@@@ แจ้งข่าว....ดี!!!!การจัดรวมเล่มไตรภาคย์งานเขียนเรื่อง
ตะเกียงพิเศษ...จอมใจนักเลง...เหยี่ยวหัวใจ เป็นบล๊อคเซ็ทรวมไตรภาคย์ทั้งหมดสามเรื่อง เปิดจองได้แล้วค่ะ
แต่!..ยังไม่เปิดโอน จะเปิดโอน มีเลื่อนเป็นกลางเดือนมกรา ปีหน้า ที่แจ้งให้จองก่อน เพราะท่านที่ลงชื่อจอง 150 คนแรก ตอนเปิดโอนท่านยังยืนยันการโอนสั่งซื้อ
ท่านจะได้รับหนังสือแถมเรื่อง
'เทพพิทักษ์ขุนทัพ' ฟรี!..อีกหนึ่งเรื่อง โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับเรื่องนี้สนใจส่งเมลล์ มาจองได้ที่
luxilove_19690 แอท hotmail ดอท Com ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปส่วนท่านที่สนใจเฉพาะเรื่องไม่เอาเป็นไตรภาคย์ ไม่ต้องถามนะคะว่าแยกซื้อได้ไหม ได้อยู่แล้วคะ
ตอนนี้แค่เปิดจอง ให้นักอ่านที่ต้องการเก็บหนังสือไตรภาคย์นี้ไว้ ได้ลงชื่อจองเข้ามา
ปล.ทุกเรื่องจะมีตอนพิเศษ
แถมในเล่มเรื่องละ 2 ตอน ซึ่งไม่โพสฯลงในกระทู้นิยายเก็บตังค์หยอดกระปุกได้เลย จะนำรูปเล่มและข้อมูลที่เหลือมาแจ้งให้ทราบเป็นระยะ คอยติดตามด้วยนะคะ
ปล. 2 สำหรับคนจองแล้วไม่โอน ถือว่าสละสิทธิ์ เราจะเลื่อนสิทธิ์การโอนตามลำดับของคนจอง
หากใครเข้าข่ายอยู่ใน 1 ถึง 150 คนแรก ก็จะได้รับสิทธิ์พิเศษไปแทนนะคะ
ปล3. เปิดรับจองรับโอนไม่จำกัดนะคะ แก้ไขความเข้าใจผิดเสียใหม่
แต่จะได้รับแถมพิเศษเฉพาะคนจองคนโอน 150 คนแรกเท่านั้นค่ะ นอกนั้นไม่ได้ของแถม
Luk.
เทพพิทักษ์ขุนทัพ
Part 5
การถูกปฏิเสธที่เจ็บปวด?.
.
.
.
บ่ายแก่ของวันใหม่ คือกำหนดเวลาที่ร่างสมส่วนแข็งแกร่งเริ่มรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาด้วยสภาพอิดโรยทีเดียว ใบหน้าหล่อปานรูปสลักสีงาช้าง
ซีดเซียวจนเห็นได้ชัด แต่ถึงแม้จะดูไม่สดใสเหมือนเคย กลับไม่สามารถลดทอนความสง่างามของเจ้าตัวลงได้แม้แต่น้อย
กลายเป็นภาพใบหน้าที่มีเสน่ห์ไปอีกแบบน้อยครั้งจะได้เห็น
ขุนดอนพยายามยันตัวลุก กลับต้องเผลอซี๊ดปากโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลให้ปลุกคนที่หลับอยู่ข้างๆ เพราะไม่ทัน
สังเกตให้ตื่นโดยอัตโนมัติ
“ดอนตื่นแล้วเหรอ..เดี๋ยวอย่าเพิ่งรีบลุก” น้ำเสียงซึ่งแฝงแววห่วงใยอย่างไม่เสแสร้ง ทำให้ใบหน้าหล่อของคน
ถูกถามมีอันต้องย่นหัวคิ้วอย่างนึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกลับยอมทิ้งตัวลงนอนตามเดิม เพราะตอนนี้ร่างกายของตน
เจ็บร้าวไปหมดยิ่งกว่าชกมวยแล้วถูกคู่ต่อสู้สกรัมยับเสียอีก
เมื่อเห็นว่าขุนดอนไม่ได้โต้ตอบ กลับยอมลงนอนอย่างว่าง่าย ใบหน้าคมเข้มของขุนทัพเผลอยกยิ้ม
ออกมาจนได้ ไม่รู้ทำไมพอขุนดอนอยู่ในโหมดฤษีไร้ใจหรือเจ้าชายหิมะตามฉายาที่แอบได้ยินคนอื่นเรียกขาน ได้มาเพราะ
เจ้าตัวประหยัดคำพูดเหลือเกิน ตอนนี้กลับไม่รู้สึกขวางหูขวางตาชวนหงุดหงิดเหมือนทุกครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าคนตรงหน้า
ดูหยิ่งและน่ารักไปซะงั้น
“มึงยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย เดี๋ยวกูช่วยประคองไปห้องน้ำทำธุระให้เรียบร้อย ค่อยออกมากินข้าว
ทานยาตามหมอสั่ง” ขุนทัพกลับเป็นฝ่ายพูดเป็นต่อยหอย ทั้งที่แต่ก่อนไอ้นิสัยจะมานั่งสาธยายรายละเอียดปลีกย่อยแบบนี้
กับคนตรงหน้าไม่มีวันเสียหรอก ที่ทำให้ประหลาดใจเข้าไปใหญ่ก็ไอ้ตรงน้ำใจที่หยิบยื่นให้ เป็นธุระจัดการกอดประคอง
พาร่างสมส่วนที่ความสูงไล่เลี่ยกันต่างกันก็ตรงความกำยำหนาล่ำแหละที่เห็นชัด พยุงขุนดอนลุกออกจากเตียงตรงไปยังห้องน้ำ
แบบไม่วางฟอร์มเลยสักนิด ขุนดอนเองก็โอนอ่อนผ่อนตามไม่หือไม่อื้อแม้แววตาจะมีความสงสัยต่อพฤติกรรมที่ตาลปัตรจาก
หลังเท้าเป็นหน้ามืออยู่ไม่น้อยก็ตาม คงเพราะสภาพร่างกายตนตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคิดหาคำตอบ ดีที่สุดคือทำ
ตามอย่างเดียวเพราะขณะนี้ปวดเหยี่ยวอย่างมาก
ขุนทัพปล่อยขุนดอนจัดการกับตัวเองตามลำพังหลังส่งคนป่วยเฉพาะกิจถึงที่หมายเรียบร้อยแล้ว จึงได้
รีบกุลีกุจอโทรสั่งข้าวต้มถ้วยใหม่ เพราะถ้วยเก่าเย็นชืดขึ้นอืดจนไม่เหลือสภาพให้อยากทานแม้แต่น้อย ของตัวเองก็สั่ง
สปาเก็ตตี้มาทานด้วย ขณะนี้เวลาปาเข้าไปเกือบบ่ายสาม ถือว่าขุนดอนหลับยาวข้ามวันข้ามคืนกันเลยทีเดียว หากไม่ได้
น้ำเกลือของอาหมอที่เติมให้ก่อนกลับ พร้อมกับยาที่ทุลักทุเลช่วยกันป้อนคนป่วยซึ่งสติแทบไม่เหลือ เจ้าตัวคงจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ว่าหมอมาตรวจเช็คอาการและทำอะไรกับร่างกายตนบ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทางได้ฟื้นมาได้ดีแบบนี้หรอก เพราะตอนนั้น
อาการของคนป่วยไข้ขึ้นสูงมาก แถมร่างกายยังบอบช้ำอย่างหนักจนอาหมอต้องถามความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากอาหมอ
คุ้นเคยกับทั้งคู่เป็นอย่างดี เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก สำหรับพวกเค้าแล้วอาหมอรักเอ็นดูเหมือนลูกหลาน พอรู้ที่มาที่ไปแกก็ไม่
ติดใจจัดการรักษาขุนดอนอย่างละเอียดกระทั่งนิคมส่งอาหมอกลับไปนั่นแหละ
นิคมบอกว่ารถที่ปิ่นแก้วเอาไปนั้น ตอนนี้ตนไปตามมาจอดที่บ้านแล้ว ส่วนปิ่นแก้วก็ได้เก็บหลักฐาน
ที่ตนถูกบังคับข่มขู่สารพัดจากพวกไอ้พิชิต ด้วยการอัดเสียงในโทรศัพท์มือถือเพื่อใช้เป็นหลักฐานเล่นงานไม่ให้มันมายุ่งวุ่นวาย
กับตนอีก คดีนี้คงจบลงด้วยเส้นสายของพ่อมันตามเคย ดีหน่อยก็คงไม่กล้าเข้ามาวุ่นวายกับปิ่นแก้วนั่นอีก เพราะต่อให้ปิดคดี
ลงได้แล้วยังขืนกลับไปวุ่นวายข่มขู่โจทย์ไม่เลิกรับรองเส้นใหญ่แค่ไหนหากสื่อเล่นด้วยคงได้เจ๊งกันเป็นแถว เพราะงั้นเรื่องนี้
หายห่วงไปได้เลย
ขุนดอนเปิดประตูห้องน้ำมา ด้วยสภาพหยดน้ำเกาะพราวทั่วแผงอกขาวมีหมัดกล้ามพองาม ซิกแพ็คเรียงตัวสวย
หัวนมสีชมพูสด ผมเปียกน้ำพอหมาดดูยุ่งเหยิงเซ็กซี่ได้อีก เมื่อออกมาหยุดยืนนิ่งตรงหน้าคนมองห่างไม่ถึงสามก้าว เล่นเอา
คนจ้องถึงกับอึ้งไปเลยเหมือนกัน เจ้าตัวคงไม่รู้สิว่าตอนนี้อกซ้ายของขุนทัพเหมือนมีลูกดิ่งโยโย้เต้นดึ๋งดั๋งไปมา ยังดีหน่อย
ที่หน้าคมเข้มเก็บอาการเอาไว้ได้
“แฮ่ม! ทำไมถึงไม่เช็ดตัวให้แห้ง เพิ่งฟื้นไข้เดี๋ยวก็ไข้กลับอีกหรอก” น้ำเสียงแสดงอำนาจเหมือนเคย
มีตำหนิแกมดุอย่างไม่พอใจ เจตนาบอกกับคนหน้าหล่อปานรูปสลักที่ใช้ตาคมสวยจ้องมองนิ่งไม่พูดไม่จา จนในที่สุดก็ยอม
ส่งเสียงทุ้มหล่อเอ่ยปากถามขึ้นเป็นครั้งแรกว่า
“เสื้อผ้าของผมละครับ” ขุนดอนก็ยังคงเป็นขุนดอน พูดกระชับไม่เยิ่นเย่อ
“กูให้เอากลับไปซัก มึงใส่ชุดที่นิคมเอามาให้สิอยู่ในตู้” ขุนทัพบอก พยายามเฉไม่มองร่างที่พยักหน้ารับ
แล้วเดินผ่านตนไปยังตู้เสื้อผ้าหน้าตาเฉย กลิ่นสบู่กลิ่นแชมพูที่เจ้าตัวอาบน้ำมาหมาดๆฟุ้งกระจายจนเผลอสูดเข้าไปเต็มปอด
อย่างไม่รู้ตัว จู่ๆใบหน้าหล่อคมก็ขึ้นสีเรื่ออย่างไม่มีสาเหตุ โชคดีที่เสียงเคาะประตูช่วยลดบรรยากาศประหลาดๆ ซึ่งกำลัง
กระแทกหน้าอกของขุนทัพอยู่ตอนนี้ให้ลดลงไปมากเลยทีเดียว
“ก๊อกๆ อาหารมาส่งครับ” บริกรมาส่งอาหารตามที่ตนสั่ง ขุนทัพจึงก้าวไปเปิดประตูเมื่อเห็นแล้วว่าขุนดอน
นุ่งกางเกงสามส่วนกับเสื้อยืดคอวีสีขาวเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ขอบใจมาก” เปิดประตูถอยหลบให้บริกรนำอาหารมาวางลงบนโต๊ะริมผนัง ไม่ลืมหยิบกระเป๋าสตางค์
ดึงแบ็งค์ร้อยส่งให้เป็นรางวัล ซึ่งผู้ให้บริการยิ้มรับหน้าบานพร้อมกับยกมือไหว้แล้วรีบหันหลังเดินออกประตูไป ไม่ลืมเก็บถ้วย
จานชามของเก่าติดมือไปด้วย พร้อมปิดประตูล็อกลูกบิดให้เสร็จสรรพ
“แต่งตัวเสร็จแล้ว มากินข้าวเลยจะได้กินยา” เป็นคำเชิญที่ติดจะออกคำสั่งนิดๆ เพราะเป็นความเคยชิน
ของคนพูดที่มักออกคำสั่งกับคนตรงหน้าเป็นประจำ
ขุนดอนไม่พูดตอบ จัดการผึ่งผ้าขนหนูเรียบร้อยเดินมานั่งเก้าอี้เพื่อทานอาหารโดยไม่อิดออด ท่าทาง
การเดินซึ่งขุนทัพเพิ่งสังเกตว่าขุนดอนเดินขัดๆ แต่กำลังพยายามฝืนให้เป็นปกติ ทั้งที่ดูยังไงก็ไม่เนียน ยิ่งทำให้คนคิดหน้าขึ้นสี
จนหูแดงไปด้วย เมื่อรู้ว่าสาเหตุที่เป็นแบบนี้เพราะฝีมือตนทั้งสิ้น
บรรยากาศกินข้าวร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการครั้งนี้ กลายเป็นต่างคนต่างกินเงียบได้อีกเหมือนไม่มีใคร
เอาปากมา นอกจากสายตาคมภายใต้ขนคิ้วเข้มที่ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางของเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นระยะๆ หาได้พบความผิดปกติ
อะไรบนใบหน้าหล่อเหลาสีงาช้างเลยแม้แต่น้อย นอกจากปากบางได้รูปที่กำลังเคี้ยวข้าวกลืนอย่างคนมารยาทดี แถมสายตา
ไม่ได้สนใจรอบข้างเลยด้วยซ้ำ ก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว ถึงจะออกอาการนิ่งแบบนี้ แต่พอขุนทัพได้มีเวลาสำรวจอย่างถี่ถ้วน
กลับต้องยอมรับอย่างไม่ปฏิเสธเลยว่า คนตรงหน้าไม่ว่าอยู่ในท่วงท่าแบบไหนกลับดูดีได้อย่างน่าทึ่ง ทั้งที่ไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด
ไม่มีอาการหลุกหลิกแม้แต่น้อย แต่กลับมีพลังดึงดูดบางอย่างทำให้ไม่สามารถละสายตาจากใบหน้าหมดจดหล่อเหลาสีงาช้าง
ได้เลย ที่ผ่านมาเพราะฐิทิของตนปิดหูปิดตาจึงไม่เคยใส่ใจสังเกตละเอียดแบบนี้มาก่อน ทั้งที่ได้ยินเสียงเล่าลือถึงความฮ็อท
ของขุนดอนตลอดมา แต่เพราะคนตรงหน้าเหมือนเงาตามตนไม่เคยห่าง จึงแทบไม่มีเวลาส่วนตัวเปิดโอกาสให้ใครได้
สานสัมพันธ์พิเศษเช่นคนทั่วไป กลายเป็นเจ้าชายหิมะหรือฤษีไร้ใจที่ยากแกการแตะต้องไปโดยปริยาย จนกลายเป็นตำนาน
ให้เก้ง กวาง บ่าง ชะนี ต่างหลงใหลอยากลิ้มลองกันยิ่งนัก
ขุนทัพสะดุ้งโหย่ง รีบเบือนสายตาหลบแทบไม่ทันก่อนทำเป็นเฉตักสปาเก็ตตี้ซึ่งเส้นเริ่มเย็นเข้าปาก
อย่างเนียนๆ เมื่อจู่ๆคนที่ตนกำลังมองจนเพลินดันเหลือบตาคมสวยขึ้นสบกับตนกระทันหันซะงั้น แถมจ้องกลับไม่มีหลบ
อีกต่างหาก กลายเป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ที่ขุนทัพต้องเป็นฝ่ายหลบเสียเอง เล่นเอาหน้าร้อนฉ่าไปหมดจนเก็บอาการไม่อยู่
เมื่อรู้สึกว่าโดนจับได้ที่ตนเผลอมองนานไปหน่อย หูเหอหน้าตาลามแดงไปทั่วแม้จะพยายามเนียนทำเฉยมากแค่ไหน
ก็ยังเห็นได้ชัด ทำเอาขุนดอนถึงกับย่นคิ้วหรี่ตาคมอย่างนึกสงสัยต่อพฤติกรรมของขุนทัพ ก่อนจะหันไปตักข้าวต้มกินต่อ
จนหมดชาม โดยยังคงไม่พูดอะไรเหมือนเดิม
“อ่ะยา กินหมดนี่แหละ” ขุนทัพลุกขึ้นไปหยิบยาบนหัวเตียงมาส่งให้ขุนดอน เมื่อเห็นคนตรงหน้าทานข้าว
อิ่มแล้วร่วมห้านาที แต่ยังนั่งนิ่งเหมือนคิดอะไรคนเดียว
“ขอบคุณครับ” คำตอบรับสั้นๆง่ายๆ ก่อนจะรับเอายาไปแกะกินดื่มน้ำตามเรียบร้อย ทุกการกระทำของ
ขุนดอนกลายเป็นตรึงให้ขุนทัพมองไม่กระพริบเหมือนมีแรงดึงดูดมหาศาลจนไม่สามารถเบือนสายตาหนีได้ ทำไมขุนทัพรู้สึกว่า
ขุนดอนทำอะไรก็ดูดีไปหมด ทั้งที่ใบหน้าสีงาช้างขาวซีดไม่ขึ้นสีฝาดเหมือนเคยด้วยซ้ำ
“หน้าผมมีอะไรประหลาดหรือครับ?” ขุนดอนอดถามไม่ได้ ยอมเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ขุนทัพ
ออกอาการเก้อเขินอย่างไม่มีสาเหตุ เหมือนเด็กทำความผิดแล้วถูกจับได้ แต่พอตั้งสติก็กลับมามีมาดเข้มอย่างเนียน
“เปล่า! กูกำลังคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราสองคนต้องเปิดใจคุยกันเสียที” ถือโอกาสเปิดประเด็นขึ้นก่อนเลย
เพราะตอนนี้ตนกับขุนดอนควรจะหันหน้าคุยกันอย่างเปิดอก
“ครับ คุณทัพจะคุยกับผมเรื่องอะไร?” น้ำเสียงที่ถามกลับเรียบนิ่ง ทำเอาขุนทัพรู้สึกหงุดหงิดพิลึก เหมือน
ขุนดอนไม่มีอะไรติดค้างในใจ ตื่นขึ้นมาแล้วทำเหมือนกับเรื่องราวที่ผ่านมาไม่มีผลอะไรเลยสักนิด ยังหน้านิ่งไร้ความรู้สึกได้อีก
ทำเอาขุนทัพกลายเป็นคนคิดมากซะเอง
“ก็ทุกเรื่อง ระหว่างกูกับมึงตอนนี้กูคิดว่าเราควรคุยกันจริงๆจังๆเสียที” ขุนทัพยังคงใจเย็นตอบกลับไป
“เรื่องของผมกับคุณทัพ ทำไมครับเชิญคุณทัพพูดมาได้เลย” กลับเป็นขุนดอนที่น้ำเสียงคงปกติไม่ทุกข์ร้อน
ไม่กระตือรือร้นไม่อะไรสักอย่าง เริ่มจุดชนวนอารมณ์ของขุนทัพขึ้นมาตะหงิดๆ เข้าแล้ว
“เรื่องแรกกูต้องขอโทษมึงด้วย ที่มีอคติต่อมึงคิดว่ามึงเป็นคนขี้ขลาดตาขาว การกระทำของมึงวันนั้นทำให้กู
ต้องกลับมาทบทวนใหม่ ที่ผ่านมากูไม่ยอมฟังคำอธิบายของมึงเพราะคิดว่ามึงหาเรื่องมาแก้ตัว ตอนนี้กูเข้าใจดีแล้ว” ขุนทัพ
อธิบายซะยาว ถือว่าเป็นการพูดที่ยาวมากระหว่างทั้งสองคน
“ครับผมไม่เคยโกรธอะไรคุณทัพ ตัดความไม่สบายใจตรงนี้ไปได้เลย” ขุนดอนยังคงตอบได้หน้านิ่งตามเคย
เหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ทั้งที่ขุนทัพเปิดใจคุย กลับทำเหมือนไม่สนใจซะงั้น
“แต่ก็ขอบใจนะที่มึงไม่โกรธกู ทั้งที่ผ่านมากูหาเรื่องแกล้งมึงประจำ” ขุนทัพยังคงญาติดียอมรับผิดเพื่อสร้าง
ไมตรีและความรู้สึกใหม่ที่ดีหวังให้ช่วยละลายกำแพงระหว่างกัน
“ทำไมต้องขอบใจผม ทุกวันนี้ผมต่างหากที่ต้องขอบคุณ ถ้าไม่มีครอบครัวของคุณทัพผมคงไม่มายืนจุดนี้
ได้หรอกครับ” ขุนดอนกลับพูดด้วยประโยคที่เกี่ยวกับบุญคุณแทน ทำให้สีหน้าคมเข้มหล่อกระชากใจเริ่มออกอาการโมโหขึ้น
มาแล้ว มันใช่สาระที่ตนต้องเคลียร์ที่ไหนไอ้เรื่องบุญคุณห่าเหวอะไรนั้น ไม่ได้อยู่ในหัวตนเลยสักนิด
“ช่างเถอะเรื่องนั้นจบไปถือว่าเราเข้าใจกันแล้ว มาพูดเรื่องปัจจุบันดีกว่า กูทำกับมึงแบบนี้แล้วต้องรับผิดชอบ
เพราะกูเป็นคนพามึงมาเจอเรื่องบัดซบนี่ เลยคิดจะรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง” ขุนทัพแอ่นอกอย่างลูกผู้ชายยอมรับผิด
ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับเอ่ยปากหนักแน่นว่าจะรับผิดชอบต่อการกระทำของตน
“โทษนะครับ ผมไม่เข้าใจว่าคุณทัพจะขอรับผิดชอบอะไร” ขุนดอนก็ยังใช้น้ำเสียงทุ้มนิ่ง พร้อมกับแววตาคม
ใสซื่อ ถามไม่เหมือนแกล้งโง่ให้มีพิรุธเลยสักนิด
“ก็กูทำลายศักดิ์ศรีของมึงไป ก็ต้องรับผิดชอบสิวะ! ทำไมวันนี้มึงพูดเข้าใจยากจริง ทีเมื่อก่อนมีแต่ตอบรับครับ
อย่างเดียว พอวันนี้เสือกถามเยอะจริงมึง” ความอดทนหมดลงแล้ว ที่ยังระงับอารมณ์ไม่ตวาดหรือเสียงดังใส่เหมือนที่ผ่านมา
เพราะมันมีความรู้สึกบางอย่างแทรกเข้ามาจนทำให้ชะงักหยุดนิสัยส่วนนั้นเอาไว้ ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน
ขุนทัพยังคงไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง
“ถ้าเป็นเรื่องนี้ คุณทัพไม่ต้องเก็บมาคิดเลยครับทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความต้องการของใคร แต่มันเป็นภาวะ
จำยอม สิ่งที่ผมเสียไปมันก็ไม่ได้เกิดจากการบังคับ เราทำไปเพราะสติเราทั้งคู่อยู่ใต้การควบคุมของฤทธิ์ยา ผมคงไม่ต้องให้
คุณทัพมารับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้นหรอกครับ” ขุนดอนปฏิเสธอย่างมีเหตุผล แม้เหตุผลที่กล่าวมาจะเป็นเรื่องจริง
แต่กลายเป็นว่าสาดน้ำมันเข้ากองไฟโดยไม่ตั้งใจเข้าให้
“ไอ้ดอน มึงจะจองหองพองขนมากไปแล้ว กูลงทุนคุยกับมึงก็มากเกินไปแล้วนะ ใช่ว่ามึงจะโอหังปัด
ความหวังดีของกูทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ มึงก็รู้คนอย่างกูเคยแคร์ที่ไหน นี่เพราะเป็นมึงหรอกกูถึงได้ยื่นโอกาสนี้ให้ มึงพูดมาตรงๆ
เลยดีกว่าว่ามึงจะให้กูรับผิดชอบหรือไม่” กลายเป็นขุนดอนกลับมาเป็นฝ่ายงงต่ออารมณ์ผีเข้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของขุนทัพแทน
ไม่รู้ว่าเจ้านายเกิดเพี้ยนอะไรขึ้นมาถึงเซ้าซี้ให้ตนรับปากยอมให้รับผิดชอบในการกระทำซะอย่างนั้น
“ครับถ้างั้นคุณทัพลองบอกผมมาก่อนสิว่า ถ้าผมยอมให้คุณรับผิดชอบคุณทัพจะรับผิดชอบอะไร?” เมื่อเห็น
ว่าขุนทัพเริ่มจะออกอาการนักเลงใส่ขุนดอนก็ยอมถอยลงให้ ลองฟังดูว่าต้องการรับผิดชอบอะไรยังไง
“มึงก็มาเป็นแฟนกูซะสิ กูได้มึงเป็นเมียแล้วจะต้องให้พูดอีกหรือไงว่ารับผิดชอบอะไร?” ขุนทัพหยุดปากไว้ทัน
ไม่ต่ออีกนิดว่าโง่จริงมึงก็บุญเท่าไหร่แล้วล่ะ ใบหน้าคมเข้มยังคงเขม็งดุตำหนิที่ขุนดอนไม่เข้าใจอะไรให้ง่ายขึ้น ช่างตรงกันข้าม
กับคนฟังอย่างมาก ที่บัดนี้ใบหน้าสีงาช้างซึ่งขาวซีดกลับออกอาการขึ้นสีเพียงชั่วพริบตา หลังได้ยินคำว่ามึงมาเป็นแฟนกูซะสิ
กูได้มึงเป็นเมียแล้ว สะท้อนก้องอยู่ในหัวไปมาจนทำเอาหน้าแดงก่ำลามไปถึงหูไม่เว้นแม้แต่ลำคอขาวจนเห็นได้ชัดเพราะไม่
สามารถเก็บอาการไว้ได้เลย ขุนทัพเองก็ตกใจที่เห็นหน้าตาของขุนดอนแดงเอาแดงเอา ในขณะที่เจ้าตัวเม้มปากแน่น ก่อนจะ
ค่อยคลายออกแล้วบอกกลับมาอย่างใจเย็นว่า
“ผมขออุกอาจสักครั้งเถอะ ทำไมความคิดของคุณทัพถึงได้เด็กจังครับ ผมกับคุณเราเป็นผู้ชายทั้งคู่
จะมารับผิดชอบให้ผมไปเป็นแฟนคุณทำไม แล้วคุณท่านกับคุณหญิงอีกล่ะถ้าหากพวกท่านทราบเรื่องนี้เข้า จะผิดหวังแค่ไหน
ในเมื่อคุณคือทายาทเพียงคนเดียว ที่สำคัญผมไม่ได้ต้องการให้คุณมารับผิดชอบอะไรผม ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์
บังคับ คราวนี้เข้าใจขึ้นบ้างแล้วใช่ไหมครับ?” ขุนดอนทิ้งท้ายด้วยการถอนหายใจเบาๆ แต่นั่นเหมือนเป็นการปิดประตูปฏิเสธ
อย่างไร้เยื่อใย ขุนทัพอยากกระชากร่างตรงหน้ามาบดปากแดงสดนั่นให้หายโมโหซะจริง สู้ให้ขุนดอนพูดสั้นๆ ว่า ‘ครับ’
เหมือนที่ผ่านมาคงดีไม่น้อย เท่ากับว่าคนตรงหน้ายอมให้ตนดูแลรับผิดชอบได้ นี่อะไรพอได้พูดก็เล่นเอาซะจุกไปเลย
ไอ้ปัญหาที่หยิบยกขึ้นมาอ้างนั้น ใช่ว่าตนจะไม่คิดระหว่างที่เจ้าตัวหลับตนคิดมาทั้งวันทั้งคืน กระทั่งพอได้พูดคุยกับอาหมอถึง
ตัดสินใจโทรทางไกลไปเล่าความจริงให้พ่อกับแม่ท่านรับทราบทั้งคู่ บอกถึงความตั้งใจที่ตนตกลงจะรับผิดชอบต่อคนตรงหน้านี้
ยอมรับว่าพ่อกับแม่เองท่านตกใจไม่น้อย กับเหตุการณ์ที่ได้ฟังจากปากตน แต่พวกท่านก็ผ่านร้อนผ่านหนาว
มามากมีสติที่จะไม่ต่อว่าหรือแม้แต่จะคัดค้าน เพราะพวกท่านเลี้ยงดูพวกตนมาอย่างมีเหตุผล ฝึกให้รู้จักคิดหัดตัดสินใจด้วย
ตนเองภายใต้เหตุผลมารองรับ เมื่อตนชี้แจงให้ทราบอย่างไม่ปิดบัง ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรเลย ส่วนเรื่องที่ผู้ชายจะเป็นแฟนกัน
พวกท่านยอมรับได้อยู่แล้ว ในเมื่อเดินทางเป็นว่าเล่นเห็นโลกกว้างมาขนาดนั้น ท่านเป็นคนหัวสมัยใหม่ไม่ได้มีอคติในเรื่องนี้
เลยด้วยซ้ำ เพียงแต่พวกท่านทิ้งท้ายว่าทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนตรงหน้าด้วย ห้ามใช้การบังคับข่มขู่ทุกอย่างต้อง
เกิดขึ้นด้วยการยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย เพราะคำสั่งของพวกท่านนี่แหละทำให้ตนต้องมานั่งคุยอย่างเปิดอก แต่กลาย
เป็นตนถูกปฏิเสธหน้าหงายไม่เป็นท่า คนอย่างขุนทัพไม่เคยต้องง้อใครมาก่อนนี่อะไรกันการยอมให้คนแรกในชีวิตแต่กลับโดน
ปฏิเสธมันเหลือจะทนรับไหวจริงๆ
“เรื่องพ่อกับแม่มึงไม่ต้องเอามาเป็นข้ออ้าง บอกกูมาคำเดียว ว่ามึงตกลงจะเป็นแฟนกับกูไหม?” ตัดบท
ไม่ต้องการยืดเยื้อ ก่อนที่ตนจะโมโหจับคนตรงหน้าบีบคอให้ตายคามือไปเสียก่อน
“ผมยังยืนยันคำเดิม เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแค่นั้นก็พอแล้วครับ” คำตอบที่กลับมา แม้จะคาด
เดาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ยังคงกระแทกใจของขุนทัพอย่างแรง จนไม่สามารถทนนั่งอยู่ในห้องได้อีกต่อไป ร่างสูงใหญ่ลุกพรวด
เปิดประตูห้องก่อนกระแทกประตูปิดตามไม่เหลียวหลัง ขุนดอนจะรู้ไหมว่าการปฏิเสธของตนในครั้งนี้ ทำให้คนถูกปฏิเสธ
เสียใจเสียหน้าเสียความรู้สึกมากแค่ไหน ไม่มีใครสามารถบรรยายความรู้สึกในใจของขุนทัพได้ด้วยซ้ำ ว่าเจ้าตัวปวดร้าวเพียงใด
เพราะตัวของขุนทัพเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมการปฏิเสธอย่างไร้เยื้อใยของขุนดอน ถึงทำให้ไม่รู้สึกโล่งที่ต้องไม่ทนมา
มีแฟนเป็นผู้ชาย ทำไมถึงไม่รู้สึกเช่นนั้น ทำไมการที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตนถึงทุกข์ทรมานแบบนี้ ขุนทัพ
ยังหาคำตอบให้ตนเองไม่ได้ว่าเพราะอะไร ทางที่ดีที่สุดคือหนีออกมา ก่อนที่จะเหลืออดกระโดนบีบคอคนหน้านิ่งให้ตายคามือ
ไปเสียตรงนั้น
ส่วนภายในห้องหลังบานประตูกระแทกปิดอย่างแรงเมื่อร่างใหญ่ลุกพรวดพลาดออกไปอย่างฉุนเฉียวนั่น กลับยังมีหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้าเรียบนิ่งยังคงเฉยชายกเว้นดวงตาคมสวยที่ไหวระริกวาวรื่น
ไปด้วยน้ำคลอหน่วยแต่ไม่ยักหยดร่วงออกมา คงเพราะเจ้าของกำลังสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้อย่างเต็มที่ จะมีใครเข้าใจ
หัวอกของขุนดอนได้ดีเท่าเจ้าตัวแล้วคงไม่มี ขุนดอนยอมรับว่าไม่มีใครหรอกที่ไม่รู้สึกเศร้าเสียใจที่ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายคนหนึ่ง
ถูกทำลายย่อยยับไม่มีชิ้นดี แม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของยาก็ตาม เพราะตนขบคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ทำ
ธุระส่วนตัวในห้องน้ำจนได้ข้อสรุปและทำใจไว้แล้ว
จะมีใครรู้ลึกเข้าไปอีก ที่ตนยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะไม่อยากเป็นคนทำลายศักดิ์ศรี
ของเจ้านาย ว่ากันตามจริงแม้สติจะเหลือน้อยแต่สัญชาตญาณแห่งนักล่ายังคงมีเหมือนกัน หากจะพลิกกดขุนทัพบ้างก็ไม่ใช่
เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่เป็นเพราะสามัญส่วนลึกย้ำในหัวอยู่ตลอดว่าทำแบบนั้นไม่ได้ห้ามทำโดยเด็ดขาด ไม่งั้นตนจะกลายเป็นคน
อกตัญญูเลวชาติไปในทันที แล้วยังจะมีหน้าไปพบกับหลวงตาได้อีกหรือ ยังมีหน้าเจอคุณท่านและคุณหญิงได้อย่างไร
เพราะสำนึกดีที่มีต่างหากทำให้ต้องยอมเป็นฝ่ายถูกกระทำครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งสภาพร่างกายรับไม่ไหวหมดสติไปในที่สุด
มาถึงตอนนี้ หากต้องมาทำเรื่องบ้าบอคอแตกคบเจ้านายเป็นแฟนยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ทายาทเพียงคนเดียว
ของเทพพิทักษ์ จะมาหมดสิ้นลงด้วยน้ำมือตนได้อย่างไร สำหรับขุดดอนแล้วเหลือไม่ถึงสองเดือนก็ต้องไปฝึกภาคสนามกลาง
ทะเล เวลามีไม่มากจะได้ไปเริ่มต้นใช้ชีวิตในโลกของการทำงาน อะไรที่มันจบได้ก็ให้มันจบไปซะ จบแบบนี้ดีสำหรับทุกฝ่าย
แล้วทำไมต้องให้มันยืดเยื้อเป็นปัญหาไม่จบสิ้น ในเมื่อทั้งขุนทัพกับตนไม่ได้มีความรักความผูกพันฉันคนรัก จะมาผูกติดกัน
ด้วยคำว่ารับผิดรับชอบแค่นี้ไม่สมควรอย่างยิ่ง
ถึงตอนนี้ขุนดอนเริ่มจะง่วงเพราะฤทธิ์ยา จึงตัดสินใจเดินไปล้มตัวนอนจนพลอยหลับไปในที่สุด
สมองที่ครุ่นคิดก่อนหน้าถูกปล่อยวางทันที ในขณะที่อีกคนกลับหาความสงบไม่ได้ สภาพจิตใจมันร้อนรุ่มไปหมดจนต้องหา
ทางระบายหรืออะไรก็ได้มาดับความหงุดหงิดที่เกิดขึ้น คงไม่พ้นเครื่องดื่มมึนเมา กลายเป็นว่ามุมหล่อขั้นเทพกำลังนั่งซดเหล้า
ยังกะดื่มน้ำเปล่าอยู่ในส่วนบริการของรีสอร์ทอย่างไม่สนใจสายตาเชื้อเชิญของสาวสวยโต๊ะข้างๆ ที่มากันเป็นกลุ่มเลยแม้แต่น้อย
ลองเป็นปกติธรรมดาสิคงไม่เหลือแล้ว แต่เพราะตอนนี้ในหัวมีแต่ภาพของคนที่เพิ่งปฏิเสธความหวังดีของตนอยู่เต็มไปหมด
ช่างน่าโมโหชะมัดเมื่อความหวังดีที่หยิบยื่นให้มันไม่ต้องการ ก็รับเอาความหวังร้ายไปแทนก็แล้วกัน....??????
มาลงต่อให้แล้วนะคะ ขอให้มีความสุขกับเทศการคริสมาสต์
คืนพรุ่งนี้พี่วีกับพี่กลจะเข้ามาอวยพรที่กระทู้เพราะรัก
อย่าลืมแวะไปทักทายเยี่ยมเยือน หรือฝากคำถามกับพี่ๆ เค้าได้นะคะ
ปล. บอกว่าเรื่องนี้มันดราม่า นี่มันเพิ่งเริ่ม ดราม่าของจริงกำลังจะตามมาต่างหาก.....ฮ่าๆๆๆๆๆ
รักคนอ่านทุกท่านคะ
Luk.