Coin 36“…พี่หมอก?”
“นอนต่อสิ”
“พี่จะไปไหนหรอ?”
“โทรศัพท์”
ใครวะ แม่งชอบโทรมาดึกๆ สายโรคจิตหรือเปล่าเนี่ย
“ใครอ่ะพี่ ผมเห็นโทรมาบ่อยๆตลอดตอนกลางคืนเลย”
ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านนะครับ แต่นี่มันเรื่องกู! โทรมาทำไมบ่อยๆกลางคืนวะ!
“…เดี๋ยวกูกลับมา”
พี่หมอกไม่ได้ตอบ ลูบหัวผมเบาๆแล้วลุกออกไปจากเตียง
แอบเขยิบตัวไปฝั่งพี่หมอกมากขึ้นอีกนิด ซุกลงกับความอุ่นที่ยังเหลืออยู่
………………..
…………..
“ไอ้ตี๋ ไหงหน้าแย่งั้นวะ”
“ห้ะ?”
“หน้ามึงโคตรโทรม”
“ไอ้กล้วย หน้ามึงบวมตุ่ยอย่างกับไปให้รถทับมากูยังไม่พูดอะไรเลยนะ”
“เออ แม่ง โดนทับมาอย่างที่มึงพูดเลย แต่ไอ้ห่า แม่ง ล้อรถถัง!”
อะไรของมันวะ ท่าทางแดดตอนเที่ยงช่วงนี้จะร้อนไปหน่อยนะ
นั่งทำงานกับไอ้เคิ่ล ไอ้โจ๋ก็เอากล้องมาโชว์ ไม่อิจฉาแล้วเว้ย ผมก็มีแล้ว แต่ไม่อยากโชว์ เดี๋ยวมันจะตะลึง วะฮ่าฮ่าฮ่า
พี่หมอกบ่นว่าคิดผิดที่ซื้อกล้องให้ผม”ยืม” แค่คืนแรกที่ได้กล้องมา ก็ถ่ายไปเกือบร้อยรูปแล้วครับ
เมื่อเช้าผมทำเอากล่องกระดาษ เขียนคำว่า”ค่าอัดรูป” ตั้งกลางห้อง ว่าจะหยอดเศษเหรียญถ้าเหลือเงินกลับมา ไว้อัดรูปเก็บ
เสี่ยหมอกก็จัดให้ เศษเงินสีเทา อัดได้กี่รูปวะเนี่ย
เรียนถึงบ่าย ออกมาหน้าตึกก็เห็นพี่หมอกนั่งอยู่แล้ว “อ้าวพี่ ไม่ใช่ว่าวันนี้พี่เลิกบ่ายสามหรอ?”
“มีธุระต้องไปต่อ”
“แล้วพี่จะรอผมทำไม ทำไมไม่ไปก่อน?”
“กูจะให้มึงไปด้วย”
“ไปไหน?”
“คืนนี้ มีงานการกุศลของบริษัท กูต้องไป”
“แล้วผมจะไปด้วยทำไมอ้ะ?”
“ไม่อยากไปกับกูหรอไง?”
“ไม่ใช่แบบนั้น แต่ผมไม่อยากไปอ่ะพี่ พวกไฮโซไฮซ้อ ผมไม่รู้จะทำตัวยังไงอ้ะ”
“ไปกับกู…”
“พี่ลืมพูดคำว่า’นะ’ ฮ่าๆๆ เอาเป็นว่า ผมไม่เข้าไปในงานด้วย แต่อยู่ร้านของกินข้างนอกแล้วกัน”
มันก็ยอมพยักหน้า
ผมเคยเห็นแต่ในทีวี พวกละครหลังข่าวนี่แหละครับ ถึงจะไม่อยาก แต่พี่หมอกก็พาไปซื้อเสื้อใหม่ที่ห้างอยู่ดีครับ เป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่ดูทางการกว่าปกติ กับกางเกงเด็ป เห็นผู้หญิงหลายคนมองตามผมกับพี่หมอกที่เถียงกันเรื่องเสื้อแล้ว ก็อดรู้สึกเขินๆไม่ได้
พี่หมอกชอบซื้อของให้ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่เห็นความตั้งใจของมัน บางทีก็ปฎิเสธไม่ลง
อย่างคราวนี้เหตุผลมันก็ฟังขึ้น อย่างน้อย ไปงานแบบนี้ก็สมควรจะแต่งตัวให้สุภาพ เพราะโรงแรมที่งานจัดก็เป็นโรงแรมที่ใหญ่
ผมพกพีเอสพีของพี่หมอกไปด้วย คิดว่าอาจจะต้องนั่งรอ
“เดี๋ยว พี่หมอกอย่าพึ่ง!”
“อะไรอีก?”
“ถ่ายรูปก่อน ฮ่าๆๆ”
“บ้าเห่อหว่ะ”
“ก็ผมอุตส่าห์แต่งหล่อทั้งที ขอหน่อยดิพี่”
ถ่ายคู่กันครับ ถึงจะบอกว่ารีบก็เถอะ แต่ก็ปาไปห้าหกรูปเหมือนกัน
พี่หมอกใส่คล้ายๆผม แต่สีขาวกางเกงดำ ให้อารมณ์ทางการกว่า พอหวีผมดีๆ ลุคเหวี่ยงๆของพี่หมอกก็หายไปหมด ดูโคตรคุณชายเลยหว่ะ แต่ไหงผมหวีตามแล้วมันหัวเราะไม่รู้ โดนขยี้หัวอีก อะไรวะ กูหวีตั้งนานกว่าจะได้ทรงเดียวกันรู้ไหมเนี่ย!
ผมคว้ากล้องสะพายติดไปด้วย เดี๋ยวนี้ไปไหนก็อยากจะพกไปด้วยหมด การ์ดความจำก็มากพอที่จะทำให้ผมเก็บเรื่องต่างๆที่ผมพบเห็นได้ รู้สึกพี่หมอกหมั่นไส้กล้องนี้ขึ้นมา ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า
รถคันเดิมที่ผมชินเหมือนรถตัวเอง ขับออกไป ท้องฟ้ากลายเป็นสีส้มอ่อนๆ รถติด ผมถ่ายรูปนอกกระจก
เห็นเด็กหลายๆคนที่อยู่ข้างทาง ขายพวงมาลัย ไม่รู้เด็กพวกนี้ได้เรียนหนังสือหรือเปล่า ผิวกลายเป็นสีแทนไปทางคล้ำ คงเพราะตากแดดมามาก
เมื่อก่อนผมเคยช่วย ให้เงินไป ไม่ได้รับดอกไม้มา เคยคิดว่าเป็นการช่วยเหลือเขา แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้ ว่าถ้าเป็นการส่งเสริมแบบนี้ เด็กก็คงจะไม่ได้กลับไปใช้ชีวิตวัยเด็กที่สมควรจะมี ทำงานอยู่ริมถนนที่แสนอันตรายนี้ต่อไปเรื่อยๆจนโต
ยกกล้องขึ้นถ่าย อยากจะสะท้อนความเศร้าในชีวิตเด็กขายพวงมาลัยออกมา
พี่หมอกเห็นผมมอง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร รถขับผ่านไปแล้ว แต่รูปในกล้องยังอยู่
“มึงช่วยทุกคนไม่ได้หรอกนะ”
พอได้ยินคำพูดแบบนี้ ก็อดที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาไม่ได้
“ถึงผมช่วยทุกคนไม่ได้ แต่ผมก็อยากช่วยให้ได้มากที่สุดเท่าที่ผมทำได้” รู้สึกคำพูดออกจะหรูเกินไปหน่อย เลยรีบต่อ “เท่ใช่มะ? ฮ่าๆๆ”
เห็นรอยยิ้มบนหน้าพี่หมอก ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ผมก็มีความสุขไปกับรอยยิ้มนั้นด้วย
………………………………..
…………………….
“พ…พี่หมอก ผมอยากกลับบ้านอ้ะ”
“อะไร พึ่งถึง”
“มันน่ากลัวอะ”
“กลัวอะไร?”
“มันกว๊างกว้าง”
“เออ”
“คนเต็มไปหมดเลย”
“อะไรของมึง”
“พี่ดูนู่นดิ ..อ.อุ๊บ ฮึก ฮ่าๆๆๆ คนหรือสิงโตตื่นนอนวะ”
“สิงโตตื่นนอนนั่นมีเงินมากกว่ามึงที่ทำงานหนักสิบชาติซะอีก”
“…พี่หมอกอ้ะ”
“เลิกเดินข้างหลังกูซักที เดี๋ยวคนอื่นจะคิดว่ากูพาลูกมาเดินเล่น”
แบะปากใส่ พูดซะเว่อร์เชียว งี้ก็แปลว่าผมหน้าเด็กพอที่จะเป็นลูกได้เลยอ่ะดิ หรือไม่ก็แปลว่าพี่หน้าแกจนเป็นพ่อได้หรอ ฮ่าๆๆ
“พี่ ผมไปรอตรงนู้นได้ไหม?”
เห็นโซฟาตั้งเป็นวงอยู่ใต้ห้องโถงที่ยกสูง ไฟทั้งโรงแรมเป็นสีส้ม เพดานติดโคมไฟระย้าห้อยย้อยไปหมด ผมแอบถ่ายไปหลายรูปเหมือนกัน ใช้พี่หมอกเป็นนายแบบโดยที่ไม่รู้ตัว
คิดว่าเอาไปขายคงได้หลายตัง แต่อยากเก็บไว้คนเดียวมากกว่า แค่คิดหน้าผู้หญิงพวกนั้นตอนเห็นรูปพี่หมอก ก็อดจะขนลุกไม่ได้ งี้มีหวังจับผมฝังดินแหง
แต่ผมไม่ได้เดินมาแค่คนเดียว มันเดินตามมาด้วย “งานยังไม่เริ่ม” ผมเดินไปนั่งที่โซฟาก่อน ตัวใหญ่จนนั่งก็เหมือนจะจมลงไปกับเบาะ พี่หมอกเดินหายไปทางอื่น ไม่รู้ไปไหน
นั่งเล่นเกมไปสักพัก พี่หมอกก็เดินถือจานเค้กเล็กๆมา ยื่นให้ผมจานนึง “เค้กช็อกโกแลต อร่อย”
“พี่ชมงี้คงอร่อยจริง”
โคตรๆ! หวาน นุ่ม ชมแต่ก็ปนหวานไปจนไม่อยากกลืน
“ชอบซื้อกลับบ้านก็ได้”
แต่คงไม่แล้วหล่ะครับ อร่อยก็จริง แต่ก็ไม่ได้ชอบกินขนาดนั้น ดูท่าจะแพงด้วย
มองนาฬิกา คงจะใกล้ถึงเวลาแล้ว ผมยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่คิดว่าน่าจะรอได้ เลยบอกไปว่าไม่หิว กินขนมรองท้องไปก่อน
เดินไปส่งถึงหน้าห้องบอลรูม ห้องประชุมใหญ่ มีคนเดินควั่กไคว่เต็มไปหมด เสียงดนตรีคลาสสิกเปิดคลอไป
ผมเห็นรอยยิ้มบนหน้าพวกเขา แต่ผมไม่เห็นว่าตาเขาจะยิ้มตรงไหน
เหมือนแค่ฉีกยิ้มออกมาตามหน้าที่ พูดคุยซุบซิบกันเรื่องไม่เป็นเรื่อง เสียงหัวเราะนั้น ก็ดูจอมปลอมอย่างบอกไม่ถูก
พี่หมอกโตมาในสังคมแบบนี้
ผมพึ่งจะได้เห็นกับตาชัดๆ ก็วันนี้
“พี่หมอก…พี่ไปคนเดียวได้ใช่ไหม?”
“ได้ แต่อยากให้ไปด้วย”
มองผ่านหลังไป เห็นของกินวางเป็นแถว เออ แบบนี้ค่อยพูดกันรู้เรื่อง
“ไปดิ ผมไปด้วย พี่เดินนำนะ”
มันพยักหน้า ไม่ยิ้ม ดูก็รู้ว่ากำลังสวมหน้ากากกลับไป
ผมทำไม่เป็น เลยไม่อยากหยุดคุยกับใคร ผิดกับพี่หมอก ที่พอเดินเข้าไป ก็มีคนหลายคนเข้ามาทักทันที
“อ้าว คุณอัษฏา วันนี้ก็มาด้วยหรอคะ?”
เห็นสายตานั้นตวัดมามองทางผมอยู่ช่วงหนึ่ง อึดอัด แต่ก็จะทน
เพราะพี่หมอกอยากให้อยู่ด้วย เลยจะทำเป็นมองไม่เห็นไปเสียดีกว่า บางทีผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาทไป พี่หมอกพูดจาสุภาพ ดูไม่ค่อยคุ้น “ครับ คุณพ่อท่านก็สบายดีครับ ขอบคุณที่ให้ความสนับสนุนมาโดยตลอดนะครับ” อย่างกับท่องสคิรปต์มา
เดินตวัดโต๊ะคอกเทลนั่นไปมาหลายรอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เข้าไปใกล้ๆสักที เลยกระซิบบอกพี่หมอกที่ย่อตัวลงมาหน่อย “ผมไปหาอะไรกินตรงนั้นนะ” มันมองตาม พยักหน้าให้
เดินฝ่าคนหลายคนที่ไม่รู้จัก บางคนก็ดูแต่งตัวเว่อร์เกินพอดี ผมไม่อยากถ่ายรูปคนพวกนี้เก็บไว้ เลยปล่อยให้กล้องได้พักอยู่ที่ข้างเอว
ไม่มีใครกินของกินที่นี่เลยครับ เอาแต่ถือแก้วที่ใส่ไวน์ไว้เดินไปมา สบายผมดิ เห็นบริกรยกของมาเติมเหมือนกัน ถือมาคนเดียวหลายถาด ผมเลยช่วย แต่ดูเหมือนเขาจะกลัวความช่วยเหลือผมมากเลยครับ เอาแต่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณ”
“ไม่เป็นไร ผมช่วย”
“จะดีหรอครับ?”
“ดีสิครับ พี่ดูไม่หมือนคนกรุงเทพเลย มาจากไหนหรอครับ?”
“ผมมาจากขอนแก่นครับ”
“ผมก็มีคนรู้จักมาจากขอนแก่นเหมือนกัน” ยิ้มให้ อีกฝ่ายก็ดูผ่อนคลายลง จนเก็บถาดว่างๆนั่นเสร็จ แล้ววางถาดใหม่ลงไปจนหมด ก็ขอตัวเดินไป เห็นเขายิ้มตอบกลับมาก็ดีใจ เพราะดูเหมือนไม่มีใครในงานเห็นหัวพี่เขาเลยครับ
“…งานบริกรก็ส่วนบริกรสิครับ คุณไม่เห็นจำเป็นต้องช่วยเลย”
“เห้ย พี่หมอก พูดไรสุภาพอ้ะ ผม-…”
ไม่ใช่พี่หมอก…
อยู่ในชุดสูท ตัวสูงพอๆกัน ใส่แว่นไม่มีกรอบ ผมถูกเสยเป็นทรงดูภูมิฐาน
มองตาแล้วรู้สึกเหมือนจ้องตาพี่หมอก แต่บางอย่างกลับต่างออกไป
สายตาพี่หมอก เวลาจ้องจะตรงไปตรงมา คิดยังไงก็แสดงออกอย่างนั้น แต่คนตรงหน้าไม่ใช่…
พี่เมฆ…
รู้ได้โดยทันที ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้
“รู้จักหมอกด้วย?”
“เอ่อ ผมเป็นเพื่อนเขานะครับ”
“เพื่อน?” พี่เมฆยกคิ้ว “หรอครับ”
ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ได้ยินว่าอยู่อเมริกา ไหงมาโผล่ที่นี่
เป็นไปได้หรือเปล่าว่าคนที่โทรมาตอนดึกๆจะเป็นพี่เมฆ เพราะเวลาที่นั่น คงเป็นเวลากลางวัน
“หมอกชวนมาหรอครับ?”
“เอ่อ..ครับ”
“ดูไม่เหมือนเรียนวิศวะเลย?”
“ผมเรียนสถาปัตย์ครับ”
“งั้นเรียกพี่ว่าพี่เมฆก็ได้นะ”
จริงด้วย
ยื่นมือมา ทักทายเหมือนคนต่างประเทศ ผมเลยยกมือไหว้กลับไปแทน “เมืองไทยครับ ผมชอบไหว้มากกว่า”
พี่เมฆดูเหมือนจะอึ้งไปสักพักแล้วก็ดึงมือกลับ หัวเราะเหมือนแก้เขิน “ฮ่าๆๆ เป็นคนที่แปลกดีนะ ชื่ออะไรหน่ะเรา”
“อธิฐานครับ เรียกตี๋ก็ได้”
“เป็นคนน่ารักดีนะ”
“ครับ?” ตกใจ ตกใจเลย แฮมในมือสั่น กลัวตกลงพื้นเลยรีบเอาเข้าปากก่อน “อี๋อูดอะไออะอับ?”
พี่เมฆไม่ตอบอะไร แต่เดินหัวเราะหนีไปเลยครับ ทิ้งผมยืนงง อะไรของพี่แกวะ? ดูช้างหลังก็คล้าย เลยมองหาตัวต้นฉบับ ไม่รู้ไปอยู่ไหน
โดนทิ้งให้เคว้งอยู่ในงาน เลยเดินออกไปรอข้างนอกแทน ระหว่างทางก็แอบถ่ายรูปเด็กที่วิ่งผ่านมา วะฮ่าฮ่า ตกเป็นเหยื่อของพี่ซะดีๆเลยน้อง เด็กสองสามขวบ ยังเดินไม่แข็งแรงนัก วิ่งหนีผมใหญ่ ฮ่าๆๆๆ
สุดท้ายไม่มีอะไรทำจริงๆ เลยแอบไปนั่งปลีกวิเวก มองออกไป หน้าต่างค่อนข้างใหญ่ ท้องฟ้ามืดสนิท ทำให้ภาพเมืองยามค่ำคืนชัดเจน ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ เพราะแสงสะท้อนกระจกเสียจนภาพจับออกมาไม่สวยนัก
เป็นงานสังคมที่พูดตรงๆ ผมว่าน่าเบื่อมาก ไม่มีใครพูดเรื่องอะไรที่มีสาระเลย ยิ่งกว่าชมรมแม่บ้านเสียอีก ไม่รู้พี่หมอกจะเบื่อมากขนาดไหน ป่านนี้ในใจคงพ่นไฟออกมาแล้วแหง
“…ตี๋”
“พี่….เมฆ?”
“…มาทำอะไรตรงนี้ งานข้างในไม่สนุกหรอ?”
พูดตรงๆได้ไหม? “ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ”
“คงจะไม่เคยมางานแบบนี้มาก่อนหน่ะสิ..”
พยักหน้า
“มากับหมอกแบบนี้ ไม่คิดเลยหรอ ว่าจะมีคนในงานที่เห็นรูปในนิตยสารนั่นกี่คน?”
ตัวชา
ผมมองหน้าพี่เมฆ รอยยิ้มแบบนี้ ไม่คุ้นเลยจริงๆ พี่หมอกไม่เคยยิ้มแบบนี้ รอยยิ้มที่ดูน่ากลัว
ทำไมพี่เมฆถึงยิ้ม?
“พี่เมฆ…”
“ไม่รู้หรอกนะว่าคิดอะไรอยู่ แต่ก็คงจะรู้ใช่ไหม? ว่ามันไม่เหมาะ”
“…ผมรู้ครับ”
โดนพูดแบบนี้ใส่อีกแล้ว
ฝนก็เคยพูดแบบนี้ ถึงสุดท้ายเรื่องจะเงียบลง แต่ก็ใช่ว่าจะจบด้วยดี
ครอบครัวนี้ บางทีก็เหมือนกันอย่างหาคำมาบรรยายไม่ถูก
“…กลับบ้านถูกหรือเปล่า?”
“กลับถูกครับ”
“งั้นก็..โชคดี”
“…..”
จะให้พูดอะไรต่อ เขาพูดมาเสร็จสรรพขนาดนั้นแล้ว ยกมือไหว้พี่เมฆแล้วเดินออกมา แต่ก็เห็นพี่หมอกกำลังเดินมาทางนี้ ขมวดคิ้ว เหมือนโมโหอะไรซักอย่าง
“พี่พูดอะไรกับตี๋”
ผมรีบดันตัวพี่หมอกไว้ กลัวมันพุ่งเข้าชาร์จพี่เมฆ
“พี่เมฆ พี่พูดอะไรกับมัน”
เสียงลอดออกมา เหมือนจะกัดฟันพูด โมโห เห็นกัดกรามแน่น
“พี่ กลับบ้านเหอะ กลับบ้านกันนะ”
“ตี๋ มึงก็เป็นแบบนี้ตลอด หนี หนีไปเรื่อยๆ มึงจะหนีไปไหน ทำไมมึงไม่ชนกับปัญหาบ้าง”
“พี่หมอก! พี่ตั้งสติดีๆดิ ทะเลาะกันแล้วได้อะไรขึ้นมา มันมีประโยชน์ไหม กลับบ้านเถอะ ไปคุยเรื่องนี้กันต่อที่บ้าน”
“คุย? คุยอะไร? มึงก็บอกกูมาก่อนสิว่ามึงคุยอะไรกับพี่เมฆ”
ผมไม่ได้หันไปมองพี่เมฆที่อยู่ข้างหลัง
พูดเสียงเบาๆ มือสองข้างที่ดันพี่หมอกไว้ เปลี่ยนมาเป็นกำเสื้อพี่หมอกแทน
“พี่เขาบอกว่า..มันไม่เหมาะ”
“พูดอะไรอีก”
เสียงพี่หมอกเบาลง แต่ก็เต็มไปด้วยความโมโห ดูเหมือนกำลังควบคุมอารมณ์ตัวเอง
“..บอกว่า อาจมีหลายคนในงานนี้ ที่เห็นรูปผมกับพี่ในนิตยสาร แล้วพี่เขาก็บอกให้ผมกลับบ้าน”
พูดเบาแบบนี้ไม่รู้ว่าพี่เมฆจะได้ยินหรือเปล่า เพราะผมกับพี่หมอกยืนใกล้กันเสียจนถ้าผมเอนไปข้างหน้า ก็จะพิงเข้ากับไหล่พี่หมอกพอดี
รู้สึกสงบลง ทั้งผมและพี่หมอก
“กลับกันนะ”
“…อืม”
“หมอก แกจะไปไหน”
“กลับบ้าน”
“ทำไมป้าน้อยบอกแกไม่ได้กลับบ้าน บ้านหลังไหน”
พี่หมอกดึงมือผม พูดทิ้งท้ายไว้ ไม่รู้พี่เมฆทำหน้าแบบไหน เพราะตอนนี้มีแต่พี่หมอกที่ผมจะสนใจ
“ที่ไหนที่มีมัน….ที่นั่นก็เป็นบ้านของผม”……………………………….
……………………..
……………..
“ที่พี่โทรคุยด้วยบ่อยๆตอนดึกนี่พี่เมฆหรอ?”
“อืม จะกลับมาทำงานที่นี่”
“…ไม่ค่อยเหมือนพี่เลยนะ”
“ตรงไหน?”
“ไม่รู้ ผมว่า พี่กับฝนยังมีความตรงไปตรงมา แต่พี่เมฆดูต่างออกไป”
พี่เมฆเหมือนคนที่คิดอะไรในหัวตลอดเวลา ฉลาด มีบรรยากาศกดดันรอบๆ
พี่หมอกเอาผ้าเช็ดตัวออกไปตาก สักพักก็ลงมานอนข้างๆ ได้กลิ่นสบู่ หอม
“มึงไม่ได้กลัวใช่ไหม?”
“หือ? กลัว? กลัวไรอ้ะ?”
“เปล่า”
ผมกดดูภาพในกล้องไปเรื่อยๆ พี่หมอกยื่นหน้ามาดู “ใคร?”
“เด็กที่ผมเจอที่โรงแรม”
“ขอกูดูหน่อย”
พี่หมอกดึงกล้องออกไปจากมือ แต่แทนที่จะดูรูป กลับยกขึ้นถ่ายรูปแทน แสงแฟลชสาดเต็มๆ ตาพร่าไปพักใหญ่ “กูชอบรูปนี้”
“หูย โคตรน่าเกลียด”
“รูปคู่อีกสักรูปไหม?”
“พอเหอะ นอนๆ ผมแสบตาหมดแล้ว”
ได้ยินมันหัวเราะ หึหึ วางกล้องไว้ที่หัวเตียง ผมหมุนตัวหนี หลับตา
รู้สึกถึงแรงกดเบาๆที่แก้ม ลืมตาขึ้นมอง ก็เห็นหน้าใกล้เพียงแค่ลมหายใจคั่น
“ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
“พูดข้าไปนะ”
“งี้ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน…”
ขอโทษด้วยริมฝีปากผมแล้วกันนะ
…………………………….
………………………
[Coin36: complete]
[28.12.54]
ไว้ค่อยมาอิดิทหลังสอบ แม่บ่นบอกจะนอน
