ต่อจากหน้าที่แล้ว
v
v
“ตอนนี้ผมก็ไม่ได้ทำทาบตีนใส่ใครแล้วนี่หว่า”
ถึงจะรู้สึกถึงความเป็นห่วงของมันอยู่นิดๆ แต่ก็ไม่อยากยอมรับมันทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เลยต้องตวัดเสียงใส่แบบนั้น ซึ่งมันก็ดูจะชินกับความเป็นตัวผมแบบนี้แล้ว
“แต่หมอนั่น นายก็ยังไม่เลิก”
“ก็อย่าให้มันกวนตีนผมก่อนดิ ให้แม่งไปอยู่ที่อื่นเลยก็ได้ ถ้าเห็นหน้ามันอยู่อย่างนี้ผมก็มีแต่จะคันตีน”
“มึงนี่นะ”
เขาส่ายหัวเบาๆ เหมือนเอือมระอา มือใหญ่ๆ ขยี้ผมของผมอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมปัดออกแล้วทำหน้ามุ่ยๆ ใส่มัน มันเลยเปลี่ยนมาเอาแขนโอบเอวผมแล้วดึงเข้าไปหามันใกล้ๆ เหมือนจะกอด
“ถ้ามึงคอยแต่จะมีเรื่องกับคนไปทั่ว มึงคิดว่ากูจะสบายใจงั้นเหรอ คิดถึงความรู้สึกกูมั่งนะ”
คำบอกที่เหมือนจะขอร้องอ้อนวอนของมันทำให้ผมต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ใจเต้นเร็วขึ้นมาจนรู้สึกได้ หนำซ้ำดวงตาของมันก็สื่อความหมายว่าผมมีความสำคัญกับมัน และถ้าผมเป็นอะไร มันคงรู้สึกแย่มากๆ แน่ ผมถึงพูดอะไรไม่ออก
“มึงต้องรู้จักระงับอารมณ์บ้างนะเว้ย มึงน่ะเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“แล้วทีพี่ อยู่ๆ เดินมาตบหัวผมนี่เป็นผู้ใหญ่มาก??”
มันทำเป็นสั่งสอน ผมเลยย้อนกลับบ้าง ทำให้มันชะงักได้เหมือนกันล่ะครับ ผมเห็นพี่ชมพูกลืนน้ำลายหนึ่งอึกลงคอ ก่อนจะตอบกลับมา
“นั่นกูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ปกติกูไม่แกล้งรุ่นน้องนะเว้ย ยิ่งคนไม่รู้จักอย่างมึงนี่เป็นไปไม่ได้ แต่ไม่รู้ทำไมตอนกูเห็นมึงมันทนไม่ไหว”
“โหๆ ผมเป็นที่รองมือรองตีนของพี่เหรอครับ”
เหตุผลของมันฟังไม่ขึ้นสักเท่าไหร่ ผมเลยย้อนกลับ
“เออ ตอนนั้นกูขอโทษ แล้วก็ที่ทำให้มึงไม่พอใจหลายๆ ครั้งด้วย กูมันบ้าไปเอง”
มันขอโทษผมง่ายๆ จนน่าแปลกใจ หนำซ้ำยังขอโทษในเรื่องที่ผ่านที่ไม่น่าจะเอามาเก็บเป็นอารมณ์ด้วย แต่ก็ทำให้ผมรู้สึกดีกับมันนิดหน่อย ที่อย่างน้อยมันก็รู้สึกรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะทำให้ผมไม่พอใจมากๆ ตอนก่อนหน้านี้
“ผมไม่คิดอะไรแล้ว ผ่านมานานแล้ว ช่างแม่งเหอะ แต่ขอโทษก็ดี”
ผมยิ้มๆ ให้มันเชิงกวนตีน มันเลยขยี้หัวผมอีกครั้ง แต่คราวนี้แรง ไม่ได้ให้ความรู้สึกดีๆ เหมือนครั้งก่อน ทำอย่างกับหัวผมเป็นผ้าขี้ริ้วเอาไว้เช็ดมืองั้นแหละ
“พอๆ หัวยุ่งหมดแล้วเว้ย ไม่ใช่ผ้าเช็ดตีน”
“มึงเห็นมือกูเป็นตีนเหรอ”
“ก็กลีบหน้าของหมีควายไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
หลังจากบอกมันไปแบบนั้นผมก็หัวเราะยาวอย่างสะใจ ลั่นห้องเสียด้วยซ้ำจนมันโถมมาตะครุบตัวผมแล้วเอามือปิดปาก แต่ผมก็ดิ้นรนเพื่อเย้ยหยันมันอีก ดิ้นๆ อยู่อย่างนั้นจนมันทนไม่ไหวตรึงแขนผมเอาไว้ นั่นล่ะที่ทำให้ผมหยุดการกระทำ แล้วมันเองก็หยุดเหมือนกัน
รู้สึกว่ามันเงียบแปลกๆ แถมแววตาของไอ้ยักษ์ตรงหน้ายังให้ความรู้สึกเหมือนจะทำให้หัวใจเต้น ผมก็รีบโพล่งออกมาก่อน
“หัวเราะแค่นี้ต้องใช้กำลังเหรอวะ”
“ก็มึงชอบใช้กำลัง กูก็ใช้มั่งไง”
“โด่ อ้างว่ะ”
“ปากดีแบบนี้เดี๋ยวก็โดนใช้กำลังจริงๆ หรอก”
มันท้าทาย ผมเลยทำเป็นลอยหน้าลอยตา ไม่สนใจ ก่อนจะเขย่าแขนตัวเองแม้จะรู้ว่าไม่ได้ทำให้แขนหลุดจากกรงเล็บของไอ้คนที่คร่อมตัวผมอยู่ก็เหอะ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้ผมโดนมันคร่อมบ่อยไปนะ
“กลัวววว กลัววววว กลัวๆๆๆๆ กลัวจังเลย”
ผมย้อนแบบนั้น แค่แป๊บเดียว เสียงหัวเราะใหญ่ๆ ของแฟนสุดร้ากกกกกกของผมก็ดังขึ้น หัวเราะแบบมึงหัวเราะเผื่อญาติโกโหติกาไปทั้งชาติจนผมเพลีย
“พี่เป็นอะไรมากเปล่า หัวเราะขนาดนั้น ระวังไส้ไหลออกมานะเฮ้ย ไม่ช่วยเก็บยัดกลับไปให้นะ”
“มึงนี่ กะล่อนว่ะ”
“ก็ผมรูปหล่อ พ่อรวย กะล่อนนิดๆ มีเสน่ห์ ใครๆ ก็หลงนี่หว่า”
ผมเยินยอตัวเองเพิ่มเข้าไป จริงๆ อยากจะบอกว่า รูปหล่อ พ่อรวย คxยใหญ่ ไสมัน ด้วยซ้ำ แต่กลัวจะเข้าตัว เลยต้องแผลงสักหน่อย มันก็ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะก้มลงมาหอมแก้มผมแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว ทั้งที่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเร็วจนผมไม่ทันรู้ตัว หนำซ้ำปากอิ่มๆ นั่นยังค้างอยู่ที่แก้มผม แล้วผ่อนลมหายใจรดเบาๆ อีกหลายครั้ง จนผมรู้สึกว่าในอกมันมีอะไรเต้นตุบๆ อยู่
ทำไมช่วงนี้กูใจเต้นบ่อยจังวะ เฮ้ยยยยยยยยย
“มึงแม่งงงงง... น่ารัก”
พอถอนหน้าออกแล้วกลับมามองผมอีกรอบ มันก็พูดออกมาแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าสมองตื้อไปหมด ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะมีใครบอกว่าผมน่ารัก แล้วก็ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ เพราะจริงๆ แล้วผมหล่อ ทั้งที่ผมได้ยินมันพูดซ้ำประโยคที่เคยพูดก่อนหน้านี้ แต่คราวนี้กลับทำให้ผมรู้สึกเปลี่ยนไป หรือเพราะมันขึ้นอยู่กับช่วงเวลา?
ผมตั้งคำถามในใจแบบนั้น ทั้งที่รู้ว่าหาคำตอบจริงๆ ไม่ได้หรอก หนำซ้ำยังจะสติกระเจิงไปกว่าเดิมอีกเพราะหน้าหล่อๆ ตรงหน้าเสือกระบายด้วยรอยยิ้ม
“มึงหน้าแดงมากเลย รู้หรือเปล่า”
แค่โดนทัก ผมก็รู้สึกอยากถอดหน้าแล้วขว้างออกไปไกลๆ ด้วยซ้ำ แต่เพราะทำไม่ได้ เลยต้องเบียงหน้าหนีมัน ไม่กล้าสบตา แม่งเลยถือโอกาสนั้นหอมแก้มผมอีกรอบ และดูถ้าจะถูกทำอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะ เพราะผมเห็นทางหางตาว่ามันกำลังก้มลงมาจูบปากผม ผมจึงฉวยโอกาสตอนมันกำลังจะจูบนั่น ถีบมันออกไป แล้วกระเด้งตัวขึ้นนั่ง
“โหย มึงนี่ ถีบกูอีกแล้ว”
“ก็พี่จะจูบผมอีกแล้วนี่หว่า จูบอยู่นั่น เดี๋ยวให้ยืมปากไปเลยแม่ง”
“มึงเอามาดิ กูจะได้จูบทั้งวันทั้งคืน”
“แหม ไอ้เหี้ย”
มันยักคิ้วกลัวบาทาผมมาก ผมเลยประทานพรไปหนึ่งคำ แต่มันไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ คงคิดว่ามันเป็นคำชม แถมยังหัวเราะอีก วันนี้แม่งเป็นบ้าเหรอวะ หัวเราะอยู่ได้
“มาๆ มานอนดีกว่ามึง”
มันเลิกหัวเราะแล้วเปลี่ยนเป็นยื่นแขนมาดึงผมให้ลงไปนอนกับมันที่โดนผมถีบจนลงไปแผ่นบนที่นอน ก่อนจะกอดผมเอาไว้ เพราะเอาจริงๆ ตอนนี้ก็เพิ่งจะเจ็ดโมงเอง แล้วหากถามว่าง่วงมั้ย ก็ง่วงนั่นแหละครับ เพราะไฟล์ทพี่ของพี่โซแลนด์ตอนหกโมง ผมเลยต้องตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะงั้นผมจึงยอมนอนหลับไปพร้อมๆ กับคนตัวโตที่กอดผมเอาไว้โดยไม่ได้ต่อต้าน เพราะอาจจะเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่เวลาผมกับมันนอนด้วยกัน มันจะกอดผมเอาไว้แบบนี้ แต่จริงๆ ก็... อุ่นดีเหมือนกัน
พวกเราตื่นมากินข้าวเที่ยงกัน ข้ามสิ่งที่เรียกว่าข้าวเช้าไป ซึ่งป๊าก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะพวกพี่โซก็ยังไม่ตื่นเหมือนกัน และเมื่อกินเสร็จอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกผมก็กลับขึ้นไปบนห้องนอนอีกครั้ง ขึ้นมาเล่นเกมแข่งกัน ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะจวนจบท้องฟ้าเริ่มมืด พี่ชมพูก็ขอลากลับ
ป๊าชวนให้มันกินข้าวเย็นด้วยอีกสักมื้อ แต่มันบอกว่ามื้อเย็นเป็นมื้ออาหารของครอบครัว เพราะงั้นขอไม่รบกวนดีกว่า ไม่นึกเหมือนกันว่ามันจะรู้จักกาลเทศะและมีมารยาทเหมือนคนอื่นเขา แต่ก็ด้วยคำตอบนั้นของมันอีกเหมือนกัน ที่ผมอยากจะเอาไปฟาดหน้าไอ้สัดหมาส่วนเกินที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกัน
สัดเอ๊ย มึงไม่ใช่เมียพี่โซ สักหน่อย ไม่ใช่ครอบครัวกู!
ผมด่ามันทางสายตาระหว่างกินข้าว แต่มันก็ไม่สะทกสะเทือน ไม่ทุกข์ไม่ร้อนเลยสักนิด จนผมเบื่อ ก็เปลี่ยนเป็นทำเหมือนว่ามันไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แทน กระทั่งกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็กลับขึ้นห้องไปเล่นเกมต่อ
ตั้งแต่ที่ป๊าเคอร์ฟิวเวลากลับบ้าน และยังห้ามไม่ให้ไปก่อเรื่องหรือเที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร่อนตอนกลางคืน กิจวัตรประจำวันผมก็มีอยู่แค่นี้ เล่มเกม อ่านหนังสือรถ หรือเปิดเว็บดูพวกรถออกใหม่ หรือการแข่งรถเรื่อยเปื่อย เหมือนคนไม่มีอะไรทำ
เล่นเกมต่อจนถึงสี่ทุ่ม ผมก็เบื่อ โยนจอยเกมในมือทิ้งแล้วเข้าไปอาบน้ำ แปรงฟัน ก่อนจะกลับมาปิดไฟในห้องแล้วกระโดดขึ้นเตียง ถึงจะดูอนามัยไปหน่อยที่นอนตั้งแต่สี่ทุ่ม แต่ผมก็เริ่มชินแล้ว เพราะนอนเวลานี้แทบทุกวัน
ผมทิ้งความคิดและสติเอาไว้เบื้องหลัง หลับตาลงเข้าสู่ภวังค์ที่ไม่มีวันพบในโลกแห่งความจริง และผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมนอนไปได้นานเท่าไหร่แล้ว รู้แต่เพียงว่ามีเงาดำๆ พาดทับอยู่เบื้องหน้า ดำทะมึนและทำให้ผมรู้สึกอึดอัด สายตาของมันที่จ้องมองผมชวนให้หายใจไม่ออก ทั้งที่ผมยังไม่ลืมตาขึ้นมองเลยสักนิด
ลมอุ่นๆ ที่เป่ารดหน้าของผมเป็นจังหวะทำให้ผมต้องหลับตาแน่นด้วยความไม่ชอบใจ ทว่ายังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นไปดูว่าผมกำลังถูกผีอำหรือยังไง ก็รู้สึกถึงอะไรนุ่มๆ ที่กดทับลงบนปาก นั่นทำให้ผมสะดุ้งทันที แล้วถีบสิ่งที่ทับอยู่บนตัวของผมไปเต็มแรง ก่อนจะเปิดตาขึ้นและเห็นว่าไอ้หน้าหมาตัวไหนมันมาจูบผม!
======================
เห็นวันที่อัพครั้งล่าสุดแล้วดูวันที่วันนี้ หนึ่งเดือนเดิม
ขอโทษนะคะที่หายไปนาน
พอดีไม่ว่างทั้งเดือนเลยค่ะ เพิ่งปิดจ๊อบไปเมื่อซืน เลยเพิ่งได้แต่ง
จริงๆ จะอัพตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เล้าล่ม
ปากเปล่าหมายถึงสัญญาปากเปล่าของพี่ภู กับจูบตอนจบตอนนะคะ
การคิดชื่อตอนนี่ยากจริงๆ
ขอขอบคุณทุกคนที่ยังรอติดตามนะคะ ไม่รู้ว่าจะมีอยู่กี่คน แต่ก็ขอบคุณจริงๆ ค่ะ

Undel2Sky