อ้อมกอดเด็กช่าง ตอนที่ ๒๙
“เป็นอะไร?”
“.....................” เขาหันหน้าออกไปมองนอกกระจกรถ
เอี๊ยดดด
“นี่มึง!” ฝิ่นเบรกรถอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำเอาแก้วแทบหัวทิ่มพร้อมๆกับเสียงดุของมัน
“เฮ้อ เปล่าเป็น...”
“เดี๋ยวนี้ชักเอาใหญ่ ไม่พอใจก็ทำหน้าบึ้ง ปากมีทำไมไม่พูดวะ” มันจับหน้าเขาให้หันไปมอง
เขามีสิทธิ์พูด ทำ อะไรก็ได้อย่างมันด้วยเหรอ แก้วมองหน้าฝิ่นอย่างชั่งใจพลางจับมือมันออกเบาๆ
“พ่อมึงไม่เห็นให้กูทำอะไรเลย”
“ก็ดีแล้วนี่ มึงมีปัญหาอะไรอีก”
“แล้วอย่างนี้จะต่างจากไปทำงานกับพ่อกูตรงไหน ถ้างั้นกูกลับไปทำงานกับพ่อไม่ดีกว่าเหรอ” เขาขยับตัวหันไปคุยกับมันอย่างจริงจัง
งานก็คนละสาย ถ้าจะให้มานั่งดูอย่างเดียว สู้ไปนั่งดูอะไรที่ตรงกับสายงานเราจะไม่เข้าท่ากว่ารึไง ไหนพ่อมันบอกจะสอน เขาเองก็ตั้งอกตั้งใจจะเรียนรู้ แต่มาบอกว่าเขาทำตัวเชื่องช้า เกะกะ มันใช่เรื่องไหมเนี่ย
“มึงคิดอย่างนั้นเหรอ” สายตาเฉียบดุหันมองสบตา พร้อมกับคำพูดนิ่งๆฟังดูเย็นๆสันหลัง
“...ปะ เปล่า ...พูดเฉยๆ” เห็นไหม พอเขาพูดฝิ่นมันก็ไม่พอใจ
เขาผละตัวนั่งหน้าตรงเม้มปากตัวเองเล่นแก้เก้อ
“อยู่ๆไปเถอะ ใกล้หูใกล้ตากูก็พอแล้ว ไปอยู่ไกลก็ลำบากคนอื่นเฝ้าเปล่าๆ” เลยให้อยู่ที่อู่ เพราะมึงจะได้ตามเฝ้ากูง่ายๆใช่ไหม รวมถึงเทียวรับเทียวส่งอย่างทุกวันนี้ด้วย
แต่อย่างว่า ไม่ว่าฝิ่นมันจะตามเขาเองหรือจะให้ลูกน้องมันตามเฝ้าซึ่งเขามารู้ทีหลังว่าถูกจับตามองมาโดยตลอด เขาก็ให้สิทธิ์ไอ้ฝิ่นมันเต็มที่ไปแล้วนี่ อีกทั้งยังรู้สึกดีกับการที่ได้อยู่ในสายตาของมันอีกด้วย
ฝิ่นจอดรถยนต์ไว้ที่อู่แล้วเดินออกไปพร้อมพวกของมันที่มารอกันก่อนแล้ว แก้วเดินไปหลังร้านหยิบเสื้อฉ็อปสีเลือดหมูที่ตากผึ่งไว้กับราวตากผ้ามาสวม ฉ็อปสีที่ต่างไปจากคนอื่นๆในร้านหลัง ฉ็อปตัวที่เท่าไหร่ของเขาตั้งแต่เรียนมาก็จำไม่ได้แล้วเพราะโดนฉกชิงวิ่งราวจากคู่อริบ่อยเหลือเกิน จากที่ชั่งใจอยู่นานว่าจะใส่ดีหรือไม่เพราะเกรงใจคนของอาชีวะxที่ทำงานในร้าน แต่สุดท้ายเขาก็เอามาใส่ทำงานจนได้เพราะเขาไม่มีฉ็อปสีอื่นเลยนี่นา แม้จะไม่ได้เกลือกกลั้วน้ำมันเครื่องเท่าคนอื่นแต่มันก็ช่วยป้องกันคราบน้ำมัน คราบสี และอะไรต่อมิอะไรกระเด็นเข้าตัวได้ดีกว่าใส่เสื้อยืดเปล่าๆแค่ตัวเดียว
“อะไรของมึง” โจ้เดินมาแย่งสายพ่วงแบตเตอรี่ออกจากมือเขา
“เฮ้ย อันนี้ทำเป็น บวกกับบวก ลบกับลบ” เขาบอกโจ้ถึงวิธีการชาร์ตแบตเตอรรี่รถยนต์ที่เขาศึกษามา...ศึกษาจากที่นี่นี่แหละ แค่เอาสายขั้วบวกต่อกับแบตเตอรี่ขั้วบวกของรถคันที่ใช้งานได้ แล้วก็เอาสายขั้วลบต่อกับแบตเตอรี่ขั้วลบเท่านี้ ง่ายๆ
“แล้วต่อจากนี้ล่ะ”
“ก็...สตาร์ทเครื่อง?” แก้วตอบอย่างไม่ค่อยมั่นใจ
“หืม ไอ้แก้วข้ามขั้นตอนได้อีก มึงไปแยกน๊อตในร้านโน่นเลยไป” ไอ้โจ้ไล่ เฮ้ย ถ้าไม่ถูกก็สอนใหม่สิวะจะหวงวิชาไว้ทำไมนักหนา แต่เขาก็ยังไม่ไปไหนยังยืนดูโจ้เสียบสายพ่วงแบตต่อจนมันเงยหน้ามาเหวี่ยงด้วยสายตา
“ก็แค่ดูเฉยๆ” เขาพูดแก้เก้อ
“ไปไกลๆไปมึง” มันพูดแล้วเดินไปสตาร์ทรถหลังจากต่อพ่วงสายแบตเตอรี่เสร็จ
แก้วเดินตาม
“โจ้ กูน่ารำคาญมากเลยเหรอ”
“มากกกก” เขาถึงกับหน้าชาเมื่อไอ้โจ้ลากเสียงยาวใส่
...เขาไปช่วยพี่ไม้ล้างรถก็ได้
แก้วเดินไปทางพี่ไม้ที่กำลังล้างรถอยู่ เขาถอดเสื้อฉ็อปพาดไว้แถวนั้นแล้วหยิบสายยางอีกอันขึ้นมากะว่าจะช่วย
“ไปคอยรับรถ ไม่ต้องมายุ่งกับกู” คำบอกห้ามแกมไล่ให้ไปทำอย่างอื่นทำให้แก้วที่ถือสายยางอยู่ต้องหยุดค้าง เฮ้อ...
เขาทิ้งสายยางแทบจะทันที หยิบเสื้อฉ็อปขึ้นพาดไหล่แล้วเดินเข้าไปหยิบสมุดรับรถจากโต๊ะทำงานของพ่อฝิ่นมาถือ
...นี่แหละงานของเขา วันๆก็อยู่แต่กับกระดาษและปากกาคอยจดอาการเสียของรถจากคำบอกของพ่อไอ้ฝิ่นเท่านี้แหละ
แก้วยื่นใบรับรถให้ลูกค้าหลังจากพ่อฝิ่นแจ้งอาการและทำการรับรถไว้เสร็จสรรพ พ่อฝิ่นเดินเข้าร้านไปแล้วแต่เขายังอยู่ที่เดิมก็มีมอเตอร์ไซด์คันหนึ่งขับเข้ามาในอู่ซะก่อน
“อ้าว แก้ว”
“มิว” แก้วเรียกชื่อคนซ้อนท้ายที่ลงจากรถแล้วถอดหมวกกันน็อกออกพอดี เขามองซ้ายมองขวาอย่างลนๆไม่คิดว่าจะบังเอิญมาเจอกันที่นี่ เขากลัวว่าโจ้หรือพี่ไม้จะมาเจอ กลัวว่ามิวจะรู้เรื่องที่เขาทำ ระแวงไปซะทุกอย่าง
“แก้วมาทำอะไรที่นี่เหรอ” มิวถามปกติหรือว่ากำลังสงสัยอะไรอยู่รึเปล่า …อันนี้เขาคงระแวงไปเอง
“คือ...”
“แล้วนี่ ไม่ไปฝึกงานเหรอมาทำอะไรที่อู่พี่ฝิ่น” มิวถามมาอีกคำ ก็ช่วงที่กรอกเอกสารเขาอยู่กับไอ้พงษ์แล้วก็มิว มิวคงจำได้ว่าเขาจะไปฝึกงานที่โรงแรมไม่ใช่ที่อู่ซ่อมรถ
“คือ แก้ว...” เขาคิดหาข้อแก้ตัวโดยต้องไม่ให้มีพิรุธ และมิวต้องไม่ข้องใจอีก “เอ๊ะ มิวรู้?” แต่กลับสะดุดเข้ากับคำพูดของมิวเมื่อกี้
“อ้อ เอ่อ...” กลายเป็นมิวที่ตะกุกตะกักหน้าเสียไป
“...มิวรู้ได้ยังไงว่าเป็นอู่ซ่อมรถของไอ้ฝิ่น”
“คือว่า...แก้ว คือมิวขอโทษ พี่ฝิ่นเขา”
“พี่ฝิ่น?”
“ไอ้แก้ว เข้าไปแยกน็อตข้างในไป” เขามองหน้ามิว และมองหน้าโจ้ที่เดินมาแทรกบทสนทนาแล้วไล่ให้เขาเข้าไปในร้าน มิวหน้าถอดสีมองเขาคิ้วชนกันก่อนจะก้มหน้าหลบตา
มิว...รู้จักไอ้ฝิ่นมากกว่าคนที่จับตัวมิวไปเป็นข้อต่อรองวันนั้นด้วยเหรอ
“กูบอกให้มึงเข้าไปข้างใน!” โจ้เสียงดังใส่
แต่...ไม่ เขาต้องการรู้อะไรมากกว่านี้ แก้วเรียกมิวอีกครั้งเพื่อต้องการพูดกันให้รู้เรื่อง
“มิว...”
“รถเป็นอะไร?” โจ้ถามมิวขึ้นมาโต้งๆทั้งที่เขากำลังพูดกับเธออยู่
“มันอืดๆบิดไม่ค่อยวิ่ง” เพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนขับตอบ แล้วมิวเองก็ดูเหมือนสนใจที่จะคุยกับโจ้มากกว่ากับเขา
“เดี๋ยวดูให้เอง อีกชั่วโมงค่อยกลับมาเอา ตอนนี้จะไปไหนกันก็ไปก่อนได้เลย”
“ไม่เป็นไรรอได้เราไม่มีธุระอะไร” เพื่อนมิวคนเดิมบอก
“บอกว่าค่อยกลับมาเอาไง” โจ้เสียงแข็งมองหน้ามิว มิวจึงรีบสะกิดแขนเพื่อน
“เอ่อ แก้ว สบายดีนะ มิวขอตัวก่อนล่ะ” มิวถามเขาเป็นมารยาทด้วยใบหน้าเจื่อนๆของเธอ
“ก็ดี...” เขาตอบ ก่อนที่มิวกับเพื่อนจะเดินออกจากอู่ไป แต่เขายังยืนมึนอยู่ที่เดิม
ขอให้เป็นแค่เรื่องบังเอิญถ้ามิวกับฝิ่นจะรู้จักกันหลังจากเรื่องวันนั้น
ขอให้สิ่งที่อยู่ในหัวสมองตอนนี้ เขาคิดมากไปเองคนเดียว
แก้วปลอบตัวเองว่าอย่างนั้น ทั้งที่ในใจมันกำลังหวั่นๆอย่างหาสาเหตุไม่ได้
...หรือจริงๆแล้วเขาไม่อยากรับรู้อะไรเองต่างหาก
แค่พงษ์...แค่พงษ์ก็พอแล้ว อย่าหลงระเริงกับเพียงการได้อยู่ในสายตาของคนที่มองเราอย่างมีจุดประสงค์
เพียงตัวเองทำตามที่มันต้องการเท่านั้นก็พอแล้ว อย่าได้คิดอะไรไปไกล
แต่...กับใจที่เหมือนมีช่องโหว่ตอนนี้ เขาจะทำยังไงกับตัวเองดี
.............................
ขอโทษที่มาช้ามากๆนะคะ เหตุผลเดิมยังไม่หาย แต่มันมีเหตุอีกอย่างคือโน๊ตบุ๊คการ์ดจอเสียส่งซ่อมตั้งแต่วันเสาร์เมื่อวานโทรไปร้านซ่อมเขาบอกรออีกสองวัน ตัวเราเลยมาปั่นที่ทำงานแทนซึ่งสมาธิมีน้อยมาก เฮ้อ จะเป็นลม
ขอบคุณทุกคนอ่าน ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ^^ กอดๆจุ๊บๆ
ปล.ปากแก้ว เอ้ย! อิมเมจรูปปากของแก้ว หน้าตาไอดอลที่ก๊อปมามันไม่ใช่แก้วเลยตัดมาแค่นี้ ดูผ่านๆนะคะ ริมฝีปากเขาสวยดีเราเลยโมเมมา ฮ่าๆๆ
แค่เนี้ย?