B.N.5สิ่งที่พี่ต้องการคืออะไร...………………………….
………………..
มาทำงานแต่เช้า อาจจะเช้าเกินไปหน่อยเลยต้องนั่งรอยามเปิดประตูเหล็กให้เข้าไปในตัวตึก ไฟยังไม่เปิดดีนัก พอๆกับที่ท้องฟ้าข้างนอกเป็นสีส้มเทา ตอนนี้ได้มือถือเครื่องใหม่ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ก็เป็นมรดกตกทอดจากของเฮีย หน้าจอสี มีรอยแตกร้าวพอดูเก๋ไก๋ นั่งเล่นเกมงูรอเป็นเพื่อนพี่ยาม คุยเรื่องสัพเพเหระตามประสาคนว่างงาน
ที่มาทำงานเช้าแบบนี้ ไม่ใช่เพราะขยัน หรือหวังตำแหน่งพนักงานดีเด่น แต่เป็นเพราะว่านอนไม่หลับ เอาแต่มองนาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะเช้าสักที สุดท้าย ทนไม่ไหวเลยลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวตั้งแต่ตีสี่ เลยถึงที่ทำงานหกโมงเช้าแบบนี้
พี่ยามที่นั่งด้วย มีปรัญชามุมมองชีวิตในแง่มุมแปลกๆ ไม่ได้รู้สึกเสียใจที่ทำหน้ายาม เพราะเป็นหน้าที่สำคัญ พอถามว่ายามมาจากคำว่าอะไร ก็ตอบอย่างภูมิใจว่า “ยามจำเป็น เรียกหายาม” เหมือนจะเป็นคติประจำใจในการทำงาน แม้จะเป็นงานที่ไม่ก้าวหน้า หลายคนมองว่าเหนื่อย แต่พอเห็นว่าพี่เขาทำงานด้วยความสุข ทำงานด้วยใจรัก ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
เมื่อก่อนตอนเด็กๆเคยดูซีรียส์ฝรั่งเรื่องหนึ่ง พระเอกถูกเลี้ยงขึ้นมาในสถาบันวิจัยเด็กอัจฉริยะ พอโตขึ้นมา พระเอกก็หนีออกมาจากสถาบันนั้น เพราะไอคิวที่มากกว่าคนอื่นทั่วไปเกือบเท่าตัว เลยลองทำงานทุกอาชีพ ตั้งแต่หมอ ตำรวจ พยาบาล คนขับเครื่องบิน นักวิทยาศาสตร์ และอีกหลายๆงาน ที่บางครั้งก็หาความเชื่อมโยงกันไม่ได้เลย รู้ว่ามันเป็นแค่เรื่องที่เกิดจากจินตนการ แต่บางครั้งก็อยากจะลองทำดูจริงๆซักครั้ง
ลองนั่งวาดแบบใหม่ คงคอนเซปต์เดิม แต่เปลี่ยนจุดที่โดนติ ไม่ได้เร่งรีบ ทำไปเรื่อยๆตามที่ต้องการ พอตื่นเช้าขึ้นหน่อย ก็รู้สึกมีเวลามากขึ้น ทำอะไรหลายอย่างได้มากขึ้น
“ตี๋”
“ห้ะ? อ้าว พี่เชน หวัดดีครับ”
“มาทำอะไรแต่เช้าวะ ปกติเห็นมาก่อนเวลาห้านาทีเองนิ”
“ผมอยากตื่นเช้าบ้าง แต่ดูจะเช้าไปหน่อยแหะ”
ยกนาฬิกาขึ้นมาดู พี่เชนพูด “พึ่งจะเจ็ดโมงกว่าเอง”
“กินข้าวมายังหน่ะเรา”
“รองท้องมาแล้วนิดหน่อย ผมกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มหรอก”
“เด็กวัยกำลังโตนิ ไปกินข้าวกันไหม? เดี๋ยวฝากกระเป๋าไว้ที่นี่ก็ได้”
“พี่เลี้ยงป่ะ?”
“มาเกาะกูกินเลยดีกว่าแบบนี้”
“ผมล้อเล่น ไปดิพี่”
แถวที่ทำงานก็มีตลาดอยู่ แต่ไม่ใช่ตลาดของสด ส่วนมากจะเป็นร้านข้าวแกงมากกว่า เพราะอยู่ใกล้ตึกสำนักงาน กลุ่มลูกค้าก็จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแถวนี้ที่วนเข้าออกตึกกันเป็นชีวิตประจำวัน
“กินโจ๊กไหม?”
“ไม่ดีกว่า ผมรู้จักเจ้าที่อร่อยที่สุดในโลก แต่ตอนนี้ไม่ขายแล้ว ไว้ว่างๆจะพาไปกินสูตรต้นตำรับกับมือสุดยอดแม่ครัว”
“หือ? พูดแบบนี้แล้วยิ่งอยากรู้แหะ ร้านไหน พูดมาดิ เพื่อรู้จัก”
“ไม่บอก ฮ่าๆๆ หลอกให้งง”
พี่เชนทำหน้าหงอยๆ แต่สักพักก็หัวเราะออกมา พอเจอกลิ่นอาหารหอมๆก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามเข้าไป สุดท้าย ก็ได้กินก๋วยจั๊บเจ้าอร่อยกันคนชามครึ่ง ชามที่สองสั่งมาหารกัน จะกินสองชามก็ได้ แต่กลัวเข้าไปหลับตอนทำงาน เลยหยุดท้องตัวเองไว้ก่อน
“วันนี้ว่างหรือเปล่า?”
“มีเคลียร์งานลูกค้าตอนเช้า เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ทำไมวะพี่?”
“เดี๋ยวสอนทำซีจีให้”
“เอาจริงดิ? ใช้คอมในห้องหรอ?”
พี่เชนพยักหน้า บอก “โปรแกรมครบ ตี๋ก็ทำได้อยู่แล้ว ขาดแต่เทคนิคดีๆ ไม่น่านานหรอก ช่วงบ่ายว่าง เดี๋ยวสอนให้”
ผมพยักหน้า ยกช้อนขึ้นตักเส้นก๋วยจั๊บเส้นสุดท้ายเข้าปาก แต่กลับพลาด กระเด็นลงชาม จนน้ำก๋วยจั๊บกระเด็นเลอะหน้าไปหมด พี่เชนเห็น ก็หัวเราะ ก่อนจะหยิบทิชชู่ยื่นให้ พอทำท่าจะไปรับ กลับยื่นแขนออกมาจนสุด แล้วเช็ดให้ผม
เห็นภาพบางภาพทับซ้อนมา เหมือนเคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อน
คนๆนั้น ใช้ทิชชู่เช็ดให้ผม แรงจนเอนตัวไปข้างหลัง อาจเพราะไม่เคยทำให้ใครมาก่อนเลยไม่รู้จะทำยังไง แรงกดมากไป แต่ก็ไม่ได้ออกแรงถูจนเจ็บ คงจะกะแรงไม่ถูก เป็นเรื่องเล็กๆที่ยังจำได้ นึกถึงทีไร ก็ยังยิ้มให้กับความทรงจำแบบนี้เสมอ
คงจะหนีไม่พ้นคำว่าคิดถึง ใช่…คิดถึง
แล้วก็อดคิดต่อไม่ได้ว่าคนๆนั้นยังจะจำเรื่องราวเล็กๆนี้ได้อยู่หรือเปล่า ได้แต่หวัง หวังว่าสามปีที่ผ่านมา พี่คงจะไม่ทำแบบนี้กับใครคนอื่นนอกจากผม
“…ตี๋”
“ครับ?”
“เป็นอะไร? เหม่อเชียว”
“ผมนอนไม่พอ ง่วงจนเบลอนิดหน่อย”
“ก็รีบๆนอนสิวะ เด็กดีไม่นอนดึกนะเว้ย”
“มีแต่คนชอบไล่ผมไปนอนจัง ตอนเรียน ไม่หลับไม่นอนติดกันสามสี่วันยังทนได้เลย”
“นั่นมันผ่านมาแล้ว ตอนนี้มึงก็แก่ขึ้นแล้วนิ ฮ่าๆๆ ระวังเป็นตาลุงก่อนวัยอันควรแล้วจะหาว่ากูไม่เตือน”
…พี่หมอกเคยไล่ผมไปนอนบ่อยๆ
บางครั้งจะไม่พูดออกมาจากปากเอง แต่จะมาปิดไฟ ปิดแอร์ แล้วก็เก็บงานที่ผมทำอยู่ พอผมโวยวายก็หันมาขมวดคิ้วให้ ถ้าผมกระโดดขึ้นไปนอนบนเตียง ก็จะถูกดึงคอเสื้อขึ้น ลากไปถึงห้องน้ำ เหมือนแม่แมวคาบลูกแมวไม่มีผิด
โอวัลตินอุ่นๆ จะมีพี่หมอกชงมาให้กินเสมอ เวลาผมไอเดียไม่แล่น งานไม่เดิน ก็จะมานั่งใกล้ๆ ไม่ได้พูดอะไร แต่ถ้าผมพูด ก็พร้อมที่จะรับฟัง
เคยไม่เข้าใจ ว่าทำไมถึงต้องทำขนาดนี้
ทั้งที่พี่หมอก ไม่เคยห่วงใคร แม้แต่ตัวเอง ยังลืมที่จะเอาใจใส่ แต่กลับสังเกตเห็นทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผม มากกว่าที่ผมมองตัวเอง
ผมมารู้คำตอบ ในช่วงเวลาที่ไม่มีพี่หมอก นั่งถามตัวเองทีละคำถาม จนทุกสิ่งมันชัดเจน
ในตอนนี้ พี่หมอกก้าวเดินไปข้างหน้า โตเป็นผู้ใหญ่ และบางที ผมก็ด้วยเช่นกัน มุมมองบางอย่างที่เคยเห็นเริ่มจะเปลี่ยนแปลงไปที่ละเล็กละน้อย จนเรื่องที่เคยเป็นปริศนาในความคิด ก็เริ่มที่จะเข้าใจมัน
“…ที่เหม่อแบบนี้ เพราะเรื่องความรักหรือเปล่า? ไปชอบใครมาหล่ะ บอกได้ไหม?”
“ไม่ได้ชอบใครมาหรอกพี่ แต่แค่กำลังรออยู่”
“รอ?”
“…ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ แต่ก็รออยู่…”พี่เชนไม่ได้ตอบอะไร ทำเพียงลดสายตาลงจากผมช้าๆ
มองจากตรงนี้ เห็นเพียงกระจกของแว่นสะท้อนภาพออกมา ไม่เห็นสายตาของพี่เชน….
……………………………………..
…………………………
…………………
ตอนบ่ายก็ได้ลองทำซีจีใหม่ดูอีกครั้งหนึ่ง ผมไม่ชอบทำงานในคอมเท่าไหร่ มันไม่สะดวกเหมือนที่เราทำเองกับมือ แต่พี่เชนบอกเพราะว่าเรายังไม่ชิน ถ้าชินเมื่อไหร่ น่าจะคล่องมือกว่านี้แน่
“…ปรับ Layers นี้เป็น Multiply ก่อน อย่างที่บอกไปเมื่อกี้นั่นแหละ แล้วก็จะเหมือนเอาเลเยอร์นี้ไปไว้ข้างหลังแทน เออ แบบนั้น ไหนดูดิ ว่าแบบร่างไรต่อ”
“อ่อ แล้วก็ปรับแสงอันนี้ใช่ป่ะ”
“เออๆ แบบนั้นแหละ ก็เรียนรู้ไวดีนี่หว่า แล้วทำไมก่อนหน้านี้ไม่ทำ?”
“ผมไม่ค่อยชอบอ่ะ”
“บางทีก็พูดแบบนี้ไม่ได้หรอก ในชีวิตนี้ คงจะเลือกทำแต่สิ่งที่ชอบไม่ได้ ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องหัด เพราะอนาคต มันจะจำเป็นมาก เข้าใจไหม?”
พยักหน้า พี่เชนก็ยิ้มบางๆ ก่อนจะลุกออกไปจากเก้าอี้ตัวข้างๆก็หันหน้ามาบอก “ทำงานไป เดี๋ยวไว้เย็นๆจะเข้ามาเช็คอีกทีว่าตรงไหนที่ต้องปรับ ที่พี่โต้งบอกมาก็ลองดูว่าตรงไหนจะแก้ได้บ้าง”
“ครับ”
“…เอ่อ..ตี๋”
“ฮะ?”
พี่เชนเงียบอยู่นาน ดูคล้ายกับจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ยังลังเล “คุณอัษฏาหน่ะ….”
แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร กลับหันหลังให้ ผมเลยรีบดึงมือไว้ “พี่จะพูดอะไร พูดออกมาดิ อย่ามาพูดแค่นี้ ผมอยากรู้”
“…ช่างมันเหอะ”
“พี่อยากถามอะไรผมหรอ? ถามมาดิ”
“..มันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่อยากก้าวก่ายเท่าไหร่”
“…..”
“แค่สงสัย…สงสัยไอ้ปฏิกริยาของเขาตอนที่ได้ยินว่าเป็นงานตี๋”
“ทำไมหรอ? เขาทำยังไง”
ได้ยินมาจากปากพี่โต้ง แต่ก็ยังไม่พอ อยากรับรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่หมอก เพราะผมไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง
“…ปกติคุณอัษฏาจะไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไหร่ ถ้าพูดก็จะพูดที่ต้องการจริงๆ อย่างหัวข้อ ก็ไม่ได้ให้มา บอกแค่ว่าต้องการแบบไหน แต่ไม่ได้ละเอียด ทั้งๆที่ตอนคอมเม้นต์งานตี๋ก็ดูเป็นคนมีความรู้ด้านนี้อยู่ จะพูดว่ายังไงดี เหมือนเขารู้ว่างานตี๋บกพร่องตรงไหน อย่างที่พี่โต้งบอก มันก็เป็นจุดที่ตี๋มักจะทำซ้ำๆเหมือนเป็นนิสัยที่ไม่รู้ตัว”
ต้องการจะสื่ออะไร
อยากพูดอะไรออกมา
“…เขารู้จักตี๋ดี…ขนาดไหน?”
“ผมขอไม่บอกได้ไหม?”
“…แค่ใบ้ก็ยังดี”
“พี่จะรู้ไปทำไม? หัวข้อก็อสซิบหรอ? เอาผมไปพูดในชมรมแม่บ้านอาจจะดับก็ได้นะ”
“ไม่หรอก อย่างน้อยก็แผนกบัญชีหล่ะที่อยากรู้เรื่องตี๋จนตัวสั่น”
“ก็สนิทกัน…มากกว่าที่ผมสนิทกับพี่”
พี่เชนเงียบ เหมือนกำลังหาคำมาพูดต่อ สุดท้าย คงจะนึกไม่ออก จึงได้แต่เดินออกไปเงียบๆ ไม่รู้จะคิดได้หรือเปล่าว่าผมต้องการจะหมายถึงอะไร ผมต้องการคนที่จะมาเป็นพี่ให้ผม ต้องการเพื่อนร่วมงานที่ดี แต่ถ้ามากกว่านี้ มีแค่พี่หมอกคนเดียวเท่านั้นที่ผมจะให้ได้
ต่อให้เป็นคนที่ดีกว่าพี่หมอก รวยกว่า หล่อกว่า นิสัยดีกว่า หรือทุกอย่างเท่าที่จะคิดได้บนโลกใบนี้ คนที่หลุดออกมาจากอุดมคติ
ไม่ว่าแบบไหน ผมก็ไม่ต้องการ ไม่ได้ตามออกไป ไม่รู้ถ้าออกไปปลอบใจจะเป็นการให้ความหวังอะไรหรือเปล่า ยังไงก็กันไว้ดีกว่า ต่อให้เป็นแค่ความคิดชั่ววูบ แต่ถ้าไม่ตัดไฟแต่ต้นลม ปัญหาก็ตามมาได้ทั้งนั้น
กลับมาจ้องจอคอมอยู่ตรงหน้า รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ แต่มือก็ไม่ได้ขยับเมาส์แม้สักนิด
……………………………….
……………………….
วันนี้ต้องเสนองานรอบที่สอง แต่วันนี้เวลาที่อีกฝ่ายเสนอมาคือช่วงเย็น ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง คนที่รับผิดชอบในโปรเจคต์นี้เริ่มวิ่งวุ่น เห็นพี่โต้งนั่งนวดขมับอยู่ที่เก้าอี้ โทรศัพท์หาลูกสาว บอกให้กลับบ้านเอง สักพัก เมียพี่เขาก็โทรมาด่าถึงที่ เห็นแบบนี้แต่กลัวเมียอย่าบอกใคร เป็นหนัก ระยะสุดท้าย รักษาไม่ได้ รอวันตายลูกเดียว
งานที่นั่งทำเลือดตากระเด็นเซฟไว้ในคอม ยังไม่ได้ปริ้นท์ออกมา คิดว่าเดี๋ยวปริ้นท์ช่วงบ่ายก็น่าจะยังทัน เอาไอเดียเดิมบวกกับคอมเม้นต์ของหลายๆคน พอมาทำเป็นภาพซีจี เลยดูง่าย สวยกว่าตอนที่ร่างด้วยมือเสียอีก
แต่ก็ไม่ได้ว่าง เพราะต้องมาช่วยพี่ตั้มเคลียร์งานที่พี่แกดองไว้จนไหเริ่มแตก มีพี่เก๋ยืนบ่น ถ้าเจ๊จะบ่นขนาดนี้ก็อย่าเปลืองพลังงานเลย มาช่วยกันเถอะครับ พี่ตั้มก็ทำหน้าเซ็งๆ แต่คงจะเข้าพรรคเดียวกับพี่โต้งไปแล้ว จึงได้แต่สงบเสงี่ยมเหมือนฟังเทปธรรมมะยังไงชอบกล
ยืดตัวออกจนสุด จนเก้าอี้เอนหลังลง เห็นพี่โต้งลุกออกไปจากเก้าอี้ มองตามไป เห็นกรรมการบริหารคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกจะเป็นเพื่อนก๊งกับพี่โต้ง เลยดูสนิทกันมากกว่าเจ้านายลูกน้อง ออกไปคุยเรื่องอะไรสักอย่างที่นอกห้อง ดูจริงจังทั้งคู่ มองอยู่สักพัก พอพี่ตั้มส่งแฟ้มมาให้ เลยต้องกลับมาทำงานต่อ
หันไปมองเป็นระยะ ก็เห็นว่าผู้ชายคนนั้นมองเข้ามาเหมือนกัน เผลอจ้องตา แต่ก็ต้องรีบหลบสายตา เพราะไม่อยากให้คิดว่ากำลังแอบมองอยู่ รีบหันไปคุยเรื่องไร้สาระกับพี่ตั้ม โชคดี ที่พี่แกเป็นคนจุดติดง่าย เลยยาวเกินกว่าที่ต้องการไปหน่อย
เงยหน้าขึ้นมาจากงานตรงหน้า เห็นพี่เชนยืนมองอยู่แถวโต๊ะพี่โต้ง พอเห็นผมมอง ก็รีบหันไปคุยกับพี่เอ๋ ตั้งแต่วันนั้น ก็ยังไม่ได้พูดคุยกันแบบเดิมนัก มีแต่คุยกันเรื่องงาน ผมรู้สึกอึดอัด แต่คิดว่าอีกไม่นาน มันก็น่าจะกลับมาเป็นปกติ
“ไอ้ตี๋ ปริ้นท์แบบมึงยัง?”
“ยังหว่ะพี่ เดี๋ยวผมปริ้นท์ให้แป็ป”
เดินไปที่คอม หาไฟล์งานที่เซฟไว้ ก็ต้องขมวดคิ้ว ไม่อยู่ หายไปไหนวะ? ลองหาไฟล์ที่คิดว่าน่าจะมี แต่ก็ว่างเปล่า
“อะไร?ตี๋?”
“พี่เชน ผมหาไฟล์ผมไม่เจออ่ะ”
“ไหน เช็คดีๆหรือยัง ดูอีกรอบดิ”
ไม่มี พี่โต้งเดินเข้ามาถาม “ไหน? ปริ้นท์หรือยัง”
“..ยัง พี่โต้ง ผมหาไฟล์งานผมไม่เจออ่ะ”
“เอ้า ไม่ใช่เมื่อวานแกนั่งทำอยู่ตรงนี้หรอตี๋ เห็นทำมาตั้งหลายวัน”
“เออดิพี่ ไปไหนวะ”
“กูบอกแล้วไอ้ตี๋ให้เซฟใส่แฟลชไดรฟ์ เวรแล้ว ใครเผลอลบไปหรือเปล่า เดี๋ยวกูกู้ข้อมูลให้ ไม่รู้จะได้หรือเปล่านะ”
ผมลุกให้พี่เชนนั่งแทน แต่ถึงกู้ได้ก็คงต้องใช้เวลาพอสมควร คงไม่น่าจะทัน
“…พี่โต้งคะ”
พี่เมย์ พี่ในแผนกที่เข้ามาก่อนผม ผมไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ ทำงานดี แต่ไม่ค่อยคุยกับใคร
เธอเดินเข้ามา ในมือถือกระดาษชุดหนึ่งไว้
“ใช้อันนี้ก่อนก็ได้คะ หนูพึ่งทำเสร็จเมื่อวาน”
“…เมย์?”
ผมที่ยืนอยู่ข้างๆพี่โต้ง เห็นภาพในกระดาษนั่นก็พูดไม่ออก
มันคืองานของผม ที่ถูกปรับแต่งสีหลักออกไปหน่อย เพราะพี่เขามีประสบการณ์มากกว่า พอเปลี่ยนสีไป ทุกอย่างเลยดูดีขึ้น รูปแบบหลักยังอยู่ ดูก็รู้ว่าเอาภาพของผมไปแต่งเพิ่ม
“พี่เมย์? พี่ไปเอารูปนี้มาจากไหน”
“….ทำเอง”
“…..”
“เมย์ ไม่คิดว่ามันน่าเกลียดไปหรอไง”
“น่าเกลียด? น่าเกลียดอะไร?”
พี่เชนลุกขึ้นยืน กระชากกระดาษออกมาจากมือพี่โต้ง เปิดดูทีละแผ่น หลายๆคนที่ทำงานอยู่เงยหน้ามามองเพราะได้ยินเสียงพี่เชนพูดเสียงดัง
“ทำแบบนี้ไม่เรียกว่าน่าเกลียดแล้วเรียกว่าอะไร ขโมยงานไอ้ตี๋มา เห็นก็รู้ว่างานไอ้ตี๋มัน ชัดซะขนาดนี้”
“เอาที่ไหนมาพูด พี่มีหลักฐานหรือไง?”
“จะบอกว่าแค่เปลี่ยนสีก็เรียกว่าทำเองแล้วหรอ? แบบนี้มันไม่ทุเรศไปหน่อยหรือไง? ไอ้ตี๋ มึงพูดไปเลยดิว่างานของมึง”
ผมมองหน้าพี่เมย์ เห็นพี่เมย์จ้องกลับมา
กล้าพอที่จะขโมยงานคนอื่นถึงขนาดนี้ ต่อให้พูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์
ผมส่ายหน้าให้พี่เชน แต่ดูเหมือนพี่เชนจะไม่ยอม หันไปหาพี่โต้ง “พี่ พี่พูดไปดิ ว่านี่มันงานของไอ้ตี๋ชัดๆ พี่ก็เห็น”
“…เรื่องนี้ต้องคุยกันแน่ แต่ในเวลานี้คงต้องเก็บไว้ก่อน เพราะใกล้จะถึงเวลาประชุมเต็มที่แล้ว”
“พี่โต้ง!!”
“ไอ้เชน ขนาดตี๋มันยังนิ่งๆ มึงก็อย่าเดือดร้อนแทนได้ไหม”
“ตี๋ มึงก็พูดอะไรไปดิ”
“พี่ คนที่ถึงขนาดกล้าลอกงานผมขนาดนี้ จะให้ผมพูดอะไรไปอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว พี่เมย์ พี่เข้าทำงานก่อนผม แต่พี่ลอกงานผมอย่างนี้ น่าขำนะ”
“พูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
“พี่ได้ยินแบบไหนผมก็หมายความแบบนั้นแหละ ผมนั่งคิด นานแค่ไหนกว่าจะได้แบบนี้ โดนคอมเม้นต์ โดนแก้ ต้องมานั่งทำงานที่ผมไม่ถนัดกว่าจะได้ชิ้นนี้มา ถ้าพี่ฟังถึงขนาดนี้แล้วยังไม่รู้สึกอะไร ผมยกให้ก็ได้งานชิ้นนี้ เพราะผมยังไงก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอยู่แล้ว งานชิ้นนี้ยังไงผมก็ยกให้พี่โต้งอยู่ดี ถือว่าเป็นประสบการณ์ ว่าเพื่อนร่วมงานดีๆยังมีได้ เพื่อนร่วมงานแย่ๆทำไมจะหาไม่มี”
“ตี๋!”
“พี่เมย์ ผมไม่เคยทำอะไรให้พี่ แต่ถ้าพี่จะทำแบบนี้กับผม ผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่อย่าให้มีครั้งที่สอง”
พี่เมย์กัดฟันแน่น ไม่ได้โกรธ ดูเหมือนกำลังอดทนกับคำเสียดแทงของผม แต่ก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน พี่โต้งดึงงานคืนออกจากมือพี่เชน ส่ายหน้า พี่เชนดูโมโหมากกว่าผมเสียอีก เลยต้องผลักให้ออกจากมุมนี้ก่อน ดันออกไปจนถึงระเบียง ปิดประตูลง ระเบียงแคบๆมีเพียงพวกผมสองคน ลมพัดแรง ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้นมาถึงชั้นนี้
“ตี๋จะไปยอมมันทำไม! ก็เห็นอยู่ว่าใครกันแน่ที่ผิด”
“เอาเหอะน่าพี่เชน ช่างมันเหอะ”
“ยอมอะไรง่ายๆขนาดนี้เลยหรอตี๋ ทั้งๆที่มันเป็นงานของเราเนี่ยนะ?”
“คนไหนทำแล้วงานมันดีกว่า ก็ดีไป เพราะไม่ว่ายังไง ผมก็อยากเห็นงานของพวกเราในโปรเจคต์นี้ออกมาดีที่สุด เขาทำงานออกมาได้เนี้ยบกว่าผม ผมก็ต้องยอมรับฝีมือ”
“แล้วมันคุยงานร่วมกันไม่ได้หรือไง เมย์จะเดินมาบอกความเห็นของตัวเองไม่ได้หรือไง แบบนี้มันเรียกว่าขโมยความคิด ตี๋? ทำไมยอมได้? กูไม่เข้าใจ”
“…พี่พอเหอะ เดี๋ยวผมโมโหมาก เผลอต่อยผู้หญิง ไม่ดีๆ”
“ตี๋…มึงหนีปัญหา มึงแค่ไม่กล้าชนกับมัน”
“….”
“เพราะหนีปัญหาแบบนี้ ถึงต้องทำให้ใครต่อใครเจ็บปวด เพราะไม่กล้าชนกับมันสักที เลยทำให้คนที่รอต้องลังเล กูพูดถูกหรือเปล่าตี๋ มึงเคยทำแบบนี้กับใครหรือเปล่า”
“…พี่”
“มึงเป็นคนดี แต่บางครั้ง ความดีของมึงก็ทำร้ายคนรอบข้างไม่รู้ตัว กูพูดเตือนด้วยความหวังดีนะตี๋ อย่าพึ่งรำคาญอะไรกูเลย”
“ผมเข้าใจครับ…ผมก็เป็นแบบที่พี่พูดจริงๆนั่นแหละ ไม่ได้ผิดเลย”
ผมทำคนเสียใจ กับการตัดสินใจของผมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว
ทางที่ผมคิดว่าถูก ทางที่ผมคิดว่ามันเหมาะสมที่สุด บางครั้ง ก็เป็นทางที่ผมทำร้ายคนที่ผมรักมากที่สุดเช่นเดียวกัน
“อย่างครั้งนี้ ถ้ามึงปล่อยมันผ่านไป มันจะมีครั้งที่สองอีกไหม? มึงตอบกูได้หรอตี๋….มันกลายเป็นสร้างนิสัยแย่ๆให้เขาไป ถ้าอนาคต เมย์ไม่ได้รับการให้อภัยแบบนี้หล่ะ มันก็เท่ากับมึงทำร้ายเขาทางอ้อมด้วย ไม่รู้หรอ?”
“พี่..ผมขอนะ ครั้งนี้ครั้งเดียว เพราะผมอยากให้งานนี้ออกมาดีที่สุด”
“…ทำไมถึงต้องทุ่มเทให้กับงานนี้มากขนาดนี้ กลับบ้านดึก ไม่ยอมกินข้าวกลางวัน มาบริษัทแต่เช้า ถึงกับ…ยอมให้คนอื่นเอางานของตัวเองไป..”
ทำไมต้องเสียใจแทนผมขนาดนี้ด้วย..
ผมไม่ได้เสียใจสักหน่อย..ไม่ได้เสียใจ
ไม่ว่าใครทำงานนี้ก็ไม่สำคัญ เพียงแต่ขอให้มันเป็นงานที่ออกมา ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ให้เหมาะกับความตั้งใจของพี่หมอก ที่ความสามารถของผม อาจจะมีมากไม่พอ
“เพราะผม…..”
ลมพัดแรงวูบหนึ่ง จนต้องยกมือขึ้นเสยผม พี่เชนที่อยู่เบื้องหน้า รู้สึกระยะห่างลดลงเรื่อยๆ
ใกล้ จนริมฝีปากแทบจะชนกัน…
ผมรีบเอนตัวหลบ พี่เชนไม่ได้ตามมา
คงไม่ได้จะทำอะไรแบบที่ผมคิด แต่อาจจะแค่อยากกระซิบอะไรบางอย่าง
คิ้วนั่นขมวดเข้าหากัน ใกล้ขนาดนี้ แต่กลับเบนสายตามองไปทางด้านข้าง
“….ใช่คุณอัษฏาหรือเปล่า? ที่ตี๋กำลังรออยู่?”………………………………….
…………………….
[B.N.5 : complete]
[15.01.55]
ภาคผู้ใหญ่ จะมีเรื่องทำงานบ้างคงไม่ว่ากัน เพราะชีวิตจะมารักกันอย่างเดียวแบบหนัง ก็เกินไป๊! อารมณ์ เป็นประธาน แต่ไล่ตามคนอื่นแบบนั้นทั้งวัน ไม่แนว ไม่แนว
ขอบคุณทุกความเห็นนะัคัฟ ตอนนี้สบายดีประเทศไทย