@@@ แจ้งข่าว....ดี!!!!การจัดรวมเล่มไตรภาคย์งานเขียนเรื่อง
ตะเกียงพิเศษ...จอมใจนักเลง...เหยี่ยวหัวใจ เป็นบล๊อคเซ็ทรวมไตรภาคย์ทั้งหมดสามเรื่อง เปิดจองได้แล้วค่ะ
แต่!..ยังไม่เปิดโอน จะเปิดโอน มีเลื่อนเป็นกลางเดือนมกรา ปีหน้า ที่แจ้งให้จองก่อน เพราะท่านที่ลงชื่อจอง 150 คนแรก ตอนเปิดโอนท่านยังยืนยันการโอนสั่งซื้อ
ท่านจะได้รับหนังสือแถมเรื่อง
'เทพพิทักษ์ขุนทัพ' ฟรี!..อีกหนึ่งเรื่อง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องนี้สนใจส่งเมลล์ มาจองได้ที่
luxilove_19690 แอท hotmail ดอท Com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปส่วนท่านที่สนใจเฉพาะเรื่องไม่เอาเป็นไตรภาคย์ ไม่ต้องถามนะคะว่าแยกซื้อได้ไหม ได้อยู่แล้วคะ
ตอนนี้แค่เปิดจอง ให้นักอ่านที่ต้องการเก็บหนังสือไตรภาคย์นี้ไว้ ได้ลงชื่อจองเข้ามา
ปล.ทุกเรื่องจะมีตอนพิเศษ
แถมในเล่มเรื่องละ 2 ตอน ซึ่งไม่โพสฯลงในกระทู้นิยายเก็บตังค์หยอดกระปุกได้เลย จะนำรูปเล่มและข้อมูลที่เหลือมาแจ้งให้ทราบเป็นระยะ คอยติดตามด้วยนะคะ
ปล. 2 สำหรับคนจองแล้วไม่โอน ถือว่าสละสิทธิ์ เราจะเลื่อนสิทธิ์การโอนตามลำดับของคนจอง
หากใครเข้าข่ายอยู่ใน 1 ถึง 150 คนแรก ก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษไปแทนนะคะ
ปล3. เปิดรับจองรับโอนไม่จำกัดนะคะ แก้ไขความเข้าใจผิดเสียใหม่
แต่จะได้รับแถมพิเศษเฉพาะคนจองคนโอน 150 คนแรกเท่านั้นค่ะ นอกนั้นไม่ได้ของแถม
Luk.
เทพพิทักษ์ขุนทัพ
Part 6
นายบำเรอจำเป็น?.
.
.
.
“เชี้ย! มึงลุกขึ้นมาเลยไอ้ดอน” ขุนทัพกลับเข้ามาในห้องด้วยสภาพเมามายเอาเรื่อง พอมาถึงก็กระชากร่างที่กำลังหลับสบายบนที่นอนดึงให้ลุก
โดยไม่สนใจความรู้สึกของคนกำลังหลับสักนิด ขุนดอนงัวเงียสะลึมสะลือตื่นมาด้วยสภาพอิดโรย
เพราะฤทธิ์ยาที่ทานไปเมื่อช่วงบ่าย
“ครับ คุณทัพ” แม้จะยังมึนงง แต่ก็เอ่ยปากถามขุนทัพไปตามความเคยชิน เพราะเข้าใจว่าขุนทัพคงมีเรื่อง
ต้องการให้ตนรับใช้อีกตามเคย
“มึงมาบริการกูเลย ในเมื่อมึงสำนึกบุญคุณก็ตอบแทนกูซะ” พูดจบเจ้าตัวถอดทึ้งเสื้อผ้าออกจนตัวเปลือย
โชว์ร่างกายกำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อล่ำสันแข็งแรง
“คุณทัพจะทำอะไร?” ขุนดอนถามทั้งที่พอจะเดาเจตนาของขุนทัพว่าต้องการอะไร แต่ที่ถามเพื่อหวังรั้งสติ
ของขุนทัพเพราะตนได้กลิ่นเหล้าติดตัวคนเมาจนเข้าใจว่าที่ขุนทัพทำไปน่าจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เสียมากกว่า
“กูกำลังจะเอามึงไง เสือกถามมาได้” ขุนทัพพูดเสียงห้วน พร้อมกับยื่นมือหมายดึงเสื้อยืดของขุนดอน
ถอดออกจากตัว ในขณะที่เจ้าของเสื้อใช้มือยื้อไว้ไม่ยอมให้ถอดออกง่ายๆ
“อย่าทำแบบนี้ หายเมาแล้วคุณจะรู้สึกแย่นะครับ ผมขอร้อง” ขุนดอนพยายามโน้มน้าวให้ขุนทัพหยุด
พฤติกรรมที่กำลังกระทำอยู่
“ใครเมา?” ขุนทัพเถียงกลับ โดยไม่ยอมรับว่าตนเมา
“ยังไงก็ช่างเถอะครับ เราไม่ควรให้เรื่องนี้เกิดขึ้นอีก มันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ” ขุนดอนคงยึดเสื้อเอาไว้อย่าง
เต็มที่จนเสื้อยืดขาดแควกตามแรงดึงของทั้งคู่ที่คนหนึ่งยื้อไว้อีกคนกระชากถอด ผลสุดท้ายจึงขาดติดมือใหญ่ของคุณทัพไป
อย่างไม่เหลือชิ้นดี
“แคว๊ก! พูดอะไรของมึงกูไม่สนโว้ย! ในเมื่อไม่อยากเป็นแฟนก็มาให้กูเอาฟรีนี่แหละ” พูดจบโถมตัวเข้าหา
ขุนดอนพร้อมทิ้งน้ำหนักตัวหวังกดทับร่างบนเตียงไว้ข้างใต้ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาด
“พลั๊ก!” ร่างกำยำของขุนทัพล้มฟุบทันตา แต่เป็นการล้มแบบไม่ต้องตื่นอีกเลยหลับเป็นตายด้วยพลังหมัด
เพียงหมัดเดียวที่ขุนดอนเสยเข้าปลายคางไปเต็มๆ เพื่อเป็นการหยุดคนเมาที่เอาแต่ใจ จึงตัดสินใจเลือกใช้วิธีนี้และก็ได้ผล
เสียด้วย จากนั้นค่อยจัดวางให้ร่างใหญ่โตได้นอนอย่างสบาย ไม่ลืมห่มผ้าให้อีกต่างหาก เสร็จแล้วค่อยโทรสั่งอาหารมื้อค่ำ
เพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาเวลาขณะนี้ปาเข้าไปห้าทุ่ม โชคยังดีที่ทางรีสอร์ทมีอาหารง่ายๆ ไว้สำหรับบริการลูกค้าถึงแม้ครัวจะปิด
ไปแล้วก็ตาม ทำให้ไม่ต้องทนหิวทั้งคืน หลังสั่งอาหารเสร็จเรียบร้อย ร่างสมส่วนซึ่งมีใบหน้าหล่อดุจรูปสลักก็จัดการทำธุระ
ส่วนตัวในห้องน้ำในสภาพเสื้อขาดรุ่งหริ่ง พอกลับออกมาประจวบกับจังหวะโทรศัพท์ในห้องดังขึ้นพอดี
“กริ๊งงๆ!” ขุนดอนคิดว่าคงเป็นโทรศัพท์จากพนักงานเพราะตนสั่งอาหารเอาไว้จึงรีบยกหูรับทันที
“ครับ” “ดอนใช่ไหม?” ผิดคาดมหันต์ เพราะเสียงปลายสายนอกจากจะไม่ใช่พนักงานแล้ว กลับเป็นเสียงของ
คุณท่านขุนพรหม ซึ่งน่าจะโทรทางไกลจากต่างประเทศทำให้ต้องรีบตอบรับไปอย่างไว
“ครับ ผมเองครับคุณท่าน” ในใจพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด หากคุณท่านต้องการคุย
กับขุนทัพขึ้นมา กำลังมองหาทางออกอยู่ว่าจะตอบไปยังไงดี ไม่อยากโกหกผู้มีพระคุณเลยจริงๆ เพราะตนทำให้ลูกชาย
หัวแก้วหัวแหวนน๊อกไปด้วยหมัดเสยปลายคางเรียบร้อยไปแล้ว กว่าจะตื่นคงพรุ่งนี้เช้าโน้นแหละ
“ดอนอยู่กับเจ้าทัพหรือเปล่า?” ว่าแล้วคุณท่านต้องถาม แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็อดรู้สึกผิดอยู่ดี
“ครับผมอยู่กับคุณทัพ คุณท่านต้องการคุยหรือครับ?” ขุนดอนลองเชิงถามออกตัวไปก่อน
“ไม่หรอก ลุงอยากคุยกับดอนมากกว่า เราสะดวกคุยหรือเปล่า?” เสียงทุ้มนุ่มเจือแววเอ็นดูอยู่เป็นนิจ
ทำให้ขุนดอนปวดแปล๊บในอกขึ้นมาทันใด เหมือนตนกำลังเนรคุณยังไงไม่รู้
“ครับ ผมสะดวกครับ” ตอบรับด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจเป็นนิสัย
“อืมดอนฟังลุงนะเรื่องของดอนกับเจ้าทัพ ลุงรู้ความจริงหมดแล้ว ที่โทรมาคุยกับดอนก็เพราะลุงกับป้า
ไม่อยากให้ดอนเอาพวกลุงมาเป็นกังวล ทั้งหมดขอให้ดอนตัดสินใจด้วยตัวเอง ลุงกับป้าเคารพการตัดสินใจของดอนได้ยิน
ที่ลุงพูดใช่ไหม?” ขุนดอนอึ้งไปทันที ความรู้สึกตอนนี้บอกไม่ถูก จู่ๆคุณท่านก็โทรมาบอกกับตนเอง ไม่ให้เงียบจนผิดสังเกต
จึงรีบตอบกลับไปว่า
“ครับ” ขานรับสั้นๆ ทำให้ปลายสายย้ำถามกลับมาเช่นกัน
“ครับนี่หมายความว่า ดอนมีคำตอบแล้วใช่ไหม?” เสียงถามปนเอ็นดูจากปลายสายยังคงสม่ำเสมอ
ไม่เปลี่ยนแปลง
“ครับผมมีคำตอบแล้ว คุณท่านกับคุณหญิงไม่ต้องกังวลนะครับ” ขุนดอนยืนยันหนักแน่น คำตอบที่บอกมา
เพียงเท่านี้ ปลายสายก็รู้แล้วว่าเด็กที่ตนรักและเอ็นดูเสมือนลูกตัดสินใจยังไง
“เอาเถอะ ลุงบอกแล้วทุกอย่างผู้ใหญ่เคารพการตัดสินใจของเรา ดึกแล้วลุงไม่รบกวนละนะฝากดูแล
เจ้าทัพมันด้วย” คำฝากฝังซึ่งท่านมักย้ำเป็นประจำตั้งแต่ขุนดอนก้าวเข้ามาอยู่ใต้ชายคาของเทพพิทักษ์ ก็รับหน้าที่นี้มาตลอด
โดยไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“ครับ ผมสัญญาจะดูแลคุณทัพให้ดีครับ” พอสิ้นเสียงรับปากจากขุนดอนปลายสายก็วางหู ขุนดอนจะรู้ไหม
ว่าหลังจากวางหูแล้วผู้ใหญ่ทั้งสองท่าน ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของโลกกำลังถอนหายใจคล้ายกับหนักอกเป็นที่สุด เพราะแม้จะ
คาดเดากับวิธีการเลือกคำตอบของขุนดอนไว้ล่วงหน้าก็ตาม แต่ก็ยังแอบหวังจะมีทางทำให้ขุนดอนเปลี่ยนความตั้งใจ
เห็นทีคงจะยากเพราะนิสัยขุนดอนเป็นคนหนักแน่นมาก ที่นั่งมองตากันอย่างลำบากใจอยู่ตอนนี้คือห่วงความรู้สึกของขุนทัพ
ลูกชายเพียงคนเดียวซึ่งเป็นคนดื้อเพ่งและหัวแข็งเสียด้วย หากขุนดอนมีจุดยืนตรงกันข้ามแล้วละก็ งานนี้ขุนทัพคงไม่ยอม
รามือง่ายๆเพราะรู้จักนิสัยลูกตัวเองดี
เก้าโมงเช้า ขุนทัพงัวเงียตื่นขึ้นจากที่นอนลุกขึ้นนั่ง ด้วยสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง แถมปวดคางอีกด้วย
ในขณะที่เนื้อตัวล่อนจ้อนไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้น เหลียวมองไปรอบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของอีกคน พาลหงุดหงิดขึ้นมาทันที
อย่างไม่มีสาเหตุ อารมณ์เริ่มปะทุเลยเหวี่ยงใส่หนุ่มหน้าหล่อที่กำลังโผล่พ้นประตูเดินเข้ามาในห้องทันที
“ไปไหนมา?” ถามด้วยน้ำเสียงกึ่งตะคอก ทำให้ขุนดอนหันมาตอบหลังจากปิดประตูห้องเสร็จ
“ผมไปเดินเล่นข้างนอกครับ” “หึ! มีความสุขจริงมึง กูไม่ได้พามาพักผ่อนแม่งปวดคางชิบแทนที่จะดูแลกู เสือกไปเดินเล่น
สบายอารมณ์ซะงั้น” ขุนทัพยังคงว่าแดกขุนดอนต่อ
“ขอโทษครับ คุณทัพลุกขึ้นอาบน้ำก่อนไหม เดี๋ยวผมสั่งกาแฟร้อนให้” ขุนดอนตอบหน้านิ่ง
ไม่แสดงสีหน้าว่าไม่พอใจออกมาสักนิด ไม่ว่าขุนทัพจะว่าแดกแค่ไหน
“กูปวดคางเมื่อคืนมึงต่อยกูใช่ไหม?” เป็นคำถามที่ตั้งใจอยู่แล้ว เพราะขุนทัพพอจำได้ว่า
โดนขุนดอนต่อย ก่อนตนจะน๊อกไป
“ครับ ผมต้องการให้คุณพัก” ขุนดอนยังตอบหน้าตายไม่รู้สึกรู้สา แต่กิริยาแบบนี้ทำเอาขุนทัพเดือด
เป็นเจ้าเข้า
“สัด เดี๋ยวนี้มึงกล้ามากนะถึงกับต่อยกูเนี่ย!” ขุนทัพลุกขึ้นยืนจังก้าอย่างเอาเรื่อง ไม่ได้สนใจเลยว่าตนไม่
ได้สวมอะไรเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“ผมขอโทษ” ขุนดอนไม่หลบ ยืนเผชิญหน้ายอมรับผิดอย่างลูกผู้ชาย แต่อาการนี้กลับยิ่งกระตุ้นต่อมโมโห
ของขุนทัพเข้าไปใหญ่ เพราะอีกคนกลับคิดว่าขุนดอนยโสโอหังมาก
“ดีรู้ว่าผิดก็ดีกูจะได้ให้มึงจำไว้ด้วย ทีหลังอย่าสะเออะทำร้ายร่างกายกูอีก” พูดจบ ตรงเข้าหาร่างตรงหน้า
พร้อมกับกำปั้นหลุนๆ พุ่งเข้าใส่ครึ่งปากครึ่งจมูกของขุนดอนแบบไม่ออมแรงสักนิด
“พลั่ก!” เป็นผลให้ร่างที่ยืนอยู่เซถลาเหมือนนกปีกหักพร้อมกับเลือดกำเดาทะลักปากแตกไปตามแรงหมัด
ทันตาเห็น ขุนทัพพอเห็นเลือดกบปากกบจมูกของขุนดอนซึ่งกำลังยกมือขึ้นเช็ดเลือดอยู่นั้น แววตาไหววูบชะงักขาที่จะก้าว
เข้าไปช่วยพยุง เปลี่ยนเป็นหันหลังไม่พูดไม่จาเดินหนีเข้าห้องน้ำหน้าตาเฉย
หลังจากขุนทัพเดินหายเข้าห้องน้ำไปแล้ว ขุนดอนรีบเงยหน้าขึ้นก่อนจะตรงไปหยิบทิชชูบนโต๊ะทานข้าว
เช็ดเลือดที่ทะลักออกมา พยายามเช็ดจนหมดใช้ทิชชูไปไม่น้อย ก่อนจะหยัดทิชชูคารูจมูกกันไม่ให้เลือดไหลออกมาอีก
จากนั้นถึงค่อยบรรจงเช็ดเลือดที่หยดลงบนพื้นก้มหน้าก้มตาทำไปเงียบๆ ไม่พูดไม่จาใบหน้าขาวใสจมูกแดงก่ำ ริมฝีปากบวมเจ่อ
เพราะแรงหมัดมีร่องรอยปริแตกเลือดซิบ จากนั้นค่อยกลับมานั่งตรงเก้าอี้อยู่เงียบๆ จมจ่อมอยู่กับความคิดของตัวเอง
โดยไม่แสดงอาการบนสีหน้าแม้แต่น้อย
ในขณะที่ภายในห้องน้ำ อีกคนนอกจากจะสาละวนกับการอาบน้ำไปด้วย ในหัวก็ประหวัดนึกถึงการกระทำ
ของตนที่ยับยั้งอารมณ์ไม่อยู่เผลอทำร้ายขุนดอนจนเลือดทะลัก ทำให้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ไม่ได้รู้สึกสบายใจแม้แต่น้อย
ที่ได้ลงมือทำเช่นนั้น แทนที่จะสะใจกลับเสียใจจนกัดฟันกำหมัดต่อยกำแพงห้องน้ำอย่างแรงระบายอารมณ์จนข้อนิ้วแตก
เลือดซิบ ก่อนจะเปิดประตูเดินออกห้องน้ำ
เสียงประตูเปิด ไม่สามารถดึงความสนใจของขุนดอนออกจากภวังค์ได้แม้แต่น้อย ต่างฝ่ายต่างไม่มองหน้ากัน
ขุนทัพเดินไปเลือกเสื้อผ้าในตู้ออกมาใส่ ในขณะที่ขุนดอนยังนั่งเป็นหุ่นตรงที่เดิมไม่ไหวติง หากจะสังเกตสักนิดจะเห็นมือขวา
ของขุนทัพบวมพองข้อนิ้วแตกเลือดซิบ โดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะสนใจทำแผลเลยแม้แต่น้อย หลังจากแต่งตัวเสร็จก็หันออกคำสั่ง
กับขุนดอนด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างเช่นเคยว่า
“โทรเรียกนิคมมารับด้วย กูจะกลับ” ห้วนสั้น ก่อนจะเปิดประตูหายออกจากห้องไม่เหลียวหลัง ขุนดอน
จัดการเดินไปกดโทรศัพท์ภายในต่อสายนอกเรียกนิคมคนขับรถให้มารับตามคำสั่งเจ้านายอย่างไม่รีรอ
กลับมาถึงคฤหาสน์ของเทพพิทักษ์ ทั้งคู่ต่างแยกย้ายเข้าห้องใครห้องมัน บรรยากาศระหว่างนั่งกันในรถ
ชวนอึดอัดไม่น้อย ทำเอานิคมเกร็งไปด้วยระหว่างขับรถเพราะทั้งคู่ต่างคนต่างมองออกไปนอกรถไม่มีใครสนใจที่จะคุยอะไร
กันเลยผิดปกติกว่าที่เคยเป็น แต่ก่อนแม้จะไม่ค่อยคุยอะไรกันมากเท่าไหร่แต่ก็ยังพอมีคุยบ้าง ไม่เหมือนตอนนี้ที่เงียบสนิท
จนสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลของทั้งสอง แต่ตนมีหน้าที่ขับรถไม่สมควรยุ่งวุ่นวายเรื่องของเจ้านาย เพราะถึงแม้จะรู้ว่า
ขุนทัพชอบกลั่นแกล้งขุนดอนประจำ แต่คนรับใช้ทุกคนต่างรู้ดีว่าขุนดอนอยู่ในฐานะเจ้านายคนหนึ่งของเทพพิทักษ์ ตามคำสั่ง
ของคุณท่านที่กำชับคนรับใช้ทุกคนให้ปฏิบัติต่อคุณดอนเท่ากับนายน้อยอีกคน ซึ่งไม่มีใครคิดฝ่าฝืนคำสั่งเลยแม้แต่น้อย
เพราะโดยรวมแล้วทุกคนต่างรักและเอ็นดูขุนดอนกันทั้งนั้น
ตั้งแต่กลับมาถึงบ้านก่อนเที่ยงจนขณะนี้ปาเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้ว ทั้งคู่ไม่มีใครโผล่ออกจากห้องเลย
คนรับใช้ต่างก็ไม่มีใครกล้าถาม แม้จะรู้สึกเป็นกังวลไม่น้อยที่นายน้อยทั้งสองไม่ออกมารับประทานมื้อกลางวันจนเลยมาถึง
มื้อค่ำแล้วด้วยซ้ำ กระทั่งสามทุ่มขุนทัพก็เปิดประตูเดินออกจากห้องมาด้วยเครื่องแต่งกายหล่อลากไส้ชุดเที่ยวกลางคืน
รับรองเดินไปไหนคงได้สะดุดตาอีกตามเคย ก่อนจะตะโกนเรียกนิคมเสียงลั่น
“นิคม นิคม” เรียกคนขับรถประจำตัว ดังพอที่จะทำให้นิคมตาหลีตาเหลือกโผล่หัวออกมายืนรอรับคำสั่ง
ใต้บันไดพร้อมกับขานรับให้ไวเช่นกัน
“ครับคุณทัพ จะออกไปข้างนอกหรือครับ” “ฉันจะออกไปเที่ยว ไปเตรียมรถให้เวลาห้านาทีเสร็จแล้วเรียกด้วยจะนั่งทานของว่างรอที่ห้องนั่งเล่น”
พูดจบเดินลงบันไดตรงเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ซึ่งคนรับใช้ที่เหลือต่างรู้หน้าที่ต่างดิ่งเข้าไปจัดของว่างให้ทันที ไม่ลืมแอบยกหูขึ้น
ไปบอกขุนดอนตามคำสั่งไม่ว่าเวลาไหนถ้าหากขุนทัพจะออกไปข้างนอกคนใดคนหนึ่งต้องรายงานขุนดอนทราบทุกครั้ง
เป็นเช่นนี้มานานจนทุกคนต่างรู้หน้าที่ดีไม่ต้องย้ำพูดเลยด้วยซ้ำ
ไม่ถึงห้านาที ขุนดอนเดินลงบันไดมาด้วยเครื่องแต่งกายสำหรับออกข้างนอกเช่นกัน ยังคงหน้านิ่งตีมึน
เข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่นหน้าตาเฉย ทำเอาขุนทัพคิ้วขมวดมุ่นจ้องหน้าหล่อที่ไม่แสดงอาการอย่างไม่พอใจสุดๆ ก่อนจะเอ่ย
เสียงแข็งถามขึ้นว่า
“จะไปไหน?” “ไปกับคุณครับ” ขุนดอนก็ตอบได้หน้ามึนมาก ทำเอาคนถามสบถขึ้นจมูก ก่อนจะเสียงแข็งเข้าใส่ว่า
“หึใครอนุญาตกูไม่ให้ไป” ชักสีหน้าใส่แบบไม่พอใจให้เห็นชัดเจน แต่หาทำให้คนฟังรู้สึกไม่ยังคง
ทำหน้าตาย พูดกลับมาอย่างกวนโมโหว่า
“ผมทำตามที่คุณทัพต้องการไม่ได้ ยกเว้นคุณทัพจะไม่ออกไปเช่นกัน” เท่านั้นแหละ ขีดความอดทน
ของขุนทัพก็พังลงทันที
“ไอ้ดอน มึงจะมากไปแล้วนะ มึงเป็นใครถึงมาสั่งให้กูทำตามความพอใจของมึง กูจะไปไหนเรื่องของกู
และมึงไม่ต้องตามกูไป ฟังรู้เรื่องไหม?” ขุนทัพจ้องหน้าขุนดอนตาแข็งอย่างเอาเรื่องสุดๆ
“ครับผมเข้าใจ แต่ผมทำตามที่คุณทัพต้องการไม่ได้ ถ้าคุณทัพจะออกไปคงต้องยอมให้ผมไปด้วย” พอขุนดอนพูดตอบมา ขุนทัพหมดความอดทนลุกพรวดก่อนจะย่างสามขุมไปยืนค้ำหัวขุนดอน พูดเสียงรอดไรฟันว่า
“ตกลงมึงจะตามกูไปให้ได้ใช่ไหม?” ย้ำอีกครั้ง
“ครับ!” ขุนดอนยังคงตอบหน้านิ่ง ไม่มีหลบตา
“ดีกูเปลี่ยนใจแล้วมึงตามกูมานี่เลย สัด” พูดจบคว้าหมับจับข้อมือขุนดอนลากขึ้นบันไดตรงไปยังห้อง
นอนของตนเอง ต่อหน้าคนรับใช้ไม่น้อยที่ต่างยืนหดหัวมองตามกันตาปริบๆ เพราะไม่มีใครกล้ายื่นมือยุ่งเรื่องของเจ้านาย
โดยเฉพาะขุนทัพทุกคนต่างรู้นิสัยดีว่าขืนยุ่งได้ชะตาขาดไม่รู้ตัว หลังจากลากขุนดอนเข้ามาให้ห้องเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่ยืนจังก้าจ้องตากันนิ่ง ก่อนขุนทัพจะเอ่ยปากขึ้นว่า
“ถอดผ้าออก” สั่งแกมตวาด
“ไม่ครับ” เป็นอีกครั้ง ที่ขุนดอนปฏิเสธไม่ทำตามคำสั่งของขุนทัพ พักนี้ขุนทัพรู้สึกว่าขุนดอนชักขัด
คำสั่งของตนดื้อขึ้นเรื่อยๆ
“ไอ้ดอน มึงจะยั่วโมโหกูใช่ไหม ชอบให้กูลงมือว่างั้น กูบอกให้ถอดผ้าออกได้ยินหรือเปล่า
ไหนมึงห้ามไม่ให้กูออกไป กูก็ไม่ออกแล้วนี่ไงมึงก็ทำหน้าที่บริการกูสิในเมื่อกูจะออกไปสนุกแล้วมึงไม่ให้กูไป” ขุนทัพพูด
กับขุนดอนด้วยน้ำเสียงแกมบังคับ
“ผมไม่ได้ห้ามคุณทัพเพียงแต่ถ้าคุณทัพจะออกไปผมต้องไปด้วยก็เท่านั้น” ขุนดอนสวนกลับหน้านิ่ง
เล่นเอาขุนทัพหูแดงหน้าแดงหงุดหงิดขึ้นมาทันที
“มันก็เหมือนห้ามกูนั่นแหละ ในเมื่อกูไม่ให้มึงไปมึงรั้นจะไปให้ได้ งั้นมีวิธีเดียวมึงมาบริการกูแทนสิวะ” ขุนทัพก้าวเข้าประชิดตัวขุนดอน ก่อนจะจับอกเสื้อเชิ้ทด้วยมือสองข้างกระชากทีเดียวกระดุมร่วงหลุดกระจายเผยให้เห็นอก
ขาวเนียนตึงแน่นไปด้วยกล้ามอกพองาม ยังหลงเหลือรอยจางจากผลงานของที่ตนฝากไว้บนร่างตรงหน้าเมื่อสามวันที่แล้ว
“คุณทัพ ขอร้องละครับอย่าทำแบบนี้” ขุนดอนบอกด้วยน้ำเสียงแกมเว้าวอน
“มึงไม่มีสิทธิปฏิเสธกูไอ้ดอน ห้ามคิดลงมือกับกูเป็นอันขาด ขืนมึงกล้าทำร้ายกูอีกได้เห็นดีแน่กูจะตัด
สิทธิมึงทุกอย่างเลยทั้งเงินประจำเดือนทั้งเรื่องที่มึงจะไปฝึกภาคสนามที่บริษัทฯ ของพ่อ รวมถึงอนาคตของมึงอีกด้วย มึงลอง
ลงมือแล้วเรามาดูกันว่ากูจะทำอย่างที่พูดหรือเปล่า?” ขุนทัพจ้องตาขุนดอนนิ่ง เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าตนเอาจริงหากขุนดอน
คิดจะลงมือทำร้ายตนแม้แต่นิดเดียว ในขณะที่มือก็จัดการถอดเข็มขัด รูดซิปกางเกงยีนส์ของขุนดอนไปด้วย ขุนดอนได้แต่
ยืนนิ่งไม่มีการโต้แย้งอีกเลย นอกจากแววตาที่ไหวระริกให้เห็นว่าเจ้าตัวรู้สึกหดหู่แค่ไหน กับการกระทำที่ขุนทัพกำลังพยายาม
จะยัดเหยียดให้กับตนอยู่ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขุนทัพยกมาข่มขู่นั้นหามีอิทธิพลกับขุนดอนมากมายเลยแม้แต่น้อย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดหากตนยืนกรานแข็งขืนอีกผลลัพธ์ตามมาจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะขุนดอนรู้ดีว่าขุนทัพคงหาทางประชด
ก่อปัญหาใส่ตัวแทน มันจะยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ถ้าเกิดต้องไปมีเรื่องมีราวข้างนอกแล้วได้รับบาดเจ็บขึ้นมา เพราะตนรับปากกับ
คุณท่านไว้แล้วว่าจะดูแลขุนทัพอย่างดี เหลือเวลาไม่ถึงสองเดือนถ้าต้องทนกล้ำกลืนก็ถือว่าได้รับใช้ตอบแทนบุญคุณต่อกันแล้ว
สุดท้ายขุนดอนก็หลับตาปิดกั้นการรับรู้หลังจากที่ขุนทัพผลักร่างของตนลงยังเตียงนุ่ม หน้าที่นายบำเรอชั่วคราวเพื่อให้ขุนทัพ
ระบายความโกรธแต่สามารถหยุดพฤติกรรมที่จะหาเรื่องใส่ตัวข้างนอกได้ ขุนดอนสู้อดทนยอมเสียดีกว่าคิดว่าไหนๆก็เคย
ถูกกระทำมาแล้วยอมทนอีกสักครั้งจะเป็นไร จึงไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมาอีก ปล่อยให้ร่างกายตกเป็นเครื่องมือบำเรออารมณ์
ของขุนทัพอย่างที่เจ้าตัวต้องการ
เช้าเก้าโมง ขุนดอนอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย มายืนจ้องหน้าขุนทัพที่ยังหลับอุตุบนที่นอน สภาพเตียงไม่
ต้องบอกก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดสงครามอะไรขึ้น แม้จะไม่ดุเดือดเลือดพล่านเหมือนตอนโดนยา แต่ก็ใช่จะนุ่มนวลอ่อนโยน
ตอนนี้ขุนดอนยังรู้สึกขัดๆ สะโพกอยู่เลย
“คุณทัพครับ ได้เวลาไปเรียนแล้วครับ” ขุนดอนก็ยังคงเป็นขุนดอน
“อืมกูง่วง ไม่ไปได้ไหม?” เป็นครั้งแรกที่ขุนทัพทำตัวงอแงเป็นเด็ก เพราะทุกครั้งขุนดอนไม่ต้องมาปลุก
เจ้านายก็จะแต่งตัวนั่งจิบกาแฟทานของว่าง ก่อนจะขึ้นรถไปมหาลัยด้วยกัน
“หยุดไม่ได้ครับ ใกล้สอบแล้ว” “จิ๊มึงนี่มัน เป็นเมียกูเลยไหม?” สบถอย่างไม่จริงจังไรนัก ก่อนจะลุกเดินโทงๆเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
ขุนดอนได้แต่ส่ายหน้าตามหลังคนเอาแต่ใจ
เมื่อรถสปอร์ตคันหรูมาถึงมหาลัย สองหนุ่มคู่ดูโอ้ก็ลงจากรถ เช้านี้ขุนดอนทำหน้าที่สารถีเช่นเคย
เพราะขุนทัพไม่ให้นิคมขับรถให้ แถมเจาะจงจะใช้รถสปอร์ราคาแพงเบาะสองที่นั่งโดยเฉพาะ ไม่รู้ว่าทำไมพักนี้เจ้านายถึงชอบ
ทำอะไรตามความพอใจอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงแม้ก่อนหน้าจะมีนิสัยแบบนี้แต่มักแจ้งล่วงหน้าให้เตรียมตัวกันบ้างไม่ใช่นึกพอใจ
ทำก็ทำเหมือนที่เป็นอยู่อย่างตอนนี้
พอหอบหิ้วกระเป๋าของหนุ่มหล่อร่างใหญ่มาถึงใต้อาคาร ขุนดอนก็ส่งของทุกอย่างให้กับเจ้าตัว
พร้อมกับรับคำสั่งตามมาทันที
“พักเที่ยงมารอกูที่นี่ ห้ามหายหัวเป็นอันขาด” กลับมาสวมบทคนออกคำสั่งกับคนรับคำสั่งเช่นเคย
“ครับ” เสียงขานรับของขุนดอน กลับไม่ทำให้ขุนทัพรู้สึกหงุดหงิดเหมือนอย่างเคย เจ้าตัวรีบหันหลัง
เดินลิ่วทั้งที่ใบหน้าอมยิ้มแก้มตุ่ย รู้สึกคำขานสั้นๆ ของขุนดอนฟังสบายหูชะมัดที่พูดแต่คำว่าครับ แปลว่ายอมทำตามที่ตน
ต้องการไม่ต้องพูดยืดยาวให้น่ารำคาญหรือคอยแต่จะโต้แย้งอยู่นั่นแหละ
เที่ยงตรงหนุ่มหล่อร่างใหญ่เพิ่งหลบหลีกจากบรรดาสาวๆคู่ขาเก่าออกมาได้อย่างจ้าละหวั่นกว่าจะหลุด
ตรงดิ่งมายังจุดนัดที่บอกให้รุ่นพี่หน้าหล่อคนรับใช้ส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ให้อยู่รอตน ก็รีบมาอย่างเร็วจนมาพบกับภาพ
ที่ทำให้ความหงุดหงิดพุ่งปรี๊ดขึ้นมาทันที
สาวสวยสามนางพากันรุมล้อมขุนดอนพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่ทำเอาขุนทัพไม่สบอารมณ์สุดๆ เพราะดัน
จำได้ว่าคือกลุ่มสาวๆ ซึ่งเคยนั่งคุยกับขุนดอนในวันที่ตนแข่งรักบี้ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นนั่นแหละ ท่าทางปล่อยตัวเป็นกันเอง
สบายๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างหล่อของขุนดอนพานทำให้ขุนทัพโมโหเข้าไปใหญ่ เร่งฝีก้าวตรงเข้าไปอย่างเร็ว
ต่อด้านล่าง