Gift
ในเดือนธันวาคม ที่อีกไม่นานก็จะถึงปีใหม่
ทำอาชีพครู นับจนถึงวันนี้ก็เกือบจะสองปีเต็ม
ก่อนหน้านี้เคยฝึกงานอยู่แถวปริมณฑล แต่เมื่อทำมาถึงจุดๆหนึ่ง ก็อยากจะย้ายมาทำงานใกล้บ้าน จึงเลือกโรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่ง ประจวบเหมาะกับตำแหน่งที่ว่างอยู่ ผู้ใหญ่เบื้องบนเลยเซ็นอณุมัติให้ย้ายมาที่นี่
เป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนทั้งโรงเรียนประมาณสามร้อยกว่าคน เปิดสอนตั้งแต่ประถมหนึ่งจนจบประถมหก เป็นโรงเรียนรัฐ จึงเป็นเด็กนักเรียนยากจนมาเรียน ในเด็กจำนวนนั้น เธอปราดตามองผ่านๆแล้วก็สะดุดตาเข้ากับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง
เป็นเด็กตัวเล็กเมื่อเทียบกับเด็กประถมหกทั่วไป ผิวสีขาวออกเหลือง ตาโต จึงทำให้พูดได้ไม่เต็มปากว่าเป็นเชื้อชาติจีน หน้าเปื้อนดิน มีรอยถลอกเต็มขาไปหมด ทำหน้าตาบึ้งตึง แบะปากเหมือนจะร้องไห้แต่ก็พยายามอดกลั้นไว้ เดินเท้าเปล่าไปรอบโรงเรียนไปมาหลายครั้ง มองจากตรงห้องพักครูตรงนี้ก็เห็น
ช่วงแรกๆเธอไม่ได้สนใจ คิดว่าเป็นการแกล้งกันของเด็กทั่วๆไป เคยมีคนบอกไว้ว่าถ้าไม่หนักถึงขั้นมีใครเสียหาย ไม่จำเป็นต้องเขาไปยุ่ง เพราะเป็นชีวิตที่เด็กจะต้องเจอ ผู้ใหญ่อย่างเราจะปกป้องให้ตลอดไปไม่ได้
แต่เพราะเห็นมาหลายวันแล้ว ตอนมาโรงเรียนบางวันก็เดินเท้าเปล่ามา พอจะเดินเข้าไปคุยด้วยก็วิ่งหนีไปบนทางหินกรวด ยามที่เด็กคนนั้นยกเท้าขึ้น จะเห็นรอยแดงเต็มฝ่าเท้าไปหมด
แบบนี้โดนเพื่อนแกล้งหนักไปหรือเปล่า
เสื้อผ้าตัวใหญ่ๆนั้นก็มอมแมม บางวันก็เปียกน้ำ เหลือบเห็นตาแดงๆก็อยากจะเข้าไปปลอบ แต่อีกฝ่ายก็วิ่งหนีไปตลอด เหมือนไม่ต้องการคำปลอบใจ
ลองพูดกับครูรุ่นพี่ดู ได้รับคำปรึกษามา เลยลองเอาไปตักเตือนนักเรียนหัวโจกในห้องดู
แต่เพราะว่าป.6แล้ว เด็กทะโมนกลุ่มนั้นจึงไม่คิดจะสนใจฟังเท่าไหร่ มองไปหลังห้อง เด็กคนนั้นนั่งอยู่โต๊ะริมหน้าต่าง แยกโต๊ะออกมานั่งคนเดียว มองออกไปข้างนอก ไม่สนใจเรื่องในห้องสักนิด
พอถึงเวลาเลิกเรียน เธอจึงลองนั่งรออยู่ที่หน้าห้อง ไม่ได้ยื่นหน้าเข้าไปมอง เพราะอยากจะฟังเสียงของเด็กๆ
“แม่เราบอกว่าแม่นายคลอดลูกเอง ไม่มีพ่อ”
“ฮ่าๆๆ ไอ้ลูกไม่มีพ่อ”
ใจกระตุก
เรื่องแบบนี้..ไม่ใช่เรื่องที่จะนำมาล้อเล่นกันได้เลย
เพราะพึ่งเข้าทำงานใหม่ จึงยังไม่รู้ประวัติส่วนตัวของเด็กแต่ละคนดีนัก อย่างเรื่องนี้ก็ไม่รู้
เสียงหัวเราะนั่น ฟังดูโหดร้ายเกินกว่าจะหลุดออกมาจากปากเด็กประถม
หรือเพราะยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจเรื่องยุ่งยากแบบนี้กันนะ แต่เด็กคนนั้น ความคิดโตระดับไหน ระดับที่จะเสียใจกับเรื่องแบบนี้หรือเปล่า
“พี่นายก็เหมือนกันใช่ไหม พ่อเดียวกันหรือเปล่า?”
“ความจริงไม่ใช่ว่ามีพ่อหลายคนหรอไง”
ได้ยินเสียงตึง เหมือนอะไรบางอย่าง บางอย่างที่หนักพอจะเกิดเสียงแบบนั้นได้ ล้มลงกับพื้น รีบวิ่งเข้าไปดูในห้อง เด็กตัวเล็กๆคนนั้นกระโดดเข้ากระโจนใส่เด็กผู้ขายคนที่ตัวใหญ่กว่า ซัดหมัดรัว เท่าที่กำปั้นเล็กๆนั้นจะมีแรง
เพื่อนคนอื่นๆได้แต่ยืนอึ้ง เด็กทะโมนหัวโจกร้องโวยวาย ยกมือปัดป้อง แต่ความโกรธ บางครั้งก็ทำให้เรามีแรงเยอะขึ้น
“หมายความว่ายังไง ไม่มีพ่อแล้วจะเกิดมาได้ยังไง ม๊าเราเป็นคนดี ทำไมต้องมาว่าม๊าเราด้วย คนอย่างพวกแก…คนอย่างพวกแกมีสิทธิพูดอะไรแบบนี้ด้วยหรอ!!!!”
น้ำตาหยดเปื้อนไปตามแก้มสีแดง คิ้วขมวดเข้าหากัน พูดซ้ำไปมา “คนอย่างพวกแกจะไปเข้าใจอะไร” ไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้จึงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เจอเรื่องอะไรมา แต่คงจะเป็นเรื่องที่หนักหนาเกินกว่าเด็กในวัยเดียวกันเข้าใจ
“หยุด…หยุดเดี๋ยวนี้นะ อธิษฐาน หยุดทำร้ายนันทกรนะ!”
แรงผู้หญิงวัยจะสามสิบฟังแล้วอาจจะดูตลก แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะดึงอธิษฐานออกจากตัวเด็กทโมนนั่นได้ พอทั้งคู่ถอยออกมาจากกัน เด็กชายในตัวเธอก็ตะโกนเสียงดัง โวยวายไม่ได้ศัพท์ ต่อยหมัดไปในอากาศมั่วไปหมด ได้ยินบางคำ “เอารองเท้าเราคืนมานะ กระเป๋าด้วย” แต่ก็ปนไปกับเสียงสะอื้น ที่เสียดแทงลึกเข้าไปในใจของเธอ
น่าสงสาร
เด็กคนนี้..น่าสงสารเหลือเกิน
แต่ไม่ว่ายังไง ทำความผิดก็ยังเป็นความผิด ไม่อาจจะใช้ความรู้สึกส่วนตัวเข้ามามีปะปนในหน้าที่ได้ สุดท้าย เด็กคนนั้นก็ถูกไม้เรียวหวดไปสองที โดนครูใหญ่เรียกพบผู้ปกครอง แต่ก็เข้าไปขอร้องไว้ เล่าเหตุผลให้ครูใหญ่ฟังอยู่นาน กว่าจะทำความเข้าใจกันได้
เด็กทโมนนั่น ตกเป็นเหยื่อในคดีนี้ ทั้งๆที่จริงแล้ว เป็นคนจุดเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้น ทำไมกันนะ ทำไมผู้ใหญ่บางคนถึงไม่รับฟังสิ่งที่เด็กพูดเลย คิดว่าเป็นแค่คำพูดเด็กๆจึงไม่ใส่ใจอย่างงั้นหรือ?
มองออกไปนอกห้องพักครู เด็กคนนั้นหยิบถุงที่ขอจากภารโรงใส่หนังสือหิ้วกลับบ้าน ลองถามนักเรียนหญิงในห้องดู ก็บอกว่ากระเป๋าสะพายถูกขโมยไปตั้งแต่วันจันทร์แล้ว โดนแกล้งแบบนี้มาตั้งแต่ขึ้นป.6 ก่อนหน้านี้ พี่ชายที่เคยอยู่โรงเรียนนี้จะเป็นคนปกป้องเด็กคนนี้ไว้ตลอด แต่พอพี่ชายไปต่อมัธยมที่โรงเรียนอื่น เรื่องแบบนี้จึงเกิดขึ้น
เท้าเปล่า..
หินกรวดนั่น ตากแดดมาทั้งวัน ร้อนระอุ เห็นเด็กคนนั้นยกแขนเลอะๆขึ้นเช็ดหน้าจนหน้าเปื้อนรอยดำเป็นทางยาว ไม่มีน้ำตาแล้ว ดูก็รู้ว่ากำลังอดทนอยู่เต็มที่
เธอรีบเก็บของ บอกลาครูที่ยังตรวจการบ้านเด็กในห้องพัก แอบเดินตามเด็กคนนั้นไปเงียบๆ
บ้านไม่ได้ห่างจากโรงเรียนเท่าไหร่นัก สำหรับผู้ใหญ่ ใช้เวลาเดินประมาณสิบนาที แต่เพราะว่าเป็นเด็ก จึงใช้เวลานานกว่านั้น บางครั้งก็แวะเล่นกับหมาในรั้วบ้านคนอื่น ดูท่าจะสนิทกันดี เห็นแอ่งน้ำสะอาดหน่อยก็รีบเอาเท้าลงไปแช่ บางครั้งก็เบ้หน้า อาจจะมีแผลที่เท้า
พอถึงบ้าน ก็ยื่นหน้ามองเข้าไปในรั้ว เป็นบ้านไม้สองชั้นสีฟ้า ไม่ได้โทรมจนอยู่ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนักเท่าไหร่ มองจากตรงนี้ นึกถึงภาพในอดีตของบ้านตรงหน้า คิดว่าอาจมีเรื่องที่ทำให้การเงินทางบ้านมีปัญหา เพราะดูไม่ใช่เด็กยากจน ผิวพรรณเนียน หน้าตาน่ารัก ด้านนิสัยมีความอดทน รับผิดชอบสูง ถูกสอนมาเป็นอย่างดี แต่ที่แสดงกริยาแบบนั้นออกไป คงเพราะทนมานาน จนสองบ่าเล็กๆนั้นรับไม่ไหว
แอบเอาถุงนั่นเข้าไปซ่อนในพุ่มไม้ ตะโกนเสียงดังเข้าไปในบ้าน “ม๊าคร้าบ ตี๋กลับมาแล้ว” ได้ยินเสียงผู้หญิงตอบกลับ ตามมาด้วยเสียงอุทาน เดินเข้าไปใกล้บ้านหลังนั้นอีกหน่อย ได้ยินเสียงพูดคุยไม่ชัดนัก แต่ฟังแล้ว ก็อดหดหู่ใจไม่ได้ คงไม่มีใครยิ้มออกที่เห็นสภาพลูกตัวเองแบบนั้น
กลับถึงบ้าน นอนคิดจนถึงดึก หลับตาทีไรก็เห็นภาพเด็กคนนั้นเม้มปากแน่น ดวงตาจ้องเขม็งไปที่เด็กหัวโจก
ทั้งที่ดึกขนาดนั้นแล้ว แต่เพราะทนไม่ไหวจริงๆ จึงปั่นจักรยานไปที่ตลาดนัดแถวบ้าน ตรงไปที่ร้านโชว์ห่วย ขายทุกอย่างตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้ายันไม้ขีด เลือกของชิ้นหนึ่งมา ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำมันดีหรือเปล่า แต่สบายใจเมื่อได้สิ่งนั้นมาไว้ในมือ
ปั่นกลับไปที่บ้านเด็กคนนั้น ไม่ลืมเขียนจดหมายแผ่นเล็กๆลงบนกระดาษที่ขอมาจากร้านขายของชำ เหวี่ยงกล่องนั้นข้ามไป ภาวนาขอให้ฝนไม่ตก แม้ว่าจะเป็นเวลาใกล้สิ้นปีเต็มทน แต่อากาศก็เอาแน่เอานอนไม่ได้
กดกริ่งแล้วรีบปั่นจักรยานหนี รู้ตัวดีว่าทำอะไรไม่เหมาะสมกับเป็นครูเลย แต่กลับรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
วันรุ่งขึ้น
รีบมาโรงเรียนแต่เช้า เด็กคนนั้นยังมาไม่ถึงโรงเรียน รอด้วยใจที่ตื่นเต้นในห้องพักครู เหลือบมองออกไปนอกหน้าต่างหลายต่อหลายครั้ง จนใกล้เวลาเข้าเรียน ก็เห็นเด็กคนนั้นกำลังวิ่งเข้ามาในโรงเรียน
ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นครั้งแรก ที่เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น มันดูบริสุทธิ์ จริงใจ เต็มไปด้วยความสดใสแบบเด็กๆที่ทำหัวใจคนมองพองโตไปด้วย ยิ้มตอบกลับไป โดยที่รู้ว่าเด็กคนนั้นไม่มีทางเห็น
เท้าที่เคยว่างเปล่า รองเท้าคู่ใหม่เข้ามาแทนที่
ตื้นตันไปทั้งอก…
กระดาษแผ่นนั้นที่เขียนว่า “ของขวัญปีใหม่” เธอคงจะได้รับแล้ว
อธิษฐาน..
ครูขออธิษฐานให้ปีหน้าของเธอ…เต็มไปด้วยความสุขนะ………………………………
……………………….
[Gift : complete]
[24.12.54]
รวมถึงปีใหม่ปีหน้าของทุกคนด้วย
รายงานการสอบวันนี้ตอนเช้า สอบ Gat ครึ่งแรก เชื่อมโยง ทำเสร็จตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก นั่งวาดรูปไปอีกชั่วโมงจนหมดเวลา ครูุคุมสอบแซว"นี่สอบวาดรูปหรือเนี่ย" ก็เล่นวาดภาพเปอร์สเปกทีฟ ขนาดนั้นเลย

Gat อังกฤษ ฉลุย
ตอนกลางวัน หัวเราะเฮฮาปาจิงโกะ
ตอนบ่าย เข้าห้องสอบ Pat 1 วัดความถนัดทางคณิตศาสตร์
การสอบในวันนี้ทำให้ได้รู้ว่า...ความถนัดที่ว่านั้น ไม่มีในตัวตูเลย

เปิดมา สภาพนี้ >>>

คนข้างๆถึงกับช็อค ฟุบหลับตั้งแต่ชั่วโมงแรก คนค่อยๆทยอยตาย จนมีแต่ซากศพเกลื่อนห้องไปหมด ครูคุมสอบข้างๆ ผู้หญิง เดินไปเดินมาสร้างเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้น แต๊ก แต๊ก แต๊ก แถมพอมานั่งข้างๆ กลิ่นน้ำเหม็นก็เหม็นเสียจนอยากอ้วก นั่งหลังสุด มุมสุด โดนประกบ
สามคำแด่ข้อสอบเลข "ดาว-อัง-คาร"
ข้อสอบแบบนี้ คนบนโลกทำไม่ได้หรอกคร้าบบบ!! ต่อให้ไปเกิดใหม่ ตีลังกาคลอด ก็ทำไมไ่ด้หรอก!!! ถึงกับนั่งพูดกันเลยทีเดียวว่านี่มันยากที่สุดเท่าที่มันเคยมีมาเลยนี่ว่า ปีตูด้วย โอ้มายพระพุทธพระสงฆ์!!! แจ็คพอตเเตก

พรุ่งนี้สอบ Pat2 ต่อ แกล้งตายดีไหมเนี่ย....