พิมพ์หน้านี้ - ราตรีประดับดาว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => เรื่องสั้น => ข้อความที่เริ่มโดย: himecrazy ที่ 21-11-2007 22:34:34

หัวข้อ: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 21-11-2007 22:34:34
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความที่ไม่เหมาะสมและเกิดความขัดแย้ง
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ



.::.กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่ .::. (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0)






เรื่องนี้ได้รับการอนุญาติให้เอามาลงจากคนเขียนแล้ว นะค่ะ ดดยที่งานเขียนชิ้นนนี้ ตอนต้นๆๆคนเขียนใช้ชื่อว่า ทิวารา แต่ตอนหลังได้เอา ชื่อเดิมมาใช้ คือ ชื่อLuvless  คะ  เด่วยังไงเจ้าของผลงานคงเข้ามาดุการโพสลงที่บอร์ดนี้ ถ้าสนใจจะคุยกะคนเขียนโพสบอกได้ นะค่ะ :m13: :m17: :m22:


ราตรีประดับดาว 1
โดย:ทิวารา

เงาไม้ใกล้เรือนแผ่ปกจนเมื่อเด็กหนุ่มมองฟ้ายามค่ำผ่านบานหน้าต่างก็ชวนให้คิดถึงความอ่อนหวานละมุนของใครบางคน แสงจันทร์คืนนี้นวลตาดูงามนัก แสงที่ฉายบางนั้นดูอ่อนบางตามธรรมชาติของแสงเดือนเหมือนนิสัยของใครบางคนที่คุ้นเคย

“ วา...เจ้าอยู่ไหน ? ”

เสียงทุ้มละมุนเอ่ยจากด้านนอก พร้อม ๆ กับเสียงย่างเท้าย่ำเบาให้ได้ยินวะแว่วมา

“ คุณพี่... ”

เสียงน้อย ๆ ยินดีก่อนที่จะขยับลุกขึ้นช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่คนตัวสูงกว่าจะเปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับอ้าแขนออกกว้างขวางเตรียมกอดน้องชายของตน

“ วันนี้ทำไมวาไม่ไปเรียนหือ ? พี่แวะรับก็ไม่เจอ...ตกใจเสียแทบแย่ ”

“ ก็...คุณพี่ไม่บอก ไม่งั้นจะได้... ”

ฟังเพียงนั้น...คนพี่ก็เอ็ดเอาเบา ๆ

“ บอกกี่หน...ไม่ให้เรียกคุณพี่ ให้เรียกพี่สนไง...วา ”

ทิวาน้อยทำหน้าเศร้า...เมื่อคิดถึงความไม่ถูกไม่ควรหากเรียกคุณสนธยาของคนในบ้านเป็นคำอื่น ถึงอยากเรียกเพียงไหนก็ไม่อาจทำได้ดังที่ใจต้องการ ได้แต่เพียงเรียกขณะอยู่เพียงลำพังพี่น้องเท่านั้น

“ วันนี้พี่เด็ดดอกมะลิมา...วาชอบไหม? ”

เป็นที่รู้ว่า...คุณสนธยาตามใจก็แต่ทิวา รักใคร่ก็แต่ทิวา สนใจ...ก็แต่ทิวา

เพียงแค่นึกถึงมาลิ เขาก็ช่างสรรหามาให้ อยากทานอะไร...เขาก็ช่างไปหามาให้ทาน โดยที่ดวงตาที่นิ่งสงบแลฉ่ำเย็นไม่มีแม้แต่ร่องรอยบอกว่าเดือดร้อนรำคาญใจ

“ พี่สน...วาไม่อยากไปโรงเรียนเลยจ้ะ วาไม่ไปได้ไหม? ”

ทิวาก้มหน้าลงน้อย ๆ เมื่อนึกถึงยามที่เพื่อนร่วมเรียนพูดแปลก ๆ พาให้ไม่สบายใจอยู่เสมอ

“ วา...ไม่ได้นะ เด็กดี...อดทนนะวานะ หากใครทำให้เจ้าต้องรู้สึกเสียใจขอให้บอกพี่มาเท่านั้น แต่วาต้องไปเรียน...ไม่อย่างนั้นแล้วคนเขาจะหาได้ว่าน้องของพี่เป็นคนไม่มีความรู้ ”

ทิวาหยิบดอกมะลิจดปลายจมูกค่อยยิ้มให้คนตัวสูง กลิ่นหอมอ่อนหวาน ไม่ฉูดฉาด...เพราะเหตุนี้จึงได้นึกชอบดอกมะลินักหนา จะว่าไป...นิสัยใจคอของสนธยาก็เย็นระเรื่อย อ่อนหวานเหมือนน้ำลอยมะลิ ใบหน้าคมมักมีรอยยิ้มบาง ๆ พร้อมกับดวงตาสีเข้มประกายคมแต่แลดูอ่อนหวาน

“ พี่สน...คืนนี้นอนกับวาได้ไหม? ”

“ เอาสิ...พี่ก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่ นี่ก็บอกคนที่บ้านโน้นไว้ว่าคืนนี้จะมานอนเป็นเพื่อนวา ”

ความหอมอ่อนหวาน กลิ่นตัวและกลิ่นแป้งผสมกลิ่นเหงื่อลอยจางบางเบาในบรรยากาศ ในขณะที่พี่ชายค่อย ๆ จูงมือนุ่มนิ่มของน้องเดินพาขึ้นไปนอนบนเตียงไม้ก่อนที่จะเอนกายลงไปบ้าง

“ พี่สน...ตอนเช้าปลุกวาได้ไหม ? ”

คนเป็นพี่ได้แต่มองดวงหน้าของน้องนิ่งนานพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาโดยไม่เอ่ยตอบ ก่อนที่เจ้าตัวจะใช้มือลูบหลังของน้องไปพร้อม ๆ กับที่น้ำเสียงทุ้มเย็นร้องเพลงกล่อมไปเบา ๆ

ลมเย็น ๆ ...พร้อมกลิ่นมะลิลอยอวลเบาบางจางเจือในห้วงคำนึง เป็นความสงบสุขที่หาไหนไม่ได้

แต่ถ้าหากว่า...มันจะยืนยงอยู่เนิ่นนาน นาน...กว่าแค่กาลหนึ่งก็คงจะดี

TBC...
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 21-11-2007 22:37:38
ราตรีประดับดาว2
โดย:ทิวารา

เด็กหนุ่มตื่นขึ้นพร้อมกับเสียงนกร้องในตอนเช้า...ในห้องว่างเปล่าที่ไม่มีเงาคนตัวสูงที่คุ้นเคย ตื่นขึ้น...ในห้องที่ผนังปูนเต็มไปด้วยภาพนก ภาพต้นไม้ ใส่กรอบรายเรียงเป็นทิวแถว แล้วตนเองก็นอนอยู่บนเตียงโครงเหล็ก

ไม่มีกลิ่นมะลิ...ไม่มีดวงจันทร์ทอประกายนวลตา ไม่มี...พี่สนธยาของทิวาอยู่เลยเมื่อยามเช้ามาเยือน

ทิวาลุกขึ้นเหม่อมองไปนอนกหน้าต่างซึ่งติดเหล็กดัดแน่นหนาแล้วถอนใจเบาบาง เมื่อนึกเปรียบกับหน้าต่างไม้ในเรือนเดิมที่มองดูปลอดโปร่งเสียกว่าในความเป็นจริง

พี่สนไม่เคยปลุกทิวาเลย ทุกคืนที่ขอ...จะไม่ได้รับคำตอบ และเมื่อเช้า...ก็จะต้องตื่นโดยไม่มีพี่สนธยาอยู่ข้าง ๆ

“ หลงรัก...เงาของดวงจันทร์ ”

ตั้งแต่อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้วทิวาก็ได้แต่ฝันเห็นคนในรูปถ่ายสีขาวดำ รูป...ที่ถ่ายแล้วสอดไว้ในสมุดเล่มนั้น ทำให้รู้ว่าคุณสนธยานั้นจริง ๆ หน้าตาเป็นแบบไหน อ่อนหวานเหมือนดังที่หนังสือกล่าวเท่าไหน

ทิวายิ้มบาง ๆ เมื่อเปิดหน้าแรกซึ่งมีรอยลายมือใครบางคนตวัดสวยไว้บาง ๆ

เขาถูกเตือนตั้งแต่เพียงแรก...หน้าแรกที่เปิดอ่านด้วยข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ ซึ่งเมื่อแรกที่อ่านประโยคนั้นทิวาไม่เคยเข้าใจ แต่วันนี้เข้าใจแล้ว และก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสิ่งที่ไม่อาจลบเลือนได้...ไม่รู้จะลบอย่างไร

“ อ่านได้...แต่อย่าหลงรักเงาของดวงจันทร์ ”

แต่ทว่า...ถึงคำเตือนจะย้ำในอก ทิวาก็ยังฝันเห็นคุณสนธยาทุกคืน ได้ยิน...เสียงที่เรียกชื่ออ่อนหวาน เหมือนคนที่ติดใจในรสหวานของน้ำผึ้งหรือน้ำตาล หวาน...จนผละไปไหนไม่ได้

“ ช่างเถิด...อย่างน้อยว่าก็มีพี่สน ถึงในยามตื่นจะไม่มีใครเลยก็ตาม ”

เจ้าตัวแนบรูปถ่ายใบเก่าลงก่อนจะปิดหนังสือเก็บไว้ในลิ้นชักข้างเตียงอย่างถนอม เพราะสำหรับทิวาแล้ว...สนธยาคือฝันที่สวยงามที่เขาไม่ต้องการให้ใครทำให้แปดเปื้อน

นั่นเพราะ...เขายังลบมันไม่ได้ เขายังติดใจ ติด...ในเสียงอ่อนหวานและเอาใจยามเรียกชื่อเขา

// วา...วา...วาเจ้าอยู่ไหน ? //

รู้...ทั้งรู้ว่าไม่ใช่ความจริง แต่ก็ยังไม่รู้จะทำอย่างไรให้ลบภาพอ่อนหวานนั้นได้ลง เพราะ...ตอนนี้สิ่งที่ทำให้ทิวารู้สึกดีที่สุด อบอุ่นที่สุดคือยามที่อยู่กับสนธยาในเรื่อนเก่ายามกลางคืนที่ลมพัดเย็นเอื่อยเรื่อยและอ่อนหวาน

“ วา!! ไอ้วา!!!! ไปโรงเรียนได้แล้ว เดี๋ยวสายนะโว้ย!! ”

เสียงเพื่อนข้างห้องเคาะเรียก ก่อนที่ฝีเท้าย่ำหนักโครมครามจะค่อย ๆ ไกลออกไป ในขณะที่ทิวาได้แต่สายหน้าพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ

// เทียบไม่ได้เลย...กับความอ่อนหวานของพี่สน พี่สนเดินเบาเสมอ //

เด็กหนุ่มลุกขึ้นอาบน้ำไปโรงเรียนพร้อมกับเสียบหูฟัง และเปิดเพลงเบา ๆ ดวงตากลมค่อนไปทางหวานในกรอบแว่นมองไปตามทางที่มีแต่สายตากลับไม่เคยแลเห็นพี่สนของเขาในแสงสว่างยามกลามวันที่แสนเจิดจ้าเลยสักครั้ง

“ พี่สนเป็นดวงจันทร์จริง ๆ น่ะแหละ หึ ๆ ๆ ๆ ”

// หอม...หอมดอกชมนารถ กลิ่นไม่...ฉูดฉาด แต่...เอ๋ย หอม...ยวนใจ //

เสียงนุ่ม ๆ เย็น ๆ ดังขึ้นในสมอง พร้อม ๆ กับรอยยิ้มกว้างขวางเป็นสุข

สุขทุกครั้งที่นึกถึงเสียงที่ร้องกล่อมด้วยน้ำเสียงทุ้มเย็นทุกคืน...ทุกคืน อย่างอ่อนหวาน

“ ขอเวลาสักหน่อยก่อนเถอะ ขอรู้สึกมีความสุขอีกสักนิดเถอะ แล้วค่อยกลับมาอยู่ในโลกของความเป็นจริง ”

ดวงตาคมหวานเศร้าลง เพราะแม้รู้ว่าต้องทำ...แต่ก็อดไม่ได้ที่จะใจหาย

// ถ้าไม่ได้เห็นพี่สน...ไม่ได้รับความอ่อนหวาน อบอุ่นนั้น...เราจะไปหาได้จากใครที่ไหน ? //

เป็นคำถามที่ค้านในหัวใจของทิวาทุกครั้งทุกครายามคิดว่า...ไม่นานก็คงต้องออกจากโลกของความฝัน!!

=TBC=
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 21-11-2007 22:40:58
ราตรีประดับดาว3
โดย:ทิวารา

เปิดเทอมใหม่...ทิวาก็ยังเป็นทิวาที่ไม่ใส่ใจอะไรมากมายไปกว่าการจับจองที่นั่งในห้องตรงริมหน้าต่าง นอกเหนือจากนั้นก็มีเพียงนั่งฟังเพลงให้รื่นใจเพียงคนเดียว ปากก็ร้องเบา ๆ โดยไม่รับรู้ว่าคนที่ได้ยินจะวิจารณ์อันใด

เพลงที่สนธยาร้องให้ฟังทุกคืน...เพลงที่เขาไม่รู้จักเลยสักนิด แต่เมื่อได้ฟังชายหนุ่มร้องก็รู้สึกติดในใจ...พยายามหามาฟัง แล้วก็ฟังวนเวียนซ้ำแทบตลอดเวลา

// เพลง...ราตรีประดับดาว //

เพลงเก่าโบราณ...ที่แม้จะไม่สามารถทำให้ฟังเป็นเสียงของสนธยาได้ทุกเวลา แต่ว่าก็ยังดีที่มีฟัง เพลงไทยที่ไม่เคยนึกอยากฟัง...กลับทำให้ทิวารู้สึกอ่อนหวานและเนื้อร้องก็ติดในใจ

ในขณะที่ทิวาเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ใครคนหนึ่งก็ค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งลงยังโต๊ะตัวข้าง ๆ ...เด็กหนุ่มจึงค่อยหันไปมอง กะว่าจะมองเพียงเล็กน้อยเพื่อรู้จักใบหน้าของคนที่จะนั่งข้างกันในชั้นเรียน

แต่ดวงตาของคนตัวเล็กกลับต้องหันไปจ้องนิ่งนาน...

คนตัวสูง...ใบหน้าที่เคยคุ้นแต่อ่อนวัยกว่ามากนั้นแลมาทางทิวา ก่อนจะขมวดมุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจเมื่อรู้ตัวว่าถูกจ้องหน้านิ่ง

“ มองทำไม...ประสาทเหรอไงไอ้แว่น!! ”

ให้เหมือน...ให้คล้ายเพียงไหนแต่ก็คงแค่เปลือกกระมัง แต่เนื้อแท้ภายในคงไม่ใช่คนเดียวกัน เพราะสนธยา...พี่สนของวาไม่เคยพูดทำร้ายคนอื่นเช่นนี้ ไม่เคยดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่เคยต่อว่าหรือมองด้วยแววตาฉุนเฉียวเช่นนี้เลย

ทิวาหันหนีก้มลงมองมือที่สั่นระริกของตนก่อนที่หูจะได้ยินเสียงเพื่อนคนอื่นเรียกคนที่นั่งเคียงข้างชัดถนัดหู

“ เฮ้ย!! ไอ้สน แกจะบ้าเหรอมานั่งกับไอ้แว่นน่ะ มันเพี้ยน ๆ อยู่นะเว้ย...มึงไม่กลัวรึไง ”

//สน... คน ๆ นี้ก็ชื่อสน หรือว่า...ชื่อจะเหมือนกัน จะเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ !?//

เหมือนเค้าลาง เหมือนความเป็นจริงกำลังบดบังความฝัน...ทิวาจิกนิ้วกับฝ่ามือจนแน่น หวาดกลัว...ว่าความเป็นจริงมันกำลังฟ้องถึงเวลาที่ใกล้จะหมด

ความฝัน...ค่อย ๆ ถูกความเป็นจริงที่โหดร้ายทาบทับ แล้ว...พี่สนของวาก็จะหายไปกระนั้นหรือ ?

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ยามกลางคืนเหมือนเมื่อวันก่อน ๆ ที่ทิวาถูกกล่อมด้วยเสียงทุ้มเย็น...แต่คืนนี้คนตัวเล็กนอนน้ำตาซึม หลับตาในอ้อมกอดของสนธยาที่ลูบหลังน้องเบา ๆ ด้วยความสงสาร

“ วา...วาของพี่ เจ้าจะร้องไปใย ? พี่อยู่นี่แล้ว...ใครมันทำร้ายวา ขอเพียงให้วาบอกพี่มาสักคำ ”

ทิวาซบหน้ากับอกสนธยาพร้อมกับสะอื้นเบา ๆ ...ได้แต่ส่ายหน้าโดยไม่ยอมเอ่ยเล่า ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันที่ผ่านมา

“ วา... ”

สนธยามองน้องด้วยแววตาหมองพลางลูบหลังลูบไหล่น้องด้วยความใจหาย เมื่อแลเห็นดวงตาน้องเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา แพขนตาหรือก็เปื้อนเปียกเสียจนเห็นแล้วใจหายนัก

“ พี่สน...พี่สนอยู่กับวานะ พี่สนไม่ไปไหนใช่ไหม? ถึงไม่มีใคร...แต่มีพี่สนคนเดียวก็พอแล้ว ”

ทิวาเอ่ยทั้งที่ยังสะอื้นเบา ๆ ...เหมือนคนที่ขาดความมั่นคง เหมือนกลัวจะถูกทอดทิ้งให้เดียวดาย

“ วา...คนดี นอนเสีย...พี่จะร้องเพลงให้ฟัง ”

ทิวาน้อยของพี่ชายพยักหน้าทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังซุกแน่นอยู่ดุจเดิม ดวงตากลม ๆ นิ่งฟังเพลงกล่อมที่ถูกขานขึ้นด้วยรอยเสียงสั่นไหวทุ้มนุ่ม และเต็มไปด้วยความฉ่ำเย็นเหมือนสายน้ำ

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย

ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ.................เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวงเอย
หอมดอกแก้วยามเย็น..........................ไม่เห็นใจพี่เสียเลยเอย

ดวงจันทร์หลั่นลดเกือบหมดดวง.........โอ้หนาวทรวงยอดชีวาไม่ปราณี
หอมมะลิกลีบซ้อน...............................อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย

จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา.................แสงทองส่องฟ้าสง่าศรี
หอมดอกกระดังงา.............................ชิชะช่างน่าเจ็บใจจริงเอย

หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี.......................แต่ตัวพี่จำจากพรากไปเอย
หอมดอกจำปี....................................นี่แน่ะพรุ่งนี้จะกลับมาเอย ฯ //


เสียงทุ้มเย็นร้องเรื่อยระรินไหว ฉ่ำเย็นอบอุ่น กล่อมให้ทิวาน้อยคล้อยนอน...จนกระทั่งคนเป็นน้องหลับสนิท สนธยาก็ค่อยใช้ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมของคนตัวเล็กในอ้อมแขนอย่างเบามือ ...ในดวงตา เคว้งคว้างแลเปลี่ยวเหงา

// จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา...นี่แนะพรุ่งนี้จะกลับมาเอยฯ //

“ วาน้อยของพี่เอย...ใยเจ้าจึงไม่เคยเหลียวหาทิวาวาร เหตุใดจึงมาจมกับยามค่ำยามคืนเช่นตัวพี่เช่นนี้หนอ ? ”




ราตรีประดับดาว4
โดย:ทิวารา

หอม...หอมเอยหอมดอก...ชำมะนาด กลิ่น...ไม่ฉูดฉาด แต่หอม...ยวนใจ

ทิวาฟังเพลงเดิมเวียนวนซ้ำ พยายามไม่หันไปมองคนที่นั่งเรียนอยู่เคียงข้างราวกับจะทำให้หายไปราวกับธาตุใดก็ตามที่ตนมิต้องขายตาแลเห็น และทางด้านของสนธยาเองก็ไม่ได้แสดงทีท่าว่ารู้สึกถึงการหลบเลี่ยงนั้น

กลับกัน...จากที่ปรกติทุกคืนทิวาจะอ่านหนังสือเก่าเล่มนั้นพร้อมกับมองภาพคุณสนธยาไปเรื่อย ๆ แต่พักหลัง ๆ กลับพยายามอ่านแค่ไม่กี่หน้าและก็ค่อย ๆ อ่านช้า ๆ โดยลดจำนวนหน้าต่อวันลงไปทีละน้อย ๆ

// พี่สนของวา...ถ้าวาอ่านเรื่องของพี่จบแล้วพี่ก็อาจจะหายไปตลอดกาลก็เป็นได้ใช่ไหม ? //

เพียงคิดดังนั้นก็ก่อให้เกิดความหวาดกลัวว่าคนที่เคยเคียงข้าง...คนเพียงคนเดียวที่เรียกชื่อด้วยหัวใจและน้ำเสียงที่อ่อนหวานจะไม่มีอีกแล้ว นั่นยิ่งทำให้โลกรอบข้างแทบไม่มีคุณค่าจะเสียเวลานึกถึงสำหรับทิวา เด็กหนุ่มเลือกที่จะมองเมินคนที่นั่งเคียงข้างแล้วจมห้วงความคิดลอยลับไปในวนางดงาม ลอยรินระเรื่อยไปตามเสียงเย็นรื้นของบทเพลงที่เขาเปิดมัน...เวียน แลวนซ้ำ

เหมือนสังหรณ์ถึงตอนจบที่ไม่อยากพบเจอ ไม่อยากไปถึง...จึงกลัวที่จะก้าว กลัวที่จะพลิกอ่านหน้าต่อไป กลัว...วันที่ต้องอ่านหน้าสุดท้ายเพื่อจากลา ลาจากสิ่งที่แสนจะอ่อนโยนซึ่งชั่วชีวิตนี้ที่ทิวาไม่เคยได้รับจากใครไหน ไม่เคยได้พบได้เจอ...ได้สัมผัส


ระหว่างที่ทิวาจมอยู่กับห้วงคำนึงหาที่ห่างไกลจากความเป็นไปรายรอบตัว สนธยาก็แอบเหลือบมองเจ้าแว่นตัวเตี้ยที่เหม่อไปนอกบานหน้าต่างโดยไม่ใส่ใจเพื่อนฝูงหรือใครอื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่สน...แม้กระทั่งตัวเขาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เสียด้วยซ้ำ!!

// ไอ้แว่นมันเป็นอะไรของมันนะ ไม่เคยพบเคยเห็นคนที่ไร้มนุษยสัมพันธ์ขนาดนี้เลย...ไม่มีใครคุยด้วยก็เหม่ออยู่คนเดียวได้ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เฮอะ!!...สมแล้วที่มีแต่คนเขาหาว่าประหลาดคน //

คนตัวสูงกว่านึกค่อนในใจ...ลึกแล้วรู้สึกไม่ชอบใจเมื่อครั้งที่เห็นหน้ากันคราแรก เพราะถูกอีกฝ่ายจ้องไม่วางตา

แต่ว่า...เมื่อหลังจากนั้นกลับไม่เคยเหลียวแลหรือแม้แต่จะชวนคุยด้วย สนธยาก็อดรู้สึกฉุนโดยไม่รู้สาเหตุไปเสียละไม่ได้!!

// เอ...รึว่าเพราะเราไปด่าว่าไอ้แว่นประสาท ก็เลยโกรธ ? //

คนตัวสูงกว่าเริ่มตั้งข้อสงสัยเอาเอง ก่อนที่จะนั่งขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นเงียบ ๆ โดยที่ทิวาก็เอาแต่เสียบหูฟัง...เหม่อมองและทอดหัวใจไปไกลลิบ ไปยังบ้านไม้เก่า ๆ ที่อยู่ในเงารื้นแห่งความฝัน และคำนึงถึงร่างสูงและรอยเสียงเย็นชื้น แลรื่นหัวใจทุกคราที่ได้ยิน

ทิวาเอย...ทิวาน้อยของพี่เอย

เพียงนึกถึงน้ำเสียงทุ้มต่ำและอ่อนหวานนั้น เจ้าแว่นของคนที่กำลังทำหน้ายุ่งก็ยิ้มหวานไปกับลมกับฟ้า โดยไม่รู้ว่าสนธยาคนที่นั่งอยู่เคียงข้างจะตกใจกับรอยยิ้มอ่อนหวานชื่นหัวใจนั้นสักเพียงไหน

// เจ้าเตี้ยมันยิ้ม...ยิ้มสวย ทำไมมันไม่ยิ้มให้บ้างนะ ? ถ้ามันยิ้มให้ละก็...จะไม่มีใจด่ามันสักคำเดียวแท้ ๆ //

สนธยาคนเดิมคิดในใจเช่นนั้น เพราะมั่นใจว่าหากไอ้เตี้ยของเขายิ้มให้สักหน...เขาลงไม่ใจดำด่าอีกฝ่ายได้ลงคอเลย คงไม่กล้าเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ทว่า...ที่แล้ว ๆ มามันกลับเฉยใส่เขา กลับทำหน้าเย็น...นิ่ง

ให้หนักหนากว่าก็คือทำสายตาเสมือนแลเลยเขาไปโดยไม่เหมือนแม้จะมองเห็นเขาในสายตา การกระทำเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกโกรธเคืองจนต้องเผลอเอ่ยวาจากระทบแดกดันใส่ไปเสียละหลายหน

สุดท้าย...เมื่อหลุดคำว่ากระทบออกไป คนตัวเล็กมักทำสายตามองเขาอย่างเจ็บปวด เหมือนกับคำพูดเหล่านั้นทำร้ายจิตใจของอีกฝ่ายอย่างไม่น่าเป็นไปได้


สนธยาคนนี้หรือจะรู้...ว่าวาจาดุว่าเพียงน้อยนิดนั้นก็มีผลเหมือนหัวใจของทิวาน้อยจะฉีกขาดออกจากกัน

ใบหน้าที่คลา...คลับคล้าย
น้ำเสียงละม้าย...มิแม้นเหมือน
แต่คำกล่าวกลับทำร้าย...ให้ใจเตือน
แม้แม้นเหมือน...แต่ดวงใจมิใกล้เคียง

ใบหน้าที่เหมือนคนเดียวกัน น้ำเสียงที่เหมือนพี่สนของวาคนนั้น แต่วาจากลับทำร้ายหัวใจยิ่งนัก นั่นทำให้เจ็บปวดเสียกว่าถ้อยคำทำร้ายไหน ๆ ที่เคยพบเคยเจอในชีวิตที่มี

คำร้ายใดใดจากใครก็เหมือนสายลม พัดมาแล้วก็ราแรงและผ่านไป...
แต่เหตุใด...คำกล่าวให้เบาน้อยค่อยกระทบเสียแค่ไหน
หัวใจทิวาน้อยก็คอยจะจำ...ย้ำ...จนใจเจียนจะขาดรอน

“ วา... ”

เสียงทุ้ม...ลองเรียกเบา ๆ ให้คนข้าง ๆ หันมา ลอง...เรียกดี ๆ เผื่อว่าเจ้าแว่นตากลมจะหันมายิ้มบ้าง แต่...ทิวาที่หันมากลับจ้องหน้าเขาปานว่าฟ้าได้ถล่มลงกับตาในครานั้น แล้วพลัน...ดวงตาก็เอ่อคลอด้วยหยดน้ำใสไหลรินลง

“ ใจ...ใจร้าย ”

เพราะเพียงน้ำเสียงโทนเดียวกันนั้น...ภาพพี่สนของทิวาน้อยก็ถูกลบออกไปโดยพลัน!!

แล้วคนที่มาแทนที่นั้นกลับเป็นสนธยาคนใจร้ายตรงหน้าเสียแทน...นั่นจึงเหมือนยิ่งตอก ยิ่งย้ำให้หวาดให้กลัวว่าซักวันความเป็นจริงที่โหดร้ายจะมาทาบทับความฝันที่แสนอ่อนหวานนี้

ทั้งที่กลัวแสนกลัวอยู่แล้ว...แต่คนตรงหน้าก็ยังแกล้งอีกเหรอ แกล้ง...ลบรอยของพี่สน

ทิวาที่ใบหน้าและดวงตากลม ๆ นั้นเปียกไปด้วยหยดน้ำตา ผลุดลุกขึ้นท่ามกลางความตกใจของเพื่อนฝูง ก่อนที่จะวิ่งออกไปจากห้องเรียนโดยไม่เหลียวกลับมามองหน้าคนใจร้ายที่นั่งข้าง ๆ อีกเลย

=TBC=

วันนี้ ลง แค่ 4 ตอนก่อนนะคะ เรื่องนี้เป้นผลงานที่เขียนไว้จนจบแล้ว นะค่ะ แต่ ขอทยอยเอามาลง นะคะ  ยังไง ถ้ามีคอมเม้นอะไรมาบ้างก้อดี นะค่ะ คนเขียนเจ้าของผล งาน ยังอยากได้ความคิดเห้น จากทุกคนอยู่ นะคะ

 :m5: o1
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 21-11-2007 22:56:05
อืม ความจริงกับความฝัน ต่างกันแค่ไหน  :m13:  :m13:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 22-11-2007 17:14:55
ชอบเรื่องนี้จังเลย  อ่านแล้วรู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่โลกเดียวกับวา 
 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:

อ้างถึง
ใบหน้าที่คลา...คลับคล้าย
น้ำเสียงละม้าย...มิแม้นเหมือน
แต่คำกล่าวกลับทำร้าย...ให้ใจเตือน
แม้แม้นเหมือน...แต่ดวงใจมิใกล้เคียง

ชอบจัง  เพราะๆๆ
โครงเรื่องแปลกดี  ความจริงกับความฝัน  ทำไมสนถึงได้มีรูป และอะไรหลาย ๆอย่างคล้ายกันขนาดนั้น

รออ่านต่อจ้า  บวกหนึ่งเป็นกำลังใจให้คนโพสก่อน
เรื่องแนวนี้  ไม่ค่อยมีเลย  สู้ๆน้า  :a2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 22-11-2007 20:17:48
น่าติดตามครับ
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: kei_kakura ที่ 22-11-2007 20:59:15
เรื่องน่าติดตามจร๊า  จะรออ่านต่อน๊า   :a1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 22-11-2007 22:50:28
ราตรีประดับดาว5
โดย:ทิวารา

อยาก...เขาอยากให้มันยิ้มดีใจ แต่ทว่ามันกลับร้องไห้แล้ววิ่งหนีไปคนเดียว...นี่เขาทำอะไรผิดไปล่ะนี่ ?

สนธยาขมวดคิ้วครุ่นคิด...พลางหมุนปากกาในมือไปมา พร้อม ๆ กับที่หลายคนตั้งคำถามกันอยู่ในใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงทำให้คนเฉย ๆ เหมือนคนลืมโลกอย่างทิวาถึงกับร้องไห้ออกมาแล้ววิ่งจากไป

หลายคนที่เคยหัวเราะเยาะเวลาที่ไอ้แว่น...ตัวผอมบางทำอะไรแปลก ๆ นั้น ในตอนนี้กลับรู้สึกหัวเราะไม่ค่อยออก เนื่องจากที่แล้วมานั้น...จะให้แกล้งให้แหย่ อย่างไรก็ไม่มีช่วยให้คนหน้าตายแบบทิวารู้สึกรู้สาไปมากกว่าพูดแค่สั้น ๆ เพียงคำว่า “หือ” กับคำว่า “อือ”

พอหนนี้...มันร้องไห้ เพื่อน ๆ จึงเริ่มรู้สึกเหมือนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมาอย่างไรก็อย่างนั้น

“ เฮ้ย...สน แกไปทำอะไรไอ้แว่นวามันวะ ? ”

เพื่อนคนหนึ่งขยับถาม...ในขณะที่ใครอีกคนหนึ่งเดินเข้ามาที่ตรงสนธยาแล้วทำหน้าแปลกใจที่คนซึ่งเคยนั่งข้าง ๆ คนตัวสูงกลับไม่ได้นั่งอยู่ในที่ ๆ เคยนั่ง

“ อ้าวสน ถามหน่อยดิ...ไอ้วาไปไหนเหรอ ยายมันโทรมาจากกาญจนบุรี นี่กูว่าจะมาเรียกมันไปที่ห้องธุรการซะหน่อย เพราะเห็นเค้าว่าประกาศมาสองหนมันก็ไม่ไปรับสายสักที ”

ภูริซึ่งปีที่แล้วอยู่ห้องเดียวกับสนธยามาก่อนเอ่ยถาม ซึ่งสนธยาเองก็แปลกใจไม่น้อยที่คนขี้เล่นอย่างภูริจะมารู้จักมักคุ้นกับทิวาคนที่เรียกได้ว่าไร้มนุษยสัมพันธ์สุดขั่วแบบนี้

“ เฮ้ย!!! เวร...กูก็ว่าทำไมไอ้วาไม่เคยพูดถึงชื่อมึงสักคำ เพราะมึงไปแกล้งด่ามันไว้ใช่ไหมล่ะ ? ”

ภูริเริ่มเดาออก...เพราะเคยอยู่ห้องเดียวกันและสนิทกันมากอยู่ จึงรู้ว่าสนธยาเองก็มีวาจาค่อนข้างแรงทีเดียว ยิ่งเมื่อได้ฟังเรื่องที่ทิวาวิ่งออกไปจากห้องก็เริ่มนึกรู้ทันขึ้นมา

“ ไปสนิทกันตอนไหนเหรอ ? ”

สนธยาถามอย่างสงสัย ในขณะที่ภูริเพียงยักไหล่ก่อนจะเฉลย

“ ก็ที่หอพักน่ะ กูอยู่ห้องข้าง ๆ มันเพราะงั้นบางทีก็ได้คุยกันบ้าง...วามันเป็นคนเงียบ ๆ แต่จริง ๆ มันน่ะนิสัยดีนะมึง ทำไมไปทำกับมันยังงั้นล่ะ ? ”

“ ก็ตอนแรกที่เปิดเทอมน่ะ เรามาจะนั่งตรงนี้แล้วเขามองหน้าเราน่ะสิ...เราเลยว่าเขาไปว่าไอ้แว่นประสาท เพราะว่าเขามองเราจนเหมือนจ้องแบบมีปัญหาน่ะดิ ”

สนธยาแก้ตัว...ในขณะที่ภูริพูดเหมือนเดา

“ แกคงเข้าใจผิดมั้งสน เพราะไอ้วามันไม่ค่อยพูดกะใคร อีกอย่าง...ถ้าคิดว่ามันเหมือนเพื่อนคนอื่นน่ะคงผิดไปหน่อยละ เพราะมันได้ทุนเข้าโรงเรียนเรานะ แล้วบ้านจริง ๆ ของมันก็อยู่ที่กาญจนบุรีโน่น พ่อแม่ก็รู้สึกว่าจะไม่มีแล้ว มีแค่ยายคนเดียวเอง...เด็กที่อยู่กับคนแก่มาตั้งแต่เด็กน่ะคงไม่ใช่พวกช่างโหวกเหวกโวยวายหรอกน่ะ ”

ภูริเล่าก่อนที่จะขอตัววิ่งไปที่ห้องธุรการเพื่อรับสายจากย่าของทิวาแทน ในขณะที่สนธยาก็พึ่งจะนึกรู้...ว่าตัวเองคงเดาผิดไปหน่อย

// ใครจะไปรู้...เพราะโรงเรียนนี้หรือก็มีชื่อ แล้วเขาก็เห็นว่าเนื้อตัวขาวปานนั้น หน้าตาหรือก็สะอาดสะอ้านเหมือนลุกคนมีอันจะกินทั่ว ๆ ไป จนจะให้มองอย่างไรก็ไม่คล้ายเด็กจากต่างจังหวัดเอาเสียเลย //

คนตัวสูงบ่นในใจ...เริ่มรู้สึกผิดนิด ๆ ที่ตีค่า และประเมินผู้อื่นไปเองผิด ๆ

// จะว่าไป...ก็เคยได้ยินแว่ว ๆ ว่าเพลงที่ฟังแทบตลอดเวลานั่นไม่ยักใช่เพลงสติงสมัยใหม่ที่วัยรุ่นนิยมกันนัก แต่กลับได้ยินเป็นเพลงไทยเอื้อนหวานลอยมาแว่ว ๆ เข้าหูเพียงเท่านั้น //

ที่เขาค่อนข้างแน่ใจก็เพราะ...บางทีไอ้เตี้ยมันก็เผลอร้องเบา ๆ และจำได้ว่าคราแรกที่ได้ยินก็รู้สึกประหลาดใจที่คนอายุเท่านี้เอื้อนเพลงไทยได้คล่อง เสียงก็สวย เป็นการเอื้อนหวานยาวและนาน

“ คงต้องขอโทษละมั้ง...ยังไงเรามันก็เอาแต่ใจ ตีค่าเขาไปฝ่ายเดียว คิดอย่างไรก็ผิดเสียเต็มประตู เจ้าตัวคงหาว่าเรากำลังจะไปแกล้งอะไรอีกละมัง ถึงได้ร้องไห้เอาอย่างนั้น ”

สนธยาถอนใจพลางสรุปง่าย ๆ ขณะที่ในหัวก็วางแผนว่าจะลองถามจากภูริดูว่าอีกฝ่ายชอบอะไรเป็นพิเศษ เผื่อจะไปหาของมาขอโทษกันได้บ้าง

อันที่จริงแล้วสนธยาก็ไม่ใช่คนใจร้ายอะไรหนักหนา แต่คงเป็นเพราะการพบกันนั้นทำให้ต้องต่อปากต่อคำกันมาแต่แรกพบ...ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงไม่ไปกันถึงไหนเหมือนเพื่อนคนอื่น ๆ เขา

จะว่าไป...เมื่อรู้อย่างนี้เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า ทิวาจะเหงาบ้างไหมเมื่อต้องอยู่เงียบ ๆ คนเดียวโดยที่ตัวเขาที่มานั่งข้าง ๆ ก็ดันทำตัวขวางเข้าให้ตั้งแต่วันแรกที่พบกัน

ถ้า...คุยกันดี ๆ ตั้งแต่วันแรกเสียละก็คงจะดีหรอก เจ้าตัวคงไม่รู้สึกอึดอัดแบบนี้

สนธยาคิดในใจอย่างเสียดาย...ก่อนจะหันไปมองกระเป๋าและข้าวของ ๆ เจ้าแว่นผอมของเขา จนมือใหญ่ ๆ เริ่มลงมือจัดเก็บให้โดยตั้งใจว่าจะเอาไปส่งคืนให้ที่หอพัก เพื่อจะได้ถือโอกาสขอโทษไปเสียด้วยเลยในคราวเดียว




ราตรีประดับดาว6
โดย:ทิวารา

ทิวานั่งซึมอยู่บนเตียงโดยถือหนังสือเก่าเล่มเดิมไว้ในมือทั้ง ๆ ที่น้ำตายังซึมไม่หาย ทั้งที่ตอนนี้ก็โดดเรียนโดยทิ้งสัมภาระต่าง ๆ ไว้ข้างหลังแท้ ๆ แต่เจ้าตัวก็ไม่ใคร่จะนึกใยดีห่วงถึง

ดวงตากลมใต้แว่นกรอบบางกระพริบไล่น้ำตาในขณะที่มือเล็ก ๆ พลิกกระดาษอ่านไปอย่างช้า ๆ อยากเหลือเกินที่จะหลับลงตั้งแต่วินาทีนี้...เพราะอยากจะไปพบให้แน่ใจว่าพี่สนของวายังอยู่ ไม่ได้ไปไหน

หนังสือนี้เป็นหนังสือเก่าที่ไม่เหมือนหนังสือเท่าใดนัก เนื่องจากมันถูกเขียนขึ้นจากลายมือสวยงามตวัดหางยาวไหว กระดาษหรือก็เหลือง ก็กรอบจนต้องค่อย ๆ พลิกไปทีละหน้าอย่างแสนเบามือ

และถ้าจะให้พิจารณาแล้ว...ปกคงถูกทำขึ้นใหม่ภายหลัง ในขณะที่กระดาษตัวในที่บันทึกข้อความใดใดนั้นกลับแลดูเก่ากว่ามาก

อาจเหมือนหนังสือนิยาย...แต่มิได้เหมือน เพราะว่าสิ่งที่บันทึกไว้นั้นเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริง และคุณสนธยาก็เป็นคนจริง ๆ ที่เคยมีชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มาก่อน แม้ไม่ทราบว่าในช่วงเวลาคราปีที่เท่าใด แต่ก็มั่นใจว่าไม่ต่ำว่ารุ่นทวดของทิวาอย่างแน่นอน อีกทั้งรูปภาพของคุณสนธยา...หรือพี่สนของทิวานั้น ก็ยืนยันได้ชัดเจนว่าเรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับคุณสนธยานั้นไม่ใช่เรื่องโกหก

“ คุณสนธยาชักภาพนี้เมื่อตอนอายุ 21 ปี และเราก็อ่านจนถึงตอนคุณสนธยาอายุได้ 24 ปีแล้ว...หน้ากระดาษก็ค่อย ๆ ถูกเปิดไปเรื่อย ๆ จนสามารถคะเนได้คร่าว ๆ ว่าหากอ่านจนจบคงไม่พ้นช่วงที่คุณสนธยาอายุสักปลาย 24 ปี หรืออายุต้น 25 ปีเป็นแน่ ”

ทิวาสรุป...ก่อนที่จะเริ่มต้นอ่านต่อ อ่านเหมือนทุกคืนยามที่จะเข้านอน...อ่านแล้วก็เลยได้ฝันเรื่อยมาตั้งแต่คืนแรกที่ได้รับหนังสือนี้มาจากคุณยายที่บ้านหลังเก่า หนังสือที่เขาเจอมันเก่าเก็บในห้องคุณตาที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยที่คุณยายเองก็ไม่รู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นของใคร เขียนเมื่อใดกันแน่

“ คุณสนธยาโปรดปรานดอกบัว และมักนำดอกบัวมาวางไว้ในห้องนอน อีกทั้งน่าประหลาดนักที่ดูเหมือนกลิ่นที่อวลอยู่รอบตัวท่านจะเป็นกลิ่นดอกบัวกรุ่นอยู่ทุกเพลา แต่ไม่มีผู้ใดทราบว่าเพราะสิ่งใด ในขณะที่คุณทิวาซึ่งเป็นน้องชายกลับสนใจดอกมะลิเสียมาก ”

สิ่งที่มาพร้อมกับหนังสือนี้...มีเพียงภาพของคุณสนธยาเพียงเท่านั้น โดยที่ไม่มีภาพคุณทิวาคนน้องตัวจริงให้ได้ดู ซึ่งน่าแปลก...ที่ชื่อของเขากับคุณทิวาบังเอิญมาเหมือนกันเสียได้ และทุกครั้งที่ฝัน...เขาก็เหมือนจะกลายเป็นคุณทิวาไปเสียทุกครั้ง

หลายครั้ง...ที่ทิวาคนที่ไม่ได้โง่คนนี้อดตั้งข้อสงสัยไม่ได้

เวลาที่คุณสนธยามีชีวิตอยู่นั้นเป็นช่วงเวลาใดพุทธศักราชใดกันแน่ ? แล้วใครเป็นผู้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับคุณสนธยาเอาไว้อย่างนี้หนอ ? แต่เท่าที่พอจับความได้นั้น ทิวาคาดว่าน่าจะเป็นลูกหลานคนใดคนหนึ่ง หรืออาจเป็นคนสนิท...ที่เป็นผู้เขียนบันทึกนี้ขึ้น

เนื่องจากภาษาแลถ้อยคำที่ใช้นั้นดูยกย่องนับถือคุณสนธยาอยู่มิใช่น้อย โดยจะสังเกตได้ว่าในบันทึกนี้จะเรียกพี่สนของทิวาว่า “คุณสนธยา” แทบทุกครั้ง อีกทั้งการเขียนก็มิได้ละเอียดลออเหมือนนิยายที่อ่านจนชินตา แต่สำนวนการเขียนและการเล่าต่อเรื่องราวนั้นกลับเป็นไปในลักษณะสังเกตจุดเด่นมาเพื่อเล่าเสียมากกว่า ไม่ได้มีความละเอียดและระบุวันเวลาแน่ชัดอย่างลักษณะการเขียนไดอารี่หรือบันทึกประจำวัน

จะมีบ้าง...บางเหตุการณ์ที่การเขียนในวรรคในเรื่องนั้น ๆ จะบรรยายสิ่งต่าง ๆ ไว้โดยละเอียด และมักจะเป็นเหตุการณ์สำคัญ ๆ เสียเสมอ ๆ

สิ่งที่ทิวารู้...ก็คือ คุณสนธยา เป็นคนเก่งและเป็นที่นับถือ เป็นพี่ชายที่ดีของน้องชาย เป็นคนอ่อนโยนและให้บรรยากาศฉ่ำเย็น มีกลิ่นประจำเป็นกลิ่นบัว แต่ที่โปรดปรานและชอบนำไปไว้ในห้องนอนเสมอ ๆ นั้นดูเหมือนจะเจาะจงเป็น “ บัวหลวง ” เสียมากกว่าจะเป็นบัวชนิดไหนก็ได้ อีกทั้งยังเป็นคนไม่ถือตัวจึงไม่ยอมให้ผู้อื่นเรียกแทนตัวยกให้สูงไปกว่าให้เรียกเพียงว่าคุณสนธยา

พอนานหลายคราเข้า....

เมื่อเริ่มฝันไปเรื่อย ๆ ทุกคืน...ทิวาก็ได้ยินเสียงของพี่สน ได้ฟังเพลงไทยด้วยหูตัวเองอยู่หลายเพลงในความฝันที่ยากจะทำใจตื่นนั้น และแม้ว่าเพลงไทยหลาย ๆ เพลงนั้น...คุณยายของเขาจะเคยร้องให้ฟังอยู่บ้าง แต่บางเพลงทิวาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน จนบางคราที่ตื่นก็ยังนึกสงสัยว่าเหตุใดจึงเก็บไปฝันได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยได้สดับรับฟังมาก่อนสักครั้ง

และเมื่อกลับไปเยี่ยมคุณยายที่กาญจนบุรีเมื่อสักสองสัปดาห์ก่อน...ทิวาก็ขอให้คุณยายร้องเพลงที่เคยไปได้ยินในฝันให้ฟัง และปรากฏว่าทำนองและคำร้องนั้นบอกชัดว่าผิดประหลาดนัก ที่คนซึ่งไม่เคยฟังเพลงเก่านั้น ๆ มาก่อนจะนำไปฝันได้เป็นคุ้งเป็นแควโดยที่เพลงในฝันนั้นก็ร้องได้ถูกต้องตรงกับที่คุณยายร้องให้ฟังเสียอีก

จะต่างกัน...ก็แต่ตรงสำเนียงเสียงภาษาที่อาจมีบ้างที่ออกเสียงไม่เหมือน แต่ก็คลับคล้ายว่าจะเป็นคำเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นยิ่งทำให้ทิวายิ่งรู้สึกว่าสนธยาคือคน ๆ หนึ่ง...เป็นตัวตนที่ชัดเจนไม่พร่ามัวเหมือนอย่างที่ควรเป็น

แต่น่าประหลาดเหลือใจ...ที่ทุกครั้งจะได้พบกันในยามกลางคืน ไม่เคยแม้สักครั้งที่ในฝันนั้นจะเป็นยามกลางวันอันเจิดจ้าด้วยแสงทองของดวงอาทิตย์งาม ที่เคยได้เห็นความงามในความฝันนั้น...กลับมีเพียงดวงจันทร์เท่านั้นเอง

“ วันเกิดของคุณทิวา...คืนนั้นจะได้ยินเสียงคุณสนธยาเอื้อนเพลงราตรีประดับดาว เสียงนั้นงามนุ่มนวลนัก...อีกทั้งยังได้ยินเพลงอื่นดังวะแว่วมาไม่ขาดอยู่นานชั่วเพลาหนึ่งเลยทีเดียว ”

ทิวาอ่านต่อจากคืนก่อนพร้อมกับแตะนิ้วสั่นน้อย ๆ กับภาพคุณสนธยาไปด้วย และเพียงแค่ไม่ถึง 15 นาทีเท่านั้น...เสียงที่อ่านบันทึกเหตุการณืนั้นก็ขาดหาย กลายเป็นเสียงหายใจสม่ำเสมอของคนที่นิทราหลับอย่างสงบโดยสุข

// หอมเอย...หอมบัว กลิ่นกรุ่นกำจายทั่ว...กลิ่นบัวจากเนื้อตัวของพี่เอย //

โอ้...ทิวาเจ้าเอย ใยเจ้าไม่เคยหยุดฝัน
โอราตรีเอย...ราตรีนิรันดร์
ใยเจ้าใฝ่ฝัน...ทั้งที่เจ้ารู้ว่านิรันดร์
สำหรับคำว่าฝัน...ราตรีนั้นคงไม่มาถึง

=TBC=


เกี่ยวกับเพลงนี้.....

// พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เพลงราตรีประดับดาว
ขึ้นจากเพลงมอญดูดาว 2 ชั้นของเก่า เมื่อปีพุทธศักราช 2472 พร้อมทั้งบทร้อง
มีพระราชประสงค์ที่จะใช้หน้าทับเป็นประเภทปรบไก่
จึงจำเป็นต้องเพิ่มเติมทำนองขึ้นให้ครบถ้วนหน้าทับ

เป็นเพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ เมื่อทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ ๆ ยังมิได้ทรงตั้งชื่อ
มีเจ้านายผู้ที่ทรงคุ้นเคยหลายท่านเสนอชื่อเพลงนี้ถวาย เช่น ดาวประดับฟ้า ดารารามัญ เป็นต้น
ระหว่างที่ยังมิได้ทรงเลือกว่าจะใช้ชื่อไหน วงมโหรีหลวงซึ่งได้รับพระราชทานต่อเพลงนี้มา
ก็นำออกกระจายเสียงที่สถานี 11 พี.เจ. ณ ศาลาแดง ประกาศชื่อเพลงว่า ราตรีประดับดาว
อันเป็นชื่อที่พระองค์ทรงคิดขึ้นเอง จึงเป็นอันตกลงใช้ชื่อราตรีประดับดาวต่อมา //

สำหรับเวอร์ชั่นที่นำลิ้งค์มาแปะไว้นี้เป็นเวอร์ชั่นที่ร้องโดยคุณดวงพร ผาสุข ซึ่งเป็นอันที่ใช้ประกอบละครเรื่องสี่แผ่นดิน

และหากสังเกตแล้วจะพบว่าเวอร์ชั่นนี้จะร้องไม่เหมือนกับแบบเก่า คือร้องไม่ครบเนื้อทั้งหมด

ซึ่งเราก็เคยฟังอันอื่นมาแค่ไม่กี่หนเมื่อสมัยก่อน ค่อนข้างนานมาแล้ว เลยจำไม่ได้เหมือนกันว่าเวอร์ชั่นนั้ร้องไม่ครบ หรือว่าเนื้อที่เราเอามาใช้นั้นถูกแต่งเพิ่มกันแน่ (แต่คิดว่าน่าจะถูกตัดเนื้อออกมากกว่า)

ส่วนตัวแล้วจำเพลงนี้ได้เพราะชอบท่อน ๆ หนึ่งซึ่งในเรื่องนี้เราจะเน้นมันบ่อย ๆ บางคนที่อ่านไปอาจจะพอรู้สึกได้

นั่นก็คือท่อนนี้ค่ะ.........

" หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย "


หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 22-11-2007 22:55:36
ราตรีประดับดาว7
โดย:ทิวารา

เด็กหนุ่มนั่งบนเตียงไม้เก่าพลางทอดสายตาไปด้านนอก แต่พอยิ่งคิดถึงคนตัวสูงที่นั่งเรียนเคียงข้างแล้วก็พลันหน้างอ เข้าตำราทำหน้างอราว “จวัก” ดังที่คุณสนธยาเคยว่าไว้ไม่มีผิด

“ วา...วาน้อยของพี่ ”

เสียงทุ้มแลนุ่มนวลเอ่ยเรียกพร้อมรอยยิ้มบางเบาแต่อ่อนหวาน ก่อนที่ทิวาจะลุกขึ้นเดินเข้าไปหาด้วยสีหน้าที่ดีกว่าแตกแรกมาก ชายหนุ่มกอดน้องไว้เบา ๆ ก่อนที่จะจูงน้องไปนั่งบนเตียงไม้ โดยส่งห่อผ้าในมือให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมยิ้มบาง ๆ เย็น ๆ

“ ของรับขวัญ...อายุเท่าใดแล้วล่ะเจ้าปีนี้น่ะ ? ”

เอ๋...ทำไมพี่สนถามอย่างนี้ล่ะ ? ก็ทุกที...เราเหมือนจะมาแทนคุณวาคนน้องไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไม...ดวงตาของพี่สนถึงได้ไม่เหมือนพูดหรือถามเล่น ๆ เอาเสียเลย

“ ถามอะไรดั่งว่าคุณพี่จะไม่รู้...ว่าน้องอายุเท่าใดอย่างไรอย่างนั้น ”

ทิวาเอ่ยอย่างใจเย็น...พยายามคิดว่าตัวเองกลัวไปคนเดียว แต่ทว่า...

“ โธ่...ใจคอจะไม่พูดความจริงกับพี่เลยหรือไร ? สำหรับเจ้าวาน้องพี่น่ะปีนี้ก็ได้ 13 ปีแล้ว แต่วาคนนี้ของพี่เล่า...อายุเจ้าเท่าใดแน่ ? ”

// อะไรนะ ? ...นี่ไม่ใช่อย่างที่เราคิดหรือนี่ ? เรา...ไม่ได้มาแทนคุณวาหรือนี่ ? แล้ว...โธ่เอ๋ย!! เด็กอายุเพียง 13 เท่านั้นเองหรอกหรือคุณทิวา มิน่าเล่า...ดูอย่างไรก็ไม่น่าเป็นไปได้อยู่แล้ว เพราะเราน่ะอายุก็ตั้ง 16 จะไปละม้ายกับเด็กอายุเพียง13 ก็คงเป็นไปไม่ได้ //

“ คุณ...คุณสนรู้เรื่องตั้งแต่เมื่อไรหรือ ? ”

ทิวากลั้นใจถาม...หัวใจก็แสนจะหวั่น ๆ ไหว ๆ กลัวคนตัวสูงจะโกรธเคืองที่ไม่เล่าเรื่องเล่าความกันมาแต่แรก แต่ชายหนุ่มเพียงหัวเราะเบา ๆ ด้วยเสียงต่ำเย็นระรื่น ก่อนจะยกมือหนาขึ้นลูบข้างแก้มของคนตัวเล็กกว่าอย่างเบามือ

“ แต่แรกแล้วละเจ้า... ”

ห๊ะ!!!!

“ วันนั้น...เด็กที่เรือนโน้นเดินผ่านเรือนเล็กนี้แล้วได้ยินเสียงคล้ายคนเดิน ก็เลยวิ่งไปร้องไห้ให้ฟังว่าคงโดนวิญญาณคุณย่าท่านมาหลอกเอาเป็นแน่ เพราะตอนนั้นท่านพึ่งเสียไปได้ไม่ถึงปีดี ”

ชายหนุ่มเล่าไปเรื่อย ๆ โดยที่คนฟังได้แต่ทำตาโต

“ พี่เองกลับคิดว่าจะเป็นโจรเสียละมากกว่า เลยขึ้นเรือนมาดู แล้วก็เลยได้พบกันเราในตอนนั้นนั่นละเจ้า... ”

ได้ฟังเพียงนั้นทิวาก็ให้รู้สึกเสียใจ ไม่รู้ว่าตัวเองได้โกหกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงเพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองโผล่มาแทนที่ใคร ไม่รู้ว่าถ้าพูดความจริงไป...จะมีผลอะไรหรือเปล่า ดังนั้นจึงได้แต่ตามน้ำ...เป็นคุณวาไปเรื่อย

เด็กหนุ่มค่อย ๆ เปลี่ยนลงนั่งบนพื้นในขณะที่คุณสนธยารั้งคนตัวบางไว้แทบไม่ทัน

“ ทำอะไรน่ะเจ้า ? ไม่เอา ๆ พี่ไม่ได้ต้องการให้ทำดังนี้เลย ”

เขารั้งคนที่ทำท่าทางคล้ายหมายใจจะก้มลงกราบขอลุแก่โทษที่ได้พูดปดไปต่าง ๆ นานาตั้งแต่มาในคราแรกจนกระทั่งในวันนี้

“ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาได้อย่างไรทุกคืน...คิดว่ามาแทนคุณทิวา ก็เลยไม่อยากพูดว่าตัวเองไม่ใช่ กลัว...ว่าคุณสนธยาจะตกใจ... ”

“ พอเลยเจ้า...วาน้อยของพี่ เรียบร้อยอย่างเจ้าละหรือจะไปละม้ายตาวาได้ รายนั้นซนราวพญาลิง พี่เองก็ดีใจจึงไม่ได้คิดจะห้ามปราม แต่เห็นว่าหลัง ๆ มานี้เจ้าร้องไห้เสียหลายหน...เลยคิดว่าน่าจะไม่สบายใจที่ต้องพูดปดทุกคืน ”

นิ้วมือใหญ่นั้นลูบไหล่ที่ห่อลู่นั้นอย่างเอ็นดู ก่อนจะทวงถามขึ้นอีกครั้ง

“ ว่าแต่...ยังไม่ตอบพี่เลย ว่าอายุเท่าใดแล้ว ? ”

คุณสนลูบนิ้วไปมาบนมือเล็ก ๆ อย่างประโลม ก่อนที่จะยิ้มให้บาง ๆ เหมือนปรกติ ...ดวงตาคมคู่นั้นบอกแววเอ็นดูในตัวทิวาไม่ใช่น้อย

“ ปะ...ปีนี้ได้ 16 ละ...แล้วขอรับ ”

คุณสนธยาทำหน้างอบ้าง ก่อนจะกระเซ้าให้

“ ไม่เอา...ไม่ให้พูดดังนี้ วาน้อยไม่เคยใช้คำพูดแบบนี้กับพี่เลยนะ เดี๋ยวเถิด...บอกว่าไม่ได้โกรธเคืองเจ้ายังจะไม่เชื่อกัน ดื้อนักละก็พี่จะตีมือเสียให้ ”

คุณสนธยาพูดไป...หัวเราะไป ในขณะที่นายสนธยาอีกคนหนึ่งกลับกำลังยืนเคาะประตูทำหน้ามุ่ย ๆ อยู่กับภูริที่หน้าห้องของทิวา โดยที่ไม่ว่าเจ้าตัวจะเคาะ จะเรียกอย่างไร...ก็ไม่มีเสียงตอบจากภายในห้อง

“ สงสัยยังไม่กลับละมั้ง แกมาอยู่ที่ห้องเราก่อนดีกว่าไอ้สน เดี๋ยวยุงหามเอา ”

ภูริชวนก่อนที่นายสนธยาใจร้ายของไอ้แว่นวาจะได้แต่พยักหน้ารับคำ แล้วระเห็จไปรออยู่ในห้องของนายภูริเสียแทน

อันนี้เป็น ปล. ของผู้เขียน นะค่ะ

ปล. พวกกลอนที่ดูเหมือนจะแต่งได้หาความไพเราะไม่ได้ทั้งหลายบทนั้น เราเป็นคนเขี่ยมั่วออกมาเองล่ะค่ะ

ส่วนเพลงต่าง ๆ นั้น เราก็จะก็นึก ๆ จากเพลงที่เคยฟังมาบ้างสมัยเรียนอยู่ตอนมัธยม แล้วก็หาเนื้อมาจากเท่าที่จำได้ค่ะ บางเพลงก็ดีไปที่มีให้ฟังทางเน็ตละค่ะ




ราตรีประดับดาว8
โดย:ทิวารา

ในขณะที่ทิวาเล่าไปทำหน้างอไปด้วย คุณสนก็เพียงแต่นั่งฟังด้วยรอยยิ้มบาง ๆ จนกระทั่งคนตัวเล็กเล่าจนจบเท่านั้นละ ชายหนุ่มจึงได้เริ่มพูดขึ้นบ้าง

“ เขาว่าเราเป็นคนบ้ากระนั้นเชียว ? ปากคอร้ายน่าดูเหมือนกันนะนายสนคนนั้นน่ะ แต่ว่า...เขาคงไม่ได้ร้ายกาจมากมายกระมัง ไม่เช่นนั้นคงรังแกวาน้อยของพี่ไปมากมายเสียกว่ามาประชดประชันดังที่ว่า อีกอย่าง...วันนี้เขาก็เรียกวาของพี่ด้วยท่าทางที่ดีกว่าวันก่อน ๆ ไม่ใช่หรือ ? ”

คุณสนตั้งข้อสังเกตจากคำบอกเล่าของทิวา ในขณะที่ทิวากลับทำหน้าเจือนลง

“ พี่สน...วาอยากอยู่กับพี่สน ไม่อยากยุ่งกับใครแล้ว... ”

“ ไม่เอาสิ...อย่าพูดดังนี้เลย ไม่ว่าวาจะเป็นใคร...วาก็ยังเป็นวาน้อยของพี่ รู้ไหมละเจ้า ? ”

คุณสนธยาแกะห่อผ้าแล้วส่งแหวนทองลายบัวหลวงให้คนตัวเล็กกว่าพร้อมรอยยิ้มบาง ในขณะที่ทิวาตกใจเสียจนทำอะไรไม่ถูกที่ได้รับของมีค่ามากเช่นนี้

“ สวมไว้เถิด...มันมิได้ใหญ่โตหรูหราเหมือนของเจ้านายท่านใส่กันก็จริง แต่พี่ว่ามันเหมาะสมกับนิ้วเล็ก ๆ ของเจ้านัก ”

คุณสนค่อย ๆ สวมแหวนลงไปที่นิ้วกลางของทิวาขณะที่เด็กหนุ่มพยายามปฏิเสธพลางดึงมือหนี แต่ทว่าสุดท้าย...แหวนทองวงน้อยลายบัวหลวงก็ถูกสวมเข้าที่นิ้วเล็ก ๆ ของทิวาจนได้ พร้อม ๆ กับที่คุณสนเอาแต่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความพอใจ

“ ของราคาสูงเช่นนี้...วาไม่ควรรับไว้เลย พี่สน...คือวา... ”

ในขณะที่เด็กหนุ่มรังแต่จะปฏิเสธ คุณสนธยากลับวางมือใหญ่ ๆ ของตนเองลงกับมือนุ่ม ๆ ของเด็กหนุ่ม ซึ่งนั่นทำให้ทิวาสังเกตว่า...คุณสนธยาก็สวมแหวนทองรูปบัวซึ่งมีหลวงลวยลายแม้ไม่เหมือนของทิวานัก แต่ก็ละม้ายกันอยู่มากราวกับเป็นสิ่งของชุดเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น

“ ตาวาน้องพี่นั่น...ก็สวมแหวนบัวหลวงนี้เช่นกัน พี่เองก็สวม...แล้วใยวาน้อยของพี่คนนี้จึงไม่อยากสวมมันไว้เล่า ? เจ้าไม่รักพี่หรือ ? ”

เสียงทุ้มเย็นของชายหนุ่มเอ่ยนุ่มนวลแต่แฝงแววทอดอ่อนในท้ายประโยค พาให้ทิวารู้สึกตื่นเต้นแบบแปลกประหลาด แต่แม้ว่าถ้าจะให้อธิบายความรู้สึกนั้นเป็นคำพูดเด็กหนุ่มก็ทำมิได้

“ ว่าอย่างไรละเจ้า...เจ้าไม่รักพี่ละหรือ ? จึงได้ไม่อยากสวมมันเอาไว้ ”

เด็กหนุ่ม...ทิวาน้อยของคุณสนบัดนี้รู้สึกประหลาดจนไม่อาจมองตาคม ๆ คู่เดิมนั้นได้ สุดท้ายเจ้าตัวจึงแลเลยไปอีกทางหนึ่ง พร้อม ๆ กับที่เจ้าตัวพยายามตอบตะกุกตะกัก

“ วาไม่ได้หมายความอย่างนั้น...คือว่า... ”

ท่าทางเช่นนั้นเรียกรอยยิ้มกว้างขวางจากคุณสนธยา เจ้าตัวหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยตะล่อมเด้กน้อยให้อยู่ในโอวาทด้วยความชำนาญ เนื่องจากทิวาอีกคนหนึ่งนั้นซุกซนเสียยิ่งกว่าวาน้อยคนนี้ แล้วเหตุใดวาน้อยคนนี้จะดื้อแพ่งไปได้หากเข้าลองหว่านล้อม

“ แม้แหวนของเจ้าจะลวดลายไม่เหมือนของพี่กับของตาวา แต่นี่ก็เป็นสิ่งแสดงความรักของพี่...วาจะสวมไว้ไม่ได้หรือ ? ...วาน้อยของพี่เอย ”

คุณสนพูดเบา ๆ พร้อม ๆ กับที่แววตาคู่คมนั้นแลคล้ายหม่นหมองลง

เมื่อเจอวาจาคล้ายน้อยอกน้อยใจดังนั้นแล้ว ทิวาน้อยในอ้อมแขนคุณสนก็ต้องรีบรับคำ เพราะกลัวว่าคนตัวสูงจะน้อยอกน้อยใจ หาได้รู้เท่าทันไม่...ว่าตนเองได้ถูกเกลี้ยกล่อมเรียบร้อยเสียแล้ว

“ วาไม่ได้หมายความดังนั้นเลย เพียงแต่เกรงว่าราคาของมันอาจจะสูงเกินไป...คือถ้า...เอ่อ...วารับไว้ก็ได้จ้ะ พี่สนให้เพราะว่าวาเป็นน้องใช่ไหม? เพราะงั้น...เอ่อ วารับไว้ก็แล้วกันนะพี่สนนะ อย่าน้อยใจไปสิจ๊ะพี่ ”

แลดูเหมือนทิวาจะไม่ได้รู้สึกเอาเสียเลยว่ากำลังถูกกล่อม คุณสนมองกิริยาลนลานที่น่าเอ็นดูนั้นก่อนจะค่อย ๆ ระบายรอยยิ้มอ่อนโยน

“ แล้วถ้าพี่ไม่ได้ให้เพราะเห็นเป็นน้อง...วาก็จะไม่รับไว้เลยละหรือ ? ”

ชายหนุ่มถามพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ กระแสเสียงนั้นแม้เหมือนมิได้มีใจอันใด แต่ลึกลงไปในอกกว้างกลับรู้สึกหม่นหมองไม่ใช่น้อย ๆ

// อยากรู้เสียจริง...หากพี่บอกเจ้าว่าตัวพี่นั้นมิได้มอบให้ด้วยความรักเหมือนว่าเจ้าเป็นเพียงน้อง ....เช่นนั้นแล้วเจ้าจะรับมันไว้หรือไม่เล่าวาน้อยของพี่เอย //

เด็กหนุ่มมองคุณสนธยาด้วยแววตาคล้ายไม่เข้าใจในคำถามเมื่อครู่ จนเมื่อชายหนุ่มตบมือลงกับตัก ชวนให้คนตัวเล็กเอนลงนอน...ทิวาจึงเอนกายลงหนุนตักคุณสน หลับตาฟังเพลงดังที่คุณสนว่า

“ คืนนี้พี่จะร้องเพลงให้เจ้าหลับฝันดี... ”

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย

หอม...ดอกชำมะนาด...........................กลิ่นไม่...ฉูดฉาด เอ๋ย แต่หอม...ยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย................ผูกจิตสนิทได้...เอ๋ย ให้รักจริงเอย //

ยามแลเห็นใบหน้าเจ้าหลับฝันดี พี่นี้แสนสุขใจนัก
รัก...เอยรัก สุดหักสุดร้างแลเลย โอขวัญเจ้าเอย
ยามใดพี่จึงจะได้เฉลย รักเอยพี่จะเผยให้เจ้า บอกเล่าได้เมื่อใด

คุณสนธยามองเด็กน้อยที่หลับตาพริ้มนิทราลงอย่างแสนสบายบนตกเขา ก่อนที่ชายหนุ่มจะลูบไล้ใบหน้านวล ๆ ซึ่งเมื่อครู่เขาแลเห็นมันแดงเรื่อยามที่เขาพยายามหว่านล้อมเรื่องแหวนบัวหลวงวงน้อย ก่อนที่เขาจะยิ้มบาง เงยหน้าขึ้นมองออกไปยังดวงจันทร์ซึ่งทอแสงนวล

// เจ้าจะรู้ตัวหรือไม่หนอเจ้าวาน้อยเอย...ว่ายามเราได้มาพบหน้ากัน ไม่ว่าจะคืนไหนดวงจันทร์ก็ยังทอแสงนวล เป็นจันทร์เต็มดวงงดงามทุกคืนไม่เคยเปลี่ยนเลย //

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ ทั้งที่แววตาคู่คมยังทอประกายโศกเศร้า แม้แลเศร้าลึกไหลเย็นราวสายน้ำ แต่ความซึ่งซึ่งอยู่ก็ชวนให้เจ็บปวดอยู่มิรู้หาย วาเจ้าเอย...เจ้าจะรู้หรือไม่ว่าในขณะนี้ที่เราได้พบกันนั้น เราพบกันได้เพราะเหตุอันใดกันแน่ ...เจ้าจะมีวันรู้ตัวไหมหนอ วาน้อยของพี่เอย

// ยามเมื่อลมพัดหวน เอ๋ย...ลมก็อวลแต่กลิ่นมณฑาทอง
ไม้เอย...ไม่สุดสูง อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
แต่ยิน นามดวงเอย โอ้เจ้าดวง เจ้าดวงดอกโกมล
กลิ่นหอม เพิ่งผุดพ้น พุ่มในสวนดุสิตา
แข่งแข อยู่แต่นภา ฝูงภุมรา สุดปัญญา เรียมเอย
โอ้อกคิดถึง คิดถึง คนึง นอนวัน
นอนไห้ ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลด สวยสดโสภา
แสงทอง ส่องหล้า ขวัญตา เรียมเอย //


ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง
เจ้าอยู่สูงเกินสอย ไหนเลยพี่จะได้ปอง แม้ต้องด้วยรักสลักจิต
แต่เพียงพี่คิดก็พลันหม่นหมอง ไผ่เลยจะได้ต้อง...

เสียงเพลงลาวคำหอมดังก้อง...สะท้อนใสในคืนวันเพ็ญที่สายลมเย็นฉ่ำ กลิ่นบัวหลวงพัดอวลหวนร่ำไห้ในอากาศเย็นแลสบาย เสียงเพลงนั้นดังเรื่อยรินอยู่เป็นนาน ด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มฉ่ำเย็นของคุณสนธยา

แต่ทว่าใครเลยจะรู้...ในความเย็นฉ่ำนั้นกลับแฝงไว้ด้วยรอยเศร้าลึกในหัวใจ พร้อม ๆ กับที่ชายหนุ่มทบทวนบทเพลงมั่นในใจคล้ายต้องการตอกย้ำ

// ไม้เอย...ไม่สุดสูง เอย...อย่าสู้ปอง ไผเอย...บ่ได้ต้อง //

=TBC=

ปล. เพลงราตรีประดับดาว    >>>>> http://www.esnips.com/doc/177b76dc-6e1d-4e47-b811-2cf04a800205/05-ราตรีประดับดาว

และ เพลงลาวคำหอม >>>>>http://oldsonghome.exteen.com/20070321/entry-1

ปล.  จากผู้โพส ค่ะ  อันนี้ขอแก้ไขลิงค์นะค่ะไปหาของที่มีคนทำใส่ไว้ได้เลยอยากให้เพื่อนๆๆได้ฟังกัน  เป้นเพลงเก่าที่เพราะมากๆๆทั้ง สอง เพลง อยากให้ได้ฟังกัน คะ   


หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 22-11-2007 23:12:41
หุหุ รึว่าจะเป็นเรื่องผี ๆ  :a5:  :a5:  :a5:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: clarinet34858 ที่ 23-11-2007 02:01:00
อ่า...ฟังเพลงไม่ได้อ่ะครับ   แต่ก็พอเคยได้ยินมาก่อน  อยากอ่านต่อจังครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 23-11-2007 09:20:35
เดี๋ยวลองไปฟังเพลงดูก่อนนะงับ :m7:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 23-11-2007 09:41:13
เรื่องนี้ออกแนวทวิภพป่าว  :m1:
แปลกดี  เหมือนอยู่ในความฝัน  เหมือนย้อนเวลาหาอดีต

แล้วจะมองโลกแห่งความจริงได้อย่างไร  เมื่อใจหมกมุ่นถึงแต่คนในความฝัน   :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 23-11-2007 12:09:26
มาเป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 25-11-2007 10:30:49
[Talk] ราตรีประดับดาว

ตอนนี้มีหลายคนชักอ่านแล้วจ้องเดากันว่าเรื่องจะเป็นยังไงกันแน่ มีบ้างที่เดาว่านายสนธยากับคุณสนท่านเป็นคน ๆ เดียวกัน

บางคนก็มีเดาว่าคุณสนเป็นต้นตระกูลของนายสนธยาใจร้าย

นี่ดูจากที่มีคนอ่านแสดงคอมเมนต์นะคะ....

ยังไม่นับคนที่ไม่เคยโพสแสดงความคิดเห็น (เดา) ว่าคิดกันไว้อย่างไร

รู้สึกว่าตัวเองกำลังเขียนอะไรคล้าย ๆ การ์ตูนโคนัน รึ คินดะอิจิ เพราะมีแต่คนจดจ่อกับการเดากันมาก ๆ เลย รู้สึกว่าบางคนพยายามอ่านแล้วแกะทุกทุกแง่ โพสเดาทางกันไปเรื่อย ๆ ดีใจจังค่ะที่มีคนลองเดา 555

จะว่าไปก็ไม่เคยบรรยายว่าใครเป็นยังไงกันแบบละเอียด ๆ เลย ก็เลยมาลองบรรยายประกอบเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการเดาให้แก่คนอ่าน...เอากันสนุก ๆ ละกันค่ะ


+++ คุณสนธยา หรือคุณสน +++
สูงราว 180 เซนติเมตร
น้ำหนัก...เดาเอาซิจ๊ะ
รูปลักษณ์: ในสายตาน้องวา คุณสนเป็นผู้ชายตัวสูง ไหล่หนา ใบหน้าคมคายแต่ดวงตาคมจะแลประกายดูเย็นรื่น ฉ่ำ ๆ เย็น ๆ ส่วนผิวคุณสนท่านผิวขาวแต่ก็ไม่ได้ขาวมากนัก

คุณสนเป็นคนมีกิริยานุ่มนวล พูดเสียงนุ่ม ไม่ค่อยหัวเราะเสียงดัง แต่จะยิ้มบาง ๆ หรือหัวเราะเบา ๆ ท่านคล้ายคนขี้อายแต่มีแค่ดวงตาของคุณสนท่านเท่านั้นที่บอกชัดว่าท่านไม่ได้ขี้อาย เพียงแต่ท่านไม่แสดงออกมากนักเท่านั้นเอง


+++ ทิวา หรือเจ้าวา +++
สูงราว ๆ 160 เซนติเมตร
น้ำหนัก...จะบอกดีไหมน้อ
รูปลักษณ์:
ในสายตาคุณสน...ทิวาเป็นเด็กยิ้มสวย (ลำเอียงมากคุณสน) เหมือนเด็ก ๆ ที่ชอบอ้อนแบบกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะบางทีก็อ้อน แต่บางทีก็แสดงออกว่าเกรงใจเอามาก ๆ แล้วก็เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย (จริง ๆ จะบอกว่า ตะล่อมง่ายละสินะ...คุณสน-_-iii)

ในสายตาสนธยาใจร้าย...ทิวาเป็นคนตัวเล็กบาง ๆ หน้าตาสะอาดสะอ้าน ผิวขาวเหมือนลูกคนจีนหรือเป็นลูกคุณหนู เป็นคนไร้มนุษยสัมพันธ์เอามาก ๆ แล้วก็ชอบมองด้วยสายตาเฉย ๆ ทำให้คนรอบข้างเดาอารมณ์ไม่ถูก รู้สึกว่าทิวาเป็นเด็กแว่นพิลึก ๆ อะไรทำนองนั้น


+++นายสนธยา หรือนายสนใจร้าย+++
สูงราว ๆ 170 ปลาย ๆ
น้ำหนัก...ไอ้สนไม่อยากให้บอกอ่ะ
รูปลักษณ์: ในสายตาทิวา...นายสนใจร้ายจะเป็นคนกวนประสาทแบบเงียบ ๆ คอยเหน็บคอยขวางใส่ตลอด ใบหน้าท่าทางจะคล้าย ๆ เกือบเหมือนคุณสนท่าน แต่นายสนใจร้ายจะมีสายตาที่ดูแข็งกว่าคุณสนท่านซึ่งสายตาท่านจะอ่อนโยนฉ่ำ ๆ เย็น ๆ มากกว่า แต่ทั้งคู่ต่างก็เป็นคนพูดน้อยเหมือน ๆ กันทั้งคู่ (พูดน้อยแต่ไม่ได้ขี้อายนะ...ขอย้ำ)


.......บอกประมานี้แล้วกันค่ะ เพราะในเรื่องเราไม่ค่อยบรรยายลักษณะของทั้ง3คนมากเท่าไหร่ กลัวคนอ่าจะนึกไม่ค่อยออก





ราตรีประดับดาว9
โดย:ทิวารา

แม้ยามตื่นขึ้นจะแปลกใจเล็กน้อยที่มันยังไม่เช้าเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เมื่อตื่นขึ้นจะพบว่าเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์พึ่งขึ้นที่ขอบฟ้า ทิวาควานหาแว่นตาก่อนจะสมอย่างลวก ๆ พลางหันไปมองนาฬิกาเรือนเก่าจนแทบจะต้องเก็บเข้ากรุ

// 6 โมงครึ่ง...พึ่งจะเย็นเท่านั้นหรือนี่ ? //

คนตัวเล็กนั่งเรียกสติสักครู่ก่อนที่จะยกมือซ้ายขึ้นมอง...นิ้วกลางของตัวเอง แต่ทว่าแหวนบัวหลวงวงน้อยที่พี่สนให้มากลับไม่อยู่ที่นิ้วนี้เสียแล้ว ยิ่งคิดคำนึงถึงความเป็นจริง...ทิวายิ่งรู้สึกว่าทุกอย่างดูเหมือนจะค่อย ๆ ดำเนินไปยังจุดสิ้นสุด เมื่อรู้สึกได้ดังนั้นเจ้าตัวก็ปล่อยน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก

แหวนบัวหลวงวงน้อย เมื่อตื่นก็หายไปไม่อยู่เสียแล้ว...ราวกับจะย้ำ ซ้ำ...ให้รู้สึกตัวมากขึ้น ให้รู้สึกตัวว่านี่มันเป็นเพียงฝันเพียงนั้น

// ไม่อยากให้เป็นแค่ฝันไป ไม่อยากอยู่เพียงคนเดียว ไม่อยาก...ถูกทิ้ง //

เด็กหนุ่มแตะนิ้วลงกับมือซ้าย ราวกับแหวนวงเดิมนั้นยังอยู่...พร้อมกับน้ำตาไหลเงียบ ๆ เมื่อนึกถึงความทรงจำอันเลือนรางเมื่อสมัยยังเด็กนัก นึกถึง...วันที่แม่จูงมือตัวเขาซึ่งอายุเพียง 6 ขวบ มาฝากไว้กับยาย แล้วหลังจากนั้นก็หาย...ไม่เคยได้พบกันอีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่คิดทิวาก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อสำนึกรู้ว่าตนเองถูกทิ้งแล้วผู้เป็นแม่ก็จากหาย แต่ก็โศกเศร้า...เป็นห่วงเพราะไม่รู้ว่าป่านนี้แม่ผู้อ่อนโยนจะเป็นอย่างไรหลังจากแต่งงานใหม่

ทิวาสลัดศีรษะเบา ๆ ไล่ความรู้สึกที่ราวกับม่านหมอก ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อเดินไปล้างหน้า ไปล้างคราบน้ำตาที่เปื้อนแก้มออก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นกลับเป็นเหมือนทุก ๆ ที...เด็กหนุ่มทรุดลงจนเข่ากระแทกกับพื้น เนื่องจากเรี่ยวแรงที่เคยมีไม่รู้ว่าลาไปที่ใด เป็นแบบนี้เสียทุกครั้งยามตื่นจากความฝัน...ทั้งหมดเรี่ยวแรง ทั้งง่วงงุนและสติไม่ค่อยสู้จะแจ่มใสนักทั้ง ๆ ที่เมื่อนับระยะเวลาก็ถือว่าเขาหลับไปนานเสียมากกว่ายามหลับปรกติเสียอีก

กลับกัน...สนธยาคนใจร้ายของคนตัวเล็กกลับกำลังนั่งฟังภูริเล่าเรื่องของเจ้าแว่นพิลึกของเขาอย่างแปลกใจ เพราะแต่ละอย่างที่ได้ฟังกลับทำให้ความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายแทบจะจางหายไปจากใจจนแทบจะไม่เหลือเค้าลางที่เคยเป็นมา

“ วันไหนมันกลับจากบ้านยายมันนะ มันจะเอาของกินมาฝากเรื่อยเลย ปีที่แล้วกูก็เคยไปบ้านมันมาหนนึงก่อนจะเลยกลับไปที่บ้านน่ะ ”

สนธยาหมุนแก้วน้ำในมือไปพลางระหว่างที่ฟังเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปด้วย

“ บางทีแม่กูส่งเงินมาช้า...ก็ได้ไอ้วาแหละคอยแบ่งกับข้าวให้กิน ไม่งั้นอดตายไปแล้ว ”

สิ่งที่สนธยาได้เป็นความรู้ใหม่ก็คือ...ไอ้แว่นพิลึกมันมีน้ำใจ มันทำกับข้าวเก่งแล้วก็กินง่ายอยู่ง่าย อีกอย่างก็คือ...เจ้าเตี้ยมันได้เข้ามาเรียนที่นี่เพราะได้ทุนเรียนดี ซึ่งข้อนี้เขาไม่เคยรู้เลยว่าทิวาสอบได้อันดับที่ดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร

“ พูดถึงขนาดนี้แล้วมึงจะเลิกแกล้งวามันเสียทีจะได้ไหมวะ สงสารมันหน่อยเหอะ...อีกอย่างกูก็ไม่ค่อยชอบนักหรอกที่รู้ว่ามึงมาแกล้งวามันแบบนี้น่ะ ”

“ อือ...โทษที ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเรื่องเป็นแบบนี้ เห็นเจ้าแว่น...เอ๊ย!! วาชอบเหม่อ ๆ ไม่คุยกับเราสักคำก็เลยคิดว่าวาคงไม่ชอบเราน่ะ ”

สนธยาที่นั่งพิงผนังห้องสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวกุกกักจากห้องข้าง ๆ ก่อนที่จะตามมาด้วยเสียงคล้ายมีอะไรหล่นกระแทกพื้นสักอย่าง ทั้งสนธยาและภูริจึงออกไปเคาะประตูเรียกเจ้าของห้องอีกหนหนึ่ง

ใบหน้าที่สนธยาเห็นคือใบหน้าของเจ้าแว่นพิลึกคนเดิมเปิดประตูออกมาจากห้อง แต่ผมเผ้าเจ้าช่างยุ่งเหยิงเสียแท้ อีกทั้งดวงตายังชื้นน้อย ๆ พาให้คนตัวสูงคิดมาก...ว่าอีกฝ่ายร้องไห้เพราะตนเองหรือเปล่า ?

“ เอ่อ...เอากระเป๋ากับหนังสือเรียนมาให้ ”

คนตัวเล็กที่ยังติดง่วงงุนเล็ก ๆ อยู่นั้นรับข้าวของของตนเองก่อนจะเอ่ยขอบคุณตามมารยาท ทั้ง ๆ ที่ยิ่งมองคนใจร้ายตรงหน้ามากเท่าใดก็ยิ่งแสลงใจมากขึ้นทำนั้นจนแทบจะทนไม่ได้

// เพราะแม้แม้นละม้าย แต่นิสัยใจคอหาได้คล้ายไม่
ยิ่งมองยิ่งซึ้งยิ่งปวดใจ เหมือนเงาใครคนหนึ่งซึ่งต่างกัน //

“ นี่...อย่าพึ่งปิดประตูซิ คือ...เมื่อกลางวันน่ะขอโทษละกัน ไม่ได้ตั้งใจทำให้...เอ่อ ร้องไห้ ”

สนธยาพยายามพูดไปโดยมองหน้าภูริที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหมือนจะให้ช่วยคิดหาคำขอโทษไปด้วย ในขณะที่ทิวากลับรู้สึกงงงวยกับสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง...เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น คือ คนที่มีใบหน้าราวกับเคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับพี่สน ซึ่งในวันวานเคยพูดจาทำร้ายจิตใจทิวามาโดยตลอด กลับมายืนทำหน้าตาตกประหม่าไปพลางเอ่ยขอโทษอย่างตะกุกตะกัก

“ กินอะไรผิดสำแดงเหรอ ? ถึงได้มาขอโทษกันน่ะ ”

รูปประโยคอาจดูยียวนกวนโทสะเสียนัก แต่เมื่อคนตัวสูงมองตากลมใต้แว่นกรอบบางเขาก็เริ่มเข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าต้องการที่จะเอ่ยกวนโมโห

“ เรายอมรับนะ ว่าเคยมองนายผิดจากที่มันเป็นอยู่...เราคิดว่านายหยิ่ง คิดว่านายประสาทเพราะเพื่อน ๆ ก็พูดแบบนั้นให้เราฟัง แล้วก็ไม่รู้ว่าบ้านนายเป็นยังไงก็เลยไม่เข้าใจนิสัยของนายมาก่อนเลย เพราะงั้น...ก็เลยรู้สึกไม่ชอบนาย แล้วเราก็ยอมรับว่าแกล้งนาย แล้วก็พูดอะไรร้าย ๆ ใส่ตลอด คือ...เราขอโทษก็แล้วกัน นายจะยกโทษให้ได้ไหม ? แล้วเรามาเป็นเพื่อนกัน คือ... ”

แม้ว่าวาจาที่พูดไป...จะวกวน แต่ทิวากลับรู้สึกทั้งแปลกใจ ทั้งผิดคาด อีกทั้ง...ราวกับรู้สึกว่าความรู้สึกหนักอึ้งในใจส่วนหนึ่งมลายหายไปโดยพลันโดยมิทันรู้เนื้อรู้ตัว

“ เข้าใจแล้ว... ”

คนตัวเล็กบอกเรียบ ๆ ทั้ง ๆ ที่ในใจยังสับสนน้อย ๆ

// ทำไมเราจึงยกโทษให้นายคนใจร้ายง่าย ๆ ล่ะ ? หรือเพราะใบหน้าที่ละม้ายพี่สน...เราจึงใจอ่อน แต่...เขาก็ขอโทษเราแล้วนี่นา จะให้โกรธตอบอีกก็ดูจะไม่มีน้ำใจมากเกินไป อันที่จริง...ถ้าเข้าใจกันได้ก็คงจะดีแล้วกระมัง //

ในขณะที่ภูริตบไหล่เพื่อนพร้อมยิ้มน้อย ๆ อยู่นั้น...ตัวสนธยาเองกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคนตัวเล็กยอมกลับมาเป็นเพื่อนอีกครั้ง อีกทั้งสายใยเบาบางที่ถูกความไม่เข้าใจบดบังนั้นก็ค่อย ๆ ชัดเจน สนธยารู้สึกว่าเมื่อขจัดทิฐิออกไปจากหัวใจแล้วนั้น...ดูเหมือนสายใยอะไรบางอย่างกลับค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นในห้วงลึก โดยที่เขาเองก็บอกไม่ถูกเช่นกัน

=TBC=

ปล. ถึงสนธยาจะขอโทษเค้า...แต่เจ้าตัวก็ยังทำเหมือนไม่ค่อยอยากรับผิดเท่าไหร่ อ้างโน่นอ้างนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนไม่ค่อยสนใจ เขียนไปก็หมั่นไส้ไปเรื่อย ๆ เลยนะ (คนเขียนลำเอียงนะบอกตรง ๆ ว่าชอบคุณสนมากกว่านายคนปากแข็งคนนี้ซะอีก)

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 25-11-2007 10:35:57
ราตรีประดับดาว10
โดย:ทิวารา

“ เออ...ยายโทรมาหาน่ะวา บอกว่าคุณยายใหญ่ไม่สบาย ”

ภูริบอกเจ้าของห้องก่อนจะหยิบขนมเข้าปาก ในขณะที่สนธยาได้แต่นั่งฟังไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่คิดเลยว่าความแตกต่างระหว่างตอนที่คนตัวเตี้ยบางคนเดิมนั้นคุยกับภูริ มันจะแตกต่างกับเวลาที่คุยกับเขาราวฟ้ากับเหวเช่นนี้

“ ขอบใจมากภู ”

คนพูดยิ้มหวาน...คนอื่นอาจมองดูเหมือนยิ้มเฉย ๆ แต่ในสายตาของสนธยามองดูเป็นยิ้มหวาน ๆ เข้าไปได้

// ปรกติอยู่ต่อหน้าเราไม่เคยเห็นยิ้มได้ขนาดนี้เลยแท้ ๆ //

คนตัวสูงแอบไม่ชอบใจเล็ก ๆ แต่กลับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เลยได้แต่ทำหน้าเรียบเหมือนถูกเตารีดทับอยู่อย่างนั้น

“ คุณยายใหญ่...ปรกติท่านก็แข็งแรงดี แม้ว่าท่านจะเป็นพี่สาวที่อายุมากกว่าคุณยายเกือบ 6 ปีก็เถอะ พอรู้แบบนี้แล้วเราเป็นห่วงจังเลย ”

ทิวาเอ่ยเสียงอ่อน...เป็นห่วงคุณยายใหญ่ เพราะคนเฒ่าคนแก่มักชอบว่า คนที่ดูแข็งแรงดีนี้เวลาไม่สบายทีหนึ่งจะเป็นหนักเสียละมาก ใจนึกอยากจะกลับไปหาแต่ว่าติดสอบกลางภาคคงกลับไปไม่ได้ในวันสองวันนี้เป็นแน่ อย่าเร็วก็คงต้องเกือบ 2 อาทิตย์...กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

// พี่สนจ๋า...ถ้าเป็นไปได้ วาไม่รู้ว่าพี่เป็นวิญญาณหรือใครกันแน่ แต่...ถ้าเป็นไปได้ พี่สนช่วยคุณยายใหญ่ของวาด้วยนะจ๊ะ //

ทิวาก้มลงมองมือซ้ายพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ ...กิริยานั้นทำเอาสองหนุ่มที่เหลือแปลกใจ แต่ต่างคนต่างก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่กัดขนมไปตามเรื่องตามราว และตัวสนธยาเองก็รู้สึกขัดใจนิด ๆ ตั้งแต่รู้สึกว่าคนตัวเล็กจะให้ความสนิทสนมกับภูริมากกว่าตนเอง

สนธยานั่งทำหน้าเฉยเมย ไม่ได้เหน็บกัดแต่ก็ทำใบหน้าเรียบสนิท เย็นเยือก ได้แต่ยกแก้มขึ้นดื่มน้ำเป็นพัก ๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดที่ยากจะบรรยายได้ แต่จะด้วยความรู้สึกใดก็แล้วแต่ แต่เขาก็รู้ว่าการจะแสดงทีท่าไม่พอใจออกไปนั้นมันก็คงไม่ใคร่งามนัก มันจะดูไร้เหตุไร้ผลจนเกินไป...ดังนั้นเจ้าตัวถึงได้เอาแต่เงียบเฉย

แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าแว่นตัวผอมของเขาทำหน้ากลัดกลุ้มจนถึงขนาดนั้น เขาจึงชวนคุยขึ้นบ้าง หวังในการสนทนาช่วยไม่ให้ทิวาคิดมากไปกว่านี้

“ ที่บ้านอยู่กันเยอะไหม? ”

“ ที่เรือนมีแค่คุณยายกับน้านงที่เป็นคนบ้านใกล้ ๆ จะมาคุยกันทุกวัน แต่ถัดไปไม่กี่กิโลก็เรือนคุณยายใหญ่ แล้วก็หลานชายที่เป็นครูอยู่ด้วยกัน นอกนั้น...ก็ไม่มีใคร ”

คนถามแทบผงะ...เมื่อได้ฟังคำตอบ

“ อะไรนะ ? เป็นกิโลเชียวหรือ ? ”

// อะไรกันเนี่ย ? เดินแค่ป้ายรถเมล์เดียวก็เหนื่อย ก็ร้อนจะแย่แล้ว นี่เดินกันเป็นกิโลเชียวหรือกว่าจุถึงบ้านแต่ละหลัง แบบนี้คนตัวผอม ๆ แบบนี้จะเดินเข้าไปได้ยังไงกัน!! //

“ ก็...ราว ๆ 2 กิโลละกระมัง สมัยก่อนอยู่บ้านจะเดินไปหาคุณยายใหญ่แทบทุกวัน เอาปลาที่ดักได้ไปฝาก ท่านชอบน่ะ...ยิ้มทุกหนเลย แต่ท่านจะไม่ชอบให้เราตีหัวปลาเอง ท่านว่าบาป ”

ทิวานึกถึงคุณยายใหญ่ที่ดูจะรักและเอ็นดูเขาอยู่ไม่ใช่น้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านดุกับลูกหลานคนอื่นทุกคน จนบางทีคุณลุงคุณป้าที่นาน ๆ จะได้เจอกันสักทีเวลามีวันหยุดยาว ๆ จะชอบแซว ว่าทิวาเป็นลูกคุณยายใหญ่มากกว่าใครอื่น

คุณยายใหญ่มักจะสอนทำกับข้าว สอนทำขนม สอนร้องเพลงไทยสมัยยังเด็ก เวลาเอาอะไรไปให้ท่านจะดีใจมาก ดักปลา เก็บผัก เด็ดบัว เอาอะไรไปให้ท่าน ๆ ก็ดีใจทั้งนั้น...เว้นแต่ท่านชอบกำชับหนักหนา ว่าเอาปลามาฝากได้...แต่อย่าไปตีมันตาย เพราะว่าบาป

แต่สุดท้าย...คุณยายใหญ่ที่ลงมือจัดการเอาปลาไปทำกับข้าวนี่แหละกลับเป็นคนตีปลาทำกับข้าวเสียเอง จนสมัยเด็กทิวายังอดถามตามประสาเด็กช่างสงสัยไม่ได้

“ แม่คุณครับ...ทำไมแม่คุณถึงตีปลาซะเองละครับ ทำไมไม่ให้วาตีมันตั้งแต่แรก อย่างนี้วาก็ทำให้แม่คุณทำบาปสิครับ ? ”

ทิวามักจะเรียกคุณยายใหญ่ว่า ‘แม่คุณ’ เสมอ ๆ ด้วยเสียงอ้อน ๆ แล้วก็ชอบถามเสียงเจื้อยเสียงแจ้ว เวลาวิ่งเล่นรอบเรือนแล้วเจออะไรที่ไม่รู้จัก ทำให้คุณยายใหญ่หัวเราะเบา ๆ อยู่เสมอทั้งที่ก่อนหน้าที่ทิวาจะไปอยู่ที่บ้านนอกนั้น คุณยายจะไม่ค่อยยิ้ม จะดูดุสำหรับญาติ ๆ เหลือเกิน

“ ไม่ได้...คุณท่านคงไม่ชอบใจนักหรอกถ้าจะให้วาทำบาป หลานรักของยาย...หนูรอยายทำกับข้าวเฉย ๆ ดีกว่านะลูกนะ ”

คุณยายใหญ่มักพูดถึง ‘คุณท่าน’ ซึ่งคุณยายท่านเคยบอกว่าคงเป็นคุณตาที่เสียไป เนื่องจากคุณตาท่านรักเด็กผู้ชายมากและก็หวังจะได้ลูกชายสักคน...ตอนที่ท่านเสียคุณยายใหญ่ก็มีลูกสาวให้ท่านได้เพียงนั้น แต่ก็ไม่มีลูกชายให้คุณตาท่านได้ดังที่หวัง

“ คิดถึงจังเลย แม่คุณของผม... ”

ทิวาพูดกับตนเอง พร้อม ๆ กับใบหน้าขาว ๆ กับดวงตากลม ๆ นั้นทอดกระแสเหงาดาย...คิดถึงคนที่อยู่ไกลเหลือเกิน

วินาทีนั้น...ผู้ชายอีก 2 คนต่างมองใบหน้าของเจ้าแว่นตัวบางด้วยความรู้สึกที่แปลกประหลาดหนักหนา

ตัวสนธยานั้นรู้สึกอยากจะลูบไหล่ปลอบเสียนัก...แต่ก็ติดที่ว่าอีกฝ่ายไม่ใคร่แสดงอาการสนิทสนม เขากลัวว่าหากทำไปแล้วอีกฝ่ายจะไม่พอใจเอาได้

ในขณะที่ภูริมองคนตัวเล็กที่หัวใจเหงาหงอยด้วยสายตาอบอุ่นก่อนที่จะทันหันมาสังเกตในตอนหลังว่าเพื่อนของตนที่นั่งอยู่เคียงข้างนั้น กลับมองคู่อริเก่าเมื่อไม่นานมานี้ด้วยแววตาอ่อนโยนแบบแปลกประหลาดจนภูริรู้สึกสะดุดกับสายตาแบบนั้นของสนธยานัก





ราตรีประดับดาว11
โดย:ทิวารา

ระยะหลังจากเย็นวันนั้น...นายสนธยาได้แต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ เหมือนคนสับสนตัวเองอยู่เรื่อย ๆ เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองทำอะไร...แปลก ๆ

“ เอากองสมุดมานี่...ตัวเท่ากุ้งแห้งดันอุ้มสมุดแบบฝึกหัดตั้งขนาดนี้เข้าไปได้ พอดีเดี๋ยวได้ตกบันไดตาย ”

เสียงเหมือนหงุดหงิด กับรูปประโยคยั่วโมโหดูจะเป็นสิ่งติดตัวสนธยามาตั้งแต่เย็นวันนั้น ปากก็ว่าไป แต่ก็ทำโน่นทำนี่ให้ทุกครั้งที่คนตัวสูงเห็นว่ากิจกรรมเหล่านั้นไม่ปลอดภัยกับคนตัวเล็กกว่า

“ ถ้ารำคาญก็ไม่ต้อง...สมุดกองแค่นี้น่ะหิ้วเองได้ ”

แม้ว่าทิวาจะพูดปฏิเสธไปเรียบ ๆ แต่คนตัวสูงกลับหงุดหงิดเหมือนมีอะไรมาอุดปลายจมูก จากนั้นมือหนากว่าก็รวบกองสมุดจากมือของทิวาไปถือโดยที่คนตัวเล็กได้แต่อ้าปากจะค้าน แต่สุดท้ายก็พูดอะไรไม่ออก

“ เอ้า!! เดินตัวเปล่ายังจะชักช้าอีกนะ เดินเร็ว ๆ หน่อย...หึ!! ก็นะ...ลืมไปว่าขาสั้น ”

สนธยาใจร้าย ปากก็ร้ายด้วย แต่จากที่เคยประชดเหน็บหน้านิ่ง ๆ ...เดี๋ยวนี้กลับมีบ้างนาน ๆ ที ที่จะหัวเราะบ้าง แม้จะเป็นหัวเราะขำคล้ายจะหัวเราะเยาะกันก็ตามทีเถิด

“ ไอ้...บ้า ”

ทิวาบ่นเบา ๆ ก่อนจะพยายามวิ่งตามอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะคนตัวสูงจงใจก้าวยาว ทิ้งให้เขารั้งท้ายเสียอย่างนั้น

“ พรุ่งนี้เห็นว่าอาจารย์จะให้ตั้งทีมเล่นวอลเล่ย์เล่นแข่งเป็นการสอบเอาคะแนน เย็นนี้สงสัยต้องชวนภูริมาสอนเพราะยังเล่นไม่ค่อยเป็นเลย ”

คนตัวเล็กบ่นเบา ๆ ในขณะที่สนธยาพูดเสียงโทนต่ำเรียบสนิท พร้อม ๆ กับตีสีหน้าหงุดหงิด หน้างอเหมือนจวัก

“ พอเหอะ...ตัวเท่าแมวริจะลงเล่นเดี๋ยวก็พาเพื่อนแพ้กันหมด อดคะแนนกันพอดี นั่งเป็นตัวสำรองไปนั่นแหละดีแล้ว ”

แล้วก็อย่างที่เห็น...วันดีคืนดี ย้ำเรื่องเตี้ยไม่พอ...มีข่มใส่ให้ด้วย แต่ด้วยความที่บรรยากาศไม่น่าอึดอัดเท่าวันก่อน ๆ ทำให้ทิวาพอจะทนเก็บปากเก็บคำต่อไปได้

“ ปากนายมันเสียนะรู้ตัวรึเปล่า ? ”

ทิวาพูดเรียบลอยก่อนจะวิ่งนำหน้าคนตัวสูงที่หอบสมุดจดงานของคนทั้งห้องไปอย่างไม่สนใจ ในขณะที่คนถูกด่ากลับทำหน้าตาบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะโมโหหรือขำดี

// จะด่าทั้งที...แน่จริงอย่าด่าแล้วหนีสิเว้ยไอ้เตี้ย!! //

สำหรับทิวาแล้ว...ถึงอีกฝ่ายจะดูปากเสียขึ้นกว่าเก่า แถมยังหาเรื่องว่ากระทบหลายหนจนเรียกได้ว่าแทบตลอดเวลา แต่อย่างน้อยสิ่งที่ทำให้ความรู้สึกระหว่างคนตัวเล็กกับคนตัวใหญ่ดีขึ้นก็คือการที่สนธยาเอ่ยขอโทษในวันนั้น มันทำให้ทิวารู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใจร้ายมากมายอย่างที่คิด จนกระทั่งทำให้บรรยากาศอึมครึมจางหายไป

แต่อย่างไร...บางทีสนธยาก็ดูแปลกจนคนตัวเล็กอดระแวงไม่ได้ เพราะถึงเดี๋ยวนี้จะรู้สึกดี ๆ กับนายสนคนนี้บ้าง แต่บางเวลาก็ถูกทำรุนแรงใส่หลายหน จึงมีไม่น้อยที่ทิวาจะรู้สึกระแวงว่าอีกฝ่ายขอโทษจริง ๆ หรือว่ายังเกลียดเขาอยู่กันแน่

“ นิ้วมีอะไรนักหนา ? ถึงได้ยกมือขึ้นมามองจัง ห๊ะ!! ”

นายสนเริ่มอารมณ์เสียแบบแปลก ๆ เมื่อคนข้าง ๆ เอาแต่ยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมามองทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นจะมีอะไรติดอยู่บนนิ้วบนมือสักนิด แต่ส่วนที่ทำให้หงุดหงิดที่สุดเห็นจะเป็นสายตาหวาน ๆ แปลก ๆ ที่ใช้มองมือตัวเองนั่นแหละที่ทำให้เขาถึงกับบังคับเสียงให้สงบราบเรียบไม่ได้อย่างที่หมายใจไว้

“ เปล่า...แค่คิดถึงคน ”

ทำตาหวาน...ยิ้มเศร้า ๆ ....แล้วบอกว่าคิดถึงคน คิดถึงใคร !! ตาแบบนั้นใครเขาทำกันบ่อย ๆ บ้าง!! ต้องปิดบังอะไรกันนักหนานะ ทั้ง ๆ ที่บอกแล้วว่าตอนนี้เป็นเพื่อนกัน แต่ทำไมยังชอบปิด ๆ บัง ๆ แล้วพอถามว่ามีอะไรก็บอกแต่คำว่า...เปล่า ๆ !!

“ นายไม่สบายเหรอ ? ทำไมวันนี้ดูหงุดหงิดจัง ? ”

ทิวาที่คิดไปอีกทางหนึ่งกลับแตะปลายนิ้วบนหน้าผากของคนตัวสูงกว่าเบา ๆ ทำเอาคนที่กำลังคิดในใจอย่างโมโห เผลอปัดมือเล็ก ๆ อย่างหัวเสีย เพราะรู้สึกแปลก ๆ กับการที่อีกฝ่ายจะมาเอามือแตะหน้าผากของตนเองแบบนั้น

“ นาย... ”

ถามว่าตกใจตัวเองไหม? คำตอบง่าย ๆ คือ...ตกใจมาก!! ไม่รู้ว่าทำไมถึงปัดมือของอีกฝ่ายเสียแรง แถมรู้สึกเหมือนมือของทิวาเหมือนของร้อนจนแทบจะทนสัมผัสไม่ได้จนถึงขนาดนั้น

ทิวาได้แต่กัดริมฝีปากเม้มน้อย ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่จะเก็บสมุดหนังสือ หิ้วไปอีกทางหนึ่งเงียบ ๆ ทำเอาคนตัวสูงถึงกับพูดอะไรไม่ออก แต่ทว่าก็ได้แต่ทำหน้านิ่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ปั้นหน้างอหงิกต่อไป

// นายผิดเองนะไอ้เตี้ย...งึม นายผิด อยากมาทำแบบนี้ทำไมล่ะ เฮอะ!! ไม่มีซะละ...ไม่มีคำขอโทษครั้งที่สองแน่ ๆ คิดว่าไปนั่งที่อื่นได้ก็ไปเลย!! //

คนตัวสูงคิดอย่างหงุดหงิด ทั้ง ๆ ที่มือไม้อยู่แทบจะไม่สุก ตาก็เหลียวแลหาแต่คนที่เดินจากไปนั่งอีกฝั่งหนึ่งของห้อง จนเมื่อหันไปเห็นว่าอีกฝ่ายพูดคุยกับเพื่อนที่ไปขอนั่งเรียนด้วยกันแล้ว...ในใจมันก็ทั้งรู้สึกเจ็บทั้งรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่นายสนก็ได้แต่ฮึดฮัดไปคนเดียวโดยสมองก็เอาแต่ด่าตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตาย

// ไม่น่าเลย ไอ้คนประหลาดแบบนั้น...ไม่น่าไปขอโทษมันเลย!! ไปไหนก็ไปเลย!! ไม่ต้องกลับมานั่งตรงนี้อีกนะ!! //

สนธยาคิดอย่างหงุดหงิด แต่หางตาก็ยังจะเหลียวไปทางเดิมเสมอ ทำเอาทุกหนที่เผลอเหลียวไปหาเขาก็ต้องด่าตัวเองไปซะทุกรอบ หารู้ไม่ว่าคนที่เดินจากไปนั้นก็คิดแทบไม่แตกต่างไปจากเขาเลยสักนิดเดียว

ทิวามองคนที่เหมือนเส้นอารมณ์บกพร่องกำลังฮึดฮัดอยู่กับที่นั่งที่เดิม จนเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเอากระเป๋ามาวางทับเก้าอี้ของตนที่อยู่ข้าง ๆ นั้น มันเลยทำให้คนตัวเล็กก็ยิ่งรู้สึกว้าเหว่

“ มน...ตรงนี้ไม่มีคนนั่ง งั้นเราขอนั่งตรงนี้ต่อไปได้ไหม? มนจะเบื่อเราไหม? ”

เขาหันไปหาเพื่อนนักเรียนหญิงห้องเดียวกันซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง พิมลซึ่งเป็นเด็กขยัน ถักเปียยาวตึงเปรี๊ยะสองข้างและใส่แว่นกรอบค่อนข้างหนากลับมองเขาก่อนจะหัวเราะ

“ ก็เอาสิ!! ไม่เป็นเป็นไรเลยนี่...ก่อนนี้อาจเคยมีบ้างที่เห็นว่าวาเป็นคนแปลก แต่ตอนนี้ก็รู้สึกว่านายก็นิสัยดีเพียงแต่เงียบเชียบเรียบร้อยเสียเกินไปเท่านั้นเอง จะนั่งด้วยกันเราก็ไม่ขัดข้องหรอกนะ ”

ทิวาได้แต่ยิ้มบาง ๆ เป็นการขอบคุณ ทั้ง ๆ ที่ในใจรู้สึกโหวงเหวงว่างเปล่าเสียจนน่ากลัว เด็กหนุ่มก้มลงลูบมือลงตรงที่ ๆ แหวนบัวหลวงวงนั้นเคยอยู่ ก่อนที่จะยิ้มกับตัวเองอย่างขื่น ๆ ในใจกลับคิดอยากให้เวลาเรียนหมดลงเร็ว ๆ เพื่อที่จะได้เดินกลับหอ ไปเปิดบันทึกเล่มเดิมแล้วจะได้นอนหลับอย่างมีความสุข

“ บางที...สิ่งที่เห็นก็คงไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นเสมอไปละมั้ง ”

ทิวาพูดกับตัวเองพลางหัวเราะอย่างขื่น ๆ เมื่อรู้สึกว่าคำขอโทษของคนใจร้ายในเย็นวันนั้นอาจไม่ใส่สิ่งที่เจ้าตัวคิดจริง ๆ ก็เป็นได้ อาจจะ...มีแค่เขาคนเดียวที่คิดไปเองว่าได้เพื่อน

เด็กหนุ่มตัดใจก้มหน้าก้มตาลงจดเลคเชอร์อย่างเอาเป็นเอาตายเมื่ออาจารย์เริ่มสอน โดยภาวนาขอให้เวลาเรียนจบลงไวไว เพราะเขาอยากกลับไปนอน...ไปหาใครคนหนึ่งซึ่งมีแต่ความอ่อนโยนให้อยู่ตลอดเวลาคนนั้นจะแย่แล้ว

“ พี่สนครับ...วาน่ะ...ก็แค่อยากมีความสุขเท่านั้นเอง ”

=TBC=

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: Andreas ที่ 25-11-2007 11:26:20

ผมกำลังสงสัยว่า จำเป็นต้องใช้คำว่า "อัญเชิญ" สำหรับเพลงพระราชนิพนธ์หรือไม่ครับ.... และสมควรที่จะต้องใช้การอ้างอิงที่เป็นทางการมากกว่านี้หรือไม่อีกเช่นกัน....

รบกวนผู้รู้ หรือ คุณผู้แต่งช่วยตอบคำถามด้วยครับ...

Andreas
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-11-2007 15:27:13
ทิวายังแยกความจริงกับความฝันไม่ออก  :a11:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 25-11-2007 19:55:15
แอบอึดอัดไปกับทิวา  :m23:
คนในฝัน (รึเปล่า) กับ คนในโลกของความจริง  เฮ้อ

เห็นด้วย  ว่าควรใช้คำว่าอัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์คะ
เพลงเพราะมากๆ ค่ะ  ขอบคุณคะ  เสียงขิมเพราะดี
 :m1:  :m1:  :m1:  :m1:  :m1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 25-11-2007 20:16:36
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 25-11-2007 21:46:43
ขอโทษทุกคนด้วยนะค่ะเรื่องความผิดพลาดเรื่องคำที่ลงเกี่ยวกับเพลง  จริงๆๆต้องใช้คำว่าอัญเชิญ ค่ะ  คนโพสก้อไม่ทันได้อ่านทวนอีกรอบ เอามาลงเลยโดยไม่ได้ดู ขอโทษทุกท่านด้วย นะค่ะ

ราตรีประดับดาว12
โดย:ทิวารา

เสียงฝีเท้าเบาเกือบกริบดังมาวะแว่ว สายลมพัดหวนแผ่วเบาในบรรยากาศเอื่อยเรื่อยราวสายน้ำรินพาให้ดวงใจสงบว่างเปล่าเสียเหลือจะกล่าว เด็กหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นในขณะที่ใครคนหนึ่งเปิดประตูเรือนนอนเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ อันอ่อนหวาน

“ วาน้อยของพี่... ”

ชายหนุ่มอ้าแขนกว้างพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะตวัดกอดคนตัวเล็ก...แนบร่างสนิทแน่นด้วยความรักใคร่ ดวงตาสีเข้มทอประกายฉ่ำเย็นระรินราวสายน้ำ ในขณะที่เด็กหนุ่มยกแขนเล็ก ๆ ขึ้นโอบแผ่นหลังกว้างไว้แน่นพร้อมรอยความรู้สึกอันทอดล้า...โรยใจ

เป็น...ครั้งแรกที่เด็กหนุ่มหาญกล้า หาญกล้า...ที่จะกอดตอบคนตัวสุงไว้ตามที่ใจต้องการ

“ วา... ”

คุณสนธยารู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่ลอยวนในบรรยากาศชวนให้รู้สึกพิศวง รู้สึก...เหมือนคนที่เคยกลัวกลับมีอะไรบางอย่างผลักดันให้ความกลัวที่จะร้องขอหายไป ถึงแม้มันจะไม่มากมาย...แต่มันก็สามารถรู้สึกได้ในความรู้สึกโดยลึกของเขา

“ พี่สน...ถ้าวาไม่มีใครแล้ว วาอยู่ที่นี่กับพี่ได้ไหม? ”

ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงอันสั่นครือ ไม่มี...รอยชอกช้ำในดวงตา แต่ทว่ารอยเศร้ากับเร้าลึกในอกเมื่อได้ยินเสียงใส ๆ นั้น

“ วาน้อย...เจ้าวาน้อยของพี่ ทำไมจึงเอ่ยเช่นนั้นเล่า ? ”

โดยไม่แสดงความเจ็บปวดในสายตา...แต่ทว่ารอยเศร้ายังอวลอยู่ในบรรยากาศ

“ ก็...วาเพียงแต่พูดเล่น ๆ เพราะถ้าไม่มีใครให้ห่วง...วาก็อยากจะอยู่กับพี่สนไปตลอดแบบนี้แหละ ”

ทุกวันนี้ทิวาห่วงแค่คุณยายที่มีบุญคุณเพียง 2 คนเท่านั้น หากสิ้นท่านแล้ว...เด็กหนุ่มก็นึกไม่ออกว่าจะอยู่อย่างขื่นขมไปทำไมคนเดียวถ้าหากโลกแห่งความตื่นยังไม่น่ารื่นใจเท่าในยามหลับ

คุณสนธยาจูงทิวาน้อยไปยังเตียงนอนหลังเดิมพร้อมกับพาเด็กหนุ่มนั่งลง...แล้วจึงกอดไว้คล้ายจะประโลม แม้จะไม่รู้ว่าเกิดเหตุร้ายแรงอันใดขึ้นกับคนตัวเล็กเลยก็ตามที

“ เจ้าคิดว่าพี่เป็นอะไรเล่า...บอกพี่ได้ไหม? ”

ชายหนุ่มเอ่ยถามแผ่วเบาทั้ง ๆ ที่ยังกอดทิวาน้อยไว้ พร้อมกับใช้นิ้วมือลูบเส้นผมนุ่มหอมไปมา

“ วาไม่รู้...ว่าพี่เป็นวิญญาณ เป็นเพียงภาพฝันของวาเพียงคนเดียว หรือว่า...อะไร วารู้...รู้แต่ว่าวารักพี่สน อยากอยู่ด้วยไปนาน ๆ ”

ในคำพูดมีรอยสะท้านคล้ายแฝงความรู้สึกไม่มั่นใจเอาไว้มิใช่เบา แต่ทว่า...คำที่หวานกว่าคือคำท้ายที่เอ่ยมา เอ่ยว่ารัก...เอ่ยว่าอยากอยู่ด้วยกันไปให้นาน ๆ นั่นทำให้คุณสนธยาระบายรอยยิ้มพร้อม ๆ กับความอิ่มเอมในหัวใจอย่างหาใดเปรียบ

“ พี่มิได้เป็นวิญญาณหรอกเจ้า...เด็กเอ๋ย มีชีวิตอยู่เช่นดังที่เจ้าเป็น มีญาติ...มีเรือนแลหน้าที่ที่ต้องรับผิดรับชอบมากมาย ”

ชายหนุ่มเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่จะใช้มือหนาประคองใบหน้าเล็ก ๆ ให้เงยขึ้นมาสบดวงตาคมคู่เดิมของเขา เพียงแต่ดวงตาคู่ที่เคยฉ่ำเย็นนั้นกลับมิได้รื่นเย็นดังเช่นที่เคย แต่กลับมีความหวาน...ความร้อนรนและความรู้สึกบางอย่างแฝงลึกไว้ในรอยละมุนของสายตา

“ ที่เจ้าเอ่ยว่ารักพี่นั้น...เจ้ารักเช่นไร ? รัก...เพราะพี่เป็นพี่ชาย หรือเจ้ารัก...ด้วยนัยอื่นเล่า ? ”

ใบหน้าคมค่อย ๆ เรื่อสีจาง ๆ พร้อม ๆ กับที่เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงหัวใจที่โลดแรงในอกกว้าง และพร้อม ๆ กับสัมผัสของนิ้วมือที่ขยับไล้นุ่มนวลนั้นเอง...ใบหน้าของคุณสนก็ค่อย ๆ ลดลงมาจนประชิด พาให้ใบหน้าของคนตัวเล็กตากลมเริ่มระบายสีเรื่ออ่อน ๆ โดยไม่ต้องเอ่ยคำใดใดให้ชัดเจนมากไปกว่านั้น

“ ว่าอย่างไรเล่า...เจ้าบัวน้อยยของพี่ เจ้าร...รับพี่ไว้ในดวงใจเจ้า...ด้วยความหมายใดเล่า ? บอกพี่หน่อยได้ไหม? ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มมิได้มีรอยเร่งเร้า...แลคาดคั้นใดใด เพียงแต่แฝง...ความรู้สึกคล้ายไฟเย็นที่ค่อย ๆ แผดเผาเอาไว้โดยลึกของกระแสเสียงนั้น

ไม่เคยเลย...ทิวาไม่เคยคิดเลยว่าตนเองรักคุณสนธยาด้วยนัยไหน ไม่เคย...ไตร่ตรองความรู้สึกของตนเองเลยมาจนกระทั่งวันนี้ คำพูดที่แสดงออกถึงความรักอันอ่อนหวานทำให้หัวใจของคนตัวบางรู้สึกอ่อนไหวพิกลนัก

รู้ใจแต่เพียงว่าตนเองมิได้เดียดฉันท์ในคำพูดนั้นแม้แต่น้อย แต่กลับกัน...กลับรู้สึกวูบวับแบบแปลก ๆ รู้สึก...เหมือนสาวที่ถูกเกี้ยวแล้วเอียงอายกระนั้นเอง

จะคิดอย่างไร...จะคิดแบบไหน ก็รุ้สึกเหมือนหาเหตุผลออกนอกความรู้สึกรักไม่ได้ ออกนอก...ความรักแบบคนรักไม่ได้!!

“ พี่สน...คือ...คือวา ”

ชายหนุ่มยิ้มหวานคล้ายจะหัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนจะทวนคำอย่างใจเย็น

“ หื้อ ? เจ้าว่ากระไรนะ ? ”

ทิวาที่เหมือนถูกความเขินอายไล่ต้อนจนทำอันใดไม่ใคร่ถูก...ชักจะเริ่มจนปัญญาจะเอ่ยความใดออกไป เพราะเวลานี้คนตัวเล็กกลับรู้สึกราวกับริมฝีปากสั่นน้อย ๆ นั้นจะซ่านชา ขยับพูดไม่ได้ดั่งใจนึก

มัวแต่ขยับอ้ำอึ้งราวกับน้ำจะท่วมปากและมัวแต่คิดแต่จะหาคำพูด...กว่าจะรู้สึกตัว คนตัวเล็กก็ถูกเอนร่างลงกับเตียงไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ ถูกเอนร่างลงอย่างช้า ๆ ทั้ง ๆ ที่มีดวงตาคม ๆ จ้องในระยะกระชั้นชิดตลอดเวลา...ดวงตาที่ราวกับจะหลอมให้หลงไหลมัวเมากระนั้น

“ พี่สน...ทะ...ทำไมถามเช่นนั้นเล่า ? ”

“ ก็ถ้าเจ้าไม่เอ่ยว่ารัก พี่คงไม่นึกอยากถามเจ้า เพราะที่ผ่านมาพี่ไม่เคยรู้สึกมั่นใจเลย...ว่าความรู้สึกของเราจะมาต้องกันได้ ”

เขาแฉลยพลางยิ้มน้อย ๆ ในขณะที่ใบหน้าของทิวาเริ่มซับสีเรื่อมากขึ้นเมื่อรู้ว่าคำพูดของตน...พาจนเข้าให้เสียแล้ว

“ บอกพี่ได้ไหมเล่า...พี่จะได้เข้าใจ รักหรือไม่...อยู่ที่ใจเจ้าเท่านั้น นึกอย่างไรก็เอ่ยมาเถิด ”

ชายหนุ่มเกลี่ยนิ้วกับแก้มใส ก่อนที่จะแตะริมฝีปากคมลงบาง ๆ บนปลายจมูกเล็ก ๆ ก่อนจะยิ้มให้คนตัวเล็กที่ยิ่งตกใจนั้นด้วยแววตาราวกับจะยั่วเย้าแต่กลับเต็มไปด้วยร่องรอยอ่อนหวานจนเต็มล้นในห้วงความรู้สึก...เหมือนเป็นการเร่งเร้าจะเอาคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำใดอีก

ทิวาที่ตกประหม่าจึงเริ่มพูดด้วยความรู้สึกคล้ายไม่ใครปะติดปะต่อมองน่าเอ็นดูนักในสายตาของเขา...พูด ถึงแม้ว่าจะเขินอาสักเพียงไหน

“ รัก...แบบอยากอยู่ใกล้ ๆ อยู่ด้วยกันไปตลอด...เวลาที่ เอ่อ...รู้สึกเศร้าก็นึกถึงพี่ อยาก...อยู่ด้วยกัน ”

เมื่อจนปัญญาจะบรรยายต่อ คนตัวเล็กก็อึกอัก พูดอะไรไม่ออกอีกเลย ในสมองขาวโล่งไม่มีเหลือหรอ...ไม่มีคำพูดสวยหรูอ่อนหวานที่ออดอ้อนเหมือนนางไหนทั้งนั้น มีแต่...ใบหน้าที่แดงเรื่อเท่านั้นที่ยืนยันให้คุณสนธยารู้สึกแจ่มชัด

ชายหนุ่มยิ้มบาง ๆ พร้อมรอยเสียงทุ้มนุ่มระรินเย็นเรื่อย เอ่ยเพียงแผ่วเบาในขณะที่ริมฝีปากคมนั้นอยู่ไม่ห่างจากแก้มนุ่มนิ่มนั้น

“ น่ารัก...น่าถนอมเหลือเกินนะเจ้า วาน้อยของพี่เอย...พี่รักเจ้านักจนไม่รู้จะเอ่ยกระไรได้มากไปกว่านี้อีกแล้วละเจ้า ”





ราตรีประดับดาว13
โดย:ทิวารา

ทิวาวางหูโทรศัพท์ลงก่อนจะถอนหายใจยาวอย่างหนักใจ ก่อนจะเดินออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะด้วยท่าทางหงอย ๆ จนภูริที่ยืนรออยู่ข้าง ๆ รู้สึกผิดสังเกต

“ เป็นอะไรไปละวา? ทำไมทำหน้าแบบนั้น...มีอะไรรึเปล่า ? ”

ดวงตากลมใต้กรอบแว่นพยายามกลั้นน้ำตา ก่อนจะส่ายหน้าน้อย ๆ โดยไม่เอ่ยอันใด ก่อนที่คนตัวเล็กจะเดินนำตรงกลับไปยังหอพักพร้อมกับข้าวถุงในมือ

ทิวานึกถึง...เสียงเหนื่อยล้าของคุณยายใหญ่ น้ำเสียงที่ใจดีเหมือนเมื่อครั้งที่เขายังเด็ก...ใจดีอย่างไรก็ใจดีอย่างนั้นมาตลอดจนทุกวันนี้ แล้วก็นึกถึงถ้อยคำ...คำขอร้องของคุณยาย

“ ลูกวา...ยายจะรอหนูนะลูก สอบเสร็จแล้วหนูกลับมาหายายนะลูกนะ ”

// แม่คุณครับ...ทำไมพูดเหมือนกับว่าจะไปเสียแล้วละครับ โธ่เอ๋ย...แม่คุณของผม ผมจะทำยังไงดี จะทำยังไงดี //

ยิ่งทิวาคิดเท่าไร...น้ำตาก็ยิ่งพาลจะไหล จนภูริที่แอบมองอยู่ยังรู้สึกสงสารแทน สงสารจนไม่รู้จะทำยังไงให้อีกฝ่ายหยุดร้องไห้ ได้แต่มองคนที่เดินข้าง ๆ เดินน้ำตาเอ่อคลอไปจนถึงหอพัก สภาพน่าสงสาร...จนน้ำตาทำท่าจะหยดจากดวงตากลม ๆ อยู่มะรอมมะร่อ

“ ภูริ...เราขอกินแค่ข้าวต้มปลาแล้วกัน ที่เหลือเราให้ ”

ทิวาส่งกับข้าวถุงที่ซื้อมาให้ภูริไปจนหมด ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วปิดประตูอยู่เงียบ ๆ คนเดียว ...ทำเอาภูริรู้สึกเป็นห่วง เพราะช่วงหลาย ๆ วันมานี้ทิวาดูเหมือนคนอดนอนมากมาย ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็ปฏิเสธอยู่ตลอดเวลาว่าไม่ได้อดนอน อีกทั้ง...ข้าวปลาที่เคยหุงหากินกันอย่างสนุกสนานก็กลายเป็นการซื้อปลากระป๋องบ้าง เมนูสิ้นคิดอย่างข้าวผัดบ้าง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วทิวาเป็นคนที่มีรสมือดีมากอย่างไม่น่าเชื่อ และเป็นคนชอบทำกับข้าวเสียด้วย

นาน...เป็นสัปดาห์แล้วที่ทิวากินแต่กับข้าวบ้าง อาหารกระป๋องบ้างโดยไม่ลงมือทำอาหารเองอย่างที่เคย

ในห้องนอนเงียบเหงา...เด็กหนุ่มทรุดลงนั่งจ้องถุงข้าวต้มปลาเงียบ ๆ โดยไม่ยอมลุกไปเปิดไฟ พยายามกลั้นน้ำตาเท่าไรก็ยังไหลออกมาจนมองอะไรไม่เป็นสิ่งเป็นอัน ไม่มี...เสียงสะอื้นไห้ ไม่มี...อาการร่ำร้องแลโวยวายใดใด แต่ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับเต็มไปด้วยร่องรอยคล้ายถูกทำร้ายให้เจ็บปวดอย่างทารุณ

“ จะทำยังไงดี...แม่คุณของผม ผมจะทำยังไงดี ? ”

..............................................................................

ภูริเดินเข้าห้องของตัวเองด้วยท่าทางหนักอกหนักใจ ในขณะที่แขกผู้มาเยือนกลับนั่งพิงเสาเตียงรออยู่เงียบ ๆ ค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นจากอาการจ้องแก้วน้ำในมือแล้วค่อยเอ่ยถามขึ้น

“ วา...เอ่อ เจ้าแว่นวาเป็นไงมั่ง ? ”

“ ไม่ดีเลยว่ะ...เห็นว่าโทรไปที่บ้าน ออกมาจากตู้โทรศัพท์แล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ น้ำตาจะไหลอยู่แล้วนะนั่น กูมองวาแล้วอยากกอดมันแล้วโอ๋สักทีเหมือนกันว่ะ มองแล้วสงสารเป็นบ้าเลย...แต่ไม่กล้าทำแบบนั้น กลัวมันจะว่าเอา ”

ข่าวที่ได้ฟังทำเอาสนธยาหน้าเสียไปไม่น้อย เพราะเขามองคนตัวเล็กดื้อเงียบอยู่ห่าง ๆ นานหลายวันแล้ว อยาก...จะเดินเข้าไปคุยด้วยไม่น้อย แล้วก็รู้สึกเหมือนพึ่งรู้ตัวว่าไม่ควรทำอะไรงี่เง่าใส่อีกฝ่ายไปแบบนั้น เพราะ...พอไม่มีคนนั่งข้าง ๆ พร้อมกับเสียงเล็ก ๆ คอยด่านิดกัดหน่อยพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ เหมือนเคยแล้วนั้นมันก็ทำเอาอดรู้สึกเหงา ๆ ไม่ได้

“ แกน่ะ!!...เมื่อไหร่จะดีกับวาสักที เห็นมันซึม ๆ มาหลายวันแล้วนะเว้ย แล้วพอเป็นแบบนี้กูเลยรู้สึกอยากกระทืบมึงจังเลยว่ะสน ”

“ อย่ามาโบ้ยสิวะ!! ก็กำลังจะไปขอโทษอยู่แล้วละ แต่...ยังหาโอกาสเหมาะ ๆ ไม่ได้เลย ”

พอถูกคาดโทษ...สนธยาก็เผลอโวยเข้าให้เหมือนกัน แต่ก็เหมือนโวยวายเพราะหงุดหงิดตัวเองมากกว่า เพราะพอได้จังหวะเหมาะ ๆ ว่าจะอ้าปากพูด...เสียงก็ไม่ผ่านออกจากลำคอมันซะทุกทีไป สุดท้ายก็ได้แต่ยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ....แล้วจบลงด้วยการประชดแก้เขินจนอีกฝ่ายยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่

“ นี่...ได้ยินเสียงอะไรไหม? ”

สนธยาถามพลางพยายามเงี่ยหูฟังให้ชัด เพราะเหมือนได้ยินเพลงอะไรดังมาแว่ว ๆ

“ เออ...ได้ยินจริง ๆ ว่ะ ”

ภูริเองก็พยายามฟังให้ชัด แต่สุดท้ายเสียงนั้นก็ค่อย ๆ เงียบหายไป

“ เพลงอะไรนะ...คุ้น ๆ ได้ยินแว่ว ๆ ว่าร้องแบบเนี้ย.... ”

ภูริร้องท่อนที่ได้ยินออกมาคร่าว ๆ แล้วสนธยาเองก็เห็นด้วย
// โอ้อกคิดถึง คิดถึง คนึง
นอนวัน นอนไห้
ใฝ่ฝัน เห็นจันทร์แจ่มฟ้า//

“ เพลง...ลาวคำหอมรึเปล่า ? ทำไม...มันคุ้น ๆ ใจยังไงพิกลนะ ”

ไม่ใช่เพียงเพลง...เสียงที่ร้องก็คุ้นใจยังไงประหลาด คุ้น ๆ เหมือน...เหมือน...เหมือน

“ เสียงเจ้าแว่น...วา นี่!! ”

.................................................................................


เสียงหายใจสม่ำเสมอนั้นดังเป็นจังหวะแผ่วเบาหลังจากที่คนตัวเล็กร้องเพลงจนหลับไป ที่ร้องเพลงเพราะเหงา...เพราะเจ็บปวด อยากจะรีบหลับและฝันโดยไว เพราะว่า...ใครคนหนึ่งยังยืนรออยู่ที่นั่น ในบ้านเรือนไทย...ในห้องนอนห้องเดิม

“ พี่สนจ๋า... ”

รอยยิ้มแลกระแสอุ่นที่รอคอยอยู่นั้นทำให้ทิวาน้อยน้ำตาไหลพลางซบหน้านิ่งนาน...ทำเอาคุณสนรีบลูบหน้าลูบหลังด้วยความตกอกตกใจเหลือจะกล่าว

“ เป็นอะไรไปละเจ้า ? วาน้อยของพี่ ”

“ แม่คุณของผม...คุณยายน่ะครับ ผมจะทำยังไงดี... ”

ทิวาเล่าไปร้องไห้ไป...ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยร้องไห้โยเย เนื่องจากตั้งแต่เด็กทิวาต้องอยู่คนเดียวบ้าง อยู่กับคุณยายบ้าง ทำให้เป็นเด็กใจเย็นและสงบเสงี่ยมจนไม่ค่อยโวยวาย แม้แต่จะร้องไห้...ยังไม่เคยร้องไห้ได้ขนาดนี้เลย

เด็กหนุ่มสูดน้ำมูกไปพลางเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงครือคราง ในขณะที่คุณสนพยายามลูบหน้าลูบหลังและปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งประโยคที่ทิวาน้อยพูดออกมานั้นกลับไปสะดุดใจคุณสนเข้า

“ ผมบอกว่าให้คุณลุงย้ายแม่คุณของผมไปโรงพยาบาล แต่ดูเหมือนคุณยายท่านจะไม่ยอม ผมกลัว...เพราะโรงพยาบาลก็อยู่ไม่ใช่ใกล้ ๆ เดินทางก็ลำบากเพราะบ้านเราอยู่ในทุ่งของกาญจนบุรี ไม่ใช่ในเมืองที่ถนนมันดี ๆ เสียด้วย...ฮือ ”

“ อยู่กาญจนบุรีหรือเจ้า ? ”

คุณสนถามอย่างแปลกใจ ก่อนจะซักต่อเพราะอยากรู้ความให้ละเอียดยิ่ง ๆ ไปกว่านี้

“ แม่คุณของเจ้าชื่อแซ่ใดเล่า ? ทางหลวงเขาไม่ดูแลหรือกระไร ? พี่นึกว่าเจ้าเป็นครอบครัวที่เป็นคนของหลวงเสียอีก เพราะเห็นเจ้าสุภาพเรียบร้อยแลใช้ภาษาต่างจากบ่าวไพร่นัก ”

“ คุณยายใหญ่ชื่อเนียมจ้ะพี่สน สกุลผมนามสกุล นิลุรัตนาการ จริง ๆ บ้านเราก็ปลูกเรือนอยู่กันตรงนั้นมานานแล้วละครับ...เห็นคุณยายท่านเคยบอกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ต่างจากสมัยก่อนที่ไม่มีใครรับราชการอีกแล้วจ้ะ นอกจากมีหลานของคุณยายใหญ่คนเดียวที่เป็นครูอยู่โรงเรียนแถวนั้น ”

คุณสนมองใบหน้าทิวาน้อยด้วยอาการนิ่งอึ้ง ดวงตาคมที่เคยเยือกเย็นเหมือนล่องลอยไปไกล คนตัวสูงยกมือที่สั่นสะท้านขึ้นไล้ใบหน้ากลม ๆ นั้นอย่างแทบไม่เชื่อสายตา ไม่เชื่อสิ่งที่หูได้ยิน ไม่อยาก...เชื่อถือความเป็นจริงใดใดที่รับรู้ในวินาทีนี้เลย

ความเจ็บปวดแล่นริ้วในหัวใจของร่างสูง ราวกับจะกรีดจะแทงให้สิ้นใจไปในวินาทีนั้น ความขื่นขม...ความเจ็บปวดพาให้ดวงตาคู่คมทอประกายสั่นไหวหนักหน่วงจนทิวาเองก็รู้สึกได้ในทันที

“ ทำไมหนอ...ทุกอย่างจึงเป็นดังนี้ได้ ”

คุณสนธยาก้มลงแตะหน้าผากกับคนตัวเล็ก...ก่อนที่น้ำตาจะไหลออกมาจากดวงตาคู่คมที่เคยฉ่ำเย็นนั้น ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยรอยสั่นไหว ก่อนจะปล่อยน้ำตารินไหลราวกับจะบอกว่าวินาทีนั้นหัวใจของผู้ชายคนหนึ่งกำลังแหลกสลายลงจนไม่เหลือดี

นิ้วมือหนาและสั่นไหวแตะแผ่วเบาลงกับเนื้อแก้มนวลนิ่ม ดวงตาคู่คมนั้นปล่อยน้ำตาไหลบาง ๆ อย่างสุดจะเก็บกลั้น ก่อนที่เสียงทุ้มที่แตกพร่าด้วยรอยขื่นขมจะเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยรอยเสียงทอดกระแสเจ็บปวดยิ่ง

“ พี่...พี่สนเป็นอะไรครับ เจ็บตรงไหนเหรอ ? ร้องไห้ทำไมครับ ? ”

คุณสนธยานั้น...แม้รู้ แต่วินาทีนี้กลับรู้สึกอยากกระทำในสิ่งที่ฝันไว้ ดังนั้นคนตัวสูงจึงค่อย ๆ เกลี่ยปลายจมูกโด่งดุนแก้มนิ่ม ๆ ของทิวาน้อยในอ้อมแขน ก่อนที่จะค่อย ๆ ประทับริมฝีปากที่แสนอุ่นและสั่นสะท้านลงกับริมฝีปากของเด็กน้อยที่เขาแสนจะรัก

ที่ทำไป...ก็เพื่อลา

// พี่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของพี่...เธอเองก็มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของเธอ แต่ที่เราได้มีวาสนามาพบกันนั้น เราต่างก็ได้มาพบกันในโลกของความฝันในขณะที่เราเลือกที่จะหลับใหล หากเราจะอยู่คู่กัน...ก็ต้องทิ้งทุกอย่าง ต้องหลับไปทั้งอย่างนี้ตลอดจนสิ้นอายุไข ในตอนแรกพี่คิดว่าพี่ยอมทิ้งทุกสิ่งได้ทั้งหมดเพื่อเธอ แต่ว่า...ในตอนนี้คงทำไม่ได้อีกแล้ว //

“ วาน้อยของพี่เอย...เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว ”

// ทำไม ? ...พี่สนถึงได้พูดแบบนี้เล่า ? //

“ พี่สน....พี่สน ทำไมละครับ ? ”

“ ถ้าเป็นไปได้...ถ้าเลือกให้เลือดในกายแปรไปได้ละก็พี่จะไม่ลังเลเลย แต่ทว่า...มันคงไม่ได้ ”

คุณสนธยาลูบแก้มใสที่แสนรัก ก่อนที่จะยิ้มให้เด็กหนุ่มบาง ๆ เหมือนกับในวันวาน

“ พี่นี้ต้องลาแล้ว...เจ้าแก้วใจของพี่เอย ”

คุณสนบอกลาคนตัวเล็กที่แสนรัก...คนรักที่อ่อนโยนเหมือนบัวน้อย ในขณะที่ทิวาน้อยตกใจจนพูดอะไรไม่ออก แสงสุดท้ายที่ได้เห็น...คือรอยยิ้มอันอ่อนโยนเป็นครั้งสุดท้ายของคุณสนธยา

ก่อนที่...จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า!!

ทิวาลุกพรวดขึ้นจากเตียงพร้อมกับดวงตากลมเต็มไปด้วยรอยน้ำตาที่รินไหล ทั้งเจ็บปวดแลตื่นตระหนกยิ่งนัก ทั้ง ๆ ที่คนตัวเล็กยังอ่านบันทึกไม่จบ...ใยพี่สนจึงจากไปเล่า ?

แม้จะเหลือแค่ไม่กี่หน้าที่ทิวารั้งรอไว้...ไม่ยอมอ่านจนถึงหน้าสุดท้าย แต่...ทำไมพี่สนจึงลาไปเช่นนี้

เด็กหนุ่มเปิดบันทึกและอ่านหน้าสุดท้ายทั้งน้ำตา...หน้าสุดท้ายที่ไม่เคยคิดเปิดอ่านเพราะว่ากลัวจะเสียพี่สนที่รักยิ่งไป วินาทีนี้เด็กหนุ่มค่อย ๆ เปิดมัน...และพบเพียงข้อความเพียงนิดเดียวเท่านั้น

ข้อความสั้น ๆ ที่เขียนด้วยตัวหนังสือตวัดงาม...เหมือนลายมือในหน้าแรกที่ระบุว่า “ อ่านได้...แต่อย่าหลงรักเงาของดวงจันทร์ ”

ข้อความ...ที่เพียงแค่อ่านเด็กหนุ่มก็รู้ในทันทีว่าคนที่เขียนนั้นคือใคร เพราะภาพถ่ายใต้ข้อความนั้นบ่งบอกชัด

// ข้อความนี้...พี่ทิ้งไว้ให้เจ้า บัวหลวงวงเดิมรออยู่...กลับไปเรือนเราเถิดหนาเจ้าทิวาน้อยของพี่เอย //

ข้อความเดียว...ที่ทำให้ทิวาต้องร้องไห้เสียยิ่งกว่าเดิม เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวจนเข้าใจครบถ้วน จนรู้...ว่าพี่สนของเขาที่เคยสงสัยนั้นเป็นใครกันแน่ แต่ทว่า...วินาทีนี้ทิวาอยากให้เวลาย้อนกลับไปและไม่อยากรับรู้ความจริงใดใดอีกเลย

“ พี่สน...ที่บอกว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้า...พี่ไม่อยู่ในโลกของพี่ ตัวผม...คงไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ใช่ไหม? พี่สน...ที่แท้พี่คือคุณทวดของผมเองหรอกหรือ ? ”

ในภาพ...คุณสนที่อายุราว 40 ปี เศษ รายล้อมด้วยลูกหลาน โดยที่คุณสนธยาอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานไว้ในอ้อมแขน และแม้ว่าเด็กหญิงผู้นั้นจะยังเล็ก แต่ตำหนิตรงแขนขวาของเด็กหญิงนั้นทิวาจำได้เป็นอย่างดี

เด็กหญิง...คงเป็นใครไปมิได้นอกจาก “คุณยายใหญ่”

เด็กหนุ่มกอด...กอดบันทึกน้ำตาไหลพราก เหมือนหัวใจหายไปไกลลิบตา เหมือน...ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นเพียงความฝันอันแสนไกลจนแทบเรียกได้ว่าไม่เคยเกิดขึ้นจริง แต่...จะให้ลืมคงไม่ได้!!

// อ่อนหวานเท่าพี่คงหาไหนมิได้อีกแล้ว...พี่สนของวา //

ราวเสียงหนึ่งซึ่งอ่อนหวานนั้นลอยลมมา บอกช้า ๆ ด้วยรอยทอดนุ่มอ่อนหวานเหมือนวารวันที่ฝันถึง

“ หลวงวงเดิมรออยู่...กลับไปเรือนเราเถิดหนาเจ้าทิวาน้อยของพี่เอย ”

=TBC=
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 25-11-2007 21:52:47
ราตรีประดับดาว14
โดย:ทิวารา

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย //


ทิวาฟังเพลงไปเรื่อย ๆ โดยหัวใจก็กระหวัดคิดถึงใครคนหนึ่งซึ่งสุดเอื้อมเสียแล้วในครานี้...น้ำตาที่ไหลทั้งคืน เสียงตะโกนร้องไห้ที่ไม่ใช่คำพูด ไม่ใช่ภาษาใดใด กลับหลุดรอดออกจากปากสลับกับเพลง ๆ นี้

ภูริกับสนธยา...ปัจจุบันต้องผลัดกันมานอนเป็นเพื่อน ในห้องของคนตัวเล็ก

นายสนธยา...คนที่เคยใจร้าย กลับร้ายไม่ออกอีกแล้วเมื่อมองสภาพของคนไม่ไปโรงเรียน 1 วันเต็มเพราะพิษไข้ ซึ่งเกิดจากการร้องไห้และความเครียดรุมเร้า และทุกครั้งที่ทิวาโก่งตัวอาเจียนพร้อมอาการปวดหัวเพียงข้างเดียวนั้นคนตัวสูงแทบจะทนมองไม่ได้เลย

// ต้องผลัด...มาดูมัน...มาดูเจ้าแว่นวา //

สนธยาพูดเพียงเท่านั้นเมื่อปรึกษากับภูริ และอีกฝ่ายก็เห็นด้วย...ต่างคนต่างรู้สึกว่าปล่อยให้ทิวาอยู่คนเดียวไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่

// ทำไม ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นหนอ...ทำไมนายเหมือนจะตายลงไปวินาทีไหนก็ได้แบบนี้ล่ะ !? //

ข้าวไม่ค่อยทาน น้ำก็ทานน้อย...น้อยกว่าน้อย ไม่รู้อยู่ได้อย่างไร

ดวงตาแล...เหม่อลอยไปไกลตลอดวันตลอดคืน เวลาเรียนก็เอาแต่มองไปไกล ไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้น...และบางทีก็ถึงกับร้องไห้ออกมา น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นโดยไม่มีเสียงสะอื้นไห้คร่ำครวญใดใด ไม่มี...แม้สีหน้าเหมือนคนร้องไห้ รู้แต่ว่าน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่นั้นราวกับหยดน้ำไหลจากดวงตาของรูปปั้นเนื้อขาวนวล

สนธยาเลิกทำสงครามกับคนตัวเล็กไปนานหลายวันแล้ว...นับตั้งแต่วันที่ไปค้างที่ห้องภูริแล้วปรากฏว่าเช้าวันถัดมาคนตัวเล็กกลับไม่ได้ไปโรงเรียน พอกลับมาที่หอในตอนเย็นถึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายไม่สบาย และในความป่วยไข้นั้นเขากลับสำนึกรู้ได้ถึงสาเหตุซึ่งเกิดจากความเสียใจอย่างรุนแรง...แต่สุดท้ายเขาก็ยังไม่เคยเอ่ยถามถึงสาเหตุนั้น

“ชมแต่ดวงเดือน ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา ”

เพลง...ที่ได้ยินคนตัวเล็กร้องเบา ๆ กลับดังวนไปวนมา เหมือนกับเพลงนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับสนธยา...ทิฐิใดใดนั้น ในตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว จะมีก็แต่ความห่วง...กังวลถึงจนทำอะไรไม่ถูก จนต้องอ้างกับที่บ้าน ต้องแอบอ้อนคุณแม่...มาค้างที่หอ มาอยู่กับคน ๆ นี้

อย่างไรก็เป็นห่วง...ถึงจะเคยลองกลับไปนอนที่บ้าน แล้วให้ภูริมานอนเฝ้าคนตัวเล็กนี้แทน แต่สุดท้ายเขากลับต้องลืมตาโพลงอยู่ที่บ้านโดยไม่อาจข่มตาหลับลงได้เลย เพราะอย่างนั้น...เขาถึงต้องมา

“ วา...กินข้าวต้มหน่อยนะ ”

สรรพนาม...ไม่รู้เปลี่ยนไปตอนไหน จากเจ้าแว่น กลายเป็นการเรียกชื่อด้วยรอยเสียงอ่อนหวาน ไม่ได้ฝืดฝืนใดใด แต่เต็มใจทำให้ เต็มใจอ่อนหวาน...หาสาเหตุไม่ได้ ไม่มีแม้แต่เหตุผลใดใดยามที่ภูริแกล้งกระเซ้าถาม

ทิวาค่อย ๆ ตักข้าวต้มเข้าปาก ในขณะที่สนธยาทำหน้าย่น รั้งแขนของคนตัวบางไว้ก่อนจะเอ่ยดุน้อย ๆ

“ ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้นะ...ข้าวต้มมันร้อนไม่ใช่เหรอ ? ทำไมตักแบบนั้น แล้วยังกินแบบนั้น....แบบนั้นก็ลวกปากลวกคอแสบกันพอดีสิ! ”

ดุพลางยกชามข้าวต้มจากมือคนตัวเล็ก ก่อนจะค่อย ๆ ตัก...แล้วเป่าเบา ๆ พลางจรดริมฝีปากแตะเม็ดข้าวเบา ๆ เพียงฉาบฉวยจนแน่ใจว่าอุ่นกำลังดี คนตัวสูงจึงยื่นช้อนที่ตักข้าวต้มมาทางคนตัวเล็กอีกครั้งหนึ่ง

“ ไม่ต้องป้อนก็ได้... ”

“ เอาน่า...ป้อนได้ ไม่ลำบากยากเย็นนักหรอก ”

เหมือนเด็กอ่อน ๆ ...ให้ทำก็ทำ มีบ้างที่แย้ง แต่สุดท้ายก็ยอมตาม...

ทิวามองคนตรงหน้าด้วยแววตาท่าทางเรียบสนิท ในสมองพยายามคิดหาเหตุผลมากมายเพื่อตอบคำถาม...ว่าทำไมนายสนคนใจร้ายถึงได้หายไป เหลือแค่คนตรงหน้าที่ดูแลตนเองอย่างดีทุกอย่างโดยไม่เคยบ่นว่ารุนแรง

“ ขนมไหม ? มีลูกชุบ พอดีวันนี้คุณแม่ซื้อมา...ตอนไปเจอก็เลยขอแบ่งมาจากที่บ้านน่ะ ”

ไม่ตอบ...แต่สนธยาก็รู้ว่าอีกฝ่ายชอบ

ภูริแหละ...เล่าหลายอย่าง ทั้งของชอบ ของที่เกลียด ของที่กินไม่ได้...ไอ้เขาเองก็เงียบ แต่ก็ดันฟังแล้วจำได้มันเสียทุกอย่างไปได้อย่างไรก็ไม่รู้ จนเดี๋ยวนี้พอเห็นของกินอะไรก็ตามแต่ สมองก็จะประมวลผลไปก่อนเลยว่าของนี้ทิวากินได้ และของนี้ทิวากินไม่ได้ ...ไอ้ที่ว่ามันเป็นของที่ตัวเขาเกลียดรึเปล่านี้ค่อยมาคิดกันทีหลัง

ไม่ต้องแค่น ไม่ต้องบังคับ...แต่ก็กินยาก กินน้อยราวแมวดม จนตัวผอมลงเล็กน้อยคล้ายคนตรอมใจกับอะไรสักอย่างแต่เขาก็ตอบไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คือการสรรหาของกิน และทำให้อีกฝ่ายยอมกิน รวมทั้งหาวิธีทำให้กินได้มาก ๆ อีกด้วย

“ พรุ่งนี้...กินชะอมกันเนาะ เราให้คนที่บ้านทำเผื่อแล้ว เอาปลาทูซักตัวด้วยดีไหม? แล้วก็...ผักต้ม เออ...วาไม่ชอบแตงกวาใช่ไหม? ”

แปลก...ทิวากินของชาวบ้าน ๆ ทั้ง ๆ ที่เด็กสมัยนี้ไม่ได้ติดใจกับอาหารประมาณนี้กันเลย แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่กิน อย่างแตงกวา...ดูเหมือนจะเกลียดเอามาก ๆ แล้วก็ถั่วงอกสด ๆ ที่เจ้าตัวบอกว่ากินสด ๆ แล้วเหม็นเขียวในปาก แต่ของที่ชอบมาก...กลับกลายเป็นชะอมที่คนบ่นว่ามันเหม็นเขียวซะกว่าถั่วงอกนี่สิ!! นี่ยังไม่รวม...มะระอีกนะที่เจ้าตัวดูจะโปรดปรานเหลือเกิน

สนธยายิ้มน้อย ๆ ในแววตา...ทันทีที่สังเกตเห็นว่าเมื่อพูดถึงอาหารที่ชอบ คนตัวเล็กก็ค่อยยิ้มออกมาบาง ๆ อย่างดีใจ





ราตรีประดับดาว15
โดย:ทิวารา

ไม่อร่อย...ไม่อร่อย ทำไม...มันกลายเป็นของไม่อร่อยไปได้ขนาดนี้นะ ?

แค่คิดได้เพียงนั้น...คนตัวเล็กก็โก่งตัวอาเจียน จนคนนั่งอยู่ตรงข้ามแทบจะผวาเข้าหา คนตัวสูงลนลานจนได้แต่ลูบหน้าลูบหลังให้คนตัวเล็กกว่า พลางใช้มือหนาควานหากระดาษทิชชู่รอบทิศ

ค่อก!!...ค่อก!!...

สำลัก...แล้วขย้อนออกมาจนหมดไส้หมดท้อง สุดท้ายคนตัวเล็กก็อาเจียนจนหมดแรง ซบหน้าลงกับไหล่ของสนธยาเหมือนคนไม่มีแรงจะนั่งด้วยตัวเอง เหมือน...กระดูกในตัวหายไปหมด

“ วา...วา เป็นอะไรรึเปล่า ? คลื่นไส้เหรอ ? ”

แม้จะไม่มีเรี่ยวแรง เหนื่อยหอบจนตัวโยน หายใจหายคอไม่ค่อยออก เจ็บในปอดใจแทบขาด...แต่คนตัวเล็กก็พยายามจะตอบ

“ ไม่รู้...มัน มันไม่รู้ พอกินแล้ว...ลิ้นมันไม่รับรส รู้แต่ว่ามันมีน้ำมัน...แล้วพอลงกระเพาะ ก็โดนบีบขย้อนออกมาหมดเลย ”

เคยกินได้...อร่อย เคยโปรดนัก แต่ตอนนี้กลับกินเข้าไปไม่ได้ ทำเอาทิวาสับสนตัวเองเป็นที่ยิ่ง รู้สึกแย่จนทำอะไรไม่ถูกแล้วเมื่อเห็นว่าสนธยาต้องมาเบื้อนคราบที่ตัวเองขย้อนออกมาจนเลอะ

“ ขอโทษนะ...เราขอโทษ ”

คนมองรู้สึกแสนสงสาร เมื่อคนที่แทบไม่มีแรงพยายามจะขอโทษกับสิ่งที่ไม่ได้ตั้งใจให้เกิด แล้วดวงตากลม ๆ คู่นั้นก็ค่อย ๆ รื้น...น้ำตาไหล ทำเอาสนธยาต้องลูบไหล่นั้นเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบ

“ ไม่เป็นไร...เพราะวาไม่สบายหรอกนะถึงได้เป็นแบบนี้ เราก็ผิด...ลืมคิดไปวาชะอมทอดมันมีน้ำมัน คนป่วยไม่ควรทาน ”

เขาปลอบไป...แล้วก็ค่อย ๆ เช็ดคราบเปื้อนที่เสื้อของคนตัวเล็ก แล้วค่อย...พยุงไปเอนบนเตียงนอนช้า ๆ

ทิวามองร่างสูง ๆ ก้ม ๆ เงย ๆ เช็ดทำความสะอาดคราบอาเจียนของตนเอง โดยที่ใบหน้านั้นไม่ได้แสดงออกว่ารังเกียจเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งกลับกันนั้น...สนธยาก็มักจะหันมามองคนตัวเล็กเป็นพัก ๆ ให้มั่นใจว่าไม่ได้กำลังคลื่นไส้อีก

………………………………………………………..

มองคนตัวเล็กที่เหมือนคนไม่มีเรี่ยวแรง เหมือนคนป่วยหนักอย่างนั้นก็ให้ยิ่งใจเสีย เพราะเพียงระยะไม่ถึงกับครบสัปดาห์ดีนั้น ทิวาก็ทานน้อยมาเรื่อยจนถึงขั้นอาเจียน ห่วงก็แต่อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะถึงวันสอบกลางภาค...นักเรียนทุนสอบตกคงจะยุ่งไปกันใหญ่

ในใจกระหวัดสงสัย...อยากรู้เหลือใจว่าเจ้าตัวเล็กบอบบางกำลังคิดอะไรอยู่

เมื่อแรกก็ว่าร่างกายผอมบางเหลือเกิน ผิวหรือก็ขาวจนบางคราวก็แลดูซีด พอมาวันนี้...ที่ผอมก็ผอมหนักขึ้น ร่างกายแลเบาลงไปราว 4 กิโลกว่า สีหน้าและสีตาก็ไม่สู้ดี ทำเอาเขายิ่งทำอะไรไม่ถูก...พยายามจะปรึกษาคนที่บ้าน พยายามจะหาของ หายาให้ทาน แต่สุดท้าย...ยิ่งนานก็ยิ่งอาการย่ำแย่

ที่เคยกลัว...ไม่กล้าถาม วันนี้แหละต้องถามให้ได้ จะเอาอะไร...ก็จะทำให้ทั้งนั้น

สนธยาล้างมือที่เคยเปื้อนคราบอาเจียนพร้อม ๆ กับความรู้สึกที่ตัดสินใจได้เด็ดขาด แม้จะรู้สึกเกร็ง...แต่สุดท้ายก็ทนไม่ได้ ต้องถาม...เพราะไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับคนที่นอนหมดเรี่ยวแรงอยู่ตรงหน้านี้

“ วา...บอกได้ไหมว่าตอนนี้กังวลอะไรอยู่ ? ”

ถาม...ถามไปแล้ว พลางพยายามมองดวงตากลมโตนั้นด้วยแววตาที่เยือกเย็นที่สุด ไม่อยาก...ให้ทิวาต้องรู้สึกเหมือนถูกคาดคั้นบังคับ

“ ไม่เป็นไร...จริง ๆ มันเป็นเรื่องที่บ้าน ไม่เกี่ยวกับนายหรอก... ”

“ แล้ว...เล่าให้ฟังบ้างได้ไหม ? ”

สนธยาค่อย ๆ ถาม รู้สึกเหมือนไม่ยอมรับ...กับความคิดของอีกฝ่ายที่คิดว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้

“ เรา...อยากกลับบ้าน แต่ว่า...ไม่มีเงินกลับ ถ้ากลับไปตอนนี้ก็ไม่มีเงินนั่งรถกลับมาสอบ แต่ว่า...คุณยายใหญ่ท่านไม่สบาย เราใจคอไม่ดีเลย...อยากกลับไป ”

ทิวาบอกหงอย ๆ ซึ่งเหตุผลข้อเดียวคือเจ้าตัวไม่มีเงินกลับบ้าน...เพราถ้ากลับไปแล้วก็คงกลับมาสอบไม่ได้ และสำหรับนักเรียนทุนนั้น เกรดและการวัดผลนั้นหมายถึงชะตากรรมทางการศึกษาในปีถัดไปเลยทีเดียว และเท่าที่สนธยารู้...ทิวาได้รับทุนจากเอกชน ไม่ใช่รัฐบาล ดังนั้นดูเหมือนทางผู้ให้ทุนจะพิจารณาจากผลการเรียนและเกรดที่ได้ออกมาเป็นหลัก

สนธยามุ่นคิ้วนิ่งอยู่พักหนึ่งจึงค่อยลุกขึ้นช้า ๆ พลางความโทรศัพท์มือถือโทรออก และเดินไปอีกด้านหนึ่ง

ทิวาได้ยิน...เสียงทุ้ม ๆ ดังสลับสูง ๆ ต่ำ ๆ อยู่ 2-3 ที ก่อนที่เจ้าตัวจะเดินอมยิ้มเข้ามาหา แล้วใช้หลังมือไล้ที่แก้มขาว ๆ นั้นเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง ๆ

เป็นยิ้มบาง ๆ ...แบบที่ทิวานั้นแสนจะเคยคุ้น

“ มะรืนนี้วันศุกร์...ไปกันนะ ออกรถกันตอนเย็นนี่แหละ เราโทรไปอ้อนลุงหัวหน้าคนงานที่บ้านให้แล้ว พ่อเราก็ไม่ได้ว่าอะไร...แค่จะขอรถวิ่งไปกาญจน์แล้วอยู่สักคืนคงไม่เสียหายอะไรหรอก ”

ไม่รู้...สนธยาคนใจร้ายหายไปไหน
ไม่รู้...ว่าทำไมถึงดีใจเหลือเกิน
ไม่รู้...ว่าทำไมถึงได้ร้องไห้แล้วกอดคนตรงหน้าไว้จนแน่นพลางพร่ำขอบคุณซ้ำ ๆ จนนับครั้งไม่ถ้วนโดยไม่นึกอาย

รู้สึกก็แต่ว่า...ภาพที่คนตัวใหญ่ตรงหน้าเคยแลดูใจร้ายเหลือเกินนั้น

...มันได้หายไปแล้ว




ราตรีประดับดาว16
โดย:ทิวารา

สงสัย...แล้วก็สับสนตัวเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตัวเขาเปลี่ยนนิสัยจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่และไม่รู้ด้วยว่าเพราะอะไรถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้ รู้...ก็แต่ว่า แต่ก่อนตั้งแง่ใส่อีกฝ่ายว่ามันแปลก มันเงียบ มันไร้มนุษยสัมพันธ์มากที่สุดเท่าที่เคยพบเคยเจอ

แต่ตอนนี้...เพราะใจอ่อน เพราะเผลอ ก็เลยได้เข้าใกล้...ได้เรียนรู้ว่าในความแปลกนั้นคือความอ่อนโยน คือความเป็นจริงเสียกว่าใครที่ไหน ได้รู้ว่าคนตัวเล็กพูดน้อยนั้นแม้ว่าจะพูดน้อยแต่ก็โกหกไม่เก่ง และได้รับรู้และเข้าใจเสียใหม่ ว่าความเป็นจริงที่ว่าการทำเฉยมันก็เสมือนจะบอกให้รู้ว่าอายที่จะพูด ไม่กล้า...ไม่มั่นใจ รึบางครั้งก็คือ...เกรงใจ

“ ลูกชุบอีกไหม ? ”

สนธยาถามพลางยื่นลูกชุบที่เสียบด้วยส้อมเล็กเข้าหาคนที่ทำตาโตบ้องแบ๊ว ก่อนที่จะทำหน้างงน้อย ๆ แล้วหันไปมองกองกล่องโฟมข้าง ๆ คล้าย ๆ กับจะเป็นการอุทธรณ์

พอหายเครียด...อาการที่เหมือนจะคลื่นไส้อยากอาเจียนก็หายตามไปด้วย ดังนั้นพอเขารู้สึกว่าทิวาเริ่มกินอะไร ๆ ได้ เขาก็รีบขนของกินมาชนิดนับอย่างไม่ถ้วน ชวนกินโน่นกินนี่จนกองกล่องโฟมเปล่าซ้อนเรียงกัน 4 – 5 กล่องได้

“ พอแล้ว...คนนะ ไม่ใช่ไก่งวง ”

เสียงเล็ก ๆ บ่นพลางพยายามเก็บจานชามซ้อนกันแล้วเดินตรงไปยังอ่างล้างจาน

“ ใครว่าเหมือนไก่งวง...อย่างนายน่ะมันเหมือนแมวมากกว่า ”

จากที่ก้มหน้าก้มตาล้างจาน เจ้าตัวก็หันมามองแปลก ๆ ก่อนจะหันกลับไปล้างจานต่อ แต่...สนธยากลับนึกรู้ ว่านั่นเป็นอาการไม่พอใจน้อย ๆ ที่ถูกเปรียบกับแมว ทำให้คนตัวสูงหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะคว้าลูกชุบเข้าปากซะเองคล้ายไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร

// โกรธ...งอน แต่ไม่พูดแบบนี้จะให้ทำไงล่ะ ถึงจะรู้...จะอ่านท่าทางออกว่างอน แต่จะให้พูดอะไรได้ล่ะ ? //

เขาหัวเราะ...รู้สึกตัวได้ว่าตั้งแต่รู้ตัวว่าได้เปิดใจใกล้ชิดอีกฝ่ายไปแล้วนั้น การเรียนรู้ซึ่งกันและกันก็ค่อย ๆ เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในทุก ๆ เรื่อง รู้...จนจับได้ไล่ทันว่าตอนไหนอีกฝ่ายรู้สึกแบบไหน

// แต่ก่อนรู้สึกแต่ว่าทิวาทำหน้านิ่ง...แล้วก็ไม่พูดไม่จามันทำให้เดาอารมณ์ลำบาก แต่พอมาตอนนี้...ถึงได้รู้ว่าไอ้ที่เคยบ่นว่าดูยากน่ะจริง ๆ แล้วมันง่ายกว่าคนอื่น ๆ รอบตัวเป็นไหน ๆ //

โกหกไม่เก่ง...ถ้าจับทางได้แล้วก็จะรู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นธรรมชาติกับการแสดงออกตามความรู้สึกแท้ ๆ ขนาดไหน

ทิวานั้น ทำอะไรผิดก็จะทำหน้าสำนึกผิดแล้วก็จะรีบขอโทษทันที...ต่างจากตัวเขาที่ก่อนหน้านี้ขนาดตัวเองทำผิดยังเฉไฉไปได้เรื่อย แล้วก็ไม่กล้าขอโทษอีกฝ่ายอีกต่างหาก

แล้วก็...โกหกไม่เก่งชอบทำ อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ถามอะไรก็ใช้วิธีเงียบไว้ก่อนในเวลานึกคำพูดไม่ออก...แต่ดวงตากลม ๆ คู่นั้นกลับอยู่ไม่สุข ไม่พยายามหันมามองหน้าเขาเลย มองเพียงแค่นั้นก็จะจับได้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังพยายามเฉไฉโกหก ทั้ง ๆ ที่ไม่แนบเนียนเอาซะเลย

“ วา...ยาเคลือบกระเพาะทานรึยัง ? อย่าลืมกินนะ ”

“ หายแล้ว...จะกินทำไม ? กินอะไร ๆ ไปตั้งมากมายยังงั้นยาเคลือบกระเพาะคงไม่ต้องแล้วละ ”

คนตัวเล็กตอบ...พลางทรุดลงนั่งทำท่าโงน ๆ เงน ๆ เหมือนคนง่วงนอนเต็มที่ แต่สนธยาก็เข้าใจ...เพราะเมื่อกลางวันมีชั่วโมงวอลเลย์ที่อีกฝ่ายไม่ค่อยถนัด เลยทำให้เหนื่อยพอสมควร จนตอนนี้ทิวาที่พยายามนั่งกางตำราอ่านหนังสือนั้นก็อยู่ในสภาพที่แทบจะจะล้มลงหลับแหล่ไม่หลับแหล่

“ นอนเถอะ...หนังสือน่ะอ่านตอนง่วงไปก็จำอะไรไม่ได้หรอก ”

เขาคว้าหนังสือจากมือเล็ก ๆ ก่อนที่จะสอดแขนรั้งคนดื้อ ๆ ลุกขึ้นจากพื้น แล้วหิ้วไปที่เตียงนอนอย่างง่ายดายราวกับหิ้วตุ๊กตายัดนุ่นตากลม ในขณะที่คนถูกหิ้วกลับร้องเสียงหลง

“ เอ๊ย!! ปล่อย...ทำอะไรเนี่ย!! ”

“ นอนไปเลย...ตาจะปิดแล้วยังจะอ่านหนังสืออีก ง่วง ๆ น่ะ...อ่านไปทำไม อ่านไปก็ไม่ไหลซึมเข้าสมองหรอกน่า ”

สนธยาบ่น ๆ ก่อนที่จะวางร่างคนตัวเล็กลงกับเตียงแล้วกางผ้าห่มคลุมทับร่างนั้นว่องไว ทำเอาทิวาเหมือนคนยอมแพ้...เพราะง่วงก็ง่วง แถมลุกขึ้นไปก็คงโดนหิ้วปีกจับมานอนอยู่ดี เลยไม่รู้จะตะเกียกตะกายลุกไปทำไม เพราะงั้นก็เลยเลยตามเลย...นอนก็ได้

แต่ก็ยังไม่วายบ่น...

“ เราไม่ใช่เด็ก...อย่ามาทำเหมือนเราเป็นเด็กแบบนี้อีกนะ ”

ตัวเล็กที่โดนคุณชายตัวสูงห่มผ้าเซอร์วิสให้อย่างดีบ่นอย่างไม่ค่อยพอใจ

สนธยามองคนตัวเล็ก...ตากลม ๆ ที่กำลังตะกายถอดแว่นเอื้อมไปวางที่ข้างหมอน พร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำเบา ๆ ในลำคอ ในขณะที่ทิวาพยายามลูบผมของตัวเองที่ชี้โด่ชี้เด่จากการถูกหิ้วมากองกับเตียงไปพลางอาการบ่นน้อย ๆ

คนตัวสูงค่อย ๆ ปิดสวิทช์โคมไฟหัวเตียงแล้วยิ้มอ่อน ๆ ในความมืดที่แสงสีภายในห้องขับให้ทิวามองเห็นใบหน้าคมเข้มนั้นเพียงราง ๆ สนธยาค่อย ๆ แตะหลังมือกับแก้มของคนตัวเล็กเหมือนกับที่ชอบทำอยู่บ่อย ๆ ในระยะหลัง ๆ ก่อนที่เสียงทุ้ม ๆ นั้นจะเอ่ยกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ในความมืด

“ นาย...เหมือนเด็ก เหมือนแน่ ๆ ...เรารู้สึกเหมือนจะชอบทำแบบนี้กับนายจังเลยวา รู้สึกเหมือนนายเป็นเด็ก...แล้วเราก็อยากดูแล ”

คนตัวสูงว่าพลางทรุดลงนั่งลงตรงขอบเตียง ในขณะที่ทิวาทำหน้างอน้อย ๆ ในความมืด

“ ไอ้...บ้า เราไม่ใช่...อายุก็เท่ากันนั่นแหละ!! อย่ามามั่วนะ ”

// ดู...ขนาดจะด่า ทิวายังนึกคำไม่ออก ด่าก็เหมือนไม่ด่า แต่จะว่าก็ไม่ได้...อยู่กับคุณยายคนแก่ ๆ คงไม่เคยต้องด่าอะไรกับใคร แต่จะว่าไป แบบนี้ก็น่ารักดี //

“ แต่ก็...ขอบใจน้อ ที่ช่วยเหลือมาตลอดหลายวันมานี้...เราขอบคุณ...นะ ”

อึกอัก...ตะกุกตะกัก แต่...น่ารักเหลือเกิน!!

สนธยาหัวเราะเบา ๆ กับอาการน่ารัก ๆ ที่แม้ว่าจะเห็นไม่ชัดในความมืด...แต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความเขินของคนตาโต

“ อือ ไม่เป็นไร...ไม่ต้องคิดมากหรอกน่า เอาละ นอนได้แล้ว...เด็กดื้อ ”

มือที่เคยไล้อยู่ที่ข้างแก้มนั้นค่อย ๆ แนบสัมผัสประคองไว้น้อย ๆ ก่อนที่คนตัวสูงจะค่อย ๆ ก้มลงแตะริมฝีปากอุ่น ๆ ลงกับหน้าผากมน ๆ นั้นเบา ๆ

“ ...ฝันดี เด็กน้อย ”

สนธยาพูดเพียงแค่นั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังฟูกของตนเองที่กางไว้ที่มุมห้อง ก่อนจะล้มตัวลงนอน...เงียบสนิท

แต่...ในความเงียบสนิทนั้น ไม่ได้เงียบสงบไปซะทีเดียว เพราะ...คนที่นอนบนเตียงนั้นอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่มองตามไหล่หนา ๆ เดินไปล้มตัวลงนอนบนฟูก

ในขณะที่...คนที่ล้มตัวลงนอนบนฟูก แล้วหันหลังให้คนบนเตียงนั้นกลับแตะริมฝีปากของตนเองในความมืด ก่อนที่จะก่นด่าตัวเองอยู่ในใจทั้ง ๆ ที่ถูกความรู้สึกแปลก ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อนเข้าจู่โจม ทำเอาตัวสนธยาเองแทบนอนไม่หลับ

// เฮ้ย!!...นี่เราไปทำอย่างงั้นทำบ้าอะไรวะ... //



ราตรีประดับดาว17
โดย:ทิวารา

คนตัวนั่งยองข้างเตียงนอนพลางกลั้นหัวเราะอย่างสุดกำลัง ในขณะที่คนตัวเล็กขี้เซากำลังนอนหลับ...แถมดิ้นไปดิ้นมาจนอยู่ในสภาพที่เขาแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้

ทิวานอนหลับสบาย ในขณะที่นอนกอดหมอนข้าง...ขดจนตัวกลมในขณะที่ผ้าห่มถูกพันไว้รอบเอวเล็ก ๆ นั้น คนนอนหลับสนิทขดตัวจนเนื้อที่บนเตียงว่างเกือบครึ่งนั้นมักจะบ่นว่าเมื่อยหลังบ่อยครั้งเมื่อนั่งอยู่ในห้องเรียน

ก็จะไม่เมื่อยได้ยังไง...ในเมื่อนอนขดซะจนตัวกลมขนาดนี้

เจ้าตัวคิดอย่างขำ ๆ พลางใช้นิ้วจิ้มแก้มนิ่ม ๆ นั้นซ้ายทีนึง...ขวาทีนึง จนคนนอนกำลังสบายถึงกับละเมอหันหนีไปหนีมา หน้าตาเหมือนจะบ่นน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ดวงตากลม ๆ ยังปิดสนิทอยู่เช่นเดิม

ยิ่งแหย่...ก็ยิ่งมีเสียงครางอือ ๆ เบา ๆ แล้วเมื่อยิ่งแหย่...สนธยาก็ยิ่งมันเขี้ยว ยิ่งมันเขี้ยวก็เลยยิ่ง....

“ วา...จะ7โมงแล้วนะ ตื่นเร็ว ”

“ อือ...... ”

คนตัวเล็กคราง...ก่อนจะซุกหน้าลงกับหมอนข้าง ทำเอาเขาชักมันเขี้ยวเข้าไปทุกที ๆ ...สนธยายิ้มพลางยักคิ้วแผลบนึง ก่อนที่จะก้มลงหอมแก้มแรง ๆ จนคนที่นอนหลับอยู่อย่างสบายอกสบายใจถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นทันที

“ เฮ้ย...ไอ้...ไอ้บ้า ทำ...ทำอะไรเนี่ย!! ”

“ ก็นอนขี้เซาเองนี่นา...ช่วยไม่ได้ เห็นแล้วมันน่าแกล้ง ”

คนตัวสูงยกมือหนา ๆ ขึ้นยีผมคนตัวเล็กที่พึ่งตื่นนอนก่อนจะรีบหลบมือเล็ก ๆ ที่เหวี่ยงเข้าใส่ แล้วสุดท้ายจึงหัวเราะดัง ๆ เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ ทำเอาทิวาได้แต่นั่งทุบหมอนดังปั่ก ๆ อยู่หลายหนด้วยความเจ็บใจ

เจ้าตัวพยายามลูบผมที่ชี้โด่ชี้เด่อย่างหงุดหงิดน้อย ๆ ก่อนที่คนตัวเล็กตากลมจะนั่งนิ่ง...ยกมือขึ้นแตะแก้มตัวเอง รู้สึกราวกับใบหูร้อนน้อย ๆ ทบทวนรอยสัมผัสแล้วก็ให้รู้สึกสับสน...ไม่เข้าใจ

“ หมอนี่...ทำบ้าอะไรกันเนี่ย ”

กลับกัน...คนที่ตัวเปียกซกอยู่ในห้องน้ำก็ได้แต่อาบน้ำไปยิ้มไปกับตัวเอง และเมื่อดวงคม ๆ สบกับดวงตาของตัวเองในกระจกแล้วก็ยิ้มให้...เป็นสุข

// ไม่รู้ว่าทำไมอยากทำแบบนั้นนัก...รู้แต่ว่าตัวมันหอม แก้มมันก็หอม ตัวนิ่มด้วย...เวลาจับก็รู้สึกอยากลากมากอดแน่น ๆ ชอบ...เวลามันงอน เวลาวาโกรธตามันเป็นประกายแวววาว ปากมันเม้มน้อย ๆ มองดูแล้ว...น่ารัก //

สายน้ำสัมผัสผิวเนื้อ...แต่ใจไม่รู้สึกถึงความเย็น ในใจ...สนธยารู้สึกถึงความสุขสงบแลอบอุ่นแปลก ๆ ที่เคยคุ้น

เมื่อคืนเขานอนคิดอยู่นาน...เขารู้ว่าเขาทำตัวแปลก เขาทำเหมือนมันเป็นเด็ก เขาชอบดูแลมันนัก ชอบทำเหมือนมันเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ น่ารัก...แต่ไม่ชอบดุมันบ่อยนักเพราะไม่ชอบที่จะนึกถึงตอนมันร้องไห้

เขาชอบแตะตัวมัน...ชอบมองดู ชอบอ่านสีหน้าที่ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเวลาที่มันอ่านหนังสือแล้วไม่เข้าใจจนปั้นหน้ายู่ยี่

และทั้ง ๆ ที่ตัวเขาไม่ชอบให้ใครมาใกล้ชิดนัวเนียมากมายเพราะตัวเขาเองเป็นคนขี้รำคาญมาแต่ไหนแต่ไร แต่...ทำไมเวลาที่คนตัวเล็กเว้นระยะกับเขานั่น เขากลับไปยุ่งวุ่นวายกับทิวาเสียเอง นัวเนียเสียเอง

“ อ้าว...เวร ลืมเอาผ้าขนหนูเข้ามาด้วยซะอีก!! ”

มัวแต่คิดเพลิน ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าลืมผ้าเช็ดตัวก็ตอนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วนั่นแหละ สนธยาจำต้องสวมกางเกงนอนขายาวออกมาจากห้องน้ำทั้ง ๆ ที่ร่างกายชุ่มโชก ทำเอากางเกงจากชุดนอนเปียกลู่ไปกับท่อนขายาว ๆ ในขณะที่เจ้าตัวได้แต่หิ้วเสื้อนอนติดมือออกมาโดยไม่ได้สวม

“ หงะ... ”

คนตัวเปียก...ใส่กางเกงนอนขายาวบาง ๆ ตัวเดียวเดินฉับ ๆ ออกมาจากห้องน้ำทำเอาทิวาผงะไปไม่น้อย เมื่อเห็นว่าการที่คนตัวเปียกสวมแต่กางเกงนอนออกมานั้นแทบไม่มีประโยชน์เลย เมื่อความเปียกชื้นนั้นทำเอากางเกงนอนเนื้อบางเปียกลู่จนเนื้อผ้าดูบาง...แลได้ไปถึงไหน ๆ

“ โทษที ๆ อาบนานไปหน่อย วาเข้าไปอาบเลยนะเดี๋ยวจะสาย...ไปโรงเรียนไม่ทัน ”

“ อะ...อือ เอ่อ...แล้วเย็นนี้เอาไง จะกลับมาก่อนแล้วค่อยเตรียมเสื้อผ้า รึว่าให้เตรียมใส่เป้ไปโรงเรียนด้วยเลย ? ”

คนที่กำลังคว้าผ้าขนหนูมาเช็ดตัวจะหันมาตอบง่าย ๆ แต่ก็ต้องชะงัก...

“ เอาใส่เป้ไปเลย เพราะเราให้คนขับรถเค้าไปรับที่โรงเรียน...เลย ....อ่ะ เอ่อ ”

พูดไม่ออก...เพราะหันมาตอบแล้วเห็นคนตัวเล็กยืนหน้าแดงเอาผ้าขนหนูปิดหน้า คิดได้แบบนั้นก็ค่อยก้มลงมองตัวเอง...ถึงได้รู้วว่ากางเกงนอนเปียก ๆ มันเปียกลู่ไปกับท่อนขาของเขาเสียจนน่าหวาดเสียว

“ อะ...ทะ...โทษที กางเกง ๆ กางเกงอยู่ไหนวะ ”

ทิวาหนีเข้าห้องน้ำ...ยืนอึ้งกับกระจกในห้องน้ำอยู่นาน หัวใจเต้นโครม ๆ เหมือนคนกำลังวิ่งมาราธอน สมองวิ่งฉิวแต่มันก็ขาวโพลน รู้แต่ว่าเมื่อครู่นั้นตัวเขาเหมือนจะอายจนทำอะไรแทบไม่ถูก แต่...ไอ้จะให้โวยวายเรื่องแบบนี้กับผู้ชายด้วยกันก็คงประหลาด เลยได้แต่ยกผ้าขนหนูขึ้นปิดหน้าเสียอย่างนั้น

“ ...หมอนั่นไม่ใช่สาว ๆ นะ ทำไมเราต้องไปอายยังงั้นด้วยเนี่ย!! ”

เออ...แปลกดี สนธยามันหนุ่มนะไม่ใช่สาว ๆ แล้วเขาจะไปตื่นเต้นทำไมเนี่ย!!

ทิวาได้แต่วักน้ำราดโครม ๆ ด้วยความอาย...ในขณะที่คนไม่ใช่ ‘ สาว ๆ’ ก็รีบสวมเสื้อผ้าเพราะก็อายไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก มันจึงเป็นเช้าที่สุดจะบรรยายเลยจริง ๆ ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?...เพราะต่างคนก็ต่างไม่เข้าใจ...และไม่เข้าใจพอกันทั้งคู่

=TBC=

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 25-11-2007 22:01:13
คุณสนในฝันจากไป คุณสนในความจริงก็ก้าวเข้ามา  :m13:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 25-11-2007 22:24:16
อ่านแล้วลุ้นต่อไป แต่กลายเป็นว่าพี่สนเป็นทวดซะงั้นอะ :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 26-11-2007 20:09:14
รู้สึกดีเหมือนกัน  ที่หลุดจากโลกแห่งความฝัน
วาโชคดี  เจอคุณสนในโลกของความจริงแล้ว
แต่ยังแปลกใจอยู่ดีอะ  ว่าทำไมรูปร่างหน้าตาของสนในสองภพถึงคล้ายกันขนาดนี้
หรือ คุณสนกลับชาติมาเกิด  :a5:

รออ่านต่อจ้า  :m1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 26-11-2007 21:27:41
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 26-11-2007 22:18:11
ราตรีประดับดาว18
โดย:ทิวารา

คนที่เอาแต่ทำตัวยุกยิกมาตลอดทั้งวัน...บัดนี้นอนสงบอยู่ภายในรถโฟร์วิลที่ขับมุ่งไปยังบ้านของคนตัวเล็กที่กาญจนบุรี ในขณะที่สนธยาลอบมองคนที่นอนหลับเป็นระยะ ๆ สลับกับการอ่านหนังสืออ่านเล่นในมือ ซึ่งสำหรับคนปรกติแล้วคงไม่มีใครทำแบบนี้แน่ ๆ เพราะมันชวนให้เวียนหัวจะตายไป

เมื่อรถพ้นเขตถนนลาดยางเข้าสู่ช่วงที่เป็นหลุม รถก็โคลงเคลงจนเขาต้องไปโอบคนที่หลับมานอนพิงตนเองเอาไว้ เพราะถ้าปล่อยไว้...หัวเล็ก ๆ ก็มักจะโคลงไปกระแทกกับกระจกรถอยู่เป็นระยะ ๆ

“ ถึงแล้วครับ ตามแผนที่ๆเพื่อนคุณบอกเลยครับ ”

ลุงคนขับหันมาบอกกับเขาเมื่อพารถมาจอดอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เขาจึงค่อย ๆ ปลุกคนตัวเล็กขึ้นมาถาม จนเจ้าตัวโดดลงจากรถวิ่งเข้าไปหาเจ้าของบ้านด้วยความเคยชินนั่นแหละ เขาจึงได้สั่งให้ลุงคนรถ ขับเข้าไปจอดฝากในบ้านหลังนั้นได้

“ ผมฝากรถเพื่อนหน่อยนะป้านะ ”

ทิวาบอกเสียงแจ๋ว ๆ เหมือนไม่ใช่คนพึ่งตื่น...กับคุณป้าเจ้าของบ้าน ก่อนจะหันมาอธิบายให้สนธยาฟัง

“ บ้านเราน่ะ รถเข้าไม่ได้หรอก ต้องเดินกันไปเท่านั้นแหละ...ไหวไหม? ”

สนธยาหันไปถามลุงคนรถซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าสบายมาก ก่อนที่จะหันกลับมาพยักหน้าให้คนถาม ขณะที่เจ้าตัวเตรียมลากกระเป๋าเป้ซึ่งบรรจุเสื้อผ้าสำหรับค้างคืนแบกขึ้นบ่า

“ พอแล้ว...เอาไปแค่ของตัวเองใบเดียวพอ ส่วนที่เหลือเดี๋ยวเรากับลุงถือให้เอง ขืนแบกพะรุงพะรังเดี๋ยวเดินตกคันนาไป เราจะไปงมได้จากไหน มืดก็มืด ”

เขาดุ...ก่อนที่จะฉวยบรรดาข้าวของมาจากมือเล็ก ๆ แทบหมด ทิวาจึงได้แต่ขมวดคิ้วน้อย ๆ เดินนำไปตามทาง

ลมกลางคืนเย็นสบายอย่างไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์คลายร้อนใดใด แถมได้กลิ่นดินหอม ๆ เพราะดูเหมือนฝนพึ่งตกไปเมื่อตอนสาย ๆ ราวชัวโมงหนึ่ง ดังนั้นทางจึงไม่ค่อยแฉะ แต่ดินก็หอม...แลอ่อนนุ่ม

คนตัวเล็กเดินสบายอกสบายใจไปตามทางแคบ ๆ ที่เจ้าตัวเล่าว่ารถไถเข้าได้...แต่ถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะถึงช่วงที่รถไถเข้าไปไม่ถึง ดังนั้นทางช่วงแรกจึงค่อนข้างกว้าง เดินกำลังสบาย และสังเกตได้ว่าต้นหญ้าบนพื้นนั้นเว้นเป็นเส้นยาวขนานไปตามทางถึง 2 เส้น ซึ่งคาดว่าจะเป็นรอยที่รถไถวิ่งประจำ...ต้นหญ้ามันจึงไม่ขึ้น

“ เดี๋ยวพอถึงคันโน้นทางมันจะแคบแล้ว ระวัง ๆ หน่อยน้อ ไม่งั้นตกลงไปละจมโคลนมีหวังรองเท้าเละ ”

คนตัวเล็กที่เดินนำบอกก่อนจะพาเข้าเส้นทางที่แคบลง ซึ่งสนธยาต้องยอมรับเลยว่ามันเดินยากมาก นี่ถ้าทิวาไม่หยุดรอเป็นพัก ๆ ละก็ มีหวังเจ้าตัวคงเดินนำไปเป็นไม่รู้กี่ช่วงนา ส่วนลุงคนรถของเขาก็ค่อนข้างชินเนื่องจากเจ้าตัวเคยเล่าว่าที่บ้านก็ทำนาเหมือนกัน

จากบ้านที่ฝากรถไว้...เดินมาได้ราวชั่วโมงเจ้าตัวเล็กถึงได้ร้องเสียงใสด้วยความดีใจ

“ ถึงแล้ว...จะถึงแล้ว โน่นไง...เห็นแสงไหม เรือนโน้นแหละเรือนคุณยายใหญ่ ”

ในความมืดเขาแลเห็นเพียงเค้าโครงเรือนไทยหมู่เล็กและต้นมะขามใหญ่ โดยที่ข้างเรือนอีกด้านหนึ่งมีร่องน้ำค่อนข้างใหญ่ที่แลไปแล้วพบแต่บัวหลวงมากมาย มองดูงามจับใจยามอยู่ใต้แสงสว่างอ่อนบางงดงาม ไล้ไปตามกลีบใบของเหล่าบัวที่ลอยเต็ม

“ เสียดาย...ถ้าอยู่หลาย ๆ วันจะพาไปจับปูกับเต่า…จับเต่ามาหงายกระดองให้ร้องเพลงชมจันทร์น่ะสนุกนะสน ”

// เอ่อ...แบบนั้นเค้าเรียกรังแกเต่านะวา //

คนตัวเล็กบ่นเสียดาย ก่อนจะหิ้วของวิ่งตื๋อไปยังเรือนโดยแทบจะไม่รอคนข้างหลัง ท่าทางที่เคยเงียบขรึมมาก..กลับกลายเป็นเด็กน้อยจอมซนไปในทันใดที่เหยียบถึงบ้าน

“ แรก ๆ ผมว่าเพื่อนคุณดูเงียบ ๆ แต่พอตอนนี้ผมว่า...ดูแล้วท่าจะซนเอาการทีเดียวเทียวละ ”

ลุงคนขับรถพูดเดาได้ตรงใจเขาเสียละมาก จนพากันหัวเราะเจ้าบ้านเบา ๆ โดยไม่ให้รู้ว่าแอบ...นินทากันเล็ก ๆ

“ ยายยยยยย ยายจ๋า ยายอยู่ไหม ? หนูมาแล้ววววว ”

เสียงที่คุ้นเคยดังชัดเจนแจ่มแจ๋ว...จนสนธยาอดตกใจไม่ได้ เพราะคำพูดคำจาแลสรรพนามแทนตัวนั้นมันต่างจากตอนที่อยู่ที่โรงเรียนนั้นราวฟ้ากับก้นเหว

// สาบานนะว่านั่นเสียงวา... //

เจ้าตัวคิด...พลางเกาหัวแกร่ก ๆ เดินตามคนตัวเล็กขึ้นเรือนไป จนเจ้าของบ้านหันมารายงาน...ว่าคุณยายอยู่อีกเรือนหนึ่ง คืนนี้ไม่ได้มาค้างที่เรือนนี้ ก่อนที่คนรายงานจะวางข้าวของ...วิ่งตึง ๆ ไปยังห้องคุณยายใหญ่

“ เพื่อนเจ้าวาเหรอ ? ...วางของก่อนสิเรา กินอะไรมารึยัง ? ถ้าหิวประเดี๋ยวจะไปจัดมาให้จ้ะ ”

พี่คนที่ทิวาแนะนำว่าเป็นลูกสาวของคุณยายใหญ่ถาม ก่อนจะยกขันน้ำลอยมะลิมาส่งให้แล้วค่อยเดินหายเข้าไปในครัว และได้ยินเสียงถ้วยเสียงชามดังแว่ว ๆ ก่อนที่พี่สาวคนนั้นจะยกสำรับกับข้าวมาให้เขาและลุงคนขับรถ

“ ขอบคุณครับ... ”

“ พี่ตกใจมากเลยนะ...เพราะนาน ๆ ทีวาจะมากับเพื่อน คนก่อนเห็นชื่อภูริ...รู้จักกันรึเปล่าจ๊ะ ? ”

สนธยายิ้มบาง ๆ ก่อนจะพยักหน้า...พลางรับจานข้าวที่พี่สาวคนนั้นส่งให้ ก่อนจะส่งช้อนอีกคันนึงแบ่งไปให้ลุงคนขับรถพร้อมถ้วยซึ่งเต็มไปด้วยข้าวหอมร้อน ๆ

“ ภูรินั่นก็เพื่อนกันครับ...เอ่อ ว่าแต่...วาเค้าไปไหนแล้วละครับ ”

“ ห้องทางโน้น สุดทางนั่นเป็นห้องนอนคุณยายใหญ่จ้ะ วาติดคุณยายใหญ่จะตายจ้ะ นี่คงรีบวิ่งไปหาท่านน่ะแหละ ”

คุยกันไปได้พัก...สนธยาถึงพึ่งรู้ว่าลูกสาวคุณยายใหญ่คนนี้ชื่อนุช เธอเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนใกล้ ๆ นี้ ส่วนคนอื่น ๆ นั้นอยู่บ้านใกล้ ๆ กันนี้ ซึ่งตอนนี้ก็ตกทุ่มกว่าแล้ว...ทุกคนจึงกลับไปกันหมดแล้ว

“ ปรกติวาจะมาทุกวันละจ้ะ คุณแม่ท่านก็รักของท่านคนเดียว พี่เองยังโดนดุประจำ...ยกเว้นแต่ตาวานี่แหละที่ท่านจะใจดีด้วย แต่ว่าพี่เองก็เข้าใจ...เพราะตาวาแกเป็นเด็กนิสัยดี ญาติ ๆ ก็รักกันทุกคน ”

“ จะมาทีหนึ่งก็ต้องเดินกันเป็นนา ๆ แบบนี้เหรอครับ ไม่เหนื่อยแย่เหรอ ? ”

คุณนุชเพียงยิ้ม แล้วก็สายหน้าน้อย ๆ จนกระทั่งทิวาวิ่งมา...เธอจึงหันไปทักทายเจ้าตัวเล็กจอมซน ซึ่งบัดนี้ถอดแว่นไปเรียบร้อยแล้ว

“ สนนอนห้องวาก็ได้...ลุงนอนด้วยกันไหมครับ ? ”

ทิวาหันไปถามลุงคนขับ ในขณะที่คุณนุชเธอแย้งกลาย ๆ พลางหัวเราะน้อย ๆ

“ ห้องเราน่ะไม่ใช่กว้างนะตาวา...นอน 2 คนก็ว่าเบียดกันแล้วนะ จะให้คุณลุงไปเบียดอีกคนละก็ปลากระป๋องแล้วละตาหนูเอ๊ย ”

“ พี่นุช...อย่าเรียกวา ว่าตาหนูซิพี่ อายนะครับแบบนี้อ่ะ ”

ทิวาทำท่าห่อปากน้อย ๆ ในขณะที่คุณนุชเธอหัวเราะ เมื่อคนตัวเล็กโวยวายอย่างเขิน ๆ พร้อมกับใบหน้ากลม ๆ นั้นซับสีเรื่อน้อย ๆ

// น่ารัก...มาก ๆ เลย //

พอคิดได้แบบนี้แล้วไพล่ไปอิจฉาภูริ...ที่เจ้าตัวได้มีโอกาสมาเห็นทิวาในแบบที่เขาได้เห็นวันนี้ก่อนตัวเขาเสียอีก คิดไปคิดมาได้อย่างนั้นแล้วชักติดเคืองภูริหน่อย ๆ อย่างไม่มีสาเหตุ

“ เดี๋ยวผมนอนตรงระเบียงนี่ได้ไหม ? ผมเองก็ไม่ได้กลับบ้านนอกนานเป็นปีละครับ เห็นระเบียงลมน่าสบาย คิดว่านอนตรงนั้นคงได้ละครับ ”

“ ลมแรงอยู่นะ...ยุงคงไม่หาม นอนสบายเทียวละลุง เพราะยุงมันบินสู้แรงลมไม่ได้แน่ ๆ ลมแรงแบบนี้อ่ะ ”

คนที่ทำหน้าบู้บี้อยู่เมื่อครู่ชักมีทีท่าเห็นด้วยกับไอเดียลากเสื่อไปนอนระเบียงของลุงคนขับ ในขณะที่คนตัวสูงต้องรีบปรามเพราะเห็นว่าไอเดียนี้คงไม่ดีสำหรับทิวาเท่าไหร่เพราะทิวาพึ่งจะหายป่วยไปหยก ๆ เลยทำให้คนตัวเล็กค้อนกลับปะหลับปะเหลือก

“ เราไปนอนห้องวา...ช่วยดูคุณยายใหญ่กันก็ได้ เห็นพี่นุชว่าเฝ้าคุณยายท่านมาหลายคืน คืนนี้เรามาผลัดไปดูแลท่านแทนพี่นุชกันดีกว่านะวา ”

สนธยาเสนอ...ทำเอาที่เคือง ๆ เพราะถูกขัดคอเมื่อครู่นั้น กลายเป็นอารมณ์ดียิ้มแฉ่งขึ้นมาได้...เหมือนเด็ก ๆ ไม่มีผิด

“ งั้น...สนนอนกับวาละกัน ห้องวาอยู่ข้างห้องคุณยายใหญ่พะดีเลย ”

คนตัวเล็กสรุป...ก่อนที่จะยิ้มแฉ่งให้คนตัวสูงกว่าจนตาหยีแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนสักครั้ง ทำเอาคนที่เจอเรื่องแปลกใจตั้งแต่มาถึงยิ่งตกใจกันเข้าไปใหญ่

// เอ่อ...จะผิดไหมถ้าเราจะคิดลึกกับคำนี้เนี่ยวา แถม...อย่าดิ ถอดแว่นแล้วยิ้มน่ารักแบบนี้ได้ไงล่ะ!! ขี้โกงงงงงง แบบนี้เราก็แย่น่ะสิวา!! //

สนธยาได้แต่ร้องบ่นในใจ...ในขณะที่เจ้าตัวเล็กตากลม ๆ นั้นกลับไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย

// น่ากอด...ถ้ากอดมันนอน มันจะโวยวายไหมนะ เจ้าตัวเล็กคนนี้น่ะ //

สนธยาถามตัวเองในใจอย่างสงสัย...ก่อนที่จะมองอีกฝ่ายจัดการกับอาหารตรงหน้า และมอง...ดวงตากลม ๆ แย้มยิ้มกับพี่นุชอย่างสดใส สิ่งเหล่านี้ทำให้สนธยามีความสุข และไม่รู้ตัวเลยว่า ตนเองชักจะคิดอะไร ๆ เลยไปทุกที ๆ

อย่างเมื่อแรกว่าเผลอหอมเพราะมันเขี้ยว...แต่พอจากนั้นเขากลับทำแบบนั้นไปเรื่อย เพราะรู้สึกว่าคนตัวเล็กนั้นน่ารัก น่าหอม...แก้มก็นิ่ม และเพราะอย่างนั้นก็ไม่นึกห้ามตัวเองอีก จนมาตอนนี้...ชักอยากกอด อยากนอนกอด...ถึงมันจะละเมอน้ำลายยืดใส่เขาเหมือนตอนนั่งมาในรถนั่นเขาก็ยอมละวะ

// วา...นายทำให้เราแปลกเข้าไปทุกทีแล้วว่ะ //

เขาคิดกับตัวเอง ก่อนที่จะเดินตามคนตัวเล็กไปยังห้องนอน โดยหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าตามไปด้วยพร้อมรอยยิ้มและความคิดวุ่นวายอยู่ฝ่ายเดียวที่วนเวียนเต็มสมองนั้น






ราตรีประดับดาว19
โดย:ทิวารา

ทิวาเดินนำหน้า...พาสนธยาไปยังห้องนอนอีกห้องหนึ่งซึ่งเลยออกไปจากห้องนอนห้องเดิม เนื่องจากห้องเดิมนั้นไม่มีหน้าต่าง แล้วเรือนนี้ก็ไม่มีพัดลม ทิวาจึงตัดสินใจพาคนตัวหนาย้ายไปนอนกันอีกห้องหนึ่งซึ่งอยู่เยื้องไปจากห้องเดิมแทน

“ ห้องนี้มีระเบียง ลมพัดเย็นดี ”

สนธยาเพียงพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มบาง...ก่อนที่คนตัวเล็กจะครึ่งลากครึ่งจูง พาเดินไปที่ห้องคุณยายใหญ่ด้วยกัน

“ ไปหาคุณยายกัน... ”

“ เอ๊ย!!! จะดีเหรอวา... ”

จะค้านก็ไม่ทันซะแล้ว...เพราะถูกลากมาถึงที่พอดี ทิวาค่อย ๆ เคาะเบา ๆ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องเข้าไปช้า ๆ ด้วยท่าทางสงบเสงี่ยมราวกับอาการซุกซนเมื่อครู่เป็นเหมือนภาพลวงตาเท่านั้น

ทิวาค่อย ๆ พาคนตัวสูงทรุดลงข้าง ๆ เตียงซึ่งมีคุณยายใหญ่นอนเอนกายอยู่ คนตัวเล็กยิ้มหวาน...แบบที่สนธยาไม่เคยเห็นมาก่อน พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและซุ่มเสียงเบาแสนเบา

“ แม่คุณของผม...คนนี้ไงที่วาบอกว่าอยากให้มาเจอ ”

สนธยาผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวค้อมไหล่ลงพลางยกมือไหว้อ่อนน้อม...แต่กลับกันคุณยายใหญ่กลับพยายามลุกขึ้นจากท่านอน ดวงตาของผู้มากวัยรื้นด้วยหยดน้ำน้อย ๆ จนสนธยามองแล้วใจไม่ดีขึ้นมาทันที

“ พ่อคุณเอ๋ย...กว่าจะมาตามสัญญา ทำเอาคิดว่าคงไม่มีบุญได้อยู่รอพบคุณท่านเสียแล้ว ”

// ทำคนแก่ร้องไห้...บาป ต้องบาปแน่ ๆ ...ทำไงดี ? ทำไงดีละทีนี้ ? //

สนธยาเริ่มมือไม้พันกันยุ่ง...ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้แค่ว่าดูเหมือนตนเองจะเป็นคนทำให้คุณยายร้องไห้ พยายามจะปลอบ...แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่เขยิบกายเข้าใกล้ตามแรงรั้งน้อยนิดของผู้สูงวัยก่อนที่เจ้าตัวจะถูกคุณยายใหญ่กอดไว้...

“ พ่อคุณเอย...ฝากตาวาด้วยนะคุณ ”

คุณยายพูดก่อนจะยิ้มให้บาง ๆ ...ก่อนจะหันไปบอกให้หลานชายตัวเล็กไปเปิดตู้มุมห้อง แล้วหยิบกล่องไม้เล็ก ๆ ออกมาให้

“ วา...กล่องนี้คุณสนฝากไว้ มันเป็นของหนู...รับไปเถอะ แล้วก็นี่...กุญแจ ”

คุณยายวางกุญแจเล็ก ๆ ที่ใช้ไขล็อคของกล่องนั้นลงบนมือเล็ก ๆ ของหลานชาย ก่อนที่จะหันไปยิ้มให้สนธยาซึ่งยังรู้สึกงง ๆ ด้วยรอยยิ้มบาง ๆ

“ ในเมื่อกลับมาแล้วก็ให้กันกับมือด้วยตนเองเถอะนะ ”

ในใจสนธยาเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจต่าง ๆ นานา ไม่รู้ว่าสิ่งที่คุณยายของทิวาพูดมันหมายความว่าอะไรกันแน่...แต่สิ่งเดียวที่ติดในใจก็คือกล่อง

กล่องไม้ใบใหญ่กว่าฝ่ามือเพียงนิดเดียวและกุญแจอยู่ในมือของทิวา โดยที่สนธยามีทีท่าสนใจมันอย่างเห็นได้ชัด เพราะคนตัวสูงเหมือนรู้สึกเคยคุ้นกับมันเหมือนประหนึ่งเคยได้ครอบครองมาก่อนไม่ตอนใดก็ตอนหนึ่ง แต่เขาก็ตอบไม่ได้ว่าเมื่อไหร่กันแน่

“ เปิดดูดีไหมสน ? ”

“ ละ...แล้วแต่วาเถอะ ”

ขณะที่อยู่กันสองคนภายในห้องนอนซึ่งมีลมพัดเย็นสบายมาจากระเบียง จู่ ๆ ทิวาก็เอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าสนธยามีท่าทางสนใจเจ้ากล่องที่เขาได้มาอย่างเห็นได้ชัด

“ เปิดก็ดี...เราก็อยากรู้น่ะสนว่าอะไรอยู่ในนี้ ”

ว่าอย่างนั้นแล้วเจ้าตัวก็ค่อย ๆ หยิบกุญแจดอกเล็กมาไข...จนเกิดเสียงโลหะดังกริ๊ก แล้วมือเล็ก ๆ นั้นจึงค่อยเปิดฝากล่องขึ้นช้า ๆ อย่างเบามือ ดวงตากลม ๆ ไม่ได้มีแววว่าจะใส่ใจถึงอะไรที่อยู่ภายใน แต่เมื่อฝากล่องเปิดออกเพียงเท่านั้นคนตัวเล็กก็เบิกตาโพลงก่อนจะคว้าของชิ้นนั้นขึ้นมาด้วยความตกใจ

“ พี่สน... ”

ร้องไห้...เจ้าตัวเล็กของเขาร้องไห้

นึกได้เพียงนั้นสนธยาก็นิ่วหน้านิ่ง ก่อนที่จะค่อยสังเกตเห็นของที่อยู่ในมือของคนตัวเล็ก ซึ่งทิวาถือมันพลางใช้ปลายนิ้วไล้ไปมาอย่างอ่อนโยนราวกับมันเป็นของที่เปราะบางเหลือเกิน

แหวน...บังหลวงวงน้อย พี่สนเคยให้ไว้ในคืนหนึ่งที่หลับฝัน ไม่เคยนึกเลยว่าแหวนวงนี้จะมีอยู่จริง ๆ

ในขณะที่ทิวากำลังดีใจ...กลับกันสนธยารู้สึกเหมือนตัวเองหัวหมุน เหมือนเรือนไหว...โคลงไปมาตามแรงลมอย่างไรอย่างนั้น คนตัวสูงพยายามเงยหน้า แต่พอดวงตามองไปยังดวงจันทร์ที่ทอแสงเต็มดวงด้วยลำแสงสีนวลชวนมอง เพียงเท่านั้นเองสมองของสนธยาก็เหมือนจะถูกน้ำพัดวน เหมือนดูหนังขาด ๆ เกิน ๆ เหมือน...........คลื่นความรู้สึกที่มองไม่เห็น หาที่มาที่ไปไม่ได้มันผุดขึ้นมาในสมองนั้น

เหมือนสับสน...สมองไม่สั่งงาน

เหมือน...มีใครอีกคนหนึ่งอยู่ข้างใน แล้วสิ่งที่คิดในใจก็มีเสียงถึง 2 คน ทั้งตัวเขา...และใครก็ไม่รู้อีกคนหนึ่ง!!!!

เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในวินาทีเดียวแล้วมันก็หยุดลงทันที ทิ้งไว้แต่เสียงของใครอีกคนหนึ่งดังลั่นในสมองเป็นประโยคสุดท้ายก่อนที่ทุกอย่างในสมองจะสงบนิ่ง...คืนสู่สภาพปรกติ!!

// พี่รักเธอเหลือเกิน ทิวาน้อยของพี่เอย...//




หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 26-11-2007 22:19:27
ราตรีประดับดาว20
โดย:ทิวารา

“ พี่รักเธอนัก...ทิวาน้อยของพี่เอย ”

ริมฝีปากคม...ค่อย ๆ พูดตามรอยคำนึงซึ่งดังขึ้นภายในสมอง ก่อนที่สองมือหนา ๆ จะตะปบ...ปิดปากตัวเองแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกไป ส่วนคนตัวเล็กนั้น...หันขวับกลับมาจ้องมองดวงตาคู่คมนั้นด้วยรอยสงสัย เหมือนคลับคล้ายคลับคลาวิธีการแลน้ำเสียงที่เอ่ยเอื้อนวาจาอันอ่อนหวานนั้น

“ ...โทษที เรา...ไปอาบน้ำก่อนนะวา ”

หาทางออกได้เพียงเท่านั้นก็รีบคว้าผ้าขนหนูจากในกระเป๋าเสื้อผ้า...เดินจ้ำออกจากห้องและข้ามฟากเรือนตรงไปยังห้องน้ำ แต่กลับกลายเป็นว่าคุณนุชเธอกำลังอาบอยู่ เขาจึงเลี่ยงมาอาบที่ใต้ถุนบ้านแทน

สนธยารู้สึกมึน ๆ งง ๆ รู้สึกเหมือนครึ่งหนึ่งเข้าใจ...และอีกครึ่งหนึ่งเขาก็ไม่เข้าใจว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่กันแน่ แต่...ที่แน่ ๆ คือสิ่งที่เขาหลุดปากออกไปเมื่อครู่นั้นกลับทำให้เขาทบทวนการกระทำของตนเองต่อทิวาเสียใหม่...แล้วคำตอบคำเดียวก็ลอยมาในสมองนั้นโดยไม่มีคำอื่นใดอีกนั้นก็ทำให้เขาแทบสะอึก

สนธยาวักน้ำราดโครม...อาบน้ำทั้ง ๆ ที่ยังสวมกางเกงยีนส์ คล้าย ๆ กับคนกำลังทำอะไรทั้ง ๆ ที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนตัวสูงวักน้ำราดเอา ๆ อยู่อย่างนั้นโดยที่เอาแต่คิดวนไปวนมาจนสบู่ที่ถือมากับขันน้ำนั้นเขาก็ไม่ได้นำมาใช้

// รัก...เรารักเจ้าตัวเล็กคนนี้จริง ๆ หรือนี่ //

แล้วพอเข้าใจตัวเอง...ใบหน้าคม ๆ ที่เปียกน้ำก็ค่อย ๆ แดง ก่อนที่เจ้าตัวจะเอาขันตักน้ำราดใส่หัวโครม ๆ เหมือนคนร้อนเพราะถูกไฟลนจนต้องราดน้ำให้มันหาย...ร้อน

“ รู้สึกเหมือนตัวเองมีอีกคนหนึ่ง...แล้วนี่วารักเรา หรือว่ารักอีกคนหนึ่งของเราล่ะ ? ”

ตัวเขาเองไม่เคยถาม...ไม่เคยบอกคนตัวเล็กสักครั้งว่ารัก เลยไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แต่ที่ทำให้เขาหวั่นใจที่สุดเห็นจะเป็นเพราะ...ในภาพสลัวรางของความทรงจำที่เคยปิดตายนั้นมีภาพที่คนตัวเล็ก ๆ นั้นบอกรักเขาด้วยใบหน้าเอียงอาย เหมือน...เหมือนว่าทิวาจะเคยบอกว่ารักกับตัวเขาอีกคนหนึ่ง

// วา...วามองเราเป็นใครกันแน่ มองเราเพราะเราเหมือนใครอีกคนหนึ่งหรือเปล่า ?...ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นวาใช้เราเป็นตัวแทนหรือเปล่า ? //

ความกังวลนี้ผุดขึ้นมาภายในใจพร้อม ๆ กับความหวาดหวั่นเหมือนคนใจหาย และพอเขาคิดว่าถ้าทิวาใช้เขา...มองเขาเป็นตัวแทนละก็มันคงเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

สนธยาคิดในใจเงียบ ๆ โดยปล่อยให้หยดน้ำไหลจากเส้นผมหยดลงบนผิวน้ำ...พร้อม ๆ กับที่ขอบตาคม ๆ นั้นเริ่มรู้สึกเหมือนมันจะร้อนผะผ่าว...เหมือนน้ำตามันจะไหลออกมาซะให้ได้!!

“ สน...ทำไรเหรอทำไมนานจัง ไม่รีบขึ้นเดียวหนาวตายหรอก ”

คนตัวเล็กถือผ้าขนหนูผืนใหญ่เดินลงมาตามโดยไม่รู้สึกถึงภาวะอารมณ์ของสนธยาเลยว่าเป็นอย่างไร ในขณะที่สนธยาก็ได้แต่ก้มหน้านิ่งก่อนที่จะค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นมองคนตัวเล็กตากลมด้วยแววตาต่างจากปรกติ

แววตาฉ่ำ ๆ เย็น ๆ แต่แสนเศร้า...มองตรงไปยังคนตัวเล็กที่เขารัก

ทิวาสะดุ้งน้อย ๆ เมื่อแววตานั้นทำให้ระลึกถึงพี่สน...คนตัวเล็กนั้นแม้ว่าจะเคยร้องไห้เป็นทุกข์สาหัสหลายวันเมื่อรู้ตัวว่าจะไม่ได้พบกับคุณสนธยา แต่สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กที่เคยชินกับการอยู่ด้วยตัวเองคนเดียวมาแต่เด็กก็เข้มแข็งพอที่จะบอกตัวเองได้ว่า...

// พี่สนจากไปแล้ว และคงจะไม่คืนมา //

เมื่อตอบตัวเองได้ดังนั้น...ไม่นานความทุกข์ก็ค่อย ๆ ถูกกดไว้ภายใน ดังนั้นถึงแม้จะไม่ได้ร้องไห้เท่าวันเก่า...แต่ความรู้สึกและระลึกถึงความอ่อนหวานทั้งมวลก็ยังคงอยู่

// ยังเศร้า...แม้กดไว้ภายในได้แต่ก็ไม่เคยลืมเลือนไปได้เลย //

ความเงียบโรยตัวเข้ามาระหว่างคนทั้งคู่...นานหลายอึดใจก่อนที่สนธยาจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อนท่ามกลางความเงียบสงัดที่เสียดแทงไปทั้งหัวใจ

“ พี่รัก...รักเจ้านัก รัก...ทิวาน้อย...ของพี่เอย ”

เสียงทุ้ม...เอ่ยด้วยโทนเสียงเย็นรื้น แต่ตะกุกตะกักนั้น ทำให้ทิวาเงยหน้าขึ้นมองคนตัวสูงตรงหน้าอีกครั้งก่อนที่สายตาคมเย็นซึ่งเต็มไปด้วยกระแสอ่อนหวานนั้นจะทำให้ทิวารู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันที่ลืมตื่นอีกครั้งหนึ่ง

“ ละ...เล่นบ้าอะไรยังงี้ล่ะสน!! ”

คนตัวเล็กปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาจากดวงตากลม ๆ เพราะสุดที่ใจจะกลั้นไว้ได้...ก่อนที่จะกลับหลังหันหนีดวงตาคู่คมนั้นคล้ายทนไม่ได้ที่จะถูกอีกฝ่ายแกล้งเอาเหมือนว่าไปรู้อะไรเกี่ยวกับพี่สนมาสักอย่าง เพราะงั้นก็เลยมาแกล้ง...หลอกให้หลงดีใจกันเสียอย่างนั้น

ในขณะที่คนตัวเล็กหันหลังหนีดวงตาคู่นั้นแล้วร้องไห้...สนธยาเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กับทิวา

เพราะการตัดสินใจลองทำ...ทำเหมือนกับที่คุ้นเคยว่าตัวเขาอีกคนเคยทำและเคยพูดเช่นนี้...ทำเพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาได้รู้นั้นมันไม่ใช่แค่ภาพไร้สาระที่ผ่านเข้ามาในสมอง ทำ...เพื่อพิสูจน์ว่าหากว่าเป็นคน ๆ นั้นมายืนอยู่ตรงนี้แล้วทิวาจะรู้สึกอย่างไร...อยากรู้ว่าคนตัวเล็กนั้นรักตัวเขาอีกคนหนึ่งซึ่งเขาเห็นภาพในสมองนั้นหรือเปล่า

และการที่ทิวาร้องไห้...หันหนีไปพร้อม ๆ กับน้ำตานั่นมันก็บอกทุกสิ่งทุกอย่าง ว่าทิวารักตัวเขา...แต่ทว่ารักอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่เขา!!

สนธยามองภาพคนตัวเล็กซึ่งหันหลังให้อยู่นั้นพยายามปาดเช็ดน้ำตาซึ่งไหลไม่ยอมหยุดด้วยสองมือ มอง...ด้วยหัวใจเจ็บร้าวสั่นไหว เจ็บเหมือนต้องกลืนก้อนสะอื้นเมื่อรู้ว่าทิวาไม่ได้รักเขา และอาจเป็นไปได้ที่ตัวเขาในสายตาของทิวานั้นอาจจะไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ ...แต่เป็นใครอีกคนหนึ่งต่างหากเ!!

แต่ทว่า...หัวใจที่ดื้อดึงก็ยังไม่ยอมหยุด แม้ว่าจะรู้แล้วว่าคนที่ทิวามองเห็นมันไม่ใช่ตัวเขาแต่หัวใจก็กลับไม่ยอมสั่งให้ร่างกายนี้หยุด

ทิวาที่พยายามปาดเช็ดน้ำตาซึ่งไหลไม่ยามหยุดนั้นสะอื้นน้อย ๆ ทั้ง ๆ ที่ขอบตาร้อนผ่าว ก่อนที่สัมผัสจากใครคนหนึ่งจะทำให้คนตัวเล็กนั้นสะดุ้งเฮือก

สะดุ้ง...เมื่อถูกคนตัวสูงที่เปียกปอนนั้นโอบกอดไว้จากด้านหลัง ก่อนที่ปลายจมูกโด่ง ๆ นั้นจะกดลงที่ไหล่เล็ก ๆ และสุดท้ายสนธยาก็ซุกใบหน้าของตัวเองกับไหล่ของคนตัวเล็กกว่านิ่งนานอยู่เช่นนั้นพร้อม ๆ กับอาการโอบประคองแผ่วเบา

แผ่วเบาเพื่อรั้งไว้...บอกให้รู้ว่าอยากให้อยู่ด้วย แต่ทว่า...กลับไม่รัดแน่น ไม่เรียกร้อง ไม่ฝืนใจไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ ทั้งนั้น

“ วา...เราขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจจะรังแกให้ร้องไห้เลยนะ แต่...ถึงเราจะไม่ใช่...ไม่ใช่ใครอีกคนหนึ่งที่วารอก็ตาม แต่ว่า...เราก็ยังอยากจะถามให้แน่ใจ ”

ทิวารู้สึกสับสน...เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...เมื่อสัมผัสได้ถึงหยดน้ำอุ่น ๆ ไหลมาสัมผัสผิวเนื้อ

“ วา...บอกเราได้ไหม...บอกได้ไหมว่าวามองเรายังไงกันแน่ วามองเห็นตัวเราเป็นเราคนนี้...หรือเป็นคนอื่น ”

อยากถาม...เพราะอย่างนั้นจึงได้ถามออกไป แต่ดูเหมือนว่าความกลัวที่เคยรู้สึกจนถึงเมื่อครู่กลับมลายหายไปทันทีที่คนตัวเล็กเอ่ยตอบขึ้นด้วยเสียงแข็ง ๆ

“ สน...ทำไมถามแบบนั้นล่ะ!! นายก็เป็นตัวนายสิ ทำไมเราต้องมองเป็นคนอื่นล่ะ...กับพี่สนน่ะ ถึงเหมือนแต่ก็ไม่ใช่นายหรอกนะ!! แล้วทำไมนายถึงได้รู้เรื่องพี่สน...ทำไมถึงมาถามกันอย่างนี้ล่ะ ? ”

“ เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนเถอะ...แต่วาช่วยตอบให้เราฟังชัด ๆ หน่อยได้ไหมว่าเกลียดเราหรือเปล่า ? ”

//จะไปเหมือนพี่สนได้อย่างไร...ก็ดูเถิด ใจร้อนบังคับถามเอาโดยไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังกันเลย...แบบนี้จะไปเหมือนกับพี่สนได้ยังไง//

ทิวาบ่นในใจ ก่อนที่จะยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะแก้มของคนตัวสูงที่ซบหน้ากับไหล่ตัวเองเบา ๆ ก่อนที่จะ..........ดึงแก้มแรง ๆ ทีหนึ่ง!!!

“ บ้า!! คิดได้ไงวะ...กล่าวหากันชัด ๆ เลยนะที่มาถามแบบนี้น่ะ!! ”

สนธยาสะดุ้งพลางคลำแก้มที่เกิดรอยแดงน้อย ๆ จากการหยิกในขณะที่คนตัวเล็กบ่นต่ออย่างยั๊วะ ๆ

“ คิดว่าเราเป็นคนยังไงกันห๊ะสน!! นายเห็นเราเป็นคนโหดร้ายขนาดทำเพื่อความสุขของตัวเอง จนถึงขนาดมองข้ามความเป็นตัวของนายไปได้เลยหรือไง!! ”

“ อะ...เอ่อ วา...เราไม่ได้หมายความว่ายังงั้นนะวา คือ...เราไม่ได้บอกว่าวาใจร้ายนะ ”

คนตัวสูงแก้ตัวในขณะที่คนตัวเล็กนิ่วหน้ามุ่ย ก่อนที่จะเอ่ยต่อ

“ นายเหมือนพี่สนตรงไหนกัน!! ไม่เหมือนสักนิดเดียวรู้ไหมล่ะ!!...ก็นายมันปากเสีย นายมันนิสัยใจร้อนจะตาย ไม่มีอะไรเหมือนพี่สนเลยสักนิดเดียว!! ”

ฟังอย่างนั้น...คนตัวสูงก็หน้าหมองลงในทันที ก่อนที่ทิวาจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าเดิมมาก

“ แต่ว่า...นายก็เหมือนพี่สนตรงที่เป็นคนดี ...เหมือนตรงที่จริง ๆ แล้วนายเป็นคนอ่อนโยนนะสน ”

ประโยคก่อนหน้านี้เหมือนจะผลักคนตัวสูงลงนรก...แต่พอประโยคถัดมานั้นกลับทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกฉุดขึ้นสวรรค์ยังไงอย่างงั้น

“ ถึงจะปากเสีย...ใจร้อนไปหน่อย แต่นายก็ใจดี...ตอนที่เราไม่สบายนายยังทำถึงขนาดเช็ดอ้วกให้เราเลยนะ เพราะงั้นเราถึงได้บอกไงว่านายน่ะเป็นคนดี เป็นคนอ่อนโยน... ”

พูดยังไม่ทันจบดี...นายสนธยาที่เคยหน้าซีดเพราะใจเสีย กลับกลายมาเป็นยืนอึ้งโดยที่ใบหน้าคม ๆ นั้นเริ่มซับสีเรื่อขึ้นมาด้วยความเขิน

// พูด...พูดแบบนี้ได้ไง ขี้โกง...วาขี้โกง!! มาพูดแบบนี้...แล้วถ้าวาไม่รักเรา แล้วเราจะทำไงดีล่ะ!! //

มือหนา ๆ ยกขึ้นมาปิดหน้า...เพราะสนธยารู้สึกเหมือนใบหน้ากำลังร้อน ร้อนจนไปถึงใบหูโดยไม่ทราบสาเหตุ ไม่รู้...รู้แต่ว่าคนตัวเล็กตรงหน้านี้แหละเป็นคนทำ!!

นายสนผู้ที่ยังหน้าแดง...ค่อย ๆ ก้มหน้าลงมาหาคนตัวเล็กตาโต ก่อนที่จะค่อย ๆ ถาม ถามทั้ง ๆ ที่แววตานั้นสั่นไหวอย่างเก็บอารมณ์ไม่อยู่ รอยเสียงนั้นสั่นไหวและแหบพร่า

“ วา...สน...เอ่อ เรารักวา แล้ว...แค่เป็นคนดีของวาน่ะมันยังไม่พอหรอกนะ เพราะงั้น...บอกทีเหอะว่ารักกันบ้างไหม? ”

จากที่เมื่อแรก...คนตัวสูงอายอยู่ฝ่ายเดียว ในวินาทีนี้ใบหน้ากลม ๆ ของทิวากลับแดง...แดงกว่าคนตัวสูงเสียอีก!!

“ ถาม...ถามอะไรเนี่ย!! ”

พอเห็น...คนตัวเล็กเขินถึงขนาดนั้น สนธยาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนสมองจะยิ่งเร่งให้ถาม ถามซ้ำ ๆ เพื่อเอาคำตอบ

ดวงตาคม...มีแววเย็นรื้นแต่สั่นไหวก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ คว้าข้อมือของคนตัวเล็ก จูงขึ้นไปบนห้องโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ทิวานั้นรู้สึกเหมือนคนจับต้นชนปลายไม่ถูก ได้แต่ก้าวขาตามแรงรั้งนั้นอย่างสับสนก่อนที่นายสนธยาคนเดิมจะลากคนตัวเล็กเข้าไปในห้องนอน ปิดประตูก่อนที่จะหันกลับมารวบร่างของคนตัวบางตากลมไปกอดไว้จนแน่น

“ บอกเถอะ....นะวา ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว...ไม่ต้องอาย ...บอกเถอะนะ...ได้ไหม? ”

ทั้งเนื้อทั้งตัว...สนธยาเปียกชุ่มไปหมด แม้แต่กางเกงยีนส์ที่ใส่อยู่กับตัวก็เปียกจนชุ่มโชก แต่ทว่ารอยกอดกลับทำให้ทิวารู้สึกเหมือนถูกกอด...ด้วยเปลวไฟ

// ถ้าพี่สนเหมือนน้ำ...สนธยาคนนี้ก็เหมือนไฟ แต่ยังเป็นไฟที่อุ่น...ไม่ถึงกับเผาไหม้ให้คนเข้าใกล้ต้องแหลกสลาย แต่กลับลุกไหม้เพียงเพื่อให้คนที่อยู่เคียงข้างรู้สึกอบอุ่นเพียงนั้นเอง //

“ ไม่เหมือนเลย...นายไม่เหมือนพี่สนเลยรู้ไหมล่ะ ”

ทิวาค่อย ๆ พูด ขณะที่ยังก้มหน้างุดอยู่กับไหล่ของคนตัวสูงที่ตัวเปียกโชก

“ แต่ก็เพราะไม่เหมือนนั่นแหละ...เราถึงได้ต้องมองนายใหม่นะสน ”

ทิวาพูดไป...ในขณะที่หูก็ได้ยินเสียหัวใจของคนตัวสูงซึ่งกอดรัดตนเองเอาไว้นั้นกำลังเต้นรัว...เต้นรัวรุนแรงกว่าเมื่อครู่เสียอีก

“ แล้ว...พอมองไปมองมา นายก็.....ก็....... ”

พอถึงประโยคสุดท้าย...ทิวากลับพูดไม่ออก อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จนคนตัวสูงต้องก้มหน้าลงกระซิบถามใกล้ ๆ ด้วยความใจร้อน

“ ก็...อะไร ? ”

เงียบ...คนตัวเล็กเงียบพลางเม้มริมฝีปากบาง ๆ จนแทบจะแลเป็นเส้นตรง ในขณะที่ใบหน้านั้นเริ่มซับสีเรื่อหนักขึ้น พร้อม ๆ กับที่หัวใจโลดโครมครามเหมือนจะกระดอนหลุดออกมาจากอกให้ได้

“ ก็........น่า......น่า......รัก ”

สนธยารู้สึกว่า คำว่าน่ารักเนี่ย มันช่างไม่ได้เหมาะกับคนตัวสูงใหญ่อย่าเขาเอาซะเลย เจ้าตัวเลยยิ่งทำหน้างง ๆ จนทิวาต้องอธิบายขึ้นด้วยอาการกระท่อนกระแท่นเต็มทนเพราะความเขิน

“ น่า...รัก ก็.....หมายความว่า น่าจะ...รักได้ ไงล่ะ!! บ้า...ต้องให้อธิบายทำไมนะ!! ”

ท้ายประโยค...ทิวาบ่นคนตัวสูงเข้าให้อีก!!

แต่คนที่เคยทำหน้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจนั้น บัดนี้กลับยิ้มกว้าง...ยิ้มเหมือนเด็กกำลังดีใจ ก่อนที่เจ้าตัวจะซุกปลายจมูกลงดุนแก้มนุ่ม ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ในขณะที่นิ้วมือหนา ๆ นั้นไล้ไปตามวงหน้าและแก้มนุ่มนิ่มทั้ง ๆ ที่ในดวงตาคมคู่นั้นมีประกายพรายระยับแห่งความยินดียิ่ง


“ วา...วาก็น่ารัก ตัวก็...นิ่ม อยากกอดมาก ๆ เลยรู้ไหม ? แล้ว...ตัวก็หอมด้วย หอมมะลิ ชอบ...ชอบจังเลย ”

คนตัวสูงบอกทีละคำ...ในขณะที่ริมฝีปากคม ๆ นั้นแตะเบา ๆ ที่แก้มนุ่มนิ่ม สลับกับการไล้ปลายจมูกนั้นไปตามใบหน้าของทิวา เสียงของสนธยานั้นทุ้มต่ำและสั่นพร่า เพราะความรู้สึกบางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นกลับพลุ่งเข้ามาในห้วงความรู้สึกของคนตัวสูงนั้น

หวาน...หอม...น่าถนอมนักหนา

“ อื๊อ!!!! สน...ทำอะไรน่ะ มันจั๊กจี้...ปล่อยนะ!! ”

คนตัวเล็กเริ่มทำดุ เมื่อรู้สึกเหมือนโดนคุกคามอย่างช้า ๆ ...คุกคามในแบบที่ทิวาเองก็อธิบายไม่ถูกเสียด้วย เพราะมันไม่ได้จาบจ้วงเหมือนจงใจล่วงเกิน แต่กลับค่อย ๆ คืบใกล้ แม้มิได้เร่งเร้าบังคับ...แต่กลับกระทำราวกับร้องขอซ้ำ ๆ

คนตัวสูงกดปลายจมูกลงกับแก้มนิ่มย้ำ ๆ ก่อนที่ดวงตาคมกริบนั้นจะจ้องเข้าไปในดวงตากลม ๆ โดยไม่ฟังคำขู่หรือห้ามปรามของคนตัวเล็กเลย สนธยาค่อย ๆ เลื่อนใบหน้าลงกด...ดุนปลายจมูกลงกับหน้าผากมน ๆ ก่อนที่จะแตะริมฝีปากอุ่น ๆ ของตนเองลงไป...พาให้ทิวาเริ่มรู้สึกได้ถึงภาษากายที่อีกฝ่ายกำเรียกร้อง เรียกร้องอย่างต่อเนื่องซ้ำ ๆ ...จนวินาทีนี้แม้ไม่พูดแต่คนตัวเล้กก็รู้ว่าขออะไร

“ วา...วาเคยบอกว่าเรานิสัยไม่ดีใช่ไหม? เพราะงั้นก็เลย...พยายามไม่ทำตัวไม่ดีใส่วานะ...แต่ว่า ”

สนธยาพูดอ้อนเสียงอ่อย ๆ ก่อนจะเอ่ยต่อในขณะที่นิ้วมือลูบไล้อ่อนโยนบนแผ่นหลังคนตัวเล็ก...ทิ้งสัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้ว และการกระทำนั้นก็สร้างความรู้สึกแปลกประหลาดให้เกิดแก่คนตัวเล็กอยู่ไม่น้อย

“ วันนี้...เราอยากกลับไปเกเรอีกแล้วละวา อยากแกล้งวาอีกแล้ว...ทำไงดีล่ะ เรานิสัยเสียอีกแล้วนะตอนนี้ ”

เสียงที่เอ่ยนั้นสั่นไหว...ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ ช้อนอุ้งมือที่ผ่าวร้อนของตนรองท้ายทอยของคนตัวบางแล้วจึงค่อยก้มลงแตะริมฝีปากคมลงไปบนริมฝีปากนิ่ม ๆ นั้นอย่างรวดเร็ว

กระทำโดยไม่รอให้อนุญาต...กระทำอย่างรวดเร็ว แต่ทว่ากลับค่อย ๆ สอดปลายลิ้นรุกล้ำเข้าไปภายใน...ควานหาความหวานและสัมผัสจากปลายลิ้นของคนตัวเล็กอย่างนุ่มนวลเนิบช้า

// วันนี้อยาก...เป็นคนเกเรอีกแล้ว //

แต่เพราะรวดเร็ว...และรุกล้ำเข้ามาโดยที่ทิวามิอาจนึกรู้ได้เลยว่าควรจะสนองตอบอย่างไร ไม่รู้เลยว่าควรทำอย่างไรดี...ดังนั้นแม้ว่าเจ้าของดวงตากลม ๆ นั้นจะไม่ได้นึกรังเกียจ แต่เพราะรู้ถึงความไม่ประสาของตนเองดี...ในวินาทีที่ทำอะไรไม่ถูกนั้นคนตัวเล็กก็เริ่มมีน้ำตาคลอในดวงตาดำขลับนั้น

ยังผลให้สนธยาที่เมื่อแรกหมายใจจะบำเพ็ญตนเป็นเด็กเกเร คิดจะงอแงตื้อให้ได้...กลับเริ่มใจเสีย เพราะชักรู้สึกตัวแล้วว่าตนเองแพ้น้ำตาของอีกฝ่ายเข้าแล้วจริง ๆ เสียด้วย แล้วยิ่งเห็นว่าทิวาเริ่มน้ำตาซึม...คนตัวสูงก็หยุดกึ่กและชะงักอาการตื้อนั้นทันที ก่อนที่คนที่พยายามจะเกเรนั้นจะค่อย ๆ ลูบหน้าลูบหลังคนที่อยู่ในอ้อมแขนของตนอย่างประโลม

“ วา...สนไม่เกเรแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่เป็นแล้วคนเกเร...อย่าร้องเลยนะวานะ สนแพ้ใจตัวเองเวลาวาร้องไห้ทุกทีเลยรู้ไหม? ”

สนธยาพยายามปลอบ...ในขณะที่ทิวาเอ่ยขึ้นช้า ๆ เหมือนคนขาดความมั่นใจอย่างร้ายแรงด้วยน้ำเสียงเหมือนตกประหม่าเต็มที่

“ สน...วาไม่รู้ บางทีวาก็รู้ว่าสนจะทำอะไร แต่ว่า...วาก็ทำอะไรไม่ถูกนะสน มันแย่มากไหมที่วาเป็นคนโง่เง่าไม่รู้เรื่องรู้ราวขนาดนี้น่ะ ...แบบนี้สนจะหัวเราะใส่เราไหม? ”

คนตัวเล็กเอ่ยอู้อี้...สารภาพด้วยสีหน้าเหมือนคนทำผิดเสียเอง บอกให้สนธยารู้ว่าคนตัวเล็กกำลังซีเรียสกับการที่ไม่สามารถทำอะไรได้อย่างที่ควรจะทำ และนั่นก็ยิ่งทำให้คนฟังอย่างเขารู้สึกดีใจผสมผเสกับความรู้สึกโล่งใจและรู้สึกขำขันด้วยความเอ็นดูในความน่ารักนั้นเป็นอย่างมาก

“ วา...วารู้ใช่ไหมว่าเราจะอ้อน จะตื้อขออะไรน่ะ ?”

คนตัวเล็กพยักหน้าช้า ๆ ...ในขณะที่สนธยาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับหน้าผากมนเบา ๆ พร้อมรอยยิ้มบาง

“ รู้ไหม...อย่าว่าแต่วาไม่เคยเลย สนก็ไม่เคยเหมือนกันแหละ...สรุปว่าไม่รู้เรื่องกันทั้งคู่ เพราะงั้น...เราก็ค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปกันสองคนเถอะนะ อย่ากังวลกับมันเลยนะวา ”

= TBC =

ขอโทษง๊าบ คนอ่านที่รักทุกท่าน
ตอนนี้ยังไม่ NC แต่อ่านแล้วก็คงรู้กันแล้วละนะว่ามันกำลังจะมาตอนหน้านี่แหละ

เหตุผลก็เพราะ...ตอนนี้แต่งไปแล้วมันยาว...ยาวจนรู้สึกว่าตัดเป็น 2 ตอนดีกว่าตู ไม่ไหว ๆ ขืนรอโพสทีเดียวละก็คงยาวตายชักแน่ ๆ

.......ต้องขอโทษเพราะความไม่ประสีประสา กับความตื่นตระหนกกับการแต่ง NC ของเรานี่แหละ

หนก่อนก็ตื่นเต้น...พิมพ์บรรยายจนเหงื่อแตก
แล้วก็เป็นแบบหนนี้เปี๊ยบ ๆ เลย...ตรงที่ว่ามันยาวจนต้องตัดมาโพสก่อน 1 ส่วน

หนนี้จริง ๆ แล้วตอนนี้กำลังปั้น NC อยู่พอดีเลยจริง ๆ นะ...แต่เห็นว่ากว่ามันจะ NC กันก็ยาวเท่า 1 ตอนเข้าไปแล้ว

แล้วก็กลัวคนอ่านจะบ่นว่ารอนาน...ก็เลยจัดการ(ฆ่า)ตัดตอน เอรามาโพสก่อน1ส่วน

สรุปคือ...ตอนหน้าละถึงแน่....NC

(ก้มหัวปะหลก ๆ) ขอโทษอีกครั้งนะค๊าคนอ่านทุกคน แบบว่า...เวลาแต่ง NC มันจะตื่นเต้น แล้วกะอะไรไม่ถูกแบบนี้ทุกทีเลย เพราะเรามันคนมือใหม่ (หนนี้หนที่ 2 เองนะNCเนี่ย) อภัยให้หนูเถิดดดดด
(กระต่ายก้มหัวปะหลก ๆ)......รออีก คิดว่าไม่เกิน...3วัน มันมาแน่!! ตอนต่อไปและ NC สัญญา ๆ

รอบนี้เอ็กซิเดนท์จากอาการมือใหม่หัดแต่ง ประหม่าไปหน่อยเลยกะตอนผิด ขออภัยอย่างแรงนะคะ อภัยให้หน่อยน้า....หนูก๋อโต้ดดดด

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 26-11-2007 23:19:11
 :o8:  :o8:  :o8: ตอนหน้า NC ใช่มะ  :give2:  :give2:  :give2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 27-11-2007 12:41:22
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 27-11-2007 13:36:29
สองคนในร่างเดียว   :m13:
วากับสนนี่ยอมรับความรู้สึกตัวเองง่ายดีจัง  :m3:

NC  รออยู่ ตอนนี้น่ารักดี หวานมั่กๆ  :o8:  :o8:


หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 27-11-2007 21:43:45
 :m13:  :o8:   :give2:  :m3:   :m25:


ราตรีประดับดาว21 [มันมาแล้ว... No Children miss]
โดย:ทิวารา

พระจันทร์สวย...
แสงสีนุ่มนวลชวนมอง...จับต้องลูบไล้ผิวเนื้อนวลสร่าง
แม้เพียงได้มองก็ต้องใจหมายติดตาม...อยากเอ่ยถามถึงความรักมิหักใจ

คนตัวสูงนั่งยิ้มบาง ๆ ให้คนตัวเล็กกว่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กันก่อนที่จะค่อย ๆ กระซิบถามเบา ๆ

“ วา...เป็นไงบ้าง หายตื่นเต้นรึยัง ? ”

คนตัวเล็กไม่ตอบ...หากแต่ยกมือเล็ก ๆ ขึ้นแตะที่อกกว้างของคนถาม ก่อนที่สัมผัสที่สะท้อนจากอกนั้นจะทำให้เจ้าของวงหน้ามน ๆ เกิดร้อนผ่าวขึ้นมาถึงใบหู

“ มาถามวา...แต่หัวใจสนกลับเต้นซะเร็ว...เร็วมากขนาดนี้เนี่ยน่ะนะ ”

คนตัวโตหัวเราะ...พลางค่อย ๆ กระซิบสารภาพ

“ วา...สนเป็นคนเริ่มนะ แล้ว...อย่างที่สนบอกวาแหละ ว่าสนเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไร ดังนั้นพอคิดว่าต้องทำ...แล้วก็ไม่อยากให้วาเจ็บเท่านั้นแหละมันก็ตื่นเต้นขึ้นมาเหมือนกันนะ... ”

พอสารภาพไปอย่างนั้น...คนพูดก็นึกด่าตัวเอง ที่เมื่อเวลาที่เพื่อน ๆ ชวนกันไปดูอะไรดี ๆ หลังเลิกเรียนที่บ้านเพื่อนนั้น เขากลับไม่เคยสนใจใยดีแล้วก็เอาแต่คิดแต่จะไปร่อนหาอะไรกินมากกว่า ดังนั้นก็คงมีไม่กี่ครั้งที่จะไปทำอะไรมก ๆ พิเรนทร ๆ ตามประสาวัยรุ่นกับเพื่อนฝูงเหมือนคนอื่นเขา

อีกอย่าง...กับผู้หญิงที่ถือว่าพอจะไปส่องวิดิโอกับเพื่อน ๆ พอได้ความรู้มามั่ง...เขาก็ยังไม่เคยเลย

แล้วนี่...วาเป็นผู้ชายนะ ถึงจะพอรู้นิดหน่อยว่ามันต้องทำยังไงแต่พอคิดสภาพว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเกิดร้องไห้ขึ้นมานั่นมันก็ทำเอาตัวเขาใจฝ่อขึ้นมาเหมือนกัน

ระหว่างที่คิดก่นด่าตัวเองอยู่เพลิน ๆ ...ทิวาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้นไล้นิ้วกับแก้มของคนตัวโต ก่อนที่จะเอ่ยเสียงอ่อน ๆ

“ เปียกไปหมดแล้ว...เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอกสน ”

เท่านั้นเอง...สนธยาถึงพึ่งสังเกตว่ากางเกงที่สวมนั้นเปียกซ่ก...แล้วไหนยังจะกอดจนทิวาเปียกไปด้วยอีกคน ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ แกะกระดุมเสื้อของคนตัวเล็กช้า ๆ ก่อนจะช้อนสายตาขึ้นมามองดวงตากลมโตซึ่งกำลังเม้มปากน้อย ๆ พลางทำตัวเกร็งเหมือนคนทำอะไรไม่ถูก

“ ที่นี่มีแค่เรานะ...อย่ากังวลไปเลยคนดี สนไม่คิดมากหรอกนะวา เพราะว่า...วาน่ารักเสมอแหละนะ ก็วา...คนดีของสนนี่นา ”

ไม่รู้ตัวเลยว่าทำไมถึงใช้คำพูดคำจาเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่อยากใส่ใจอีกต่อไปแล้ว...เพราะรู้สึกว่าพูดแบบนี้ ทำแบบนี้ก็ดีแล้ว เพราะเขาเองก็อยากทำตัวอ่อนหวานให้วาเห็นเหมือนกัน

ดังนั้นสนธยาจึงตัดสินใจได้ว่า...จะไม่ต่อต้านความเป็นตัวเองที่อาจจะไปคลับคล้ายใครคนอื่นของทิวาอีกแล้ว เพราะถึงอย่างไรคนตัวเล็กคนนี้ก็ได้พูดออกมาแล้วว่าตัวเขาก็คือตัวเขาเองในสายตาของคนตัวเล็กน่ารักคนนี้ โดยที่เขาไม่เคยถูกทิวานำร่องรอยไปทาบทับหรือเปรียบเทียบเป็นตัวแทนของใครที่ไหน

สนธยาค่อย ๆ แตะริมฝีปากลงที่ปลายจมูกเล็ก ๆ แผ่วเบา ก่อนที่จะใช้ปลายจมูกดุนที่ข้างแก้ม...พาให้คนตัวเล็กต้องแหงนหน้า เงยขึ้นช้า ๆ ก่อนที่สนธยาจะก้มละแนบริมฝีปากลงไปที่กลีบปากนุ่มนั้นเบา ๆ

แตะน้อย ๆ ราวหมู่ผีเสื้อทอดกายลงบนกลีบใบของหมู่มวลดอกไม้ที่เต็มไปด้วยหยดน้ำหวาน ก่อนที่จะถอยห่างเล็กน้อย แล้วค่อยกดริมฝีปากลงอีกครั้งให้ชัดเจนถึงความรู้สึกอ่อนหวานดื่มด่ำที่ลึกล้ำในวิญญาณ

นิ้วมือ...ลูบไล้ใบหน้านวล ๆ นั้นอย่างเบามือ และโอบประคองไว้ด้วยรอยสัมผัสอบอุ่นเต็มที่

“ หวานเอยหวานใด...จะเทียบได้เท่า...ความหวานของเจ้าบัวน้อย ”

หลุดปากไปตอนใดก็ไม่รู้...แต่สนธยารู้เพียงว่านั่นคือสิ่งที่เขาคิดจริง ๆ โดยไม่ใช่คำพูดของใครอื่นเลย เพราะทิวานั้นอ่อนหวาน...นุ่มนวลแลอบอุ่นราวแสงตะวันอ่อน ๆ ยามไล้อนูไปทั่วร่างของผู้คนที่ยังหลับใหลในขณะที่อาทิตยาพึ่งมาเยือนในยามรุ่ง และทั้งยังให้ความรู้สึกหอมหวานนวลเนื้อนุ่มราวกลิ่นไม้...ดอกไม้ที่หอมนุ่มนวลอ่อนหวานและไม่ฉูดฉาดรุนแรง

// เหมือนบัว...เหมือนดอกบัว //

“ สน... ”

ทิวาเอ่ยเรียกคนที่โอบประคองตนเองเอาไว้อย่างอ่อนโยน ก่อนที่เจ้าของชื่อจะยิ้มรับอย่างอ่อนหวาน พร้อม ๆ กับอาการลดใบหน้าลงซบที่ไหล่เล็ก ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะกระซิบอู้อี้อยู่ทั้ง ๆ ที่ใบหน้านั้นยังซบนิ่งกับไหล่บอบบางของทิวา

“ สนธยาแปลว่า...ยามค่ำ แต่ทิวา...แปลว่ายามรุ่ง ยามอาทิตย์ฉาย ”

สนธยายิ้มบาง...พลางค่อย ๆ กระซิบแผ่วเบา

“ ยามค่ำนั้นแลสิ่งใดไม่ใคร่เจนชัดทั้งยังเย็นเรื่อย...แต่เบื่อแล้ว เย็นมากเข้าก็หนาวจับใจ มีทิวา...มีตะวันฉายเป็นของตัวเองอย่างนี้ค่อยอุ่น อบอุ่นแลอ่อนหวาน... ”

นิ้วมือของคนตัวสูงค่อย ๆ เลื่อนและไล้แผ่วเบาที่แผ่นหลังเล็ก ลูบไล้ให้ความรู้สึกอ่อนหวานที่สัมผัสบางเบาพร้อมไออุ่นจากปลายนิ้ว ก่อนที่จมูกโด่งจะกดลงกับลำคอขาว ดุน...ดันน้อย ๆ จนทิวาเผลอร้องออกมาเบา ๆ

ทั้งเขิน...ทั้งอาย ไม่รู้สนคนเดิมหายไปไหน

ทิวาคิดเช่นนั้นก่อนที่ในหัวสมองจะขาวโล่งราวห้องว่างไร้รอยระลึกอันใด เพราะสัมผัสอ่อนหวานนั้นไซร้...พอให้หัวใจลอยไปตามความหอมหวาน ลอยไป...ตามสัมผัสเบาบางเนิบช้าราวปีกผึ้งไล้กลีบและใบยามหาน้ำหวาน

เสื้อนอนตัวบางถูกคนตัวสูงถอดจนพ้นไป ในขณะที่กางเกงนอนนั้นถูกเลื่อนลงหมิ่นเหม่เต็มที ...สนธยาค่อย ๆ กดริมฝีปากลงที่กลางอกของคนตัวเล็กเบา ๆ ยังจุดที่รู้สึกได้ถึงแรงสะท้อนไหวรุนแรงของหัวใจเล็ก ๆ ที่โลดแรง ก่อนที่จะจุมพิตตรงนั้นย้ำลงไปอย่างอ่อนหวาน

“ สน...สนแกล้งวา ”

เจ้าตัวเล็กร้องเสียงแผ่วเมื่อการกระทำเมื่อครู่นั้นพาให้ทิวารู้สึกเขินจนใบหน้าร้อนผ่าว...ร้อนผ่าวจนไม่รู้จะทำอย่างไรได้นอกจากเอ่ยบ่นว่าคนตัวสูงแกล้ง...รังแกให้ต้องอายจนถึงขนาดนี้

น่ารัก...คิดได้เพียงนั้นสนธยาก็หัวเราะด้วยน้ำเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนที่จะเงยขึ้นไปแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากของคนตัวเล็กช่างว่า ก่อนจะแกล้ง...งับกลีบปากเล็กนั้นเบา ๆ

รู้ว่ายิ่งทำ...คนตัวเล็กในอ้อมแขนก็ยิ่งเขิน แต่...ก็อยากทำ อยากให้เขิน...อยากเห็น!!

“ สน...บ้า! ”

คนตัวเล็กชักรู้ว่า ‘ถูกแกล้ง’ เจ้าตัวจึงได้ว่าคนตัวสูงเข้าให้ แต่ยิ่งดูเหมือนสิ่งที่ทำไปนั้นมันจะยิ่งทำให้อีกฝ่ายยิ่งอมยิ้ม...ชอบใจ

“ ก็...เป็นไอ้บ้าสนปากเสียของวามาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่นา หึ หึ หึ ”

สนธยากระซิบพลางใช้ปลายนิ้วรั้งขอบกางเกงนอนของคนตัวเล็กแล้วรูดลงไปตามท่อนขาเล็ก ๆ โดยที่ทิวาไม่ทันตั้งตัว โดยที่รอยยิ้มบนใบหน้าคมนั้นพรายด้วยรอยหยอกเย้าไม่ปิดบัง

“ สน...บ้า อึ่ก!! สนแกล้ง...ไม่เอาแล้ว...สนแกล้ง ฮึก!! ”

พอรู้ว่าถูกแกล้ง...หนัก ๆ เข้าคนตัวเล็กก็ก็อายจนอยากร้องไห้ พาให้ดวงตากลม ๆ นั้นค่อย ๆ รื้นด้วยหยดน้ำใส ๆ จนคนช่างแหย่ชักเห็นท่าไม่ดี...ใจไม่ดี

ชอบแกล้ง...อยากเห็นเวลาอีกฝ่ายเขินจนใบหน้าระเรื่อ แต่ก็ดันมาแพ้...น้ำตาของเจ้าตัวเล็กนี่แหละหวา ดังนั้นพอทิวาจะร้องไห้...คนแหย่อย่างสนธยาก็เลยต้องมาแย่เสียเอง...เพราะต้องปลอบไม่ให้อีกฝ่ายร้องไห้

เพราะน้ำตาของทิวาเหมือนยาขม...จนสนธยาทนเห็นไม่ได้เลย ตั้งแต่ครั้งแรกในห้องเรียนหรือครั้งต่อ ๆ จากนั้นมาจนวันนี้ ไม่ว่าครั้งไหน ๆ ก็ตามที่เห็นน้ำตาของทิวา...เขาก็รู้สึกเจ็บปวดไปหมด ไม่รู้ว่าเจ็บแค่หัวใจหรือว่าเจ็บไปหมดทั้งร่าง...เขาไม่รู้หรอก รู้แต่เพียงว่าเจ็บแสนเจ็บ

แล้วก็รู้แต่ว่า...ทนไม่ได้!!

“ โอ๋ ๆ...คนดี ไม่ร้องนะวานะ สนขอโทษ สนไม่แกล้งแล้วนะครับ...อย่าร้องเลย...นะ...นะ ”

คนตัวโตพยายามปลอบ...พยายามพูดช้า ๆ แต่น้ำเสียงทุ้มนุ่มนั้นพาลสั่นน้อย ๆ จนแม้แต่ทิวาเองยังจับความรู้สึกได้ว่าคนตัวสูงรู้สึกแย่ รู้สึกแพ้น้ำตาของทิวาเข้าจริง ๆ

สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบพลางแตะปลายจมูกลงบนแก้มนิ้ม ทั้งง้อ...ทั้งขอโทษ จนคนตัวเล็กใจอ่อนก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ

ทิวารู้แล้ว...รู้สึกได้แล้วด้วยทุกอย่างที่ได้เห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู และสัมผัสได้ด้วยหัวใจ...ว่าคนที่โอบกอดตนเองไว้นั้นให้ความสำคัญกับตัวเขา ให้ความสำคัญจนถึงขนาดที่ไม่สามารถทนเห็นน้ำตาของตนเองได้เลย

ไม่ใช่มารยา...ไม่ใช่การปั้นแต่ง แต่เป็นความเป็นจริง...สำหรับน้ำเสียงงอนง้อที่สั่นไหว และใบหน้าที่หมองลงทันทีเมื่อทิวาเริ่มมีรอยชื้น ๆ รื้นที่ดวงตากลม ๆ นั้น...

“ วาไม่ร้องแล้ว...ไม่เป็นไรนะสน อย่า...ทำหน้าอย่างนั้นสิ ”

คนตัวเล็กเอ่ยเบา ๆ พลางยิ้มให้เขา...อ่อนหวาน อ่อนหวานน่ารักเสียจนสนธยาชักจะเริ่มรู้สึกทนไม่ได้

เขาค่อย ๆ ถอดกางเกงยีนส์ที่เปียกชื้น...ทั้ง ๆ ที่มันถอดยากเหลือเกิน แต่คนตัวสูงก็ถอดมันออกอย่างช้า ๆ แล้วค่อย ๆ ดันมันไปจนพ้นตัว ร่างกายเปลือยเปล่าในแสงเงาอ่อนหวานจากแสงจันทร์นั้นเน้นเค้าโครงและกล้ามเนื้อบนร่างที่สูงหนานั้นจนเห็นชัด จนตากลม ๆ ที่ปรือมองต้องค่อย ๆ เส...มองไปอีกทาง

“ เอ่อ... ”

คนตัวสูงมองใบหน้ามน ๆ ซุกหน้าลงกับหมอนงุด ๆ แล้วก็ขำจนหัวเราะเบา...

“ เขินเหรอ ? ”

สนธยาค่อย ๆ ก้มลงกระซิบถาม...ในขณะที่คนตัวเล็กยิ่งเขยิบซุกหน้างุดหนักกว่าเก่า จนสนธยาต้องก้มลงดุนปลายจมูกลงที่หลังใบหูของทิวาเบา ๆ จนเจ้าตัวเล็กสะดุ้ง เขาจึงถือโอกาสนั้นค่อย ๆ ประคองใบหน้าเล็ก ๆ นั้นให้หันกลับมาแล้วก้มลงจูบหวาน ๆ ...นานหลายอึดใจ นาน...จนคนตัวเล็กหายใจไม่ทัน

“ วาอย่าหลบสิ...อย่าว่าแต่วาเลย สนก็อายนะ แล้วก็...สนอยากให้วาแตะนะ แตะตรงไหนก็ได้ เวลามือนิ่ม ๆ แตะลงบนตัวสนน่ะมันทำให้สนรู้สึกอบอุ่นจังเลยนะวา... ”

คนตัวโตออดอ้อน คนตัวเล็กก็ค่อยถาม...แผ่วเบา

“ แล้ว...สนจะแตะบนตัววาไหม ? วาก็ชอบ...เพราะว่ามือของสนอุ่นจังเลย ”

น่ารัก...น่ารัก คิดได้แค่นั้นคนตัวโตก็ครางในลำคอเป็นการรับคำ ก่อนที่จะค่อย ๆ แนบสัมผัส แนบมือหนาอบอุ่นลงบนแผ่นอกเล็ก ๆ ก่อนจะค่อย ๆ สัมผัสถึงผิวเนื้อนวลเนียนโดยการลูบไล้ไปมาอย่างเชื่องช้า...แผ่วเบา จนคนตัวเล็กต้องครางในลำคอเบา ๆ กับสัมผัสอุ่นจนร้อนนั้น

ดวงตาคม ๆ เป็นประกายพราวขณะที่มือหนึ่งค่อย ๆ ไล้ไปตามร่างเล็ก ๆ ไล้ไปตามเนื้อตัวนิ่มนวลและหอมหวาน ในขณะที่อีกมือหนึ่งไล้ที่แก้มนุ่ม ๆ

“ แตะผมสิครับ...คนดี ”

สนธยาอ้อนขอ...พลางคว้าข้อมือเล็ก ๆ นั้น ให้แตะฝ่ามือแนบลงบนแก้มของเขาเอง เจ้าตัวยิ้มหวานให้ทิวา ก่อนที่จะจูบกลางฝ่ามือเล็ก ๆ จนเจ้าของมือเขินจนแทบชักมือกลับโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว

“ แตะผมนะ...วา ผมชอบเวลามือนิ่ม ๆ ของวามาแตะจังเลย...นะ...นะวา ”


ทนแรงอ้อนไม่ไหว...จนทั้ง ๆ ที่แม้ว่าจะทั้งอายและตกประหม่า แต่มือเล็ก ๆ ก็ค่อย ๆ แตะไล้ไปตามใบหน้าคม ๆ นั้น ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่ไหล่หนา แล้วแตะนิ่งที่อกซ้ายของคนตัวโตช่างอ้อนคนนั้น จนทำให้ได้รู้ว่าหัวใจของคนขี้เล่นคนนี้ก็ตื่นเต้นตกประหม่าพอกัน

“ อื๊อ...สนจั๊กจี้...เอ๊ะ!!...ไม่เอานะ ตรงนั้นมัน... ”

ทิวาร้องแผ่วเบา...เมื่อสนธยาไล้ริมฝีปากลงบนไหล่เล็ ก ๆ ช้า ๆ พร้อม ๆ กับที่อีกมือหนึ่งเลื่อนต่ำลงสู่เบื้องล่าง

“ ก็วาแตะสนนี่ครับ...สนเลยทนไม่ไหวแล้วละวา ”

เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยด้วยรอยเสียงต่ำลึก...ก่อนที่จะก้มลงแตะเบา ๆ ที่ซอกขาด้านใน...จนคนตัวเล็กสะดุ้งเฮือก นิ้วมือเล็ก ๆ ถูกยกขึ้นปิดริมฝีปากราวกับจะเขินอายที่ต้องหลุดเสียงร้องแปลก ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนให้อีกฝ่ายได้ยิน

สนธยาค่อย ๆ สัมผัสที่ส่วนอ่อนบางนั้นแผ่วเบาและเนิบช้า...ทั้งด้วยปลายนิ้วและปลายลิ้น ดวงตาคม ๆ เหลือบมองใบหน้าหวานเป็นพัก ๆ ในขณะที่ทิวาที่พยายามกลั้นเสียงร้องแปลก ๆ ของตัวเองนั้นกลับค่อย ๆ เผลอหลุดเสียงครือครางออกมาทีละน้อย...ทีละน้อย

“ ฮึก!!...สน...วาจะตายแล้ว...ทำไมมันรู้สึกแบบนี้ละ...ฮึก!!...วาจะตายไหมสน......สน ”

เพราะไม่รู้เรื่องอะไรเลย...จนสนธยายังสงสาร ดวงตาคมกริบกลับไปจ้องลงไปบนดวงตากลมโตที่ทอดประกายเชื่อม...อ่อนหวานจนแทบหยาดหยดนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ ให้

“ ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอกนะคนดี...วา ทรมานหรือรู้สึกไม่ดีหรือเปล่าละ ? ”

คนตัวเล็กส่ายหน้า ในขณะที่ครางเสียงสูงออกมา...เมื่อสนธยาสัมผัสด้วยปลายนิ้วอย่างต่อเนื่อง ให้สัมผัสอุ่นร้อนจากปลายนิ้วและความอ่อนหวานสลับหนักเบาแห่งรอยสัมผัส ขยับไหวอย่างเนิบช้าและมอบให้อย่างค่อยเป็นค่อยไป...ไม่เร่งไม่ร้อน...ไม่รุนแรง

“ ฮึก!! …อื๊อ!! ”

“ อย่ากลั้นสิครับคนดี...กลั้นเสียงทำไมกัน ทำแบบนั้นก็ทรมานสิ เสียงน่ารัก ๆ ...ให้สนได้ยินหน่อยไม่ได้เหรอวาถึงได้กลั้นไว้อย่างนั้นน่ะ ”

“ อื๊อ!!...สน...วาไม่ได้...ฮ๊า!! ”

นิ้วมือเล็ก ๆ เปลี่ยนจากกุม...ปิดริมฝีปากของตนแน่นหนา กลับเปลี่ยน...ค่อย ๆ ยกขึ้นมารั้งที่ไหล่หนา ๆ แทน ทิวาค่อย ๆ หลุดเสียงครางหวานออกมาเรื่อย ๆ ในขณะที่ถูกอีกฝ่ายสัมผัสช้า ๆ เนิบนาน...จนกระทั่งระยะสัมผัสค่อย ๆ กระชั้นขึ้น นั่นจึงทำให้นิ้วมือเล็ก ๆ นั้นค่อยเผลอออกแรงกด...จิกลงบนไหล่และแผ่นหลังของคนช่างแกล้งอย่างเผลอตัว

“ สนอยากกินวาแล้วน่ะ...อยากทนนะแต่ไม่ไหวแล้ว เพราะเสียงวา...น่ารักเกินไป!! ”

สนธยาก้มลงกระซิบเบา ๆ ด้วยรอยเสียงแหบพร่า...ก่อนที่จะค่อย ๆ เลื่อนนิ้วมือลงไปจากจุดเดิม แล้วค่อยแตะแผ่วเบาลงยังอีกจุดหนึ่งทำเอาทิวาสะดุ้ง

“ สน...สนอื๊อ!!...จะทำ...จะทำอะ...ฮึก!!...ไรน่ะ ”

“ ไม่ต้องกลัวนะวา...คนดีของสน อย่าร้องไห้สิครับ สนไม่ได้แกล้งวานะครับ คือว่า...สนจะบอกว่าเราจำเป็นต้องทำแบบนี้เพราะสำหรับผู้ชายแบบเราสองคนน่ะ...เอ่อมันไม่ได้เหมือนกับ...เอ่อผู้ชายกับผู้หญิงไงละครับคนดี ”

สนธยาพยายามอธิบาย...รู้สึกผิดที่ตัวเองไม่ได้อธิบายให้คนตัวเล็กฟังเสียก่อน จึงตัดสินใจที่จะค่อย ๆ อธิบายไปปลอบไปด้วย เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายถึกกับผวาเฮือกจนน่าสงสารอย่างเมื่อครู่

“ กลัวเหรอ ?...สนขอโทษนะที่ไม่ได้อธิบายก่อนน่ะ อย่า...อย่ากลัวไปเลยนะคนดี...สนไม่ทำร้ายวาหรอกนะ วาเองก็รู้ไม่ใช่เหรอ ? ”

คนตัวสูงเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน...และทิวาที่หอบสะท้านก็ค่อย ๆ พยักหน้ารับน้อย ๆ ทั้ง ที่ใบหน้าเรื่อสีชดเจน

“ วาจะตายไหมสน...มัน...ฮึก!! มันรู้สึกแปลกกว่าตะกี๊อีก...อื๊อ!!...สน...สน ”

ทิวาสะอื้นถาม...ในขณะที่สนธยาค่อย ๆ กด...ล้ำปลายนิ้วรุกเข้าไปในความอบอุ่นอย่างช้า ๆ

“ ไม่ตายหรอก...คนดี สนไม่ให้วาเป็นอะไรไปหรอกนะวา...ใจเย็น ๆ นะ ถ้ากลัวก็มองตาสนนะวา ถ้าวากลัวก็มองสนนะ ”

สนธยาค่อย ๆ ทาบทับบนร่างที่เล็กกว่าช้า ๆ

แต่ในขณะที่น้ำตาหยดน้อยไหลออกมาบนผิวแก้มเรื่อสีนั้นบาง ๆ ทำเอาสนธยาอยากจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างลงเสียตั้งแต่วินาทีนี้...ถึงขนาดที่คิดว่าจะให้ทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น เพราะทนให้คนตัวเล็กร้องไห้ไม่ไหวจริง ๆ

“ วา...วา อย่าร้องเลยนะคนดี ไม่เอาแล้ว...สนไม่ทำแล้วก็ได้ ”

สนธยาปลอบ...ในขณะที่ทิวาค่อย ๆ ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น

“ สน...วาจะทำได้ไหม? สนว่าวาจะทำได้ไหม ? ”

เพราะไม่มั่นใจ...กลัวแสนกลัว ถึงได้ถาม...เพราะรู้ว่าต่างก็อยากให้ทุกอย่างสามารถดำเนินต่อไปได้ เพราะที่สุดแล้ว...ต่างคนต่างก็อยากจะได้รู้สึกถึงความรักให้มากกว่านี้ อยากได้สัมผัสความอ่อนหวานเป็นสุขมากกว่านี้

แต่สำหรับทิวาที่กลัวแสนกลัวนั้น...อย่างน้อยคนตัวเล็กก็อยากขอกำลังใจ ขอคำมั่น...ขอคำยืนยันเพื่อให้ความรู้สึกมั่นคงนั้นพัดพาความกลัวให้จางหายไป

ใบหน้าเนียนนั้นเรื่อสี ดวงตากลมโตฉ่ำหวานด้วยคลื่นอารมณ์ แต่ดวงตาคู่นั้นก็ทอประกายคล้ายคำร้องขอ...ขอแค่คำพูดเพียงคำเดียว

สนธยายิ้มอ่อนหวาน ก่อนที่จะก้มลงปัดริมฝีปากลงกับแก้มนิ่มบาง ๆ ...ซับรอยชื้นจากหยาดเหงื่อเบาผิวแก้มนุ่มนิ่มเบา ๆ ก่อนที่จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำลึก...มั่นคง

“ ได้สิ...วาของสนต้องทำได้แน่ ๆ ไม่กลัวนะคนดี...ไม่ต้องกลัว วาทำได้... ”

เพียงเท่านั้น...ก็เรียกรอยยิ้มบนใบหน้าหวานซึ่งหอบน้อย ๆ ได้ ก่อนที่คนตัวเล็กจะโอบแขนเล็ก ๆ ของตนเองโอบแผ่นหลังกว้างเอาไว้แน่น ก่อนที่จะหลับตาพริ้มด้วยรอยอบอุ่น...

“ ทำเถอะ...ทำให้วารู้สึกถึงความอบอุ่นของสนนะ…ได้ไหม? ”

“ ครับ... ”

สนธยาค่อย ๆ ถอนปลายนิ้วอย่างเชื่อช้า...ในขณะที่ริมฝีปากคมนั้นแนบสัมผัสลงที่เปลือกตาบางของทิวาแผ่วเบา ก่อนที่รอยเสียงทุ้มหวานจะกระซิบบอกช้า ๆ

“ เจ็บก็ร้องนะ...สนจะค่อย ๆ ...สนสัญญา ”

คนตัวเล็กค่อยพยักหน้าเบา ๆ สนธยาจึงกดรอยจูบลงที่ปลายจมูกเล็กเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ล้ำกายเข้าหา...อย่างเชื่องช้า เสียงครางเบา ๆ ทำให้คนตัวสูงต้องหยุดสังเกตคนตัวเล็กอยู่เป็นระยะ ๆ หูของเขาได้ยินเสียงครางผสมผเสกับเสียงหอบหายใจอย่างทรมานน้อย ๆ อยู่ชั่วระยะหนึ่งจนกระทั่งถึงที่สุดแล้วน้ำตาของทิวาก็เหือดไป

“ อึ๊ก!!...สน...วาอึดอัดจังเลย ”

เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะกดจูบลง...แทรกปลายลิ้นล่วงล้ำอ่อนหวาน

“ ผม...ขยับ...ได้ไหม ? ”

เขาเอ่ยราวกับขออนุญาต...ด้วยรอยเสียงแหบพร่า ประหม่าและสั่นไหวไปด้วยแรงความรู้สึกลิบโลดเป็นทวีคูณ มากมาย...กว่าเมื่อแรกนักหนา

“ อือ... ”

จากสงบนิ่ง...ก็ค่อยดำเนินอย่างเชื่อช้า ราวกับผืนน้ำที่เคยสงบนิ่งนั้นถูกใครโยนก้อนหินลงไป...ผืนน้ำจึงค่อยสะท้อนไหวเบาบาง

ลมหายใจหนัก ๆ เป่ารดที่ปลายคางมนเมื่อคนตัวสูงวนเวียนอยู่กับริมฝีปากนุ่มนิ่มไปพร้อม ๆ กับ...ดวงตาคมกริบมีรอยหวานเชื่อมแลอ่อนไหวไม่ต่างกับคนตัวเล็ก

“ วา...อะ...อึ่ก!! ”

จากเบาบางเหมือนระรอกคลื่นในสระบัว กลับค่อย ๆ เร่งเร้า...รุนแรงเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนจากพายุ ทั้งหนักแน่นและอ่อนหวาน ด้วยรอยสัมผัสจากริมฝีปากนุ่มนวล ด้วยเสียง...ด้วยสายตา

แสงกับเงามาบรรจบกันตรงไหน...ไม่มีใครรู้ได้

แต่สนธยาแลทิวากาลนั้น...บัดนี้มาบรรจบกันแล้วด้วยรอยสัมผัสทั้งหมดในห้วงใจ

ทุกอย่างอุ่นและร้อนแต่พร้อม ๆ กันนั้นกลับสงบและเยือกเย็นในหัวใจ...ไม่โลดโผนแต่เนิบนาบอย่างใจเย็นและค่อยเป็นค่อยไปด้วยความรู้สึกผูกพันและด้วยรัก

“ สน...อื๊อ!!...อะ...สน ”

เสียงหวาน...เรียกหาคนที่กอดกระชับไว้ ดวงตาชื้นด้วยหยดน้ำรื้นช้า ๆ...แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกหมองเศร้า

“ วา... ”

รักไม่จำเป็นต้องร้อนที่สุด...และไม่จำเป็นต้องเย็นที่สุด สิ่งที่อาจเป็นความสุขที่สุดอาจจะเกิดจากการสัมผัสอบอุ่นเมื่อเวลาที่ควรอบอุ่น และสัมผัสที่เย็นฉ่ำระรื่นชื่นใจ...เมื่อเวลาที่ควรรู้สึกสงบนิ่งไม่หวั่นไหว

ไม่ร้อน...และไม่เย็น ไม่เมินเฉย...และไม่เรียกร้องมายมายให้เหนื่อยล้า เพียงแต่หลอมให้เหมาะสม...ให้รวมอยู่ในความสุขของการอยู่ร่วมกันเพียงแค่นั้นก็พอ!!

เหมือนพายุ...แล้วสุดท้ายก็สงบนิ่งเหมือนผิวน้ำในสระบัวกว้างที่ระรินไหวไปตามแรงลมพัดเอื่อยให้ฉ่ำเย็น

คนตัวเล็กกระตุกกายเฮือก...ในขณะที่เจ้าของไหล่หนาก้มลงแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากเล็ก ๆ ก่อนจะดุนปลายจมูกลงบนผิวแก้มแล้วค่อยยิ้มให้คนตัวเล็กด้วยรอยยิ้มอบอุ่น และในดวงตาคมคู่นั้น...มีประกายแห่งความฉ่ำเย็นลึกซึ้ง

“ เข้าใจแล้วละ... ”

ทิวาเอ่ยพลางยกมือขึ้นไล้แก้มคนตัวโตซึ่งยังทาบทับอยู่เช่นนั้น ก่อนที่จะยิ้มบาง...อ่อนหวาน

“ สนธยา...เพราะเป็นยามสนธยา ยามรักก็ยังฉ่ำ...ยังเย็น ยังอ่อนหวาน ”

พอคนตัวเล็กพูดถึงขนาดนั้น...สนธยาที่ยังหอบน้อย ๆ ก็ถึงกับฟุบตัวลงกับอกคนตัวเล็ก ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าคมนั้นแดงเรื่อขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน พร้อม ๆ กับเสียงทุ้มระคนอาการเหนื่อยหอบนั้นจะเอ่ยบ่นงึมงำแผ่วเบา

“ วา...ขี้โกง วาแกล้ง...โอย แค่นี้สนก็สุข...จนจะสำลักตายอยู่แล้ว ยังจะมา...พูด...แบบนี้อีก ”

ฟังแล้วคนตัวเล็กก็หัวเราะสดใส พลางโอบท่อนแขนเล็ก ๆ นั้นกอดคนตัวสูงซึ่งซบใบหน้าคม ๆ กับอกขาวเนียนไว้ แสงจันทร์ยังทอแสงงามนวลผ่อง...ให้คนตัวเล็กแอบมองเห็นใบหน้าของคนตัวโตขี้แกล้งซึ่งซบอยู่นั้นได้ชัดเจน...ได้รู้ว่าเขิน...ว่าอายกับเขาเป็นเหมือนกัน

ดวงตาคมงาม...มองไปยังหน้าต่างห้องที่เปิดกว้าง มองยังดวงจันทร์ที่ทอแสงเต็มทีงดงาม แล้วเมื่ออาการหอบทุเลาหาย...เสียงทุ้มนุ่มก็ค่อย ๆ เอื้อนแผ่วเบาในลำคอช้า ๆ

// วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย //

สนธยาร้อง...ไม่รู้ว่าทำไมถึงร้องได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงนึกอยากร้องขึ้นมา...แต่รู้สึกแค่ว่า มีความสุข...ใต้ราตรีนี้ที่ประดับดาว สุขราวกับจันทร์อวยพร...สุขราวกับแสงอ่อน ๆ ...อวยพรให้รู้สึกลึกล้ำในรักของหัวใจ

“ หลับเถอะ... ”

สนธยากระชับร่างเล็ก ๆ เข้าหาก่อนจะก้มลงกระซิบแผ่วเบา เรียกรอยยิ้มบาง ๆ จากทิวาก่อนที่ดวงตากลมโตจะค่อย ๆ ปิดลงช้า ๆ

สนธยา...นอนครวญเพลงช้า...ชัด อ่อนหวานในถ้อยคำเป็นจังหวะหวานแลแผ่วไหว นาน...ช้าอยู่เช่นนั้น ก่อนที่รอยยิ้มอบอุ่นจะปรากฏในแววตาเมื่อได้ยินเสียงหายใจเปี่ยมสุขดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอบอกให้รู้ถึงภาวการณ์หลับอย่างสนิทนิทราของทิวาน้อยของหัวใจ

“ รักเอยรักไหนจะได้เท่า...โอ้รักเราดั่งแสงเงาไม่พรากจากกัน ”




ปล...อย่าถามว่าทำไมมันยาว ก็เพราะอยากขอโทษคนอ่านจากการที่ลงเลทไป1ตอนนั่นแหละ (ก้มหัวปะหลก ๆ) สิริรวม...ตอนที่21นี้ ยาวถึง 9 หน้ากระดาษ (อร๊ากกกกก...ปั่นทั้งวันมา...นับนิ้ว ๆๆๆ 4วัน) <<< สถิติไม่คืบหน้า รอบนี้ก็ยังใช้เวลาเท่ากับ 4 วันเต็มเหมือนเดิม T^T


หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 27-11-2007 21:48:57
ราตรีประดับดาว22
โดย:ทิวารา

ในห้วงสำนึกที่ลางเลือน...ความฝันคล้ายมีเพียงสีขาวโล่ง สนธยาเห็นใครอีกคนหนึ่งซึ่งละม้ายคล้ายกับคนเองยืนอยู่ต่อหน้าด้วยเครื่องแต่งกายสีขาวโบราณ

// ขอเพียงเจ้ายอมรับหัวใจเท่านั้นก็จะเข้าใจ...เพราะอย่างไรเสียเราก็เป็นคน ๆ เดียวกัน //

เสียงทุ้มเย็นดังกังวานในห้วงฝัน ก่อนที่นายสนธยาจะพยักหน้าเบา ๆ ยอมรับด้วยความเต็มใจ...อีกฝ่ายจึงเดินมาหาทั้งชุดโบราณก่อนจะเดินหายเข้ามาในร่างกายของเขา

วินาทีนั้นเองที่เหมือนภาพมัวสองภาพที่ไม่ซ้อนทับกันสนิทแนบ...กลับแนบสนิท แล้วภาพเหตุการณ์หลายหลากก็ไหลบ่าเข้ามาในพื้นที่สมอง และจากที่ไม่เข้าใจ...สนธยาก็เข้าใจทุกอย่าง เหมือนกับ...วินาทีนี้เขาได้รับอีกครึ่งหนึ่งซึ่งหายไปคืนมา

สนธยาที่มีแต่ความสับสน...ทิฐิ...และร้อนเร่า บัดนี้ได้ถูกเติมเต็มให้ครบ...ถึงส่วนที่อ่อนหวานเย็นรื้นแล้วในที่สุด!!


แสงยามเช้าส่องกระทบวงหน้ากลมจนคนตัวเล็กค่อย ๆ ตื่นขึ้นจากห้วงฝันอันสนิทแนบ พร้อม ๆ กับสัมผัสได้ว่าอ้อมแขนแข็งแกร่งของใครคนหนึ่งโอบรอบตนเองเอาไว้อย่างแหนหวง

ทิวายิ้มกับใบหน้าคมซึ่งบัดนี้ยังหลับสนิทนิทรา...ก่อนที่จะหันไปสูดอากาศ รับลมที่พัดวูบเข้ามาจากทางหน้าต่าง

กล่อง...ที่วางสงบอยู่ที่หัวนอน ทิวาหยิบมันมาเปิดช้า ๆ ด้วยแววตาอมโศกน้อย ๆ แต่ของดวงตานั้นก็ยังมีรอยหวาน เมื่อมองยังแหวนทองลายบัวกระหวัดก้านรัดพันไปมาอย่างงาม ระหว่างที่จะเลื่อนมือลงแตะยังของชิ้นนั้นอย่างแสนรัก...คนตัวสูงซึ่งเคยหลับสนิทกลับขยับกาย แล้วความเอวบางวูบเข้าหา

“ ตื่นแล้วเหรอเจ้า ?... ”

คนตัวตัวยังงัวเงีย...แต่คำพูดคำจานั้นเล่าพาให้ทิวาใจสะดุ้ง เนื่องจากสนธยาดูแปลกแผกไปกว่าที่เคย

“ อื้อ...สน ”

“ ฮื้อ!...ไม่เอาสิ เรียก...พี่สนสิเจ้าตัวน้อย ”

คนตัวโตค่อย ๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง...ดวงตาที่เคยแลดูสดใสและโลดเต้นเหมือนเด็กรุ่น ๆ นั้นบัดนี้กลับกลายเป็นแววตาที่จะเย็นสงบเหมือนผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่ จะโลดเต้นแรงร้อนเหมือนเด็กหนุ่มก็ไม่เชิง...เหมือนผสมผเสกันอยู่ในที

“ จำได้ว่าบอกไม่รู้กี่รอบ...ว่าให้เรียกพี่สน เดี๋ยวเถอะ...ถ้าดื้อเดี๋ยวพี่ตีมือให้ซะหรอก ”

ดวงตากลม...หวาน ยังมีรอยงุนงงเหมือนกำลังเห็นความฝันกระนั้น ในขณะที่คน ‘จะตีมือ’ กลับยิ้มหวานอ่อนโยนให้ราวกับย้อนคืนวันวานให้ย้อนมาต่อหน้าคนตัวเล็ก

“ พี่จำได้แล้ว...ทิวาน้อยของพี่เอย ”

เพียงเท่านั้นจริง ๆ ที่เรียกน้ำตาให้หยดเผาะลงจากดวงตากลม ๆ ทั้งรอยยิ้มเป็นสุขล้นเหมือนฝันเป็นจริง สนธยารวบมือเล็กบางก่อนจะลูบเบา ๆ เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายปล่อยโฮ ก่อนที่จะใช้นิ้วซับน้ำตาหยดน้อยมาแตะที่ริมฝีปากตนเบา ๆ

“ เจ้าจะร้องไปใยเล่า...ดูซิ น้ำตาหยดใหญ่แล้ว...ดูเถิด ถ้าไม่หยุดละก็พี่จะกินน้ำตาเจ้าให้หมดเลยดีไหม? ”

เจ้าตัวไม่ขู่เปล่า...ก้มลงแตะริมฝีปากลงกับรอยชื้นบนแก้มนิ่มเป็นหลักฐานประกอบไปด้วย จนคนตัวเล็กหยุดร้อง...นั่นแหละเขาถึงได้หยิบแหวนทองวงเดิมที่เคยคุ้นในหัวใจขึ้นมาสวมให้ทิวา ค่อย ๆ ...สอดแหวนลงไปบนนิ้วน้อย ๆ อย่างเบามือ

“ สาว ๆ เขาใส่นิ้วนางซ้าย...พี่ให้เราใส่นิ้วกลางแล้วกัน เพราะถึงอย่างไรเราก็ผู้ชาย ”

เขาบ่น...ในขณะที่ทิวาเต็มตื้นในหัวใจ

// ดูเถิด...เจ้าตัวได้ครองเขาแล้ว แต่ก็ยังคำนึงถึงศักดิ์ถึงศรีแทนให้โดยไม่มองผ่าน เช่นนี้ไงเล่า...ที่เขาว่าแม้ใครมองไม่ผ่องใส แต่หัวใจที่คนรักทอดมองแก่กันนั้นยังคงไว้ซึ่งความสะอาดบริสุทธิ์ไร้ราคี และพร้อมที่จะเมตตาปราณี...ยกคนที่รักไว้ให้สูงเสมอค่าตนเองอยู่ตลอดกาล //

นับจากวินาทีที่ได้สวมแหวนวงนั้น...ชีวิตก็เหมือนกับรอยฝันที่ลืมตื่นของทิวานั้นได้คืนย้อนมาอีกคราหนึ่ง!


นับจากวันนั้น...สนธยาไม่เคยเลยจะปล่อยให้คนตัวเล็กต้องเดียวดาย เขาทั้งไปทั้งมาในโรงเรียนเคียงข้างราวกับเป็นเงาใหญ่ของคนตัวเล็กนิดเดียวอย่างทิวา แล้ว...ทิวาน้อยก็สดใสขึ้นเป็นลำดับ จากที่ยิ้มน้อยก็ค่อยยิ้มมาก...ถึงแม้จะแค่ยิ้มบาง ๆ ก็ตามที

คนตัวสูงมิเคยใส่ใจสายตาของเพื่อนฝูงและคนรอบข้างซึ่งค่อย ๆ มองกันแปลก ๆ เพราะประสบการณ์ครั้งที่ยังเป็น ‘คุณสน’ นั้นสอนให้นายสนธยาคนนี้รู้ว่า

// การไม่ได้อยู่กับคนที่รัก ไม่ได้ทำอย่างที่อยากทำและอยากรักมันทรมานเพียงไหน...จนกว่าเมื่ออายุไขจะหมดสิ้นในกาลนั้น //

ดังนั้นในหนนี้เจ้าตัวจึงถือว่าสายตาเสียดแทงของคนรอบข้างนั้นเป็นเพียงแค่ใยเบาบางในลมฟ้า ในอากาศเท่านั้น ไม่ได้ถือเป็นหนักเป็นหนาอันใดเลย!!

พิมลที่ทิวาเคยไปอาศัยขอนั่งเรียนด้วยช่วงระยะหนึ่งก็ยังทัก ยังแซว...แต่ก็ทักและแซวด้วยความยินดีที่เห็นคนทั้งคู่ที่เคยทะเลาะหมางใจนั้นกลายมาเป็นเหมือนเงาตามตัวกันและกัน และแสงเงานั้นก็พาให้ห้วงอารมณ์ของคนทั้งคู่สมบูรณ์

แต่...ก็มีบ้างที่เพื่อน ๆ บางคนจะเห็นขัน บางคนก็แสดงทีท่ารังเกียจรังงอน แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยใส่ใจ...เว้นแต่จะถูกล่วงล้ำ ข่มเหงน้ำใจ

“ ยิ่งมองพวกแก ก็ยิ่งแขยงว่ะ...!! ”

เพื่อนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเมื่อครั้งที่ทั้งคู่ไปไหน ๆ ด้วยกันในช่วงแรก และในตอนนั้นเองที่สนธยาคนที่เคยเย็นขึ้นกลับเหมือนถูกปลุกให้กลับกลายคืนไปเป็นสนธยาคนขวานผ่าซาก และดูเหมือนจะแรงร้อนได้เสียกว่าเดิม

“ กูก็แขยง... ”

สนธยาตอกกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยเย็นยะเยือก...ในขณะที่ดวงตานั้นต่างหากเล่า...ที่ทอประกายวะวับโลดแรง

“ อะไรวะไอ้สน!! พูดงี้หมายความว่าไง...มาแขยงกูตรงไหน กูไม่ได้เหมือนพวกมึงซักหน่อย!! ”

คนตัวสูงค่อย ๆ ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงที่หมู่นี้พุ่งพรวด ๆ ดวงตาคมกริบที่ทุกคนเคยเห็นว่าระยะหลังแลดูฉ่ำเย็นนั้นกลับแปรรอยไปอย่างสิ้นเชิง สร้างความกดดันแก่ผู้เข้ามาสพประมาทเป็นกำลัง จนเจาตัวถึงกับเผลอผวาถอยหนีอย่างช้า ๆ โดยไม่รู้ตัว

“ แขยง...พวกดีแต่ปาก สมองก็อัดแน่นด้วยก้อนขี้เลี่อยจนทำอะไรอื่นไม่ได้นอกจากแส่...ส่าย หาเรื่องชาวบ้านไปวัน ๆ โดยไม่เคยทำตนเองให้มีคุณค่าราคาใดใด!! ”

วาจาเผ็ดร้อนรุนแรง...เต็มไปด้วยคำกระทบแบบผู้ใหญ่ ทำเอาคนอื่น ๆ ที่กำลังเงี่ยหูฟังตามประสานิสัยช่างสอดรู้เรื่องชาวบ้านถึงกับผวา เนื่องจากมิเคยเป็นมาก่อนเลยที่สนธยาจะกล่าววาจาได้เผ็ดร้อนเต็มกำลังเช่นนี้

แต่ทุกอย่างนั้นเป็นเพราะสนธยาทนไม่ได้...

// ด่าว่าเพียงเขา ๆ ทนได้ แต่อย่าหมายมาฉุดทิวาลงมาด้วยคำปรามาส...เพราะสำหรับเขา เขารักของเขา...ยกของเขาไว้ให้มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมแลเสมอกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางทนได้หากใครอื่นจะมาฉุด...มาทำให้ด้อยค่าลง //

ทิวาเป็นเด็กทุน...เกรดก็ออกมาสวยยิ่งกว่าสวย ส่วนสนธยา...เด็กที่ปรกติแม้ไม่ใยดีกับการเรียนก็ยังรั้งลำดับที่ไม่ต่ำกว่า 5 และเป็นที่รู้กันว่าวิชาหลัก 2 อย่างคือวิทย์และคณิตนั้นคนตัวสูงเป็นที่พึ่งของเพื่อนฝูงค่อนห้องยามที่ข้อสอบเทอมไหนมันเกิดมหาหินจนต่างคนต่างก็ทำกันไม่ได้ สุดท้ายก็นายสนนี่แหละให้ลอกทั่วราชอาณาจักรจนผ่านมรสุมกันยกห้อง

ยิ่งเคร่งขรึมยิ่งพาให้คนรอบข้างค่อยเกรง...จนมาพักหลังทุกคนเห็นการกระทำของสนธยาและทิวาเป็นเรื่องปรกติไปโดยปริยาย

“ พี่สนนี่น้า...เวลาดุเนี่ยน่ากลัวจัง ”

ถ้าแค่ระหว่างสนกับวาคุยกัน...คนมักได้ยินทิวาเรียกอีกฝ่ายด้วยการเรียกขึ้นต้นด้วยคำว่า ‘พี่’ อย่างอ่อนหวาน แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

ในขณะที่สนธยาเองก็ก็เรียกคนตัวเล็กอย่างที่คุ้นปากมาช้านาน...

“ ก็มันมาว่า...วาน้อย ”

แสง...เงา กลางวัน...และกลางคืนประจงผสมรวมกันจนเป็นเนื้อเดียว ไม่แปลกแยกแตกต่าง เป็นเช่นนั้นได้เพราะต่างคนต่างก็รักและเอาใจใส่ อีกทั้งต่างก็ยกกันเอาไว้เสมอเทียมกันด้วยความรัก ไม่ปรารถนาหักหาญข่มเหงกันเอง

ความสุขก็เลยเป็นความสุขโดยมิมีวันแปร...เพราะหัวใจที่ไม่เคยเปลี่ยน ทำให้รักและศักดิ์ศรีของกันและกันไม่เคยเปลี่ยนเลยเช่นกัน!!

=TBC=
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 27-11-2007 21:54:20
ราตรีประดับดาว23
โดย:ทิวารา

ในขณะเดียวกันนั้นภูริที่พึ่งกลับมากจากการไปเยี่ยมบ้านที่ต่างจังหวัดนั้นกลับเวียนวนมาสนทนากับทิวาบ่อยครั้ง จนสนธยายังแอบรู้สึกแอบหวงไม่ได้ จนกระทั่งทิวามองคนตัวโตทำหน้างอราวจวักนั่นแล้วอดขำไม่ได้...จนหนักเข้าจึงได้เฉลยความ

“ พี่สนโกรธที่วาคุยกับภูริเหรอจ๊ะ ? ”

“ เปล่า...พี่จะไปโกรธวาทำไม ”

คนตอบพยายามบังคับไม่ให้เสียงที่เอ่ยนั้นแสดงอารมณ์ใดใด แต่นัยน์ตาคมคู่นั้นกลับแวววาวเมื่อพูดถึงภูริขึ้นมา

“ ...พี่สนจ๊ะ อย่างอนเลยนะ ก็...ภูริแค่มาปรึกษาปัญหาหัวใจเฉย ๆ ”

พอพูดถึงหัวข้อสนทนาเท่านั้นแหละ...คนตัวโตที่กำลังงอนก็เริ่มตาลุกวาว

“ อ๊ะ!! ”

อ้อมแขนแข็งแรงคว้าคนตัวบางก่อนจะกดลงกับเตียงนอน ใบหน้าคม ๆ นิ่งสนิท แต่ดวงตานั้นกลับมีแววตัดพ้อหมองเศร้าจนทิวาสงสาร...ไม่อยากแกล้งอีกสืบไป

“ พี่สน...วาขอโทษ อย่าทำหน้าแบบนี้สิ...วากับภูริคุยกันเรื่องพี่นุชเท่านั้นเอง ”

คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ่อนลง ในขณะที่สนธยาเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

“ ก็...ภูริน่ะสิ ภูริเค้าชอบพี่นุชละจ้ะพี่สน เค้าก็เลยแวะไปหาพี่นุชก่อนกลับมาที่หอ แล้วคงคุยกันยังไงแล้วเข้าใจไม่ตรงกัน...ถึงได้โกรธกันมา ”

สำหรับคุณนุชที่อายุ 26 พึ่งจบมหาลัยและเข้าทำงานราชการเป็นครูหมาด ๆ กับเพื่อนรุ่นเดียวกันอย่างภูริ...ที่อายุเพียงแค่ 16 นั้นทำให้สนธยาอดตกใจไม่ได้...

“ ฮื้อ!! นายภูริไปชอบพี่นุชรึ!!...อายุห่างกันเป็น 10 ปีเชียวนะ!!...วาอย่าล้อเล่นไปสิ ”

แต่คำยืนยันของคนตัวเล็กกลับทำให้สนธยาต้องมองนายภูริเสียใหม่...เพราะเจ้าตัวไปบ้านทิวามาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ซึ่งก็คือตอนม.2 จากนั้นก็เทียวแวะไปเยี่ยมกันบ่อย ๆ ...ลงท้ายถึงได้มาสารภาพให้ทิวาฟังถึงความในใจเมื่อไม่นานมานี้เอง

“ พี่นุชเค้าไม่มีแฟนนะ...แต่ไม่เห็นพี่เค้าจะเอาใจภูริเป็นพิเศษเลยเนี่ยสิ สงสัยเค้าจะเห็นว่าภูริเด็กกว่ามากละมั้ง...ภูริก็กลุ้มใจจนมาปรึกษาวาเนี่ยละจ้ะ แต่...วาก็ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เลย ”

ท้ายประโยคนั้นคนตัวเล็กเริ่มมีสีหน้าหม่นหมองเมื่อช่วยเหลือเพื่อนสนิทไม่ได้เท่าที่ควร ทำเอาสนธยาต้องลูบไหล่ปลอบทั้งรอยยิ้มบาง ๆ

“ อย่ากังวลไปเลย...กรณีภูริเนี่ยไม่ใช่กรณีปรกตินะวา พี่ว่าเราคงช่วยได้ไม่มากนักหรอก คงต้องให้พี่นุชเค้าคุยกับภูริกันเอง ”

สนธยาแนะนำพลางให้เหตุผลเหมือนผู้ใหญ่ปลอบเด็ก...แต่ในใจกลับคิดว่าตนเองควรพูดคุยกับภูริบ้าง เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำอะไรลงไปตามอารมณ์จนเกินไป

// อย่างน้อยทางวิญญาณเขาก็เป็นพี่...เป็นอาวุโสกว่าภูริหลายสิบปีละนะ //

หลังจากที่ทิวาหลับสนิท...สนธยาค่อย ๆ เคาะห้องของเพื่อนจนกระทั่งภูริเปิดประตูรับ สภาพของภูริค่อนข้างแย่เพราะดูเครียดขึงและดูเหมือนคนพักผ่อนไม่ค่อยเพียงพอสักเท่าไหร่ ทำเอาสนธยาต้องคิดใหม่...เมื่อในตอนแรกเขาคิดไว้ว่าภูริอาจจะคิดอะไรไปตามประสาวัยรุ่นมากกว่าจะเป็นความรู้สึกแท้จริงหรือทำไปเพราะใคร่ครวญแล้วอย่างลึกซึ้งว่ารักคุณนุชจริง ๆ

“ วาบอกเราแล้ว...นายมีเรื่องไม่สบายใจเกี่ยวกับคุณนุชเหรอ ? ”

ภูริดูตกใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขื่น ๆ ให้แขกผู้มาเยือนถึงในห้อง

“ อือ...สน กูบอกพี่เค้าแล้วนะว่ากูชอบเค้า แต่...เค้าบอกว่ากูยังเด็ก มีอนาคต แล้ว...บ้านกูก็มีสวนมีไร่มาก แล้วกูยังเป็นลูกคนเดียวอีก...เค้าบอกว่าวัยของเราห่างกันเกินกว่าที่ใคร ๆ จะเห็นดีเห็นงามให้รักชอบกันได้ ”

ภูริเล่าตามตรง...ทำเอาสนธยาต้องค่อย ๆ นั่งลงข้าง ๆ เพื่อนแล้วตบไหล่เจ้าคนที่เคยร่าเริงเบา ๆ เป็นการปลอบ

“ นายชอบเค้ามากเลยใช่ไหม ?... ”

พอถูกถามเช่นนี้...นายภูริที่เคยขี้เล่นกลับทำหน้าราวกับคนอยากจะร้องไห้

“ สน...ถึงกูจะกำพร้าแม่ แต่ที่กูรักคุณนุชนั่นไม่ใช่ว่ากูจะเอาเขามาแทนแม่ กูรักเค้าเพราะเค้าเป็นคนอ่อนหวาน...ใจเย็น แล้วก็เตือนสติกูตลอด...ในขณะที่ผู้หญิงคนไหนก็เป็นไม่ได้เท่าคุณนุชเลย มึงดูซิ...กี่คน ๆ ก็เอาแต่เป็นนางงามนกหงส์หยกเกาะกระจกตบแป้งไปวัน ๆ แบบเดียวกับแม่เลี้ยงกูไม่มีผิด กู...รักใครไม่ลงจริง ๆ จนกระทั่งกูไปบ้านวา แล้วกูก็พบคุณนุชที่นั่น ”

ภูริเว้นระยะไปหน่อยนึงเพื่อปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่นไหวก่อนจะเอ่ยต่อ

“ ตั้งแต่จบม.2ปีนั้นกูก็ตั้งใจเรียนมาตลอด อยากจะเอนต์ติดแล้วก็ทำงานดี ๆ ไม่ให้คนในอาชีพครูอย่างคุณนุชต้องอายหากจะมาคบหากับคนอย่างกู ... ใคร ๆ เขาจะได้ไม่หาว่ากูรวยท่าเดียวแต่หาความรู้ไม่ได้ กูเองก็คิดว่ากูยังไม่อยากพูดหรือบอกคุณนุชตอนนี้เลยว่ากูชอบเค้า แต่ว่า...ตอนกูไปหาที่โรงเรียน กูเห็นคุณนุชอยู่กับนักเรียน แล้วก็...มีครูหนุ่ม ๆ คุยกับคุณนุชเค้าท่าทางสนิทกันมาก กูก็เลยกลัว...แล้วก็เลยบอกไปว่าชอบ ”

พอพูดมาจนถึงตรงนี้...ภูริก็ก้มหน้านิ่ง หยุดเสียงสั่นไหวนั้นลง ก่อนจะกลั้นใจถามขึ้นทั้ง ๆ ดวงตาคลอน้ำตา

“ สน...กูบ้าไหมนี่ที่เป็นแบบนี้ กูผิดรึเปล่าเนี่ยที่รักเค้า ? ”

“ บ้า...รักไม่เคยเป็นความผิดหรอก จะผิดก็ต่อเมื่อเอาความรักมาทำให้คนอื่นเสียใจ...หรือทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสียคุณค่า ”

สนธยาพูดพลางยิ้มให้เพื่อนด้วยรอยยิ้มเย็นรื่น...ทำเอาภูริยิ้มออกมาได้บ้าง หลังจากเฝ้าโทษตัวเองมาตลอดทั้งวัน แต่...สนธยาไม่นึกโทษเพื่อนเลย เนื่องจากรู้ดีว่า...หัวใจรักไม่สามรถบังคับได้ด้วยเหตุผลซึ่งกลั่นกรองด้วยสมอง แต่...สมองนั้นสามารถใช้คิดหาทางให้ตัวเรารักคนที่เรารักได้อย่างถูกวิธีได้...ก็เท่านั้นเอง

“ จำไว้...อย่าใจร้อนอีก คุณนุชเธอเป็นกุลสตรี นิสัยเธอก็นุ่มนวลเรียบร้อยเหมือนวา...คงไม่ใช่คนเข้าหาใครง่าย ๆ ดังนั้นนายต้องอดทนนะภูริ ทำตัวให้โตสิ...นายจะได้โตแล้วก็สมกับคุณนุชจริง ๆ โดยที่สามารถยืนข้าง ๆ เข้าได้โดยไม่ต้องอายใครไงล่ะ ”

เหมือนพี่...สอนน้อง จนภูริพยักหน้าทั้ง ๆ น้ำตาจะหยด ก่อนที่สนธยาจะขอตัวกลับห้อง ปล่อยให้นายภูริอยู่เงียบ ๆ และหาหนทางที่เหมาะสมต่อไป

// ภูริเอ๊ย...10ปีรักกันน่ะไม่ยากหรอก ยาก...ตรงรักษารักให้งดงามมั่นคงและยืนนานชั่วชีวิตต่างหากเล่า //

สนธยาเดินเข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าเบากริบ...ก่อนที่จะนั่งลงข้างเตียง ปัดริมฝีปากลงบนแก้มนวลของคนตัวเล็กที่หลับสนิทเบา ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ เอนกายลงนอนเคียงข้าง

=TBC=

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: THIP ที่ 27-11-2007 22:01:18
 :o8:  :o8:  :o8:  :o8:  :o8:
เรื่องนี้หวาน ๆ เย็น ๆ ดีจัง ชอบมากเลยค่ะ  :give2:   :give2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 28-11-2007 09:01:54
หวานซึ้น น่าติดตามต่องับ  o13
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: ken_krub ที่ 28-11-2007 14:31:00
เป็นกำลังใจให้ครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 29-11-2007 12:19:14
แม้แต่บทฮัศจรรย์ยังหวานเลย  ซึ้งๆ ได้บรรยากาศมากๆ  :m1:  :m1:

อ้างถึง
10ปีรักกันน่ะไม่ยากหรอก ยาก...ตรงรักษารักให้งดงามมั่นคงและยืนนานชั่วชีวิตต่างหากเล่า
พูดอีกก็ถูกอีก 

รออ่านต่อน้า  อยากรู้ว่าเรื่องจะเดินไปทางไหน  อิอิ เป็นกำลังใจให้ himecrazy กับคนแต่งด้วยจ้า  :a2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 05-12-2007 16:22:08
ยังไม่มาต่ออีกหรองับ  :m17:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [อัพตอนใหม่แล้ว ค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 11-12-2007 23:53:04
 :try2: :o11: :undecided:  ขอโทษษษ ค่า  ที่ไม่ได้มาอัพซะนานเลย  เนื่องจากยุ่งๆๆนิดหน่อย ค่ะ

ราตรีประดับดาว23
โดย:ทิวารา

แต่ไอ้บ้าภูริก็ยังเป็นไอ้บ้าภูริ...มันก็เอาของมันจนได้

ภูริลากทิวากับสนธยาไปหาคุณนุชในสุดสัปดาห์ถัดมา...ท่าทางเธอนิ่งสงบและดูใจเย็น ในขณะที่ภูริก็นิ่ง...ขรึมลง แต่มันกลับเปิดประเด็นโต้ง ๆ จนทิวากับสนธยายังสะดุ้ง ต้องนับถือหัวใจคุณนุชเธอเลยจริง ๆ ที่ยังครองสติสงบนิ่งต่อกรกับไอ้บ้าภูริไว้ได้อย่างมั่นคง

“ คุณนุช...ผมอาจเป็นเด็ก แต่...เรื่องอายุ เรื่องอื่น ๆ นั้นช่างมันก่อนได้ไหมครับ ? ”

ภูริค่อย ๆ พูดขึ้นอย่างใจเย็น โดยที่คุณนุชกลับนั่งฟังนิ่ง ๆ ...แต่ในสายตาสนธยากลับรู้สึกได้ว่าเธอกำลังตื่นเต้นอยู่มากเหมือนกัน เพราะดูจากอาการประสานมือนิ่ง กับที่เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าแล้วเล็กน้อย คาดว่าคุณนุชเธอคงมือเย็นพอควรทีเดียว

“ ตอบผมได้ไหม...แค่คำเดียว แต่ไม่เอาเหตุผลอื่นมาปนนะครับ ”

ภูริส่งสายตามองคุณนุชนิ่ง น้ำเสียงที่พูดไม่มีรอยล้อเล่น แต่มั่นคงหนักแน่นเป็นกำลัง...จนเธอต้องพยักหน้าน้อย ๆ

“ รักผมบ้างไหม ?...รึเกลียดผม ? ”

สนธยาจะบ้าตาย...ทั้ง ๆ ที่บอกว่าไม่ให้หุนหัน แต่มันก็เอาของมันจนได้ เพราะเขาสังหรณ์ใจตั้งแต่ประโยคเมื่อครู่แล้วว่าต้องลงอีแบบนี้ แน่ ๆ

สนธยาว่าตกใจแล้ว...ตัวคุณนุชนั้นคงตกใจกว่ามากกว่า สนธยาเห็นเธอเบิกตาโพลง...แล้วก็สังเกตว่าแก้มเธอเริ่มขึ้นสีเรื่อทั้ง ๆ ที่ใบหน้ายังสงบนิ่ง แต่ทว่าสัญญาณที่เห็นเพียงแค่นั้นก็ทำให้คนตัวสูงอดยกมุมปากขึ้นมาน้อย ๆ ไม่ได้

หญิงสาวที่นั่งสงบนิ่ง...ใบหน้าเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดพรายพร้อม ๆ กับปลายนิ้วเรียว ๆ สั่นน้อย ๆ หลุบสายตาลงต่ำเพราะไม่อาจสู้สายตาของคนที่เอ่ยถามคำถามแก่เธอได้

ส่วนภูรินั่น...พอเห็นเธอหลบตาก็เริ่มหน้าหมอง ดวงตาที่เคยวาวแสงอย่างคาดหวังพลันสลดวูบลงอย่างน่าสงสารจนกระทั่ง...

“ ถ้าไม่นับ...เรื่องอายุ กับ...เรื่องอื่น ๆ ...ก็....ไม่ได้เกลียดค่ะ ”

กว่าจะตอบ...ภูริก็ใจเสียไปหลายอึดใจ แต่พอคำตอบเข้าหูไป...คนที่เคยหน้าหมองก็หน้าบาน ยิ้ม...จนหุบไม่ลง และเพราะไอ้จอมดื้อมันรู้ว่าคุณนุชเธออายแสนอาย...มันจึงได้พยายามพูดสั้น ๆ บอกด้วยน้ำเสียงมั่นคง

“ รอนะครับ...ไม่กี่ปีผมจะโตขึ้นให้ทันคุณนุช แล้ว...จะไม่ให้ตัวผมทำให้คุณต้องอายใคร ๆ เด็ดขาด ”

เหตุการณ์นี้ทำให้สนธยาชักรู้สึก...ว่าไอ้บ้าภูริก็รู้จักหาวิธีดื้อแพ่งเอากันนิ่ง ๆ ได้เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่สิ่งใดใดที่มันไม่ใส่ใจ มันจะไปเหลียวแลไม่สนใจถามหาอยากได้ คิดแล้วก็ให้ขำแสนขำ...เพราะเมื่อดูฝั่งคุณนุชที่หน้าเรื่อสีแล้วก็หันไปเปรียบเทียบคนตัวเล็กที่นั่งเคียงข้าง ...สนธยามองทิวาพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคออย่างนึกเอ็นดู

// คุณนุชนี่จะไปว่าเหมือนใครได้...นอกจากว่าเหมือนวานี่แหละ เพราะนิสัยใจคอกับกิริยาอาการนั้นเหมือนกันไม่มีผิด //

“ พี่สน...หัวเราะอะไรจ๊ะ ? ”

ทิวาถามอย่างไม่เข้าใจ...ในขณะที่คนตัวโตยิ้มพรายโดยไม่เอ่ยตอบกระไร

ดู ๆ แล้วชีวิตก็เป็นไปอย่างเรียบง่าย...แสนสุข

แต่หน้าที่ ๆ ยังเหลืออยู่อีกอย่างในหน้าที่ ๆ เป็นเจ้าสนธยานั้นก็ยังมีอยู่ และดูเหมือนคนตัวสูงจะกำลังต่อสู้ยิบตาอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เอ่ยบอกใคร

ต่อสู้...ให้ได้อยู่คู่เจ้า จะให้ทำเท่าไรเขาก็ยอม สนธยาคิดในใจพลางถอนหายใจเบา ๆ โดยไม่ให้ใครเห็น โดยที่ใบหน้าคมนิ่งเย็นนั้นแลดูสงบแต่ทว่าในใจของสนธยานั้นกลับใคร่ครวญหา...วิธีนานาเพื่อให้เวลาสุขสงบที่มีนั้นยังคงอยู่อีกนานเท่านาน

‘ สน...แม่ขอละลูก ไปเถอะนะ ต่อไปข้างหน้าหน้าที่การงานจะได้ราบรื่น...สบาย เพราะเรียนเหมือนคนอื่น ๆ ก็จบปริญญาตรีกันเกลื่อนเมือง แม่อยากให้ลูกสบายในเวลาที่แม่ไม่อยู่ประคับประคองในภายหน้า ’

คิดแล้วรวดร้าวในหัวใจ...เมื่อมารดาของนายสนธยามีความหวังให้ลูกได้ไปเรียนต่อต่างประเทศ อยากให้ลูกเรียนจบกลับมา และเธอจะได้มั่นใจว่าความรู้ทีมีนั้นจะช่วยให้หน้าที่การงานของเขาในภายหน้าสะดวกสบายกว่าคนอื่น ๆ

เขารู้ว่าแม่หวังดี...และลำบากใจนักหนาที่จะปฏิเสธด้วยท่าทีที่ดื้อดึงแข็งขืน เพราะ...ที่แม่ทำไปนั้นเนื่องจากเธอเป็นห่วงลูกชายคนเล็กที่เธอมี ว่าจะไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ยามที่เธอไม่อยู่ดูแลในภายหน้า

และก็รู้...พี่ชายต่างมารดาของสนธยาคงไม่ใคร่อยากโอบอุ้มดูแล หากสิ้นแม่ที่ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงแล้วนั้น พี่น้องก็คงไม่เหมือนพี่น้องกันอีกสืบไป...เนื่องจากอนุพงษ์เกลียดแม่และเขานัก ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องก็ไม่สู้ดีและเป็นเรื่องที่มีแต่การแสดงละครเพื่อให้คุณพ่อสบายใจว่าพี่น้องต่างมารดาทั้ง 2 นั้นเข้ากันได้ดี

คุณพ่อ...ไม่เคยรู้ว่าพี่คนโตเกลียดแม่ใหม่และน้องเลี้ยงมากมายขนาดไหน มาก...เกลียดมากขนาดที่ยัดเยียดข้อหาให้มากมาย

แม่เคยเรียกสนธยาไปคุย...ถึงความกังวลใจนานา กลัวว่าภายหน้าหากพี่ชายรับช่วงกิจการของพ่อแล้วแม่เป็นอะไรไปตัวสนธยาคงลำบาก เพราะอย่างนั้นแม่ถึงได้ขอร้อง...ให้เขาเรียนที่ ๆ ดีที่สุด เพื่อเป็นหลัก...เป็นประกันว่าจะไม่มีวันตกงาน ไม่มีวันอดตาย

และเพราะรู้...ว่าแม่หวังดี เพราะอย่างนั้นจึงไม่อาจหักหาญน้ำใจแม่ได้โดยง่าย ได้แต่พยายามปฏิเสธอย่างนุ่มนวล พยายามรักษาน้ำใจแม่มากที่สุด เพราะที่แล้วมาแม่ไม่เคยโทษใคร...แม่โทษแต่ตัวเอง และก็ร้องไห้...หวาดกลัวถึงอนาคตของลูก เพราะอย่างนั้นเขาจึงไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่หวัง...ว่าแม่จะเปลี่ยนใจและตัวเขาก็ได้แต่พยายามอธิบาย...โน้มน้าวให้แม่เชื่อว่าการไปจากแผ่นดินนี้มันไม่จำเป็นเลย

สนธยามองคนตัวเล็ก...มองดวงตากลมโตสดใสด้วยหัวใจสะดุดวูบ แต่ก็ต้องซ่อนรอยร้าวรานไว้ให้ลึกโดยไม่ให้เหลือไม่ปรารถนาให้เหลือรอด ให้ปรากฏใบใบหน้า...ไม่อยากพูดให้คนตัวเล็กไม่สบายใจ

“ วา...พี่รักเธอนะรู้ไหม? ”

คนตัวสูงเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเย็นรื้น...แต่รอยเศร้าก็ยังสะท้อนลึก ทิวามองสนธยาด้วยแววตาสงสัยก่อนที่จะยิ้มหวานให้อย่างสดใส...อบอุ่น

“ จ้ะ...วาก็รักพี่สน ”




ราตรีประดับดาว25
โดย:ทิวารา

// ทั้งหมดที่ทำลงไป...ก็เพราะรักทั้งนั้น //

ความงดงามของรัก...คือการปกป้องศักดิ์ศรีของคนที่รักยิ่งกว่าสิ่งใดอื่น เพื่อให้ใคร ๆ ต่างก็มองคนที่เรารักด้วยความชื่นชม...ยินดี สนธยาเคยเป็นอย่างไรเมื่อครั้งเป็นพี่สน สุดท้ายนิสัยใจคอและความคิดก็ยังเป็นเช่นนั้นมาจนวันนี้

เขาไม่...กอดทิวาต่อหน้าคนอื่น
เขาไม่...ทำตัวรุ่มร่ามต่อหน้าใคร ๆ
เขาไม่...ละเลยต่อคุณค่าของทิวา
เขาไม่...คิดว่าทิวาคือของ ๆ ตัวเอง
เขาไม่...เอารักของตนเองไปบังคับฝืนใจทิวา
เขาไม่...ไม่มีวันเลิกรักได้เลย
เพราะเขาไม่เคย...รักใครด้วยสมอง แต่รัก...ด้วยหัวใจ


ที่เขาไม่กอดต่อหน้าใคร ๆ...เพราะเขาไม่อยากให้ใครมองทิวา ไม่อยากให้กลายเป็นจุดเด่น ไม่อยากให้ทิวาเขินอาย
ไม่ทำตัวรุ่มร่าม...เพราะจะงดงามกว่าหากรักกันด้วยวิธีอื่นที่ไม่ใช่การแสดงออกเพื่ออวดให้ใคร ๆ รู้เป็นการแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
ไม่คิด...ว่าทิวาเป็นของ ๆ เขาเพราะทิวาเป็นตัวของทิวาเอง เพียงแค่เรารักกัน ดังนั้นหัวใจเราจึงปฏิพัทธ์ต่อกัน
เพราะเขาใช้หัวใจ...สัมผัสส่วนเนื้อของหัวใจของคนตัวเล็ก เขาจึงนึกรัก
ไม่เคยใช้...สมองไตร่ตรองให้รัก เพราะ...หากรักด้วยสมองหมายถึงรักในองค์ประกอบที่คน ๆ มีแต่มิใช่...ตัวของคน ๆ นั้นจริง ๆ

แต่ทว่า...บางครั้งสุดท้ายคงต้องกดหัวใจที่แทบแตกออกเป็นเสี่ยงเพื่อเลือกที่จะต้องทำตามหน้าที่

สนธยานั่งเงียบงันในความมืด...ในขณะที่ขณะนั้นเป็นเวลาราวตี 3 กว่า ๆ แต่คนตัวสูงก็ยังคงนอนไม่หลับ เนื่องจากแม่...ยังมั่นคงในคำตัดสินใจนั้นและไม่ยอมเปลี่ยนใจตามที่เขาได้พยายามโน้มน้าวเลย

เสียง...กุกกัก ทำให้สนธยาต้องลุกขึ้นลงไปด้านล่างเพื่อดูว่าใครเข้ามาในบ้าน ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าน่าจะเป็นพี่ชายต่างมารดาเพียงคนเดียวที่บอกว่าวันนี้ไปกินเลี้ยงกับเพื่อนฝูง

อนุพงษ์ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้าบ้านมาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ แต่เมื่อเห็นสนธยาเดินลงมาพบหน้า ใบหน้าที่เคยรื่นเริงก็เปลี่ยน คิ้วหนา ๆ บนใบหน้าคม ๆ พลันขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ

“ ดึกแล้วทำไมไม่รู้จักหลับจักนอน ดูบอลรึไง...เกรดตกละก็เรื่องไปนอกไปเนิกละไม่ต้องไปแล้ว ไปเรียนก็เสียเงินเปล่ากับไอ้คนขี้เกียจอย่างแกน่ะ ”

วาจาถากถาง...รุนแรง เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อลับตาผู้เป็นพ่อและเป็นหัวหน้าครอบครัว

“ เปล่าครับ...ผมแค่ลงมาดูว่าพี่กลับมารึเปล่า เห็นว่าดึกแล้ว...แม่ฝากให้ลงมาดู เผื่อว่าพี่จะเดินไม่ไหว ”

“ ประสาท!! ธุระอะไรต้องให้แกมาช่วยวะ...ไปไหนก็ไปเลยไป คนจะอารมณ์ดี ๆ ก็มาทำให้เสีย ”

อนุพงษ์ไล่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งเอนบนโซฟา...ดูท่าทางจะดื่มมาไม่ใช่น้อย ๆ ชายหนุ่มอายุ 27 ในชุดสูทคลายเนคไทออกก่อนจะหลับตานิ่งนาน กระทั่งเสียงกระทบของแก้วน้ำ...พาให้เขาต้องลืมตาขึ้นมอง

สนธยาหาน้ำมาให้...พร้อมกับผ้าชุบน้ำบิดหมาดในมือ ก่อนจะค่อย ๆ ยื่นส่งให้คนเป็นพี่ชายต่างมารดาช้า ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่มองอย่างไม่สนใจใยดี

“ รับไปก่อนเถอะครับ...ถึงเกลียดผมยังไงแต่จะให้ปลุกแม่บ้านขึ้นมากลางดึกก็คงไม่ดี ”

อนุพงศ์ชักสีหน้า...ก่อนจะกระตุกผ้าชุบน้ำจากมือคนเป็นน้อง แล้วยกน้ำซดอั่ก ๆ อย่างไม่ค่อยพอใจ กลับกันนั้น...สนธยาเพียงมองเงียบ ๆ แล้วเก็บแก้วเตรียมผละจากไป

“ จะไปเยอรมัน...เรียนอะไรของแกไอ้สน ”

จู่ ๆ คนที่นั่งหงุดหงิดก็ดึงเสื้อเขา แล้วถามขึ้นท่ามกลางความเงียบ แก้วน้ำที่ถือไว้หล่นแตกกระจายเป็นประกายวาววับเกลื่อนกลาดในความสลัว โดยฝ่ายสนธยาได้แต่ตอบ...สั้น ๆ เรียบง่ายโดยไม่หันไปมองคนถาม

“ แพทย์ครับ... ”

“ จะแข่ง...กับฉันรึไง!! ”

คนถาม ๆ อย่างมีน้ำโห คล้าย ๆ เจ็บแค้นอัดอั้นที่ถูกน้องชายซึ่งเกลียดนักหนากำลังจะแซงหน้า ข้ามหน้าขามตา...ทั้ง ๆ ที่ตัวเขาเองจบจากมหาลัยรัฐที่มีชื่อในประเทศเพียงเท่านั้น

“ เปล่าครับ...ผมไม่มีวิชาถนัด คงเรียน...ได้แต่สายนี้ แล้ว...คงให้เรียนบริหารผมก็คงคิดว่าคงทำได้ไม่ดี ”

สนธยาเพียงตอบเบา ๆ ...รักษาซุ้มเสียงให้เบาไว้ รอยเสียงนั้นทอดล้า...เหนื่อยอ่อนในหัวใจ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรพี่ชายไม่เคยเห็นดีเห็นงามด้วยเลยสักครั้งเดียวจริง ๆ

เจ้าของดวงตาคม...เย็น ก้มลงเก็บเศษแก้วน้ำ หยิบทีละชิ้นวางบนผ้าขนหนูทั้ง ๆ ที่มือสั่น รู้สึกเจ็บปวดไปหมด เพราะอดโกระตัวเองไม่ได้ที่ทำอะไรไม่ได้เลย

// ไม่อยากไป...ก็ต้องไป ไม่อยากถูกตำหนิ...ก็ต้องทนไว้ ไม่อยากรู้สึกรู้สาอะไร...แต่ก็อดเจ็บปวดไม่ได้ //

เศษแก้ว...เฉือนเนื้อจนเลือดไหลซึม ในขณะที่สนธยาเพียงแต่มองแผลที่ถูกเศษแก้วบาดโดยไม่คิดห้ามเลือด ถึงเจ็บแผลที่เนื้อถูกกรีดแต่กลับปวดชาหนักในหัวใจมากกว่า

“ ทำไมไม่รีบ ๆ เก็บวะ!! ”

อนุพงศ์เดินเข้าหาคนที่มองนิ้วโชกเลือดของตัวเองนิ่งงั้นจนกระทั่งเห็น...ว่าน้องชายต่างมารดาเลือดไหลโกรก ดวงตาคม ๆ ของคนเป็นแผลกลับมีหยดน้ำไหลออกมาเงียบ ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตาเก็บเศษแก้วต่อไปอย่างไม่ใยดียีหระต่อเลือดที่ไหลไม่หยุดหย่อน

ยังไงก็คน...ทั้ง ๆ ที่เกลียดนักหนาแต่เมื่อเห็นอาการแปลก ๆ ของอีกฝ่าย เห็นกระทั่งว่าร้องไห้...อนุพงศ์ก็ได้แต่ยืนมองนิ่ง ไม่ดุด่า แต่ก็ไม่สนใจจะช่วยเหลือ

“ พี่รีบนอนแล้วกัน...ส่วนผมขอตัวไปนอนก่อน ”

สนธยาเก็บเศษแก้ว...ลุกขึ้นเดินหายเข้าไปในครัว ก่อนจะเดินขึ้นบันไดทั้ง ๆ ที่เลือดยังไหลโกรกนิ้ว สีหน้านิ่ง...ยังนิ่งสงบ เมื่อคิดถึงความเจ็บปวดที่ต้องพูดความจริงกับทิวาในวันพรุ่งนี้

// ทุกข์ใดไหนจะเท่า โอ้รักเราจำพราก...ต้องจากลา ลา...ลาแล้วลา เจ้าจ๋า...พี่คงต้องลงน้องยา...ไปก่อนเอย //

=TBC=
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 12-12-2007 00:00:16
ราตรีประดับดาว26
โดย:ทิวารา

// ทุกข์ใดไหนจะเท่า โอ้รักเราจำพราก...ต้องจากลา ลา...ลาแล้วลา เจ้าจ๋า...พี่คงต้องลาน้องยา...ไปก่อนเอย //

คนตัวเล็ก...นอนพลิกตัวไปมาบนเตียงนอนโดยไม่ยอมลุกตื่น เนื่องจากเมื่อคืนสนธยากลับไปค้างที่บ้านทำให้ทิวาต้องนอนคนเดียว

จากที่เคย...มีคนตัวสูงกอดไว้ให้รู้สึกอุ่น กอด...แม้เตียงจะแคบแต่ก็มีความสุข แต่พอต้องนอนคนเดียวแล้วทิวาก็โหวงเหวงในหัวใจจนนอนไม่หลับ กว่าจะเพลอหลับไปก็ใกล้ตี3 เต็มที่แล้ว

สนธยาเปิดห้องเข้ามา...เห็นคนตัวเล็กยังนอนหลับตาพริ้มไม่รู้เวลาก็เผลอยิ้มด้วยความเอ็นดูรักใคร่ คนตัวสูงค่อย ๆ ทรุดลงนั่งข้างเตียง ก่อนที่จะก้มลงแนบริมฝีปาก...แตะลงบนริมฝีปากเล็ก ๆ เบา ๆ พาให้คนที่เคยนอนหลับขี้เซาพลันตาสว่าง ตื่นลืมตาโพลงขึ้นมาทันที

“ เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอ ? ”

พอเขาถาม...ทิวาก็ยิ้มเขิน มือเล็ก ๆ ยกผ้าห่มขึ้นมาปิดท่วมหัวด้วยความอาย กิริยานั้นทำให้สนธยารู้สึกเอ็นดูจนเผลอหัวเราะเบา ๆ ด้วยโทนเสียงต่ำลึกในลำคอ ก่อนที่จะรวบตัวบาง ๆ ของเด็กน้อยขี้อายขึ้นมากอดแน่น...แล้วจึงค่อยเอียงหน้าไปกดริมฝีปากกับแก้มนิ่ม ๆ ทีหนึ่ง

“ จะนอนต่อก็ได้นะ...นี่พึ่งจะตี 5 ”

สนธยาพยายามยิ้ม...ในขณะที่อาการเมื่อยล้าจากการอดนอนยังรุมเร้า

ไม่อยาก...ไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว ถึงจะร้องขออย่างนั้นภายในหัวใจไม่รู้กี่ครั้งตั้งแต่เมื่อรู้เรื่องจากแม่ แต่...ประสพการณ์ความเจ็บปวดเมื่อครั้งยังเป็นคุณสนธยานั้นมันก็ทำให้ความเจ็บปวดยิ่งทบทวี

ครั้งนั้น...ตัวเขาซึ่งเป็นคุณสนธยาต้องรอคอยอย่างเดียวดาย ให้เวลาผ่านไปเกือบ 40 กว่าปี กว่าที่ลมหายใจสุดท้ายจะหมดลง และครั้งนั้นมันเป็นความทรมานที่เดียวดายแสนสาหัสที่กินเวลานานค่อนชีวิตทีเดียว

และครั้งนี้...เมื่อต้องมีเหตุให้แยกจาก ความรู้สึกเจ็บปวดและประสบการณ์เลวร้ายในคราก่อนนั้นก็ตามหลอนให้รู้สึกปวดสะท้านในหัวใจเสียกว่าคนปรกติ เพราะภาพ...และความรู้สึกเดียวดายโศกเศร้าที่บอกใครไม่ได้นั้นย้อนคืนมาทำร้ายเขาอย่างเลือดเย็น

แม้ว่าจะพยายามนิ่งสงบ...ดำรงตนเป็นผู้ใหญ่ เป็นคนเข้มแข็งอดทนและใจเย็น แต่ทว่า...ในใจก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวหมองหม่น

// เพราะสำหรับเขาแล้ว...ที่ผ่านมาเรียกได้ว่าต้องพรากจากทิวามาตลอด พอมาหนนี้ต้องจาก...ยิ่งยากจะเก็บกลั้นความรู้สึกอ่อนไหวไว้ได้มิชิด //

“ พี่สนหิ้วอะไรมาเหรอ ? ”

ทิวาถามพลางจิ้มไปที่ถุงพลาสติกที่สนธยาหิ้วมาอย่างถนุถนอม คนตัวสูงที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดจึงค่อยรู้สึกตัว ก่อนที่จะยิ้มบาง ๆ แล้วเปิดถุงออกกว้างให้คนตัวเล็กเห็นของที่นำมาฝากให้ชัด ๆ

“ โห...ดอกไม้ ตั้งหลายอย่างเลย ”

คนตัวเล็กตื่นเต้นเมื่อเห็นดอกไม้หลายอย่างอยู่ในถุง ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ อธิบาย

“ มีกลีบบัวหลวง...พวงชมพู...ดอกลั่นทมขาว...ดอกเข็ม...แล้วก็คาร์เนชั่น ”

เขาบอก...ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินไปหาภาชนะมาใส่ ในขณะที่คนตัวเล็กตาโตมองอย่างสนใจ

“ จะทำอะไรเหรอจ๊ะพี่สน...ทำไมเด็ดมาตั้งมากมาย ”

สนธยาค่อย ๆ ล้างดอกไม้ทีละดอกพลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“ วันนี้วันอาทิตย์...พี่ว่าจะทำอะไรให้กิน ก็เลยไปหาดอกไม้มา...กะจะเอามาทำกับข้าวให้วากินน่ะ ”

สนธยาค่อย ๆ อธิบายในขณะที่ความเป็นเด็กช่างสงสัยของทิวานั้นทำเอาสนธยาต้องอธิบายรายละเอียดยาวเหยียด แต่เขาก็อธิบายด้วยความดีใจ

“ ดอกไม้น่ะกินได้จริง ๆ วา...ที่พี่หามาให้นี่กินได้หมดเลยนะ อย่างกลับบัวหลวงนี้ชุบแป้งทอดก็กินได้แล้ว แถมยังมีรสหอมอ่อน ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องใช้เฉพาะดอกตูมมาทำนะ ส่วน...พวงชมพูนี้ก็ทอดได้เหมือนกัน ดอกมันมีกลิ่นหอมหวาน ๆ ด้วย แล้ว...ลั่นทมขาวนี้ชุบแป้งทอดก็ได้หรือกินเป็นเหมือดกับขนมจีนน้ำพริกก็ได้ เพียงแต่ลั่นทมนี้ต้องใช้ดอกแก่ที่ร่วงจากต้นแล้วค่อยมาตัดก้านสีเขียวออกเพราะตรงส่วนนั้นมันจะขม...แต่ลั่นทมขาวรสมันจะฝาดปนขมหน่อย แต่พี่ว่าวาคงกินได้ ”

ความรู้ใหม่ทำให้ทิวาที่เป็นเด็กสนใจเรื่องต่าง ๆ ทำตาแป๋วยืนฟังไปพลางซักไปพลาง...เรียกว่าสนใจมากเหมือนเด็กได้ของเล่นแปลก ๆ ใหม่ ๆ เลยทีเดียว

“ เอ...ดอกเข็มนี้วาเคยเอามาดูดน้ำหวานเล่นแต่ไม่นึกว่าจะทำอย่างอื่นได้เลยนะพี่สน...แล้วไหนยังจะคาร์เนชั่นอีกล่ะ วาไม่รู้มาก่อนเลยนะว่าคาร์เนชั่นกินได้...น่าสนใจจังเลยพี่สน ”

คนตัวสูงยิ้มสดชื่นก่อนจะอธิบายไปหัวเราะไปด้วย หลังจากเห็นว่าทิวามีทีท่าสนใจใคร่รู้อย่างมาก

“ วารู้ไหม...ดอกเข็มนี่รสมันหวานปนมัน แถมเป็นยาแก้ท้องผูกด้วยนา ส่วนเจ้าคาร์เนชั่นนี่กลิ่นมันหอมคล้ายกานพลู รสมันเผ็ดเล็กน้อย แต่ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือคาร์เนชั่นเนี่ย...คนจีนเค้าเชื่อว่ากลิ่นหอมของมันจะทำให้คนมีความสุข จนมันได้ชื่อว่าสมุนไพรลืมทุกข์ แล้วคนท้องก็ชอบนำมาประดับเพราะเชื่อว่าจะทำให้ลูกที่เกิดเป็นเพศชายด้วยรู้ไหม ”


สนธยาล้างดอกคาร์เนชั่นอย่างเบามือ พลางนึกถึงตอนที่เลือกดอกไม้ใส่ถุงมา...เขาหยิบดอกไม้ที่น่าสนใจและสามารถทอดกินได้ง่าย ๆ มาให้ทิวาลองทาน เพราะคิดว่าคนตัวเล็กคงชอบ...และก็คงสนใจกับสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยรู้มาก่อนอย่างนี้แน่ ๆ

หยิบบัวหลวงมาเด็ดเอาแต่กลีบ...เด็ดทีละกลีบอย่างใจเย็น ก่อนที่จะหยิบลั่นทมขาว พวงชมพู และดอกเข็มใส่ตามลงไปในถุง แต่เมื่อเหลือบเห็นคาร์เนชั่นซึ่งจริง ๆ แล้วรสของมันเผ็ดและทำอาหารได้ยาก...เพราะกลีบดอกมีกลิ่นเครื่องเทศจนมีรสเผ็ดหน่อย ๆ ทอดกินง่าย ๆ คงไม่อร่อยเท่าใช้กลีบมาผัดกับหมู หรือแนมกับข้าวราดแกงกะหรี่

แต่เพราะความเชื่อ...ที่มันเป็นสมุนไพรลืมทุกข์ เลยทำให้หัวอกของเขานึกเจ็บร้าว จนอดหยิบดอกคาร์เนชั่นติดมาไม่ได้

“ พี่สนเก่งจังเลย...ทำไมรู้เยอะจัง ”

“ บางอย่างเขาก็กินกันมานานแล้วละวา รุ่นปู่ย่าเราก็กินกัน แต่ที่พี่รู้เพราะพี่สนใจ...ว่าดอกไม้มันกินได้ไหม แล้วดอกอะไรมันแก้อาการป่วยอะไรบ้าง ก็เท่านั้น... ”

ทิวายิ้ม...ขณะที่หยิบจานเปล่ามารอรับดอกไม้ที่ล้างเสร็จเรียบร้อยจากมือสนธยา แต่คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดออกมานั้น...กลับทำให้เจ้าของดวงตาคมกริบยิ่งเจ็บปวด

“ พี่สนน่าเรียนหมอนะ...ต้องไปได้สวยแน่ ๆ เลย ”

คนตัวเล็กยืนถือจานใส่ดอกไม้ที่ล้างจนสะอาดในมือ ในขณะที่คนตัวสูงซึ่งดวงตาคมกริบมีรอยปวดร้าวซ่อนลึกนั้นค่อย ๆ ดึงตัวทิวามากอดกระชับก่อนจะฝังจมูกลงกับซอกคอหอม ๆ ก่อนที่น้ำเสียงทุ้มสั่น ๆ จะเอ่ยขึ้นช้า ๆ

“ วา...พี่มีเรื่องจะบอก ”

=TBC=

(ตรงส่วนนี้เป้นส่วนที่ผู้เขียนลงไว้ตอนแต่งเรื่องนี้นะค่ะ
)

วันนี้ผีสิงมือ...กลับจากมหาลัยก็พิมพ์ไม่หยุดเลย ออกมาได้ไงไม่รู้ตั้ง 2 ตอนแน่ะวันนี้

แต่ออกแนวแทรกความรู้แปลก ๆ มากกว่า...

ถามใจคนเขียนก็บอกตรง ๆ ว่าไม่อยากเขียนตอนต่อไปเลย เพราะความเป็นพี่สนที่เจ็บปวดมาทั้งชีวิตหนึ่งแล้ว...ยังต้องมาเจ็บอีกหนในช่วงชีวิตนี้อีก ก็เลยยิ่งไม่อยากเขียน สงสารพี่สนว่างั้น

แต่...ถึงพี่สนจะเป็นผู้ใหญ่...จะเยือกเย็นยังไง
แต่...ไม่มีใครไม่มีจุดอ่อน ไม่มีใครไม่มีข้อด้อย

ความรู้สึกไม่อยากจากคนที่รัก...มันคงเป็นปมในใจพี่สนมาแต่ช่วงชีวิตแรกซึ่งต้งอยู่อย่างทรมานโดดเดี่ยวลำพังนานค่อนชีวิตละมั้ง...เลยทำให้ตอนนี้พี่สนเลยดูอ่อนแอลง

พี่สนก็คือพี่สน...คนเขียนก็ได้แต่เล่า กำหนดอะไรไม่ได้เล้ยยยย เพราะแต่งนิยายทีไรเรามักปล่อยให้ตัวละครเขาไหลไปเรื่อย ๆ ตามนิสัยของเขาเอง

(อย่าเตะหนูเลยนะ...ที่มันกลับไปเศร้ากันอีกแล้ว)

// ชักไม่อยากเขียนต่อแล้ว...สงสารพี่สน //



ราตรีประดับดาว27
โดย:ทิวารา

มิรู้ว่าเกิดเหตุอันใด...ดวงตาของคนตัวสูงจึงได้สะท้อนสะท้านในหัวใจของทิวานัก เขาค่อย ๆ หยิบกลีบบัวทอดส่งเข้าปากช้า ๆ รสชาติของมันเป็นอันใดคนตัวเล็กไม่รู้สึกอีกแล้ว มีเพียงแต่ความกังวลลึกล้ำจากกิริยาอาการไม่สู้ดีของสนธยา

“ พี่สน...บอกวามาเถอะ มีอะไรไม่สบายใจเหรอ ? ”

สนธยาค่อย ๆ วางกลีบดอกบัวที่ทอดจนหอมลงในจานก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินหนีไปนั่งบนเตียงนอน...หลบสายตาของทิวาที่มองเขาราวกับจะอ้อนวอนขอคำตอบของคำถามนั้น

ทิวาค่อย ๆ ลุก...เดินเข้าหาคนตัวสูงที่เอาแต่ก้มหน้าหลบสายตา ทั้ง ๆ ที่คิดไว้ว่าจะบอก...ต่ำพอเอาเข้าจริง ๆ กลับพูดไม่ออก ในลำคอของสนธยาขื่นขมจนมิอาจเอ่ยอันใดได้ คนตัวเล็กมองกิริยาเหล่านั้นก่อนจะโอบลำแขนเล็ก ๆ กอดคนตัวสูงเอาไว้แน่น จนทำเอาสนธยาอยากจะร้องไห้...

“ วา... ”

คนตัวเล็กลูบหลัง...ไหล่หนาอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เสียงเล็ก ๆ จะค่อย ๆ เอ่ยขึ้นเบา ๆ เพียงแค่ให้ได้ยินแค่สองคน

“ หากมีทุกข์ใดเราทั้งคู่ควรร่วมรับ...ด้วยกัน หากไม่สบายใจอะไรพี่สนควรบอกวาบ้าง...ไม่ใช่ทุกข์อยู่ผู้เดียว ”

เพียงได้ยินคำนั้น...อ้อมแขนแกร่งก็ค่อย ๆ โอบรัดคนตัวเล็กราวกับจะพยายามยึดไว้อย่างสุดหัวใจ ดวงตาคู่คมปล่อยน้ำตาไหลเอื่อยรินลงสู่ผิวเนื้อช่วงไหล่ที่บอบบางนั้นโดยไม่อาจเก็บกลั้นอดทนต่อไปได้

“ วา...พี่ต้อง...ลาไปไกลอีกแล้ว พี่ต้อง...ไปเยอรมัน แม่ขอให้พี่ไปเรียนหมอ ”

เสียงที่เอ่ยบอกตะกุกตะกัก...พรายพร่าด้วยรอยเจ็บซ่าน คนฟังว่าปวดแล้ว...คนพูดคงปวดหัวใจยิ่งกว่า

ทิวาค่อย ๆ คลายอ้อมแขนออก...มองจ้องดวงตาคมกริบซึ่งราแสงเพราะความเศร้านั้นด้วยดวงตากลมโตดำดั่งนิล ก่อนที่ริมฝีปากเล็ก ๆ อ่อนนุ่มจะก้มลงแตะ...ปลายจมูกคนตัวสูงเบาบางเป็นการประโลม ก่อนที่จะใช้อุ้งมือน้อย ๆ ช้อนใบหน้าคมไว้ก่อนจะก้มลง...ประทับรอยจูบอ่อนหวาน แผ่วเบายิ่ง

“ วา... ”

ไร้คำตอบใดใด...มีแต่รอยยิ้มอ่อนหวานจากใบหน้ากลม กับนิ้วมือเล็ก ๆ ที่นุ่มและหอมไล้ไปมาบนใบหน้าคมและดวงตากลม ๆ ก็จ้องลึกลงไปในดวงตาคมที่ร้านราน

สนธยาโอบร่างเล็ก ๆ เอาไว้แนบอกก่อนที่จะประทับจูบลงซ้ำอีกหนอย่างอ่อนโยนเฉกกัน ดวงตาของเขาพร่ามัวด้วยรอยน้ำตาเอ่อคลอ เนื่องจากความรู้สึกเจ็บปวดจากการสูญเสียครั้งก่อนยังฝังลึก...หลอกหลอนในวิญญา จนเขากลัว...กลัวการพลัดพรากเหลือจะกล่าวได้

ปลายจมูกดุนดันที่ปลายจมูกเล็ก ๆ ให้ใบหน้ามน ๆ แหงนเงย ก่อนที่เขาจะพัวพันปลายลิ้นกับลิ้นอุ่น ๆ ของคนตัวเล็กอย่างเชื่องช้า นิ้วมือสั่นสะท้านของคนตัวสูงสอดรั้งก่อนจะดันเสื้อนอนตัวโคร่งของทิวาพ้นกายไป ผิวเนื้ออ่อน ๆ ปรากฏในยามที่แสงอาทิตยายังมิทันมาเยือนเต็มที่ดีนัก ใบหน้าหวานมีรอยระเรื่อพร้อม ๆ กับอาการหอบสะท้านน้อย ๆ ในขณะที่สนธยาค่อย ๆ ก้มลงแตะริมฝีปากของตนลงบนลำคอขาว...กดจูบจนเนื้ออ่อน ๆ ขึ้นรอยจาง ๆ

// อยากอยู่กับเจ้าทุกที่...ไม่อยากให้เราต้องจากไปไกล แต่ทว่าเหตุไฉน...บัดนี้จำต้องไกลต้องจากต้องลา //

“ วา...พี่รักเจ้า ”

ดวงตาคม ๆ วาวแสงเศร้า...เสียงซึ่งเอ่ยวาจาบอกรักนั้นราวกับจะอ้อนวอนและย้ำ...ให้คนตัวเล็กรู้ซึ้ง รู้ซ้ำในคำรักที่มอบให้ คนตัวเล็กยิ้มอ่อน ๆ ก่อนที่จะปล่อยหยดน้ำตารินรื้นช้า ๆ พร้อม ๆ กับอ้อมแขนเล็ก ๆ โอบรอบไหล่กว้างให้สนธยาได้ซบใบหน้าลงกับอกขาวบอบบางนั้น

ยามสุข...สุขด้วยกัน ยามทุกข์...ก็ควรทุกข์ด้วยกัน

ต่างคนต่างร้องไห้เงียบ ๆ ...ไร้เสียงสะอื้น ไร้เสียงโหยไห้ มีเพียงร่องรอยความอบอุ่นที่มอบแก่กันพร้อมรอยสัมผัสจากปลายนิ้วไล้ไปมาบนร่างกายของกันและกันราวกับจะประโลมกันเองในความเงียบ

สนธยาลูบแก้มใสที่เปียกชื้นด้วยรอยอารมณ์เจ็บปวด...เขาทำวาร้องไห้อีกแล้ว!! คนตัวสูงค่อย ๆ หยัดกายขึ้นแตะริมฝีปากลงบนเปลือกตาของคนตัวเล็กเบา ๆ ในขณะที่นิ้วมือกร้านค่อย ๆ ดันกางเกงนอนตัวยาวไปจนพ้นร่างเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ถอดเสื้อยืดสีเข้มไปพ้นกายตนเองบ้าง

ทิวามองโครงร่างหลังไหล่ที่สูงหนาก่อนที่จะยื่นมือขึ้นแตะแก้มสนธยา โดยตัวสนธยากลับกดมือนุ่มนั้นกับแก้มของตนเองแน่นนาน แล้วค่อยเลื่อนริมฝีปากจูบซับ...กลางฝ่ามือนั้น

การกระทำที่อ่อนหวานนั้น...ทิวาซึมซับความหวานไว้จนเต็มหัวใจ คนตัวเล็กยิ้มหวาน...ก่อนที่จะรั้งใบหน้าคมเข้มลงมาหา แล้วเจ้าวาจึงค่อยแตะริมฝีปากลงกับริมฝีปากคม ยังผลให้คนตัวสูงหลากนัก เนื่องจากมิเคย...ที่ทิวาจะอ่อนหวานเช่นวันนี้

“ ยามพี่ทุกข์...มีหรือวาจะปล่อยผ่านเลย หากทำได้...วาอยากทำให้พี่หายเศร้า แม่ว่า...ครั้งนี้เราต่างก็โศกเศร้าร่วมกัน ”

นั่นปะไร...ทิวาของเขามีเหตุผลเสมอ และครั้งนี้สนธยาอบอุ่นเต็มล้นในหัวใจยิ่งนัก เขาค่อย ๆ ก้มลงซบ...กระซิบเบาบางแต่รอยเสียงอ่อนหวานสะท้านหัวใจดวงน้อยยิ่งนัก

“ ขอบคุณเหลือเกิน...พี่เองนั้นก็ยืนยันว่าที่ทำไปทุกอย่างก็เพราะความรักในตัวเจ้าทั้งสิ้น...วาน้อยของพี่เอย ”

แสงใดจะอบอุ่นอ่อนหวานได้เท่าแสงยามทิวา...แลความเย็นรื้นใดจะฉ่ำชื่นในหัวใจได้เท่าสนธยาก็เป็นไม่มีเฉกกัน!!

ร่างสองร่าง...กอดก่ายภายใต้แสงตะวันทอประกายแสงอ่อน รอยยิ้มและเสียงพร่ำ...บอกรักนั้นลึกซึ้งแนบสนิทนักในดวงใจ หวาน...ไหวไม่จางไปจากวิญญาณ ดวงตาคมมองจ้องใบหน้าและดวงตากลมงามราวกับจะประทับไว้ในหัวใจไม่มีลบเลือน

“ ไปเถิดพี่สน...แม้รักกันแต่ไม่จำเป็นหรอกที่ต้องอยู่ด้วยกันจนฝันของเราต้องมลายไป ”

“ แต่... ”

สนธยาจะค้าน...แต่ทิวากลับยิ้มทั้งที่ยังหายใจหอบด้วยความเหนื่อยอ่อนหลังผ่านช่วงเวลาที่อ่อนหวานปานจะสำลักความหวานที่ยิ่งกว่าทะเลน้ำผึ้ง

“ พี่ไปเถิด...ไปหาตัวเอง เราแยกกันจนกว่าจะได้คืนกลับมา...ยืนอยู่ต่อหน้า ให้เราได้มีโอกาสเติบโตโดยไม่มีพันธะทางกายใดใด จะมีก็แต่พันธะสัญญาของหัวใจที่พี่นำมันติดไปยังต่างแดน ”

ทิวาเน้น...ชัดเจน เขารู้...คนตัวเล็กปรารถนาให้เขาไปศึกษาเล่าเรียนและอยู่คนเดียวลำพังให้ได้เพื่อเติบโต ทิวาให้...แม่แต่กระทั้งอิสรภาพหากเขาจะเปลี่ยนใจจากกัน...ข้อนี้เขานับถือหัวใจดวงน้อยที่เข้มแข็งของทิวานัก

และเพราะอย่างนี้...สนธยาจึงสัญญาแก่ทิวาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่พึงจะมีตอบแทนแก่คนตัวเล็กคนนี้ได้

“ วาให้อิสระพี่ด้วยหวังดีพี่ก็จะรับไว้...แต่หัวใจพี่จะไม่มีวันหันไปมองใคร เชื่อเถิด...พี่สัญญา!! ”

=TBC=
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: graydragon ที่ 12-12-2007 09:38:10
 :m15: :m15: :m15: รักแล้วต้องแยกมานทรมานนะ  :m15: :m15: :m15:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 13-12-2007 16:05:42
อยากจะบ้าอ่ะทำไมต่ได้ทรมานคนอ่านแบบนี้อ่ะครับ :sad2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: micky99 ที่ 29-12-2007 12:54:02
 :pig4: :pig4:มาต่อเร็วๆน้า
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 03-01-2008 18:51:31
ซาบซึ้ง   o7 o7  o7

รออ่านอยู่น้า  ไปไหนแล้วว  คิดถึงๆ   :oni2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 08-01-2008 00:15:03
 o1 o1 :o11: :call: :monkeysad: :m8: :m17: :m17: 

                         แบบว่าขอโทษทุกท่านนะค่ะที่หายไปนานเลย พอดี มีเรื่องสวนตัวที่เกิดขึ้นทำให้ไม่สารมาถเข้ามาอัพอะไรในนี้ได้ไปพักนึง ตอนนี้เรียบร้อยดีแล้ว จะรีบกลับมาอัพให้เร็ว ที่สุดนะค่ะ ขอโทษ จริงๆๆ นะค่ะ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 08-01-2008 15:24:31
เป็นกำลังใจให้นะครับผมสู้ๆ :oni2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 08-01-2008 22:54:10
ราตรีประดับดาว28
โดย:ทิวารา

เป็นเวลากว่า 1 สัปดาห์ที่สนธยาอยู่ติดบ้านและเก็บเสื้อผ้า บางครั้งบางครา...ดวงตาคมกริบก็แลแหวนที่ร้อยสร้อยเงินห้อยไว้กับคอด้วยดวงตาเงื่องหงอยลึกล้ำ

// ของบางอย่าง...บางครั้งแม้ไม่ตั้งใจแต่ก็ยังจดจำมิมีวันลืมได้ //

นิ้วมือไล้ไปตามวงแหวนลายบัวหลวง...แหวนซึ่งบัดนี้เจ้าของเขาคืนให้โดยไม่ใยดี คืนให้พร้อมกับคำพูดที่น้ำเสียงนั้นอ่อนหวานไพเราะ...แต่ก็เพราะความหมายของมันนั่นแหละที่ทำให้สนธยาแทบจะทนฟังไม่ได้ คิดถึงขนาดที่ว่า...ถ้าทำได้ละก็อยากจะหายตัวไปจากตรงนั้นโดยไม่ต้องได้ยินเสียงใดใดเสียเลยก็คงจะดี

“ สน...เก็บของครบรึยังลูก อย่าลืมเอาเสื้อไหมพรมที่แม่เคยซื้อให้เมื่อปลายปีที่แล้วไปล่ะ ที่โน่นตอนนี้อากาศคงหนาวมาก ”

เสียงอ่อนโยนของแม่...ทำให้คนตัวสูงหลุดออกจากห้วงความคิด ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ ยัดแหวนพร้อมสายสร้อยใส่ในอกเสื้อแล้วจึงหันไป...ยิ้มหวานให้มารดา

// ยิ้ม...ด้วยปากหาใช่ด้วยดวงตา หาใช่...ด้วยหัวใจ //

“ อย่าห่วง...ผมแพ็คไว้แล้วครับ ”

“ ผ้านวมละลูก...ยัดไปด้วยไหม ? ”

เสียงผู้เป็นมารดาคล้ายกังวล...แต่สนธยากลับหัวเราะเบา ๆ พลางเย้ากลับ

“ โธ่...แม่ครับ ที่โน่นก็มีให้ซื้อนะครับ ขืนยัดมากกว่านี้ละก็สงสัยต้องให้บริษัทขนส่งเอารถ 6 ล้อมารับแล้วละครับ ”

เพียงแค่นั้น...มือบาง ๆ ของมารดาก็ฟาดเพียะลงบนต้นแขนของลูกชายทันที พร้อมกับอาการทำหน้างอนน้อย ๆ

“ เดี๋ยวเถอะ!!...มาแซวแม่เหรอเรา ช่วยไม่ได้นี่จ๊ะ...แม่ไม่ค่อยแข็งแรง บางทีก็ลืมไปว่าเราน่ะแข็งแรงกว่าแม่เยอะ ”

สนธยายิ้มอ่อนโยน พลางโอบลำแขนแข็งแรงรอบเอวผู้เป็นแม่ ก่อนจะซุกหน้าลงกับไหล่หอมกลิ่นน้ำอบและแป้งร่ำ รอยยิ้มเจือจางในดางตาเหงาหงอยคู่นั้นในรอบหลายวันที่ผ่านมา

“ ผมรักแม่จัง...ดูแลตัวเองนะ ผม...เป็นห่วง ”

คำพูดนี้...เขาอยากพูดกับอีกคนหนึ่งที่ห่วงถึงด้วยเหมือนกัน แต่...ก็ไม่มีโอกาสแล้ว ทั้ง ๆ ที่ก็ยังห่วงหาอาวรณ์ถึงจนสายใจแห่งหัวใจรัดรึงมิห่างหาย แต่ใจ...ก็ยังใกล้กว่ากาย



แหวนที่คนตัวเล็กคืนให้...เขาบรรจงร้อยสายสร้อยเอาไว้แล้วคล้องคออย่างหวงแหน และเพียงแค่สัมผัสด้วยปลายนิ้ว ความรู้สึกอบอุ่นก็วาบวับในหัวใจ พาให้รอยยิ้มผุดขึ้นบาง ๆ บนใบหน้าเรียบเฉยติดจะอมโศกนั้น

// พี่สน...พวกเราเลิกกันเถอะ อย่าลำลากันมากไปกว่านี้เลย //

“ ทำไม...เจ้าถึงพูดกับพี่อย่างนั้นนะวา ”

// อิสรภาพ...หอมหวานกว่าสิ่งใดใด ถ้า...พี่ทนได้ พวกเราคงได้มาอยู่ด้วยกันอีก ที่ทำอย่างนี้ก็เพื่อไม่ให้พี่ยึดติด...บางทีสิ่งที่ดีกว่าผมอาจรอพี่อยู่ข้างหน้า ที่ผมทำนี้เพื่อไม่ให้พี่มีพันธะใดใด แล้ว...เมื่อพี่กลับมาทั้งที่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ระหว่างเราคงเริ่มต้นกันได้ใหม่อีกครั้งได้อยู่แล้วละ... //

“ แต่...วา พี่...พี่สัญญากับเธอแล้วว่าพี่จะไม่มีทางเปลี่ยนไป ”

ดวงตา...กลมโตจ้องมองประสานดวงตาคมกริบนิ่งนาน ก่อนที่เสียงเล็ก ๆ จะเอ่ยขึ้นด้วยเหตุผลที่สนธยามิอาจโต้แย้งได้

// พี่สน...ไม่มีใครตัดสินอนาคตได้ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มหรอกจ้ะ //


ในช่วงเวลาที่หนาวเหน็บ...สนธยาคาดว่าคงไม่มีสักวันที่เขาจะไม่ฝันถึงช่วงเวลาแสนสุขที่เคยมีเคยเป็น และคาดว่าคงไม่มีทางลืม...ใบหน้ากับรอยยิ้มอ้อนของใครบางคนที่ติดอยู่ในหัวใจได้เลย

สนธยายิ้มกับตัวเอง...เมื่อนึงถึงคำพูดสุดท้ายที่วาเอ่ยกับเขาตอนที่เขาก้าวออกมาจากห้องของวาในเย็นวันนั้น

// พยายามเข้านะ...พี่สนของวา ดูแล...ตัวเองด้วย //

น้ำตาแทบรื้น...แต่ก็กลั้นไว้ ก่อนที่สนธยาจะทอดสายตามองออกไปยังรันเวย์กว้างที่ทอดยาวไกล แม้สรรพเสียงผู้คนที่ดังอยู่รายรอบจะดังแค่ไหนแต่ในสมองและในหัวใจของคนตัวสูงกลับซึมซับความอบอุ่นจากภาพสุดท้ายของทิวาที่ติดลึกในหัวใจ

ของสำคัญที่สุดในหัวใจ...คือภาพสุดท้ายของคนที่รัก

“ ลาก่อนเจ้าวาน้อย...จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่ ”




ราตรีประดับดาว29
โดย:ทิวารา

นายเขตบดินทร์เหลียวซ้ายแลขวา...มองหารุ่นพี่ที่พี่ชายแนะนำให้รู้จักทางโทรศัพท์ หลังจากที่ตนเองรู้ว่าสอบติดเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนและต้องอยู่ที่เยอรมันแห่งนี้ต่อไปอีกราว ๆ ปีกว่า

“ เอ...ข้าวของครบหรือเปล่าหว่า ”

นายเขตก้มลงสำรวจข้าวของก่อนจะตรวจป้ายชื่อซึ่งห้อยไว้ที่กระเป๋าเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้หยิบสลับกับผู้อื่น...ตามที่เพื่อนของพี่ชายเคยบอกทางโทรศัพท์

“...ใช่น้องชายภูริรึเปล่า ? ”

เสียงทุ้มหวานของใครบางคนเอ่ยถามเป็นภาษาไทยชัดเจน ทำให้นายเขตต้องเงยหน้าขึ้นมอง...มองคนที่ตัวสูงกว่าตั้งมากมาย อีกทั้งใบหน้านั้นยังส่งยิ้มอ่อน ๆ ให้อย่างใจดีอีกด้วย

“ เอ้อ...ครับผม พี่... ”

นายเขตเกาหัวอย่างเขิน ๆ ในขณะที่อายจนบอกไม่ถูก เพราะจากที่เคยได้ยินเสียงในโทรศัพท์นั้นไม่ได้มีเค้าว่าซุ้มเสียงจะอ่อนนุ่มได้ขนาดนี้เลยจริง ๆ จนเจ้าลิงซนอย่างนายเขตยังอดชื่นชมอีกฝ่ายไม่ได้

// เสียงเพราะยังกะอะไรดี //

“ พี่ชื่อ...สนธยา เรียกพี่ว่าสนแล้วกันนะ ”

นายเขตบดินทร์ที่โดนภูริใช้มาเป็นสาย (?) ไม่เคยรู้เลยว่า...การเรียนรู้สังเกตคนตัวสูงยิ้มสวยท่าทางนุ่มนวลคนนี้จะทำให้ตนเองเปลี่ยนไปอย่างกับหน้ามือเป็นหลังมือในเวลาต่อมา

// คนอะไร...เท่ห์ฉิบเป๋งไม่คิดว่าจะมีคนที่นิสัยท่าทางดูดีขนาดนี้ในโลกเลยนะเนี่ย เอาวะ...พี่เขาทำได้กูก็ทำมั่งดิ !! //

เจ้าลิงซนหมายมั่นปั้นมือเช่นนั้นก่อนที่จะพยายามเอาสนธยาเป็นแม่แบบ ฟังคำสอนทุกอย่าง...จนจากที่หลงรูปหลงรอย ก็กลายเป็นความรู้สึกปลาบปลื้มและนับถือกันโดยแท้จริงในเวลาต่อมา

“ ห้องเช่าของพี่มันมีห้องย่อยว่างอีกห้อง เราอยู่กับพี่ก็ได้...ว่าแต่เอาผ้านวมมารึเปล่า ? ”

นายเขตส่ายหน้าไปมาก่อนจะทำหน้าเสีย...ด้วยเข้าใจว่าจดข้าวของที่สนธยาบอกให้เตรียมมาตกหล่น เลยไม่ได้นำผ้านวมมาด้วย

“ เอ้อ...พี่ก็กลัวเราจะเอามาน่ะแหละ ฮ่า ๆ พอดีพี่ซื้อผ้านวมไว้ให้แล้วละนะ ไม่รู้จะชอบรึเปล่า...แต่พี่ว่าตอนนี้อากาศหนาว ถ้าให้ห่มผ้าห่มบาง ๆ คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ”

// โอ้...พี่ครับ ทำไมพี่ใจดีกะผมผิดกะอาเฮียใหญ่ภูริแบบฟ้ากับเหวยังงี้ครับเนี่ย ดีใจโว้ยดีใจ //

เจ้าตัวแสบลากกระเป๋าเดินตามสนธยาไปอย่างดีอกดีใจ...ในมือกระชับสมุดที่ภูริยัดมาให้ส่งรายงานกลับไปเอาไว้แนบอกอย่างร่าเริง

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

หวัดดีเฮียใหญ่...กระผมไอ้เขตสายสืบลับขอรายงานข่าว
เฮ้ย...ไม่ได้ ๆ ไม่เพราะ...พี่สนไม่ชอบให้พูดไม่สุภาพกับ ‘คนแก่’ เอาใหม่ ๆ ....

# สวัสดีเฮียใหญ่ภูริที่เคารพ...(แบบนี้เพราะแล้วเนาะเฮียเนาะ)

ผมมาอยู่ที่นี่สบายดี...ปรับตัวเข้ากับอากาศหนาวโหดร้ายแบบนี้ได้แล้วโดยไม่เป็นหวัด อันนี้ต้องขอบคุณพี่สนเพราะพี่เค้าหาผ้านวมมาไว้ให้ซะอย่างดีจนผมงี้นอนห่มไปปลาบปลื้มจนน้ำตาพาลจะไหลพราก (ก็ช่วยไม่ได้...ผมมันขาดความอบอุ่น เพราะเฮียเอาแต่ใจร้ายกับผม ไม่เห็นใจดีอย่างพี่สนเลยนิ!!)

พี่สนให้ผมอยู่ด้วยกันในห้องเช่าที่กว้างมาก ๆ มีห้องย่อย 3 ห้อง ซึ่งแบ่งเป็นห้องนอนของผมกับพี่สนแล้วก็ห้องเก็บตำราของพี่เค้า
(ตำราแพทย์กองเท่าภูเขาเลากาจนผมไม่กล้าจับ กลัวมันล้มลงมาทับผมตับแตกตาย พี่สนได้ต้องผ่าตัดเปลี่ยนตับให้ผมกลางห้องเช่าปะไร)
แล้วที่เหลือก็มีมุมครัวดี ๆ อีกมุมที่พี่สนมักจะเข้าไปทำกับข้าวให้กินทุกเช้า...เลี้ยงผมดี๊ดีจนผมนึกว่าตัวเองเป็นน้องพี่เค้าแล้วละ

ทุกวันพี่สนจะไม่ทำอะไรมาก...จะไปส่งผมที่โรงเรียนแล้วไปมหาลัย ก่อนจะแวะมารับผมแล้วพากลับห้องด้วยกัน จนกระทั่งนาน ๆ ไปพอคุ้นถนนหนทางผมเลยไม่ต้องให้พี่สนไปส่งที่โรงเรียนอีก ทุกวันพี่สนจะทำกับข้าวเองที่ห้องไม่ออกไปซื้อหรือพาไปกินนอกบ้านเท่าไหร่ ยกเว้นบางเวลาที่มีงานฉลองพิเศษ ๆ ของคนที่นี่...นั่นละถึงได้ออกไปฉลองซึ่งผมก็ว่าดี เพราะผมไม่ค่อยชอบออกไปไหนเท่าไหร่เหมือนกัน

กับเรื่องทั่ว ๆ ไปของพี่สน...
พี่สนเป็นนักศึกษาที่เนื้อหอมเลยเชียวแหละ บางทีมีสาว ๆ มาหาถึงห้อง...แต่ดูท่าพี่สนจะไม่ค่อยชอบให้ใครมาที่บ้านเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าพี่สนจะทำหน้ายิ้มดีอยู่ก็ตาม แต่ผมแอบรู้สึกว่าพี่สนกำลังรำคาญอยู่แฮะ ผมก็บอกความรู้สึกไม่ถูกเหมือนกัน

พี่สนมักชอบถูกเพื่อน ๆ เรียกว่า...แซม
แล้วก็มีเพื่อนสนิทเป็นผู้หญิงป่าเถื่อนจากอเมริกาคนนึงชื่อแจสซี่...ซึ่งทุกครั้งที่หล่อนเอาเบียร์หอบใหญ่มาฉลองที่บ้านเธอเห็นหน้าผมทีไรเป็นต้องบอกว่า …“ พริทที้บอยยยย มาให้พี่กอดทีซิ!! ” เป็นแบบนี้ทุกรอบจนผมงี้สยอง เพราะเธอรัดจนผมหายใจหายคอไม่ออก นี่ถ้าไม่ได้พี่สน...ผมโดนหล่อนรัดคอหายใจไม่ออกตายไปตั้งกะทีแรกแล้ว

ส่วนเพื่อนสนิทของพี่สนอีกคนนึงเป็นพี่ผู้ชายนิสัยร่าเริงชาวฝรั่งเศสชื่อฟรองซัวร์ คนนี้เป็นคนฮาเฮร่าเริ่งไร้ลิมิตจนบางทีผมยังกลั้นหัวเราะไม่อยู่เลย แล้วดูเหมือนคนนี้จะสนิทกับพี่สนมากพอดู...ก็บางทีผมเห็นพี่สนไปเล่นกีฬาในมหาลัยดูจะเข้าคู่กับฟรองซัวร์ได้ดีนี่นะ

เอ้อ...พูดถึงแล้วก็ต้องเล่าเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อน
พอดีที่มหาลัยของพี่สนมีการส่งเสริมให้นักศึกษาจากที่ต่าง ๆ แสดงเอกลักษณ์ประจำชาติของตัวเอง ตอนแรก ๆ นักเรียนไทยที่อยู่ในนั้นก็มีแค่ไม่กี่คนก็เลยไม่รู้จะทำอะไร...แต่เจสซี่กลับบอกว่าพี่สนร้องเพลงแปลก ๆ ให้ได้ยินบ่อย ๆ สงสัยเป็นเพลงของประเทศไทยเพราะเธอบอกว่าเธอไม่เคยฟังมาก่อนและก็ฟังเนื้อเพลงไม่รู้เรื่องอีกด้วย

เท่านั้นละพี่เอ๊ยยยย ผมเลยมีบุญหูได้ฟังพี่สนร้องเพลงไทยกับเค้าด้วยแหละ
พี่สนร้องเพลงไทย เอื้อนซะอร่อย...เอ๊ยไม่ใช่ (พูดแบบนี้ไม่เพราะ ๆ เอาใหม่ ๆ ) เอื้อนทีสาวงี้ฟังกันตาเยิ้มเลยเฮีย เสียงพี่สนนุ่ม ๆ อยู่แล้วพอร้องเพลงนี่ยิ่งไปกันใหญ่...พอหลังงานนั้นจบลงไม่เท่าไหร่มีสาวมาให้ท่าเต็มเลยแหละ

เพลงอะไรน้อ...เห็นพี่สนว่าเพลงที่ร้องชื่อราตรีประดับดาวล่ะ
อาทิตย์หน้า...พี่สนจะสอบแล้วล่ะ ผมเองก็ใกล้สอบเต็มที หวังว่าเฮียคงสบายดี ผมแอบจิ๊กรูปที่ขอมาจากเจสซี่ที่มีคนถ่ายตอนที่พี่เค้าขึ้นไปร้องเพลงไทยมาให้ด้วย หวังว่าคงจะถูกใจ

จากนายเขตบดินทร์

ปล. บอกหม่าม๊าผมให้ทีสิเฮียว่าผมอยากกินน้ำพริกแมงดาอ่ะ ให้หม่าม๊าส่งมาให้ผมหน่อยนะเฮียใหญ่นะ
ปล2. ผมรู้นะว่าเฮียจะบ่น...โห่ แค่โทรไปบอกแม่ผมให้หน่อยก็ไม่ได้ เฮียใหญ่ใจร้าย!! คอยดูนะถ้าเฮียไม่บอกแม่ให้ผมละก็...ผมจะไม่ส่งรายงานให้เฮียแล้ว แถมจะย้ายสำมะโนครัวมาเป็นน้องชายพี่สนแทนอีกด้วย (หัวเราะ)


........................
ภูริอ่านจดหมายไปนึกเข่นเขี้ยวในใจ หนอยยย มันขู่!!

แต่เมื่อเห็นรูปสนธยาที่ส่งมาพร้อมจดหมายก็ค่อยหายโมโห...เจ้าตัวจ้องดูเพื่อนในรูปถ่ายที่ยืนอยู่หน้าไมโครโฟนบนแท่นที่ยกระดับเล็กน้อย แม้รูปจะถ่ายไม่ค่อยใกล้เท่าไหร่แต่ภูริก็สามารถสังเกตได้ถึงเค้าโครงใบหน้าที่เปลี่ยนไป

รูปร่างของสนธยาดูสูงใหญ่ขึ้น...ใบหน้าก็มีเค้าคมคาย แต่ดูจุดที่โดดเด่นเห็นจะเป็นดวงตา...ที่ดูเหมือนจะมีเค้าอ่อนหวานุ่มนวลยิ่งกว่าเก่า แต่ภูริก็รู้สึกได้ว่า...เจ้าลิงแสบมันรายงานตกไปอย่างนึง

เพราะแววตาที่เจอรอยเศร้าฝังลึกเจือจางอยู่ในประกายตานุ่มนวลนั้นกลับยิ่งดูเหมือนหยั่งรากลึกกว่าวันสุดท้ายที่ได้พบกัน...วันสุดท้ายที่ไปส่งสนธยาที่สนามบิน!!

“ สน...แกจะรู้ไหมว่า 4 ปีมานี้วาเป็นยังไง วาเรียนจบ...เป็นนักวิทยาศาสตร์สังกัดสถาบันวิจัยของรัฐแล้วนะไอ้สน ”

ภูริพูดกับรูปถ่ายของเพื่อน...ก่อนที่รอยยิ้มบาง ๆ จะปรากฏแบบฉาบฉวยบนใบหน้าของภูริ แล้วสุดท้ายใบหน้านั้นก็กลับกลายเป็นใบหน้าแสดงอาการหมองเศร้าอย่างไม่ปิดบัง

“ สน...กูผิดรึเปล่านะที่ไม่บอกเรื่องที่ควรบอกกับมึงน่ะ ”

ภูริพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่จะสอดรูปถ่ายของสนธยาเก็บลงในสมุดเอกสารสำคัญประจำตัวของตน...

==TBC==
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 08-01-2008 23:00:45
ราตรีประดับดาว30
โดย:ทิวารา

สนธยาค่อย ๆ เปิดหนังสือไปพลางใช้กระดาษมาร์คแปะที่หน้าสำคัญทีละหน้า...ทีละหน้า ดวงตาคมกริบมารอยล้าอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้แสงโคมสีส้มอ่อน ๆ ในห้องนอนเพียงลำพัง

// อาทิตย์หน้ามีสอบ...แล้วก็ต้องกลับบ้านไปงานแต่งของพี่ชาย //

ร่างสูงหนาลำดับตารางสิ่งที่ต้องทำเอาไว้ในใจก่อนที่จะเปิดหนังสืออย่างรวดเร็วเนื่องจากเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วก่อนที่จะต้องสอบ มือหนึ่งพลิกหน้าหนังสือไปพลางอีกมือหนึ่งถือปากกาจดย่อขยุกขยิกเป็นภาษาเยอรมันทั้ง ๆ ที่บนนิ้วชี้ของคนตัวสูงนั้นมีแถบสีสก็อตเทปสำหรับมาร์คหน้าหนังสือติดอยู่หลายอัน

“ พี่สน...ผมนอนไม่หลับอ่ะครับพี่ ”

นายเขตยืนอยู่หน้าประตูห้อง...เกรงใจจนเหงื่อแตกที่ต้องมารบกวนสนธยากลางดึก แต่มันกระสับกระส่ายนอนไม่หลับทำเอานายเขตทรมานจริง ๆ

“ ก็พี่บอกแล้ว...ว่าช็อคโกแลตรสกาแฟนั่นมันผสมกาแฟเข้มข้น เธอก็ไม่เชื่อ ”

สนธยาเดินมาลูบหัวนายเขตก่อนที่จะพาเดินไปที่ห้องครัว...เทนมสดใส่หม้อเล็กก่อนจะตั้งไฟอุ่นนมสดนั้น คนตัวสูงหันมาพยักหน้าให้เด็กน้อยนั่งตรงเคาท์เตอร์ครัวก่อนที่จะหันไปดูหม้อนมสด

“ ขอโทษครับ...ผมเห็นว่ามันอร่อยก็เลยเผลอกินไปซะเยอะ ตั้ง 4 บาร์ ”

นายเขตอายุ 17 แล้ว แต่พ่อแม่กลับเลี้ยงดีจนเหล้าไม่เคย แถมกาแฟเอย...ชาเอยไม่เคยได้แตะ เพราะมีพ่อเป็นหมอเลยโดนห้ามหมดทุกอย่างที่ผู้เป็นพ่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่เด็กไม่ควรกิน ดังนั้นเมื่อเดินผ่านหน้าร้านขนมหวานเจ้าตัวยุ่งก็ยืนเกาะกระจกเหมือนตุ๊กแกเพราะช็อคโกแลตรสใหม่ที่โชว์หน้าร้านนั้นเป็นรสกาแฟที่เจ้าตัวบอกว่าเพื่อนในห้องกำลังนิยมมาซื้อกินกัน

// พี่สนครับ...ผมอยากกิน ซื้อได้ไหม ? //

นายเขตหันมาขออนุญาตเขาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสียงอ่อย ๆ เหมือนคนกล้า ๆ กลัว ๆ ก่อนจะยืนยันว่าค่าขนมของตนเองมีพอซื้อกินได้เองโดยไม่ต้องรบกวนยืมเงินเขา...ซึ่งข้อนั้นสนธยาเห็นว่าไม่ใช่ปัญหาเนื่องจากถึงนายเขตไม่มีเงินเขาก็ซื้อให้ได้

// พี่สน ๆ...ผมเอารสนี้ 2 บาร์ รสนั้นอีกบาร์....แล้วรสกาแฟของใหม่ล่าสุดอีก4บาร์ได้ไหม? //

‘...แน่ใจนะว่ากิน ? ’

สนธยาแอบ รู้สึกสยองกับบรรดาช็อคโกแลตต่างสีต่างรสกันไป ซึ่งเจ้าหนูเดินหยิบใส่ ๆ ลงในตะกร้าของทางร้านอย่างอารมณ์ดี นี่ขนาดว่าอายุ 17 แล้วและโดนผู้เป็นพ่อบังคับกินแต่นมสด และงดของหวาน , ขนมทอดกรอบ , ท็อฟฟี่ , ชาและกาแฟ แต่ทว่านายเขตบดินทร์กลับมีส่วนสูงเท่า ๆ กับเด็กอายุราว ๆ 15 ปีเท่านั้น

ช็อคโกแลตร้านมีชื่อมักขายเป็นบาร์ ไม่ได้ขายกันเป็นชินเล็ก ๆ อย่างที่เคยเห็นตามห้างทั่วไปในกรุงเทพ ดังนั้นการที่เจ้าตัวแสบกินช็อคโกแลตรสกาแฟเข็มข้นเข้าไปถึง 4 บาร์มันก็ไม่แปลกที่เจ้าหนูจะถึงกับตาค้างนอนไม่หลับแบบนี้

“ ก็พี่บอกแล้วว่าเราน่ะไม่เคยกินพวกกาแฟมาก่อน เดี๋ยวกินแล้วจะนอนไม่หลับ...ก็ไม่เชื่อพี่ ”

สนธยาพูดน้ำเสียงเรื่อย ๆ ไม่ได้ตำหนิอะไร ในขณะที่นายเขตทำหน้าหมอง...แล้วค่อยเอ่ยขึ้นอย่างกระฟัดกระเฟียดเต็มที่

“ ก็ถ้าเจสซี่ไม่ว่าผมก่อนนะ ผมก็จะแบ่งรสกาแฟให้2บาร์อยู่แล้วละฮะ แต่นี่เจ๊ดันมาเรียกผมว่านายเตี้ย ผมเลยโมโห...กินรสกาแฟซะเรียบคนเดียวเลย ”

อันที่จริง...นายเขตตั้งใจว่าจะแบ่งรสกาแฟให้เจสซี่เพื่อนสาวของสนธยา และแบ่งรสที่ผสมบรั่นดีให้กับฟรองซัวร์เช่นกัน แต่ดูเหมือนการที่หญิงสาวเรียกเจ้าหนูว่านายเตี้ยจะทำให้เจ้าตัวเกิดอาการงอน...นั่งกัดช็อคโกแลตกินกร้วม ๆ โดยไม่แบ่งคนอื่นอย่างที่ตั้งใจเอาไว้แต่แรก

“ เขต...เจสซี่ชอบเรานะ เค้าก็แค่แหย่เฉย ๆ ไม่ได้คิดอะไรไม่ดีหรอก บางทีเราน่ะควรเปิดใจกว้างบ้างว่าต่างคนต่างชาติและต่างศาสนาดังนั้นพฤติกรรมบางอย่างอาจจะไม่ตรงกัน ”

สนธยาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นการตักเตือนก่อนที่จะยิ้มให้เด็กหนุ่มแล้วค่อยเลื่อนแก้วใส่นมอุ่น ๆ ไปให้ ในขณะที่นายเขตก็ก้มหน้านิ่ง...สำนึกได้ว่าตัวเองไปพูดไม่ดีใส่เจสซี่ไว้เหมือนกัน

“ พี่สน...ที่ผมด่าเจสซี่ว่ายัยหมียักษ์นั่นน่ะ พี่ว่าเจสซี่จะโกรธผมไหมอ่ะครับ ? ”

“ ไม่รู้สินะ...เอ แล้วทำไมไม่ไปขอโทษเค้าล่ะ เธอจะได้สบายใจด้วยไง ”

สนธยาพูดเรื่อย ๆ ก่อนที่จะหยิบโคล่าออกมาเปิดดื่มโดยไม่หันไปมองเด็กหนุ่มที่นั่งหน้าหมองด้วยความสำนึกผิด แต่...ในใจกลับสนใจว่าเด็กหนุ่มจะทำอย่างไรก่อนที่จะได้ยินเสียงวิ่งไปคว้าโทรศัพท์ เท่านั้นเอง...สนธยาก็แอบยิ้ม

// เด็ก...ค่อย ๆ สอน ไม่ต้องดุด่า แต่คอยแนะนำชักจูงอย่างช้า ๆ ให้เด็กได้คิดเองนั่นแหละจะดีกับตัวเด็กเองมากกว่าการยัดเยียดความคิดของเราให้กับเขาอย่างใจร้อนและวางอำนาจ //

เขาคิดพลางยิ้มกับตัวเองบาง ๆ ในขณะที่เสียงเจื้อยแจ้วของนายเขตลอยมาพร้อมกัน

“ เอ้อ...ยังไม่นอนอีกเหรอยัย...เอ๊ย!! เจสซี่ เฮ้ย!!...ฟังกันมั่งเด้!! เออ...งอนผมเหรอไง ? ห๊ะ...เออ ๆ ก็จะโทรมาขอโทษอยู่นี่ไง ”

‘นี่ขนาดว่าโทรไปง้อ...ไปขอโทษเค้านะนั่น!!’

สนธยาส่ายศีรษะอย่างขำ ๆ ก่อนที่นายเขตที่คุยโทรศัพท์เสร็จจะวิ่งกลับมาก่อนจะกระดกนมในแก้วที่เหลืออยู่ดื่มลงไปจนหมด

“ เรียบร้อยโรงเรียนนายเขตละครับพี่สน ตอนนี้ทำสัญญาเสร็จโจรกันแล้วว่าผมจะไม่เรียกเธอว่ายัยหมี แล้วเจสก็ห้ามเรียกผมว่าเจ้าเตี้ยอีก ...อ้อ!! แล้วก็สัญญากันว่าจะร่วมมือกันแกล้งฟรองซัวด้วยล่ะ ”

ต้นประโยคสนธยาก็ฟังดีอยู่...แต่พอท้ายประโยคสายตาคม ๆ ก็จ้องเจ้าตัวเล็กเป็นเชิงปราม จนนายเขตทำหน้าแหย ๆ

“ อ่า...ไม่แกล้งฟรองซัวร์ก็ได้ครับ แหะ ๆ ๆ ”

“ เอ้า...ยาแก้แพ้ กินครึ่งเม็ดก็คงง่วง พรุ่งนี้มีสอบ...รีบกินแล้วไปนอนเถอะ ”

สนธยาหักเม็ดยาส่งให้เจ้าตัวแสบก่อนจะเลื่อนแก้วน้ำตามไปให้ ในขณะที่เจ้าแสบถามกลับอย่างสงสัย

“ อ้าว...ไม่ต้องกินยานอนหลับเหรอครับ ? ”

สนธยาชะงัก...ก่อนที่จะหันไปยิ้มเจือน ๆ ดวงตาคมพลันมีรอยหมองลงทันที

“ เราน่ะกินแค่นั้นก็พอ พี่ไม่ให้กินกันบ่อย ๆ หรอกนะ...ส่วนยานอนหลับนั่นพี่ไม่ให้กินหรอกเพราะมันไม่เหมาะกับเด็ก ”

สนธยาแตะขวดยานอนหลับด้วยปลายนิ้วสั่น ๆ ในขณะที่หันหลังให้เจ้าแสบซึ่งกำลังกลืนยาแก้แพ้ลงไปพร้อมน้ำเปล่าเย็น ๆ นายเขตแอบมองสนธยาก่อนที่จะค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินกลับไปที่ห้องนอนของตนเองโดยทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับบรรยากาศเศร้าแบบแปลก ๆ ที่แผ่กระจายออกมาจากร่างสูงตรงหน้า

สนธยาหยิบขวดยาที่ใช้อยู่เป็นประจำเดินไปล้มตัวลงบนโซฟา ดวงตาคมกริบมีรอยหมองในขณะที่จ้องขวดยาสีน้ำตาลซึ่งบนฉลากแจ้งว่าเป็นยานอนหลับและห้ามใช้โดยไม่มีคำสั่งแพทย์ นิ้วมือแกร่งวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนที่จะถอนหายใจยาวเหยียด

วันไหนที่นอนไม่หลับ...สนธยามักใช้เจ้าสิ่งนี้ช่วยให้หลับลงไปได้อยู่บ่อย ๆ และมันก็ช่วยให้หลับสนิทจนไม่ฝันอะไรที่ชวนให้เจ็บปวดหัวใจอีกด้วย ยังดีที่เขาไม่ติด...จนกินเป็นนิสัย แต่ก็ยอมรับว่าขาดมันไม่ได้ยามที่กลุ้มใจจนโรคเครียดพาให้เขารู้สึกนอนไม่หลับ

เมื่อแรก...สนธยาเอาแต่อ่านหนังสือเมื่อรู้สึกนอนไม่หลับ และใช้เวลาไปกับการจมอยู่กับกองตำราวิชาการที่กองพะเนินเต็มห้องเก็บหนังสือข้างห้องนอน จนไม่นาน...เขาก็เริ่มรู้สึกว่าอาการนอนไม่หลับยิ่งรุนแรงขึ้นทุกครั้งพร้อม ๆ กับความรู้สึกคิดถึงใครคนหนึ่งจนแทบทนไม่ได้ หลายครั้ง...ที่สนธยาอยากกลับไปหาคนตัวเล็กตากลมที่ยิ้มอย่างอ่อนโยนคนเดิมนั้น แต่ทว่าสุดท้ายก็ไม่ได้ทำ...ได้แต่นึกถึงภาพสุดท้ายที่ได้เห็นคนตัวเล็กยิ้มหวานคนนั้นเพื่อให้มันเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ พอหล่อเลี้ยงหัวใจไว้ได้

เสียงทุ้ม...ค่อย ๆ เอื้อนเพลงดังเพียงเสียงกระซิบผะแผ่ววะแว่วหวาน น้ำเสียงทั้งเย็น...ทั้งรื้น...ทั้งเงื่องหงอยเหงาลึกในหัวใจ

“ โอ้ อกคิดถึง...วันคิดถึงคนึงนอนวัน นอนไห้ใฝ่ฝัน…เห็นจันทร์แจ่มฟ้า ทรงกลด...สวยสดโสภา แสงทองส่องหล้า...ขวัญตาเรียมเอย ”

// หอมกลิ่นกาหลง โอ้...อกเอ๋ย ไหนเลยพี่จะหลับได้ลง
หอมกลิ่นกาหลง...หอมสนิทยืนยงเหมือนรักมั่นคงของพี่เอย //

“ เต็งแต้วแก้วกาหลง...บานบุษบงส่งกลิ่นอาย หอมอยู่มิรู้หาย...คล้ายกลิ่นผ้าเจ้าตราตรู ” ***

( *** บทเห่เรือเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ )


สนธยานั่งอยู่เป็นนาน...ก่อนที่จะค่อยลุกเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หารู้ไม่ว่าเจ้าเด็กน้อยที่นอนไม่หลับนั้นแอบยืนฟังเสียงครวญเพลงเจ้ากรรมนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ ไม่เหมือน...ถึงวันนั้นที่พี่สนร้องในวิทยาลัยจะร้องได้เพราะ แต่...ครั้งนั้นก็ร้องไม่ได้เท่าครั้งนี้เลยจริง ๆ ”

ครั้งที่ร้องในวิทยาลัยด้วยความจำใจนั้น...เสียงทุ้มแลนุ่มหวานดังวะแว่วมิแข็งขืน แต่ก็มีแต่ความเย็นรื้น ไม่เหมือนเมื่อครู่ที่พื้นเสียงยืนบนความโศกเศร้า

นายเขตหน้าละห้อย...เดินหูตกมายังเดียงนอนก่อนจะก้มลงเขียนรายงานขยุกขยิกก่อนที่สุดท้ายฤทธิ์ยาจะพาให้ง่วงจนหลับน้ำลายยืดเปื้อนกระดาษเป็นวง ๆ ในที่สุด

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


# สวัสดีเฮียใหญ่ภูริที่เคารพ...

อาทิตย์หน้าพี่สนมีสอบ แล้วก็คงพาผมบินกลับไปด้วยกันเพราะพี่สนต้องไปงานแต่งงานของพี่ชายที่กรุงเทพ
คิดว่าถ้าจองเที่ยวบินได้แน่นอนแล้วคงได้โทรบอกเฮียอีกทีละนะ

ช่วงนี้พี่สนอ่านหนังสือหนักมาก ส่วนผมเองพรุ่งนี้ก็มีสอบแต่ก็สบายดี
อีกอย่างมะรืนนี้ก็จะเป็นการสอบวันสุดท้ายแล้วด้วยก็เลยค่อนข้างสบายใจกว่าวันก่อน ๆ

อย่างที่ผมเคยบอก...ว่าพี่สนมักจะนอนไม่ค่อยหลับอยู่บ่อย ๆ จนบางทีผมก็แอบเห็นพี่เค้าลุกขึ้นมากินยานอนหลับเอากลางดึกเป็นประจำ
แต่ดูเหมือนวันนี้พี่สนก็นอนไม่หลับ...แต่ไม่ยักกะกินยานอนหลับเหมือนที่เคย ๆ
วันนี้ผมได้ยินพี่สนร้องเพลงไทย เพลงที่เคยเรียนสมัยก่อนคนเดียว เสียงฟังดูเศร้า ๆ จนผมเลยไม่กล้าพูดอะไร
และบางทีผมก็เห็นพี่สนเอาแต่นั่งจ้องสายสร้อยที่ร้อยแหวนทองวงเล็ก ๆ อยู่คนเดียวในห้องนอน...บางครั้งเรียกไปพี่สนก็เหม่อจนไม่ได้ยิน

ผมสงสัยอยู่อย่าง...ที่เฮียเคยบอกว่าพี่สนเป็นคนสบาย ๆ ค่อนข้างยิ้มง่าย
พอนึกคำพูดของเฮียได้...จากนั้นพอมองดูพี่สนที่ผมเห็นอยู่ทุกวันแล้วเปรียบเทียบกันกับสิ่งที่เฮียบอกมานั้น
ผมรู้สึกว่ามันขัด ๆ กันอย่างไรพี่กล

ก็ตั้งแต่แรกที่พบ...พี่สนพูดน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ที่ผมไม่เคยบอกเฮีย...ก็เพราะไม่เคยเฉลียวใจ แล้วก็จำคำเล่าในลักษณะนิสัยของพี่สนจากเฮียไม่ได้ตั้งแต่แรก
พี่สนมักจะใจดี...ยิ้มบาง ๆ แต่ก็ไม่เคยยิ้มกว้างเหมือนคนอื่น ๆ ...อย่างมากผมก็เห็นพี่สนอมยิ้มบาง ๆ เท่านั้น
ดีกว่านั้นหน่อยก็หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ...แต่ไม่เคยเห็นพี่สนหัวเราะดัง ๆ สักหน

คิดไปคิดมา...ฟังดูไม่เหมือนคนเดียวกันกับที่เฮียเคยเล่าถึงเลยสักนิด

หรือผมจำสับสนเองก็ไม่รู้สิ...บางทีเฮียอาจเล่าถึงคนอื่นที่ไม่ใช่พี่สนละมั้ง
ผมก็จำไม่ค่อยได้แล้ว...ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่

ว่าแต่...เฮียอยากให้ผมซื้ออะไรกลับไปฝากรึเปล่า ? ถ้ามีก็บอกละกันนะ แล้วผมจะโทรไปหาก่อนขึ้นเครื่อง
ฝากบอกแม่ผมด้วยนะว่าผมคิดถึง...(ถึงสาว ๆ หมีใหญ่แถวนี้จะน่ารักดีก็เถอะ แต่ผมก็คิดถึงแม่อยู่ดี)
แล้วเฮียอย่าลืมบอกแม่ด้วยนะว่าผมกำลังจะได้กลับไปหาประมาณอาทิตย์หน้าน่ะ

จากนายเขตบดินทร์



หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [แก้ไขลิงค์เพลงให้สามารถฟังเพลงได้แล้ว นะค่ะอยากให้ทุกคนได้ฟังค่ะ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 08-01-2008 23:04:24
ราตรีประดับดาว31
โดย:ทิวารา

คนตัวสูงลงจากรถโดยไม่รอให้คนขับต้องมาเปิดประตูให้ สนธยาหันไปพยักหน้าให้นายเขตตัวแสบก่อนที่จะพากันลากกระเป๋าเดินทางลงจากรถด้วยตัวเอง โดยที่สนธยาให้เหตุผลกับเด็กหนุ่มว่า

“ พี่ไม่ชอบให้เรียกแม่บ้านว่าคนใช้ เพราะเดี๋ยวเรานี่แหละจะติดนิสัยจนเอาแต่ใช้เขาไปเรื่อย...ใช้จนเรื่องไหนที่ตัวควรจะทำเองให้ได้นั้นเราก็จะขี้เกียจ จะพาลไม่ทำเอง แบบนั้นมันไม่ดี...เราอาจสบายในบางเรื่องได้ตามสมควรแต่เราก็ต้องรับผิดชอบชีวิตตัวเองได้ด้วยรู้ไหมเขต ”

นายเขตที่เชื่อฟังสนธยาเพราะต้องการเรียนรู้ไว้ทำเป็นตัวอย่างนั้นพยักหน้าอย่างว่าง่ายจนสนธยาอดเอ็นดูไม่ได้ เสียงทุ้มนุ่มจึงเอ่ยต้อพร้อมรอยยิ้มหวาน...อ่อน ๆ

“ สำหรับพี่...คนที่รับผิดชอบตนเองได้นั่นแหละคือคนเก่งที่สุด ”

หยอดไว้อย่างนั้น...เลยทำให้นายเขตบดินทร์ตัวแสบยิ่งพยายามหิ้วสัมภาระลงจากรถด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...เพราะอยากเป็นคนเก่งนั่นเอง!!

จากสนามบินมาจนถึงบ้าน...นั่งรถไม่นานก็มาถึง และสำหรับสนธยาแล้วการกลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดว่าอิ่มอกอื่มใจแล้ว แต่การกลับมาเยี่ยมบ้าน...มันมีความหมายมากกว่าที่เคย!!

‘บ้าน...’ วินาทีนี้คำพูดสั้น ๆ คำนี้พาให้เนื้อหัวใจพลันซาบซ่าน...อบอุ่นประหลาดล้ำกว่าคำไหน

และพอก้าวเข้าไปในบ้าน...มารดาของคนตัวสูงก็เดินลงมาจากชั้นบน หน้าตาของหญิงวัยกลางคนมีประกายอิ่มเอิบแจ่มใส ออกท่าทางดีใจที่ลูกชายได้กลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากที่ไปนาน 4 ปีและไม่เคยแม้แต่จะกลับมาหา เพราะสนธยาเอาแต่เรียน...เรียน...เรียนทั้ง ๆ ที่ปิดเทอมแท้ ๆ แต่ก็ยังไม่ยอมกลับบ้าน ผลที่ได้ก็คือ...หากวิชาที่สอบเมื่อ2-3วันก่อนนั้นผ่านหมดก็เท่ากับว่าชายหนุ่มสำเร็จการศึกษาแล้วเป็นที่เรียบร้อยโดยใช้เวลาน้อยกว่าตามหลักสูตรปรกติถึง 1 ปี

“ ตาสน!!...จำได้ว่าเมื่อต้นปีที่ไปเยี่ยมแม่ยังรู้สึกว่าหนูผอม แต่ทำไมตอนนี้ยิ่งผอมละลูก!! ”

ผู้เป็นมารดาโอบกอดสนธยาแน่น...น้ำตาคลอน้อย ๆ ในขณะที่เอ่ยบ่นตามประสาคนเป็นแม่ที่เห็นลูกผอมละเป็นไม่ได้ จะต้องขยันหาของกินมาบังคับขู่ให้กินเพราะกลัวว่าจะผอมแห้งแล้วเจ็บไข้ได้ป่วย จนสนธยาต้องล้อบ่อย ๆ ว่า...

“ โธ่แม่ครับ...ไม่ใช่ว่าผอมแล้วจะหมายถึงไม่แข็งแรงนี่ครับ แล้วไอ้ที่อ้วน ๆ มันก็ไม่ใช่ว่าจะดี...โรคตั้งมากตั้งมายนี่ล่ะมากจากความอ้วนเป็นเหตุนั่นละครับ ”

พอจาระไน...สาธยายถึงโรคที่เกิดจากการกินไม่ระวังมาก ๆ อย่างเช่น โรคเบาหวาน โรคอ้วน คุณแม่คนดีของสนธยาก็เริ่มไม่สบายใจขึ้นมาบ้าง

“ กินน้อยก็ไม่แข็งแรง...กินมากก็ไม่ดีแบบนี้ก็แย่สิจ๊ะ แล้วทีนี้จะให้ทำไงดีล่ะ ? ”

สนธยายิ้มกว้างแบบที่ไม่ค่อยได้ยิ้มให้ใครเห็น...พลางหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เสียงทุ้ม...เอ่ยประเหลาะเอาใจ ด้วยกลัวมารดาจะกังวล

“ น้อยไม่ดี มากก็ไม่ดี...เก๊าะกินพอดี ๆ ซิจ๊ะแม่ แบบนี้แหละถึงจะแข็งแรง ”

แม่ของสนธยายิ้มให้นายเขตอย่างใจดีก่อนจะพาชวนเข้าไปกินขนมหวานในครัว...ในขณะที่สนธยาก็ค่อยหิ้วกระเป๋าสัมภาระขึ้นชั้นบนเนื่องจากคนเป็นแม่พูดฝากให้เขารีบขึ้นไปด้านบน

“ พี่น็อตของลูกไม่ค่อยสบาย หนูไปดูพี่เค้าหน่อยสิลูก...นี่จะแต่งกันอีกไม่กี่วันนี่แล้วแม่กลัวจะป่วยไข้ไม่สบายหายไม่ทันเอาได้ ”

นาน...นานแล้วที่ไม่ได้เข้ามาในห้องของพี่ชายต่างมารดา นานมากจนสนธยาจำไม่ได้ว่าข้างในห้องนั้นวางอะไรไว้ตรงไหนบ้าง แต่พอเปิดประตูเข้าไป ใบหน้าคมก็รู้สึกได้ถึงไอเย็นของเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำพร้อม ๆ กับดวงตาคมแลเห็นร่างสูง ๆ ของพี่ชายนอนหลับอยู่บนเตียงนอน


อนุพงษ์นอนหลับอยู่บนเตียงนอนโดยไม่มีทีท่าว่าจะรู้สึกตัวว่ามีแขกมาเยี่ยมถึงในห้อง คนตัวสูงนอนหลับในชุดเสื้อเชิร์ทสีเข้มโดยถอดเนคไทวางพาดไว้ที่พนักเก้าอี้ กระดุมเสื้อถูกปลดให้หายใจได้สะดวก...จนสนธยาแลเห็นผิวหนังช่วงอกของพี่ชายสะท้อนขึ้นลงตามแรงหายใจ

ช่วงหลัง ๆ ...อนุพงษ์ดูเหมือนจะเข้าใจมารดาของสนธยาดีขึ้น และก็เลิกตั้งแง่รังเกียจ...จนสุดท้ายกลับกลายเป็นสนิทสนมกันได้ถึงขั้นที่ลูกชายคนโตนั้นสามารถพาคุณแม่ของสนธยาไปเดินซื้อของด้วยกันได้อย่างสนุกสนานเสียอีกด้วยซ้ำ แต่นั่นก็เป็นคำบอกเล่าของมารดา...แต่สำหรับตัวสนธยาแล้วความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องมันหยุดชะงักตั้งแต่ไปจากบ้านเมื่อ 4 ปีก่อน และทั้งคู่ก็ไม่เคยได้พูดคุยกันอีก

สนธยาสังเกตว่าพี่ชายของตนหายใจสะดุดเป็นระยะจึงหยิบเครื่องช่วยฟังขึ้นมาคล้องคอ ก่อนที่จะใช้ปลายนิ้วขยับแตะเพื่อเปิดอกเสื้อของพี่ชายที่นอนหลับ แต่มือเย็น ๆ ก็ทำให้คนที่เคยหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นมาแทบจะทันที...ก่อนที่ดวงตาของคนทั้งคู่จะสบกันนิ่งอยู่อึดใจหนึ่ง

“ เห็นแม่ว่าพี่ไม่สบาย...เลยจะตรวจ แต่ถ้าพี่ไม่ชอบ...ผมก็ขอโทษด้วย ”

สนธยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มพร้อมรอยยิ้มเจือนระบายอยู่บาง ๆ พร้อมกับตั้งท่าจะลุกเดินจากไป...แต่ฝ่ายพี่ชายกลับลุกพรวด ถลาลุกขึ้นมาจับแขนรั้งคนเป็นน้องเอาไว้นิ่งอึดใจหนึ่งก่อนที่จะเอ่ยเสียงอ่อน

“ ไม่เป็นไร...ตรวจเถอะ ”

นั่นทำให้สนธยาค่อยนั่งลง...แล้วแตะเครื่องช่วยฟังลงบนอกพี่ชาย ก่อนที่จะซักลักษณะอาการด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเรียบเรื่อยโดยไม่เงยหน้าขึ้นสบตาคนเป็นพี่…และสุดท้ายจึงสรุป

“ โรคภูมิแพ้ของพี่คงกำเริบน่ะครับ...ไว้ผมจะไปซื้อยาที่ร้านขายยามาให้ ”

พอสนธยาตั้งท่าจะลุก...คนที่เคยนอนให้ตรวจนิ่ง ๆ ก็รีบลุกก่อนที่เสียงห้าว ๆ จะเอ่ยโพล่งขึ้นทันที รั้งให้สนธยาตกใจจนถึงกลับหันหน้ากลับไปมองพี่ชาย

“ ที่แล้วมา...พี่ขอโทษ พวกเรา...ยังจะกลับไปเป็นพี่น้องเหมือนสมัยก่อนได้ไหม? ”

คนพูดว่าเขิน...คนฟังซิยิ่งเขินจนทำอะไรไม่ถูก เพราะคำว่า ‘สมัยก่อน’ ทำให้สนธยาถึงกับยิ้มเขินแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ เพราะคำว่าสมัยก่อนพาให้นึกถึงวันที่เด็กชายสนธยาถูกมารดาพามาเที่ยวที่บ้านนี้เป็นครั้งแรกจนได้พบกับเด็กชายอนุพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็อายุจวนเจียนจะทำบัตรประชนชนแล้วกลายเป็นนายอนุพงษ์อยู่มะรอมมะร่อ

เด็ก2คนเล่นกัน...แค่ครึ่งวันก็ตัวติดเป็นตังเม คนพี่ก็ออกอาการหวงน้องเพราะเคยเป็นลูกคนเดียวและอยากมีน้องใจจะขาด ดังนั้นพอมีน้องมาเล่นด้วยก็เลยออกท่าออกทางหวงจนถึงขั้นจะไม่ยอมให้พากลับบ้านในตอนเย็น

มารดาของสนธยาซึ่งตอนนั้นเป้นผู้หญิงธรรมดาที่เป็นหม้ายสามีตายไปหลายปีนั้นไม่ได้คิดว่าพ่อม่ายที่หย่าขาดกับภรรยาสาวจะเกิดสนใจตนเองถึงขั้นชวนมาเที่ยวที่บ้าน...เพื่อใช้ลูกกระชับความสัมพันธ์ซะอย่างนั้น

พอคนพี่คิด...คนน้องก็ต้องถูกพามาบ่อย ๆ จนหนัก ๆ เข้าก็เลยได้เห็นภาพเด็กหนุ่มน้อยอุ้มน้องตัวเล็ก ๆ อายุ 6 ขวบกว่า ๆ ขี่หลังวิ่งทั่วบ้านสนิทกันจนถึงขั้นที่ว่าเวลาสนธยาไม่สบายแล้วแม่ไม่พามาหา ‘พี่น็อต’ สนธยามักจะนอนเป็นไข้...ร้องไห้เงียบอยู่บนเตียงจนคนเป็นแม่นั้นแสนจะสงสาร

พอคิดถึงวันคืนอบอุ่นที่ผ่านมานานแสนนานอันนั้น...สนธยาก็อดยิ้มอ่อนพลางออกท่าเขินไม่ได้

“ อย่าโกรธพี่เลยนะ...เพราะแม่ เอ่อ...แม่ของพี่นะไม่ใช่แม่ของตัว ”

อนุพงษ์กลับไปใช้...ถ้อยคำที่สมัยเด็กเคยใช้กับน้องตัวน้อยอีกครั้ง เพราะหากแม่บ้านคนเก่ามาได้ยินก็คงรู้ดีว่าพี่น้องคู่นี้เคยพูดจากันอย่างไร

ตอนอนุพงษ์พับเรือลอยในอ่าง สนธยาที่ยังเด็กก็มีอ้อน...ขอบ้าง

“ ปี้จาย...ทำให้หนูมั่ง ๆ ”

พอเสียงแจ๋ว ๆ ร้องขอ...ก็จะมีเสียงเด็กหนุ่มพูดขึ้นอย่างรำคาญหน่อย ๆ ของอนุพงษ์ดังมาให้พวกผู้ใหญ่ได้ยินแว่ว ๆ

“ ก็เดี๋ยวซิ!! กำลังพับอยู่นี่ไง...ตัวอยากเล่นก็รอเฉย ๆ สิน่า ”

นึกถึงวันเก่า ๆ ทีไร...บางทีอนุพงษ์ก็รู้สึกผิดทุกทีที่ไปเชื่อมารดาแท้ ๆ ของตนเองที่แอบมาใส่ไฟให้ตัวเขาที่เป็นลูกชายฟังว่า

// เขามาแม่เลยถูกป๊าของหนูไล่ออกจากบ้าน เขาจะมาแย่ง...มาฮุบของ ๆ หนูหมดทุกอย่างแล้วไล่ไปอยู่ข้างถนน หนูต้องอย่ายอมให้ป๊าแต่งงานใหม่นะลูก แล้วก็คอยบอกให้ป๊ากลับมาดีกับแม่ไวไวดีไหม? //

อนุพงษ์จำได้...ท่าทางที่แม่กรีดนิ้วซึ่งทาเล็บสีแดงไปมาพลางเอ่ยชักจูงตัวเขาที่อายุแค่ 15-16 ให้หลงเชื่อ ดังนั้นจากเมื่อแรกที่เคยรู้สึกดี ๆ ให้...ตอนหลังเลยกลับกลายเป็นเกลียดชังพวกสนธยาเอาทั้งแม่ทั้งลูก จนกระทั่งโต...ถึงค่อยรู้ความว่าที่ป๊าหย่ากับแม่เพราะว่าจับได้ที่ไปนอกใจเลื้ยงผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้อยู่นอกบ้านอีกคนนึง

แต่ถึงอย่างนั้น...ก็ยังระแวงว่าสิ่งที่แม่เคยพูดให้ฟังมันจะเป็นเรื่องจริง เพราะสนธยานั้นยิ่งโตก็ยิ่งเป็นเด็กทั้งเรียนดีทั้งฉลาด ทำให้อนุพงษ์ไม่สามารถลบความรู้สึกที่ว่า... “ เขาจะมาแย่ง ” ออกไปจากสมองได้

แต่กว่าจะรู้ก็ต่อเมื่อสนธยาไปไกล...เพียงแค่ 3 เดือนอนุพงษ์ก็เริ่มรู้แล้วว่าอันที่จริงแล้ว สายใยเบาบางระหว่าง “น้องสน” กับ “พี่น๊อต” อันที่จริงก็ยังไม่เคยถูกสะบั้นขาดลงไปได้เลย จนเมื่อคิดทบทวนดี ๆ ถึงได้เข้าใจตัวเองได้ว่า...ถึงแม้จะตะโกน จะก่นด่า จะถากถางสารพัด แต่ใจจริงก็ยังแอบสอดส่องพฤติกรรมของคนเป็นน้องอยู่เสมอด้วยความห่วงใยอยู่ลึก ๆ แต่ไม่ได้รู้ตัว


“ ยกโทษให้ได้ไหม? กับอะไรที่พี่เคยทำลงไป...ทุก ๆ อย่างเลย ”

อนุพงษ์ถามเสียงละห้อย...เพราะเห็นสนธยาเงียบไม่ตอบอะไร

“ ผม... ” สนธยาพูดขึ้น จนคนที่เคยหน้าเศร้าจึงค่อยเงยหน้าขึ้นฟังอย่างสนอกสนใจ

“ จะยกโทษให้ได้ยังไงละครับ ? ” พอฟังอย่างนั้น...คนขอให้ยกโทษก็หน้าเสีย ดวงตาคมของอนุพงษ์หมองลงจนสนธยาตกใจ...รีบล่ำลักบอกขึ้นทันควัน

“ ก็...จะให้ผมยกโทษยังไงละครับ ก็...ก็ในเมื่อผมเคยโกรธพี่น็อตซะที่ไหน!! ”

เท่านั้นเอง...อนุพงษ์ก็ยิ้มหน้าบาน ก่อนจะค่อยชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ต่ออย่างเขิน ๆ เก้ ๆ กัง ๆ ตามประสาพี่ชายมือใหม่เพราะร้างราการมีน้องชายมาเป็นนาน

เสียงหัวเราะของพี่น้องสองคน...ทำเอามารดาของสนธยาที่ยืนฟังอยู่ถึงกับแอบยิ้มด้วยความดีใจ

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

คนตัวสูง...เดินในห้างสรรพสินค้าหลังจากที่เมื่อคืนคุยกับอนุพงษ์จนดึกเลยไม่ได้ออกมาซื้อยาให้ เขาจึงตัดสินใจเข้าห้างสรรพสินค้าในตอนสาย ๆ เพื่อแวะซื้อยาจากเภสัชกรโดยตรง

ในขณะที่เดินถือถุงยาก็นึกอยากดูหนัง...เลยไปวนเวียนดูโปรแกรมหนังอยู่นานกว่าจะตัดสินใจซื้อตั๋วหนังเกาหลีเรื่องหนึ่ง สนธยาพยายามไม่หันไปมองคนรอบ ๆ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจากใครหลาย ๆ คน...ทำเอาความมั่นใจหายลงไปหลายแต้ม จนบางทีเขาต้องแอบก้มลงเช็คสภาพเสื้อผ้าอยู่บ่อย ๆ ด้วยความระแวง กลัวว่าจะทำอะไรไม่ดีจนเป็นเป้าผู้คนแบบนี้

เมื่อแรก...นั่งรอเข้าโรงอยู่นาน แต่เมื่อชักทนสายตาหลายคู่ที่จับกลุ่มมองมาอย่างไม่มีเหตุผลไม่ได้คนตัวสูงก็เลยลุก ตัดสินใจเดินไปซื้อน้ำเตรียมเอาเข้าไปในโรงหนัง

ดวงตาคมส่งประกายอ่อน ๆ ให้พนักงานก่อนจะสั่งเครื่องดื่ม ในขณะที่สายตากระหวัดไปเห็นร่างเล็ก ๆ ร่างหนุ่งยืนกระสับกระส่ายอยู่หน้าห้องน้ำที่อยู่ไกลออกไปจากจุดนั้นเล็กน้อย ชายหนุ่มจ่ายเงินก่อนที่จะยืนดูดโค้กจ้องเด็กหญิงตัวเล็กยืนบิดไปบิดมาอยู่หน้าห้องน้ำชาย...มองดูน่าสงสารแต่ก็ชวนให้ขำขันเช่นกัน

“ น้องครับ...ปวดปัสสาวะเหรอ ? แล้วนี่ผู้ปกครองไปไหนละ ? ”

เด็กหญิงผมยาว...สวมเอี๊ยมยีนส์สีน้ำเงินในขณะที่ผมยาว ๆ ถูกถักเป็นเปียสองข้างมองดูน่ารัก ดู ๆ ไปแล้วสนธยาก็รู้สึกเหมือนเค้าหน้าตาน่ารัก ๆ คล้าย ๆ คนรู้จักคนไหนสักคนแต่เขาก็นึกไม่ออก

ร่างเล็กป้อมกำลังบิดตัวไปมาจนมองดูก็รู้ว่าเจ้าตัวกำลังปวดปัสสาวะเต็มที่ เด็กหญิงหันมาตอบเสียงใสทั้ง ๆ ที่เท้าเล็ก ๆ ซึ่งกำลังสวมรองเท้าผ้าใบนั้นย่ำไปบนพื้นไปมาเหมือนคนจะทนไม่ไหว

“ ป่าป๊าเข้าห้องน้ำค่ะ น้องมุ๊จต้องรอป่าป๊า ไม่งั้นถ้าหายไป...ป่าป๊าจะร้องไห้วิ่งตามหาอีก ”

คำว่า ‘อีก’ บอกให้รู้ว่าที่บิดาของเด็กน้อยต้องถึงขั้นร้องไห้ตามหานั้นเป็นเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว ทำเอาสนธยาแอบขำ...เพราะประเมินได้ว่ายัยหนูคนนี้คงซนให้พ่อแม่ต้องใจหายกันไม่ใช่เบา ๆ

“ อุ๊ย!! ลืมไป...ป่าป๊าไม่ให้คุยกับคนแปลกหน้า ขอโทษน้าค้าคุนยุง น้องมุ๊จคุยด้วยไม่ได้แล้วละ เดี๋ยวป่าป๊าออกมาจากห้องน้ำจะดุน้องมุ๊จ ”

เธอตอบเสียงใสในขณะที่ร่างเล็ก ๆ บิดตัวไปมา...สนธยาเพียงหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยบอกอย่างเอื้อเฟื้อเช่นกัน

“ พี่จะไปยืนตรงโน้นนะครับ ” สนธยาชี้ไปทางเคาท์เตอร์ขายเครื่องดื่มของโรงหนัง “ ถ้าใครมารังแกก่อนที่พ่อจะออกมาจากห้องน้ำ หนูก็ตะโกนเรียกนะครับ...พี่ไปละ ”

สนธยาพูดเพียงแค่นั้นก่อนที่จะเดินห่างออกมา แม้ว่าจะหยิบหนังสือมายืนอ่านหลบอยู่แถว ๆ เคาท์เตอร์ขายเครื่องดื่มเป็นการฆ่าเวลา แต่ดวงตาคม ๆ ก็มักจะลอบมองไปสังเกตการณ์ที่เด็กหญิงอย่าเป็นห่วงอยู่บ่อยครั้ง ด้วยกลัวพวกมิจฉาชีพจะมาหลอกพาเด็กหญิงไป

ราว ๆ 5 นาที...คนตัวสูงที่ยืนอ่านหนังสือจึงได้ยินเสียงแจ้ว ๆ ของเด็กหญิงดังมา

“ อ๊ะ!! น้องมุ๊จปวดฉี่ฉี้จะราดแย้วจ้ะ ป่าป๊าที้วาก็รออยู่ตรงนี้ม่างละกันน้า เดี๋ยวหนูขอปายฉี่ฉี้มั่ง ”

เสียงของเด็กหญิงทำเอาสนธยาหัวเราะคิก...เพราะฟังดูรวบรัดตัดตอนได้ใจมาก ก่อนที่เด็กหญิงจะสั่งให้บิดารอหน้าห้องน้ำ ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะเดินเข้าไปในห้องน้ำฝั่งที่เขียนว่าห้องน้ำหญิง โดยมีเสียงผู้เผ็นบิดาซึ่งพึ่งออกมาจากฝั่งห้องน้ำชายกำลังตะโกนเตือนไล่หลังร่างเล็ก ๆ ที่หายเขาไปในห้องน้ำ

“ น้องมุจอย่าลืมล้างมือก่อนออกมานะครับลูก!! ”

ประโยคนั้น...แม้เป็นประโยคธรรมดาไม่สำคัญ แต่...แต่เสียงนั้นต่างหากที่ทำให้สนธยาต้องหันควับกลับไปตามเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว!!

ภาพ...จารจำย้ำไว้ในอก
ภาพ...ที่คิดถึงทุกครั้งที่ประสพพบความเหนื่อยล้า
ภาพ...ของคนที่ปักใจรักอยู่เสมอมา
ภาพ...ทิวาที่ติดตาเขาอยู่มิรู้ลืม!!

“ เจ้า...วาน้อยของพี่ ”

สนธยามองร่างที่เห็นอยู่ไกล ๆ นั้นก่อนที่เสียงครางต่ำจะเอ่ยชื่อคนที่คิดคำนึงถึงลึกล้ำเสมอมาออกจากปากโดยไม่รู้ตัว นิ้วมือหนาที่เคยถือหนังสือพ็อคเกตบุ๊คเล่มเล็กพลันถูกทิ้งลงข้างลำตัว ดวงตาคมเบิกโพลง...ยืนนิ่งอยู่หลายอึดใจ ร่างกายสูง...แข็งค้างจนตัวสนธยาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าตัวเองกำลังหายใจอยู่หรือเปล่า

เจ็บ...เจ็บจนต้องยกมือขึ้นจึกลงเป็นอกเสื้อ ดวงตาเหมือนจะมีน้ำตาเอ่อและที่ขอบตาก็รู้สึกผ่าวร้อน ภาพ...ภูริที่มารับนายเขตเมื่อวานนั้นจึงย้อนเข้ามาในสมอง เขาจำได้ว่าวินาทีที่ถามถึงทิวา...ภูริทำท่าคล้ายกับไม่อยากตอบ จนสุดท้ายเจ้าตัวก็ทำรีบเร่งแล้วลากเจ้าเขตกลับบ้านไปโดยไม่ได้เล่าอะไรให้เขาฟังเลยสักคำเดียว

“ บัวน้อยของพี่...เจ้าไม่รอ ไม่รอพี่แล้วจริง ๆ หรือนี่ ? ”

สนธยาครางด้วยเสียงสั่น...ก่อนที่ขายาว ๆ จะพาตัวเองก้าว...วิ่งออกจากที่ตรงนั้นเร็วที่สุดเท่าที่เรี่ยวแรงจะพึงมี!!

==TBC==
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 09-01-2008 10:53:55
 :sad2: :sad2: :sad2:อะไรเนี้ย :sad2: :sad2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 09-01-2008 22:28:32
 :o12: o7 :a6:

ราตรีประดับดาว32
โดย:ทิวารา

เพียงคืนเดียวนั้นคนตัวสูงก็เอาแต่มองแหวนวงน้อยด้วยรอยอารมณ์โศกลึก นิ้วซึ่งโดน...มีดผ่าตัดบาดเอาตั้งไม่รู้กี่หนจนเกิดรอยแผลจาง ๆ หลายต่อหลายรอยนั้นลูบไปมาที่แหวนทองวงนั้นอย่างเบามือ

น้ำตา...ไหลช้า ๆ ราวกับกระแสธารเอื่อยอ่อย ค่อย ๆ หยดค่อย ๆ รินทั้งที่ความโศกเศร้าในหัวอกมันมากมายจนบีบอัดพาให้รู้สึกคับแน่นเจ็บปวดไปทั้งอกทั้งใจ

“ เจ็บ...ทำไมมันเจ็บยิ่งกว่าเมื่อตอนโดนมีดผ่าตัดบาดเอาจนนิ้วแทบขาดตอนนั้นซะอีก ”

สนธยาหัวเราะขื่นในลำคอก่อนที่ในสมองจะนึกถึงภาพตัวเองครั้งที่พึ่งไปเรียนที่เยอรมันใหม่ ๆ ...ตอนนั้นเขาทั้งเหงาทั้งเจ็บปวด และสิ่งที่ต้องเรียนก็ทำให้ความเครียดยิ่งสะสม บางที...หัดใช้มีดใช้เครื่องมือ ทั้งมีดผ่า เพอัน (คีมหนีบ) กรรไกร หัดไปหัดมา...บางทีก็ท้อจนแทบจะร้องไห้ไปในขณะที่นิ้วก็กำลังหัดเครื่องมือขยับไปมาไปด้วยในตอนกลางคืน

พอในดวงตาหม่นมัวด้วยรอยน้ำตา...มีดก็ผ่าเข้านิ้ว เจ็บจนไม่รู้จะเจ็บยังไง เจ็บ...จนต้องบีบแผลที่นิ้วแล้วเอากระดาษทิชชู่กดไว้แน่น แล้วกัดกรามกรอด ๆ เพื่อกลั้นไม่ให้ตัวเองร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด

ดังนั้นหากใครเอามือของสนธยามาแบมองดี ๆ ละก็จะได้เห็น...รอยจาง ๆ มากมายที่เกิดจากการบาดด้วยของมีคมมากมาย มาก...พอ ๆ กับรอยร่องของข้อนิ้วมือตามธรรมชาติ

ชายหนุ่มได้แต่นั่งมองแหวนวงเดียวที่ใช้ระลึกถึงคนที่รักที่สุด มองด้วยดวงตาที่มีหยดน้ำตาเอื่อยไหลในตอนแรก ๆ จนกระทั่งท้าย ๆ ดวงตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ ราแสงลงเหลือแต่ความระโหยโรยล้า และสุดท้ายแล้ว...น้ำตาที่มีก็เหือดไปจนหมด!!

// ร้องไม่ออก...เพราะน้ำตามันไหลไปตกอยู่ข้างใน มันรินลงบนหัวใจราวกับน้ำกรด...รดจนหัวใจแสบชาเจ็บร้าวอยู่ภายในอย่างทารุณที่สุด//


คืนเดียว...แล้วสนธยาออกมาจากห้องนอนในตอนเช้าด้วยดวงตาช้ำ ๆ แบบที่อนุพงษ์ยังตกใจ แต่ไม่ว่าจะถามสักเท่าไหร่คนเป็นน้องก็ไม่แม้แต่จะเอ่ยเล่าแม้สักคำเดียว สนธยาได้แต่ยิ้ม...ยิ้มอ่อนบางด้วยเรียวปาก แต่ในดวงตากลับไม่มีแม้แต่แววแจ่มใส

หัวใจ...โดนทำลายแหลกสลายลงไปแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ดังนั้นต่อให้อย่างไรใบหน้าที่อ่อนโยนเป็นนิจก็เลยไม่มีแม้แต่แววโศก จะมีก็แต่ประกายอ่อนหวานในดวงตาเท่านั้นที่ขาดหายไปแล้วอย่างมิมีใครได้รู้สาเหตุ

อ่อนโยน...เหมือนคนเดิมแต่ไม่ใช่อย่างเดิม
ยิ้มเยื้อนอ่อนหวาน...เหมือนที่เคยแต่ก็ไม่หวานสนิทในหัวใจใคร ๆ เหมือนเช่นเดิมอีกแล้ว
ดวงตาที่เคยช่างเจรจาเสียกว่าริมฝีปาก...เคยทอแสงอ่อนด้วยรอยรื้นรินเย็นแสนสุขแต่บัดนี้ก็ไม่เย็นรื้นเหมือนเดิมอีกแล้ว

// เย็น...ไม่รื้นเรื่อยฉ่ำหวาน แต่เย็น...เหมือนดวงตาเย็นเยือกชอกช้ำของคนไร้หัวใจ!!//

“ สน...มีอะไรบอกพี่ได้นะ ”

อนุพงษ์พยายามพูด...ทั้ง ๆ ที่การเก็บความรู้สึกจนนิ่งเย็นนั้นมิดชิดเสียจนคนรอบข้างแทบไม่แน่ใจในสัมผัสของตัวเอง บางคนได้แค่สงสัยว่า เอ...ทำไมแปลกไป แต่ทว่าก็รู้สึกเพียงนิดและก็บอกไม่ได้ว่าสนธยาแปลกไป ‘จริง’ หรือ ‘ไม่จริง’ กันแน่

“ ไม่มีอะไรนี่...อะไรที่ว่านั่น...ผมลืมไปแล้วละมั้ง ”

สนธยายิ้มเย็น...เย็นเยือกแต่มิใช่เย็นรื้นเหมือนเช่นวันเก่า

// ลืม...ต้องลืมให้หมด ความเจ็บปวดจากการเอื้อมคว้าสิ่งที่ไม่ควรคว้า ชีวิตของคนที่รักเป็นสุขก็ดีแล้วมิใช่หรือ ? เพราะงั้นเขาจะร้องไห้ทำไม ? จะไปทุกข์ร้อนหรือคิดจะไปหาอีกฝ่ายทำไม? ...ในเมื่อการปรากฏตัวของเขาอาจทำให้ทิวารู้สึกยุ่งยากในหัวใจ //

น้ำตา...หยดลงในอก กระทบหัวใจหยดแล้วหยดเล่าอย่างช้า ๆ อยู่ภายใน
เหมือนหยดน้ำกรดที่กัดกร่อน...กัดกร่อนให้หัวใจละลายอารมณ์ที่มีหายไปจากร่างกาย จากหัวใจ

“ พี่...ผมกลับเยอรมันอาทิตย์หน้านะ เพราะต้องกลับไปรับปริญญา พ่อกับแม่บอกว่าจะตามไปแต่...ผมบอกไปแล้วว่าจะรับข้อเสนอของทางมหาลัย ”

สนธยาบอกพี่ชายช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบสนิท...ราวกับผิวน้ำที่ไร้ซึ่งคลื่นน้ำใดใด

“ ข้อเสนออะไรเหรอ ? แล้วทำไมไม่ให้ป๊ากับแม่ไปล่ะ ? ในเมื่อรับปริญญาทั้งทีนะสน...นี่พี่ยังกะว่าจะไปด้วยเลยนะ ”

สนธยาเพียงยิ้มบาง...ก่อนที่จะเอ่ยบอกถึงรายละเอียดที่ทางมหาวิทยาลัยส่งเอกสารติดต่อมาทางอีเมลเมื่อวันก่อน

“ พอดีว่าผม...อาจจะรับข้อเสนอเป็นแพทย์ฝึกหัดในโรงพยาบาลที่เป็นเครือข่ายของคณะแพทย์ของมหาลัยน่ะครับ เค้าว่าอย่างผมที่จบก่อนหลักสูตรน่าจะลองดู...ถ้าผลประเมินออกมาดีเค้าก็จะให้ผมเข้าประจำเป็นแพทย์ของโรงพยาบาลที่โน่นถาวรไปเลย ผมว่ามันก็ดี...ถึงจะเสียเวลาเป็นแพทย์ฝึกหัดอีกปี2ปีก็เวิค สำหรับผมที่เรียนทางศัลย์มาโดยตรง ”

// ควรจะดีใจไหม ?...น้องที่ตัวเองโง่ผลักไสให้ไปถึงเยอรมันนั้น บัดนี้เป็นที่ต้องการของทางโน้น...จนอาจจะต้องแยกไปอยู่ห่างไกลเป็นการถาวร //

อนุพงษ์รู้สึกดีใจ...ที่รู้ว่าน้องเก่งและเป็นที่ยอมรับมากถึงขั้นนี้ แต่...คนที่พึ่งมารู้สึกตัวแล้วได้มีความสุขกับการมีน้องชายเช่นตัวเขานี้ กลับรู้สึกโหวงในอกเมื่อรู้ว่าเป็นไปได้ที่น้องจะไปไกล...ไม่ได้มาใกล้ชิดกันอีกและก็อาจจะเป็นอย่างนั้นตลอดชีวิตหากสนธยาได้เป็นแพทย์ประจำที่โน่นเต็มตัว

“ เธอเก่ง...พี่ภูมิใจมาก แต่...ในฐานะคนเป็นพี่ชายแล้วพี่รู้สึกเสียใจที่เราไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างที่หวังเอาไว้ พี่...ไม่รู้สินะ พี่หวังว่าคราวนี้เมื่อเอกลับมาเราอาจจะได้ชดเชยอะไร ๆ ที่เราได้เสียไป ได้ชดเชยเวลาที่เราไม่ได้เล่นด้วยกันมานาน...นานมากแล้ว ”

คำพูดของคนเป็นพี่ทำเอาสนธยาหัวใจอ่อนยวบลงไปไม่น้อย ดวงตาคมทอแสงอ่อนก่อนที่วงแขนค่อนข้างหนาจะโอบรอบไหล่พี่ชายก่อนจะกอดไว้หลวม ๆ

//เป็นปรกติเขาอาจจะร้องไห้ไปแล้ว...แต่ดูเหมือนหัวใจดวงนี้จะตายลงไปเสียแล้ว ดังนั้นน้ำตามันก็เลยไม่ไหลออกมาสักหยด ไม่ไหลทั้ง ๆ ที่หัวใจโหวงเหวงถึงขนาดนี้ //

สนธยาคิดกับตนเองก่อนที่จะยิ้มอย่างขื่นขม...ยิ้มเพียงแว่บเดียวก็ค่อยคลายสีหน้ากลับไปเรียบสนิทเช่นปรกติ ก่อนที่รอยเสียงจะเอ่ยออกไปอย่างเย็นเยือกสงบสนิท...นิ่ง

“ ผมขอโทษ...แต่ไม่ว่าจะอยู่ไหนผมก็ยังเป็นน้องพี่นะ ผมสัญญาว่าจะมาหาทุกปี...นะครับ ”

อนุพงษ์ยกมือหนา ๆ ขึ้นตบหลังน้องชายอย่างจนใจ

แต่...ลึก ๆ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าน้องกำลังหนีจากอะไรอยู่หรือเปล่า ? มันเป็นสังหรณ์ที่แทรกลึกเข้ามาในสมองอย่างไม่มีสาเหตุ ดวงตาของคนเป็นพี่ทอประกายทั้งหนักใจระคนกับความรู้สึกหมองเศร้า

“ สน...เราเก่ง เราโตและเป็นน้องที่พี่ภูมิใจนะ แต่...พี่พูดได้แค่ว่า จงอย่า...หนีหัวใจตัวเอง ”

คำพูดของพี่ชายทำให้สนธยาสะดุ้งสะเทือนจากในหัวใจได้เป็นครั้งแรกในหลายวันที่ผ่านมานี้ คนเป็นน้องเงยหน้าขั้น...ดวงตาที่มองสบตาพี่ชายมีรอยรวดร้าวจนเห็นได้ชัด!!

“ แล้ว...ผมจะหนีอะไร ๆ ที่ทำให้ผมเจ็บปวดได้ไหม? ถึงจะไม่ได้หนีเพราะเกลียด ถึงจะหนีเพราะรัก...แต่ว่าผมก็ต้องหนีเพราะเจ็บจนทนไม่ได้ ”

สนธยายกมือหนาขึ้นปิดดวงตาทั้งคู่ของตนเอง...เพรารู้ตัวว่าอารมณืของเขาไม่ได้นิ่งอย่างที่ควรจะเป็น เขารู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าดวงตาของเขาคงบอกอะไร ๆ ให้พี่รู้มากพอดูเลยทีเดียว

“ ผม...หนีเพราะเจ็บ หนีเพราะ...ผมเป็นคนที่ใครบางคนไม่อยากพบอีกแล้ว แบบนี้...ผมจะสามารถหนีได้ไหมครับพี่ ? ”

ผ่านนิ้วมือ...น้ำตาของคนเป็นน้องไหลผ่านออกมาจากนิ้วมือหนาที่พยายามปิดดวงตาของตนเองแน่น อนุพงษ์มองภาพน้องที่ร้องไห้โดยไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นอย่างตกใจ

เพราะไม่มีแม้เสียงครือครางโหยไห้...ไม่มีเสียงรำพันเหมือนคนอื่นเขา
มีแต่น้ำตา...ที่ไหลออกมามากมายด้วยความซื่อสัตย์ต่อหัวใจซึ่งเจ็บร้าวอย่างที่สุดนี้!!

“ พี่น็อต...ผมกำลังจะตาย กำลังจะตาย...จากข้างใน ผมบอกไม่ถูก...รู้แต่ว่าตัวเองกำลังตายอย่างช้า ๆ จากภายในนี้...จากตรงนี้!! ”

สนธยาแตะมือที่อกก่อนจะเปลี่ยนเป็นกำแน่น...

มือหนึ่งปิดดวงตา...ทั้ง ๆ ที่นิ้วเปื้อนน้ำตามากมายที่โรยรินออกมาไม่ขาดสาย
แต่อีกมือ...แตะลงที่ตรงหัวใจ ก่อนจะกำอกเสื้อจนแน่น...เหมือนคนเจ็บปวดจากภายในจนแทบทนไม่ได้

“ หัวใจผม...กำลังจะตาย ”


==TBC==

[ตรงนี้เป้นส่วนที่ผู้เขียนลงไว้ตอนเขียนเรื่องนี้นะค่ะ]



ตอนนี้...กำลังโดนเพื่อนที่ตามอ่านค่อนแคะว่าเป็น ' ผู้เชี่ยวชาญด้านการเขียนเรื่องหม่นหมอง '

เคยได้ยินไหม ? ว่าถ้าอยากรู้ความคิดของใครก็ให้อ่านงานเขียนของคน ๆ นั้น

แล้วไอ้คำพูดนี้ก็ย้อนมาทำร้ายเรา...เพราะเพื่อนถามว่า

" แกมีความสุขกับชาวบ้านเขาบ้างไหม ? "

ได้โปรดเถอะ...อย่าถาม เพราะไม่อยากตอบ
เรามีความสุขบางเรื่อง ทุกข์บางเรื่อง
สุขบางด้าน ทุกข์บางด้าน
แล้วก็เหนื่อยบางด้าน...เหงาบ้างเพราะบางทีทุกข์แล้วก็ไม่รู้จะไประบายเอากับใคร เราก็อยู่ของเราตัวคนเดียว มีหน้าที่ให้คนอื่น...แต่ดูเหมือนจะไม่ได้มีหน้าที่ รับจากคนอื่น

บอกได้แค่ว่า...คนที่จะเขียนเรื่องทุกข์ได้ดีจะต้องเคยทุกข์

คนที่จะเขียนเรื่องสุขได้ดี จะต้องเคยมีความสุข

เพราะไอ้อะไรที่ไม่เคยประสพด้วยตัวเอง...มีหรือจะบรรยายออกมาได้เหมือน ?

(เหมือนแนะแนวการศึกษาเลยเนาะ...หัวข้อว่าด้วยการเขียนให้คนอ่านหม่นหมอง) หัวเราะ...
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 09-01-2008 22:31:03
ราตรีประดับดาว33
โดย:ทิวารา

วา...เธอจะรู้ไหมว่าพี่อยากหนีไป...ด้วยความหวาดกลัว เพราะกลัว...ว่าจะต้องได้ยินคำพูดตัดขาดพี่ออกจากปากเธอ!!
............................................

คนตัวสูงโปร่งนอนหายใจสม่ำเสมอในขณะที่เสียงฝีเท้าเล็ก ๆ วิ่งตึง ๆ เข้ามาใกล้แล้วยัยหนูก็โดดใส่คนที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาจนทำเอาคนที่กำลังนอนหลับต้องสะดุ้งสุดตัว

“ ปาป๊าที๊วาค้า~ ยุงภูรี้มาหาค่า~ ”

เด็กหญิงโดดทับท้องของ ‘คุณพ่อ’ จนคุณพ่อตัวสูงที่ผอมบางแทบจะกระดูกหัก

“ อุ๊บ!! มุจลินทร์ พ่อบอกกี่หนแล้วครับว่าอย่าโดดใส่ หลังพ่อไม่ค่อยดีแล้วนะครับ...พ่อแก่แล้วนะ ”

“ อะไร...จะแก่ไม่รอกันแล้วเรอะ ”

ภูริที่เข้ามาพร้อมคุณนุชร้องแซว ก่อนที่ภูริจะอุ้มเด็กหญิงขึ้นหอมแก้มทีหนึ่ง ในขณะที่ยัยตัวเล็กเอามือแนบแก้มสากของลุงเล่น

“ หนวดตำน้องมุจ...จักกะจี้หมดแย้วจ้ะยุง ”

ยัยหนูดิ้นขลุก ๆ หัวเราะเอิ๊ก ๆ ในขณะที่คุณนุชค่อย ๆ วางขนมที่ซื้อมาฝากลงบนโต๊ะเตี้ยข้างโซฟาโดยที่เจ้าของบ้านค่อย ๆ ลุกขึ้นจากโซฟาช้า ๆ

ดวงหน้าที่เคยดูเยาว์นั่นเวลานี้ดูเติบโตขึ้นตามวัย ดวงตาที่เคยกลมโตนั้นตอนนี้ดูเรียว...รีลงพร้อมกับรอยละมุนที่มีมากขึ้นตามวัย และการเป็นพ่อคนมาเกือบ 2 ปีก็ทำให้ทิวาดูจะใจเย็นลงอีกด้วย

“ พึ่งกลับจากแล็ป นั่งมาทั้งวัน...เลยยอกไปหมดทั้งหลังเลยน่ะ ”

ในขณะที่เอ่ยเล่า...คุณนุชก็จูงหลานเข้าไปในห้องครัวที่กั้นด้วยเคาท์เตอร์เล็ก ก่อนจะมีเสียงเย้ว ๆ ของยัยตัวเล็กที่ร้องอย่างดีอกดีใจเมื่อเห็นขนมของฝากในถุง

ภูริหันไปมองคนรักกับหลาน...ก่อนจะหันกลับมามองเจ้าตัวคนเป็นพ่อ คนตัวสูงกว่าจะถอนหายใจยาวเหยียดแล้วจึงดึงรูปถ่ายใบหนึ่งออกจากอกเสื้อส่งให้ทิวาที่ในดวงตากลมรีคล้ายแมวยังดูจะมีแววง่วงงุน

“ อะไรเหรอ ? ”

ถาม...จนเมื่อเพื่อนไม่ตอบ ทิวาก็ค่อยรับรูปถ่ายใบนั้นมาดูด้วยตัวเอง ก่อนที่ดวงตาคมเหมือนแมวจะเบิกโพลง นิ้วเรียว ๆ คว้าแว่นตาไร้กรอบมาสวมก่อนจะจ้องรูปถ่ายใบนั้นราวกับจะจ้องให้ทะลุ แล้วจากนั้นคนตัวสูงบางก็ค่อยเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนช้า ๆ

“ พี่สน...พี่สนใช่ไหม? ”

ถึงรูปลักษณ์จะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ดวงตาคมที่มีประการรื้นรินคู่เดิมนั้นยังคงสวยงามไม่เคยเปลี่ยนเลยในสายตาของทิวา ร่างโปร่งมองรูปนั้นนิ่งก่อนที่จะซบหน้าลงกับรูปถ่ายทั้ง ๆ ที่น้ำตาคลอ

// คิดถึง...คิดถึงจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว พี่สนของวา //

“ อีกตั้งปี...กว่าจะครบ 5 ปีตามหลักสูตรแพทย์ แต่แค่คิดว่าผ่านมา4ปีแล้วยังต้องรออีกตั้งปีนึงแล้ว...มันก็อดเหงาไม่ได้จริง ๆ ”

2 ปีระหว่างเรียนที่ทิวาอุ้มเด็กอายุ 5 ขวบลงมาจากเชียงใหม่แล้วบอกเพื่อน ๆ ว่านี่คือ... ‘ลูกสาว’ จากวันนั้นทิวาก็ทั้งเรียนทั้งเลี้ยงยัยตัวเล็กไปด้วย เวลาที่จะมัวร้องไห้คิดถึงคนที่รักนั้นแทบจะไม่มี...จะร้องไห้ซักทียังต้องแอบร้องตอนกลางคืนระหว่างที่ยัยตัวเล็กนอนหลับ

“ เปล่า...สนมันกลับมาที่บ้านแล้วตั้งกะอาทิตย์ก่อน มันเรียนจบแล้วล่ะวา... ”

คำบอกของภูริทำให้ทิวาสะดุ้ง ดวงตาสีอ่อนจ้องเพื่อนเหมือนจะไม่เชื่อคำพูดที่ได้ยิน


“ เอาล่ะ...ก็อย่างที่บอกไม่เมื่อกี๊ ทีนี้...ฉันต้องถามนายแล้วละนะวา ว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ ? ถึงพวกเราจะไม่มีใครถามเซ้าซี้ว่ายัยหลานสุดที่รักที่นายหามาให้ฉันกับคุณนุชนี่แกไปไข่ทิ้งไว้ตั้งแต่ตอนไหน...แต่วันนี้นายต้องบอก เพราะจะให้นายไปเจอไอ้สนมันทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีใครเก็บไว้เป็นตัวเป็นตนยังงี้ละก็คงไม่ไหวนะ ”

“ ภู...เราไม่ได้ คือว่า... ”

ทิวาก้มหน้านิ่งก่อนที่จะค่อย ๆ เม้มริมฝีปากบางเป็นเส้นตรง น้ำเสียง...เหมือนอึดอัดเต็มที่

“ ฉันกับนุชรักยัยมุจนะเว้ย ยังไงก็หลาน...หน้าตาเหมือนแกยังกับแกะยังงี้คงบอกว่าไม่ใช่ลูกก็คงไม่ไหวหรอก แต่ไอ้จะเอาตัวฉันกับนุชมาตัดสินความรู้สึกไอ้สนมันก็ไม่ได้นะ เพราะงี้...2ปีนี้ฉันเลยไม่เคยบอกมันว่าแกมีลูกกับใครเค้าแล้ว อันที่จริงก็สงสารไอ้สนมัน...ไม่กล้าบอกจริง ๆ ”

“ เปล่านะ!! คือ... ”

พอตั้งท่าจะอธิบาย...ยัยตัวเล็กก็วิ่งถือจานเยลลี่ตรงมาหา ทำให้ทิวาต้องหยุดคำพูดลงเพียงเท่านั้น เด็กหญิงที่มีใบหน้าหวาน...ดวงตากลมนั้นมีแววละม้ายทิวาราวกับเคาะกันออกมาเลยทีเดียว ดังนั้นพอยัยหนูยิ้มหวาน...ลุงภูริมีหรือจะไม่ใจอ่อน ถึงจะสงสัยและทั้งยังคาใจ...แต่สุดท้ายแล้ว 2 ปีที่ทั้งภูริและคุณนุชได้มีหลานสาวก็ทำให้คนทั้งคู่รักยัยหนูไปแล้วโดยไม่มีข้อแม้

“ เอ๊ะ...รูปอารายคะ ให้หนูดูม่าง ”

ยัยหนูยื่นหน้ามอง...ก่อนที่จะร้องอย่างดีอกดีใจ

“ ปี้จาย...ปี้จายที่เจอตอนปาป๊าพาไปดูหนังน้องหมา ที่ไหนน้า...ที่ไปดูกันในห้องมืด ๆ น้องมุจจำได้...ปี้ชายมาคุยด้วยตอนหนูยืนปวดฉี่อยู่หน้าห้องน้ำ ”

ทิวากับภูริ...หันมามองหน้ากัน ในใจต่างก็นึกเหมือนกันตรงที่ว่า เหมือนจะเป็นลางไม่ดียังไงบอกไม่ถูก

“ ภู...นายตามมาคุยกับเราในห้องนี่หน่อย เอ่อ..พี่นุชดูลูกให้ผมแปปนะครับ ”

ทั้งภูริและทิวารีบจ้ำเข้าไปในห้องทำงานของทิวา ก่อนที่ร่างโปร่งจะปิดประตูห้องเสียแน่นหนา

“ ภู...ฉันจะบอก แต่ห้ามนายบอกคุณนุชนะ ”

ทิวาทำหน้าเครียดก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกดดันเต็มที่ แม้ว่าภูริจะงง ๆ แต่ก็พยักหน้ารับคำโดยดี

“ เรื่องยัยมุจฉันจะเล่าให้ฟัง...เรื่องทั้งหมด ”

ทิวาเริ่มเล่า...เรื่องที่เก็บไว้เงียบ ๆ คนเดียวมาตลอด 2 ปีโดยไม่เคยบอกใคร

เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นตอนที่ทิวาเรียนอยู่ปี 2 แล้วเขาได้รับจดหมายที่ไม่จ่าหน้าซองว่าส่งมาจากไหน จดหมายฉบับนั้นถูกส่งไปที่บ้านที่กาญจนบุรีราวกับผู้ส่งไม่ได้รู้เลยว่าทิวาไม่ได้อยู่ที่นั่น นาน...หลายเดือนกว่าที่ทิวาจะได้กลับไปเยี่ยมบ้านและถึงได้รับจดหมายผ่านคุณนุชอีกทีหนึ่ง

บนซองสีขาวจ่าหน้าถึงทิวา โดยไม่มีที่อยู่ของผู้ส่ง ทิวาสงสัยไม่น้อยเพราะนึกไม่ออกว่าจะเป็นจดหมายจากใคร แต่สุดท้ายความรู้สึกเหมือนเยื่อบาง ๆ ราวกับสายใยอะไรบางอย่างก็ชักนำให้เขาลองเปิดอ่าน

จดหมายฉบับนั้นเป็นจดหมายจากคนที่ทิ้งเขาเอาไว้แล้วหายไปนาน...หายไปโดยไม่ส่งข่าวมาหาราวกับได้ตายจากกันไปแล้วกระนั้นเลยทีเดียว แต่...จดหมายฉบับนั้นทำให้ทิวาได้รู้ว่า แม่...แม่ที่ทิ้งเขาไปนั้นยังมีชีวิตอยู่!!

จดหมาย...แม้ไม่มีที่อยู่บนซองแต่ยังดีที่มีตราประทับ บอกให้รู้ว่าถูกส่งมาจากที่ไหน เพียงแค่นั้นทิวาก็ตัดสินใจนั่งรถขึ้นไปถึงเชียงใหม่ เขาไม่บอกใครนอกจากบอกว่าไปทำกิจกรรมกับทางมหาลัย ทิวาไปที่ไปรษณีย์ก่อนที่จะตรวจสอบจนแน่ใจว่าจดหมายถูกส่งจากที่นั่น ก่อนที่จะเอารูปถ่ายของแม่ที่เขามีเพียงไม่กี่รูปถามเอากับเจ้าหน้าที่ที่นั่น แล้วก็ถูกแนะนำให้ไปขอความช่วยเหลือจากตำรวจในท้องที่แทนในตอนท้ายสุด ซึ่งกว่าจะถึงตอนนั้นทิวาก็วนอยู่ในเชียงใหม่อยู่ร่าม 2 วันเลยทีเดียว

ยังดี...ที่ยิ้มหวานเพียงทีเดียวทำให้พนักงานจากที่ทำการไปรษณีย์ยอมพาไปหานายตำรวจที่พอจะรู้จักกันได้ และโชคยังดี...ที่ตำรวจนายหนึ่งเคยเห็นแม่ของทิวาที่ซอยบ้านและจำได้ว่าอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน

ทิวายังจำได้...ตอนที่นั่งรถไปพร้อมกับตำรวจท้องที่นั้นใจเขายังเต้นรัว ตื่นเต้นที่จะได้พบแม่เหลือเกิน แต่ก็อดกลัวไม่ได้ว่าแม่จะไม่ยอมรับเขาเป็นลูกอีกแล้ว ความกลัว...เล่นงานจนทิวาแทบจะไม่กล้ากดกริ่งหน้าประตูบ้านด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายแล้วเมื่อได้พบแม่ที่ไม่ได้พบ...ไม่ได้กอดมานาน เขาก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองคิดถูกที่ออกมาตามหา

แม่ที่ได้พบ...ซูบผอมจนทิวาใจหาย คุณแม่ที่เคยสวย...กลับกลายเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีลูกสาวอายุ 5 ขวบให้เลี้ยงดูโดยที่สามีไม่ยอมกลับมาหานานเป็นเดือนแล้ว แม่...ที่เดินออกจากวงญาติโดยทิ้งลูกชายอย่างเขาเอาไว้กับยายนั้น บัดนี้กลับเป็นเพียงหญิงอ่อนแอคนหนึ่งซึ่งร่างกายอ่อนล้าทรุดโทรมลงจนน่าใจหาย

คำขอเพียงคำเดียวที่แม่ขอ...ทำให้ทิวาต้องพายัยเด็กหญิงตัวเล็กหน้าตาเหมือนเขาอย่างกับแกะลงมาจากเชียงใหม่ด้วยกัน

“ วา...ลูกคงเห็นแล้วว่าที่แม่หนีลูกมานั้น สุดท้ายก็เหมือนมาอยู่ในนรก และคนที่แม่เคยเลือกแล้วเขาก็พาแม่มานั้น...ตอนนี้ก็ปล่อยให้แม่กับยัยมุจอยู่ในสภาพอย่างนี้เพียงลำพังสองคน ยัยมุจไม่ได้ไปโรงเรียน...แม่เองก็ไม่มีทั้งเงินแล้วก็ไม่มีทั้งเรี่ยวแรง ไปหาหมอก็ไม่ได้...เพราะไม่มีเงิน ”

ในตอนนั้นทิวามองเด็กหญิงตัวป้อมน่ารัก หรือก็คือยัยมุจ...ลูกสาวของเขาในตอนนี้

“ แม่...ผมพอมีเงินติดมาบ้าง ไปนะ...ไปหาหมอกัน ”

ทิวาขอร้องมารดาทั้ง ๆ ที่ดวงตาเอ่อคลอจนแทบจะร้องไห้ เสียงครือน้อย ๆ เอ่ยขอร้องพลางลูบมือกับนิ้วมือผอมซีดของผู้เป็นแม่อย่างอ่อนโยน

“ ไม่มีประโยชน์แล้ววา...ถ้าป่วยเบา ๆ แม่ก็พอจะไปหาหมอ ไปจ่ายค่ารักษาหายามากินไหว...แต่คนเป็นโรคมะเร็งนี่มันต้องใช้ยาแพงเหลือเกินนะลูก แล้ว...รักษาไปก็คงไม่รอดแล้ว...เพราะแม่เป็นมานานมากแล้วละลูก ”

แรก ๆที่เห็นใบหน้าซูบซีดของแม่...ทิวาก็อยากจะถามเหลือเกินว่าแม่เป็นอะไร ? แต่...เมื่อได้รู้แล้วก็กลับทำให้หัวใจแทบจะขาด เพราะ...คนเรียนไม่จบ งานยังไม่มีทำ จะมีปัญญาที่ไหนหาเงินมารักษาแม่ได้เล่า!!

บ้าน...ที่รกจนไม่รู้จะรกยังไง และการที่มันรกราวกับไม่ใช่ที่ ๆ คนอยู่อาศัยนั้นบอกทิวาได้เป็นอย่างดีว่าแม่คงไม่ได้ลุกมาปัดกวาดอะไร ๆ ในบ้านนานหลายเดือนมากแล้วจริง ๆ เพราะหยากไย่ ฝุ่นไรเกาะตามตู้ตามโต๊ะจนเป็นฝ้าขาวอย่างเห็นได้ชัด

“ แม่...ทำไมแม่ไม่บอกผม ทำไม..ไม่ส่งข่าวไปเร็วกว่านี้ครับ ? ”

ถามไป...น้ำตาก็ไหล เพราะไม่รู้จะช่วยแม่อย่างไร เงินก็ไม่มี...โรคของแม่นี้ก็เป็นที่รู้ดีว่ารักษาไม่หาย และยิ่งแม่บอกสั้น ๆ เพียงคำเดียวว่า...

“ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของแม่แล้วละลูก เพราะงั้นก็เลยคิดถึงวา...เลยเขียนจดหมายฝากคนข้างบ้านไปส่ง แม่น่ะ...ไม่คิดเลยว่าหนูจะมาให้แม่กอดจริง ๆ ”

เพียงเท่านั้นเขาก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว น้ำตาของแม่...ไหลเงียบ ๆ ในขณะที่ทิวาสะอื้นเบา ๆ ทั้ง ๆ ที่อ้อมแขนยังโอบรัดร่างที่ผอมโกรกของแม่ไว้นิ่งนานเช่นนั้น

“ แม่ห่วงก็แต่ยัยมุจ...ยังไง ๆ เขาก็น้องของวานะลูก นี่ก็ 5 ขวบแล้วแต่แม่ยังไม่ได้พาไปโรงเรียนกับเขาสักที ตอนแรก...ก็กังวล ก็ทุกข์เหลือเกินจนไม่รู้จะทำยังไง เพราะถ้าคิดว่าแม่ตายไปยัยมุจจะอยู่ยังไงได้ ”

“ ไม่จ้ะ ไม่เอา...แม่อย่าพูด แม่ไม่ตายหรอก...วาดูแลน้องได้นะแม่ อยู่กับน้อง...อยู่กับวานะแม่ ”

ทิวาสะอื้น...แต่แม่กลับยิ้มให้เขาบาง ๆ ก่อนที่จะขอร้อง

“ วา...หนูจะดูแลน้องให้แม่ได้ไหม? ”

// อยากจะร้องตะโกน อยากจะร้องไห้ไม่ต้องหยุด ทั้ง ๆ ที่อยากร้องตะโกนว่าแม่จะต้องไม่ตาย แต่ทิวาก็เถียงตัวเองไม่ได้ว่าแม่...ใกล้ได้หลับเต็มที //

.....................ทิวาเล่าให้คนตัวสูงฟัง...ก่อนที่จะบอกเป็นประโยคสุดท้ายด้วยน้ำเสียงเครียดเคร่ง

“ ภู ที่เราหายไปเชียงใหม่ 2 อาทิตย์นั่น...เราไปอยู่กับแม่ แล้วพอแม่ตาย...เราก็เอายัยมุจลงมาด้วยกัน เพราะญาติของทางนั้นก็ผลักไสยัยมุจอย่างกับอะไรดี น้องทั้งคนนะภูริ...ถึงตอนนั้นจะรู้ว่าต้องลำบากแน่ ๆ แต่ก็ตัดสินใจพาน้องลงมาด้วยกัน เพราะพ่อของยัยมุจก็ดูเหมือนจะดีใจจะตายที่เราเอายัยมุจออกมาเสียได้ ”

พอรู้ว่าเพื่อนไปเจออะไรมา...ภูริก็ถึงกับพูดไม่ออก

“ งั้น...ที่นุชเคยเล่าว่าญาติ ๆ ตัดขาดแม่นาย นั่นก็เป็นความจริงสินะ...นายถึงบอกใครไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วยายมุจเป็นน้องสาว ”

ภูริอึ้งไปเหมือนกัน...เพราะจากที่เมื่อแรกเข้าใจว่าเด็กหญิงเป็นหลาน แต่บัดนี้กลับได้มารู้ว่าไม่ใช่หลาน...แต่เป็นน้องสาว

“ ไอ้เพื่อนบ้า...เจออะไรยังงี้แล้วทำไมไม่บอกกันซักคำวะ!! แล้วนี่เรื่องไอ้สนน่ะจะทำยังไงกันดี ? ”

คำพูดของภูริทำให้ทิวาสะดุด...ดวงตาคม ๆ เหมือนแมวกระหวัดสายตาราวกับจะเอ่ยถาม ก่อนที่คนเป็นเพื่อนจะบอกถึงสาเหตุที่มาหาในวันนี้

“ ตอนแรกฟังจากไอ้น้องบ้ามันว่าช่วงนี้ไอ้สนมันแปลก ๆ ...เมื่อวานมันไปหาไอ้สนมา แต่ดูเหมือนจะไปเจออาการแปลก ๆ เห็นว่าไอ้สนมันแปลกไปมาก ไม่ค่อยพูดค่อยจา...ตอนแรกคิดว่าเพราะติดต่อนายไม่ได้ เลยตัดสินใจมาเคลียร์เรื่องยัยมุจแล้วกะจะบอกให้ไปหาไอ้สนมัน...แต่เท่าที่ยัยมุจบอกมา ฉันไม่อยากพูดให้กลัวหรอกนะ...แต่สังหรณ์ว่าไอ้สนมันรู้เรื่องยัยมุจแล้วแน่ ๆ เลย แล้วก็คงเข้าใจผิดเหมือนคนอื่นเค้าแน่ ๆ ว่านายมีลูกแล้ว ”

ทั้งคู่มองหน้ากัน...ในขณะที่ทิวากัดฟันอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยบอกภูริช้า ๆ

“ ภู...เราจะต้องพูดกับพี่สน!! ”

ทิวาตัดสินใจอย่างนั้นก่อนที่จะขอร้องให้ภูริช่วยเป็นคนกลางอีกทีหนึ่ง หัวใจของร่างโปร่งเต้นแรงด้วยความกลัว...ในขณะที่ภูริรีบออกจากห้องแล้วหยิบโทรศัพท์โทรไปหาสนธยาทันที

“ นัดพี่สนให้เราที...อยากให้เราได้คุยกันตรง ๆ ”

ทิวากำชับภูริเพียงแค่นั้นก่อนที่เจ้าตัวจะซุกหน้าลงบนฝ่ามือนิ่งนานด้วยความวิตกกังวลจนสุดหัวใจ

// พี่สน...วาขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อไปหา ไม่ได้บอกอะไรพี่เลย...โธ่!! ทำไมมันเป็นแบบนี้ไปได้นะ!! //

ร่างโปร่งบ่นตัวเองในขณะที่ขอร้องกับอะไรก็ตามที่จะรับฟัง...ขอให้สนธยาให้โอกาสเขาอธิบาย ขอให้...เราได้มาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 09-01-2008 22:34:01
ราตรีประดับดาว34
โดย:ทิวารา

// ที่ทำลงไป...ก็เพราะรักทั้งนั้น //


เพราะว่าต่างคนต่างก็โดดเดี่ยวจากกัน และต่างคนต่างก็เติบโตขึ้นพร้อมกับที่ก็ต่างก็คิดมากขึ้นด้วย...และเพราะว่าคิดมาก บางครั้งสิ่งที่ไม่ควรพลาด สุดท้ายก็ทำผิดพลาดลงไปจนได้

........................................................................

ภูริที่วางหูจากสนธยาหันไปมองเพื่อนก่อนที่จะนั่งลงข้าง ๆ มือหนาโอบไหล่ทิวาก่อนจะเขย่าเบา ๆ เป็นการปลอบโยน ในขณะที่เอ่ยถามไปอย่างอดไม่ได้

“ วาเอ๊ย...บางทีเราก็คิดนะว่าบางเรื่องเราก็ไม่เข้าใจความคิดนายเอาซะเลย คิดแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ”

ทิวาเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิททั้ง ๆ ที่ดวงตายังมีรอยกังวลอยู่ ก่อนที่คนนั่งข้างจะเอ่ยถามอย่างข้องใจขึ้นอีก

“ ถามจริง...ทำไมไม่ติดต่อกับสนมันบ้างวะ รู้ก็รู้อยู่ว่าเราติดต่อกับมันอยู่บ่อย ๆ แต่ก็นะ...ไอ้สนเองก็กระไร ไม่เคยถามถึงนายสักคำเหมือนกัน ”

ภูริถอนหายใจเฮือกก่อนจะบ่นต่อ “ งงกับพวกนายจริง ๆ ให้ตายเหอะ...นี่คิดอะไรกันอยู่กันเนี่ย มัวแต่อมพะนำ...ตอนนี้เลยต้องมานั่งอธิบายกันอีก ”

ทิวาเม้มปากแน่น...เพราะพอจะรู้ว่าทำไม พี่สนถึงไม่พูดถึงหรือถามหาตนเองให้ภูริได้ยินสักครั้ง

“ ไปโทษพี่สนไม่ได้หรอกภู...วาผิดเอง เพราะว่า...วันที่พี่สนจะไป วาเป็นคนบอกเลิกกับพี่สนเอง...เพื่อที่ว่าเราจะได้มีอิสระแก่กัน และเพื่อที่ว่าเวลาจะได้พิสูจน์เรา...ว่าพวกเราน่ะรักกันจริง ๆ หรือว่าแค่หลงไหลไปชั่วครู่ชั่วยาม ”

“ อะไรนะ!!...เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะเนี่ยวา เรางงไปหมดแล้วนะ!! ”

// นี่พวกนาย...ทำเกินไปรึเปล่าวะ แบบนี้ก็ทรมานกันทั้งคู่อ่ะดิ!! //

ภูริโวยวายในขณะที่ทิวาเองก็พูดไม่ออก...เพราจะว่าไปแล้วบางครั้งเขาก็คิดเช่นกันว่าตัวเองเกรงใจพี่สนเกินไปหรือเปล่า ? ถึงได้พูดออกไปแบบนั้น...ตัดสินใจออกไปแบบนั้นในวันนั้น เพื่อที่พี่สนจะได้ไม่มีพันธะภาระลำบากใจหากไปเจอใครที่ดีกว่าตนเองเข้า

หากไม่ได้ทุกข์เพราะต้องแยกจากกันจนทำให้หัวใจต้องเจ็บปวดเพราะทั้งโหยหาทั้งหงอยเหงา...ก็คงจะไม่มีวันได้รู้ ว่าการหายไปของคนที่รักนั้นนำพาความเจ็บปวดมากมายขนาดนี้มาให้

“ ภู...ถ้าเป็นปรกติเราจะไม่กลัวเลย แต่...เรากลัวนะภู เราจะทำไงดี ? ”

พูดได้เพียงแค่นั้น...น้ำตาก็ร่วงจากดวงตากลมทำเอาภูริลนลาน มือไม้แทบจะพันกันยุ่ง ก่อนจะตั้งสติได้...คว้ากระดาษทิชชูมาซับให้คนเป็นเพื่อนที่บัดนี้มาดคุณพ่อผู้มั่นคงหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือ...แต่เพียงเด็กชายทิวาที่เอาแต่ร้องไห้เหมือนสมัยยังเด็ก

“ จะบ้าเหรอ...นายกลัวอะไร ไอ้สนมันรักวาจะตายไป...แถมไอ้เขตมันก็ยืนยันนั่งยันว่าไอ้สนไม่มีทั้งสาวไม่มีทั้งหนุ่มที่โน่นเลยสักคน มันแคร์วาขนาดไม่ยอมให้เพื่อนผู้หญิงมาเกาะแขนมันด้วยซ้ำไปนะวา ไม่เชื่อถามไอ้เขตน้องเราก็ได้ ”

คนตัวโตพยายามปลอบ...ในขณะที่คนตัวบางกว่าส่ายหน้าพลางสะอื้นฮัก ๆ เหมือนเด็ก

“ ไม่ใช่...เรา ฮึก!! เรากลัวว่าการที่เรา...ฮึก! มีภาระ...มีลูก ฮึก!!...พี่สนจะ...ฮึก!...รับไม่ได้ เรากลัว...ฮึก! แต่จะให้ปัดภาระ...ไม่รับยายมุจ ฮึก!!...เราก็ทำไม่ลง เราสงสารน้อง...ฮึก!! ”

วินาทีนี้...ไอ้ภูของเพื่อนฝูงแทบจะช็อคตาย!! เพราะคนตัวบางตากลม ๆ ร้องไห้ไม่หยุด น้ำตาไหลเหมือนก๊อกแตกก็ไม่ปาน...แถมคำที่พูดมานั้นยังชวนให้คนเป็นเพื่อนถึงกับโวยวายลั่น

“ เฮ้ย! วา...ทำไมนายคิดไปมากมายขนาดนี้วะเนี่ยห๊ะ!! ไปเอาไอ้สนเทียบผู้ชายคนอื่นทำไมกัน...วาไม่เห็นรึไงว่ามันไม่ใช่พวกพ่อพวงมาลัยจีบใคร ๆ เขาไปทั่วนะ แล้ว...ไอ้ความคิดว่าไม่ชอบมีภาระ ไม่ชอบมีห่วงคล้องคอนี่มัน...โถ่!! นี่เพราะคิดแบบนี้ใช่ไหมเนี่ยถึงได้อมพะนำมาจนป่านนี้น่ะ!! ”

คนตัวเล็กบาง...ซึ่งบัดนี้ราวกับจะกลับไปเป็นแค่เด็กชายทิวานั้นพยักหน้าเบา ๆ ทั้งที่ยังสะอื้นไม่หยุด

// พลาด...พลาดเต็ม ๆ เลยวาเอ๊ยยยยย!! //

ภูริกุมขมับ...เครียดขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน เพราะว่าเรื่องมันเกิดจนยุ่งยากขนาดนี้นี่มาจากแค่คำว่า ‘ คิดมาก ’ แค่ตัวเดียวเท่านั้นจริง ๆ เลยเชียว!!

“ วา...บอกได้คำเดียวว่านายต้องพูดว่ะ เพราะไอ้ที่ร้องไห้อยู่เนี่ยหวังว่าคงรู้แล้วนะว่าการคิดมากแล้วอมพะนำอยู่คนเดียวน่ะมันก่อให้เกิดเรื่องยุ่งขนาดไหน เพราะงั้น...ตอนนี้ได้เวลาพูดแล้ว!! ”

“ แต่... ”

“ ไม่แต่แล้วโว้ย!! ทำไมนายกับไอ้สนถึงได้เป็นคนคิดมากกันได้ขนาดนี้วะเนี่ย...เครียดขึ้นสมองมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วนะ ไม่เบื่อมั่งเรอะ ? ”

พอตั้งท่าจะค้าน...เพราะกลัว แต่กลับถูกภูริเทศน์กลับเสียยาวเหยียดจนตั้งตัวแทบไม่ติด ทำเอาทิวาที่ร้องไห้อยู่นั้นไป ๆ มา ๆ ก็นั่งฟังคนตัวโตกว่าโวยวายอย่างมึน ๆ

“ ความรักนะโว้ย...สมองน่ะไม่ต้องใช้มาก ...ไอ้ที่ต้องใช้น่ะมันตรงนี้ต่างหาก!! ”

ว่าแล้วนายภูริก็จิ้มนิ้วลงบนอกของคนตัวสูงโปร่งตรงหน้า ก่อนที่จะใช่ช่วงที่อีกฝ่ายยังพูดอะไรไม่ออกนั้นเทศน์ใส่ตามที่ใจคิด

“ เวลารักใคร...ก็ใช้หัวใจไปรักเขานะวา แล้วเรื่องของคนที่รักน่ะ...จะไปใช้สมองให้มันเปลืองไปทำไม ? ในเมื่อรู้อยู่ว่าอีกฝ่ายเขาก็รักเรา...พูดไปเหอะถ้ามันจะต้องแยกจากกันก็ข้อให้ได้พูดซะยังจะดีกว่าไม่ใช่รึไง ? ”

ภูริ...ยังไง ๆ ก็ยังเป็นไอ้บ้าภูริ ไอ้บ้าที่รักคุณนุชด้วยใจ ไม่สนใจเหตุผล ไม่สนใจคน ไม่สนใจอายุ...มันสนแค่ถ้าใจตรงกันแล้วจะเลิกกันโดยไม่มีเหตุจำเป็นละก็ มันไม่ยอมเด็ดขาด!!

พอมองคนตัวสูงที่พูดจนแทบจะหอบกินตรงหน้า...ทิวาก็นึกถึงสมัยที่ภูริไปถามรักเอากับคุณนุชโต้ง ๆ โดยไม่แคร์เหตุผลของคนอื่นไม่ว่าใครจะว่ายังไง มันทำเพราะมันตัดสินใจแล้วว่า...มันรักของมันแล้วคุณนุชก็ดีทุกอย่าง ไม่มีอะไรไม่ดีเลยสักนิด กับแค่เรื่องอายุ...มันไม่เห็นแคร์

ทิวาเองก็นับถือภูริเรื่องนี้...เพราะเป็นคนแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่ชอบให้ค้าง ๆ คา ๆ แล้วก็ไม่ชอบอมพะนำอะไรไว้อย่างที่คนอื่นเป็น เรียกได้ว่า...มันจริงใจของมันมายังงี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร

// เฮ้อ!! นี่สังหรณ์ซะแล้วซิว่าทางไอ้สนมันก็คงจะคิด ‘มากเกินเหตุ’ เหมือนกันแน่ ๆ เลยว่ะ... //

ภูริแอบถอนหายใจคนเดียว ในขณะที่มองเพื่อนตัวสูงโปร่งเช็ดน้ำตา...โดยที่ดวงตาซึ่งเคยมีแววหวาดกลัวและไม่มั่นใจในตัวเองนั้นก็พลันเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

ดวงตากลมที่คมเหมือนตาแมวนั้นมีแววมุ่งมั่นกว่าเมื่อครู่ที่ผ่านมานี้ราวกับเป็นคนละคน นิ้วมือเรียวบางค่อย ๆ กำแน่นราวกับตัดสินใจได้เด็ดขาดและพร้อมที่จะพูดทุกอย่างออกมาให้หมดในวันพรุ่งนี้

// สิ่งที่ทำผิด...พลาดไปนั้น จะต้องแก้ไขให้ได้...จะไม่ยอมให้เราต้องเดินจากกันอีกเป็นครั้งที่สองเป็นอันขาด!! //

ทิวาตัดสินใจได้ดังนั้นก็ค่อยใช้มือปาดคราบน้ำตาทิ้ง ดวงตามุ่งมั่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนภูริที่มองอยู่เงียบ ๆ ก็ค่อยโล่งอก แล้วเจ้าตัวจึงค่อย ‘สอน’ เพื่อนเข้าบ้าง

“ ผิดแล้วพลาดแล้วก็ช่างมัน...เพราะที่ผิดน่ะเพราะวิธีคิดของนายมันผิดเท่านั้นเองนะวา เรื่องที่เกิดนี้เราบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่านายน่ะไม่ได้ ‘ทำ’ ผิด แต่นายน่ะแค่... ‘คิด’ ผิดเท่านั้นเอง เพราะงั้นทีนี้ก็คิดให้ถูกซะ...แล้วก็แก้ไขความผิดพลาดนี้ซะก็สิ้นเรื่อง ”





ราตรีประดับดาว35
โดย:ทิวารา

มีบางคาบบางคราสนธยาก็ไม่เข้าใจว่าหัวใจกำลังต้องการอะไรกันแน่ ทั้งบางทีก็รู้สึกขัดแย้งกันในตัวเองอย่างประหลาด ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมบางครั้งบางคราถึงรู้สึกเหมือนรู้ไปหมดทุกอย่างว่าตัวเองควรทำอย่างไร...แต่พอบางคราวเขาก็ไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาให้ตัวเองยังไงก็เคยมีเหมือนกัน

มือหนามองหน้าจอโทรศัพท์มือถืออย่างแปลกใจเมื่อจ้องบันทึกการโทร ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมภูริที่โทรมาเมื่อครู่ถึงนัดเจอกันด้วยน้ำเสียงร้อนรนแบบนั้น และนั่นทำให้คนตัวสูงอดกังวลไม่ได้ว่าเพื่อนจะกำลังมีปัญหาหรือเปล่า ?

// พรุ่งนี้มาหาที่บ้านได้ไหม พอดีมีธุระจะต้องคุยด้วยหน่อยน่ะ //

ไอ้การไปฟังธุระของเพื่อนมันไม่ได้ทำให้สนธยาต้องรู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไร แต่ทว่าความรู้สึกสังหรณ์แบบแปลก ๆ ต่างหากเล่าที่ทำให้ใจเขาสะดุดไหวอย่างแสนประหลาด ชายหนุ่มทอดกายลงนอนบนเตียงนอนอย่างเรื่อยล้า อดถอนใจไม่ได้เมื่อรู้สึกหนักใจแบบแปลก ๆ นิ้วมือหนาปิดดวงตานิ่งนานเหมือนคนเหนื่อยล้าเต็มทน ก่อนที่ดวงตาคมกริบจะค่อยเปิดเปลือกตาขึ้นช้า ๆ เหมือนคนที่ปลดปลงได้

อาจเหมือนคนใจแข็งที่ทนความเจ็บปวดได้โดยไม่ต้องร้องไห้คร่ำครวญ แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งกลับไม่ได้ลืมกันได้ง่ายดายเลยแม้แต่น้อย สนธยาไม่อาจโกหกตัวเองได้ว่าจะไม่รู้สึกเจ็บปวด และในความเป็นจริงแล้ว...การทำสติให้สงบนิ่งอยู่แทบจะตลอดเวลานั้นมันหนักหนาจนเหลือกำลังจะรับได้ คิดดูเถิดว่า...บางทีไม่อยากจะยิ้มก็ต้องยิ้ม แม้จะยิ้มได้แค่บาง ๆ อย่างฝืดฝืนก็ต้องยิ้ม ต้องรักษาน้ำใจคนรอบข้างอย่างถึงที่สุด

คุยกับพี่ชาย...กับพ่อกับแม่ หรือกระทั่งกับพี่สะใภ้เขาก็ต้องถนอมน้ำใจคนทุกคนโดยรอบ เพราะสนธยาเห็นว่าการเอาอารมณ์ของตนเองมาทำให้คนรอบข้างเป็นห่วงหรือหดหู่มันไม่ใช่เรื่องที่สมควรเลยจริง ๆ เนื่องจากตั้งแต่เรียนมา...เขาก็ต้องรู้จักควบคุมภาวะอารมณ์ให้หมดจดเยือกเย็นอยู่เสมอ เพราะหมอ...จะมีอารมณ์ไม่ได้!! ดังนั้นสนธยาจึงเลือกที่จะเป็นผู้ทน...ทนเสียเองให้ผู้อื่นสบายใจ

การเป็นหมอทำให้เขาได้รู้ว่า ถ้าทำหน้าเศร้าหรือทำอารมณ์ไม่ดีให้คนไข้เห็น...คนไข้ก็จะไม่สบายใจไปด้วย อีกทั้งบางคาบบางคราก็เคยมีเรื่องเล่าของรุ่นพี่ ๆ มาเป็นอุทาหรณ์บ่อย ๆ

// ใช่ว่าเราจะทุกข์แล้วจะต้องทำตัวจะเป็นจะตายเวลารักษาคนไข้ ดูเอาเถอะ...เคยมีรุ่นพี่เราบางคนผ่าตัดผิดพลาดเพราะไม่มีสมาธิ จนเกือบ ๆ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่เลยด้วยซ้ำ //

เรื่องแบบนี้สนธยาเห็นว่าพูดง่ายแต่ทำกันยาก...ถ้าไม่ทำให้เป็นนิสัยแล้วจัดระเบียบตัวเองให้ได้ ต่อไปวันข้างหน้าเขาอาจเอาความทุกข์ของตัวเองมาทำให้ผู้ป่วยเดือดร้อนก็ได้ สนธยาคิดเช่นนั้น... ดังนั้นสนธยาที่เคยมีนิสัยเงียบขรึมอยู่แล้วก็ยิ่งทำตัวสงบ...เงียบเสียยิ่งกว่าเก่า จนแม้แต่นายเขตเองก็ยังเคยพูดกับฟรองซัวร์ว่า...

‘ ไปตีลังกาเอามือเดินแทนขาสักเดือน...ยังง่ายกว่ายั่วโมโหให้พี่สนโกรธซะอีกนะ ’

ว่าเข้าไปนั่นเลยทีเดียว....

ระหว่างที่นอนนิ่ง...สมองก็แว่บภาพในวันนั้นเข้ามาในสมอง แผ่นหลังและเสี้ยวหน้าด้านข้างของทิวายังติดตาเขามาจนถึงวันนี้ จะว่าไป...น้ำเสียงที่อ่อนหวานของทิวาในวันนั้น ฟังดูแล้วก็ดูจะทุ้มลงด้วยนิดหน่อย แต่ทว่าในน้ำเสียงนั้นยังมีรอยอ่อนหวานเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด

ในใจยังอาวรณ์...ถึงขนาดที่หัวใจยังร่ำร้องอยากเห็นใบหน้าของคนที่รักให้ชัด ๆ สักหนก็ยังดีก่อนที่จะต้องลาไปไกลจริง ๆ ในไม่กี่วันนี้ แต่แล้วเมื่อความคิดร่ำร้องเหล่านั้นผุเดวาบเข้ามาในสมองครั้งใด...สนธยาก็ก่นด่าตัวเองในใจทุกครั้งไป

// ไม่ได้!! จะไปโผล่หน้าให้วาเห็นทำไม...ทำไปก็รั้งแต่จะทำให้มีแต่คนต้องเสียใจและเสียความรู้สึก //

สนธยากุมขมับเครียดทุกครั้งเมื่อความต้องการของหัวใจร่ำร้องและอยากจะลุกเดินออกไปหาอีกฝ่ายเสียให้รู้แล้วรู้รอด แต่...เมื่อมีสติและยั้งคิดได้ในวินาทีต่อมา สนธยาก็รังเกียจความคิดเห็นแก่ตัวของตนเองเมื่อครู่มากเสียจนแทบทนไม่ได้!!

// ทำแบบนี้แหละถูกแล้ว...ไม่นานวาคงลืมเราได้ ลูก...เด็กหญิงตัวป้อมผมเปียก็แสนจะน่ารักจนสนธยาเองก็ยังนึกรักตั้งแต่ตอนที่ได้คุยกันนั้น ใบหน้าของลูกสาววา...ช่างเหมือนวาเหลือเกิน คงเพราะเหตุนี้ซินะเราถึงเอ็นดูเด็กคนนั้นตั้งแต่แรกเห็น //

สนธยายิ้มน้อย ๆ ให้ตนเองในขณะที่นึกถึงเด็กหญิงผู้เป็นลูกของทิวา ลูก...ของคนที่เขารักเหลือเกิน

// เราไม่ควรเอาหัวใจตัวเองไปทำให้วาต้องเดือดร้อน...การหายไปเงียบ ๆ ย่อมดีเสียกว่า เพราะหากเขาโผล่หน้าออกไปหาวา ก็รั้งแต่จะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องร้าวราน ต้องเจ็บปวด //

สนธยาไตร่ตรองดูแล้วก็ตัดสินใจที่จะบังคับไม่ให้ตัวเองพาหัวใจแล่นไปหาคนตัวเล็กบางซึ่งบัดนี้สูงขึ้นบ้าง อีกทั้งใบหน้าหวานเชื่อมแต่ดูน่าเอ็นดูเหมือนเด็กก็ยิ่งดูจะทวีความหวานของเครื่องหน้าขึ้นอีก จนสนธยาเองยังอดยอมรับไม่ได้ว่าวาของเขาตอนนี้น่ารักยิ่งกว่าเก่ามากมาย...

แต่...ให้อยากไปหาให้ตายแค่ไหน สนธยาก็ทนทำร้ายหัวใจของผู้หญิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไม่ลง เพราะคิดสภาพว่าหากเขาโผล่หน้าออกไปให้วาเห็น...แล้วหญิงสาวที่เป็นภรรยาของวา หญิงซึ่งเป็นแม่ของเด็กคนนั้นเล่า...จะเจ็บปวดซักเพียงไหนที่รู้ว่าสามีอย่างทิวาเคยมีคนรักเป็นผู้ชายมาก่อน

“ ความรักของวา...หัวใจของวาตัดสินใจแล้วอย่างนั้น พี่คงไม่ใจดำพอจะทำลายครอบครัวและคนอันเป็นที่รักของวาได้หรอก พี่ไม่กล้า...ทำให้วาต้องสูญเสียเพียงเพื่อความรักเลื่อนลอยของพี่เพียงคนเดียวหรอก...พี่กลัวน้ำตาเธอนะวา ”

ริมฝีปากคมเอ่ยช้า ๆ ...น้ำเสียงครือน้อย ๆ ในขณะที่ดวงตามีแววหมองหม่นหนักหน่วงเพียงวูบเดียวก่อนจะลับหาย กลับกลายเป็นดวงตาสงบ...เย็นรื้นเช่นเดิม

พี่ยอมเก็บรอยอาวรณ์ไปนอนไห้
ดีกว่าไปผลักไสเจ้าให้เศร้าหมอง
ความรักนี้แม้ใจพี่มิได้ครอง
พี่เพียงขอให้เนื้อทอง...ให้น้องสุขใจ

==TBC==
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 09-01-2008 22:36:09
ราตรีประดับดาว36
โดย:ทิวารา

สนธยานั่งจ้องซองบุหรี่ของพี่ชายด้วยสายตาคมกริบ เป็นอันรู้กันว่าอนุพงษ์สูบบุหรี่ทุกครั้งที่เกิดความเครียดจากงาน ถึงจะสูบนาน ๆ ครั้งและไม่ได้ติดสูบก็ตาม แต่สนธยาก็มักจะ ‘แอบ’ หยิบซองบุหรี่ของพี่ชายไปซ่อนเสียมั่ง ทิ้งเสียมั่งตั้งหลายรอบ อันที่จริงคนถูกแอบเอาบุหรี่ไปทิ้งก็รู้ว่าใครทำ แต่เจ้าตัวก็ยังหัวเราะขำ ๆ กับบิดาก่อนจะบอกอย่างอารมณ์ดี

‘ สนมันห่วงผมนะ ผมรู้...แต่แหม่ ผมก็อดสูบไม่ได้ มันเครียดน่ะพ่อ ’

อนุพงษ์มักจะแอบพูดเช่นนี้บ่อย ๆ ประมาณว่ารู้ทั้งรู้ว่าใครขยันเอาซองบุหรี่ของตนไปทิ้ง แต่เจ้าตัวก็มิยักโมโห...กลับกันอนุพงษ์ยังแอบปลื้มใจว่า ‘ เออ...น้องมันห่วง ’ ซะด้วยซ้ำ

สนธยามองซองบุหรี่ยี่ห้อไมล์ เซเวนท์ ไลท์ ก่อนจะคว้าซองบุหรี่หมับใส่ลงกระเป๋ากางเกงทันทีเหมือนที่เคยทำ ก่อนจะเดินทักทายแม่บ้านด้วยรอยยิ้มบาง ๆ พลางที่ขายาว ๆ รีบจ้ำอ้าวออกจากบ้านก่อนที่เจ้าของบุหรี่จะทันรู้ตัวว่า...ซองบุหรี่ที่วางทิ้งไว้หายไป!!

โดยหารู้ไม่ว่า...อนุพงษ์แอบมองสนธยาอยู่ที่ประตูห้องครัวพร้อม ๆ กับภรรยา ก่อนที่คนเป็นพี่ที่เห็นการกระทำทุกอย่างของน้องชายจะค่อย ๆ ปล่อยหัวเราะพรืด...ขำกับการกระทำเหมือนเด็ก ๆ ของน้องชายตัวโต ๆ โดยมีภรรยาร่วมวงหัวเราะไปกับเขาด้วย

// ก็แหม่...น้องสามีนี่ทำอะไรน่ารักดีนี่นะ!! //

“ สนเป็นประเภทห่วงชาวบ้านเขาไปทั่ว...แต่ห่วงแบบไม่พูดนี่สิ!! ”

อนุพงษ์สรุปให้ภรรยาฟังอย่างขำ ๆ ซึ่งหญิงสาวที่ยืนเคียงข้องก็พยักหน้าช้า ๆ พลางหัวเราะเอ็นดูน้องสามีในลำคอ

อันที่จริงแล้วอนุพงษ์ไม่ได้มีเรื่องเครียดอะไรเลย อีกทั้งการที่พึ่งแต่งงานใหม่ ๆ ก็ทำให้ชีวิตการเป็นผู้ชายมีสีสันของการเป็นสามี แถมคนเป็นพี่ยังแอบวาดหวังไว้ว่าเร็ว ๆ นี้จะลองมีสีสันตามประสาคนมีลูกกับเขาด้วยอีกต่อหนึ่ง

แต่ที่แกล้งวางบุหรี่ทิ้งไว้นั่น...เนื่องจากเมื่อวานเผลอไปเล่านิสัยน่ารัก ๆ ของน้องชายให้ภรรยาฟัง ดังนั้นด้วยความคึก...จึงแกล้งวางบุหรี่ทิ้งไว้แล้วค่อยพาภรรยามาซุ่มแอบดูการกระทำของน้องชายสุดที่รักซะนี่!! เรียกว่าขายน้องชายกันเห็น ๆ เลยทีเดียวนะงานนี้!!

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

ในขณะที่ในบ้านซึ่งคนตัวสูงเดินออกมาจะเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานของสามีภรรยามือใหม่ ตัวสนธยาเองกลับเดินออกจากบ้านโดยในมือที่ล้วงกระเป๋าอยู่นั้นยังกำซองบุหรี่ของพี่ชายแน่น สมองของคนตัวสูงคิดไปไกลอย่างเหม่อลอยในขณะที่เจ้าตัวก้าวเท้าไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน

นิ้วที่เต็มไปด้วยรอยแผลถูกของมีคมบาดปรากฏอยู่จาง ๆ นี้สมกับเป็นมือหมอแท้ ๆ สนธยาลูบซองบุหรี่ของพี่ชายในกระเป๋าก่อนที่จะหันขวับวิ่งเข้าไปในสวนสาธารณะเล็ก ๆ ที่แม่บอกว่าพึ่งถูกสร้างโดยทางรัฐบาลเมื่อปีกว่า ๆ ที่ผ่านมานี้เอง สนธยาวิ่งไปหยุดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ซึ่งมีม้านั่งโดดเดี่ยวอยู่ในเงาไม้ท่ามกลางแสงแดดยามสายที่อ่อนบางทอประกายลงมาเป็นเงาวะไหวงาม

มือของคนตัวสูงค่อย ๆ หยิบซองบุหรี่ขึ้นมามองช้า ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะยกขึ้นดม พาให้กลิ่นใบยาสูบลอยเข้าไปในจมูกจนได้กลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของบุหรี่ในจมูกอยู่จาง ๆ ...ดวงตาคม ๆ จ้องสิ่งที่อยู่ในมือก่อนที่จะค่อย ๆ ใช้นิ้วมือข้างที่ว่างคีบแล้วดึงบุหรี่มวนหนึ่งออกจากซองด้วยแววตาที่ค่อนข้างสับสนเหมือนเด็กหนุ่มรุ่นที่กำลังอยากรู้อยากลอง

// พี่น๊อตว่าสูบแล้วหายเครียด...จริงเหรอ ? แต่...บุหรี่มันไม่ดีต่อสุขภาพนี่นา มีนิโคติน...เอ...แต่มันก็น่าจะเพราะนิโคตินละน่าที่ทำให้คนสูบรู้สึกดี //

สนธยาคิดราวกับกำลังวิเคราะห์ปัญหาสังคมระดับโลกยังไงยังงั้น ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบเอาไฟแช็กที่หยิบติดมากับซองบุหรี่ของพี่ชายขึ้นมาจุดไฟ พร้อม ๆ กับที่เรียวนิ้วที่ถือมวนบุหรี่ก็ค่อย ๆ ส่งบุหรี่ใส่ปากคาบไว้ด้วยอาการริมฝีปากสั่น ๆ เพราะกำลังประหม่า ก่อนที่สนธยาจะค่อย ๆ จุดบุหรี่สูบช้า ๆ

ควันบุหรี่ลอยเอื่อย...สนธยาค่อย ๆ สูดหายใจทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง จนสุดท้ายควันบุหรี่ก็พลุ่งขึ้นจมูกจนเจ้าตัวต้องสำลักกระอักกระไอจนตัวโคลง น้ำตาไหลคลอไปหมด

“ แค่ก!! แค่ก!!...โอย ไม่ไหว ไม่เห็นดีเลยสักนิด แสบไปหมดทั้งโพรงจมูกยังงี้มันจะคลายเครียดได้ไงเนี่ย!! ”

เหมือนเด็กกระบึงกระบอนเพราะไม่ได้อย่างใจ...สนธยาบ่อนออกมาตามประสาคนที่คาดหวังอย่างเด็ก ๆ แล้วไม่ได้อย่างที่อยาก ...บางเรื่องสนธยาก็เป็นผู้ใหญ่เหลือเกิน เพราะมีอย่างที่ไหนใครเขาวิเคราะห์ก่อนสูบกันขนาดนี้บ้าง แต่ก็นั่นแหละ...ผลสุดท้ายพอผลมันไม่ได้อย่างที่มั่นใจก็ให้เกิดอาการเหมือนขัดใจเล็ก ๆ ขึ้นมาทันที แต่...ก็วูบเดียวเท่านั้น ก่อนที่สนธยาจะพยายามเลิกไอก่อนที่จะค่อย ๆ ถือบุหรี่ที่ยังเผาไหม้เหลืออยู่อีกตั้งค่อนมวนทิ้งลงถังขยะใกล้ ๆ ตัว

สนธยาได้รู้แล้วว่าบุหรี่จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาจะลอง...เข็ด ไม่เอาแล้ว!!

ความกลัดกลุ้มบางทีก็นำพาความรู้สึกที่ว่า...อยากลองหาอะไร ๆ มาช่วยบรรเทาความเศร้าให้เบาลงหรือจางหายบ้าง แต่สำหรับสนธยาแล้ว...หารู้ไม่ว่าบุหรี่มันไม่ใช่คำตอบของชายหนุ่มเลย แต่กลับเป็นใครคนหนึ่งซึ่งรอคอยจะพูดคุยปรับความเข้าใจกับเขาอยู่ที่บ้านของภูริต่างหาก...ที่จะเป็นคนช่วยดับความกังวลเหล่านั้นออกไปจากหัวใจของคนตัวสูงจนหมดจด!!

คนตัวสูงกดกริ่งห้องพักของเพื่อนก่อนที่ภูริจะวิ่งตึง ๆ มาเปิดประตูรับ สนธยายิ้มให้เพื่อนบาง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยทักทายเลยไปถึงคุณนุชที่เดินตามภูริมาที่หน้าประตูติด ๆ

“ สน...มีเรื่องจะคุยด้วย เอ่อ...อันที่จริงคนที่จะคุยไม่ใช่เราหรอกนะ เอ่อ...เอาเป็นว่าเข้ามาเหอะ! ”

สนธยาค่อนข้างงง ๆ กับอาการของคนเป็นเพื่อน แต่คนตัวสูงก็ไม่ได้สนใจอะไร ร่างสูงค่อย ๆ ก้าวเข้าไปยังห้องรับแขกของบ้านโดยมีภูริเดินตามมาข้างหลัง ดวงตาคมกริบที่เคยมีแววนิ่งสงบพลันกวาดตาไปพบร่างของใครคนหนึ่งนั่งหันหลังให้เขาอยู่บนโซฟา แผ่นหลังของคน ๆ นั้นค่อนข้างโปร่งแลดูบอบบางในขณะที่ส่วนสูงก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่าเป็นคนตัวสูงคนหนึ่ง

ถึงแม้จะไม่เห็นชัด...แต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าใครกันที่นั่งอยู่ตรงนั้น!!

“ วา... ”

ทันทีที่รู้ตัว...เสียงทุ้มก็เอ่ยเรียกชื่อของคนที่แสนคิดถึงออกมาโดยไม่รู้ตัว สมองของสนธยาสับสนราวกับคนครึ่งหลับครึ่งตื่น ในขณะที่คนซึ่งเคยนั่งหันหลังให้เขานั้นพลันยืนขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนตัวสูง

“ พี่สน... ”

ร่างสูง...แต่หลังไหล่แลดูโปร่งบอบบางนั้นทอดดวงตากลมที่บัดนี้ค่อนข้างคมและรูปตาแลดูเรียวเล็กลง...มายังดวงตาคมกริบของสนธยา ดวงตาสีอ่อนนั้นพาให้หัวใจของสนธยาอ่อนยวบจนขอบตาแทบจะมีรอยน้ำตารื้นขึ้นมาทันที

แต่...สนธยากลับเลือกที่จะบังคับสติแล้วพาตัวเองให้ก้าวถอยหลัง พยายามที่จะกลับหลังหันและวิ่งหนีไปจากที่ตรงนั้น!! ยังดีที่ภูริซึ่งยืนอยู่เบื้องหลังพยายามดึงแขนเพื่อนรักเอาไว้ไม่ให้คนตัวสูงหนีไปไหน

“ ไอ้สน...แกจะหนีทำไมวะ วาอยากคุยกะแก...ทำไมต้องหนี!! แล้วดูซิวะ...หน้าตาแกมันเหมือนคนจะร้องไห้ยังงี้อย่าบอกนะว่าที่จะวิ่งหนีนี่น่ะมันจะทำให้แกมีความสุขได้น่ะ...ห๊า!! ”

สนธยาหยุด...ก่อนที่จะค่อย ๆ หันกลับไปมองวงหน้าเรียวสวยของคนที่แสนคิดถึง และในดวงตาคมกริบนั้นก็ค่อย ๆ มีรอยรื้นขึ้นน้อย ๆ จนทิวารู้สึกได้ทันทีเลยว่าสนธยารู้สึกสับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไร

“ ทำไมทำแบบนี้...ทำแบบนี้ลูกของวาจะทำยังไง ทำไม...ทำไมไม่ให้พี่หายไปเฉย ๆเล่า รู้ไหมว่าทำแบบนี้จะมีคนต้องเสียใจเพราะพวกเรานะวา ”

สนธยาพูดตะกุกตะกัก พยายามระงับไม่ให้ดวงตาปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา ทั้ง ๆ ที่ก้อนสะอื้นจุกแน่นในลำคอจนแทบทนไม่ไหวอยู่แล้วในวินาทีนั้น

“ ใคร...ใครจะต้องเสียใจกันละจ๊ะพี่สน วา...วานี่แหละใช่ไหมคนที่ว่านั่น ก็...ก็ตอนนี้จะมีใครเสียใจที่พี่ทำเหมือนพยายามจะวิ่งหนีไปอีกล่ะนอกจากวา ตอนนี้ก็มีแต่วาเท่านั้นแหละที่ทนคิดถึงพี่สนจนแทบจะทนไม่ได้อยู่แล้วนะ... ”

เสียงสั่น ๆ ของคนตัวเล็กบอบบางกว่านั้นพูดเสียงครือก่อนที่ทิวาจะปล่อยน้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม จากที่อดทนต่าง ๆ นานา จากที่อดทนทำงานดูแลเลี้ยงดูน้องสาวคนเดียวที่รับไว้เป็นลูกด้วยสองมือของตนเอง...ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้ว แต่เมื่อพบสนธยามายืนอยู่ตรงหน้า ภาพของคนตัวสูง ภาพของดวงตาคมเฉียบของคนที่รักที่สุดก็พาให้ความโหยหาหาวรณ์ทั้งปวงแสดงอาการออกมาทันที

ดวงตากลมปล่อยน้ำตาไหลหยดอาบผิวแก้มขาว ก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลหยดลงจากปลายคางตกลงบนพื้นไม้ปาร์เก้ขัดมันอย่างที่เจ้าตัวไม่อาจสะกดกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ทิวา...ที่บัดนี้แทบจะถือว่าเป็นคุณพ่อคนนึงแล้วนั้น กลายกลับไปเป็นเพียงแค่เด็กชายทิวาอายุแค่ 16 ปี ที่มักจะร้องไห้แล้ววิ่งเข้ามาหาสนธยาทุกครา...ในเรือนไทยหลังเดิม

ในเรือนหัวใจ...เรือนที่มีแค่เราสองคนและสายลมอ่อนบางยามราตรีกาลเป็นเพื่อน มีดวงจันทร์เป็นโคมอัจแก้วทอประกายมิวามแววแต่กลับแผ่วนวลชวนหวามไหวให้หัวใจอุ่น และระลึกได้ถึงรอยสัมผัสหวาน...จากริมฝีปากของกันและกัน

“ วา... ” คนตัวสูงคราง...ในอกเจ็บปวดแทบเหมือนคนจะเป็นบ้า ก่อนที่คนตัวสูงหนาจะถลาเข้าไปหาคนตัวเล็กที่เขาแสนจะคิดถึงนักหนา ก่อนที่มือหนาจะพยายามไล้ไปบนผิวแก้มอ่อนบาง...พยายามปาดเช็ดหยดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดช่วงจากดวงตากลมหวานนั้น

“ ไม่เอา...อย่าร้องนะ อย่าร้อง...ไม่เอานะ โธ่! วา...น้ำตาเจ้ามันทำเอาในอกพี่แทบหมกไหม้ไปหมดแล้วรู้ไหม อย่าร้องไห้สิเจ้า...วาน้อยของพี่ ” สนธยาก้มลงจูบซับ...ที่ผิวแก้มนิ่มก่อนที่จะดุนปลายจมูกลงบนปลายจมุกเล็ก ๆ อย่างอ่อนโยน

// ทนไม่ไหว...ให้ทำใจแข็งยังไงก็ทนไม่ไหว น้ำตาของคนที่รักมันราวกับแปรไปเป็นเปลวไฟ น้ำตาหยดลงเมื่อใดก็ราวกับเปลวไฟหยดลงบนหัวใจเขาจนแสบร้าวเผาไหม้ให้รวดร้าวไปหมดแล้ว //

“ พี่สนใจร้าย...วาคิดถึงแทบตายอยู่แล้วพี่ยังจะ...ฮึก ยังจะหนีวาไปอีก ”

คนตัวเล็กเอาแต่ร้องไห้...โอบเรียวแขนเล็ก ๆ รอบกายสูงก่อนจะซบหน้าลงกับอกสนธยาทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุดหย่อน นิ้วมือนิ่ม ๆ กำเนื้อผ้าของเสื้อตัวหนาที่คนตัวสูงสวมราวกับจะยึดไว้ไม่ให้เขาจากหายไปไหนอีกแล้ว...และไหล่บางที่สั่นสะท้านเหมือนคนที่หนาวจนอกสะท้านนั้นก็ทำเอาสนธยากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหวอีกต่อไป

อ้อมแขนแข็งแรงโอบรอบร่างที่เล็กกว่าก่อนจะกระชับไว้แน่น นิ้วมือหนาลูบไล้ไปบนแผ่นหลังบอบบางอย่างแสนคิดถึงลึกซึ้งในหัวใจ

โอ...ให้ใจแข็งอย่างไรก็มิอาจทนได้อีกต่อไปแล้ว กลิ่นที่เคยคุ้น เสียงอ้อนที่หวานอ่อน ทั้งยังความอบอุ่นจากผิวกายของคนที่รักนั้นพาให้กำแพงที่สนธยาสร้างเอาไว้ถูกทำลายลงจนราบคาบสิ้น เหตุผลใดใดที่มี...หายไปจากสมองของคนทั้งคู่ราวกับถูกความคิดถึงลึกล้ำรินล้างไปจนหมด ความรู้สึกที่ได้กอดรัดสัมผัสกันนั้นทำให้ทั้งสองได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของกันและกันอย่างลึกซึ้งทันทีในวินาทีนี้เอง

ครึ่งหนึ่งที่หายไป...มันค่อย ๆ หายไปจนเขาหามันไม่เจอ แต่...วินาทีนี้ครึ่งที่เคยหายไปนั้นกลับถูกเติมจนเต็ม หัวใจ...ก็อบอุ่นจนเต็มล้น

// น้ำใจรักเอยหยดรินรด...หากหมดน้ำรักแล้ว ต้นไม้หัวใจคงชีวาหมด...ต้องยืนตายคาต้น //

หัวใจรักราวกับดอกไม้กลีบอ่อนกลิ่นหอมหวาน จะบานชูช่อตระการได้ต้องใช้หยาดใจรินรด หากขาดน้ำแห่งหัวใจรักแล้วไซร้ดอกไม้แห่งหัวใจคงโรยราลงจนหมด หากขาดน้ำแห่งหัวใจรักรินรด...หัวใจคงหมด...คงราโรย

// ดอกไม้แห่งหัวใจค่อย ๆ ฟื้นคืน...ราวกับหยาดน้ำตาแห่งความคิดถึงที่อุ่นล้ำจะช่วยเยียวยา
ความอุ่นแห่งเนื้อกายจะรักษา...จนดอกไม้แห่งหัวใจที่โรยราก็ยังคงคืนคงมาได้
จนสามารถผลิบานด้วยรัก และไหวเอนได้ด้วยรอยสัมผัสแห่งหัวใจ
อบอุ่นยืนนานมั่นคงได้...ดอกไม้หัวใจคงต้องใช้แต่น้ำแห่งหัวใจรินรดไปตลอดกาล!! //

“ วา...เจ้าเด็กน้อยของพี่เอย ให้อย่างไรพี่ก็คงทิ้งเธอไปไม่ได้จริง ๆ ...วา ”

สัมผัสโลมไล้อ่อนโยน...เพียงได้มองก็รู้สึกลึกล้ำด้วยรอยหวานประหลาด ดั่งน้ำตาลหวานขนาดราดรดจนหมดใจ

ภูริมองคนสองคนกอดกันจนแน่น น้ำตาไล้บนขอบตาคมอย่างดีใจในขณะที่ค่อย ๆ ยิ้มน้อย ๆ แล้วกระถดถอยหายลับไปอีกห้องหนึ่ง ปล่อยให้คนทั้งคู่ได้คุยกันเพียงลำพัง

“ แพ้หัวใจตัวเองแล้วจริง ๆ ...ให้เดินหนีเจ้าไปตอนนี้พี่คงทำไม่ได้แล้ว!! เจ้าจอมยุ่งของพี่...โธ่เอ๋ย!! แล้วทีนี้จะทำยังไงกับภรรยาของเรากันละ หือ!! วา ”

สนธยาที่น้ำตาไหลยิ้มบาง ๆ พลางกอดคนตัวเล็กกว่าจนแน่น หัวใจเรียกร้องโหยหาจนรอยกอดนั้นกระชับแน่น...แนบสนิทในรอยใจ

“ อะไร...ภรรยาใครเหรอพี่สน ? ”

คนตัวเล็กกว่าถามอย่างงง ๆ เมื่อฟังคนตัวสูงพูดออกมาแล้วไม่เข้าใจ ก็ไอ้ภรรยาที่ว่าน่ะมันภรรยาใคร ?

“ อ้าว...ก็ภรรยาเราน่ะแหละ!! ดูซิ...ลืมไปแล้วเหรอว่าแม่ของเด็กน่ะจะคิดยังไงถ้ารู้เรื่องของเราเข้าน่ะหื้อ!! ”

สนธยาก้มหนาลงมองคนตัวเล็กที่ทำหน้างง...หยุดร้องไห้ไปเรียบร้อยแล้ว

“ ห๊า!!...วามีภรรยาที่ไหนล่ะพี่สน!! ไปเอาที่ไหนมาพูดเนี่ย!! ”

คนตัวเล็กโวยวายอย่างตื่นตกใจในขณะที่คนตัวสูงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ก่อนที่น้ำเสียงทุ้ม ๆ จะเอ่ยอย่างไม่ค่อยเชื่อหูในสิ่งที่ทิวาพูดให้ได้ยิน

“ วา!!...เด็กที่ไหนจะเกิดจากกระบอกไม้ไผ่โดยไม่มีแม่ได้ละ ลูกของวา...วาเป็นพ่อ เด็กจะเกิดมาได้ก็ต้องมีแม่ด้วยสิ!! ”

// นี่ใช่ไหมที่ทำให้พี่สนเจ็บปวดและไม่ยอมมาพบหน้า...นี่ใช่ไหมที่พี่สนเลือกที่จะเดินหนีไปจากวา โธ่!!...โธ่เอ๋ย //

จู่ ๆ ทิวาก็หัวเราะลั่น พลางซบหน้าลงบนอกกว้างอย่างดีใจ น้ำตาที่หยุดไหลกลับไหลออกมาอีกครั้งอย่างเบาบางด้วยความรู้สึกอบอุ่นเต็มตื้น ดีใจ...ที่รู้ว่าทุกสิ่งที่สนธยาทำไปก็ด้วยรักทั้งนั้น!!

“ อะไร...อะไรวา เอ่อ...นี่มันยังไงกันเหรอเนี่ย ? พี่งงไปหมดแล้วนะ ”

// สนธยาลนลาน...ทำอะไรไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรที่น่าขำออกไปหรืออย่างไร ทิวาถึงได้หัวเราะลั่นอย่างนี้ได้ เออ...เขางงไปหมดแล้ว //

ทิวาค่อย ๆ ปาดน้ำตาทิ้งก่อนที่จะยิ้มหวานให้คนตัวสูงแล้วเสียงอ่อน ๆ ก็เอ่ยบอกสนธยาด้วยรอยเสียงปนหัวเราะเบาบาง

“ จริง ๆ แล้วยัยมุจเป็นน้องสาวของวาต่างหากล่ะพี่สน ยัยมุจเป็นน้องที่เกิดกับสามีใหม่ของแม่วาเองจ้ะ!! แต่ตอนที่พามาด้วยกันยัยมุจบอกว่าคนอื่นเขามีพ่อกัน...ทำไมแกไม่มีพ่อ ทำไมพ่อไม่รักไม่กอดเขา วาก็เลยสงสาร...จากตอนแรกว่าจะให้เรียกว่า ‘พี่วา’ ก็เลยต้องกลายเป็น ‘ พ่อวา ’ ไปน่ะสิจ๊ะพี่สน แต่เอ...ถ้าพี่สนไม่ไห้วาเป็นพ่อยายมุจแบบนี้พี่สนต้องมาเป็นเองแล้วละมั้งแบบนี้ ”

ได้ฟังเท่านั้น...สนธยาก็ค่อยยิ้มจนเหมือนคนบ้า พลางกอดคนตัวเล็กบางแสนน่ารักเอาไว้แน่น คนตัวสูงหัวเราะจนน้ำตาไหล ทั้งโล่งใจ...ทั้งดีใจ แถมวาจาน่ารักของทิวาก็พาให้ใบหน้าคม ๆ ค่อย ๆ ขึ้นสีเรื่อบนผิวแก้มอย่างที่ไม่ได้เป็นมานานหลายปี

“ เป็นสิ...เป็น!! พี่เป็นพ่อ วาเป็นแม่นะวา ฮ่ะ ๆ ดีใจจังเลย...วา พี่ดีใจจังเลย... ”

สนธยาพูดปนหัวเราะ หัวใจรักเอิบอาบซาบซ่านด้วยไออุ่นอ่อนหวานจนหัวใจพองโต คนสองคนกอดกันแน่นท่ามกลางสายตาของภูริที่แอบพาหลานกับคุณนุชมาแอบยืนมองด้วยความดีใจ

“ ยุงภูริจ๋า...ตกลงแย้วปาป๊าที้วาจะกลายเป็นแม่ แล้วหนูจะได้พี่ชายตัวโตคนนั้นเป็นป๊าปาแทนจริง ๆ เหรอจ๊ะ ”

เด็กหญิงทำหน้าไม่เข้าใจเพราะจับต้นชนปลายไม่ถูกก่อนจะกระตุกเสื้อถามคนเป็นลุง ในขณะที่ว่าที่คุณป้านุชหัวเราะเบา ๆ แล้วคุณลุงภูริผู้แสนดีจะตอบยืนยันเด็กน้อยอีกทีหนึ่งด้วยรอยยิ้ม

“ ชัวร์สิ!!...คราวนี้รับรองว่าหนูได้ครบทั้งป๊าทั้งแม่แล้วละนะยัยมุจเอ๊ย!! ฮะ ๆ ๆ ๆ ”

== TBC ==
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ]
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 09-01-2008 22:37:37
 :mc4: :m1: :mc2: :pig4:

ราตรีประดับดาว37 [จบ]
โดย:ทิวารา

ใครหลาย ๆ คนอาจจะพูดว่า...ชีวิตเริ่มต้นเมื่อเราได้แต่งงานกับใครซักคน แต่ในความเป็นจริงแล้วสำหรับใครอีก 2 คนนั้น...

“ ชีวิตของพวกเราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เราได้หายใจขึ้นบนโลกนี้ โดยที่เติบโตขึ้นและสะสมความเป็นตัวเราเอง...มาจนถึงวันนี้ที่เราได้มาพบกัน ”

สนธยาในวันนี้เป็นเหมือนเด็กครึ่ง...ผู้ใหญ่ครึ่ง เพราะเหมือนคุณสน กับ เจ้าสน มารวมกันเป็นคนเดียว มีบ้างที่อารมณ์คะนองตามประสาคนหนุ่มจะพาให้คิดอะไรแผลงเล็ก ๆ ในขณะที่บางทีก็รอบคอบและคิดมากเสียจนไม่เป็นอันทำอะไรอื่น แถมยังพูดก็น้อยอีกต่างหาก

ทิวาเองก็ค่อย ๆ เติมโตขึ้นโดยการตั้งตนเป็นพ่อคนอย่างรีบร้อน ทั้ง ๆ ที่อันที่จริงแล้วด้วยความที่ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่เหลืออยู่ใกล้ชิดคอยสอนคอยสั่งทำให้เนื้อแท้นั้นทิวาก็ยังเป็นเด็กอยู่มาก แต่อาศัยยึดหลักเอาความเจ้าอดเจ้าทนของพี่สนมาเป็นแบบอย่างมาโดยตลอดเท่านั้นเอง

คน2คน...ที่ไม่สมบูรณ์พร้อมกันทั้งคู่นั้น หากเดินเปล่าเปลี่ยวเพียงลำพังก็คงไม่มีวันได้รู้จักซึ่งความสุข เพราะต่างก็...ขาด แต่เมื่อคนที่ขาด ๆ เกิน ๆ มารวมกัน...นั่นเหมือนจิ๊กซอว์สองชิ้นที่กระจัดกระจายพรายพัดก็ได้มารวมกันเป็นรูปร่างของหัวใจอันแท้จริง

สนธยา...คุณป๊ามือใหม่ที่พึ่งรู้ว่าหลงลูกเอามาก ๆ เพราะนับวันมุจลินทร์ยิ่งโตก็ยิ่งเหมือนวา แต่เจ้าตัวก็ต้องลดอายุลงเล่นกับลูกสาว เล่นกระทั่งชวนกันเล่นตุ๊กตากระดาษ เป็นที่สนุกสนาน
// ก็คิดดูเอาเถอะนะ...ว่านี่ถ้าเพื่อน ๆ ที่เป็นหมอที่อยู่โรงพยาบาลเดียวกันมาเห็นตอนหัวหน้าแผนกศัลย์กรรมจอมโหด กำลังเล่นตุ๊กตากระดาษกับลูกยังงี้จะทำหน้าแบบไหน ? //
สนธยาพยายามทำหน้าที่พอ่ด้วยความเต็มใจ พลางพยายามสอนให้ลูกสาวพยายามเรียกใคร ๆ ให้ชัด ๆ ซักที เนื่องจากยัยหนูอยู่กับแม่ที่ป่วยมานานโดยไม่ได้พบใคร วัน ๆ จึงได้แต่เล่น กับพูดกับแม่ที่นอนหลับไปตามประสา...ดังนั้นพัฒนาการการพูดจึงเข้าขั้นติดลบ!!

ทิวา...คุณแม่มือใหม่เช่นกัน แต่ถึงแม้ว่าจะเคยเป็นพ่อมาก่อนแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยให้การเป็นแม่ง่ายกว่าเดิมเลย เมื่อยัยหนูพูดกับคุณแม่ทิวาว่า...

“ คุณแม่เป็นแม่ เก๊าะต้องทำกับข้าวซีคะ ต้องใส่เสื้อลูกไม้ฟู ๆสีชมพู ๆ เหมือนในการ์ตูนที่ดูตอนเช้า ๆ ใส่กระโปรงแบบหนูด้วย ”

ฟังแล้วก็เครียด...ทำกับข้าวนี่ไม่เท่าไหร่ แต่...เสื้อลูกไม้ฟู ๆ แถมรีเควซสีชมพูนี่ไม่ไหวละมั้งลูก!!

ลูก...มุจลินทร์ที่กำลังค่อย ๆ เติบโตด้วยความรักจากคุณพ่อคุณแม่ก็กำลังค่อย ๆ เป็นเด็กที่เค้าเรียกกันว่า...เจ้าหนูจาไม เพราะเที่ยวถามอะไร ๆ กับใคร ๆ เค้าไปทั่ว แล้วนับวันก็ยิ่งฉลาดเป็นกรด...บางทีคนเป็นพ่อเป็นแม่ก็ถูกลูกสาวเล่นงานเสียเอง

อย่างตอนที่สนธยาพาลูกสาวไปอวดเพื่อน ๆ ที่โรงพยาบาล ยัยหนูก็เล่นซนไปทั่ว...แต่ก็เป็นที่เอ็นดูของนางพยาบาล (ที่ปลื้ม ๆ คุณหมอสนอยู่) จนเจ้าตัวได้รับความอนุเคราะห์มหาศาลด้วยขนมกล่องเท่าฝาบ้านหลังจากที่บ่นว่าหิวจนท้องไหม้ใจจะขาด แต่พอสนธยาจะขอลูกกินบ้าง (อยากให้ลูกป้อน) ยัยหนูกับทำหน้างอ...พูดว่า

“ ไหนพ่อสนว่าจะไม่กินของ ๆ สาวไหนนอกจากรสมือแม่วาไงล่ะ ? ...ไม่ได้ ๆ มุจไม่ให้กิน เดี๋ยวพ่อสนผิดสัญญา ”

คุณพ่อละปลื้ม...แต่คุณลูกน่ะโล่งใจ ที่ขนมของตัวเองยังไม่ถูกแย่ง (ซะงั้นละลูก) เพราะยัยหนูน่ะวางแผนว่าจะเอาขนมไปฝากน้องก้องลูกลุงภูริน่ะสิ

“ พี่สน...ไอ้นั่นอยู่ไหนจ๊ะ วาไม่เห็นเลย ”

จู่ ๆ ทิวาก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องนั่งเล่นก่อนที่จะถามถึง ‘ไอ้นั่น’ เอาซะเฉย ๆ ...ทำเอาภูริที่นั่งคุยอยู่กับสนธยายังต้องงงเป็นไก่ตาแตก

“ อ๋อ...ไอ้นั่นพี่วางไว้บนตู้เหนือเตาแกสน่ะจ้ะ หยิบระวัง ๆ นะ เดี๋ยวข้าวของจะหล่นมาใส่เอาได้ ”

“ จ้า... ”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็หายกลับเข้าไปในครัว...จนสนธยาต้องเฉลยว่า ‘ไอ้นั่น’ น่ะคือ... กระปุกพริกไทดำ

“ เฮ้ยสน...วาพูดแค่นี้ทำไมแกรู้วะ ? ”

“ ไม่รู้ซิ...หัวใจมันผูกกันมั้ง เลยรู้ หึ ๆ ๆ ๆ ”

สนธยาพูดเสียงเย็น ๆ รื้น ๆ แสนรื่นเริง...ในขณะที่ภูริเกาหัวแกร่ก ๆ อย่างแปลกใจ

// เออ...เดี๋ยวนี้ไอ้สนพูดหวานเป็นน้ำตาลปี๊บกะเค้าได้ด้วยเหรอวะ ? //

แต่...อันที่จริงแล้วการเข้าใจอะไร ๆ กันได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องพูดมากนั้นกลับเป็นประโยชน์หลายอย่าง เพราะเมื่อทุกคนนั่งทานข้าวกันอย่างพร้อมหน้า จู่ ๆ สนธยาก็ยิ้มพรายให้ทิวาอย่างขี้เล่น ก่อนจะพูดเอาง่าย ๆว่า...

“ วา...คืนนี้ทำยังงั้นได้ไหม? ”

คนอื่นไม่เข้าใจ...ไม่ว่าจะภูริ จะคุณนุช หรือเด็กน้อยอีก 2 เถาอย่างยัยมุจและตาก้องก็ไม่รู้เรื่องพอกัน แต่ทว่า...ใบหน้าของคนถูกถามกลับแดงจัดจนทุกคนแสนจะสงสัยเหลือเกินว่า ‘ ยังงั้น ’ น่ะมันยังไง

“ พี่สน...บ้า ”

ทิวาพูดเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงรอดออกมาแค่กระซิบ เพราะคนฟังน่ะรู้...ว่า ‘ ยังงั้น ’ นะมันยังไง!!

// พี่สนบ้า!! ไหนว่าไม่ชอบแกล้ง...ที่ไหนได้ เดี๋ยวนี้ละกลับแกล้งหนักขึ้นทุกที ๆ ดูอย่างตอนนี้...มีที่ไหนคนเค้ามาถามเรื่องแบบนี้กลางโต๊ะอาหารต่อหน้าคนอื่นกันมั่งหื๊อเนี่ย!! //

ทิวาบ่นในใจ ทำแก้มป่องน้อย ๆ เหมือนเด็กชายทิวาในวันเก่า ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ หลบสายตาคนอื่น ๆ ด้วยการรวบช้อนแล้วถือจานเดินฉับ ๆ เอาไปล้างในครัวทันที ทำเอาสนธยาต้องลุกขึ้นบ้าง...ก่อนจะเดินตามไปง้อถึงในครัว

ปล่อยให้บรรดาเด็กน้อนและเพื่อนฝูงนั่งกินข้าวกันด้วยความงงกันต่อไป...ว่า ‘ ยังงั้น ’ น่ะมันอียังไหง?

[จบ]

หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: three ที่ 10-01-2008 11:45:57
 :m4: :mc1: :mc3: :mc4: :mc2:ดีเอ๋ยดีใจเหมือนได้แก้วจบแบบนี้สุดยอดอ่านแล้วน้ำตาซึมเลยอ่ะ :o8:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: thanwaruchara ที่ 11-01-2008 15:56:01
ชอบ ครับ ชอบมาก
อ่านแล้วอยากมีความรักบ้าง
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: มูมู่น้อย ที่ 17-01-2008 06:46:07
จบแล้ว   o13

ขอบคุณมากๆคนแต่ง แล้วก็คนโพส hemicrazy ที่นำมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน 
ซาบซึ้ง  ละเมียดละไม  กึ่งหลับกึ่งตื่น 555

ปล  รอตอนพิเศษอยู่น้า  :oni2:


หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: leau_dissey ที่ 17-01-2008 15:49:32
 :m13:น่ารักจังชอบค่ะ เพลงราตรีประดับดาวก็ไพเราะมากๆ ชอบนิยายที่มีบรรยากาศไทยๆแบบนี้จังเลย  พยายามต่อไปนะคะ รอภาคพิเศษอยู่:bye2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: micky99 ที่ 24-02-2008 15:07:50
 :pig4: :pig4:-ขอบคุณคนแต่งและคนโพสด้วยค้าบบ
เขียนเก่งมากมาย :m4:ซึ้งและเท่ดีครับ  o13
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: wews ที่ 25-02-2008 22:08:20
น่ารักมาก :m1:หวานจนมดเต็มหน้าจอแล้ว  :o8:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: uknowvry ที่ 30-03-2008 23:04:53
 o13
โอ้โห
ภาษาสวยสุดๆเลยค้าบ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: hewlett ที่ 04-04-2008 16:08:51
ภาษาสวยจัง อ่านแล้วจบแล้วนั่งยิ้มเป็นคนบ้าหน้าคอมฯ
โอ้ชีวิต ความรักดีอย่างนี้นี่เอง  o7
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: toeyz12 ที่ 20-04-2008 18:48:59
มารออ่านตอนพิเศษนะค่ะ   :m4:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: __ .iMzii3 ที่ 22-04-2008 01:33:13
อ๋าา ..
ชอบมากๆเลยครับ

อ่านแล้วได้กลิ่นดอกไม้จริง ^^
ยอมรับเลยว่าบางฉาก อ่านแล้วไม่เข้าใจ
เข้าขั้นงงกันเลยทีเดียว ฮ่าๆ

ยังไงก็ ..


ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆนะฮะ ^^
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: nuballe ที่ 28-04-2008 17:16:01
 o13เพิ่งอ่านจบค่ะสนุกจังเลยค่ะภาษาก็สวยรู้สึกเหมือนได้เรียนวิชาภาษาไทยเลยค่ะขอบคุณนะคะสำหรับเรื่องดี ๆ แบบนี้
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: thopia ที่ 04-05-2008 15:16:32
เรื่องนี้น่าร๊ากกกมากกก ก  สุดท้ายก็ได้อยู่กันเป็นครอบครัวชูชื่น  :m1:
มีใจหายแว๊บตรงที่อยู่ดีๆทิวากลายเป็นคุณพ่อนี่ล่ะค่ะ เฮ้ออ นึกว่าสนจะโดนนอกใจซะแล้ว อิอิ :m12:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: buenococko ที่ 13-06-2008 03:26:03
ขอขอบคุณคนโพสต์นะครับที่ได้นำเรื่องนี้มาลง

ขอขอบคุณคนแต่งมากๆๆๆเลยครับ ที่แต่งเรื่องรัก "เย็นรื้น" นี้ให้ได้อ่าน

ภาษาสวยมากครับ (ไม่น่าเชื่อว่ากำลังเรียนอยู่ระดับมหาวิทยาลัย)

(ขอทายว่าพื้นฐานทางภาษาไทยแน่มากๆครับ)

อ่านไปได้กลิ่นดอกไม้ไป ยิ่งพอเปิดเพลง ราตรีประดับดาว ไปด้วย

เหมือนถูกดึงตัวย้อนกลับไปยุคก่อน

ยุคที่เขาพูดกันไพเราะเพราะพริ้งกันอย่างนี้

ผมค่อยๆอ่านอย่างละเลียด

อ่านเร็วไม่ได้เนื่องจากว่าเป็นภาษาที่ไม่ค่อยคุ้นเคยในปัจจุบัน

ทำให้รู้สึกละมุนละไมไปกับเนื้อเรื่อง

และกินใจไปกับความรักที่ข้ามเวลามาเรื่องนี้

สร้างความเย็นใจให้กับคนอ่านคนนี้ได้ดีทีเีดียวครับ

จะติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปนะครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: buenococko ที่ 13-06-2008 05:20:50
ขอต่ออีกนิดนึงนะครับ

อยากทราบย้อนไปถึงคุณสนธยาที่เป็นคุณทวด

ไม่ทราบว่าคนแต่งจะนำมาขยายความอีกมั้ยครับ

ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณสนธยากับคุณทิวาผู้น้อง

แล้วทำไมคุณยายใหญ่ถึงรู้เรื่องแหวนครับ

ผมติดจะงงๆ ตรงช่วงนี้

หรือว่าคนแต่งตั้งใจเก็บเนื้อเรื่องไว้เช่นนี้
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: MoonIce ที่ 04-10-2008 00:46:26
 o7......
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: name ที่ 04-10-2008 22:09:47
หวานซะหยาดเยิ้มเลย :m1:

ชอบมากๆๆๆๆๆๆเลยคับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: akaipee ที่ 05-10-2008 20:27:58
 :L2: น่ารักค่ะ  ภาษาสวยค่ะ  หวานมากๆๆๆ ถึงจะแอบเศร้าน้อยๆๆ :o8:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: jowchaykob ที่ 07-10-2008 00:28:33
 :กอด1: ชอบมาก ๆ เลย ครับ
เป็นอะไร ที่ปลื้มสุด ๆ เลยครับ
ไม่มีคำบรรยาย  :oni2:
อ่านแล้วรู้สึกดีมาก
สงสาร  คุณสน มาก เลยครับ
ต้องรอคนรักนานมาก
ช่วงที่รอต้องทุกข์ขนาดใหน
คิดแล้ว เศร้า อ่า :o12:  :sad2: :o12:
แง้ อยากมี คนรัก เราเหมือน คุณสน จัง :m15:


ปล. ขอแบบที่รักจริง แต่ไม่ต้องรอเหมือนคุณสน นะ
ปล. อีกครั้ง  จะรออ่านตอนพิเศษ ครับ

 :oni1: :oni1: :oni1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: thaitanoi ที่ 13-10-2008 22:25:02
 :m23:  ตามมาอ่านทีหลังแต่ก็สนุกดีครับ  มีภาษาโบราณที่ไม่ค่อยคุ้นด้วยแต่ก็ทำให้ดูฃลังดีครับ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: Luvless ที่ 08-11-2008 21:43:31
ตอนที่มีรุ่นน้องมาบอกว่าได้อ่านนิยายของเราที่นี่ ก็เลยเหมือนเพิ่งนึกออกว่ามีคนขอเรื่องมาลงที่นี่ เพราะช่วงก่อนหน้านี้เรียนยุ่งมาก ๆ เลยไม่ได้แวะมาดูตามคำชวนของhimecrazyที่ขอเรื่องมาลงที่นี่ ดังนั้นพอรุ่นน้องพูดขึ้นมาก็เลยแวะมาดู
เห็นคอมเมนต์ของคนอ่าน ตกใจมากเลย :a5: ไม่คิดว่าจะมีคนทนอ่านได้จนจบ
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์มาก ๆ ดีใจที่คนอ่านบางท่านคอมเมนต์เกี่ยวกับความรู้สึกที่มีต่อนิยายเรื่องนี้
เดิมทีเรื่องนี้เป็นนิยายที่เกิดขึ้นด้วยแรงผลักดันชั่วขณะ แล้วเขียนต่อมาจนจบ ไม่ได้วางแผนอะไรมากไปกว่าโครงเรื่องคร่าวๆ
และด้วยความที่มันแตกต่างากเรื่องเดิม ๆ ที่เคยเขียน รวมกับจุดเริ่มต้นที่แปลกกว่าที่เคยทำมา
จึงทำให้ใช้ชื่อในตอนที่เขียนว่า ทิวารา แต่ผลสุดท้ายคนที่อ่านอยู่ก็รู้ได้จากสำนวนคำเขียนอยู่ดีว่าเป็นใครเขียน(หัวเราะ)
เป็นการเขียนที่ยาวมาก ทั้งตอนปรกติและตอนพิเศษรวมกันเท่ากับ40ตอนเลย

ขอบคุณมากที่ทำให้รู้สึกว่า มีคนอ่านงานของเราแล้วประทับใจกับมันจริง ๆ
ถึงแม้ว่าจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้จะมาแบบบังเอิญก็ตามที แต่มันก็ทำให้คนที่อ่านอยู่รู้สึกดี ๆ ได้
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์มาก ๆ
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: BankkunG23 ที่ 12-06-2009 17:35:57
ภาษาสวยสุดดดดดดดดดดด
แต่ :o12:ได้อีกอ่ะ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: dOrA ที่ 16-06-2009 14:57:03
สนุกมากค่า อ่านรวดเดียวจบเลย ภาษาที่ใช้สละสวยมากๆๆ อ่านง่าย

ชอบทั้งวาและสนเลย แบบว่าน่าร้ากทั้งคู่ ^^ ไว้จะติดตามอ่านผลงานต่อไปเรื่อยๆๆนะ  :L2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: both^^ ที่ 17-06-2009 16:40:51
โฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
นิยายดีมากๆ
คิดไว้ล่วงหน้าว่าจะจบเศร้า
แต่กลับพลิกแฮะ
ชอบมากๆเลยค่ะ

หลงรักในความมั่นคงในความรักของทั้งพี่สนและวา
ถึงแม้จะมีเด็กเข้ามาให้คนอ่านใจหายนิดๆหน่อยๆ ก็ตาม
แต่จบสวยมาก
ชอบจริงๆค่ะ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: bbboy ที่ 18-06-2009 02:17:45
สนุกมากครับ อ่านรวดเดียวจบเลย ขอบคุณมากครับ :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: Garirin ที่ 07-07-2009 16:14:25
ชอบจังเลยนิยายเรื่องนี้

ทำให้มองอะไรในแง่มุมใหม่ๆได้

สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: nunda ที่ 13-07-2009 10:17:03
ใช้ภาษาเขียนได้ดีมากเลยค่ะ
ชอบเรื่องนี้
ขอบคุณทั้งคนเขียน และคนโพสนะคะ
ว่าแต่อยากอ่านตอนพิเศษจังเลย
 o13
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: kikumaru ที่ 18-07-2009 18:05:35
 o13 ภาษาที่ใช้เขียนทำให้เรื่องละมุนละไมมากเลยคะ อ่านแล้วซึมซับถึงความอ่านดยนของตัวละครได้เลย :L2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: jedi2543 ที่ 27-07-2009 01:58:33
เพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ก็วันนี้แหละค่ะ อ่านไปก็อึ้งตะลึงงันไป ภาษาของคนเขียนสามารถถ่ายทอดได้อย่างงดงาม พลอตเรื่องน่าสนใจ ตัวละครน่าติดตามมีพัฒนาการเรื่อยๆ



อ่านเรื่องนี้แล้วประทับใจมากๆ ค่ะ ขอบคุณมากๆ ที่อุตส่าห์เขียนมาให้อ่าน อยากอ่านเรื่องอื่นอีกนะคะ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: namtaan ที่ 11-09-2009 14:41:00
ชอบมากค่ะ
ภาษาสวย เนื้อเรื่องแหวกแนว ไม่จำเจ
เรื่องดำเนินอย่างสนุกสนาน มีปมให้ติดตาม ให้ไดุ้ลุ้น
บทสนทนาเข้ากับแต่ละตอนที่สะท้อนความเป็นตัวละครแต่ละตัว
คัดเลือกเพลงมาประกอบได้อย่างลงตัว
ขอบคุณมากๆค่ะ ทั้งคนแต่ง และคนโพส อยากอ่านผลงานเรื่องอื่นๆของคนแต่งท่านนี้อีกเลยค่ะ
บวก 1 แต้มให้นะคะ
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: หวานเย็น ที่ 11-09-2009 22:57:00
อ่านแล้วซาบซึ้ง ไปกับสำนวนภาษา
อ่านแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในยุคสักประมาณ 50-60 ปีที่แล้ว
 o13 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: poffy ที่ 12-09-2009 22:58:57
ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณทิวาราผู้แต่งและคุณHimecrazyผู้โพสต์มากๆเลยนะคะ  :pig4: :L2:
อ่านไปนี่อยากจะบอกว่า น้ำตารื้นไปด้วยเลยค่ะ
ภาษาของเรื่องนี้อยากจะบอกว่าไพเราะและสวยงามมากๆเลยล่ะคะ
หายากมากๆที่จะได้อ่านนิยายที่มีภาษาสละสลวยและงดงามตามหลักภาษาอย่างนี้
ทำให้คนอ่านต้องไปหาเพลงมานั่งฟัง และเข้ากับบรรยากาศไปด้วย
ยิ่งอ่านยิ่งซึ้งไปกับความรักของคุณสนธยา ทั้งในแบบเด็กหนุ่ม และชายหนุ่ม
ความรักที่มั่นคงที่มีต่อวา หรือ วาน้อยไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
อ่านแล้วทั้งยิ้มดีใจ และแอบน้ำตารื้นเมื่อฉากจากลาไปด้วย
บทอัศจรรย์นี่ก็หวาน อ่านแล้วโรแมนติกและสวยงามไปอีกแบบดีนะคะ
สุดยอดเลยค่ะ อ่านไปด้วยบางทียังแอบขนลุกไปด้วยเลย o13
ขอบคุณผู้แต่งและผู้โพสต์สำหรับนิยายที่ดีมากๆเรื่องนี้อีกครั้งค่ะ  :pig4:

 o13 :L2: :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: kny ที่ 16-09-2009 17:46:54
อ่านจบแล้ว นานจะเจอมุมมองความรักอย่างคุณสนซักที มันคือความเข็งแกร่งที่อ่อนโยน :-[
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: crazy ที่ 29-09-2009 20:31:11
น่ารักเป็นทีสุด
หัวข้อ: Re: [Novel] ราตรีประดับดาว [UP!!!แล้ว ค่ะ -/\-" ลงจนจบแล้ว นะค่ะ แต่เด่ว จาเอาตอนพิเศษมาลงให้อี
เริ่มหัวข้อโดย: sundaysundae ที่ 19-02-2010 12:31:50
เรื่องนี้ทำในเรารู้ว่า เรื่องของเวลาไม่ได้น่ากลัวจเกินไปหากเรารักใครจริง
เวลามักเป็นเรื่องที่พิสูจน์ทุกสิ่งได้อยู่เสมอ
อ่านจบแล้วยังหายใจไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่
เพราะความรักระหว่างพี่สนกับเจ้าวาน้อยเนี่ย มีมากเหลือเกิน
ชอบเพลงท่นำมาใช้มากเลยอ่ะ ถึงตอนแรกเปิดไปแอบหลอนเพราะอยู่คนเดียว
แต่ฟังไปฟังมาเริ่มรู้สึกสบายมากขึ้น
ยอมรับว่าอ่านตอนที่พี่สนเจอนองมุจแล้วเข้าใจผิด เราร้องไห้เลยอ่ะ
สงสารพี่สนมากๆเลย แต่ดีแล้วที่เป็นเรื่องเข้าใจผิด นึกว่าวาไปไข่ทิ้งไว้ที่ไหน
ชอบความรักระหว่างพี่น็อตกับแม่พี่สน และพี่สนมากเลยอ่ะ
เรื่องนี้ไม่ได้แฝงเฉพาะความรักระหว่างหนุ่มสาวแต่ยังแฝงไปด้วยความรักของครอบครัวอีกด้วย
สุดท้านนี้เราขอขอบคุณทั้งคนโพสและคนเขียนมากเลย
ขอบคุณมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: phai ที่ 02-11-2010 00:59:47
น่ารักมากค่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ


ชอบบบบบบบบบ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Artemis ที่ 06-11-2010 14:45:36
ตั้งแต่อ่านนิยายบอยเลิฟมา มีเรื่องนี้แหละที่ทำให้เราน้ำตาซึม
และถูกจริตของเราอย่างจัง

ผู้เขียนเขียนได้เก่งมาก ภาษาไพเราะ ตรึงใจ เสียดายที่เพิ่งเข้ามาที่บอร์ดนี้ และเพิ่งได้อ่าน
ขอบคุณนะค่ะ ขอบคุณจริงๆ สำหรับนิยายที่มีคุณค่าทางหัวใจ

สุดยอดที่สุดค่ะ  o13
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: w1234 ที่ 06-11-2010 20:05:58
เรื่องนี้ทำเอาเราซึ่งไปเลยอะ :m15: :monkeysad:

 ขยายถึงตอนคุณแม่ใหญ่ให้หน่อดิว่ารู้เรื่องแหวนนั้น เป็นมายังไง :impress2: :impress2:
 :pig4: :pig4: :pig4:ขอบคุณคับ :mc4: :mc4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: OhJa ที่ 07-11-2010 11:17:34
สุดยอดอ่ะ  ประทับใจมากๆกับเรื่องนี้
ภาษาสวย อ่านเพลินไปเลย
แถมตอนเศร้าก็ทำเอาเราน้ำตาคลอไปเลย

ชอบมากๆเลยค่ะ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 07-11-2010 14:54:48
ไปอ่านตอนพิเศาเลยข้องใจภาคแรกเลยอ่านซะครึ่งวัน  อ่านตอนแรกๆอ่านซึ้งไปน้ำตาคลอ อดีตกับอนาคตมารวมกันเลยทำให้รู้เรื่องราวเศร้าๆของอดีต
แล้วเรื่องราวมาจบลงแบบมีความสุข ชอบมากๆเลยครับ ผ่านมาก็หลายครั้งแต่ไม่ได้เข้ามาอ่านพอลองอ่านดูกลับติดใจอ่านรวดเดียวจบเลย
เป็นกำลังใจให้กับผลงานเรื่องต่อไปนะครับ :L1: :L1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: หมวยลำเค็ญ ที่ 09-11-2010 07:55:43
 :pig4: :pig4: :pig4:
กอดวาน้อย กอดพี่สน กอดคนแต่ง กอดคนโพส :กอด1:
สนุกมากค่ะ ใช้คำน่าอ่าน เพลงที่ไม่เคยคิดจะฟัง ก็ได้ลองฟัง
ทีแลกก็หลอนๆ ฟังไปฟังมาเริ่มเพราะขึ้นๆ
ขอบคุณที่นำเรื่องดีดี มาแบ่งปันค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: kamikame ที่ 09-11-2010 14:28:54

 :pig4:บอกได้คำเดียวว่าอ่านแล้วอิ่มมาก
มันอิ่มใจ ที่ได้อ่าน
ภาษาที่ใช้งามมาก
อ่านแล้วเหมือนเข้าไปอยู่ในเรื่องเลย

ปล. ชอบทิวาและสนธยาทั้ง 2 คนมากมาย
  :L3:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: fay_13 ที่ 20-12-2010 22:23:58
ขอบคุณนะคะที่เอามาให้อ่านทั้งคนโพสท์และคนเขียนที่อุตส่าห์เขียนจนจบให้ได้อ่านกัน  :กอด1:

อ่านเรื่องนี้แล้วชอบมากเลยค่ะ การดำเนินเรื่องเป็นไปแบบเรียบง่ายแต่ลึกซึ้งมากๆ  :o8:

แล้วจะรอผลงานเรื่องต่อไปนะคะ  :call:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: V ที่ 21-12-2010 02:36:42
 :L2:
เป็นนิยายที่มีภาษาสวยมากก

อ่านได้เรื่อยไปแบบสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆ

แต่งได้เก่งมากๆเลยค่ะ  o13

แต่บทเศร้าอ่ะ อินสุดๆ

ตาบวมกันเลยทีเดียว

 :o8:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: junnozefis ที่ 25-01-2011 01:18:21
เรื่องนี้น่ารักมากเลยค่ะ

อ่านแล้ว ซึ้งสุดๆ

อยากเจอคู่แบบนี้มั่งจังน้า ~~
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: QUE1 ที่ 28-01-2011 04:06:46
ประทับใจมากค่ะ
ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ
และ จบแบบสวยงาม
อ่านไปก็หวาน ในแบบไทยๆ ดีชอบค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: amkang12 ที่ 15-04-2011 22:46:09
เรื่องนี้ อ่านแล้วประทับใจมากๆ ครับ

ด้วยสำนวนการเขียน ภาษาในการเขียน มีการสอดแทรก เพลงไทยให้เราได้รับรู้


อย่างเพลง ราตรีประดับดาว เพราะมากๆๆครับ แล้วยังจะมีเพลง ลาวคำหอมอีก

อ่านนิยายเรื่องนี้แล้ว เอิ่มใจมากครับ แล้วยังชอบตัวละคร อย่างทิวา กับ สนธยา มากๆครับ

เป็นกำลังใจให้ผุ้แต่ง แต่งนิยายที่มีภาษา เพลงไทย และ วัฒนธรรมแบบนี้ ต่อไปครับ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ΩPRESTOΩ ที่ 16-04-2011 08:56:00
อ่านจบพร้อมกับความรู้สึกเต็มตื้น
ขอบคุณสำหรับความประทับใจมอบให้

 :L2:

หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Maprang_W ที่ 18-04-2011 08:46:18
สนุกมาก อ่านจบแบบรวดเดียวสามชั่วโมงกว่า  อยากให้คนโพสและคนเขียนนำเรื่องแบบนี้มาให้อ่านกันอีกค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Hachi_an1234 ที่ 22-05-2011 12:25:47
เป็นเรื่องที่มีเพลงไทยเยอะมากเลยอะ..
เรียกพี่สนกับน้องวาน้อยด้วย..ตอนแรกก็คิดอยู่นะ.. ว่าคุณสนกับเด็กชายสนที่มีความร้ายกาจนี่ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆๆเลย..
แล้วก็จิงซะด้วย.. น้องวานี่น่ารักชะมัดเลยอะ...
พอตอนที่สนไปที่บ้านวาแล้วก็นะ... วาน้อย.. แล้วเห็นคุณสนอีกคนเข้ามาในร่างนี่แบบ.. เจ๋งงง..
คู่นี้เค้าเกิดเพื่อมาเติมเต็มให้กันและกันจิงๆๆ..
แต่แบบวาน้อยแรงมากตอนที่ขอเลิกกับพี่สนตอนที่พี่สนจะไปเรียนต่อที่เยอรมันอะ.. ทำใจกันได้ยังไงเนี้ย.. ใจแข็งมาก..
พี่สนน่าสงสารมากอะ..ที่เข้าใจผิดคิดว่าน้องมุจเป็นลูกวาแล้วจะกลับไปฝึกงานที่เยอรมัน..
แต่ยังไงคู่นี้เค้าก็ได้ลงเอยกันอย่างที่ควรจะเป็นก็ดีแล้วอะ.. แต้งส์สำหรับเรื่องสนุกๆๆน้า....
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: kissings ที่ 12-06-2011 11:40:09
เพิ่งเข้ามาอ่าน สนุกๆมากๆเลยค่ะ

ชอบที่พี่แต่งมากๆเลย
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 05-09-2011 20:25:26
ซึ้งค่ะ :monkeysad: :m15: :sad4: :o12:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 06-09-2011 00:21:57
 :impress: :impress: :impress: :impress: :impress: :impress: :impress: :impress: :impress: :impress:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: DasHimmel ที่ 08-09-2011 19:16:17
โอ๊ยยย!!!! สนุกมากเลยค่าาาาา~
ตอนแรกแอบกลัวว่าพี่สนจะเป็นวิญญานรึป่าวหว่า
แต่พอมารู้ว่าเป้นทวดก็ยิ่งเครียด -*- กลัวไม่สมหวัง
จะเลือกฝ่านพี่สนหรือเจ้าสนก็เลือกไม่ถูก มีเสน่ห์กันคนละแบบ 555
เลยต้องมารวมเป็นคนเดียวกันดีที่สุด!!!!
ตอนใกล้จบอ่านไปก็กดดันได้อีก กลัวระยะทางแล้วพอกลับมาก็โป๊ะเชะเรื่องน้องมุจอีก
อยากขอบคุณhimecrazyที่นำเรื่องดีดีมาให้ได้อ่านกันนะค๊า แล้วก็ขอบคุณคุณLuvlessด้วยนะค๊าสำหรับเรื่องสนุกๆเรื่องนี้
แล้วก็ต้องขอบคุณคุณLuvlessอีกอย่างที่ให้ทั้งคู่ได้มีความสุขกัน แฮปปี้เอ็นดิ้ง
คนอ่านลุ้นมากค่ะ พี่สนรอมาเป็นครึ่งร้อยปี อยากให้ทั้งคู่ได้รักกัน ซึ่งคนอ่านก็สมหวัง ขอบคุณมากๆค่า :กอด1:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: BeeRY ที่ 09-09-2011 16:56:24
เพิ่งได้มาอ่านนะคะ ชอบมากเลยยยยย :m1:
บรรยากาศเย็นๆ อ่านแล้วเพลินสุดๆๆ เฮ้ออ อยกมีความรักบ้างจัง :o8:
ขอบคุณมากๆค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: minminmin ที่ 09-09-2011 19:59:39
 :monkeysad:  น่ารักมากเลยค่ะ

พึ่งมาอ่านวันนี้เนี่ย  อ่านรวดเดียวจบเลยค่ะ

เป็นเรื่องที่ดีมากเลย  ชอบมากค่ะ :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: narongsak ที่ 28-09-2011 22:59:04
เออ ขอโทด นะคับ คนเขียนเรื่องนี่ เล่นดนตรีไทยหรือป่าวคับ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Dongmin ที่ 29-09-2011 03:42:32
งามมาก
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: indyska ที่ 29-09-2011 18:07:48
ยังงั้นอ่ะๆๆๆๆๆๆ จะเอาๆๆ ชอบอ่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Melany ที่ 30-09-2011 00:54:23
อิอิ น่ารักมากอ่ะ ทั้งตัวละครแล้วก็ภาษาที่ใช้ แอบชอบนายเขตนะเนี่ย กวนมากๆๆ น้องมุจก็น่ารัก

ส่วนพระเอกกับนายเอกก็ได้ใจทั้งคู่อ่ะ ชอบคนเย็นๆ

เดี๋ยวนี้หายากกกกกกกมาก เพราะ อะไรก็ร้อนไปหมด 55555+


ขอบคุณนะค่ะที่นำเรื่องน่ารักๆมาให้อ่าน สู้สู้ค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: kyoya11 ที่ 20-10-2011 16:01:42
ภาษาสวยมาก
เนื้อเรื่องก็น่าติดตาม
สรุปว่าชอบมาก^^
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: penikayimyam ที่ 27-10-2011 12:39:11
เขียนภาษาได้ดีมากเลยค่ะ

ขอบคุณที่นำเรื่องดีๆๆและสนุกๆๆมาให้ได้อ่านน่าค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: indyska ที่ 30-10-2011 19:45:19
ชอบนะ.. ชอบมากๆเรื่องนี้ อ่านกี่ทีก็ชอบ +1 เลยจ้า
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: kboom ที่ 27-11-2011 23:25:03
เฮ้อ....
บอกได้คำเดียวว่าหลงรักเรื่องนี้เข้าไปเต็มเปาเลย
อ่านแล้วมันละมุนละไมจริง  ๆ
ขอบคุณจริง ๆ กับสิ่งดี ๆ ที่นำมาแบ่งปันกัน
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Dee15 ที่ 10-01-2012 22:28:20
ภาษาสวยงามมากเลยค่ะ ละเมียดละไล ชอบมากชอบมากเลยค่ะ
ขอบคุณ คนแต่ง ขอบคุณคนโพสนะคะ่ 
:กอด1: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: A-J.seiya* ที่ 11-01-2012 13:32:41
น่ารักจังเลยค่ะ
ในที่สุดก็ได้มาอยู่ด้วยกันสินะะะ
ความรักนี่มันสวยงามจริงๆนะ

^^
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: KURATA ที่ 11-01-2012 15:28:43
อ่านเรื่องนี้แล้วรู้สึกเย็นๆ สบายๆ ไม่รีบร้อนมันเรื่อยๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไง
แต่ที่แน่ๆ คือรู้สึกดี
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 19-01-2012 19:57:35
ซาบซึ้งกินใจค่ะ   :monkeysad:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: หงส์เหม ที่ 22-01-2012 17:35:51
อ่านเจอตอนที่คุณผู้เขียนพูดถึงเพลงราตรีประดับดาวแล้วก็เวอร์ชั่นเพลงที่เอามาให้ฟังก็เลยอยากจะขออนุญาตผู้รู้ท่านอื่นๆ อธิบายเพื่อเป็นเกร็ดความรู้สักเล็กน้อยนะครับ

ข้อแรก
เพลงราตรีประดับดาวที่ผู้เขียนว่าร้องไม่ครบเนื้อนั้น ต้องขออธิบายก่อนว่าในเพลงไทยนั้นมีการแบ่งอัตราจังหวะหรือเรียกให้เข้าใจง่ายคือความเร็วนั่นเอง แต่ถึงจะกล่าวว่าความเร็วเพลงก็ไม่ถูกเสียทีเดียวอันนี้ขอข้ามไป อัตราจังหวะของเพลงไทยก็มีตั้งแต่ ๔ชั้น ๓ชั้น ๒ชั้น และชั้นเดียว ซึ่งเรียงลำดับจากช้าไปเร็ว

สำหรับเพลงราตรีประดับดาวซึ่งเป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่๗นั้น เป็นเพลง ๒ ท่อน ที่มีอัตราจังหวะเรียงตั้งแต่ ๓ชั้น ๒ชั้น ไปจนถึงชั้นเดียว(สามชั้นท่อน๑,สามชั้นท่อน๒,สองชั้นท่อน๑,สองชั้นท่อน๒,ชั้นเดียวท่อน๑ และชั้นเดียวท่อน๒) เราเรียกเพลงที่มีครบทั้ง๓อัตราจังหวะนี้ว่า"เพลงเถา" และเนื้อร้องที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้นั้นเป็นเนื้อร้องสำหรับเพลงราตรีประดับดาวเถา(คือร้องสามชั้น สองชั้น และชั้นเดียวต่อกัน) ส่วนเวอร์ชั่นที่คุณดวงพร ผาสุขร้องนั้นเป็นเพียงเฉพาะอัตราจังหวะ ๓ชั้น จึงมีเนื้อร้องแค่ 

สามชั้นท่อน๑
/วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย /

สามชั้นท่อน๒
/ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย /

ส่วนเนื้อร้องที่เหลือก็เป็นของอัตราสองชั้นและชั้นเดียว

สองชั้นท่อน๑
/ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ.................เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวงเอย
หอมดอกแก้วยามเย็น..........................ไม่เห็นใจพี่เสียเลยเอย /

สองชั้นท่อน๒
/ดวงจันทร์หลั่นลดเกือบหมดดวง.........โอ้หนาวทรวงยอดชีวาไม่ปราณี
หอมมะลิกลีบซ้อน...............................อ้อนวอนเจ้าไม่ฟังเอย /

ชั้นเดียวท่อน๑
/จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา.................แสงทองส่องฟ้าสง่าศรี
หอมดอกกระดังงา.............................ชิชะช่างน่าเจ็บใจจริงเอย /

ชั้นเดียวท่อน๒
/หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี.......................แต่ตัวพี่จำจากพรากไปเอย
หอมดอกจำปี....................................นี่แน่ะพรุ่งนี้จะกลับมาเอย ฯ/

สำหรับข้อที่สองคือ หากอ่านกลอนนี้ตามลักษณะของกลอนแปดแล้วจะเห็นว่ามีบางวรรคที่ไม่สัมผัสตามฉันทลักษณ์ นั่นก็เพราะว่าตัวเนื้อกลอนจริงๆคือ

วันนี้.................................................แสนสุดยินดีพระจันทร์วันเพ็ญ
ขอเชิญสายใจเจ้าไปนั่งเล่น.................ลมพัดเย็นเย็นหอมกลิ่นมาลี

หอมดอกราตรี...................................แม้ไม่สดสีหอมดีน่าดม
เหมือนงามน้ำใจแม้ไม่ขำคม...............กิริยาน่าชมสมใจจริงเอย

ชมแต่ดวงเดือน.................................ที่ไหนจะเหมือนได้ชมหน้าน้อง
พี่อยู่แดเดียวเปลี่ยวใจหม่นหมอง.........เจ้าอย่าขุ่นข้องจงได้เมตตา

หอมดอกชำมะนาด.............................กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ
เหมือนน้ำใจดีปราณีปราศรัย...............ผูกจิตสนิทได้ให้รักจริงเอย

ขอเชิญเจ้าฟังเพลงวังเวงใจ.................เพลงของท่านแต่งใหม่ในวังหลวง
ดวงจันทร์หลั่นลดเกือบหมดดวง.........โอ้หนาวทรวงยอดชีวาไม่ปราณี

จวนจะรุ่งแล้วนะเจ้าพี่ขอลา.................แสงทองส่องฟ้าสง่าศรี
หมู่ภมรร่อนหาช่อมาลี.......................แต่ตัวพี่จำจากพรากไป

คำว่าเอยนั้นเป็นการเอื้อนของเพลงไทยนั่นเอง ส่วนเนื้อร้องตรงที่ร้องขึ้นต้นด้วยคำว่า"หอมดอก..."นั้น จะเรียกให้ถูกน่าจะเรียกว่าสร้อยเพลงมากกว่า ไม่ได้นับรวมเข้าไปในตัวของบทกลอน ซึ่งจะคล้ายกับลักษณะของเพลงไทยอีกอย่างหนึ่งที่เรียกว่า"ว่าดอก" เหมือนเพลงนกขมิ้นที่"ว่าดอก" ว่า "ดอกเอ๋ย ดอกขจร นกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำแล้วจะนอนไหนเอย" นั่นล่ะครับ^^
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: SungMinKRu ที่ 23-01-2012 08:36:56
 :กอด1: :กอด1: :กอด1: ชอบจังงง
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: harumi ที่ 19-02-2012 02:35:53
เรื่องซึ้งมาก :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: @Iriz ที่ 22-02-2012 20:55:58
อ่านจบแล้วประทับใจสุดๆเลยค่ะ
คนเขียนเก่งมากมาย ทั้งด้านภาษา แล้วก็การดำเนินเรื่อง
ยิ่งอ่านยิ่งมีความสุข  :m1:
ปล.หลงรักทิวากับคุณสน(ทั้ง2)เข้าอย่างจังเลยค่ะ  :-[
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 25-02-2012 00:59:02
อ่านกี่รอบก็ประทับใจ
มีตอนพิเศษด้วยนะ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=4939.0
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: jing_sng ที่ 26-02-2012 20:20:30
ภาษาสวย เรื่องสนุก
ที่สำคัญเพลงเพราะมากกกกกกกกกกกกกก
แม่เจ้า คนฟังเพลงสากลเพลงต่างชาติอย่างอิชั้น
ถึงกับต้องรีบไปหาฟังและอยากดูโขนพระราชทานขึ้นมาทันที
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 27-02-2012 01:28:13
ชอบเรื่องนี้มากเลยค่ะ (*^^*) ภาษาสวยมากกกกกกก ☆*:.。. o(≧▽≦)o .。.:*☆ เนื้อเรื่องก็ประทับใจ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: BitterSweet~ ที่ 27-02-2012 12:33:23
ชอบเรื่องนี้มากค่ะ
ภาษาสวย เนื้อเรื่องแปลกกว่านิยายทั่วไป
ชอบตอนต้นเรื่องที่ทิวาฝัน
แล้วความฝันกับความจริงก็บรรจบกันอย่างสวยงาม

ชอบในความมั่นคงของสนธยา
ถึงแม้ว่าจะเวลาจะผ่านไปนานแสนนาน
ความรักของคุณสนก็ไม่เสื่อมคลาย

ชอบบทเพลงทุกเพลงที่คนเขียนเอ่ยมา..
เราตามไปฟังมาทุกเพลง

ขอบคุณสำหรับนิยายดี ๆ
ภาษาสวย ๆ
และขอบคุณสำหรับความอิ่มใจ..
ที่นิยายเรื่องนี้ทิ้งไว้ให้เรา ^^  :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: LiTTlE [A] ที่ 29-02-2012 14:58:48
เป็นนิยายอีกเรื่องที่ประทับใจ
ไม่หวือหวา ไม่ฉูดฉาน ภาษาสวย
 o13
+1ให้เป็นกำลังใจผลิตผลงานใหม่ออกมาให้อ่านอีกค่ะ
 :pig4:
ตามไปอ่านตอนพิเศษต่อดีกว่า
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: K2KARN ที่ 20-03-2012 16:37:01
อ่านจบแล้ว ชอบทั้งเรื่องทั้งภาษาเลยจ้าาา สนุกมากๆเลย
พี่สนอบอุ่นสุดๆอะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: evilM ที่ 15-04-2012 20:52:25
เป็นเรื่องราวที่ดีจริงๆครับ ทั้งด้านภาษา (เป็นการใช่ภาษาที่งดงามมาก) โครงเรื่อง (วางโครงเรื่องได้ดีน่าติดตาม) การวางบุคลิกของตัวละคร (จะเห็นได้จากบุคลิกของ"สน"ทั้งตอนเป็น"พี่สน"กับ"นายสน"ที่วางให้มีทั้งความเหมือนและความต่าง หรือตอนที่ทั้งนายสนและพี่สนรวมอยู่ในตัวคนเดี๋ยวกันมันกรมกลืนกันมาก)

เป็นนิยายที่หวานกินใจยิ่งนัก ทั้งยังไม่จวบจ้าวจนทำให้มองเห็นความรักที่บริสุทธิ์จนขนลุกไปกับเรื่องราวของราตรีประดับดาว ทั้งเพลงที่นำมาประกอบก็เพราะมากจริงๆ จนอดไม่ได้ที่จะฟังซ้ำๆพรางอ่านไปด้วย

เรามาอ่านเรื่องนี้หลังจากที่โพสไปแล้ว 5 ปี แต่มันยังคงคุณค่าของมันได้ เราเชื่อว่าถ้าอีก 5 ปี คนที่อ่านเรื่องนี้ก็ยังคงคิดแบบนี้แน่นอน

 o13
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: กาลณัฐ ที่ 15-04-2012 23:39:17
เป็นเรื่องที่ประทับใจมากค่ะ
ภาษาสวยมาก อ่านแล้วไม่ติดขัดเลย
ชอบมากกก  o13
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: tippy ที่ 14-05-2012 18:57:51
เรื่องนี้สนุกจัง ใครไม่ได้อ่านเสียดายแย่เลย เรื่องเย็นๆ น่ารักๆ เหมือนคุณพี่สนกับวาน้อย :กอด1:

ชอบการอดทนของพี่สน อดีตกับปัจุบันย้อนไปพบกันในฝัน พี่สนได้แต่รอจนกว่าจะถึงวาระของตัวเอง เพื่อนมาพบวาน้อยอีกครั้ง

ในที่สุดก็ได้มาพบกัน อ่านไปบางตอนแอบน้ำตาซึม ทั้งเศร้าทั้งซึ้งชอบมากกกกกกกกกกกกกจริงๆเลย :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: mentholss ที่ 06-08-2012 04:09:27
หวาน ซึ้ง ตรึงใจ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ninoSatanam ที่ 19-11-2012 02:21:34
หอมดอกชมนาด กลิ่นไม่ฉูดฉาดแต่หอมยวนใจ o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: gayraygirl ที่ 01-09-2013 00:07:56
ประทับใจมากเลยค่ะ ชอบคุณสนมากๆ เลย
พออ่านเจอว่าเป็นคุณทวดแล้วจะไม่ได้พบกันอีกนี่เล่นเอาเศร้าเลย ใจหายไปกับวาด้วย
แต่พออดีตกับปัจจุบันมาบรรจบกันเท่านั้นล่ะดีใจเป็นที่สุด
ชอบพี่สนมากๆ อ่อนหวาน อบอุ่น นุ่มนวล ชอบที่เรียกเจ้าวาน้อยของพี่สุด
มันทำให้เห็นถึงความรักและความเอื้อเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
ขอบคุณจากใจเลยคุ่ะสำหรับนิยายดีๆ แบบนี้  :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ikoolpaul ที่ 01-09-2013 21:52:15
นี่คือเปิดซิงยูสใหม่เลยนะ
ยูสเก่าเราจำพาสไม่ได้แล้ว

ภาษาสวย ละมุนลไมมากค่ะ
เย็นรื่น ชื่นใจทั้งอบอุ่น หวามไหวด้วย
TT///////////////TT
เราอ่านไปยิ้มไป เขินตามน้องวาน้อยเลยทีเดียว
พี่สนอะไรจะละมุนขนาดนี้ TT
แม้แต่ฉาก NC ยังละมุนได้อีก เราชอบโคตร ๆ ๆ ๆ ๆ เลยอะ ให้ตาย
อารมณ์รักถ่ายทอดออกมาดีมากเลยค่ะ

แถมตอนเศร้าก็ยังบีบใจได้อีก นี่น้ำตาไหลตามพี่สน
หยดแหมะๆ ไม่แคร์เมทเลย
รักเลยค่ะเรื่องนี้
รักสุด ๆ เลย
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: lizzii ที่ 02-09-2013 14:36:10
เป็นเรื่องที่ทั้งหวานทั้งสวย
เนื้อเรื่องทำให้วางไม่ลงเลย
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 06-09-2013 02:06:23
ซึ้งมากๆ อบอุ่นอีกด้วย ชอบมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 06-09-2013 13:39:51
เป็นเรื่องที่ภาษาสวยมากค่ะ
แล้วก็กลอน กับเพลงไทยเดิม เยอะมากด้วย
อ่านแล้วชื่นใจจัง
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: pigarea ที่ 07-09-2013 11:45:43
อ่านเรื่องไหนๆ ก็ไม่เหมือนเรื่องนี้จริงๆ คะ จะด้วยอะไรก็ตามแต่
ตอนเศร้าก็บีบคั้นหัวใจจนต้องมีน้ำตา อ่านช่วงแรกๆ เหมือนมันจะฝันไปตามน้องวาน้อยของพี่สน
ยามรอคอย ก็เหมือนจะเหงาใจไปด้วย ชอบมาก ชอบจริงๆ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 07-09-2013 16:55:35
น้ำตาไหลกันทั้งเรื่องเลยทีเดียว
ขอบคุณคนเขียนมากนะคะ
เป็นเรื่องที่ให้ความรู้สึกดีจริงๆ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: himecrazy ที่ 08-09-2013 00:27:39
 :pig4: ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าานและชอบเรื่องนี้นะค่ะ คนโพสดีใจมากที่ยังมีคนเข้ามาอ่านเรื่องนี้อยู่ และคนเขียนคงปลื้มใจเหมือนกัน ขอบคุณทุกคนมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Horizon ที่ 08-09-2013 23:47:17
เมื่อวานกลับมาอ่านภาคปรกติ และตอนพิเศษ
รอบที่เท่าไหร่ ไม่นับแล้ว ...ประทับใจเช่นเดิม
อยากอ่านผลงานใหม่นะ
+1
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: pp_song ที่ 12-09-2013 22:30:11
ชอบเรื่องนี้มากๆเลย  :L2:

แอบเศร้าเบาๆ..เร๊อะ :sad11:

ขอบคุณค่ะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: NIMME ที่ 13-09-2013 15:47:26
ชอบเรื่องนี้จัง ภาษาสวย พี่สนกับวาน้อยน่ารัก o13
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Magician ที่ 13-09-2013 16:36:04
เป็นกำลังใจให้จ้า  :L2:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: raviiib❁ ที่ 23-11-2013 14:15:54
ร้องไห้ทั้งเรื่องค่ะ.... :sad4:
สงสารวามาก เป็นเราคงทรมาณมากๆ
ช่วงหลังที่ต้องห่างกันน้ำตาไหลพรากๆ พี่สนน่าสงสารรรรรร
 :o12: :o12: :o12:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 04-03-2014 18:45:39
 :L2: ขอบคุณมากๆค่ะ  :L2:
ในที่สุดความฝันกับความเป็นจริงก็บรรจบกัน การรอคอยไม่ได้น่ากลัวเลย ถ้าใจของทั้งคู่มั่นคง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: funland ที่ 05-03-2014 15:30:59
 :mew3: อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆเลย ขอบคุณมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ovam ที่ 05-03-2014 16:24:19
ชอบเรื่องนี้มากๆๆ เลยค่ะ

ทำให้ซึ้งน้ำตาไหลได้หลายรอบจริงๆค่ะ   :sad4: :sad4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: +zoLoMegWoz+ ที่ 25-06-2014 14:30:57
อ่านแล้วฟินๆ เคลิ้มๆ กับภาษาและความน่ารักของน้องวา
คนเขียนแต่งเก่งมากเลย ชอบแนวนี้มากๆ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: `ลoงสิจ๊ะ™ ที่ 07-07-2014 09:34:02
อ่านแล้วชอบมากๆเลยคะ
ภาษาก็สวย
นิยายก็ดี ทำใหเรายิ้มได้ น้ำตาไหลได้
สุยอดเลยคะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: aoaer ที่ 10-08-2014 01:19:55
ซึ้งในความรัก เหมือนๆจะข้ามพบ  น้ำตาไหล เป็นช่วงๆเลยค่ะ

ภาษาสวย  อ่านแล้วมความรู้สึก อบอุ่น อ่อนหวาน และหวั่นไหวไปด้วยเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ammamooty ที่ 05-11-2014 08:07:24
งุงิอ่านจบแล้ว แอบสงสารสนตลอดเลย สนุกมาก ขอบคุณมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Mouse2U ที่ 30-11-2014 02:05:43
ประทับใจมาก  น้ำตาซึมกันเลยเชียว.  :mew4: :mew4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: TiwAmp_90 ที่ 02-12-2014 13:36:25
ชอบภาษาที่ใช้มากๆ มันเพราะมากเลย
แต่อยากรู้ว่า เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นทั่วไป, สองพระนายเค้าใช้ภาษาไหนกันคะ?
เพราะถ้าใช้ภาษาเดิม มันคงจะดูแปลกๆพิกล

ปล.ตกหลุมรักน้องมุจซะแล้ว น่ารักมากเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 21-02-2015 16:30:34
ชอบมากครับ ภาษาสวยงามมากเลย  อ่านแล้วรู้สึก หวาน ๆ เย็น ๆ

ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 21-06-2015 19:44:41
รัก :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: New_Tai ที่ 02-07-2015 20:15:15
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: stickyyrice ที่ 03-07-2015 22:12:10
ชอบมากกกก ละมุนมากก อ่านสองรอบก็ประทับใจทั้งสองรอบ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 13-07-2015 14:14:57
นิยายสนุกมากกกค่ะ ภาษาก้สวยอ่านเพลินๆเลย
สื่ออารมณ์ได้ดีจนทั้งเคลิ้มทั้งเศร้าไปกับทั้งคู่เลยค่ะ
ขอบคุณทั้งคนโพสและคนแต่งนะคะ (: 
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: มะปรางเปรี้ยว ที่ 28-07-2015 10:01:58
ขอบคุณนะคะสำหรับนิยายดีๆ  :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: bebe ที่ 06-10-2015 11:27:59
แปะไว้เดี๋ยวมาอ่าน
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Wtftt ที่ 06-10-2015 22:31:39
ซึ้งในความรักมากๆๆๆๆ ร้องไห้น้ำตาไหล
ขอบคุณมากคะที่แต่งให้เราได้งาน สนุกมากชอบมากคะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 31-01-2016 18:31:13
เป็นอีกแนวที่อ่านแล้วชอบภาษาที่ใช้ในการแต่งก็สนุกอ่านไปยิ้มไปขอบคุณนะคาฟคนแต่งที่เอานิยายดีๆแบบนี้มาให้ได้อ่าน
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: เป็ดอนุบาล ที่ 01-02-2016 22:43:54
“ พี่สน...ที่บอกว่าเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะถ้า...พี่ไม่อยู่ในโลกของพี่ ตัวผม...คงไม่ได้เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ใช่ไหม? พี่สน...ที่แท้พี่คือคุณทวดของผมเองหรอกหรือ ? ”

ในภาพ...คุณสนที่อายุราว 40 ปี เศษ รายล้อมด้วยลูกหลาน โดยที่คุณสนธยาอุ้มเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นหลานไว้ในอ้อมแขน และแม้ว่าเด็กหญิงผู้นั้นจะยังเล็ก แต่ตำหนิตรงแขนขวาของเด็กหญิงนั้นทิวาจำได้เป็นอย่างดี

เด็กหญิง...คงเป็นใครไปมิได้นอกจาก “คุณยายใหญ่”

คือคุณสนก็ต้องมีเมียดิใช่ไหม?????ทวดผู้หญิงไงไม่เห็นกล่าวถึง
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: MIwEMInE ที่ 12-02-2016 02:35:30
ขอบคุณมากค่ะ
รื่องนี้สนุกจริงทั้งน่ารัก ทั้งหน่วง ตอนหน่วงนี้น้ำตาท่วมเลย :mew6:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: pornwicha ที่ 03-03-2016 11:26:43
เบาๆเรื่อยยยๆ ชอบบบบ :o8:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 15-03-2016 17:38:17
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: naruxiah ที่ 19-03-2016 14:08:00
โอ๊ยน่ารัก  อ่านตอนนี้ก็ยังอินได้ ความรักสวยงาม อบอุ่นมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: songary ที่ 07-07-2016 02:32:39
ชอบมากเลยคะ ภาษาที่ใช้บรรยายไหลลื่นดีมากค่ะ ชอบที่มีบทกลอนแทรกมาเรื่อยๆด้วย ชอบพล็อตตัวละครระหว่างพระเอกกับนายเอกมากคะ อ่านแล้วรู้สึกละมุมกลมกล่อมมาก :hao5: ขอบคุณที่แต่งนืยายดีๆมาให้อ่านคะ ได้ข้อคิดจากเรื่องนี้หลายๆอย่าง
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: sasaka8 ที่ 21-10-2016 20:23:14
ขอบคุณนะคะ นิยายน่ารักมากค่ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Kkookai ที่ 30-11-2016 01:15:37
สุดยอดเลย...
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Raina ที่ 04-12-2016 16:28:34
- เรื่องน่ารักมาก ชอบพล็อต ชอบความละมุนละไม

- ทวดสนน่าสงสารมากเลย ถ้าเรารู้ว่าคนรักคือเหลน คงช็อคตาย นี่ถึงขั้นยอมปล่อยคนรักไป เขียนบันทึกและเก็บแหวนไว้รอ รักมั่นถึงชาติปัจจุบัน งื้ออออ อยากเจอแบบนี้สักคน

- แอบสงสัย เรื่องเกิดในยุคไหนคะ? บางทีเราอ่านแล้วคิดว่ายุคปัจจุบันนี่แหละ(จำได้ว่าสนใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาที่บ้าน) แต่บางทีเหมือนอดีต เช่น การไปเรียนต่างประเทศแล้วเขียนจดหมายติดต่อกัน ก็ทำได้น้า แต่การแจ้งข่าวกลับบ้านล่วงหน้า 1 อาทิตย์ ปัจจุบันคงใช้โทรศัพท์หรืออีเมลมากกว่า

- พอยอมรับกันได้ บุคลิกสนกลายเป็นพี่สนไปเลย เราคิดว่าสนควรมีด้านที่เป็นเด็ก(ตามวัย)และผู้ใหญ่ แต่ด้านเด็กหายไปเลยอ่า

- ช่วงแรกรายละเอียดเยอะ แต่ตอนจบตัดฉับๆๆๆ เช่น ฝั่งทิวา ไม่พูดถึงคุณยาย(ที่ทิวารักมาก) ฝั่งสน ต้องกลับไปเยอรมันไหม(ก็ตกลงไปแล้วนี่) ฯ โดยรวมมันรวบรัดไปนิดนึงอ่ะค่ะ
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: Praykanok ที่ 25-06-2017 11:41:18
โอยยยยยย คล้ายทวิภพสินะคะ
ชอบแนวนี้มากกกก ทำไมเพิ่งหาเจอ 555555
พี่สนหวานเว่อออ จะสำลักความหวานของสนและวาตาย 555
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: ืniyataan ที่ 25-06-2017 21:29:49
กลับมาอ่านรอบสอง ยังซาบซึ้งเหมือนเดิม  :pig4:
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: chaoyui ที่ 10-07-2017 14:59:15
ประทับใจมากค่ะ ภาษาสวย ชอบกลอนที่แทรกอยู่ด้วย
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: chanabang ที่ 17-07-2017 20:37:03
หวานละมุน ละไม อยู่ในทุกตอน
หัวข้อ: Re: ราตรีประดับดาว
เริ่มหัวข้อโดย: PoPoe ที่ 22-09-2017 14:02:16
ประทับใจทุกตอนเลยค่ะ :hao5: