย  เนื่องจากยุ่งๆๆนิดหน่อย ค่ะ

ราตรีประดับดาว23
โดย:ทิวารา

แต่ไอ้บ้าภูริก็ยังเป็นไอ้บ้าภูริ...มันก็เอาของมันจนได้

ภูริลากทิวากับสนธยาไปหาคุณนุชในสุดสัปดาห์ถัดมา...ท่าทางเธอนิ่งสงบและดูใจเย็น ในขณะที่ภูริก็นิ่ง...ขรึมลง แต่มันกลับเปิดประเด็นโต้ง ๆ จนทิวากับสนธยายังสะดุ้ง ต้องนับถือหัวใจคุณนุชเธอเลยจริง ๆ ที่ยังครองสติสงบนิ่งต่อกรกับไอ้บ้าภูริไว้ได้อย่างมั่นคง

“ คุณนุช...ผมอาจเป็นเด็ก แต่...เรื่องอายุ เรื่องอื่น ๆ นั้นช่างมันก่อนได้ไหมครับ ? ”

ภูริค่อย ๆ พูดขึ้นอย่างใจเย็น โดยที่คุณนุชกลับนั่งฟังนิ่ง ๆ ...แต่ในสายตาสนธยากลับรู้สึกได้ว่าเธอกำลังตื่นเต้นอยู่มากเหมือนกัน เพราะดูจากอาการประสานมือนิ่ง กับที่เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าแล้วเล็กน้อย คาดว่าคุณนุชเธอคงมือเย็นพอควรทีเดียว

“ ตอบผมได้ไหม...แค่คำเดียว แต่ไม่เอาเหตุผลอื่นมาปนนะครับ ”

ภูริส่งสายตามองคุณนุชนิ่ง น้ำเสียงที่พูดไม่มีรอยล้อเล่น แต่มั่นคงหนักแน่นเป็นกำลัง...จนเธอต้องพยักหน้าน้อย ๆ

“ รักผมบ้างไหม ?...รึเกลียดผม ? ”

สนธยาจะบ้าตาย...ทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่ให้หุนหัน แต่มันก็เอาของมันจนได้ เพราะเขาสังหรณ์ใจตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่แล้วว่าต้องลงอีแบบนี้ แน่ ๆ

สนธยาว่าตกใจแล้ว...ตัวคุณนุชนั้นคงตกใจกว่ามากกว่า สนธยาเห็นเธอเบิกตาโพลง...แล้วก็สังเกตว่าแก้มเธอเริ่มขึ้นสีเรื่อทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังสงบนิ่ง แต่ทว่าสัญญาณที่เห็นเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนตัวสูงอดยกมุมปากขึ้นมาน้อย ๆ ไม่ได้

หญิงสาวที่นั่งสงบนิ่ง...ใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพรายพร้อม ๆ กับปลายนิ้วเรียว ๆ สั่นน้อย ๆ หลุบสายตาลงต่ำเพราะไม่อาจสู้สายตาของคนที่เอ่ยถามคำถามแก่เธอได้

ส่วนภูรินั่น...พอเห็นเธอหลบตาก็เริ่มหน้าหมอง ดวงตาที่เคยวาวแสงอย่างคาดหวังพลันสลดวูบลงอย่างน่าสงสารจนกระทั่ง...

“ ถ้าไม่นับ...เรื่องอายุ กับ...เรื่องอื่น ๆ ...ก็....ไม่ได้เกลียดค่ะ ”

กว่าจะตอบ...ภูริก็ใจเสียไปหลายอึดใจ แต่พอคำตอบเข้าหูไป...คนที่เคยหน้าหมองก็หน้าบาน ยิ้ม...จนหุบไม่ลง และเพราะไอ้จอมดื้อมันรู้ว่าคุณนุชเธออายแสนอาย...มันจึงได้พยายามพูดสั้น ๆ บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ รอนะครับ...ไม่กี่ปีผมจะโตขึ้นให้ทันคุณนุช แล้ว...จะไม่ให้ตัวผมทำให้คุณต้องอายใคร ๆ เด็ดขาด ”

เหตุการณ์นี้ทำให้สนธยาชักรู้สึก...ว่าไอ้บ้าภูริก็รู้จักหาวิธีดื้อแพ่งเอากันนิ่ง ๆ ได้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งใดใดที่มันไม่ใส่ใจ มันจะไปเหลียวแลไม่สนใจถามหาอยากได้ คิดแล้วก็ให้ขำแสนขำ...เพราะเมื่อดูฝั่งคุณนุชที่หน้าเรื่อสีแล้วก็หันไปเปรียบเทียบคนตัวเล็กที่นั่งเคียงข้าง ...สนธยามองทิวาพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างนึกเอ็นดู

// คุณนุชนี่จะไปว่าเหมือนใครได้...นอกจากว่าเหมือนวานี่แหละ เพราะนิสัยใจคอกับกิริยาอาการนั้นเหมือนกันไม่มีผิด //

“ พี่สน...หัวเราะอะไรจ๊ะ ? ”

ทิวาถามอย่างไม่เข้าใจ...ในขณะที่คนตัวโตยิ้มพรายโดยไม่เอ่ยตอบกระไร

ดู ๆ แล้วชีวิตก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย...แสนสุข

แต่หน้าที่ ๆ ยังเหลืออยู่อีกอย่างในหน้าที่ ๆ เป็นเจ้าสนธยานั้นก็ยังมีอยู่ และดูเหมือนคนตัวสูงจะกำลังต่อสู้ยิบตาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยบอกใคร

ต่อสู้...ให้ได้อยู่คู่เจ้า จะให้ทำเท่าไรเขาก็ยอม สนธยาคิดในใจพลางถอนหายใจเบา ๆ โดยไม่ให้ใครเห็น โดยที่ใบหน้าคมนิ่งเย็นนั้นแลดูสงบแต่ทว่าในใจของสนธยานั้นกลับใคร่ครวญหา...วิธีนานาเพื่อให้เวลาสุขสงบที่มีนั้นยังคงอยู่อีกนานเท่านาน

‘ สน...แม่ขอละลูก ไปเถอะนะ ต่อไปข้างหน้าหน้าที่การงานจะได้ราบรื่น...สบาย เพราะเรียนเหมือนคนอื่น ๆ ก็จบปริญญาตรีกันเกลื่อนเมือง แม่อยากให้ลูกสบายในเวลาที่แม่ไม่อยู่ประคับประคองในภายหน้า ’

คิดแล้วรวดร้าวในหัวใจ...เมื่อมารดาของนายสนธยามีความหวังให้ลูกได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยากให้ลูกเรียนจบกลับมา และเธอจะได้มั่นใจว่าความรู้ทีมีนั้นจะช่วยให้หน้าที่การงานของเขาในภายหน้าสะดวกสบายกว่าคนอื่น ๆ

เขารู้ว่าแม่หวังดี...และลำบากใจนักหนาที่จะปฏิเสธด้วยท่าทีที่ดื้อดึงแข็งขืน เพราะ...ที่แม่ทำไปนั้นเนื่องจากเธอเป็นห่วงลูกชายคนเล็กที่เธอมี ว่าจะไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ยามที่เธอไม่อยู่ดูแลในภายหน้า

และก็รู้...พี่ชายต่างมารดาของสนธยาคงไม่ใคร่อยากโอบอุ้มดูแล หากสิ้นแม่ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแล้วนั้น พี่น้องก็คงไม่เหมือนพี่น้องกันอีกสืบไป...เนื่องจากอนุพงษ์เกลียดแม่และเขานัก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่สู้ดีและเป็นเรื่องที่มีแต่การแสดงละครเพื่อให้คุณพ่อสบายใจว่าพี่น้องต่างมารดาทั้ง 2 นั้นเข้ากันได้ดี

คุณพ่อ...ไม่เคยรู้ว่าพี่คนโตเกลียดแม่ใหม่และน้องเลี้ยงมากมายขนาดไหน มาก...เกลียดมากขนาดที่ยัดเยียดข้อหาให้มากมาย

แม่เคยเรียกสนธยาไปคุย...ถึงความกังวลใจนานา กลัวว่าภายหน้าหากพี่ชายรับช่วงกิจการของพ่อแล้วแม่เป็นอะไรไปตัวสนธยาคงลำบาก เพราะอย่างนั้นแม่ถึงได้ขอร้อง...ให้เขาเรียนที่ ๆ ดีที่สุด เพื่อเป็นหลัก...เป็นประกันว่าจะไม่มีวันตกงาน ไม่มีวันอดตาย

และเพราะรู้...ว่าแม่หวังดี เพราะอย่างนั้นจึงไม่อาจหักหาญน้ำใจแม่ได้โดยง่าย ได้แต่พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พยายามรักษาน้ำใจแม่มากที่สุด เพราะที่แล้วมาแม่ไม่เคยโทษใคร...แม่โทษแต่ตัวเอง และก็ร้องไห้...หวาดกลัวถึงอนาคตของลูก เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หวัง...ว่าแม่จะเปลี่ยนใจและตัวเขาก็ได้แต่พยายามอธิบาย...โน้มน้าวให้แม่เชื่อว่าการไปจากแผ่นดินนี้มันไม่จำเป็นเลย

สนธยามองคนตัวเล็ก...มองดวงตากลมโตสดใสด้วยหัวใจสะดุดวูบ แต่ก็ต้องซ่อนรอยร้าวรานไว้ให้ลึกโดยไม่ให้เหลือไม่ปรารถนาให้เหลือรอด ให้ปรากฏใบใบหน้า...ไม่อยากพูดให้คนตัวเล็กไม่สบายใจ

“ วา...พี่รักเธอนะรู้ไหม? ”

คนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเย็นรื้น...แต่รอยเศร้าก็ยังสะท้อนลึก ทิวามองสนธยาด้วยแววตาสงสัยก่อนที่จะยิ้มหวานให้อย่างสดใส...อบอุ่น

“ จ้ะ...วาก็รักพี่สน ”




ราตรีประดับดาว25
โดย:ทิวารา

// ทั้งหมดที่ทำลงไป...ก็เพราะรักทั้งนั้น //

ความงดงามของรัก...คือการปกป้องศักดิ์ศรีของคนที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดอื่น เพื่อให้ใคร ๆ ต่างก็มองคนที่เรารักด้วยความชื่นชม...ยินดี สนธยาเคยเป็นอย่างไรเมื่อครั้งเป็นพี่สน สุดท้ายนิสัยใจคอและความคิดก็ยังเป็นเช่นนั้นมาจนวันนี้

เขาไม่...กอดทิวาต่อหน้าคนอื่น
เขาไม่...ทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าใคร ๆ
เขาไม่...ละเลยต่อคุณค่าของทิวา
เขาไม่...คิดว่าทิวาคือของ ๆ ตัวเอง
เขาไม่...เอารักของตนเองไปบังคับฝืนใจทิวา
เขาไม่...ไม่มีวันเลิกรักได้เลย
เพราะเขาไม่เคย...รักใครด้วยสมอง แต่รัก...ด้วยหัวใจ


ที่เขาไม่กอดต่อหน้าใคร ๆ...เพราะเขาไม่อยากให้ใครมองทิวา ไม่อยากให้กลายเป็นจุดเด่น ไม่อยากให้ทิวาเขินอาย
ไม่ทำตัวรุ่มร่าม...เพราะจะงดงามกว่าหากรักกันด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การแสดงออกเพื่ออวดให้ใคร ๆ รู้เป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ไม่คิด...ว่าทิวาเป็นของ ๆ เขาเพราะทิวาเป็นตัวของทิวาเอง เพียงแค่เรารักกัน ดังนั้นหัวใจเราจึงปฏิพัทธ์ต่อกัน
เพราะเขาใช้หัวใจ...สัมผัสส่วนเนื้อของหัวใจของคนตัวเล็ก เขาจึงนึกรัก
ไม่เคยใช้...สมองไตร่ตรองให้รัก เพราะ...หากรักด้วยสมองหมายถึงรักในองค์ประกอบที่คน ๆ มีแต่มิใช่...ตัวของคน ๆ นั้นจริง ๆ

แต่ทว่า...บางครั้งสุดท้ายคงต้องกดหัวใจที่แทบแตกออกเป็นเสี่ยงเพื่อเลือกที่จะต้องทำตามหน้าที่

สนธยานั่งเงียบงันในความมืด...ในขณะที่ขณะนั้นเป็นเวลาราวตี 3 กว่า ๆ แต่คนตัวสูงก็ยังคงนอนไม่หลับ เนื่องจากแม่...ยังมั่นคงในคำตัดสินใจนั้นและไม่ยอมเปลี่ยนใจตามที่เขาได้พยายามโน้มน้าวเลย

เสียง...กุกกัก ทำให้สนธยาต้องลุกขึ้นลงไปด้านล่างเพื่อดูว่าใครเข้ามาในบ้าน ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าน่าจะเป็นพี่ชายต่างมารดาเพียงคนเดียวที่บอกว่าวันนี้ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนฝูง

อนุพงษ์ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ แต่เมื่อเห็นสนธยาเดินลงมาพบหน้า ใบหน้าที่เคยรื่นเริงก็เปลี่ยน คิ้วหนา ๆ บนใบหน้าคม ๆ พลันขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ

“ ดึกแล้วทำไมไม่รู้จักหลับจักนอน ดูบอลรึไง...เกรดตกละก็เรื่องไปนอกไปเนิกละไม่ต้องไปแล้ว ไปเรียนก็เสียเงินเปล่ากับไอ้คนขี้เกียจอย่างแกน่ะ ”

วาจาถากถาง...รุนแรง เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อลับตาผู้เป็นพ่อและเป็นหัวหน้าครอบครัว

“ เปล่าครับ...ผมแค่ลงมาดูว่าพี่กลับมารึเปล่า เห็นว่าดึกแล้ว...แม่ฝากให้ลงมาดู เผื่อว่าพี่จะเดินไม่ไหว ”

“ ประสาท!! ธุระอะไรต้องให้แกมาช่วยวะ...ไปไหนก็ไปเลยไป คนจะอารมณ์ดี ๆ ก็มาทำให้เสีย ”

อนุพงษ์ไล่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเอนบนโซฟา...ดูท่าทางจะดื่มมาไม่ใช่น้อย ๆ ชายหนุ่มอายุ 27 ในชุดสูทคลายเนคไทออกก่อนจะหลับตานิ่งนาน กระทั่งเสียงกระทบของแก้วน้ำ...พาให้เขาต้องลืมตาขึ้นมอง

สนธยาหาน้ำมาให้...พร้อมกับผ้าชุบน้ำบิดหมาดในมือ ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นส่งให้คนเป็นพี่ชายต่างมารดาช้า ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่มองอย่างไม่สนใจใยดี

“ รับไปก่อนเถอะครับ...ถึงเกลียดผมยังไงแต่จะให้ปลุกแม่บ้านขึ้นมากลางดึกก็คงไม่ดี ”

อนุพงศ์ชักสีหน้า...ก่อนจะกระตุกผ้าชุบน้ำจากมือคนเป็นน้อง แล้วยกน้ำซดอั่ก ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ กลับกันนั้น...สนธยาเพียงมองเงียบ ๆ แล้วเก็บแก้วเตรียมผละจากไป

“ จะไปเยอรมัน...เรียนอะไรของแกไอ้สน ”

จู่ ๆ คนที่นั่งหงุดหงิดก็ดึงเสื้อเขา แล้วถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ แก้วน้ำที่ถือไว้หล่นแตกกระจายเป็นประกายวาววับเกลื่อนกลาดในความสลัว โดยฝ่ายสนธยาได้แต่ตอบ...สั้น ๆ เรียบง่ายโดยไม่หันไปมองคนถาม

“ แพทย์ครับ... ”

“ จะแข่ง...กับฉันรึไง!! ”

คนถาม ๆ อย่างมีน้ำโห คล้าย ๆ เจ็บแค้นอัดอั้นที่ถูกน้องชายซึ่งเกลียดนักหนากำลังจะแซงหน้า ข้ามหน้าขามตา...ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองจบจากมหาลัยรัฐที่มีชื่อในประเทศเพียงเท่านั้น

“ เปล่าครับ...ผมไม่มีวิชาถนัด คงเรียน...ได้แต่สายนี้ แล้ว...คงให้เรียนบริหารผมก็คงคิดว่าคงทำได้ไม่ดี ”

สนธยาเพียงตอบเบา ๆ ...รักษาซุ้มเสียงให้เบาไว้ รอยเสียงนั้นทอดล้า...เหนื่อยอ่อนในหัวใจ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรพี่ชายไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยเลยสักครั้งเดียวจริง ๆ

เจ้าของดวงตาคม...เย็น ก้มลงเก็บเศษแก้วน้ำ หยิบทีละชิ้นวางบนผ้าขนหนูทั้ง ๆ ที่มือสั่น รู้สึกเจ็บปวดไปหมด เพราะอดโกระตัวเองไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ได้เลย

// ไม่อยากไป...ก็ต้องไป ไม่อยากถูกตำหนิ...ก็ต้องทนไว้ ไม่อยากรู้สึกรู้สาอะไร...แต่ก็อดเจ็บปวดไม่ได้ //

เศษแก้ว...เฉือนเนื้อจนเลือดไหลซึม ในขณะที่สนธยาเพียงแต่มองแผลที่ถูกเศษแก้วบาดโดยไม่คิดห้ามเลือด ถึงเจ็บแผลที่เนื้อถูกกรีดแต่กลับปวดชาหนักในหัวใจมากกว่า

“ ทำไมไม่รีบ ๆ เก็บวะ!! ”

อนุพงศ์เดินเข้าหาคนที่มองนิ้วโชกเลือดของตัวเองนิ่งงั้นจนกระทั่งเห็น...ว่าน้องชายต่างมารดาเลือดไหลโกรก ดวงตาคม ๆ ของคนเป็นแผลกลับมีหยดน้ำไหลออกมาเงียบ ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วต่อไปอย่างไม่ใยดียีหระต่อเลือดที่ไหลไม่หยุดหย่อน

ยังไงก็คน...ทั้ง ๆ ที่เกลียดนักหนาแต่เมื่อเห็นอาการแปลก ๆ ของอีกฝ่าย เห็นกระทั่งว่าร้องไห้...อนุพงศ์ก็ได้แต่ยืนมองนิ่ง ไม่ดุด่า แต่ก็ไม่สนใจจะช่วยเหลือ

“ พี่รีบนอนแล้วกัน...ส่วนผมขอตัวไปนอนก่อน ”

สนธยาเก็บเศษแก้ว...ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัว ก่อนจะเดินขึ้นบันไดทั้ง ๆ ที่เลือดยังไหลโกรกนิ้ว สีหน้านิ่ง...ยังนิ่งสงบ เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดที่ต้องพูดความจริงกับทิวาในวันพรุ่งนี้

// ทุกข์ใดไหนจะเท่า โอ้รักเราจำพราก...ต้องจากลา ลา...ลาแล้วลา เจ้าจ๋า...พี่คงต้องลงน้องยา...ไปก่อนเอย //

=TBC=

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว26
โดย:ทิวารา

// ทุกข์ใดไหนจะเท่า โอ้รักเราจำพราก...ต้องจากลา ลา...ลาแล้วลา เจ้าจ๋า...พี่คงต้องลาน้องยา...ไปก่อนเอย //

คนตัวเล็ก...นอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนโดยไม่ยอมลุกตื่น เนื่องจากเมื่อคืนสนธยากลับไปค้างที่บ้านทำให้ทิวาต้องนอนคนเดียว

จากที่เคย...มีคนตัวสูงกอดไว้ให้รู้สึกอุ่น กอด...แม้เตียงจะแคบแต่ก็มีความสุข แต่พอต้องนอนคนเดียวแล้วทิวาก็โหวงเหวงในหัวใจจนนอนไม่หลับ กว่าจะเพลอหลับไปก็ใกล้ตี3 เต็มที่แล้ว

สนธยาเปิดห้องเข้ามา...เห็นคนตัวเล็กยังนอนหลับตาพริ้มไม่รู้เวลาก็เผลอยิ้มด้วยความเอ็นดูรักใคร่ คนตัวสูงค่อย ๆ ทรุดลงนั่งข้างเตียง ก่อนที่จะก้มลงแนบริมฝีปาก...แตะลงบนริมฝีปากเล็ก ๆ เบา ๆ พาให้คนที่เคยนอนหลับขี้เซาพลันตาสว่าง ตื่นลืมตาโพลงขึ้นมาทันที

“ เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ ? ”

พอเขาถาม...ทิวาก็ยิ้มเขิน มือเล็ก ๆ ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดท่วมหัวด้วยความอาย กิริยานั้นทำให้สนธยารู้สึกเอ็นดูจนเผลอหัวเราะเบา ๆ ด้วยโทนเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนที่จะรวบตัวบาง ๆ ของเด็กน้อยขี้อายขึ้นมากอดแน่น...แล้วจึงค่อยเอียงหน้าไปกดริมฝีปากกับแก้มนิ่ม ๆ ทีหนึ่ง

“ จะนอนต่อก็ได้นะ...นี่พึ่งจะตี 5 ”

สนธยาพยายามยิ้ม...ในขณะที่อาการเมื่อยล้าจากการอดนอนยังรุมเร้า

ไม่อยาก...ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว ถึงจะร้องขออย่างนั้นภายในหัวใจไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่เมื่อรู้เรื่องจากแม่ แต่...ประสพการณ์ความเจ็บปวดเมื่อครั้งยังเป็นคุณสนธยานั้นมันก็ทำให้ความเจ็บปวดยิ่งทบทวี

ครั้งนั้น...ตัวเขาซึ่งเป็นคุณสนธยาต้องรอคอยอย่างเดียวดาย ให้เวลาผ่านไปเกือบ 40 กว่าปี กว่าที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง และครั้งนั้นมันเป็นความทรมานที่เดียวดายแสนสาหัสที่กินเวลานานค่อนชีวิตทีเดียว

และครั้งนี้...เมื่อต้องมีเหตุให้แยกจาก ความรู้สึกเจ็บปวดและประสบการณ์เลวร้ายในคราก่อนนั้นก็ตามหลอนให้รู้สึกปวดสะท้านในหัวใจเสียกว่าคนปรกติ เพราะภาพ...และความรู้สึกเดียวดายโศกเศร้าที่บอกใครไม่ได้นั้นย้อนคืนมาทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็น

แม้ว่าจะพยายามนิ่งสงบ...ดำรงตนเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเข้มแข็งอดทนและใจเย็น แต่ทว่า...ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวหมองหม่น

// เพราะสำหรับเขาแล้ว...ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าต้องพรากจากทิวามาตลอด พอมาหนนี้ต้องจาก...ยิ่งยากจะเก็บกลั้นความรู้สึกอ่อนไหวไว้ได้มิชิด //

“ พี่สนหิ้วอะไรมาเหรอ ? ”

ทิวาถามพลางจิ้มไปที่ถุงพลาสติกที่สนธยาหิ้วมาอย่างถนุถนอม คนตัวสูงที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดจึงค่อยรู้สึกตัว ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ แล้วเปิดถุงออกกว้างให้คนตัวเล็กเห็นของที่นำมาฝากให้ชัด ๆ

“ โห...ดอกไม้ ตั้งหลายอย่างเลย ”

คนตัวเล็กตื่นเต้นเมื่อเห็นดอกไม้หลายอย่างอยู่ในถุง ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ อธิบาย

“ มีกลีบบัวหลวง...พวงชมพู...ดอกลั่นทมขาว...ดอกเข็ม...แล้วก็คาร์เนชั่น ”

เขาบอก...ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปหาภาชนะมาใส่ ในขณะที่คนตัวเล็กตาโตมองอย่างสนใจ

“ จะทำอะไรเหรอจ๊ะพี่สน...ทำไมเด็ดมาตั้งมากมาย ”

สนธยาค่อย ๆ ล้างดอกไม้ทีละดอกพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“ วันนี้วันอาทิตย์...พี่ว่าจะทำอะไรให้กิน ก็เลยไปหาดอกไม้มา...กะจะเอามาทำกับข้าวให้วากินน่ะ ”

สนธยาค่อย ๆ อธิบายในขณะที่ความเป็นเด็กช่างสงสัยของทิวานั้นทำเอาสนธยาต้องอธิบายรายละเอียดยาวเหยียด แต่เขาก็อธิบายด้วยความดีใจ

“ ดอกไม้น่ะกินได้จริง ๆ วา...ที่พี่หามาให้นี่กินได้หมดเลยนะ อย่างกลับบัวหลวงนี้ชุบแป้งทอดก็กินได้แล้ว แถมยังมีรสหอมอ่อน ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องใช้เฉพาะดอกตูมมาทำนะ ส่วน...พวงชมพูนี้ก็ทอดได้เหมือนกัน ดอกมันมีกลิ่นหอมหวาน ๆ ด้วย แล้ว...ลั่นทมขาวนี้ชุบแป้งทอดก็ได้หรือกินเป็นเหมือดกับขนมจีนน้ำพริกก็ได้ เพียงแต่ลั่นทมนี้ต้องใช้ดอกแก่ที่ร่วงจากต้นแล้วค่อยมาตัดก้านสีเขียวออกเพราะตรงส่วนนั้นมันจะขม...แต่ลั่นทมขาวรสมันจะฝาดปนขมหน่อย แต่พี่ว่าวาคงกินได้ ”

ความรู้ใหม่ทำให้ทิวาที่เป็นเด็กสนใจเรื่องต่าง ๆ ทำตาแป๋วยืนฟังไปพลางซักไปพลาง...เรียกว่าสนใจมากเหมือนเด็กได้ของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ เลยทีเดียว

“ เอ...ดอกเข็มนี้วาเคยเอามาดูดน้ำหวานเล่นแต่ไม่นึกว่าจะทำอย่างอื่นได้เลยนะพี่สน...แล้วไหนยังจะคาร์เนชั่นอีกล่ะ วาไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าคาร์เนชั่นกินได้...น่าสนใจจังเลยพี่สน ”

คนตัวสูงยิ้มสดชื่นก่อนจะอธิบายไปหัวเราะไปด้วย หลังจากเห็นว่าทิวามีทีท่าสนใจใคร่รู้อย่างมาก

“ วารู้ไหม...ดอกเข็มนี่รสมันหวานปนมัน แถมเป็นยาแก้ท้องผูกด้วยนา ส่วนเจ้าคาร์เนชั่นนี่กลิ่นมันหอมคล้ายกานพลู รสมันเผ็ดเล็กน้อย แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือคาร์เนชั่นเนี่ย...คนจีนเค้าเชื่อว่ากลิ่นหอมของมันจะทำให้คนมีความสุข จนมันได้ชื่อว่าสมุนไพรลืมทุกข์ แล้วคนท้องก็ชอบนำมาประดับเพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกที่เกิดเป็นเพศชายด้วยรู้ไหม ”


สนธยาล้างดอกคาร์เนชั่นอย่างเบามือ พลางนึกถึงตอนที่เลือกดอกไม้ใส่ถุงมา...เขาหยิบดอกไม้ที่น่าสนใจและสามารถทอดกินได้ง่าย ๆ มาให้ทิวาลองทาน เพราะคิดว่าคนตัวเล็กคงชอบ...และก็คงสนใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนอย่างนี้แน่ ๆ

หยิบบัวหลวงมาเด็ดเอาแต่กลีบ...เด็ดทีละกลีบอย่างใจเย็น ก่อนที่จะหยิบลั่นทมขาว พวงชมพู และดอกเข็มใส่ตามลงไปในถุง แต่เมื่อเหลือบเห็นคาร์เนชั่นซึ่งจริง ๆ แล้วรสของมันเผ็ดและทำอาหารได้ยาก...เพราะกลีบดอกมีกลิ่นเครื่องเทศจนมีรสเผ็ดหน่อย ๆ ทอดกินง่าย ๆ คงไม่อร่อยเท่าใช้กลีบมาผัดกับหมู หรือแนมกับข้าวราดแกงกะหรี่

แต่เพราะความเชื่อ...ที่มันเป็นสมุนไพรลืมทุกข์ เลยทำให้หัวอกของเขานึกเจ็บร้าว จนอดหยิบดอกคาร์เนชั่นติดมาไม่ได้

“ พี่สนเก่งจังเลย...ทำไมรู้เยอะจัง ”

“ บางอย่างเขาก็กินกันมานานแล้วละวา รุ่นปู่ย่าเราก็กินกัน แต่ที่พี่รู้เพราะพี่สนใจ...ว่าดอกไม้มันกินได้ไหม แล้วดอกอะไรมันแก้อาการป่วยอะไรบ้าง ก็เท่านั้น... ”

ทิวายิ้ม...ขณะที่หยิบจานเปล่ามารอรับดอกไม้ที่ล้างเสร็จเรียบร้อยจากมือสนธยา แต่คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมานั้น...กลับทำให้เจ้าของดวงตาคมกริบยิ่งเจ็บปวด

“ พี่สนน่าเรียนหมอนะ...ต้องไปได้สวยแน่ ๆ เลย ”

คนตัวเล็กยืนถือจานใส่ดอกไม้ที่ล้างจนสะอาดในมือ ในขณะที่คนตัวสูงซึ่งดวงตาคมกริบมีรอยปวดร้าวซ่อนลึกนั้นค่อย ๆ ดึงตัวทิวามากอดกระชับก่อนจะฝังจมูกลงกับซอกคอหอม ๆ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มสั่น ๆ จะเอ่ยขึ้นช้า ๆ

“ วา...พี่มีเรื่องจะบอก ”

=TBC=

(ตรงส่วนนี้เป้นส่วนที่ผู้เขียนลงไว้ตอนแต่งเรื่องนี้นะค่ะ
)

วันนี้ผีสิงมือ...กลับจากมหาลัยก็พิมพ์ไม่หยุดเลย ออกมาได้ไงไม่รู้ตั้ง 2 ตอนแน่ะวันนี้

แต่ออกแนวแทรกความรู้แปลก ๆ มากกว่า...

ถามใจคนเขียนก็บอกตรง ๆ ว่าไม่อยากเขียนตอนต่อไปเลย เพราะความเป็นพี่สนที่เจ็บปวดมาทั้งชีวิตหนึ่งแล้ว...ยังต้องมาเจ็บอีกหนในช่วงชีวิตนี้อีก ก็เลยยิ่งไม่อยากเขียน สงสารพี่สนว่างั้น

แต่...ถึงพี่สนจะเป็นผู้ใหญ่...จะเยือกเย็นยังไง
แต่...ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน ไม่มีใครไม่มีข้อด้อย

ความรู้สึกไม่อยากจากคนที่รัก...มันคงเป็นปมในใจพี่สนมาแต่ช่วงชีวิตแรกซึ่งต้งอยู่อย่างทรมานโดดเดี่ยวลำพังนานค่อนชีวิตละมั้ง...เลยทำให้ตอนนี้พี่สนเลยดูอ่อนแอลง

พี่สนก็คือพี่สน...คนเขียนก็ได้แต่เล่า กำหนดอะไรไม่ได้เล้ยยยย เพราะแต่งนิยายทีไรเรามักปล่อยให้ตัวละครเขาไหลไปเรื่อย ๆ ตามนิสัยของเขาเอง

(อย่าเตะหนูเลยนะ...ที่มันกลับไปเศร้ากันอีกแล้ว)

// ชักไม่อยากเขียนต่อแล้ว...สงสารพี่สน //



ราตรีประดับดาว27
โดย:ทิวารา

มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใด...ดวงตาของคนตัวสูงจึงได้สะท้อนสะท้านในหัวใจของทิวานัก เขาค่อย ๆ หยิบกลีบบัวทอดส่งเข้าปากช้า ๆ รสชาติของมันเป็นอันใดคนตัวเล็กไม่รู้สึกอีกแล้ว มีเพียงแต่ความกังวลลึกล้ำจากกิริยาอาการไม่สู้ดีของสนธยา

“ พี่สน...บอกวามาเถอะ มีอะไรไม่สบายใจเหรอ ? ”

สนธยาค่อย ๆ วางกลีบดอกบัวที่ทอดจนหอมลงในจานก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินหนีไปนั่งบนเตียงนอน...หลบสายตาของทิวาที่มองเขาราวกับจะอ้อนวอนขอคำตอบของคำถามนั้น

ทิวาค่อย ๆ ลุก...เดินเข้าหาคนตัวสูงที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา ทั้ง ๆ ที่คิดไว้ว่าจะบอก...ต่ำพอเอาเข้าจริง ๆ กลับพูดไม่ออก ในลำคอของสนธยาขื่นขมจนมิอาจเอ่ยอันใดได้ คนตัวเล็กมองกิริยาเหล่านั้นก่อนจะโอบลำแขนเล็ก ๆ กอดคนตัวสูงเอาไว้แน่น จนทำเอาสนธยาอยากจะร้องไห้...

“ วา... ”

คนตัวเล็กลูบหลัง...ไหล่หนาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เสียงเล็ก ๆ จะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ เพียงแค่ให้ได้ยินแค่สองคน

“ หากมีทุกข์ใดเราทั้งคู่ควรร่วมรับ...ด้วยกัน หากไม่สบายใจอะไรพี่สนควรบอกวาบ้าง...ไม่ใช่ทุกข์อยู่ผู้เดียว ”

เพียงได้ยินคำนั้น...อ้อมแขนแกร่งก็ค่อย ๆ โอบรัดคนตัวเล็กราวกับจะพยายามยึดไว้อย่างสุดหัวใจ ดวงตาคู่คมปล่อยน้ำตาไหลเอื่อยรินลงสู่ผิวเนื้อช่วงไหล่ที่บอบบางนั้นโดยไม่อาจเก็บกลั้นอดทนต่อไปได้

“ วา...พี่ต้อง...ลาไปไกลอีกแล้ว พี่ต้อง...ไปเยอรมัน แม่ขอให้พี่ไปเรียนหมอ ”

เสียงที่เอ่ยบอกตะกุกตะกัก...พรายพร่าด้วยรอยเจ็บซ่าน คนฟังว่าปวดแล้ว...คนพูดคงปวดหัวใจยิ่งกว่า

ทิวาค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก...มองจ้องดวงตาคมกริบซึ่งราแสงเพราะความเศร้านั้นด้วยดวงตากลมโตดำดั่งนิล ก่อนที่ริมฝีปากเล็ก ๆ อ่อนนุ่มจะก้มลงแตะ...ปลายจมูกคนตัวสูงเบาบางเป็นการประโลม ก่อนที่จะใช้อุ้งมือน้อย ๆ ช้อนใบหน้าคมไว้ก่อนจะก้มลง...ประทับรอยจูบอ่อนหวาน แผ่วเบายิ่ง

“ วา... ”

ไร้คำตอบใดใด...มีแต่รอยยิ้มอ่อนหวานจากใบหน้ากลม กับนิ้วมือเล็ก ๆ ที่นุ่มและหอมไล้ไปมาบนใบหน้าคมและดวงตากลม ๆ ก็จ้องลึกลงไปในดวงตาคมที่ร้านราน

สนธยาโอบร่างเล็ก ๆ เอาไว้แนบอกก่อนที่จะประทับจูบลงซ้ำอีกหนอย่างอ่อนโยนเฉกกัน ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยรอยน้ำตาเอ่อคลอ เนื่องจากความรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียครั้งก่อนยังฝังลึก...หลอกหลอนในวิญญา จนเขากลัว...กลัวการพลัดพรากเหลือจะกล่าวได้

ปลายจมูกดุนดันที่ปลายจมูกเล็ก ๆ ให้ใบหน้ามน ๆ แหงนเงย ก่อนที่เขาจะพัวพันปลายลิ้นกับลิ้นอุ่น ๆ ของคนตัวเล็กอย่างเชื่องช้า นิ้วมือสั่นสะท้านของคนตัวสูงสอดรั้งก่อนจะดันเสื้อนอนตัวโคร่งของทิวาพ้นกายไป ผิวเนื้ออ่อน ๆ ปรากฏในยามที่แสงอาทิตยายังมิทันมาเยือนเต็มที่ดีนัก ใบหน้าหวานมีรอยระเรื่อพร้อม ๆ กับอาการหอบสะท้านน้อย ๆ ในขณะที่สนธยาค่อย ๆ ก้มลงแตะริมฝีปากของตนลงบนลำคอขาว...กดจูบจนเนื้ออ่อน ๆ ขึ้นรอยจาง ๆ

// อยากอยู่กับเจ้าทุกที่...ไม่อยากให้เราต้องจากไปไกล แต่ทว่าเหตุไฉน...บัดนี้จำต้องไกลต้องจากต้องลา //

“ วา...พี่รักเจ้า ”

ดวงตาคม ๆ วาวแสงเศร้า...เสียงซึ่งเอ่ยวาจาบอกรักนั้นราวกับจะอ้อนวอนและย้ำ...ให้คนตัวเล็กรู้ซึ้ง รู้ซ้ำในคำรักที่มอบให้ คนตัวเล็กยิ้มอ่อน ๆ ก่อนที่จะปล่อยหยดน้ำตารินรื้นช้า ๆ พร้อม ๆ กับอ้อมแขนเล็ก ๆ โอบรอบไหล่กว้างให้สนธยาได้ซบใบหน้าลงกับอกขาวบอบบางนั้น

ยามสุข...สุขด้วยกัน ยามทุกข์...ก็ควรทุกข์ด้วยกัน

ต่างคนต่างร้องไห้เงียบ ๆ ...ไร้เสียงสะอื้น ไร้เสียงโหยไห้ มีเพียงร่องรอยความอบอุ่นที่มอบแก่กันพร้อมรอยสัมผัสจากปลายนิ้วไล้ไปมาบนร่างกายของกันและกันราวกับจะประโลมกันเองในความเงียบ

สนธยาลูบแก้มใสที่เปียกชื้นด้วยรอยอารมณ์เจ็บปวด...เขาทำวาร้องไห้อีกแล้ว!! คนตัวสูงค่อย ๆ หยัดกายขึ้นแตะริมฝีปากลงบนเปลือกตาของคนตัวเล็กเบา ๆ ในขณะที่นิ้วมือกร้านค่อย ๆ ดันกางเกงนอนตัวยาวไปจนพ้นร่างเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ถอดเสื้อยืดสีเข้มไปพ้นกายตนเองบ้าง

ทิวามองโครงร่างหลังไหล่ที่สูงหนาก่อนที่จะยื่นมือขึ้นแตะแก้มสนธยา โดยตัวสนธยากลับกดมือนุ่มนั้นกับแก้มของตนเองแน่นนาน แล้วค่อยเลื่อนริมฝีปากจูบซับ...กลางฝ่ามือนั้น

การกระทำที่อ่อนหวานนั้น...ทิวาซึมซับความหวานไว้จนเต็มหัวใจ คนตัวเล็กยิ้มหวาน...ก่อนที่จะรั้งใบหน้าคมเข้มลงมาหา แล้วเจ้าวาจึงค่อยแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากคม ยังผลให้คนตัวสูงหลากนัก เนื่องจากมิเคย...ที่ทิวาจะอ่อนหวานเช่นวันนี้

“ ยามพี่ทุกข์...มีหรือวาจะปล่อยผ่านเลย หากทำได้...วาอยากทำให้พี่หายเศร้า แม่ว่า...ครั้งนี้เราต่างก็โศกเศร้าร่วมกัน ”

นั่นปะไร...ทิวาของเขามีเหตุผลเสมอ และครั้งนี้สนธยาอบอุ่นเต็มล้นในหัวใจยิ่งนัก เขาค่อย ๆ ก้มลงซบ...กระซิบเบาบางแต่รอยเสียงอ่อนหวานสะท้านหัวใจดวงน้อยยิ่งนัก

“ ขอบคุณเหลือเกิน...พี่เองนั้นก็ยืนยันว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะความรักในตัวเจ้าทั้งสิ้น...วาน้อยของพี่เอย ”

แสงใดจะอบอุ่นอ่อนหวานได้เท่าแสงยามทิวา...แลความเย็นรื้นใดจะฉ่ำชื่นในหัวใจได้เท่าสนธยาก็เป็นไม่มีเฉกกัน!!

ร่างสองร่าง...กอดก่ายภายใต้แสงตะวันทอประกายแสงอ่อน รอยยิ้มและเสียงพร่ำ...บอกรักนั้นลึกซึ้งแนบสนิทนักในดวงใจ หวาน...ไหวไม่จางไปจากวิญญาณ ดวงตาคมมองจ้องใบหน้าและดวงตากลมงามราวกับจะประทับไว้ในหัวใจไม่มีลบเลือน

“ ไปเถิดพี่สน...แม้รักกันแต่ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องอยู่ด้วยกันจนฝันของเราต้องมลายไป ”

“ แต่... ”

สนธยาจะค้าน...แต่ทิวากลับยิ้มทั้งที่ยังหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังผ่านช่วงเวลาที่อ่อนหวานปานจะสำลักความหวานที่ยิ่งกว่าทะเลน้ำผึ้ง

“ พี่ไปเถิด...ไปหาตัวเอง เราแยกกันจนกว่าจะได้คืนกลับมา...ยืนอยู่ต่อหน้า ให้เราได้มีโอกาสเติบโตโดยไม่มีพันธะทางกายใดใด จะมีก็แต่พันธะสัญญาของหัวใจที่พี่นำมันติดไปยังต่างแดน ”

ทิวาเน้น...ชัดเจน เขารู้...คนตัวเล็กปรารถนาให้เขาไปศึกษาเล่าเรียนและอยู่คนเดียวลำพังให้ได้เพื่อเติบโต ทิวาให้...แม่แต่กระทั้งอิสรภาพหากเขาจะเปลี่ยนใจจากกัน...ข้อนี้เขานับถือหัวใจดวงน้อยที่เข้มแข็งของทิวานัก

และเพราะอย่างนี้...สนธยาจึงสัญญาแก่ทิวาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่พึงจะมีตอบแทนแก่คนตัวเล็กคนนี้ได้

“ วาให้อิสระพี่ด้วยหวังดีพี่ก็จะรับไว้...แต่หัวใจพี่จะไม่มีวันหันไปมองใคร เชื่อเถิด...พี่สัญญา!! ”

=TBC=

graydragon

  • บุคคลทั่วไป

three

  • บุคคลทั่วไป
อยากจะบ้าอ่ะทำไมต่ได้ทรมานคนอ่านแบบนี้อ่ะครับ :sad2:

micky99

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
ซาบซึ้ง   o7 o7  o7

รออ่านอยู่น้า  ไปไหนแล้วว  คิดถึงๆ   :oni2:

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 o1 o1 :o11: :call: :monkeysad: :m8: :m17: :m17: 

                         แบบว่าขอโทษทุกท่านนะค่ะที่หายไปนานเลย พอดี มีเรื่องสวนตัวที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สารมาถเข้ามาอัพอะไรในนี้ได้ไปพักนึง ตอนนี้เรียบร้อยดีแล้ว จะรีบกลับมาอัพให้เร็ว ที่สุดนะค่ะ ขอโทษ จริงๆๆ นะค่ะ

three

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว28
โดย:ทิวารา

เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ที่สนธยาอยู่ติดบ้านและเก็บเสื้อผ้า บางครั้งบางครา...ดวงตาคมกริบก็แลแหวนที่ร้อยสร้อยเงินห้อยไว้กับคอด้วยดวงตาเงื่องหงอยลึกล้ำ

// ของบางอย่าง...บางครั้งแม้ไม่ตั้งใจแต่ก็ยังจดจำมิมีวันลืมได้ //

นิ้วมือไล้ไปตามวงแหวนลายบัวหลวง...แหวนซึ่งบัดนี้เจ้าของเขาคืนให้โดยไม่ใยดี คืนให้พร้อมกับคำพูดที่น้ำเสียงนั้นอ่อนหวานไพเราะ...แต่ก็เพราะความหมายของมันนั่นแหละที่ทำให้สนธยาแทบจะทนฟังไม่ได้ คิดถึงขนาดที่ว่า...ถ้าทำได้ละก็อยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นโดยไม่ต้องได้ยินเสียงใดใดเสียเลยก็คงจะดี

“ สน...เก็บของครบรึยังลูก อย่าลืมเอาเสื้อไหมพรมที่แม่เคยซื้อให้เมื่อปลายปีที่แล้วไปล่ะ ที่โน่นตอนนี้อากาศคงหนาวมาก ”

เสียงอ่อนโยนของแม่...ทำให้คนตัวสูงหลุดออกจากห้วงความคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ ยัดแหวนพร้อมสายสร้อยใส่ในอกเสื้อแล้วจึงหันไป...ยิ้มหวานให้มารดา

// ยิ้ม...ด้วยปากหาใช่ด้วยดวงตา หาใช่...ด้วยหัวใจ //

“ อย่าห่วง...ผมแพ็คไว้แล้วครับ ”

“ ผ้านวมละลูก...ยัดไปด้วยไหม ? ”

เสียงผู้เป็นมารดาคล้ายกังวล...แต่สนธยากลับหัวเราะเบา ๆ พลางเย้ากลับ

“ โธ่...แม่ครับ ที่โน่นก็มีให้ซื้อนะครับ ขืนยัดมากกว่านี้ละก็สงสัยต้องให้บริษัทขนส่งเอารถ 6 ล้อมารับแล้วละครับ ”

เพียงแค่นั้น...มือบาง ๆ ของมารดาก็ฟาดเพียะลงบนต้นแขนของลูกชายทันที พร้อมกับอาการทำหน้างอนน้อย ๆ

“ เดี๋ยวเถอะ!!...มาแซวแม่เหรอเรา ช่วยไม่ได้นี่จ๊ะ...แม่ไม่ค่อยแข็งแรง บางทีก็ลืมไปว่าเราน่ะแข็งแรงกว่าแม่เยอะ ”

สนธยายิ้มอ่อนโยน พลางโอบลำแขนแข็งแรงรอบเอวผู้เป็นแม่ ก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่หอมกลิ่นน้ำอบและแป้งร่ำ รอยยิ้มเจือจางในดางตาเหงาหงอยคู่นั้นในรอบหลายวันที่ผ่านมา

“ ผมรักแม่จัง...ดูแลตัวเองนะ ผม...เป็นห่วง ”

คำพูดนี้...เขาอยากพูดกับอีกคนหนึ่งที่ห่วงถึงด้วยเหมือนกัน แต่...ก็ไม่มีโอกาสแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็ยังห่วงหาอาวรณ์ถึงจนสายใจแห่งหัวใจรัดรึงมิห่างหาย แต่ใจ...ก็ยังใกล้กว่ากาย



แหวนที่คนตัวเล็กคืนให้...เขาบรรจงร้อยสายสร้อยเอาไว้แล้วคล้องคออย่างหวงแหน และเพียงแค่สัมผัสด้วยปลายนิ้ว ความรู้สึกอบอุ่นก็วาบวับในหัวใจ พาให้รอยยิ้มผุดขึ้นบาง ๆ บนใบหน้าเรียบเฉยติดจะอมโศกนั้น

// พี่สน...พวกเราเลิกกันเถอะ อย่าลำลากันมากไปกว่านี้เลย //

“ ทำไม...เจ้าถึงพูดกับพี่อย่างนั้นนะวา ”

// อิสรภาพ...หอมหวานกว่าสิ่งใดใด ถ้า...พี่ทนได้ พวกเราคงได้มาอยู่ด้วยกันอีก ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อไม่ให้พี่ยึดติด...บางทีสิ่งที่ดีกว่าผมอาจรอพี่อยู่ข้างหน้า ที่ผมทำนี้เพื่อไม่ให้พี่มีพันธะใดใด แล้ว...เมื่อพี่กลับมาทั้งที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ระหว่างเราคงเริ่มต้นกันได้ใหม่อีกครั้งได้อยู่แล้วละ... //

“ แต่...วา พี่...พี่สัญญากับเธอแล้วว่าพี่จะไม่มีทางเปลี่ยนไป ”

ดวงตา...กลมโตจ้องมองประสานดวงตาคมกริบนิ่งนาน ก่อนที่เสียงเล็ก ๆ จะเอ่ยขึ้นด้วยเหตุผลที่สนธยามิอาจโต้แย้งได้

// พี่สน...ไม่มีใครตัดสินอนาคตได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มหรอกจ้ะ //


ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ...สนธยาคาดว่าคงไม่มีสักวันที่เขาจะไม่ฝันถึงช่วงเวลาแสนสุขที่เคยมีเคยเป็น และคาดว่าคงไม่มีทางลืม...ใบหน้ากับรอยยิ้มอ้อนของใครบางคนที่ติดอยู่ในหัวใจได้เลย

สนธยายิ้มกับตัวเอง...เมื่อนึงถึงคำพูดสุดท้ายที่วาเอ่ยกับเขาตอนที่เขาก้าวออกมาจากห้องของวาในเย็นวันนั้น

// พยายามเข้านะ...พี่สนของวา ดูแล...ตัวเองด้วย //

น้ำตาแทบรื้น...แต่ก็กลั้นไว้ ก่อนที่สนธยาจะทอดสายตามองออกไปยังรันเวย์กว้างที่ทอดยาวไกล แม้สรรพเสียงผู้คนที่ดังอยู่รายรอบจะดังแค่ไหนแต่ในสมองและในหัวใจของคนตัวสูงกลับซึมซับความอบอุ่นจากภาพสุดท้ายของทิวาที่ติดลึกในหัวใจ

ของสำคัญที่สุดในหัวใจ...คือภาพสุดท้ายของคนที่รัก

“ ลาก่อนเจ้าวาน้อย...จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่ ”




ราตรีประดับดาว29
โดย:ทิวารา

นายเขตบดินทร์เหลียวซ้ายแลขวา...มองหารุ่นพี่ที่พี่ชายแนะนำให้รู้จักทางโทรศัพท์ หลังจากที่ตนเองรู้ว่าสอบติดเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและต้องอยู่ที่เยอรมันแห่งนี้ต่อไปอีกราว ๆ ปีกว่า

“ เอ...ข้าวของครบหรือเปล่าหว่า ”

นายเขตก้มลงสำรวจข้าวของก่อนจะตรวจป้ายชื่อซึ่งห้อยไว้ที่กระเป๋าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้หยิบสลับกับผู้อื่น...ตามที่เพื่อนของพี่ชายเคยบอกทางโทรศัพท์

“...ใช่น้องชายภูริรึเปล่า ? ”

เสียงทุ้มหวานของใครบางคนเอ่ยถามเป็นภาษาไทยชัดเจน ทำให้นายเขตต้องเงยหน้าขึ้นมอง...มองคนที่ตัวสูงกว่าตั้งมากมาย อีกทั้งใบหน้านั้นยังส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้อย่างใจดีอีกด้วย

“ เอ้อ...ครับผม พี่... ”

นายเขตเกาหัวอย่างเขิน ๆ ในขณะที่อายจนบอกไม่ถูก เพราะจากที่เคยได้ยินเสียงในโทรศัพท์นั้นไม่ได้มีเค้าว่าซุ้มเสียงจะอ่อนนุ่มได้ขนาดนี้เลยจริง ๆ จนเจ้าลิงซนอย่างนายเขตยังอดชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้

// เสียงเพราะยังกะอะไรดี //

“ พี่ชื่อ...สนธยา เรียกพี่ว่าสนแล้วกันนะ ”

นายเขตบดินทร์ที่โดนภูริใช้มาเป็นสาย (?) ไม่เคยรู้เลยว่า...การเรียนรู้สังเกตคนตัวสูงยิ้มสวยท่าทางนุ่มนวลคนนี้จะทำให้ตนเองเปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาต่อมา

// คนอะไร...เท่ห์ฉิบเป๋งไม่คิดว่าจะมีคนที่นิสัยท่าทางดูดีขนาดนี้ในโลกเลยนะเนี่ย เอาวะ...พี่เขาทำได้กูก็ทำมั่งดิ !! //

เจ้าลิงซนหมายมั่นปั้นมือเช่นนั้นก่อนที่จะพยายามเอาสนธยาเป็นแม่แบบ ฟังคำสอนทุกอย่าง...จนจากที่หลงรูปหลงรอย ก็กลายเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มและนับถือกันโดยแท้จริงในเวลาต่อมา

“ ห้องเช่าของพี่มันมีห้องย่อยว่างอีกห้อง เราอยู่กับพี่ก็ได้...ว่าแต่เอาผ้านวมมารึเปล่า ? ”

นายเขตส่ายหน้าไปมาก่อนจะทำหน้าเสีย...ด้วยเข้าใจว่าจดข้าวของที่สนธยาบอกให้เตรียมมาตกหล่น เลยไม่ได้นำผ้านวมมาด้วย

“ เอ้อ...พี่ก็กลัวเราจะเอามาน่ะแหละ ฮ่า ๆ พอดีพี่ซื้อผ้านวมไว้ให้แล้วละนะ ไม่รู้จะชอบรึเปล่า...แต่พี่ว่าตอนนี้อากาศหนาว ถ้าให้ห่มผ้าห่มบาง ๆ คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ”

// โอ้...พี่ครับ ทำไมพี่ใจดีกะผมผิดกะอาเฮียใหญ่ภูริแบบฟ้ากับเหวยังงี้ครับเนี่ย ดีใจโว้ยดีใจ //

เจ้าตัวแสบลากกระเป๋าเดินตามสนธยาไปอย่างดีอกดีใจ...ในมือกระชับสมุดที่ภูริยัดมาให้ส่งรายงานกลับไปเอาไว้แนบอกอย่างร่าเริง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หวัดดีเฮียใหญ่...กระผมไอ้เขตสายสืบลับขอรายงานข่าว
เฮ้ย...ไม่ได้ ๆ ไม่เพราะ...พี่สนไม่ชอบให้พูดไม่สุภาพกับ ‘คนแก่’ เอาใหม่ ๆ ....

# สวัสดีเฮียใหญ่ภูริที่เคารพ...(แบบนี้เพราะแล้วเนาะเฮียเนาะ)

ผมมาอยู่ที่นี่สบายดี...ปรับตัวเข้ากับอากาศหนาวโหดร้ายแบบนี้ได้แล้วโดยไม่เป็นหวัด อันนี้ต้องขอบคุณพี่สนเพราะพี่เค้าหาผ้านวมมาไว้ให้ซะอย่างดีจนผมงี้นอนห่มไปปลาบปลื้มจนน้ำตาพาลจะไหลพราก (ก็ช่วยไม่ได้...ผมมันขาดความอบอุ่น เพราะเฮียเอาแต่ใจร้ายกับผม ไม่เห็นใจดีอย่างพี่สนเลยนิ!!)

พี่สนให้ผมอยู่ด้วยกันในห้องเช่าที่กว้างมาก ๆ มีห้องย่อย 3 ห้อง ซึ่งแบ่งเป็นห้องนอนของผมกับพี่สนแล้วก็ห้องเก็บตำราของพี่เค้า
(ตำราแพทย์กองเท่าภูเขาเลากาจนผมไม่กล้าจับ กลัวมันล้มลงมาทับผมตับแตกตาย พี่สนได้ต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับให้ผมกลางห้องเช่าปะไร)
แล้วที่เหลือก็มีมุมครัวดี ๆ อีกมุมที่พี่สนมักจะเข้าไปทำกับข้าวให้กินทุกเช้า...เลี้ยงผมดี๊ดีจนผมนึกว่าตัวเองเป็นน้องพี่เค้าแล้วละ

ทุกวันพี่สนจะไม่ทำอะไรมาก...จะไปส่งผมที่โรงเรียนแล้วไปมหาลัย ก่อนจะแวะมารับผมแล้วพากลับห้องด้วยกัน จนกระทั่งนาน ๆ ไปพอคุ้นถนนหนทางผมเลยไม่ต้องให้พี่สนไปส่งที่โรงเรียนอีก ทุกวันพี่สนจะทำกับข้าวเองที่ห้องไม่ออกไปซื้อหรือพาไปกินนอกบ้านเท่าไหร่ ยกเว้นบางเวลาที่มีงานฉลองพิเศษ ๆ ของคนที่นี่...นั่นละถึงได้ออกไปฉลองซึ่งผมก็ว่าดี เพราะผมไม่ค่อยชอบออกไปไหนเท่าไหร่เหมือนกัน

กับเรื่องทั่ว ๆ ไปของพี่สน...
พี่สนเป็นนักศึกษาที่เนื้อหอมเลยเชียวแหละ บางทีมีสาว ๆ มาหาถึงห้อง...แต่ดูท่าพี่สนจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาที่บ้านเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพี่สนจะทำหน้ายิ้มดีอยู่ก็ตาม แต่ผมแอบรู้สึกว่าพี่สนกำลังรำคาญอยู่แฮะ ผมก็บอกความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน

พี่สนมักชอบถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า...แซม
แล้วก็มีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงป่าเถื่อนจากอเมริกาคนนึงชื่อแจสซี่...ซึ่งทุกครั้งที่หล่อนเอาเบียร์หอบใหญ่มาฉลองที่บ้านเธอเห็นหน้าผมทีไรเป็นต้องบอกว่า …“ พริทที้บอยยยย มาให้พี่กอดทีซิ!! ” เป็นแบบนี้ทุกรอบจนผมงี้สยอง เพราะเธอรัดจนผมหายใจหายคอไม่ออก นี่ถ้าไม่ได้พี่สน...ผมโดนหล่อนรัดคอหายใจไม่ออกตายไปตั้งกะทีแรกแล้ว

ส่วนเพื่อนสนิทของพี่สนอีกคนนึงเป็นพี่ผู้ชายนิสัยร่าเริงชาวฝรั่งเศสชื่อฟรองซัวร์ คนนี้เป็นคนฮาเฮร่าเริ่งไร้ลิมิตจนบางทีผมยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลย แล้วดูเหมือนคนนี้จะสนิทกับพี่สนมากพอดู...ก็บางทีผมเห็นพี่สนไปเล่นกีฬาในมหาลัยดูจะเข้าคู่กับฟรองซัวร์ได้ดีนี่นะ

เอ้อ...พูดถึงแล้วก็ต้องเล่าเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อน
พอดีที่มหาลัยของพี่สนมีการส่งเสริมให้นักศึกษาจากที่ต่าง ๆ แสดงเอกลักษณ์ประจำชาติของตัวเอง ตอนแรก ๆ นักเรียนไทยที่อยู่ในนั้นก็มีแค่ไม่กี่คนก็เลยไม่รู้จะทำอะไร...แต่เจสซี่กลับบอกว่าพี่สนร้องเพลงแปลก ๆ ให้ได้ยินบ่อย ๆ สงสัยเป็นเพลงของประเทศไทยเพราะเธอบอกว่าเธอไม่เคยฟังมาก่อนและก็ฟังเนื้อเพลงไม่รู้เรื่องอีกด้วย

เท่านั้นละพี่เอ๊ยยยย ผมเลยมีบุญหูได้ฟังพี่สนร้องเพลงไทยกับเค้าด้วยแหละ
พี่สนร้องเพลงไทย เอื้อนซะอร่อย...เอ๊ยไม่ใช่ (พูดแบบนี้ไม่เพราะ ๆ เอาใหม่ ๆ ) เอื้อนทีสาวงี้ฟังกันตาเยิ้มเลยเฮีย เสียงพี่สนนุ่ม ๆ อยู่แล้วพอร้องเพลงนี่ยิ่งไปกันใหญ่...พอหลังงานนั้นจบลงไม่เท่าไหร่มีสาวมาให้ท่าเต็มเลยแหละ

เพลงอะไรน้อ...เห็นพี่สนว่าเพลงที่ร้องชื่อราตรีประดับดาวล่ะ
อาทิตย์หน้า...พี่สนจะสอบแล้วล่ะ ผมเองก็ใกล้สอบเต็มที หวังว่าเฮียคงสบายดี ผมแอบจิ๊กรูปที่ขอมาจากเจสซี่ที่มีคนถ่ายตอนที่พี่เค้าขึ้นไปร้องเพลงไทยมาให้ด้วย หวังว่าคงจะถูกใจ

จากนายเขตบดินทร์

ปล. บอกหม่าม๊าผมให้ทีสิเฮียว่าผมอยากกินน้ำพริกแมงดาอ่ะ ให้หม่าม๊าส่งมาให้ผมหน่อยนะเฮียใหญ่นะ
ปล2. ผมรู้นะว่าเฮียจะบ่น...โห่ แค่โทรไปบอกแม่ผมให้หน่อยก็ไม่ได้ เฮียใหญ่ใจร้าย!! คอยดูนะถ้าเฮียไม่บอกแม่ให้ผมละก็...ผมจะไม่ส่งรายงานให้เฮียแล้ว แถมจะย้ายสำมะโนครัวมาเป็นน้องชายพี่สนแทนอีกด้วย (หัวเราะ)


........................
ภูริอ่านจดหมายไปนึกเข่นเขี้ยวในใจ หนอยยย มันขู่!!

แต่เมื่อเห็นรูปสนธยาที่ส่งมาพร้อมจดหมายก็ค่อยหายโมโห...เจ้าตัวจ้องดูเพื่อนในรูปถ่ายที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนบนแท่นที่ยกระดับเล็กน้อย แม้รูปจะถ่ายไม่ค่อยใกล้เท่าไหร่แต่ภูริก็สามารถสังเกตได้ถึงเค้าโครงใบหน้าที่เปลี่ยนไป

รูปร่างของสนธยาดูสูงใหญ่ขึ้น...ใบหน้าก็มีเค้าคมคาย แต่ดูจุดที่โดดเด่นเห็นจะเป็นดวงตา...ที่ดูเหมือนจะมีเค้าอ่อนหวานุ่มนวลยิ่งกว่าเก่า แต่ภูริก็รู้สึกได้ว่า...เจ้าลิงแสบมันรายงานตกไปอย่างนึง

เพราะแววตาที่เจอรอยเศร้าฝังลึกเจือจางอยู่ในประกายตานุ่มนวลนั้นกลับยิ่งดูเหมือนหยั่งรากลึกกว่าวันสุดท้ายที่ได้พบกัน...วันสุดท้ายที่ไปส่งสนธยาที่สนามบิน!!

“ สน...แกจะรู้ไหมว่า 4 ปีมานี้วาเป็นยังไง วาเรียนจบ...เป็นนักวิทยาศาสตร์สังกัดสถาบันวิจัยของรัฐแล้วนะไอ้สน ”

ภูริพูดกับรูปถ่ายของเพื่อน...ก่อนที่รอยยิ้มบาง ๆ จะปรากฏแบบฉาบฉวยบนใบหน้าของภูริ แล้วสุดท้ายใบหน้านั้นก็กลับกลายเป็นใบหน้าแสดงอาการหมองเศร้าอย่างไม่ปิดบัง

“ สน...กูผิดรึเปล่านะที่ไม่บอกเรื่องที่ควรบอกกับมึงน่ะ ”

ภูริพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่จะสอดรูปถ่ายของสนธยาเก็บลงในสมุดเอกสารสำคัญประจำตัวของตน...

==TBC==

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว30
โดย:ทิวารา

สนธยาค่อย ๆ เปิดหนังสือไปพลางใช้กระดาษมาร์คแปะที่หน้าสำคัญทีละหน้า...ทีละหน้า ดวงตาคมกริบมารอยล้าอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงโคมสีส้มอ่อน ๆ ในห้องนอนเพียงลำพัง

// อาทิตย์หน้ามีสอบ...แล้วก็ต้องกลับบ้านไปงานแต่งของพี่ชาย //

ร่างสูงหนาลำดับตารางสิ่งที่ต้องทำเอาไว้ในใจก่อนที่จะเปิดหนังสืออย่างรวดเร็วเนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนที่จะต้องสอบ มือหนึ่งพลิกหน้าหนังสือไปพลางอีกมือหนึ่งถือปากกาจดย่อขยุกขยิกเป็นภาษาเยอรมันทั้ง ๆ ที่บนนิ้วชี้ของคนตัวสูงนั้นมีแถบสีสก็อตเทปสำหรับมาร์คหน้าหนังสือติดอยู่หลายอัน

“ พี่สน...ผมนอนไม่หลับอ่ะครับพี่ ”

นายเขตยืนอยู่หน้าประตูห้อง...เกรงใจจนเหงื่อแตกที่ต้องมารบกวนสนธยากลางดึก แต่มันกระสับกระส่ายนอนไม่หลับทำเอานายเขตทรมานจริง ๆ

“ ก็พี่บอกแล้ว...ว่าช็อคโกแลตรสกาแฟนั่นมันผสมกาแฟเข้มข้น เธอก็ไม่เชื่อ ”

สนธยาเดินมาลูบหัวนายเขตก่อนที่จะพาเดินไปที่ห้องครัว...เทนมสดใส่หม้อเล็กก่อนจะตั้งไฟอุ่นนมสดนั้น คนตัวสูงหันมาพยักหน้าให้เด็กน้อยนั่งตรงเคาท์เตอร์ครัวก่อนที่จะหันไปดูหม้อนมสด

“ ขอโทษครับ...ผมเห็นว่ามันอร่อยก็เลยเผลอกินไปซะเยอะ ตั้ง 4 บาร์ ”

นายเขตอายุ 17 แล้ว แต่พ่อแม่กลับเลี้ยงดีจนเหล้าไม่เคย แถมกาแฟเอย...ชาเอยไม่เคยได้แตะ เพราะมีพ่อเป็นหมอเลยโดนห้ามหมดทุกอย่างที่ผู้เป็นพ่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่เด็กไม่ควรกิน ดังนั้นเมื่อเดินผ่านหน้าร้านขนมหวานเจ้าตัวยุ่งก็ยืนเกาะกระจกเหมือนตุ๊กแกเพราะช็อคโกแลตรสใหม่ที่โชว์หน้าร้านนั้นเป็นรสกาแฟที่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนในห้องกำลังนิยมมาซื้อกินกัน

// พี่สนครับ...ผมอยากกิน ซื้อได้ไหม ? //

นายเขตหันมาขออนุญาตเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียงอ่อย ๆ เหมือนคนกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะยืนยันว่าค่าขนมของตนเองมีพอซื้อกินได้เองโดยไม่ต้องรบกวนยืมเงินเขา...ซึ่งข้อนั้นสนธยาเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาเนื่องจากถึงนายเขตไม่มีเงินเขาก็ซื้อให้ได้

// พี่สน ๆ...ผมเอารสนี้ 2 บาร์ รสนั้นอีกบาร์....แล้วรสกาแฟของใหม่ล่าสุดอีก4บาร์ได้ไหม? //

‘...แน่ใจนะว่ากิน ? ’

สนธยาแอบ รู้สึกสยองกับบรรดาช็อคโกแลตต่างสีต่างรสกันไป ซึ่งเจ้าหนูเดินหยิบใส่ ๆ ลงในตะกร้าของทางร้านอย่างอารมณ์ดี นี่ขนาดว่าอายุ 17 แล้วและโดนผู้เป็นพ่อบังคับกินแต่นมสด และงดของหวาน , ขนมทอดกรอบ , ท็อฟฟี่ , ชาและกาแฟ แต่ทว่านายเขตบดินทร์กลับมีส่วนสูงเท่า ๆ กับเด็กอายุราว ๆ 15 ปีเท่านั้น

ช็อคโกแลตร้านมีชื่อมักขายเป็นบาร์ ไม่ได้ขายกันเป็นชินเล็ก ๆ อย่างที่เคยเห็นตามห้างทั่วไปในกรุงเทพ ดังนั้นการที่เจ้าตัวแสบกินช็อคโกแลตรสกาแฟเข็มข้นเข้าไปถึง 4 บาร์มันก็ไม่แปลกที่เจ้าหนูจะถึงกับตาค้างนอนไม่หลับแบบนี้

“ ก็พี่บอกแล้วว่าเราน่ะไม่เคยกินพวกกาแฟมาก่อน เดี๋ยวกินแล้วจะนอนไม่หลับ...ก็ไม่เชื่อพี่ ”

สนธยาพูดน้ำเสียงเรื่อย ๆ ไม่ได้ตำหนิอะไร ในขณะที่นายเขตทำหน้าหมอง...แล้วค่อยเอ่ยขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดเต็มที่

“ ก็ถ้าเจสซี่ไม่ว่าผมก่อนนะ ผมก็จะแบ่งรสกาแฟให้2บาร์อยู่แล้วละฮะ แต่นี่เจ๊ดันมาเรียกผมว่านายเตี้ย ผมเลยโมโห...กินรสกาแฟซะเรียบคนเดียวเลย ”

อันที่จริง...นายเขตตั้งใจว่าจะแบ่งรสกาแฟให้เจสซี่เพื่อนสาวของสนธยา และแบ่งรสที่ผสมบรั่นดีให้กับฟรองซัวร์เช่นกัน แต่ดูเหมือนการที่หญิงสาวเรียกเจ้าหนูว่านายเตี้ยจะทำให้เจ้าตัวเกิดอาการงอน...นั่งกัดช็อคโกแลตกินกร้วม ๆ โดยไม่แบ่งคนอื่นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก

“ เขต...เจสซี่ชอบเรานะ เค้าก็แค่แหย่เฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีหรอก บางทีเราน่ะควรเปิดใจกว้างบ้างว่าต่างคนต่างชาติและต่างศาสนาดังนั้นพฤติกรรมบางอย่างอาจจะไม่ตรงกัน ”

สนธยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นการตักเตือนก่อนที่จะยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วค่อยเลื่อนแก้วใส่นมอุ่น ๆ ไปให้ ในขณะที่นายเขตก็ก้มหน้านิ่ง...สำนึกได้ว่าตัวเองไปพูดไม่ดีใส่เจสซี่ไว้เหมือนกัน

“ พี่สน...ที่ผมด่าเจสซี่ว่ายัยหมียักษ์นั่นน่ะ พี่ว่าเจสซี่จะโกรธผมไหมอ่ะครับ ? ”

“ ไม่รู้สินะ...เอ แล้วทำไมไม่ไปขอโทษเค้าล่ะ เธอจะได้สบายใจด้วยไง ”

สนธยาพูดเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยิบโคล่าออกมาเปิดดื่มโดยไม่หันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งหน้าหมองด้วยความสำนึกผิด แต่...ในใจกลับสนใจว่าเด็กหนุ่มจะทำอย่างไรก่อนที่จะได้ยินเสียงวิ่งไปคว้าโทรศัพท์ เท่านั้นเอง...สนธยาก็แอบยิ้ม

// เด็ก...ค่อย ๆ สอน ไม่ต้องดุด่า แต่คอยแนะนำชักจูงอย่างช้า ๆ ให้เด็กได้คิดเองนั่นแหละจะดีกับตัวเด็กเองมากกว่าการยัดเยียดความคิดของเราให้กับเขาอย่างใจร้อนและวางอำนาจ //

เขาคิดพลางยิ้มกับตัวเองบาง ๆ ในขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของนายเขตลอยมาพร้อมกัน

“ เอ้อ...ยังไม่นอนอีกเหรอยัย...เอ๊ย!! เจสซี่ เฮ้ย!!...ฟังกันมั่งเด้!! เออ...งอนผมเหรอไง ? ห๊ะ...เออ ๆ ก็จะโทรมาขอโทษอยู่นี่ไง ”

‘นี่ขนาดว่าโทรไปง้อ...ไปขอโทษเค้านะนั่น!!’

สนธยาส่ายศีรษะอย่างขำ ๆ ก่อนที่นายเขตที่คุยโทรศัพท์เสร็จจะวิ่งกลับมาก่อนจะกระดกนมในแก้วที่เหลืออยู่ดื่มลงไปจนหมด

“ เรียบร้อยโรงเรียนนายเขตละครับพี่สน ตอนนี้ทำสัญญาเสร็จโจรกันแล้วว่าผมจะไม่เรียกเธอว่ายัยหมี แล้วเจสก็ห้ามเรียกผมว่าเจ้าเตี้ยอีก ...อ้อ!! แล้วก็สัญญากันว่าจะร่วมมือกันแกล้งฟรองซัวด้วยล่ะ ”

ต้นประโยคสนธยาก็ฟังดีอยู่...แต่พอท้ายประโยคสายตาคม ๆ ก็จ้องเจ้าตัวเล็กเป็นเชิงปราม จนนายเขตทำหน้าแหย ๆ

“ อ่า...ไม่แกล้งฟรองซัวร์ก็ได้ครับ แหะ ๆ ๆ ”

“ เอ้า...ยาแก้แพ้ กินครึ่งเม็ดก็คงง่วง พรุ่งนี้มีสอบ...รีบกินแล้วไปนอนเถอะ ”

สนธยาหักเม็ดยาส่งให้เจ้าตัวแสบก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำตามไปให้ ในขณะที่เจ้าแสบถามกลับอย่างสงสัย

“ อ้าว...ไม่ต้องกินยานอนหลับเหรอครับ ? ”

สนธยาชะงัก...ก่อนที่จะหันไปยิ้มเจือน ๆ ดวงตาคมพลันมีรอยหมองลงทันที

“ เราน่ะกินแค่นั้นก็พอ พี่ไม่ให้กินกันบ่อย ๆ หรอกนะ...ส่วนยานอนหลับนั่นพี่ไม่ให้กินหรอกเพราะมันไม่เหมาะกับเด็ก ”

สนธยาแตะขวดยานอนหลับด้วยปลายนิ้วสั่น ๆ ในขณะที่หันหลังให้เจ้าแสบซึ่งกำลังกลืนยาแก้แพ้ลงไปพร้อมน้ำเปล่าเย็น ๆ นายเขตแอบมองสนธยาก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องนอนของตนเองโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับบรรยากาศเศร้าแบบแปลก ๆ ที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสูงตรงหน้า

สนธยาหยิบขวดยาที่ใช้อยู่เป็นประจำเดินไปล้มตัวลงบนโซฟา ดวงตาคมกริบมีรอยหมองในขณะที่จ้องขวดยาสีน้ำตาลซึ่งบนฉลากแจ้งว่าเป็นยานอนหลับและห้ามใช้โดยไม่มีคำสั่งแพทย์ นิ้วมือแกร่งวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนที่จะถอนหายใจยาวเหยียด

วันไหนที่นอนไม่หลับ...สนธยามักใช้เจ้าสิ่งนี้ช่วยให้หลับลงไปได้อยู่บ่อย ๆ และมันก็ช่วยให้หลับสนิทจนไม่ฝันอะไรที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจอีกด้วย ยังดีที่เขาไม่ติด...จนกินเป็นนิสัย แต่ก็ยอมรับว่าขาดมันไม่ได้ยามที่กลุ้มใจจนโรคเครียดพาให้เขารู้สึกนอนไม่หลับ

เมื่อแรก...สนธยาเอาแต่อ่านหนังสือเมื่อรู้สึกนอนไม่หลับ และใช้เวลาไปกับการจมอยู่กับกองตำราวิชาการที่กองพะเนินเต็มห้องเก็บหนังสือข้างห้องนอน จนไม่นาน...เขาก็เริ่มรู้สึกว่าอาการนอนไม่หลับยิ่งรุนแรงขึ้นทุกครั้งพร้อม ๆ กับความรู้สึกคิดถึงใครคนหนึ่งจนแทบทนไม่ได้ หลายครั้ง...ที่สนธยาอยากกลับไปหาคนตัวเล็กตากลมที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนคนเดิมนั้น แต่ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ...ได้แต่นึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคนตัวเล็กยิ้มหวานคนนั้นเพื่อให้มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ พอหล่อเลี้ยงหัวใจไว้ได้

เสียงทุ้ม...ค่อย ๆ เอื้อนเพลงดังเพียงเสียงกระซิบผะแผ่ววะแว่วหวาน น้ำเสียงทั้งเย็น...ทั้งรื้น...ทั้งเงื่องหงอยเหงาลึกในหัวใจ

“ โอ้ อกคิดถึง...วันคิดถึงคนึงนอนวัน นอนไห้ใฝ่ฝัน…เห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลด...สวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า...ขวัญตาเรียมเอย ”

// หอมกลิ่นกาหลง โอ้...อกเอ๋ย ไหนเลยพี่จะหลับได้ลง
หอมกลิ่นกาหลง...หอมสนิทยืนยงเหมือนรักมั่นคงของพี่เอย //

“ เต็งแต้วแก้วกาหลง...บานบุษบงส่งกลิ่นอาย หอมอยู่มิรู้หาย...คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู ” ***

( *** บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ )


สนธยานั่งอยู่เป็นนาน...ก่อนที่จะค่อยลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หารู้ไม่ว่าเจ้าเด็กน้อยที่นอนไม่หลับนั้นแอบยืนฟังเสียงครวญเพลงเจ้ากรรมนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ ไม่เหมือน...ถึงวันนั้นที่พี่สนร้องในวิทยาลัยจะร้องได้เพราะ แต่...ครั้งนั้นก็ร้องไม่ได้เท่าครั้งนี้เลยจริง ๆ ”

ครั้งที่ร้องในวิทยาลัยด้วยความจำใจนั้น...เสียงทุ้มแลนุ่มหวานดังวะแว่วมิแข็งขืน แต่ก็มีแต่ความเย็นรื้น ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่พื้นเสียงยืนบนความโศกเศร้า

นายเขตหน้าละห้อย...เดินหูตกมายังเดียงนอนก่อนจะก้มลงเขียนรายงานขยุกขยิกก่อนที่สุดท้ายฤทธิ์ยาจะพาให้ง่วงจนหลับน้ำลายยืดเปื้อนกระดาษเป็นวง ๆ ในที่สุด

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


# สวัสดีเฮียใหญ่ภูริที่เคารพ...

อาทิตย์หน้าพี่สนมีสอบ แล้วก็คงพาผมบินกลับไปด้วยกันเพราะพี่สนต้องไปงานแต่งงานของพี่ชายที่กรุงเทพ
คิดว่าถ้าจองเที่ยวบินได้แน่นอนแล้วคงได้โทรบอกเฮียอีกทีละนะ

ช่วงนี้พี่สนอ่านหนังสือหนักมาก ส่วนผมเองพรุ่งนี้ก็มีสอบแต่ก็สบายดี
อีกอย่างมะรืนนี้ก็จะเป็นการสอบวันสุดท้ายแล้วด้วยก็เลยค่อนข้างสบายใจกว่าวันก่อน ๆ

อย่างที่ผมเคยบอก...ว่าพี่สนมักจะนอนไม่ค่อยหลับอยู่บ่อย ๆ จนบางทีผมก็แอบเห็นพี่เค้าลุกขึ้นมากินยานอนหลับเอากลางดึกเป็นประจำ
แต่ดูเหมือนวันนี้พี่สนก็นอนไม่หลับ...แต่ไม่ยักกะกินยานอนหลับเหมือนที่เคย ๆ
วันนี้ผมได้ยินพี่สนร้องเพลงไทย เพลงที่เคยเรียนสมัยก่อนคนเดียว เสียงฟังดูเศร้า ๆ จนผมเลยไม่กล้าพูดอะไร
และบางทีผมก็เห็นพี่สนเอาแต่นั่งจ้องสายสร้อยที่ร้อยแหวนทองวงเล็ก ๆ อยู่คนเดียวในห้องนอน...บางครั้งเรียกไปพี่สนก็เหม่อจนไม่ได้ยิน

ผมสงสัยอยู่อย่าง...ที่เฮียเคยบอกว่าพี่สนเป็นคนสบาย ๆ ค่อนข้างยิ้มง่าย
พอนึกคำพูดของเฮียได้...จากนั้นพอมองดูพี่สนที่ผมเห็นอยู่ทุกวันแล้วเปรียบเทียบกันกับสิ่งที่เฮียบอกมานั้น
ผมรู้สึกว่ามันขัด ๆ กันอย่างไรพี่กล

ก็ตั้งแต่แรกที่พบ...พี่สนพูดน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ที่ผมไม่เคยบอกเฮีย...ก็เพราะไม่เคยเฉลียวใจ แล้วก็จำคำเล่าในลักษณะนิสัยของพี่สนจากเฮียไม่ได้ตั้งแต่แรก
พี่สนมักจะใจดี...ยิ้มบาง ๆ แต่ก็ไม่เคยยิ้มกว้างเหมือนคนอื่น ๆ ...อย่างมากผมก็เห็นพี่สนอมยิ้มบาง ๆ เท่านั้น
ดีกว่านั้นหน่อยก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ...แต่ไม่เคยเห็นพี่สนหัวเราะดัง ๆ สักหน

คิดไปคิดมา...ฟังดูไม่เหมือนคนเดียวกันกับที่เฮียเคยเล่าถึงเลยสักนิด

หรือผมจำสับสนเองก็ไม่รู้สิ...บางทีเฮียอาจเล่าถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่สนละมั้ง
ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว...ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่

ว่าแต่...เฮียอยากให้ผมซื้ออะไรกลับไปฝากรึเปล่า ? ถ้ามีก็บอกละกันนะ แล้วผมจะโทรไปหาก่อนขึ้นเครื่อง
ฝากบอกแม่ผมด้วยนะว่าผมคิดถึง...(ถึงสาว ๆ หมีใหญ่แถวนี้จะน่ารักดีก็เถอะ แต่ผมก็คิดถึงแม่อยู่ดี)
แล้วเฮียอย่าลืมบอกแม่ด้วยนะว่าผมกำลังจะได้กลับไปหาประมาณอาทิตย์หน้าน่ะ

จากนายเขตบดินทร์




ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว31
โดย:ทิวารา

คนตัวสูงลงจากรถโดยไม่รอให้คนขับต้องมาเปิดประตูให้ สนธยาหันไปพยักหน้าให้นายเขตตัวแสบก่อนที่จะพากันลากกระเป๋าเดินทางลงจากรถด้วยตัวเอง โดยที่สนธยาให้เหตุผลกับเด็กหนุ่มว่า

“ พี่ไม่ชอบให้เรียกแม่บ้านว่าคนใช้ เพราะเดี๋ยวเรานี่แหละจะติดนิสัยจนเอาแต่ใช้เขาไปเรื่อย...ใช้จนเรื่องไหนที่ตัวควรจะทำเองให้ได้นั้นเราก็จะขี้เกียจ จะพาลไม่ทำเอง แบบนั้นมันไม่ดี...เราอาจสบายในบางเรื่องได้ตามสมควรแต่เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ด้วยรู้ไหมเขต ”

นายเขตที่เชื่อฟังสนธยาเพราะต้องการเรียนรู้ไว้ทำเป็นตัวอย่างนั้นพยักหน้าอย่างว่าง่ายจนสนธยาอดเอ็นดูไม่ได้ เสียงทุ้มนุ่มจึงเอ่ยต้อพร้อมรอยยิ้มหวาน...อ่อน ๆ

“ สำหรับพี่...คนที่รับผิดชอบตนเองได้นั่นแหละคือคนเก่งที่สุด ”

หยอดไว้อย่างนั้น...เลยทำให้นายเขตบดินทร์ตัวแสบยิ่งพยายามหิ้วสัมภาระลงจากรถด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...เพราะอยากเป็นคนเก่งนั่นเอง!!

จากสนามบินมาจนถึงบ้าน...นั่งรถไม่นานก็มาถึง และสำหรับสนธยาแล้วการกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดว่าอิ่มอกอื่มใจแล้ว แต่การกลับมาเยี่ยมบ้าน...มันมีความหมายมากกว่าที่เคย!!

‘บ้าน...’ วินาทีนี้คำพูดสั้น ๆ คำนี้พาให้เนื้อหัวใจพลันซาบซ่าน...อบอุ่นประหลาดล้ำกว่าคำไหน

และพอก้าวเข้าไปในบ้าน...มารดาของคนตัวสูงก็เดินลงมาจากชั้นบน หน้าตาของหญิงวัยกลางคนมีประกายอิ่มเอิบแจ่มใส ออกท่าทางดีใจที่ลูกชายได้กลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่ไปนาน 4 ปีและไม่เคยแม้แต่จะกลับมาหา เพราะสนธยาเอาแต่เรียน...เรียน...เรียนทั้ง ๆ ที่ปิดเทอมแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน ผลที่ได้ก็คือ...หากวิชาที่สอบเมื่อ2-3วันก่อนนั้นผ่านหมดก็เท่ากับว่าชายหนุ่มสำเร็จการศึกษาแล้วเป็นที่เรียบร้อยโดยใช้เวลาน้อยกว่าตามหลักสูตรปรกติถึง 1 ปี

“ ตาสน!!...จำได้ว่าเมื่อต้นปีที่ไปเยี่ยมแม่ยังรู้สึกว่าหนูผอม แต่ทำไมตอนนี้ยิ่งผอมละลูก!! ”

ผู้เป็นมารดาโอบกอดสนธยาแน่น...น้ำตาคลอน้อย ๆ ในขณะที่เอ่ยบ่นตามประสาคนเป็นแม่ที่เห็นลูกผอมละเป็นไม่ได้ จะต้องขยันหาของกินมาบังคับขู่ให้กินเพราะกลัวว่าจะผอมแห้งแล้วเจ็บไข้ได้ป่วย จนสนธยาต้องล้อบ่อย ๆ ว่า...

“ โธ่แม่ครับ...ไม่ใช่ว่าผอมแล้วจะหมายถึงไม่แข็งแรงนี่ครับ แล้วไอ้ที่อ้วน ๆ มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี...โรคตั้งมากตั้งมายนี่ล่ะมากจากความอ้วนเป็นเหตุนั่นละครับ ”

พอจาระไน...สาธยายถึงโรคที่เกิดจากการกินไม่ระวังมาก ๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน คุณแม่คนดีของสนธยาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาบ้าง

“ กินน้อยก็ไม่แข็งแรง...กินมากก็ไม่ดีแบบนี้ก็แย่สิจ๊ะ แล้วทีนี้จะให้ทำไงดีล่ะ ? ”

สนธยายิ้มกว้างแบบที่ไม่ค่อยได้ยิ้มให้ใครเห็น...พลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงทุ้ม...เอ่ยประเหลาะเอาใจ ด้วยกลัวมารดาจะกังวล

“ น้อยไม่ดี มากก็ไม่ดี...เก๊าะกินพอดี ๆ ซิจ๊ะแม่ แบบนี้แหละถึงจะแข็งแรง ”

แม่ของสนธยายิ้มให้นายเขตอย่างใจดีก่อนจะพาชวนเข้าไปกินขนมหวานในครัว...ในขณะที่สนธยาก็ค่อยหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นชั้นบนเนื่องจากคนเป็นแม่พูดฝากให้เขารีบขึ้นไปด้านบน

“ พี่น็อตของลูกไม่ค่อยสบาย หนูไปดูพี่เค้าหน่อยสิลูก...นี่จะแต่งกันอีกไม่กี่วันนี่แล้วแม่กลัวจะป่วยไข้ไม่สบายหายไม่ทันเอาได้ ”

นาน...นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาในห้องของพี่ชายต่างมารดา นานมากจนสนธยาจำไม่ได้ว่าข้างในห้องนั้นวางอะไรไว้ตรงไหนบ้าง แต่พอเปิดประตูเข้าไป ใบหน้าคมก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำพร้อม ๆ กับดวงตาคมแลเห็นร่างสูง ๆ ของพี่ชายนอนหลับอยู่บนเตียงนอน


อนุพงษ์นอนหลับอยู่บนเตียงนอนโดยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวว่ามีแขกมาเยี่ยมถึงในห้อง คนตัวสูงนอนหลับในชุดเสื้อเชิร์ทสีเข้มโดยถอดเนคไทวางพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ กระดุมเสื้อถูกปลดให้หายใจได้สะดวก...จนสนธยาแลเห็นผิวหนังช่วงอกของพี่ชายสะท้อนขึ้นลงตามแรงหายใจ

ช่วงหลัง ๆ ...อนุพงษ์ดูเหมือนจะเข้าใจมารดาของสนธยาดีขึ้น และก็เลิกตั้งแง่รังเกียจ...จนสุดท้ายกลับกลายเป็นสนิทสนมกันได้ถึงขั้นที่ลูกชายคนโตนั้นสามารถพาคุณแม่ของสนธยาไปเดินซื้อของด้วยกันได้อย่างสนุกสนานเสียอีกด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นคำบอกเล่าของมารดา...แต่สำหรับตัวสนธยาแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมันหยุดชะงักตั้งแต่ไปจากบ้านเมื่อ 4 ปีก่อน และทั้งคู่ก็ไม่เคยได้พูดคุยกันอีก

สนธยาสังเกตว่าพี่ชายของตนหายใจสะดุดเป็นระยะจึงหยิบเครื่องช่วยฟังขึ้นมาคล้องคอ ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วขยับแตะเพื่อเปิดอกเสื้อของพี่ชายที่นอนหลับ แต่มือเย็น ๆ ก็ทำให้คนที่เคยหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแทบจะทันที...ก่อนที่ดวงตาของคนทั้งคู่จะสบกันนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง

“ เห็นแม่ว่าพี่ไม่สบาย...เลยจะตรวจ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบ...ผมก็ขอโทษด้วย ”

สนธยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มเจือนระบายอยู่บาง ๆ พร้อมกับตั้งท่าจะลุกเดินจากไป...แต่ฝ่ายพี่ชายกลับลุกพรวด ถลาลุกขึ้นมาจับแขนรั้งคนเป็นน้องเอาไว้นิ่งอึดใจหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยเสียงอ่อน

“ ไม่เป็นไร...ตรวจเถอะ ”

นั่นทำให้สนธยาค่อยนั่งลง...แล้วแตะเครื่องช่วยฟังลงบนอกพี่ชาย ก่อนที่จะซักลักษณะอาการด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเรียบเรื่อยโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพี่…และสุดท้ายจึงสรุป

“ โรคภูมิแพ้ของพี่คงกำเริบน่ะครับ...ไว้ผมจะไปซื้อยาที่ร้านขายยามาให้ ”

พอสนธยาตั้งท่าจะลุก...คนที่เคยนอนให้ตรวจนิ่ง ๆ ก็รีบลุกก่อนที่เสียงห้าว ๆ จะเอ่ยโพล่งขึ้นทันที รั้งให้สนธยาตกใจจนถึงกลับหันหน้ากลับไปมองพี่ชาย

“ ที่แล้วมา...พี่ขอโทษ พวกเรา...ยังจะกลับไปเป็นพี่น้องเหมือนสมัยก่อนได้ไหม? ”

คนพูดว่าเขิน...คนฟังซิยิ่งเขินจนทำอะไรไม่ถูก เพราะคำว่า ‘สมัยก่อน’ ทำให้สนธยาถึงกับยิ้มเขินแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะคำว่าสมัยก่อนพาให้นึกถึงวันที่เด็กชายสนธยาถูกมารดาพามาเที่ยวที่บ้านนี้เป็นครั้งแรกจนได้พบกับเด็กชายอนุพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็อายุจวนเจียนจะทำบัตรประชนชนแล้วกลายเป็นนายอนุพงษ์อยู่มะรอมมะร่อ

เด็ก2คนเล่นกัน...แค่ครึ่งวันก็ตัวติดเป็นตังเม คนพี่ก็ออกอาการหวงน้องเพราะเคยเป็นลูกคนเดียวและอยากมีน้องใจจะขาด ดังนั้นพอมีน้องมาเล่นด้วยก็เลยออกท่าออกทางหวงจนถึงขั้นจะไม่ยอมให้พากลับบ้านในตอนเย็น

มารดาของสนธยาซึ่งตอนนั้นเป้นผู้หญิงธรรมดาที่เป็นหม้ายสามีตายไปหลายปีนั้นไม่ได้คิดว่าพ่อม่ายที่หย่าขาดกับภรรยาสาวจะเกิดสนใจตนเองถึงขั้นชวนมาเที่ยวที่บ้าน...เพื่อใช้ลูกกระชับความสัมพันธ์ซะอย่างนั้น

พอคนพี่คิด...คนน้องก็ต้องถูกพามาบ่อย ๆ จนหนัก ๆ เข้าก็เลยได้เห็นภาพเด็กหนุ่มน้อยอุ้มน้องตัวเล็ก ๆ อายุ 6 ขวบกว่า ๆ ขี่หลังวิ่งทั่วบ้านสนิทกันจนถึงขั้นที่ว่าเวลาสนธยาไม่สบายแล้วแม่ไม่พามาหา ‘พี่น็อต’ สนธยามักจะนอนเป็นไข้...ร้องไห้เงียบอยู่บนเตียงจนคนเป็นแม่นั้นแสนจะสงสาร

พอคิดถึงวันคืนอบอุ่นที่ผ่านมานานแสนนานอันนั้น...สนธยาก็อดยิ้มอ่อนพลางออกท่าเขินไม่ได้

“ อย่าโกรธพี่เลยนะ...เพราะแม่ เอ่อ...แม่ของพี่นะไม่ใช่แม่ของตัว ”

อนุพงษ์กลับไปใช้...ถ้อยคำที่สมัยเด็กเคยใช้กับน้องตัวน้อยอีกครั้ง เพราะหากแม่บ้านคนเก่ามาได้ยินก็คงรู้ดีว่าพี่น้องคู่นี้เคยพูดจากันอย่างไร

ตอนอนุพงษ์พับเรือลอยในอ่าง สนธยาที่ยังเด็กก็มีอ้อน...ขอบ้าง

“ ปี้จาย...ทำให้หนูมั่ง ๆ ”

พอเสียงแจ๋ว ๆ ร้องขอ...ก็จะมีเสียงเด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างรำคาญหน่อย ๆ ของอนุพงษ์ดังมาให้พวกผู้ใหญ่ได้ยินแว่ว ๆ

“ ก็เดี๋ยวซิ!! กำลังพับอยู่นี่ไง...ตัวอยากเล่นก็รอเฉย ๆ สิน่า ”

นึกถึงวันเก่า ๆ ทีไร...บางทีอนุพงษ์ก็รู้สึกผิดทุกทีที่ไปเชื่อมารดาแท้ ๆ ของตนเองที่แอบมาใส่ไฟให้ตัวเขาที่เป็นลูกชายฟังว่า

// เขามาแม่เลยถูกป๊าของหนูไล่ออกจากบ้าน เขาจะมาแย่ง...มาฮุบของ ๆ หนูหมดทุกอย่างแล้วไล่ไปอยู่ข้างถนน หนูต้องอย่ายอมให้ป๊าแต่งงานใหม่นะลูก แล้วก็คอยบอกให้ป๊ากลับมาดีกับแม่ไวไวดีไหม? //

อนุพงษ์จำได้...ท่าทางที่แม่กรีดนิ้วซึ่งทาเล็บสีแดงไปมาพลางเอ่ยชักจูงตัวเขาที่อายุแค่ 15-16 ให้หลงเชื่อ ดังนั้นจากเมื่อแรกที่เคยรู้สึกดี ๆ ให้...ตอนหลังเลยกลับกลายเป็นเกลียดชังพวกสนธยาเอาทั้งแม่ทั้งลูก จนกระทั่งโต...ถึงค่อยรู้ความว่าที่ป๊าหย่ากับแม่เพราะว่าจับได้ที่ไปนอกใจเลื้ยงผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อยู่นอกบ้านอีกคนนึง

แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ยังระแวงว่าสิ่งที่แม่เคยพูดให้ฟังมันจะเป็นเรื่องจริง เพราะสนธยานั้นยิ่งโตก็ยิ่งเป็นเด็กทั้งเรียนดีทั้งฉลาด ทำให้อนุพงษ์ไม่สามารถลบความรู้สึกที่ว่า... “ เขาจะมาแย่ง ” ออกไปจากสมองได้

แต่กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อสนธยาไปไกล...เพียงแค่ 3 เดือนอนุพงษ์ก็เริ่มรู้แล้วว่าอันที่จริงแล้ว สายใยเบาบางระหว่าง “น้องสน” กับ “พี่น๊อต” อันที่จริงก็ยังไม่เคยถูกสะบั้นขาดลงไปได้เลย จนเมื่อคิดทบทวนดี ๆ ถึงได้เข้าใจตัวเองได้ว่า...ถึงแม้จะตะโกน จะก่นด่า จะถากถางสารพัด แต่ใจจริงก็ยังแอบสอดส่องพฤติกรรมของคนเป็นน้องอยู่เสมอด้วยความห่วงใยอยู่ลึก ๆ แต่ไม่ได้รู้ตัว


“ ยกโทษให้ได้ไหม? กับอะไรที่พี่เคยทำลงไป...ทุก ๆ อย่างเลย ”

อนุพงษ์ถามเสียงละห้อย...เพราะเห็นสนธยาเงียบไม่ตอบอะไร

“ ผม... ” สนธยาพูดขึ้น จนคนที่เคยหน้าเศร้าจึงค่อยเงยหน้าขึ้นฟังอย่างสนอกสนใจ

“ จะยกโทษให้ได้ยังไงละครับ ? ” พอฟังอย่างนั้น...คนขอให้ยกโทษก็หน้าเสีย ดวงตาคมของอนุพงษ์หมองลงจนสนธยาตกใจ...รีบล่ำลักบอกขึ้นทันควัน

“ ก็...จะให้ผมยกโทษยังไงละครับ ก็...ก็ในเมื่อผมเคยโกรธพี่น็อตซะที่ไหน!! ”

เท่านั้นเอง...อนุพงษ์ก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะค่อยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่ออย่างเขิน ๆ เก้ ๆ กัง ๆ ตามประสาพี่ชายมือใหม่เพราะร้างราการมีน้องชายมาเป็นนาน

เสียงหัวเราะของพี่น้องสองคน...ทำเอามารดาของสนธยาที่ยืนฟังอยู่ถึงกับแอบยิ้มด้วยความดีใจ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คนตัวสูง...เดินในห้างสรรพสินค้าหลังจากที่เมื่อคืนคุยกับอนุพงษ์จนดึกเลยไม่ได้ออกมาซื้อยาให้ เขาจึงตัดสินใจเข้าห้างสรรพสินค้าในตอนสาย ๆ เพื่อแวะซื้อยาจากเภสัชกรโดยตรง

ในขณะที่เดินถือถุงยาก็นึกอยากดูหนัง...เลยไปวนเวียนดูโปรแกรมหนังอยู่นานกว่าจะตัดสินใจซื้อตั๋วหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง สนธยาพยายามไม่หันไปมองคนรอบ ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจากใครหลาย ๆ คน...ทำเอาความมั่นใจหายลงไปหลายแต้ม จนบางทีเขาต้องแอบก้มลงเช็คสภาพเสื้อผ้าอยู่บ่อย ๆ ด้วยความระแวง กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีจนเป็นเป้าผู้คนแบบนี้

เมื่อแรก...นั่งรอเข้าโรงอยู่นาน แต่เมื่อชักทนสายตาหลายคู่ที่จับกลุ่มมองมาอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้คนตัวสูงก็เลยลุก ตัดสินใจเดินไปซื้อน้ำเตรียมเอาเข้าไปในโรงหนัง

ดวงตาคมส่งประกายอ่อน ๆ ให้พนักงานก่อนจะสั่งเครื่องดื่ม ในขณะที่สายตากระหวัดไปเห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนุ่งยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องน้ำที่อยู่ไกลออกไปจากจุดนั้นเล็กน้อย ชายหนุ่มจ่ายเงินก่อนที่จะยืนดูดโค้กจ้องเด็กหญิงตัวเล็กยืนบิดไปบิดมาอยู่หน้าห้องน้ำชาย...มองดูน่าสงสารแต่ก็ชวนให้ขำขันเช่นกัน

“ น้องครับ...ปวดปัสสาวะเหรอ ? แล้วนี่ผู้ปกครองไปไหนละ ? ”

เด็กหญิงผมยาว...สวมเอี๊ยมยีนส์สีน้ำเงินในขณะที่ผมยาว ๆ ถูกถักเป็นเปียสองข้างมองดูน่ารัก ดู ๆ ไปแล้วสนธยาก็รู้สึกเหมือนเค้าหน้าตาน่ารัก ๆ คล้าย ๆ คนรู้จักคนไหนสักคนแต่เขาก็นึกไม่ออก

ร่างเล็กป้อมกำลังบิดตัวไปมาจนมองดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังปวดปัสสาวะเต็มที่ เด็กหญิงหันมาตอบเสียงใสทั้ง ๆ ที่เท้าเล็ก ๆ ซึ่งกำลังสวมรองเท้าผ้าใบนั้นย่ำไปบนพื้นไปมาเหมือนคนจะทนไม่ไหว

“ ป่าป๊าเข้าห้องน้ำค่ะ น้องมุ๊จต้องรอป่าป๊า ไม่งั้นถ้าหายไป...ป่าป๊าจะร้องไห้วิ่งตามหาอีก ”

คำว่า ‘อีก’ บอกให้รู้ว่าที่บิดาของเด็กน้อยต้องถึงขั้นร้องไห้ตามหานั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ทำเอาสนธยาแอบขำ...เพราะประเมินได้ว่ายัยหนูคนนี้คงซนให้พ่อแม่ต้องใจหายกันไม่ใช่เบา ๆ

“ อุ๊ย!! ลืมไป...ป่าป๊าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า ขอโทษน้าค้าคุนยุง น้องมุ๊จคุยด้วยไม่ได้แล้วละ เดี๋ยวป่าป๊าออกมาจากห้องน้ำจะดุน้องมุ๊จ ”

เธอตอบเสียงใสในขณะที่ร่างเล็ก ๆ บิดตัวไปมา...สนธยาเพียงหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยบอกอย่างเอื้อเฟื้อเช่นกัน

“ พี่จะไปยืนตรงโน้นนะครับ ” สนธยาชี้ไปทางเคาท์เตอร์ขายเครื่องดื่มของโรงหนัง “ ถ้าใครมารังแกก่อนที่พ่อจะออกมาจากห้องน้ำ หนูก็ตะโกนเรียกนะครับ...พี่ไปละ ”

สนธยาพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่จะเดินห่างออกมา แม้ว่าจะหยิบหนังสือมายืนอ่านหลบอยู่แถว ๆ เคาท์เตอร์ขายเครื่องดื่มเป็นการฆ่าเวลา แต่ดวงตาคม ๆ ก็มักจะลอบมองไปสังเกตการณ์ที่เด็กหญิงอย่าเป็นห่วงอยู่บ่อยครั้ง ด้วยกลัวพวกมิจฉาชีพจะมาหลอกพาเด็กหญิงไป

ราว ๆ 5 นาที...คนตัวสูงที่ยืนอ่านหนังสือจึงได้ยินเสียงแจ้ว ๆ ของเด็กหญิงดังมา

“ อ๊ะ!! น้องมุ๊จปวดฉี่ฉี้จะราดแย้วจ้ะ ป่าป๊าที้วาก็รออยู่ตรงนี้ม่างละกันน้า เดี๋ยวหนูขอปายฉี่ฉี้มั่ง ”

เสียงของเด็กหญิงทำเอาสนธยาหัวเราะคิก...เพราะฟังดูรวบรัดตัดตอนได้ใจมาก ก่อนที่เด็กหญิงจะสั่งให้บิดารอหน้าห้องน้ำ ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะเดินเข้าไปในห้องน้ำฝั่งที่เขียนว่าห้องน้ำหญิง โดยมีเสียงผู้เผ็นบิดาซึ่งพึ่งออกมาจากฝั่งห้องน้ำชายกำลังตะโกนเตือนไล่หลังร่างเล็ก ๆ ที่หายเขาไปในห้องน้ำ

“ น้องมุจอย่าลืมล้างมือก่อนออกมานะครับลูก!! ”

ประโยคนั้น...แม้เป็นประโยคธรรมดาไม่สำคัญ แต่...แต่เสียงนั้นต่างหากที่ทำให้สนธยาต้องหันควับกลับไปตามเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว!!

ภาพ...จารจำย้ำไว้ในอก
ภาพ...ที่คิดถึงทุกครั้งที่ประสพพบความเหนื่อยล้า
ภาพ...ของคนที่ปักใจรักอยู่เสมอมา
ภาพ...ทิวาที่ติดตาเขาอยู่มิรู้ลืม!!

“ เจ้า...วาน้อยของพี่ ”

สนธยามองร่างที่เห็นอยู่ไกล ๆ นั้นก่อนที่เสียงครางต่ำจะเอ่ยชื่อคนที่คิดคำนึงถึงลึกล้ำเสมอมาออกจากปากโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือหนาที่เคยถือหนังสือพ็อคเกตบุ๊คเล่มเล็กพลันถูกทิ้งลงข้างลำตัว ดวงตาคมเบิกโพลง...ยืนนิ่งอยู่หลายอึดใจ ร่างกายสูง...แข็งค้างจนตัวสนธยาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองกำลังหายใจอยู่หรือเปล่า

เจ็บ...เจ็บจนต้องยกมือขึ้นจึกลงเป็นอกเสื้อ ดวงตาเหมือนจะมีน้ำตาเอ่อและที่ขอบตาก็รู้สึกผ่าวร้อน ภาพ...ภูริที่มารับนายเขตเมื่อวานนั้นจึงย้อนเข้ามาในสมอง เขาจำได้ว่าวินาทีที่ถามถึงทิวา...ภูริทำท่าคล้ายกับไม่อยากตอบ จนสุดท้ายเจ้าตัวก็ทำรีบเร่งแล้วลากเจ้าเขตกลับบ้านไปโดยไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังเลยสักคำเดียว

“ บัวน้อยของพี่...เจ้าไม่รอ ไม่รอพี่แล้วจริง ๆ หรือนี่ ? ”

สนธยาครางด้วยเสียงสั่น...ก่อนที่ขายาว ๆ จะพาตัวเองก้าว...วิ่งออกจากที่ตรงนั้นเร็วที่สุดเท่าที่เรี่ยวแรงจะพึงมี!!

==TBC==

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






three

  • บุคคลทั่วไป
 :sad2: :sad2: :sad2:อะไรเนี้ย :sad2: :sad2:

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :o12: o7 :a6:

ราตรีประดับดาว32
โดย:ทิวารา

เพียงคืนเดียวนั้นคนตัวสูงก็เอาแต่มองแหวนวงน้อยด้วยรอยอารมณ์โศกลึก นิ้วซึ่งโดน...มีดผ่าตัดบาดเอาตั้งไม่รู้กี่หนจนเกิดรอยแผลจาง ๆ หลายต่อหลายรอยนั้นลูบไปมาที่แหวนทองวงนั้นอย่างเบามือ

น้ำตา...ไหลช้า ๆ ราวกับกระแสธารเอื่อยอ่อย ค่อย ๆ หยดค่อย ๆ รินทั้งที่ความโศกเศร้าในหัวอกมันมากมายจนบีบอัดพาให้รู้สึกคับแน่นเจ็บปวดไปทั้งอกทั้งใจ

“ เจ็บ...ทำไมมันเจ็บยิ่งกว่าเมื่อตอนโดนมีดผ่าตัดบาดเอาจนนิ้วแทบขาดตอนนั้นซะอีก ”

สนธยาหัวเราะขื่นในลำคอก่อนที่ในสมองจะนึกถึงภาพตัวเองครั้งที่พึ่งไปเรียนที่เยอรมันใหม่ ๆ ...ตอนนั้นเขาทั้งเหงาทั้งเจ็บปวด และสิ่งที่ต้องเรียนก็ทำให้ความเครียดยิ่งสะสม บางที...หัดใช้มีดใช้เครื่องมือ ทั้งมีดผ่า เพอัน (คีมหนีบ) กรรไกร หัดไปหัดมา...บางทีก็ท้อจนแทบจะร้องไห้ไปในขณะที่นิ้วก็กำลังหัดเครื่องมือขยับไปมาไปด้วยในตอนกลางคืน

พอในดวงตาหม่นมัวด้วยรอยน้ำตา...มีดก็ผ่าเข้านิ้ว เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไง เจ็บ...จนต้องบีบแผลที่นิ้วแล้วเอากระดาษทิชชู่กดไว้แน่น แล้วกัดกรามกรอด ๆ เพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด

ดังนั้นหากใครเอามือของสนธยามาแบมองดี ๆ ละก็จะได้เห็น...รอยจาง ๆ มากมายที่เกิดจากการบาดด้วยของมีคมมากมาย มาก...พอ ๆ กับรอยร่องของข้อนิ้วมือตามธรรมชาติ

ชายหนุ่มได้แต่นั่งมองแหวนวงเดียวที่ใช้ระลึกถึงคนที่รักที่สุด มองด้วยดวงตาที่มีหยดน้ำตาเอื่อยไหลในตอนแรก ๆ จนกระทั่งท้าย ๆ ดวงตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ ราแสงลงเหลือแต่ความระโหยโรยล้า และสุดท้ายแล้ว...น้ำตาที่มีก็เหือดไปจนหมด!!

// ร้องไม่ออก...เพราะน้ำตามันไหลไปตกอยู่ข้างใน มันรินลงบนหัวใจราวกับน้ำกรด...รดจนหัวใจแสบชาเจ็บร้าวอยู่ภายในอย่างทารุณที่สุด//


คืนเดียว...แล้วสนธยาออกมาจากห้องนอนในตอนเช้าด้วยดวงตาช้ำ ๆ แบบที่อนุพงษ์ยังตกใจ แต่ไม่ว่าจะถามสักเท่าไหร่คนเป็นน้องก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยเล่าแม้สักคำเดียว สนธยาได้แต่ยิ้ม...ยิ้มอ่อนบางด้วยเรียวปาก แต่ในดวงตากลับไม่มีแม้แต่แววแจ่มใส

หัวใจ...โดนทำลายแหลกสลายลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ดังนั้นต่อให้อย่างไรใบหน้าที่อ่อนโยนเป็นนิจก็เลยไม่มีแม้แต่แววโศก จะมีก็แต่ประกายอ่อนหวานในดวงตาเท่านั้นที่ขาดหายไปแล้วอย่างมิมีใครได้รู้สาเหตุ

อ่อนโยน...เหมือนคนเดิมแต่ไม่ใช่อย่างเดิม
ยิ้มเยื้อนอ่อนหวาน...เหมือนที่เคยแต่ก็ไม่หวานสนิทในหัวใจใคร ๆ เหมือนเช่นเดิมอีกแล้ว
ดวงตาที่เคยช่างเจรจาเสียกว่าริมฝีปาก...เคยทอแสงอ่อนด้วยรอยรื้นรินเย็นแสนสุขแต่บัดนี้ก็ไม่เย็นรื้นเหมือนเดิมอีกแล้ว

// เย็น...ไม่รื้นเรื่อยฉ่ำหวาน แต่เย็น...เหมือนดวงตาเย็นเยือกชอกช้ำของคนไร้หัวใจ!!//

“ สน...มีอะไรบอกพี่ได้นะ ”

อนุพงษ์พยายามพูด...ทั้ง ๆ ที่การเก็บความรู้สึกจนนิ่งเย็นนั้นมิดชิดเสียจนคนรอบข้างแทบไม่แน่ใจในสัมผัสของตัวเอง บางคนได้แค่สงสัยว่า เอ...ทำไมแปลกไป แต่ทว่าก็รู้สึกเพียงนิดและก็บอกไม่ได้ว่าสนธยาแปลกไป ‘จริง’ หรือ ‘ไม่จริง’ กันแน่

“ ไม่มีอะไรนี่...อะไรที่ว่านั่น...ผมลืมไปแล้วละมั้ง ”

สนธยายิ้มเย็น...เย็นเยือกแต่มิใช่เย็นรื้นเหมือนเช่นวันเก่า

// ลืม...ต้องลืมให้หมด ความเจ็บปวดจากการเอื้อมคว้าสิ่งที่ไม่ควรคว้า ชีวิตของคนที่รักเป็นสุขก็ดีแล้วมิใช่หรือ ? เพราะงั้นเขาจะร้องไห้ทำไม ? จะไปทุกข์ร้อนหรือคิดจะไปหาอีกฝ่ายทำไม? ...ในเมื่อการปรากฏตัวของเขาอาจทำให้ทิวารู้สึกยุ่งยากในหัวใจ //

น้ำตา...หยดลงในอก กระทบหัวใจหยดแล้วหยดเล่าอย่างช้า ๆ อยู่ภายใน
เหมือนหยดน้ำกรดที่กัดกร่อน...กัดกร่อนให้หัวใจละลายอารมณ์ที่มีหายไปจากร่างกาย จากหัวใจ

“ พี่...ผมกลับเยอรมันอาทิตย์หน้านะ เพราะต้องกลับไปรับปริญญา พ่อกับแม่บอกว่าจะตามไปแต่...ผมบอกไปแล้วว่าจะรับข้อเสนอของทางมหาลัย ”

สนธยาบอกพี่ชายช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท...ราวกับผิวน้ำที่ไร้ซึ่งคลื่นน้ำใดใด

“ ข้อเสนออะไรเหรอ ? แล้วทำไมไม่ให้ป๊ากับแม่ไปล่ะ ? ในเมื่อรับปริญญาทั้งทีนะสน...นี่พี่ยังกะว่าจะไปด้วยเลยนะ ”

สนธยาเพียงยิ้มบาง...ก่อนที่จะเอ่ยบอกถึงรายละเอียดที่ทางมหาวิทยาลัยส่งเอกสารติดต่อมาทางอีเมลเมื่อวันก่อน

“ พอดีว่าผม...อาจจะรับข้อเสนอเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลที่เป็นเครือข่ายของคณะแพทย์ของมหาลัยน่ะครับ เค้าว่าอย่างผมที่จบก่อนหลักสูตรน่าจะลองดู...ถ้าผลประเมินออกมาดีเค้าก็จะให้ผมเข้าประจำเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลที่โน่นถาวรไปเลย ผมว่ามันก็ดี...ถึงจะเสียเวลาเป็นแพทย์ฝึกหัดอีกปี2ปีก็เวิค สำหรับผมที่เรียนทางศัลย์มาโดยตรง ”

// ควรจะดีใจไหม ?...น้องที่ตัวเองโง่ผลักไสให้ไปถึงเยอรมันนั้น บัดนี้เป็นที่ต้องการของทางโน้น...จนอาจจะต้องแยกไปอยู่ห่างไกลเป็นการถาวร //

อนุพงษ์รู้สึกดีใจ...ที่รู้ว่าน้องเก่งและเป็นที่ยอมรับมากถึงขั้นนี้ แต่...คนที่พึ่งมารู้สึกตัวแล้วได้มีความสุขกับการมีน้องชายเช่นตัวเขานี้ กลับรู้สึกโหวงในอกเมื่อรู้ว่าเป็นไปได้ที่น้องจะไปไกล...ไม่ได้มาใกล้ชิดกันอีกและก็อาจจะเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิตหากสนธยาได้เป็นแพทย์ประจำที่โน่นเต็มตัว

“ เธอเก่ง...พี่ภูมิใจมาก แต่...ในฐานะคนเป็นพี่ชายแล้วพี่รู้สึกเสียใจที่เราไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างที่หวังเอาไว้ พี่...ไม่รู้สินะ พี่หวังว่าคราวนี้เมื่อเอกลับมาเราอาจจะได้ชดเชยอะไร ๆ ที่เราได้เสียไป ได้ชดเชยเวลาที่เราไม่ได้เล่นด้วยกันมานาน...นานมากแล้ว ”

คำพูดของคนเป็นพี่ทำเอาสนธยาหัวใจอ่อนยวบลงไปไม่น้อย ดวงตาคมทอแสงอ่อนก่อนที่วงแขนค่อนข้างหนาจะโอบรอบไหล่พี่ชายก่อนจะกอดไว้หลวม ๆ

//เป็นปรกติเขาอาจจะร้องไห้ไปแล้ว...แต่ดูเหมือนหัวใจดวงนี้จะตายลงไปเสียแล้ว ดังนั้นน้ำตามันก็เลยไม่ไหลออกมาสักหยด ไม่ไหลทั้ง ๆ ที่หัวใจโหวงเหวงถึงขนาดนี้ //

สนธยาคิดกับตนเองก่อนที่จะยิ้มอย่างขื่นขม...ยิ้มเพียงแว่บเดียวก็ค่อยคลายสีหน้ากลับไปเรียบสนิทเช่นปรกติ ก่อนที่รอยเสียงจะเอ่ยออกไปอย่างเย็นเยือกสงบสนิท...นิ่ง

“ ผมขอโทษ...แต่ไม่ว่าจะอยู่ไหนผมก็ยังเป็นน้องพี่นะ ผมสัญญาว่าจะมาหาทุกปี...นะครับ ”

อนุพงษ์ยกมือหนา ๆ ขึ้นตบหลังน้องชายอย่างจนใจ

แต่...ลึก ๆ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าน้องกำลังหนีจากอะไรอยู่หรือเปล่า ? มันเป็นสังหรณ์ที่แทรกลึกเข้ามาในสมองอย่างไม่มีสาเหตุ ดวงตาของคนเป็นพี่ทอประกายทั้งหนักใจระคนกับความรู้สึกหมองเศร้า

“ สน...เราเก่ง เราโตและเป็นน้องที่พี่ภูมิใจนะ แต่...พี่พูดได้แค่ว่า จงอย่า...หนีหัวใจตัวเอง ”

คำพูดของพี่ชายทำให้สนธยาสะดุ้งสะเทือนจากในหัวใจได้เป็นครั้งแรกในหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเป็นน้องเงยหน้าขั้น...ดวงตาที่มองสบตาพี่ชายมีรอยรวดร้าวจนเห็นได้ชัด!!

“ แล้ว...ผมจะหนีอะไร ๆ ที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้ไหม? ถึงจะไม่ได้หนีเพราะเกลียด ถึงจะหนีเพราะรัก...แต่ว่าผมก็ต้องหนีเพราะเจ็บจนทนไม่ได้ ”

สนธยายกมือหนาขึ้นปิดดวงตาทั้งคู่ของตนเอง...เพรารู้ตัวว่าอารมณืของเขาไม่ได้นิ่งอย่างที่ควรจะเป็น เขารู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าดวงตาของเขาคงบอกอะไร ๆ ให้พี่รู้มากพอดูเลยทีเดียว

“ ผม...หนีเพราะเจ็บ หนีเพราะ...ผมเป็นคนที่ใครบางคนไม่อยากพบอีกแล้ว แบบนี้...ผมจะสามารถหนีได้ไหมครับพี่ ? ”

ผ่านนิ้วมือ...น้ำตาของคนเป็นน้องไหลผ่านออกมาจากนิ้วมือหนาที่พยายามปิดดวงตาของตนเองแน่น อนุพงษ์มองภาพน้องที่ร้องไห้โดยไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นอย่างตกใจ

เพราะไม่มีแม้เสียงครือครางโหยไห้...ไม่มีเสียงรำพันเหมือนคนอื่นเขา
มีแต่น้ำตา...ที่ไหลออกมามากมายด้วยความซื่อสัตย์ต่อหัวใจซึ่งเจ็บร้าวอย่างที่สุดนี้!!

“ พี่น็อต...ผมกำลังจะตาย กำลังจะตาย...จากข้างใน ผมบอกไม่ถูก...รู้แต่ว่าตัวเองกำลังตายอย่างช้า ๆ จากภายในนี้...จากตรงนี้!! ”

สนธยาแตะมือที่อกก่อนจะเปลี่ยนเป็นกำแน่น...

มือหนึ่งปิดดวงตา...ทั้ง ๆ ที่นิ้วเปื้อนน้ำตามากมายที่โรยรินออกมาไม่ขาดสาย
แต่อีกมือ...แตะลงที่ตรงหัวใจ ก่อนจะกำอกเสื้อจนแน่น...เหมือนคนเจ็บปวดจากภายในจนแทบทนไม่ได้

“ หัวใจผม...กำลังจะตาย ”


==TBC==

[ตรงนี้เป้นส่วนที่ผู้เขียนลงไว้ตอนเขียนเรื่องนี้นะค่ะ]



ตอนนี้...กำลังโดนเพื่อนที่ตามอ่านค่อนแคะว่าเป็น ' ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนเรื่องหม่นหมอง '

เคยได้ยินไหม ? ว่าถ้าอยากรู้ความคิดของใครก็ให้อ่านงานเขียนของคน ๆ นั้น

แล้วไอ้คำพูดนี้ก็ย้อนมาทำร้ายเรา...เพราะเพื่อนถามว่า

" แกมีความสุขกับชาวบ้านเขาบ้างไหม ? "

ได้โปรดเถอะ...อย่าถาม เพราะไม่อยากตอบ
เรามีความสุขบางเรื่อง ทุกข์บางเรื่อง
สุขบางด้าน ทุกข์บางด้าน
แล้วก็เหนื่อยบางด้าน...เหงาบ้างเพราะบางทีทุกข์แล้วก็ไม่รู้จะไประบายเอากับใคร เราก็อยู่ของเราตัวคนเดียว มีหน้าที่ให้คนอื่น...แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีหน้าที่ รับจากคนอื่น

บอกได้แค่ว่า...คนที่จะเขียนเรื่องทุกข์ได้ดีจะต้องเคยทุกข์

คนที่จะเขียนเรื่องสุขได้ดี จะต้องเคยมีความสุข

เพราะไอ้อะไรที่ไม่เคยประสพด้วยตัวเอง...มีหรือจะบรรยายออกมาได้เหมือน ?

(เหมือนแนะแนวการศึกษาเลยเนาะ...หัวข้อว่าด้วยการเขียนให้คนอ่านหม่นหมอง) หัวเราะ...

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว33
โดย:ทิวารา

วา...เธอจะรู้ไหมว่าพี่อยากหนีไป...ด้วยความหวาดกลัว เพราะกลัว...ว่าจะต้องได้ยินคำพูดตัดขาดพี่ออกจากปากเธอ!!
............................................

คนตัวสูงโปร่งนอนหายใจสม่ำเสมอในขณะที่เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ วิ่งตึง ๆ เข้ามาใกล้แล้วยัยหนูก็โดดใส่คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาจนทำเอาคนที่กำลังนอนหลับต้องสะดุ้งสุดตัว

“ ปาป๊าที๊วาค้า~ ยุงภูรี้มาหาค่า~ ”

เด็กหญิงโดดทับท้องของ ‘คุณพ่อ’ จนคุณพ่อตัวสูงที่ผอมบางแทบจะกระดูกหัก

“ อุ๊บ!! มุจลินทร์ พ่อบอกกี่หนแล้วครับว่าอย่าโดดใส่ หลังพ่อไม่ค่อยดีแล้วนะครับ...พ่อแก่แล้วนะ ”

“ อะไร...จะแก่ไม่รอกันแล้วเรอะ ”

ภูริที่เข้ามาพร้อมคุณนุชร้องแซว ก่อนที่ภูริจะอุ้มเด็กหญิงขึ้นหอมแก้มทีหนึ่ง ในขณะที่ยัยตัวเล็กเอามือแนบแก้มสากของลุงเล่น

“ หนวดตำน้องมุจ...จักกะจี้หมดแย้วจ้ะยุง ”

ยัยหนูดิ้นขลุก ๆ หัวเราะเอิ๊ก ๆ ในขณะที่คุณนุชค่อย ๆ วางขนมที่ซื้อมาฝากลงบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟาโดยที่เจ้าของบ้านค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโซฟาช้า ๆ

ดวงหน้าที่เคยดูเยาว์นั่นเวลานี้ดูเติบโตขึ้นตามวัย ดวงตาที่เคยกลมโตนั้นตอนนี้ดูเรียว...รีลงพร้อมกับรอยละมุนที่มีมากขึ้นตามวัย และการเป็นพ่อคนมาเกือบ 2 ปีก็ทำให้ทิวาดูจะใจเย็นลงอีกด้วย

“ พึ่งกลับจากแล็ป นั่งมาทั้งวัน...เลยยอกไปหมดทั้งหลังเลยน่ะ ”

ในขณะที่เอ่ยเล่า...คุณนุชก็จูงหลานเข้าไปในห้องครัวที่กั้นด้วยเคาท์เตอร์เล็ก ก่อนจะมีเสียงเย้ว ๆ ของยัยตัวเล็กที่ร้องอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นขนมของฝากในถุง

ภูริหันไปมองคนรักกับหลาน...ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าตัวคนเป็นพ่อ คนตัวสูงกว่าจะถอนหายใจยาวเหยียดแล้วจึงดึงรูปถ่ายใบหนึ่งออกจากอกเสื้อส่งให้ทิวาที่ในดวงตากลมรีคล้ายแมวยังดูจะมีแววง่วงงุน

“ อะไรเหรอ ? ”

ถาม...จนเมื่อเพื่อนไม่ตอบ ทิวาก็ค่อยรับรูปถ่ายใบนั้นมาดูด้วยตัวเอง ก่อนที่ดวงตาคมเหมือนแมวจะเบิกโพลง นิ้วเรียว ๆ คว้าแว่นตาไร้กรอบมาสวมก่อนจะจ้องรูปถ่ายใบนั้นราวกับจะจ้องให้ทะลุ แล้วจากนั้นคนตัวสูงบางก็ค่อยเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนช้า ๆ

“ พี่สน...พี่สนใช่ไหม? ”

ถึงรูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ดวงตาคมที่มีประการรื้นรินคู่เดิมนั้นยังคงสวยงามไม่เคยเปลี่ยนเลยในสายตาของทิวา ร่างโปร่งมองรูปนั้นนิ่งก่อนที่จะซบหน้าลงกับรูปถ่ายทั้ง ๆ ที่น้ำตาคลอ

// คิดถึง...คิดถึงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พี่สนของวา //

“ อีกตั้งปี...กว่าจะครบ 5 ปีตามหลักสูตรแพทย์ แต่แค่คิดว่าผ่านมา4ปีแล้วยังต้องรออีกตั้งปีนึงแล้ว...มันก็อดเหงาไม่ได้จริง ๆ ”

2 ปีระหว่างเรียนที่ทิวาอุ้มเด็กอายุ 5 ขวบลงมาจากเชียงใหม่แล้วบอกเพื่อน ๆ ว่านี่คือ... ‘ลูกสาว’ จากวันนั้นทิวาก็ทั้งเรียนทั้งเลี้ยงยัยตัวเล็กไปด้วย เวลาที่จะมัวร้องไห้คิดถึงคนที่รักนั้นแทบจะไม่มี...จะร้องไห้ซักทียังต้องแอบร้องตอนกลางคืนระหว่างที่ยัยตัวเล็กนอนหลับ

“ เปล่า...สนมันกลับมาที่บ้านแล้วตั้งกะอาทิตย์ก่อน มันเรียนจบแล้วล่ะวา... ”

คำบอกของภูริทำให้ทิวาสะดุ้ง ดวงตาสีอ่อนจ้องเพื่อนเหมือนจะไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยิน


“ เอาล่ะ...ก็อย่างที่บอกไม่เมื่อกี๊ ทีนี้...ฉันต้องถามนายแล้วละนะวา ว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ? ถึงพวกเราจะไม่มีใครถามเซ้าซี้ว่ายัยหลานสุดที่รักที่นายหามาให้ฉันกับคุณนุชนี่แกไปไข่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนไหน...แต่วันนี้นายต้องบอก เพราะจะให้นายไปเจอไอ้สนมันทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีใครเก็บไว้เป็นตัวเป็นตนยังงี้ละก็คงไม่ไหวนะ ”

“ ภู...เราไม่ได้ คือว่า... ”

ทิวาก้มหน้านิ่งก่อนที่จะค่อย ๆ เม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง น้ำเสียง...เหมือนอึดอัดเต็มที่

“ ฉันกับนุชรักยัยมุจนะเว้ย ยังไงก็หลาน...หน้าตาเหมือนแกยังกับแกะยังงี้คงบอกว่าไม่ใช่ลูกก็คงไม่ไหวหรอก แต่ไอ้จะเอาตัวฉันกับนุชมาตัดสินความรู้สึกไอ้สนมันก็ไม่ได้นะ เพราะงี้...2ปีนี้ฉันเลยไม่เคยบอกมันว่าแกมีลูกกับใครเค้าแล้ว อันที่จริงก็สงสารไอ้สนมัน...ไม่กล้าบอกจริง ๆ ”

“ เปล่านะ!! คือ... ”

พอตั้งท่าจะอธิบาย...ยัยตัวเล็กก็วิ่งถือจานเยลลี่ตรงมาหา ทำให้ทิวาต้องหยุดคำพูดลงเพียงเท่านั้น เด็กหญิงที่มีใบหน้าหวาน...ดวงตากลมนั้นมีแววละม้ายทิวาราวกับเคาะกันออกมาเลยทีเดียว ดังนั้นพอยัยหนูยิ้มหวาน...ลุงภูริมีหรือจะไม่ใจอ่อน ถึงจะสงสัยและทั้งยังคาใจ...แต่สุดท้ายแล้ว 2 ปีที่ทั้งภูริและคุณนุชได้มีหลานสาวก็ทำให้คนทั้งคู่รักยัยหนูไปแล้วโดยไม่มีข้อแม้

“ เอ๊ะ...รูปอารายคะ ให้หนูดูม่าง ”

ยัยหนูยื่นหน้ามอง...ก่อนที่จะร้องอย่างดีอกดีใจ

“ ปี้จาย...ปี้จายที่เจอตอนปาป๊าพาไปดูหนังน้องหมา ที่ไหนน้า...ที่ไปดูกันในห้องมืด ๆ น้องมุจจำได้...ปี้ชายมาคุยด้วยตอนหนูยืนปวดฉี่อยู่หน้าห้องน้ำ ”

ทิวากับภูริ...หันมามองหน้ากัน ในใจต่างก็นึกเหมือนกันตรงที่ว่า เหมือนจะเป็นลางไม่ดียังไงบอกไม่ถูก

“ ภู...นายตามมาคุยกับเราในห้องนี่หน่อย เอ่อ..พี่นุชดูลูกให้ผมแปปนะครับ ”

ทั้งภูริและทิวารีบจ้ำเข้าไปในห้องทำงานของทิวา ก่อนที่ร่างโปร่งจะปิดประตูห้องเสียแน่นหนา

“ ภู...ฉันจะบอก แต่ห้ามนายบอกคุณนุชนะ ”

ทิวาทำหน้าเครียดก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดันเต็มที่ แม้ว่าภูริจะงง ๆ แต่ก็พยักหน้ารับคำโดยดี

“ เรื่องยัยมุจฉันจะเล่าให้ฟัง...เรื่องทั้งหมด ”

ทิวาเริ่มเล่า...เรื่องที่เก็บไว้เงียบ ๆ คนเดียวมาตลอด 2 ปีโดยไม่เคยบอกใคร

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นตอนที่ทิวาเรียนอยู่ปี 2 แล้วเขาได้รับจดหมายที่ไม่จ่าหน้าซองว่าส่งมาจากไหน จดหมายฉบับนั้นถูกส่งไปที่บ้านที่กาญจนบุรีราวกับผู้ส่งไม่ได้รู้เลยว่าทิวาไม่ได้อยู่ที่นั่น นาน...หลายเดือนกว่าที่ทิวาจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านและถึงได้รับจดหมายผ่านคุณนุชอีกทีหนึ่ง

บนซองสีขาวจ่าหน้าถึงทิวา โดยไม่มีที่อยู่ของผู้ส่ง ทิวาสงสัยไม่น้อยเพราะนึกไม่ออกว่าจะเป็นจดหมายจากใคร แต่สุดท้ายความรู้สึกเหมือนเยื่อบาง ๆ ราวกับสายใยอะไรบางอย่างก็ชักนำให้เขาลองเปิดอ่าน

จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายจากคนที่ทิ้งเขาเอาไว้แล้วหายไปนาน...หายไปโดยไม่ส่งข่าวมาหาราวกับได้ตายจากกันไปแล้วกระนั้นเลยทีเดียว แต่...จดหมายฉบับนั้นทำให้ทิวาได้รู้ว่า แม่...แม่ที่ทิ้งเขาไปนั้นยังมีชีวิตอยู่!!

จดหมาย...แม้ไม่มีที่อยู่บนซองแต่ยังดีที่มีตราประทับ บอกให้รู้ว่าถูกส่งมาจากที่ไหน เพียงแค่นั้นทิวาก็ตัดสินใจนั่งรถขึ้นไปถึงเชียงใหม่ เขาไม่บอกใครนอกจากบอกว่าไปทำกิจกรรมกับทางมหาลัย ทิวาไปที่ไปรษณีย์ก่อนที่จะตรวจสอบจนแน่ใจว่าจดหมายถูกส่งจากที่นั่น ก่อนที่จะเอารูปถ่ายของแม่ที่เขามีเพียงไม่กี่รูปถามเอากับเจ้าหน้าที่ที่นั่น แล้วก็ถูกแนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจในท้องที่แทนในตอนท้ายสุด ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นทิวาก็วนอยู่ในเชียงใหม่อยู่ร่าม 2 วันเลยทีเดียว

ยังดี...ที่ยิ้มหวานเพียงทีเดียวทำให้พนักงานจากที่ทำการไปรษณีย์ยอมพาไปหานายตำรวจที่พอจะรู้จักกันได้ และโชคยังดี...ที่ตำรวจนายหนึ่งเคยเห็นแม่ของทิวาที่ซอยบ้านและจำได้ว่าอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน

ทิวายังจำได้...ตอนที่นั่งรถไปพร้อมกับตำรวจท้องที่นั้นใจเขายังเต้นรัว ตื่นเต้นที่จะได้พบแม่เหลือเกิน แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่าแม่จะไม่ยอมรับเขาเป็นลูกอีกแล้ว ความกลัว...เล่นงานจนทิวาแทบจะไม่กล้ากดกริ่งหน้าประตูบ้านด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อได้พบแม่ที่ไม่ได้พบ...ไม่ได้กอดมานาน เขาก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองคิดถูกที่ออกมาตามหา

แม่ที่ได้พบ...ซูบผอมจนทิวาใจหาย คุณแม่ที่เคยสวย...กลับกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีลูกสาวอายุ 5 ขวบให้เลี้ยงดูโดยที่สามีไม่ยอมกลับมาหานานเป็นเดือนแล้ว แม่...ที่เดินออกจากวงญาติโดยทิ้งลูกชายอย่างเขาเอาไว้กับยายนั้น บัดนี้กลับเป็นเพียงหญิงอ่อนแอคนหนึ่งซึ่งร่างกายอ่อนล้าทรุดโทรมลงจนน่าใจหาย

คำขอเพียงคำเดียวที่แม่ขอ...ทำให้ทิวาต้องพายัยเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะลงมาจากเชียงใหม่ด้วยกัน

“ วา...ลูกคงเห็นแล้วว่าที่แม่หนีลูกมานั้น สุดท้ายก็เหมือนมาอยู่ในนรก และคนที่แม่เคยเลือกแล้วเขาก็พาแม่มานั้น...ตอนนี้ก็ปล่อยให้แม่กับยัยมุจอยู่ในสภาพอย่างนี้เพียงลำพังสองคน ยัยมุจไม่ได้ไปโรงเรียน...แม่เองก็ไม่มีทั้งเงินแล้วก็ไม่มีทั้งเรี่ยวแรง ไปหาหมอก็ไม่ได้...เพราะไม่มีเงิน ”

ในตอนนั้นทิวามองเด็กหญิงตัวป้อมน่ารัก หรือก็คือยัยมุจ...ลูกสาวของเขาในตอนนี้

“ แม่...ผมพอมีเงินติดมาบ้าง ไปนะ...ไปหาหมอกัน ”

ทิวาขอร้องมารดาทั้ง ๆ ที่ดวงตาเอ่อคลอจนแทบจะร้องไห้ เสียงครือน้อย ๆ เอ่ยขอร้องพลางลูบมือกับนิ้วมือผอมซีดของผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน

“ ไม่มีประโยชน์แล้ววา...ถ้าป่วยเบา ๆ แม่ก็พอจะไปหาหมอ ไปจ่ายค่ารักษาหายามากินไหว...แต่คนเป็นโรคมะเร็งนี่มันต้องใช้ยาแพงเหลือเกินนะลูก แล้ว...รักษาไปก็คงไม่รอดแล้ว...เพราะแม่เป็นมานานมากแล้วละลูก ”

แรก ๆที่เห็นใบหน้าซูบซีดของแม่...ทิวาก็อยากจะถามเหลือเกินว่าแม่เป็นอะไร ? แต่...เมื่อได้รู้แล้วก็กลับทำให้หัวใจแทบจะขาด เพราะ...คนเรียนไม่จบ งานยังไม่มีทำ จะมีปัญญาที่ไหนหาเงินมารักษาแม่ได้เล่า!!

บ้าน...ที่รกจนไม่รู้จะรกยังไง และการที่มันรกราวกับไม่ใช่ที่ ๆ คนอยู่อาศัยนั้นบอกทิวาได้เป็นอย่างดีว่าแม่คงไม่ได้ลุกมาปัดกวาดอะไร ๆ ในบ้านนานหลายเดือนมากแล้วจริง ๆ เพราะหยากไย่ ฝุ่นไรเกาะตามตู้ตามโต๊ะจนเป็นฝ้าขาวอย่างเห็นได้ชัด

“ แม่...ทำไมแม่ไม่บอกผม ทำไม..ไม่ส่งข่าวไปเร็วกว่านี้ครับ ? ”

ถามไป...น้ำตาก็ไหล เพราะไม่รู้จะช่วยแม่อย่างไร เงินก็ไม่มี...โรคของแม่นี้ก็เป็นที่รู้ดีว่ารักษาไม่หาย และยิ่งแม่บอกสั้น ๆ เพียงคำเดียวว่า...

“ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของแม่แล้วละลูก เพราะงั้นก็เลยคิดถึงวา...เลยเขียนจดหมายฝากคนข้างบ้านไปส่ง แม่น่ะ...ไม่คิดเลยว่าหนูจะมาให้แม่กอดจริง ๆ ”

เพียงเท่านั้นเขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำตาของแม่...ไหลเงียบ ๆ ในขณะที่ทิวาสะอื้นเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่อ้อมแขนยังโอบรัดร่างที่ผอมโกรกของแม่ไว้นิ่งนานเช่นนั้น

“ แม่ห่วงก็แต่ยัยมุจ...ยังไง ๆ เขาก็น้องของวานะลูก นี่ก็ 5 ขวบแล้วแต่แม่ยังไม่ได้พาไปโรงเรียนกับเขาสักที ตอนแรก...ก็กังวล ก็ทุกข์เหลือเกินจนไม่รู้จะทำยังไง เพราะถ้าคิดว่าแม่ตายไปยัยมุจจะอยู่ยังไงได้ ”

“ ไม่จ้ะ ไม่เอา...แม่อย่าพูด แม่ไม่ตายหรอก...วาดูแลน้องได้นะแม่ อยู่กับน้อง...อยู่กับวานะแม่ ”

ทิวาสะอื้น...แต่แม่กลับยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนที่จะขอร้อง

“ วา...หนูจะดูแลน้องให้แม่ได้ไหม? ”

// อยากจะร้องตะโกน อยากจะร้องไห้ไม่ต้องหยุด ทั้ง ๆ ที่อยากร้องตะโกนว่าแม่จะต้องไม่ตาย แต่ทิวาก็เถียงตัวเองไม่ได้ว่าแม่...ใกล้ได้หลับเต็มที //

.....................ทิวาเล่าให้คนตัวสูงฟัง...ก่อนที่จะบอกเป็นประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง

“ ภู ที่เราหายไปเชียงใหม่ 2 อาทิตย์นั่น...เราไปอยู่กับแม่ แล้วพอแม่ตาย...เราก็เอายัยมุจลงมาด้วยกัน เพราะญาติของทางนั้นก็ผลักไสยัยมุจอย่างกับอะไรดี น้องทั้งคนนะภูริ...ถึงตอนนั้นจะรู้ว่าต้องลำบากแน่ ๆ แต่ก็ตัดสินใจพาน้องลงมาด้วยกัน เพราะพ่อของยัยมุจก็ดูเหมือนจะดีใจจะตายที่เราเอายัยมุจออกมาเสียได้ ”

พอรู้ว่าเพื่อนไปเจออะไรมา...ภูริก็ถึงกับพูดไม่ออก

“ งั้น...ที่นุชเคยเล่าว่าญาติ ๆ ตัดขาดแม่นาย นั่นก็เป็นความจริงสินะ...นายถึงบอกใครไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วยายมุจเป็นน้องสาว ”

ภูริอึ้งไปเหมือนกัน...เพราะจากที่เมื่อแรกเข้าใจว่าเด็กหญิงเป็นหลาน แต่บัดนี้กลับได้มารู้ว่าไม่ใช่หลาน...แต่เป็นน้องสาว

“ ไอ้เพื่อนบ้า...เจออะไรยังงี้แล้วทำไมไม่บอกกันซักคำวะ!! แล้วนี่เรื่องไอ้สนน่ะจะทำยังไงกันดี ? ”

คำพูดของภูริทำให้ทิวาสะดุด...ดวงตาคม ๆ เหมือนแมวกระหวัดสายตาราวกับจะเอ่ยถาม ก่อนที่คนเป็นเพื่อนจะบอกถึงสาเหตุที่มาหาในวันนี้

“ ตอนแรกฟังจากไอ้น้องบ้ามันว่าช่วงนี้ไอ้สนมันแปลก ๆ ...เมื่อวานมันไปหาไอ้สนมา แต่ดูเหมือนจะไปเจออาการแปลก ๆ เห็นว่าไอ้สนมันแปลกไปมาก ไม่ค่อยพูดค่อยจา...ตอนแรกคิดว่าเพราะติดต่อนายไม่ได้ เลยตัดสินใจมาเคลียร์เรื่องยัยมุจแล้วกะจะบอกให้ไปหาไอ้สนมัน...แต่เท่าที่ยัยมุจบอกมา ฉันไม่อยากพูดให้กลัวหรอกนะ...แต่สังหรณ์ว่าไอ้สนมันรู้เรื่องยัยมุจแล้วแน่ ๆ เลย แล้วก็คงเข้าใจผิดเหมือนคนอื่นเค้าแน่ ๆ ว่านายมีลูกแล้ว ”

ทั้งคู่มองหน้ากัน...ในขณะที่ทิวากัดฟันอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยบอกภูริช้า ๆ

“ ภู...เราจะต้องพูดกับพี่สน!! ”

ทิวาตัดสินใจอย่างนั้นก่อนที่จะขอร้องให้ภูริช่วยเป็นคนกลางอีกทีหนึ่ง หัวใจของร่างโปร่งเต้นแรงด้วยความกลัว...ในขณะที่ภูริรีบออกจากห้องแล้วหยิบโทรศัพท์โทรไปหาสนธยาทันที

“ นัดพี่สนให้เราที...อยากให้เราได้คุยกันตรง ๆ ”

ทิวากำชับภูริเพียงแค่นั้นก่อนที่เจ้าตัวจะซุกหน้าลงบนฝ่ามือนิ่งนานด้วยความวิตกกังวลจนสุดหัวใจ

// พี่สน...วาขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปหา ไม่ได้บอกอะไรพี่เลย...โธ่!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้นะ!! //

ร่างโปร่งบ่นตัวเองในขณะที่ขอร้องกับอะไรก็ตามที่จะรับฟัง...ขอให้สนธยาให้โอกาสเขาอธิบาย ขอให้...เราได้มาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม


ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว34
โดย:ทิวารา

// ที่ทำลงไป...ก็เพราะรักทั้งนั้น //


เพราะว่าต่างคนต่างก็โดดเดี่ยวจากกัน และต่างคนต่างก็เติบโตขึ้นพร้อมกับที่ก็ต่างก็คิดมากขึ้นด้วย...และเพราะว่าคิดมาก บางครั้งสิ่งที่ไม่ควรพลาด สุดท้ายก็ทำผิดพลาดลงไปจนได้

........................................................................

ภูริที่วางหูจากสนธยาหันไปมองเพื่อนก่อนที่จะนั่งลงข้าง ๆ มือหนาโอบไหล่ทิวาก่อนจะเขย่าเบา ๆ เป็นการปลอบโยน ในขณะที่เอ่ยถามไปอย่างอดไม่ได้

“ วาเอ๊ย...บางทีเราก็คิดนะว่าบางเรื่องเราก็ไม่เข้าใจความคิดนายเอาซะเลย คิดแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ”

ทิวาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิททั้ง ๆ ที่ดวงตายังมีรอยกังวลอยู่ ก่อนที่คนนั่งข้างจะเอ่ยถามอย่างข้องใจขึ้นอีก

“ ถามจริง...ทำไมไม่ติดต่อกับสนมันบ้างวะ รู้ก็รู้อยู่ว่าเราติดต่อกับมันอยู่บ่อย ๆ แต่ก็นะ...ไอ้สนเองก็กระไร ไม่เคยถามถึงนายสักคำเหมือนกัน ”

ภูริถอนหายใจเฮือกก่อนจะบ่นต่อ “ งงกับพวกนายจริง ๆ ให้ตายเหอะ...นี่คิดอะไรกันอยู่กันเนี่ย มัวแต่อมพะนำ...ตอนนี้เลยต้องมานั่งอธิบายกันอีก ”

ทิวาเม้มปากแน่น...เพราะพอจะรู้ว่าทำไม พี่สนถึงไม่พูดถึงหรือถามหาตนเองให้ภูริได้ยินสักครั้ง

“ ไปโทษพี่สนไม่ได้หรอกภู...วาผิดเอง เพราะว่า...วันที่พี่สนจะไป วาเป็นคนบอกเลิกกับพี่สนเอง...เพื่อที่ว่าเราจะได้มีอิสระแก่กัน และเพื่อที่ว่าเวลาจะได้พิสูจน์เรา...ว่าพวกเราน่ะรักกันจริง ๆ หรือว่าแค่หลงไหลไปชั่วครู่ชั่วยาม ”

“ อะไรนะ!!...เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะเนี่ยวา เรางงไปหมดแล้วนะ!! ”

// นี่พวกนาย...ทำเกินไปรึเปล่าวะ แบบนี้ก็ทรมานกันทั้งคู่อ่ะดิ!! //

ภูริโวยวายในขณะที่ทิวาเองก็พูดไม่ออก...เพราจะว่าไปแล้วบางครั้งเขาก็คิดเช่นกันว่าตัวเองเกรงใจพี่สนเกินไปหรือเปล่า ? ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น...ตัดสินใจออกไปแบบนั้นในวันนั้น เพื่อที่พี่สนจะได้ไม่มีพันธะภาระลำบากใจหากไปเจอใครที่ดีกว่าตนเองเข้า

หากไม่ได้ทุกข์เพราะต้องแยกจากกันจนทำให้หัวใจต้องเจ็บปวดเพราะทั้งโหยหาทั้งหงอยเหงา...ก็คงจะไม่มีวันได้รู้ ว่าการหายไปของคนที่รักนั้นนำพาความเจ็บปวดมากมายขนาดนี้มาให้

“ ภู...ถ้าเป็นปรกติเราจะไม่กลัวเลย แต่...เรากลัวนะภู เราจะทำไงดี ? ”

พูดได้เพียงแค่นั้น...น้ำตาก็ร่วงจากดวงตากลมทำเอาภูริลนลาน มือไม้แทบจะพันกันยุ่ง ก่อนจะตั้งสติได้...คว้ากระดาษทิชชูมาซับให้คนเป็นเพื่อนที่บัดนี้มาดคุณพ่อผู้มั่นคงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือ...แต่เพียงเด็กชายทิวาที่เอาแต่ร้องไห้เหมือนสมัยยังเด็ก

“ จะบ้าเหรอ...นายกลัวอะไร ไอ้สนมันรักวาจะตายไป...แถมไอ้เขตมันก็ยืนยันนั่งยันว่าไอ้สนไม่มีทั้งสาวไม่มีทั้งหนุ่มที่โน่นเลยสักคน มันแคร์วาขนาดไม่ยอมให้เพื่อนผู้หญิงมาเกาะแขนมันด้วยซ้ำไปนะวา ไม่เชื่อถามไอ้เขตน้องเราก็ได้ ”

คนตัวโตพยายามปลอบ...ในขณะที่คนตัวบางกว่าส่ายหน้าพลางสะอื้นฮัก ๆ เหมือนเด็ก

“ ไม่ใช่...เรา ฮึก!! เรากลัวว่าการที่เรา...ฮึก! มีภาระ...มีลูก ฮึก!!...พี่สนจะ...ฮึก!...รับไม่ได้ เรากลัว...ฮึก! แต่จะให้ปัดภาระ...ไม่รับยายมุจ ฮึก!!...เราก็ทำไม่ลง เราสงสารน้อง...ฮึก!! ”

วินาทีนี้...ไอ้ภูของเพื่อนฝูงแทบจะช็อคตาย!! เพราะคนตัวบางตากลม ๆ ร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาไหลเหมือนก๊อกแตกก็ไม่ปาน...แถมคำที่พูดมานั้นยังชวนให้คนเป็นเพื่อนถึงกับโวยวายลั่น

“ เฮ้ย! วา...ทำไมนายคิดไปมากมายขนาดนี้วะเนี่ยห๊ะ!! ไปเอาไอ้สนเทียบผู้ชายคนอื่นทำไมกัน...วาไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ใช่พวกพ่อพวงมาลัยจีบใคร ๆ เขาไปทั่วนะ แล้ว...ไอ้ความคิดว่าไม่ชอบมีภาระ ไม่ชอบมีห่วงคล้องคอนี่มัน...โถ่!! นี่เพราะคิดแบบนี้ใช่ไหมเนี่ยถึงได้อมพะนำมาจนป่านนี้น่ะ!! ”

คนตัวเล็กบาง...ซึ่งบัดนี้ราวกับจะกลับไปเป็นแค่เด็กชายทิวานั้นพยักหน้าเบา ๆ ทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด

// พลาด...พลาดเต็ม ๆ เลยวาเอ๊ยยยยย!! //

ภูริกุมขมับ...เครียดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะว่าเรื่องมันเกิดจนยุ่งยากขนาดนี้นี่มาจากแค่คำว่า ‘ คิดมาก ’ แค่ตัวเดียวเท่านั้นจริง ๆ เลยเชียว!!

“ วา...บอกได้คำเดียวว่านายต้องพูดว่ะ เพราะไอ้ที่ร้องไห้อยู่เนี่ยหวังว่าคงรู้แล้วนะว่าการคิดมากแล้วอมพะนำอยู่คนเดียวน่ะมันก่อให้เกิดเรื่องยุ่งขนาดไหน เพราะงั้น...ตอนนี้ได้เวลาพูดแล้ว!! ”

“ แต่... ”

“ ไม่แต่แล้วโว้ย!! ทำไมนายกับไอ้สนถึงได้เป็นคนคิดมากกันได้ขนาดนี้วะเนี่ย...เครียดขึ้นสมองมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วนะ ไม่เบื่อมั่งเรอะ ? ”

พอตั้งท่าจะค้าน...เพราะกลัว แต่กลับถูกภูริเทศน์กลับเสียยาวเหยียดจนตั้งตัวแทบไม่ติด ทำเอาทิวาที่ร้องไห้อยู่นั้นไป ๆ มา ๆ ก็นั่งฟังคนตัวโตกว่าโวยวายอย่างมึน ๆ

“ ความรักนะโว้ย...สมองน่ะไม่ต้องใช้มาก ...ไอ้ที่ต้องใช้น่ะมันตรงนี้ต่างหาก!! ”

ว่าแล้วนายภูริก็จิ้มนิ้วลงบนอกของคนตัวสูงโปร่งตรงหน้า ก่อนที่จะใช่ช่วงที่อีกฝ่ายยังพูดอะไรไม่ออกนั้นเทศน์ใส่ตามที่ใจคิด

“ เวลารักใคร...ก็ใช้หัวใจไปรักเขานะวา แล้วเรื่องของคนที่รักน่ะ...จะไปใช้สมองให้มันเปลืองไปทำไม ? ในเมื่อรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายเขาก็รักเรา...พูดไปเหอะถ้ามันจะต้องแยกจากกันก็ข้อให้ได้พูดซะยังจะดีกว่าไม่ใช่รึไง ? ”

ภูริ...ยังไง ๆ ก็ยังเป็นไอ้บ้าภูริ ไอ้บ้าที่รักคุณนุชด้วยใจ ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนใจคน ไม่สนใจอายุ...มันสนแค่ถ้าใจตรงกันแล้วจะเลิกกันโดยไม่มีเหตุจำเป็นละก็ มันไม่ยอมเด็ดขาด!!

พอมองคนตัวสูงที่พูดจนแทบจะหอบกินตรงหน้า...ทิวาก็นึกถึงสมัยที่ภูริไปถามรักเอากับคุณนุชโต้ง ๆ โดยไม่แคร์เหตุผลของคนอื่นไม่ว่าใครจะว่ายังไง มันทำเพราะมันตัดสินใจแล้วว่า...มันรักของมันแล้วคุณนุชก็ดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรไม่ดีเลยสักนิด กับแค่เรื่องอายุ...มันไม่เห็นแคร์

ทิวาเองก็นับถือภูริเรื่องนี้...เพราะเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบให้ค้าง ๆ คา ๆ แล้วก็ไม่ชอบอมพะนำอะไรไว้อย่างที่คนอื่นเป็น เรียกได้ว่า...มันจริงใจของมันมายังงี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร

// เฮ้อ!! นี่สังหรณ์ซะแล้วซิว่าทางไอ้สนมันก็คงจะคิด ‘มากเกินเหตุ’ เหมือนกันแน่ ๆ เลยว่ะ... //

ภูริแอบถอนหายใจคนเดียว ในขณะที่มองเพื่อนตัวสูงโปร่งเช็ดน้ำตา...โดยที่ดวงตาซึ่งเคยมีแววหวาดกลัวและไม่มั่นใจในตัวเองนั้นก็พลันเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

ดวงตากลมที่คมเหมือนตาแมวนั้นมีแววมุ่งมั่นกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้ราวกับเป็นคนละคน นิ้วมือเรียวบางค่อย ๆ กำแน่นราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดและพร้อมที่จะพูดทุกอย่างออกมาให้หมดในวันพรุ่งนี้

// สิ่งที่ทำผิด...พลาดไปนั้น จะต้องแก้ไขให้ได้...จะไม่ยอมให้เราต้องเดินจากกันอีกเป็นครั้งที่สองเป็นอันขาด!! //

ทิวาตัดสินใจได้ดังนั้นก็ค่อยใช้มือปาดคราบน้ำตาทิ้ง ดวงตามุ่งมั่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนภูริที่มองอยู่เงียบ ๆ ก็ค่อยโล่งอก แล้วเจ้าตัวจึงค่อย ‘สอน’ เพื่อนเข้าบ้าง

“ ผิดแล้วพลาดแล้วก็ช่างมัน...เพราะที่ผิดน่ะเพราะวิธีคิดของนายมันผิดเท่านั้นเองนะวา เรื่องที่เกิดนี้เราบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่านายน่ะไม่ได้ ‘ทำ’ ผิด แต่นายน่ะแค่... ‘คิด’ ผิดเท่านั้นเอง เพราะงั้นทีนี้ก็คิดให้ถูกซะ...แล้วก็แก้ไขความผิดพลาดนี้ซะก็สิ้นเรื่อง ”





ราตรีประดับดาว35
โดย:ทิวารา

มีบางคาบบางคราสนธยาก็ไม่เข้าใจว่าหัวใจกำลังต้องการอะไรกันแน่ ทั้งบางทีก็รู้สึกขัดแย้งกันในตัวเองอย่างประหลาด ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งบางคราถึงรู้สึกเหมือนรู้ไปหมดทุกอย่างว่าตัวเองควรทำอย่างไร...แต่พอบางคราวเขาก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไงก็เคยมีเหมือนกัน

มือหนามองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างแปลกใจเมื่อจ้องบันทึกการโทร ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมภูริที่โทรมาเมื่อครู่ถึงนัดเจอกันด้วยน้ำเสียงร้อนรนแบบนั้น และนั่นทำให้คนตัวสูงอดกังวลไม่ได้ว่าเพื่อนจะกำลังมีปัญหาหรือเปล่า ?

// พรุ่งนี้มาหาที่บ้านได้ไหม พอดีมีธุระจะต้องคุยด้วยหน่อยน่ะ //

ไอ้การไปฟังธุระของเพื่อนมันไม่ได้ทำให้สนธยาต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ทว่าความรู้สึกสังหรณ์แบบแปลก ๆ ต่างหากเล่าที่ทำให้ใจเขาสะดุดไหวอย่างแสนประหลาด ชายหนุ่มทอดกายลงนอนบนเตียงนอนอย่างเรื่อยล้า อดถอนใจไม่ได้เมื่อรู้สึกหนักใจแบบแปลก ๆ นิ้วมือหนาปิดดวงตานิ่งนานเหมือนคนเหนื่อยล้าเต็มทน ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ เหมือนคนที่ปลดปลงได้

อาจเหมือนคนใจแข็งที่ทนความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องร้องไห้คร่ำครวญ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งกลับไม่ได้ลืมกันได้ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย สนธยาไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด และในความเป็นจริงแล้ว...การทำสติให้สงบนิ่งอยู่แทบจะตลอดเวลานั้นมันหนักหนาจนเหลือกำลังจะรับได้ คิดดูเถิดว่า...บางทีไม่อยากจะยิ้มก็ต้องยิ้ม แม้จะยิ้มได้แค่บาง ๆ อย่างฝืดฝืนก็ต้องยิ้ม ต้องรักษาน้ำใจคนรอบข้างอย่างถึงที่สุด

คุยกับพี่ชาย...กับพ่อกับแม่ หรือกระทั่งกับพี่สะใภ้เขาก็ต้องถนอมน้ำใจคนทุกคนโดยรอบ เพราะสนธยาเห็นว่าการเอาอารมณ์ของตนเองมาทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงหรือหดหู่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลยจริง ๆ เนื่องจากตั้งแต่เรียนมา...เขาก็ต้องรู้จักควบคุมภาวะอารมณ์ให้หมดจดเยือกเย็นอยู่เสมอ เพราะหมอ...จะมีอารมณ์ไม่ได้!! ดังนั้นสนธยาจึงเลือกที่จะเป็นผู้ทน...ทนเสียเองให้ผู้อื่นสบายใจ

การเป็นหมอทำให้เขาได้รู้ว่า ถ้าทำหน้าเศร้าหรือทำอารมณ์ไม่ดีให้คนไข้เห็น...คนไข้ก็จะไม่สบายใจไปด้วย อีกทั้งบางคาบบางคราก็เคยมีเรื่องเล่าของรุ่นพี่ ๆ มาเป็นอุทาหรณ์บ่อย ๆ

// ใช่ว่าเราจะทุกข์แล้วจะต้องทำตัวจะเป็นจะตายเวลารักษาคนไข้ ดูเอาเถอะ...เคยมีรุ่นพี่เราบางคนผ่าตัดผิดพลาดเพราะไม่มีสมาธิ จนเกือบ ๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยด้วยซ้ำ //

เรื่องแบบนี้สนธยาเห็นว่าพูดง่ายแต่ทำกันยาก...ถ้าไม่ทำให้เป็นนิสัยแล้วจัดระเบียบตัวเองให้ได้ ต่อไปวันข้างหน้าเขาอาจเอาความทุกข์ของตัวเองมาทำให้ผู้ป่วยเดือดร้อนก็ได้ สนธยาคิดเช่นนั้น... ดังนั้นสนธยาที่เคยมีนิสัยเงียบขรึมอยู่แล้วก็ยิ่งทำตัวสงบ...เงียบเสียยิ่งกว่าเก่า จนแม้แต่นายเขตเองก็ยังเคยพูดกับฟรองซัวร์ว่า...

‘ ไปตีลังกาเอามือเดินแทนขาสักเดือน...ยังง่ายกว่ายั่วโมโหให้พี่สนโกรธซะอีกนะ ’

ว่าเข้าไปนั่นเลยทีเดียว....

ระหว่างที่นอนนิ่ง...สมองก็แว่บภาพในวันนั้นเข้ามาในสมอง แผ่นหลังและเสี้ยวหน้าด้านข้างของทิวายังติดตาเขามาจนถึงวันนี้ จะว่าไป...น้ำเสียงที่อ่อนหวานของทิวาในวันนั้น ฟังดูแล้วก็ดูจะทุ้มลงด้วยนิดหน่อย แต่ทว่าในน้ำเสียงนั้นยังมีรอยอ่อนหวานเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด

ในใจยังอาวรณ์...ถึงขนาดที่หัวใจยังร่ำร้องอยากเห็นใบหน้าของคนที่รักให้ชัด ๆ สักหนก็ยังดีก่อนที่จะต้องลาไปไกลจริง ๆ ในไม่กี่วันนี้ แต่แล้วเมื่อความคิดร่ำร้องเหล่านั้นผุเดวาบเข้ามาในสมองครั้งใด...สนธยาก็ก่นด่าตัวเองในใจทุกครั้งไป

// ไม่ได้!! จะไปโผล่หน้าให้วาเห็นทำไม...ทำไปก็รั้งแต่จะทำให้มีแต่คนต้องเสียใจและเสียความรู้สึก //

สนธยากุมขมับเครียดทุกครั้งเมื่อความต้องการของหัวใจร่ำร้องและอยากจะลุกเดินออกไปหาอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่...เมื่อมีสติและยั้งคิดได้ในวินาทีต่อมา สนธยาก็รังเกียจความคิดเห็นแก่ตัวของตนเองเมื่อครู่มากเสียจนแทบทนไม่ได้!!

// ทำแบบนี้แหละถูกแล้ว...ไม่นานวาคงลืมเราได้ ลูก...เด็กหญิงตัวป้อมผมเปียก็แสนจะน่ารักจนสนธยาเองก็ยังนึกรักตั้งแต่ตอนที่ได้คุยกันนั้น ใบหน้าของลูกสาววา...ช่างเหมือนวาเหลือเกิน คงเพราะเหตุนี้ซินะเราถึงเอ็นดูเด็กคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น //

สนธยายิ้มน้อย ๆ ให้ตนเองในขณะที่นึกถึงเด็กหญิงผู้เป็นลูกของทิวา ลูก...ของคนที่เขารักเหลือเกิน

// เราไม่ควรเอาหัวใจตัวเองไปทำให้วาต้องเดือดร้อน...การหายไปเงียบ ๆ ย่อมดีเสียกว่า เพราะหากเขาโผล่หน้าออกไปหาวา ก็รั้งแต่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องร้าวราน ต้องเจ็บปวด //

สนธยาไตร่ตรองดูแล้วก็ตัดสินใจที่จะบังคับไม่ให้ตัวเองพาหัวใจแล่นไปหาคนตัวเล็กบางซึ่งบัดนี้สูงขึ้นบ้าง อีกทั้งใบหน้าหวานเชื่อมแต่ดูน่าเอ็นดูเหมือนเด็กก็ยิ่งดูจะทวีความหวานของเครื่องหน้าขึ้นอีก จนสนธยาเองยังอดยอมรับไม่ได้ว่าวาของเขาตอนนี้น่ารักยิ่งกว่าเก่ามากมาย...

แต่...ให้อยากไปหาให้ตายแค่ไหน สนธยาก็ทนทำร้ายหัวใจของผู้หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ลง เพราะคิดสภาพว่าหากเขาโผล่หน้าออกไปให้วาเห็น...แล้วหญิงสาวที่เป็นภรรยาของวา หญิงซึ่งเป็นแม่ของเด็กคนนั้นเล่า...จะเจ็บปวดซักเพียงไหนที่รู้ว่าสามีอย่างทิวาเคยมีคนรักเป็นผู้ชายมาก่อน

“ ความรักของวา...หัวใจของวาตัดสินใจแล้วอย่างนั้น พี่คงไม่ใจดำพอจะทำลายครอบครัวและคนอันเป็นที่รักของวาได้หรอก พี่ไม่กล้า...ทำให้วาต้องสูญเสียเพียงเพื่อความรักเลื่อนลอยของพี่เพียงคนเดียวหรอก...พี่กลัวน้ำตาเธอนะวา ”

ริมฝีปากคมเอ่ยช้า ๆ ...น้ำเสียงครือน้อย ๆ ในขณะที่ดวงตามีแววหมองหม่นหนักหน่วงเพียงวูบเดียวก่อนจะลับหาย กลับกลายเป็นดวงตาสงบ...เย็นรื้นเช่นเดิม

พี่ยอมเก็บรอยอาวรณ์ไปนอนไห้
ดีกว่าไปผลักไสเจ้าให้เศร้าหมอง
ความรักนี้แม้ใจพี่มิได้ครอง
พี่เพียงขอให้เนื้อทอง...ให้น้องสุขใจ

==TBC==

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
ราตรีประดับดาว36
โดย:ทิวารา

สนธยานั่งจ้องซองบุหรี่ของพี่ชายด้วยสายตาคมกริบ เป็นอันรู้กันว่าอนุพงษ์สูบบุหรี่ทุกครั้งที่เกิดความเครียดจากงาน ถึงจะสูบนาน ๆ ครั้งและไม่ได้ติดสูบก็ตาม แต่สนธยาก็มักจะ ‘แอบ’ หยิบซองบุหรี่ของพี่ชายไปซ่อนเสียมั่ง ทิ้งเสียมั่งตั้งหลายรอบ อันที่จริงคนถูกแอบเอาบุหรี่ไปทิ้งก็รู้ว่าใครทำ แต่เจ้าตัวก็ยังหัวเราะขำ ๆ กับบิดาก่อนจะบอกอย่างอารมณ์ดี

‘ สนมันห่วงผมนะ ผมรู้...แต่แหม่ ผมก็อดสูบไม่ได้ มันเครียดน่ะพ่อ ’

อนุพงษ์มักจะแอบพูดเช่นนี้บ่อย ๆ ประมาณว่ารู้ทั้งรู้ว่าใครขยันเอาซองบุหรี่ของตนไปทิ้ง แต่เจ้าตัวก็มิยักโมโห...กลับกันอนุพงษ์ยังแอบปลื้มใจว่า ‘ เออ...น้องมันห่วง ’ ซะด้วยซ้ำ

สนธยามองซองบุหรี่ยี่ห้อไมล์ เซเวนท์ ไลท์ ก่อนจะคว้าซองบุหรี่หมับใส่ลงกระเป๋ากางเกงทันทีเหมือนที่เคยทำ ก่อนจะเดินทักทายแม่บ้านด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พลางที่ขายาว ๆ รีบจ้ำอ้าวออกจากบ้านก่อนที่เจ้าของบุหรี่จะทันรู้ตัวว่า...ซองบุหรี่ที่วางทิ้งไว้หายไป!!

โดยหารู้ไม่ว่า...อนุพงษ์แอบมองสนธยาอยู่ที่ประตูห้องครัวพร้อม ๆ กับภรรยา ก่อนที่คนเป็นพี่ที่เห็นการกระทำทุกอย่างของน้องชายจะค่อย ๆ ปล่อยหัวเราะพรืด...ขำกับการกระทำเหมือนเด็ก ๆ ของน้องชายตัวโต ๆ โดยมีภรรยาร่วมวงหัวเราะไปกับเขาด้วย

// ก็แหม่...น้องสามีนี่ทำอะไรน่ารักดีนี่นะ!! //

“ สนเป็นประเภทห่วงชาวบ้านเขาไปทั่ว...แต่ห่วงแบบไม่พูดนี่สิ!! ”

อนุพงษ์สรุปให้ภรรยาฟังอย่างขำ ๆ ซึ่งหญิงสาวที่ยืนเคียงข้องก็พยักหน้าช้า ๆ พลางหัวเราะเอ็นดูน้องสามีในลำคอ

อันที่จริงแล้วอนุพงษ์ไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรเลย อีกทั้งการที่พึ่งแต่งงานใหม่ ๆ ก็ทำให้ชีวิตการเป็นผู้ชายมีสีสันของการเป็นสามี แถมคนเป็นพี่ยังแอบวาดหวังไว้ว่าเร็ว ๆ นี้จะลองมีสีสันตามประสาคนมีลูกกับเขาด้วยอีกต่อหนึ่ง

แต่ที่แกล้งวางบุหรี่ทิ้งไว้นั่น...เนื่องจากเมื่อวานเผลอไปเล่านิสัยน่ารัก ๆ ของน้องชายให้ภรรยาฟัง ดังนั้นด้วยความคึก...จึงแกล้งวางบุหรี่ทิ้งไว้แล้วค่อยพาภรรยามาซุ่มแอบดูการกระทำของน้องชายสุดที่รักซะนี่!! เรียกว่าขายน้องชายกันเห็น ๆ เลยทีเดียวนะงานนี้!!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ในขณะที่ในบ้านซึ่งคนตัวสูงเดินออกมาจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานของสามีภรรยามือใหม่ ตัวสนธยาเองกลับเดินออกจากบ้านโดยในมือที่ล้วงกระเป๋าอยู่นั้นยังกำซองบุหรี่ของพี่ชายแน่น สมองของคนตัวสูงคิดไปไกลอย่างเหม่อลอยในขณะที่เจ้าตัวก้าวเท้าไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน

นิ้วที่เต็มไปด้วยรอยแผลถูกของมีคมบาดปรากฏอยู่จาง ๆ นี้สมกับเป็นมือหมอแท้ ๆ สนธยาลูบซองบุหรี่ของพี่ชายในกระเป๋าก่อนที่จะหันขวับวิ่งเข้าไปในสวนสาธารณะเล็ก ๆ ที่แม่บอกว่าพึ่งถูกสร้างโดยทางรัฐบาลเมื่อปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานี้เอง สนธยาวิ่งไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ซึ่งมีม้านั่งโดดเดี่ยวอยู่ในเงาไม้ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่อ่อนบางทอประกายลงมาเป็นเงาวะไหวงาม

มือของคนตัวสูงค่อย ๆ หยิบซองบุหรี่ขึ้นมามองช้า ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกขึ้นดม พาให้กลิ่นใบยาสูบลอยเข้าไปในจมูกจนได้กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของบุหรี่ในจมูกอยู่จาง ๆ ...ดวงตาคม ๆ จ้องสิ่งที่อยู่ในมือก่อนที่จะค่อย ๆ ใช้นิ้วมือข้างที่ว่างคีบแล้วดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกจากซองด้วยแววตาที่ค่อนข้างสับสนเหมือนเด็กหนุ่มรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากลอง

// พี่น๊อตว่าสูบแล้วหายเครียด...จริงเหรอ ? แต่...บุหรี่มันไม่ดีต่อสุขภาพนี่นา มีนิโคติน...เอ...แต่มันก็น่าจะเพราะนิโคตินละน่าที่ทำให้คนสูบรู้สึกดี //

สนธยาคิดราวกับกำลังวิเคราะห์ปัญหาสังคมระดับโลกยังไงยังงั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบเอาไฟแช็กที่หยิบติดมากับซองบุหรี่ของพี่ชายขึ้นมาจุดไฟ พร้อม ๆ กับที่เรียวนิ้วที่ถือมวนบุหรี่ก็ค่อย ๆ ส่งบุหรี่ใส่ปากคาบไว้ด้วยอาการริมฝีปากสั่น ๆ เพราะกำลังประหม่า ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ จุดบุหรี่สูบช้า ๆ

ควันบุหรี่ลอยเอื่อย...สนธยาค่อย ๆ สูดหายใจทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง จนสุดท้ายควันบุหรี่ก็พลุ่งขึ้นจมูกจนเจ้าตัวต้องสำลักกระอักกระไอจนตัวโคลง น้ำตาไหลคลอไปหมด

“ แค่ก!! แค่ก!!...โอย ไม่ไหว ไม่เห็นดีเลยสักนิด แสบไปหมดทั้งโพรงจมูกยังงี้มันจะคลายเครียดได้ไงเนี่ย!! ”

เหมือนเด็กกระบึงกระบอนเพราะไม่ได้อย่างใจ...สนธยาบ่อนออกมาตามประสาคนที่คาดหวังอย่างเด็ก ๆ แล้วไม่ได้อย่างที่อยาก ...บางเรื่องสนธยาก็เป็นผู้ใหญ่เหลือเกิน เพราะมีอย่างที่ไหนใครเขาวิเคราะห์ก่อนสูบกันขนาดนี้บ้าง แต่ก็นั่นแหละ...ผลสุดท้ายพอผลมันไม่ได้อย่างที่มั่นใจก็ให้เกิดอาการเหมือนขัดใจเล็ก ๆ ขึ้นมาทันที แต่...ก็วูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่สนธยาจะพยายามเลิกไอก่อนที่จะค่อย ๆ ถือบุหรี่ที่ยังเผาไหม้เหลืออยู่อีกตั้งค่อนมวนทิ้งลงถังขยะใกล้ ๆ ตัว

สนธยาได้รู้แล้วว่าบุหรี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะลอง...เข็ด ไม่เอาแล้ว!!

ความกลัดกลุ้มบางทีก็นำพาความรู้สึกที่ว่า...อยากลองหาอะไร ๆ มาช่วยบรรเทาความเศร้าให้เบาลงหรือจางหายบ้าง แต่สำหรับสนธยาแล้ว...หารู้ไม่ว่าบุหรี่มันไม่ใช่คำตอบของชายหนุ่มเลย แต่กลับเป็นใครคนหนึ่งซึ่งรอคอยจะพูดคุยปรับความเข้าใจกับเขาอยู่ที่บ้านของภูริต่างหาก...ที่จะเป็นคนช่วยดับความกังวลเหล่านั้นออกไปจากหัวใจของคนตัวสูงจนหมดจด!!

คนตัวสูงกดกริ่งห้องพักของเพื่อนก่อนที่ภูริจะวิ่งตึง ๆ มาเปิดประตูรับ สนธยายิ้มให้เพื่อนบาง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยทักทายเลยไปถึงคุณนุชที่เดินตามภูริมาที่หน้าประตูติด ๆ

“ สน...มีเรื่องจะคุยด้วย เอ่อ...อันที่จริงคนที่จะคุยไม่ใช่เราหรอกนะ เอ่อ...เอาเป็นว่าเข้ามาเหอะ! ”

สนธยาค่อนข้างงง ๆ กับอาการของคนเป็นเพื่อน แต่คนตัวสูงก็ไม่ได้สนใจอะไร ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปยังห้องรับแขกของบ้านโดยมีภูริเดินตามมาข้างหลัง ดวงตาคมกริบที่เคยมีแววนิ่งสงบพลันกวาดตาไปพบร่างของใครคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนโซฟา แผ่นหลังของคน ๆ นั้นค่อนข้างโปร่งแลดูบอบบางในขณะที่ส่วนสูงก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าเป็นคนตัวสูงคนหนึ่ง

ถึงแม้จะไม่เห็นชัด...แต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าใครกันที่นั่งอยู่ตรงนั้น!!

“ วา... ”

ทันทีที่รู้ตัว...เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกชื่อของคนที่แสนคิดถึงออกมาโดยไม่รู้ตัว สมองของสนธยาสับสนราวกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ในขณะที่คนซึ่งเคยนั่งหันหลังให้เขานั้นพลันยืนขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตัวสูง

“ พี่สน... ”

ร่างสูง...แต่หลังไหล่แลดูโปร่งบอบบางนั้นทอดดวงตากลมที่บัดนี้ค่อนข้างคมและรูปตาแลดูเรียวเล็กลง...มายังดวงตาคมกริบของสนธยา ดวงตาสีอ่อนนั้นพาให้หัวใจของสนธยาอ่อนยวบจนขอบตาแทบจะมีรอยน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

แต่...สนธยากลับเลือกที่จะบังคับสติแล้วพาตัวเองให้ก้าวถอยหลัง พยายามที่จะกลับหลังหันและวิ่งหนีไปจากที่ตรงนั้น!! ยังดีที่ภูริซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังพยายามดึงแขนเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้คนตัวสูงหนีไปไหน

“ ไอ้สน...แกจะหนีทำไมวะ วาอยากคุยกะแก...ทำไมต้องหนี!! แล้วดูซิวะ...หน้าตาแกมันเหมือนคนจะร้องไห้ยังงี้อย่าบอกนะว่าที่จะวิ่งหนีนี่น่ะมันจะทำให้แกมีความสุขได้น่ะ...ห๊า!! ”

สนธยาหยุด...ก่อนที่จะค่อย ๆ หันกลับไปมองวงหน้าเรียวสวยของคนที่แสนคิดถึง และในดวงตาคมกริบนั้นก็ค่อย ๆ มีรอยรื้นขึ้นน้อย ๆ จนทิวารู้สึกได้ทันทีเลยว่าสนธยารู้สึกสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไร

“ ทำไมทำแบบนี้...ทำแบบนี้ลูกของวาจะทำยังไง ทำไม...ทำไมไม่ให้พี่หายไปเฉย ๆเล่า รู้ไหมว่าทำแบบนี้จะมีคนต้องเสียใจเพราะพวกเรานะวา ”

สนธยาพูดตะกุกตะกัก พยายามระงับไม่ให้ดวงตาปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ทั้ง ๆ ที่ก้อนสะอื้นจุกแน่นในลำคอจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้วในวินาทีนั้น

“ ใคร...ใครจะต้องเสียใจกันละจ๊ะพี่สน วา...วานี่แหละใช่ไหมคนที่ว่านั่น ก็...ก็ตอนนี้จะมีใครเสียใจที่พี่ทำเหมือนพยายามจะวิ่งหนีไปอีกล่ะนอกจากวา ตอนนี้ก็มีแต่วาเท่านั้นแหละที่ทนคิดถึงพี่สนจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้วนะ... ”

เสียงสั่น ๆ ของคนตัวเล็กบอบบางกว่านั้นพูดเสียงครือก่อนที่ทิวาจะปล่อยน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม จากที่อดทนต่าง ๆ นานา จากที่อดทนทำงานดูแลเลี้ยงดูน้องสาวคนเดียวที่รับไว้เป็นลูกด้วยสองมือของตนเอง...ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่เมื่อพบสนธยามายืนอยู่ตรงหน้า ภาพของคนตัวสูง ภาพของดวงตาคมเฉียบของคนที่รักที่สุดก็พาให้ความโหยหาหาวรณ์ทั้งปวงแสดงอาการออกมาทันที

ดวงตากลมปล่อยน้ำตาไหลหยดอาบผิวแก้มขาว ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลหยดลงจากปลายคางตกลงบนพื้นไม้ปาร์เก้ขัดมันอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ทิวา...ที่บัดนี้แทบจะถือว่าเป็นคุณพ่อคนนึงแล้วนั้น กลายกลับไปเป็นเพียงแค่เด็กชายทิวาอายุแค่ 16 ปี ที่มักจะร้องไห้แล้ววิ่งเข้ามาหาสนธยาทุกครา...ในเรือนไทยหลังเดิม

ในเรือนหัวใจ...เรือนที่มีแค่เราสองคนและสายลมอ่อนบางยามราตรีกาลเป็นเพื่อน มีดวงจันทร์เป็นโคมอัจแก้วทอประกายมิวามแววแต่กลับแผ่วนวลชวนหวามไหวให้หัวใจอุ่น และระลึกได้ถึงรอยสัมผัสหวาน...จากริมฝีปากของกันและกัน

“ วา... ” คนตัวสูงคราง...ในอกเจ็บปวดแทบเหมือนคนจะเป็นบ้า ก่อนที่คนตัวสูงหนาจะถลาเข้าไปหาคนตัวเล็กที่เขาแสนจะคิดถึงนักหนา ก่อนที่มือหนาจะพยายามไล้ไปบนผิวแก้มอ่อนบาง...พยายามปาดเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดช่วงจากดวงตากลมหวานนั้น

“ ไม่เอา...อย่าร้องนะ อย่าร้อง...ไม่เอานะ โธ่! วา...น้ำตาเจ้ามันทำเอาในอกพี่แทบหมกไหม้ไปหมดแล้วรู้ไหม อย่าร้องไห้สิเจ้า...วาน้อยของพี่ ” สนธยาก้มลงจูบซับ...ที่ผิวแก้มนิ่มก่อนที่จะดุนปลายจมูกลงบนปลายจมุกเล็ก ๆ อย่างอ่อนโยน

// ทนไม่ไหว...ให้ทำใจแข็งยังไงก็ทนไม่ไหว น้ำตาของคนที่รักมันราวกับแปรไปเป็นเปลวไฟ น้ำตาหยดลงเมื่อใดก็ราวกับเปลวไฟหยดลงบนหัวใจเขาจนแสบร้าวเผาไหม้ให้รวดร้าวไปหมดแล้ว //

“ พี่สนใจร้าย...วาคิดถึงแทบตายอยู่แล้วพี่ยังจะ...ฮึก ยังจะหนีวาไปอีก ”

คนตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้...โอบเรียวแขนเล็ก ๆ รอบกายสูงก่อนจะซบหน้าลงกับอกสนธยาทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุดหย่อน นิ้วมือนิ่ม ๆ กำเนื้อผ้าของเสื้อตัวหนาที่คนตัวสูงสวมราวกับจะยึดไว้ไม่ให้เขาจากหายไปไหนอีกแล้ว...และไหล่บางที่สั่นสะท้านเหมือนคนที่หนาวจนอกสะท้านนั้นก็ทำเอาสนธยากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบร่างที่เล็กกว่าก่อนจะกระชับไว้แน่น นิ้วมือหนาลูบไล้ไปบนแผ่นหลังบอบบางอย่างแสนคิดถึงลึกซึ้งในหัวใจ

โอ...ให้ใจแข็งอย่างไรก็มิอาจทนได้อีกต่อไปแล้ว กลิ่นที่เคยคุ้น เสียงอ้อนที่หวานอ่อน ทั้งยังความอบอุ่นจากผิวกายของคนที่รักนั้นพาให้กำแพงที่สนธยาสร้างเอาไว้ถูกทำลายลงจนราบคาบสิ้น เหตุผลใดใดที่มี...หายไปจากสมองของคนทั้งคู่ราวกับถูกความคิดถึงลึกล้ำรินล้างไปจนหมด ความรู้สึกที่ได้กอดรัดสัมผัสกันนั้นทำให้ทั้งสองได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันอย่างลึกซึ้งทันทีในวินาทีนี้เอง

ครึ่งหนึ่งที่หายไป...มันค่อย ๆ หายไปจนเขาหามันไม่เจอ แต่...วินาทีนี้ครึ่งที่เคยหายไปนั้นกลับถูกเติมจนเต็ม หัวใจ...ก็อบอุ่นจนเต็มล้น

// น้ำใจรักเอยหยดรินรด...หากหมดน้ำรักแล้ว ต้นไม้หัวใจคงชีวาหมด...ต้องยืนตายคาต้น //

หัวใจรักราวกับดอกไม้กลีบอ่อนกลิ่นหอมหวาน จะบานชูช่อตระการได้ต้องใช้หยาดใจรินรด หากขาดน้ำแห่งหัวใจรักแล้วไซร้ดอกไม้แห่งหัวใจคงโรยราลงจนหมด หากขาดน้ำแห่งหัวใจรักรินรด...หัวใจคงหมด...คงราโรย

// ดอกไม้แห่งหัวใจค่อย ๆ ฟื้นคืน...ราวกับหยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงที่อุ่นล้ำจะช่วยเยียวยา
ความอุ่นแห่งเนื้อกายจะรักษา...จนดอกไม้แห่งหัวใจที่โรยราก็ยังคงคืนคงมาได้
จนสามารถผลิบานด้วยรัก และไหวเอนได้ด้วยรอยสัมผัสแห่งหัวใจ
อบอุ่นยืนนานมั่นคงได้...ดอกไม้หัวใจคงต้องใช้แต่น้ำแห่งหัวใจรินรดไปตลอดกาล!! //

“ วา...เจ้าเด็กน้อยของพี่เอย ให้อย่างไรพี่ก็คงทิ้งเธอไปไม่ได้จริง ๆ ...วา ”

สัมผัสโลมไล้อ่อนโยน...เพียงได้มองก็รู้สึกลึกล้ำด้วยรอยหวานประหลาด ดั่งน้ำตาลหวานขนาดราดรดจนหมดใจ

ภูริมองคนสองคนกอดกันจนแน่น น้ำตาไล้บนขอบตาคมอย่างดีใจในขณะที่ค่อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ แล้วกระถดถอยหายลับไปอีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้คนทั้งคู่ได้คุยกันเพียงลำพัง

“ แพ้หัวใจตัวเองแล้วจริง ๆ ...ให้เดินหนีเจ้าไปตอนนี้พี่คงทำไม่ได้แล้ว!! เจ้าจอมยุ่งของพี่...โธ่เอ๋ย!! แล้วทีนี้จะทำยังไงกับภรรยาของเรากันละ หือ!! วา ”

สนธยาที่น้ำตาไหลยิ้มบาง ๆ พลางกอดคนตัวเล็กกว่าจนแน่น หัวใจเรียกร้องโหยหาจนรอยกอดนั้นกระชับแน่น...แนบสนิทในรอยใจ

“ อะไร...ภรรยาใครเหรอพี่สน ? ”

คนตัวเล็กกว่าถามอย่างงง ๆ เมื่อฟังคนตัวสูงพูดออกมาแล้วไม่เข้าใจ ก็ไอ้ภรรยาที่ว่าน่ะมันภรรยาใคร ?

“ อ้าว...ก็ภรรยาเราน่ะแหละ!! ดูซิ...ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่ของเด็กน่ะจะคิดยังไงถ้ารู้เรื่องของเราเข้าน่ะหื้อ!! ”

สนธยาก้มหนาลงมองคนตัวเล็กที่ทำหน้างง...หยุดร้องไห้ไปเรียบร้อยแล้ว

“ ห๊า!!...วามีภรรยาที่ไหนล่ะพี่สน!! ไปเอาที่ไหนมาพูดเนี่ย!! ”

คนตัวเล็กโวยวายอย่างตื่นตกใจในขณะที่คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ก่อนที่น้ำเสียงทุ้ม ๆ จะเอ่ยอย่างไม่ค่อยเชื่อหูในสิ่งที่ทิวาพูดให้ได้ยิน

“ วา!!...เด็กที่ไหนจะเกิดจากกระบอกไม้ไผ่โดยไม่มีแม่ได้ละ ลูกของวา...วาเป็นพ่อ เด็กจะเกิดมาได้ก็ต้องมีแม่ด้วยสิ!! ”

// นี่ใช่ไหมที่ทำให้พี่สนเจ็บปวดและไม่ยอมมาพบหน้า...นี่ใช่ไหมที่พี่สนเลือกที่จะเดินหนีไปจากวา โธ่!!...โธ่เอ๋ย //

จู่ ๆ ทิวาก็หัวเราะลั่น พลางซบหน้าลงบนอกกว้างอย่างดีใจ น้ำตาที่หยุดไหลกลับไหลออกมาอีกครั้งอย่างเบาบางด้วยความรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้น ดีใจ...ที่รู้ว่าทุกสิ่งที่สนธยาทำไปก็ด้วยรักทั้งนั้น!!

“ อะไร...อะไรวา เอ่อ...นี่มันยังไงกันเหรอเนี่ย ? พี่งงไปหมดแล้วนะ ”

// สนธยาลนลาน...ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่น่าขำออกไปหรืออย่างไร ทิวาถึงได้หัวเราะลั่นอย่างนี้ได้ เออ...เขางงไปหมดแล้ว //

ทิวาค่อย ๆ ปาดน้ำตาทิ้งก่อนที่จะยิ้มหวานให้คนตัวสูงแล้วเสียงอ่อน ๆ ก็เอ่ยบอกสนธยาด้วยรอยเสียงปนหัวเราะเบาบาง

“ จริง ๆ แล้วยัยมุจเป็นน้องสาวของวาต่างหากล่ะพี่สน ยัยมุจเป็นน้องที่เกิดกับสามีใหม่ของแม่วาเองจ้ะ!! แต่ตอนที่พามาด้วยกันยัยมุจบอกว่าคนอื่นเขามีพ่อกัน...ทำไมแกไม่มีพ่อ ทำไมพ่อไม่รักไม่กอดเขา วาก็เลยสงสาร...จากตอนแรกว่าจะให้เรียกว่า ‘พี่วา’ ก็เลยต้องกลายเป็น ‘ พ่อวา ’ ไปน่ะสิจ๊ะพี่สน แต่เอ...ถ้าพี่สนไม่ไห้วาเป็นพ่อยายมุจแบบนี้พี่สนต้องมาเป็นเองแล้วละมั้งแบบนี้ ”

ได้ฟังเท่านั้น...สนธยาก็ค่อยยิ้มจนเหมือนคนบ้า พลางกอดคนตัวเล็กบางแสนน่ารักเอาไว้แน่น คนตัวสูงหัวเราะจนน้ำตาไหล ทั้งโล่งใจ...ทั้งดีใจ แถมวาจาน่ารักของทิวาก็พาให้ใบหน้าคม ๆ ค่อย ๆ ขึ้นสีเรื่อบนผิวแก้มอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานหลายปี

“ เป็นสิ...เป็น!! พี่เป็นพ่อ วาเป็นแม่นะวา ฮ่ะ ๆ ดีใจจังเลย...วา พี่ดีใจจังเลย... ”

สนธยาพูดปนหัวเราะ หัวใจรักเอิบอาบซาบซ่านด้วยไออุ่นอ่อนหวานจนหัวใจพองโต คนสองคนกอดกันแน่นท่ามกลางสายตาของภูริที่แอบพาหลานกับคุณนุชมาแอบยืนมองด้วยความดีใจ

“ ยุงภูริจ๋า...ตกลงแย้วปาป๊าที้วาจะกลายเป็นแม่ แล้วหนูจะได้พี่ชายตัวโตคนนั้นเป็นป๊าปาแทนจริง ๆ เหรอจ๊ะ ”

เด็กหญิงทำหน้าไม่เข้าใจเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะกระตุกเสื้อถามคนเป็นลุง ในขณะที่ว่าที่คุณป้านุชหัวเราะเบา ๆ แล้วคุณลุงภูริผู้แสนดีจะตอบยืนยันเด็กน้อยอีกทีหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

“ ชัวร์สิ!!...คราวนี้รับรองว่าหนูได้ครบทั้งป๊าทั้งแม่แล้วละนะยัยมุจเอ๊ย!! ฮะ ๆ ๆ ๆ ”

== TBC ==

ออฟไลน์ himecrazy

  • Alon€ In th€ DarK
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-0
 :mc4: :m1: :mc2: :pig4:

ราตรีประดับดาว37 [จบ]
โดย:ทิวารา

ใครหลาย ๆ คนอาจจะพูดว่า...ชีวิตเริ่มต้นเมื่อเราได้แต่งงานกับใครซักคน แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับใครอีก 2 คนนั้น...

“ ชีวิตของพวกเราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เราได้หายใจขึ้นบนโลกนี้ โดยที่เติบโตขึ้นและสะสมความเป็นตัวเราเอง...มาจนถึงวันนี้ที่เราได้มาพบกัน ”

สนธยาในวันนี้เป็นเหมือนเด็กครึ่ง...ผู้ใหญ่ครึ่ง เพราะเหมือนคุณสน กับ เจ้าสน มารวมกันเป็นคนเดียว มีบ้างที่อารมณ์คะนองตามประสาคนหนุ่มจะพาให้คิดอะไรแผลงเล็ก ๆ ในขณะที่บางทีก็รอบคอบและคิดมากเสียจนไม่เป็นอันทำอะไรอื่น แถมยังพูดก็น้อยอีกต่างหาก

ทิวาเองก็ค่อย ๆ เติมโตขึ้นโดยการตั้งตนเป็นพ่อคนอย่างรีบร้อน ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงแล้วด้วยความที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่เหลืออยู่ใกล้ชิดคอยสอนคอยสั่งทำให้เนื้อแท้นั้นทิวาก็ยังเป็นเด็กอยู่มาก แต่อาศัยยึดหลักเอาความเจ้าอดเจ้าทนของพี่สนมาเป็นแบบอย่างมาโดยตลอดเท่านั้นเอง

คน2คน...ที่ไม่สมบูรณ์พร้อมกันทั้งคู่นั้น หากเดินเปล่าเปลี่ยวเพียงลำพังก็คงไม่มีวันได้รู้จักซึ่งความสุข เพราะต่างก็...ขาด แต่เมื่อคนที่ขาด ๆ เกิน ๆ มารวมกัน...นั่นเหมือนจิ๊กซอว์สองชิ้นที่กระจัดกระจายพรายพัดก็ได้มารวมกันเป็นรูปร่างของหัวใจอันแท้จริง

สนธยา...คุณป๊ามือใหม่ที่พึ่งรู้ว่าหลงลูกเอามาก ๆ เพราะนับวันมุจลินทร์ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนวา แต่เจ้าตัวก็ต้องลดอายุลงเล่นกับลูกสาว เล่นกระทั่งชวนกันเล่นตุ๊กตากระดาษ เป็นที่สนุกสนาน
// ก็คิดดูเอาเถอะนะ...ว่านี่ถ้าเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกันมาเห็นตอนหัวหน้าแผนกศัลย์กรรมจอมโหด กำลังเล่นตุ๊กตากระดาษกับลูกยังงี้จะทำหน้าแบบไหน ? //
สนธยาพยายามทำหน้าที่พอ่ด้วยความเต็มใจ พลางพยายามสอนให้ลูกสาวพยายามเรียกใคร ๆ ให้ชัด ๆ ซักที เนื่องจากยัยหนูอยู่กับแม่ที่ป่วยมานานโดยไม่ได้พบใคร วัน ๆ จึงได้แต่เล่น กับพูดกับแม่ที่นอนหลับไปตามประสา...ดังนั้นพัฒนาการการพูดจึงเข้าขั้นติดลบ!!

ทิวา...คุณแม่มือใหม่เช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าจะเคยเป็นพ่อมาก่อนแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้การเป็นแม่ง่ายกว่าเดิมเลย เมื่อยัยหนูพูดกับคุณแม่ทิวาว่า...

“ คุณแม่เป็นแม่ เก๊าะต้องทำกับข้าวซีคะ ต้องใส่เสื้อลูกไม้ฟู ๆสีชมพู ๆ เหมือนในการ์ตูนที่ดูตอนเช้า ๆ ใส่กระโปรงแบบหนูด้วย ”

ฟังแล้วก็เครียด...ทำกับข้าวนี่ไม่เท่าไหร่ แต่...เสื้อลูกไม้ฟู ๆ แถมรีเควซสีชมพูนี่ไม่ไหวละมั้งลูก!!

ลูก...มุจลินทร์ที่กำลังค่อย ๆ เติบโตด้วยความรักจากคุณพ่อคุณแม่ก็กำลังค่อย ๆ เป็นเด็กที่เค้าเรียกกันว่า...เจ้าหนูจาไม เพราะเที่ยวถามอะไร ๆ กับใคร ๆ เค้าไปทั่ว แล้วนับวันก็ยิ่งฉลาดเป็นกรด...บางทีคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ถูกลูกสาวเล่นงานเสียเอง

อย่างตอนที่สนธยาพาลูกสาวไปอวดเพื่อน ๆ ที่โรงพยาบาล ยัยหนูก็เล่นซนไปทั่ว...แต่ก็เป็นที่เอ็นดูของนางพยาบาล (ที่ปลื้ม ๆ คุณหมอสนอยู่) จนเจ้าตัวได้รับความอนุเคราะห์มหาศาลด้วยขนมกล่องเท่าฝาบ้านหลังจากที่บ่นว่าหิวจนท้องไหม้ใจจะขาด แต่พอสนธยาจะขอลูกกินบ้าง (อยากให้ลูกป้อน) ยัยหนูกับทำหน้างอ...พูดว่า

“ ไหนพ่อสนว่าจะไม่กินของ ๆ สาวไหนนอกจากรสมือแม่วาไงล่ะ ? ...ไม่ได้ ๆ มุจไม่ให้กิน เดี๋ยวพ่อสนผิดสัญญา ”

คุณพ่อละปลื้ม...แต่คุณลูกน่ะโล่งใจ ที่ขนมของตัวเองยังไม่ถูกแย่ง (ซะงั้นละลูก) เพราะยัยหนูน่ะวางแผนว่าจะเอาขนมไปฝากน้องก้องลูกลุงภูริน่ะสิ

“ พี่สน...ไอ้นั่นอยู่ไหนจ๊ะ วาไม่เห็นเลย ”

จู่ ๆ ทิวาก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนที่จะถามถึง ‘ไอ้นั่น’ เอาซะเฉย ๆ ...ทำเอาภูริที่นั่งคุยอยู่กับสนธยายังต้องงงเป็นไก่ตาแตก

“ อ๋อ...ไอ้นั่นพี่วางไว้บนตู้เหนือเตาแกสน่ะจ้ะ หยิบระวัง ๆ นะ เดี๋ยวข้าวของจะหล่นมาใส่เอาได้ ”

“ จ้า... ”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็หายกลับเข้าไปในครัว...จนสนธยาต้องเฉลยว่า ‘ไอ้นั่น’ น่ะคือ... กระปุกพริกไทดำ

“ เฮ้ยสน...วาพูดแค่นี้ทำไมแกรู้วะ ? ”

“ ไม่รู้ซิ...หัวใจมันผูกกันมั้ง เลยรู้ หึ ๆ ๆ ๆ ”

สนธยาพูดเสียงเย็น ๆ รื้น ๆ แสนรื่นเริง...ในขณะที่ภูริเกาหัวแกร่ก ๆ อย่างแปลกใจ

// เออ...เดี๋ยวนี้ไอ้สนพูดหวานเป็นน้ำตาลปี๊บกะเค้าได้ด้วยเหรอวะ ? //

แต่...อันที่จริงแล้วการเข้าใจอะไร ๆ กันได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพูดมากนั้นกลับเป็นประโยชน์หลายอย่าง เพราะเมื่อทุกคนนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้า จู่ ๆ สนธยาก็ยิ้มพรายให้ทิวาอย่างขี้เล่น ก่อนจะพูดเอาง่าย ๆว่า...

“ วา...คืนนี้ทำยังงั้นได้ไหม? ”

คนอื่นไม่เข้าใจ...ไม่ว่าจะภูริ จะคุณนุช หรือเด็กน้อยอีก 2 เถาอย่างยัยมุจและตาก้องก็ไม่รู้เรื่องพอกัน แต่ทว่า...ใบหน้าของคนถูกถามกลับแดงจัดจนทุกคนแสนจะสงสัยเหลือเกินว่า ‘ ยังงั้น ’ น่ะมันยังไง

“ พี่สน...บ้า ”

ทิวาพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงรอดออกมาแค่กระซิบ เพราะคนฟังน่ะรู้...ว่า ‘ ยังงั้น ’ นะมันยังไง!!

// พี่สนบ้า!! ไหนว่าไม่ชอบแกล้ง...ที่ไหนได้ เดี๋ยวนี้ละกลับแกล้งหนักขึ้นทุกที ๆ ดูอย่างตอนนี้...มีที่ไหนคนเค้ามาถามเรื่องแบบนี้กลางโต๊ะอาหารต่อหน้าคนอื่นกันมั่งหื๊อเนี่ย!! //

ทิวาบ่นในใจ ทำแก้มป่องน้อย ๆ เหมือนเด็กชายทิวาในวันเก่า ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ หลบสายตาคนอื่น ๆ ด้วยการรวบช้อนแล้วถือจานเดินฉับ ๆ เอาไปล้างในครัวทันที ทำเอาสนธยาต้องลุกขึ้นบ้าง...ก่อนจะเดินตามไปง้อถึงในครัว

ปล่อยให้บรรดาเด็กน้อนและเพื่อนฝูงนั่งกินข้าวกันด้วยความงงกันต่อไป...ว่า ‘ ยังงั้น ’ น่ะมันอียังไหง?

[จบ]


three

  • บุคคลทั่วไป
 :m4: :mc1: :mc3: :mc4: :mc2:ดีเอ๋ยดีใจเหมือนได้แก้วจบแบบนี้สุดยอดอ่านแล้วน้ำตาซึมเลยอ่ะ :o8:

thanwaruchara

  • บุคคลทั่วไป
ชอบ ครับ ชอบมาก
อ่านแล้วอยากมีความรักบ้าง

ออฟไลน์ มูมู่น้อย

  • Global Moderator
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +468/-12
จบแล้ว   o13

ขอบคุณมากๆคนแต่ง แล้วก็คนโพส hemicrazy ที่นำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน 
ซาบซึ้ง  ละเมียดละไม  กึ่งหลับกึ่งตื่น 555

ปล  รอตอนพิเศษอยู่น้า  :oni2:



leau_dissey

  • บุคคลทั่วไป
 :m13:น่ารักจังชอบค่ะ เพลงราตรีประดับดาวก็ไพเราะมากๆ ชอบนิยายที่มีบรรยากาศไทยๆแบบนี้จังเลย  พยายามต่อไปนะคะ รอภาคพิเศษอยู่:bye2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด