อ้อมกอดเด็กช่างตอนที่ ๙
“เสร็จแล้วตามขึ้นไปข้างบนด้วย” ฝิ่นบอกหลังจากที่เขาเซ้าซี้ทำความสะอาดแผลให้ใหม่จนเสร็จเรียบร้อย และมันกำลังจะเดินออกจากห้อง
“ไป...”
“ไปไหน? ทำไมมึงต้องถามด้วยวะ กูบอกอะไรแค่ฟังแล้วทำตามไม่ได้รึไง?” เขาจำต้องหุบปากลง ไม่ถามก็ไม่ถาม
“ล่ามตัวเองซะ” ลูกกุญแจกับแม่กุญแจที่ติดกันอยู่ตั้งแต่เมื่อกลางวันถูกวางกระทบโต๊ะ
“ไหนบอกว่า ตอนมึงอยู่ไม่ต้องล่ามโซ่ไง” เขาท้วงด้วยความกล้าๆกลัวๆ และตัวเขาเองก็สบายใจเมื่อถูกล่ามโซ่โดยที่ไม่มีมันอยู่มากกว่า
“ในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงมานี่ มึงยังคิดจะหนีไปกับไอ้ดิวอยู่เลย แล้วกูจะเชื่ออะไรมึงได้ ห๊ะ!” เขาไม่ได้คิดหนีสักนิดเลยเถอะ ทำไมมันต้องยัดเยียดความคิดของตัวมันเองให้เขาด้วยนะ
แก้วนั่งกับพื้นชันเข่าไขกุญแจปลดล็อกโซ่ออกจากข้อเท้า ล่ามตัวเองก็ต้องไขให้ตัวเอง มีอย่างที่ไหน เฮ้อ แล้วปิดเครื่องปรับอากาศ ปิดไฟในห้อง เดินตามขึ้นไปยังบนบ้าน
ยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนที่จัดโต๊ะอาหารรอ แม่ฝิ่นพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้มเช่นเมื่อวาน
“ไม่ต้องไหว้ทุกวันหรอกลูก นั่งๆตามสบายนะ” แก้วมองหน้าฝิ่นอย่างลังเล เชิงถามว่า เขาต้องนั่งตรงไหน คำตอบถูกส่งมาด้วยสายตาตำหนิเชิงเบื่อรำคาญ เขาทำอะไรผิดอีกล่ะเนี่ย ...แก้วจึงเลือกนั่งตรงข้ามกับมันอย่างเก้ๆกังๆ
“เมื่อเช้าพระมาบิณฑบาต ถามหาลูกด้วย” ตักข้าวให้ลูกชายและเพื่อนของลูกตามความเข้าใจพลางชวนคุย
“หนูก็ว่าจะไปหาเหมือนกัน”
“เหลือกันอยู่แค่นี้ มีอะไรก็คุยกันซะ อย่าคิดเองคนเดียวมันหนักเกินไปลูก” ฝิ่นมองหน้าแก้ว เขารีบหลุบตาลงต่ำเพราะรู้สึกว่าเรื่องที่คุยกันอยู่มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเขา
“หนูรู้...แล้วนี่พ่อไม่กลับมากินข้าวเที่ยงเหรอ” ฝิ่นเปลี่ยนเรื่องคุย
“โทรมาบอกว่ารถเยอะ เดี๋ยวงานเสร็จไม่ทันลูกค้าใช้ คงหากินแถวโน้น รุ่นร้องลูกก็อยู่ไม่ต้องไปห่วงเขาหรอก”
“งั้น หนูไปช่วยพ่อที่อู่ก่อนเสร็จแล้วค่อยไปหาหลวงพี่ดีกว่าเนอะ”
“ไม่ต้องหรอก ไปวัดก่อนเถอะเห็นพระว่ามีเรื่องจะคุย”
“อ้อ อืม เอาอย่างนั้นก็ได้”
ระหว่างทานข้าวมื้อเที่ยงสองคนแม่ลูกก็พูดคุยกันไป มีแต่แก้วที่นั่งก้มหน้าก้มตาตักข้าวเข้าปากอย่างเงียบๆพร้อมกับสายตาคนตรงข้ามที่คอยส่งมาจิกกัดอยู่เรื่อยๆ
“ผมช่วยครับ” เมื่อเสร็จแล้วแก้วรีบลุกช่วยเก็บจานชามเข้าไปในครัวด้วยความเกรงใจ เขาจะช่วยล้างอยู่แล้วแต่ถูกห้ามไว้ก่อน
“ฝิ่นน่ะตั้งแต่เป้งไปมันก็เงียบลงมาก คนพี่ก็หันหน้าเข้าวัดจะพูดจะคุยกับใครมันก็ไม่เหมือนกัน แม่ก็เป็นห่วงแต่ทำได้แค่ยืนดู ยิ่งเขาไม่พูดแม่ก็รู้ว่าเขายิ่งคิดมาก” แม่ฝิ่นปรับทุกข์
ไม่ใช่แค่ไอ้ฝิ่นที่เป็นทุกข์กับการสูญเสียเท่านั้น ผู้หญิงคนนี้ก็ทุกข์ด้วยสินะ แล้วยังมีใครอีกล่ะที่ไม่ได้ยืนอยู่อยู่ตรงหน้าเขา เพราะใคร...
“พี่ที่ชื่อไม้บวชเหรอครับ” ถามออกไปด้วยความข้องใจ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่เห็นใครอีกคนที่น่าจะตัวติดกับฝิ่น
“อ้าว หนูไม่รู้หรอกเหรอลูก” แม่ฝิ่นย้อนถามด้วยความสงสัย
“เอ่อ อ้อ ผมลืมน่ะครับ” เขาแก้เก้อหัวเราะกลบเลื่อนทำเป็นรู้เรื่อง
แสดงว่าพี่คนนั้นบวชตั้งแต่งานศพแล้วสิ ถึงว่าไม่ยักเห็นตั้งแต่วันที่อยู่โรงพักแล้ว
ถึงไม่ได้ช่วยล้างแต่แก้วก็ช่วยแม่ฝิ่นเก็บจานเข้าชั้นวางจนเสร็จ ด้วยเพราะรู้สึกอบอุ่นเวลาอยู่ใกล้ๆผู้หญิงคนนี้
“แม่ฝากอยู่เป็นเพื่อนมันหน่อยนะลูก มีคนอยู่ข้างๆตอนมันอ่อนแอ แม่ก็เบาใจไปเปราะนึง” อ่อนแอเหรอ? ตั้งแต่เจอหน้ากันเขาก็เคยเห็นวันที่รู้สึกว่าไอ้ฝิ่นมันอ่อนแอแค่ครั้งเดียว แล้วหลังจากนั้นน่ะเหรอ...
“...ครับ” เขารับคำอย่างเสียไม่ได้ ถ้าวันหนึ่งแม่ฝิ่นรู้ว่าเขามีส่วนทำให้ลูกชายแม่เป็นอย่างนี้ เขายังจะได้เห็นรอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนี้อีกไหม
อีกอย่างยังไงซะเขาก็ต้องอยู่อยู่แล้วนี่ อยู่เพื่อชดใช้ให้มัน... จนกว่ามันจะพอใจ
.
.
.
“ฝิ่น” ชายในชุดจีวรเหลืองเรียกทักรุ่นน้องเสียงแข็ง เมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนเดินตามมาด้วย
แก้วยกมือไหว้
“ผมรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ พี่ไม่ต้องคิดมากน่า” ฝิ่นพูดดักหลวงพี่ของตน
หลวงพี่ไม้ส่ายหน้าเมื่อโดนทักท้วงตั้งแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร
“ตอนนี้มึงรู้...แล้วต่อไปล่ะ? มึงรู้ด้วยรึเปล่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง” สายตาหลวงพี่จ้องมองนัยน์ตารุ่นน้องอย่างจริงจัง ก่อนจะนั่งลงที่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่
แก้วก้มหน้าคิดตาม แล้วเพื่อนเขาล่ะ มันรู้ทั้งก่อนทำและหลังทำ แต่ทำไมมันยังทำนะ...
“วันข้างหน้าก็ต้องเป็นวันของผม ผมไม่เคยเสียใจในสิ่งที่ผมทำ” ฝิ่นพูดอย่างหนักแน่นด้วยเชื่อในความคิดของตนเป็นที่สุด แล้วจึงเดินไปนั่งลงข้างๆหลวงพี่ไม้
“จำคำมึงไว้ให้ดี”
“สาธุ” ฝิ่นยกมือไหว้เหนือหัวเหมือนซาบซึ้งในคำสอนของพี่เสียเหลือเกิน “แล้วพี่จะสึกได้รึยัง” พลางเปลี่ยนบรรยากาศ
“ไอ้นี่ มาทีไรชวนกูสึกตลอด บาปนะมึง แล้วไอ้แก้วจะยืนค้ำหัวพระอีกนานไหม” หลวงพี่ไม้ส่ายหน้าพลางยิ้มน้อยๆกับท่าทางกวนประสาทของรุ่นน้อง ก่อนเอ่ยชวนใครอีกคนให้นั่งตาม
แก้วนั่งลงแต่หันหลังให้กับรุ่นพี่รุ่นน้องคู่นี้ ทำตัวเป็นผู้ฟังอย่างเงียบๆ
“ตัวบาปไม่กล้าเข้าใกล้ผมหรอก ตกลงเมื่อไหร่ว่ามา”
“วันมะรืน กลัวผมขึ้นไม่ทันฝึกงาน” หลวงพี่พูดปนขำ
“หึ ห่วงหล่อหรือว่าอิ่มในรสพระธรรมแล้ววะ” พูดจบ จุดบุหรี่แล้วส่งให้
“...ไม่หรอกว่ะ กูไม่ได้ตั้งใจใฝ่ธรรมะอะไรมากมายแต่แรกอยู่แล้ว กูแค่คิดว่าลองได้สงบบ้างคงจะดี แต่มันคงสงบจนเงียบเกินไป กู...” ตัดประโยคด้วยการคีบบุหรี่เข้าปาก แล้วพ่นควันช้าๆอย่างปลงๆ
“ผมก็คิดถึงมัน”
“หึ แต่กูไม่ว่ะ มันมาหากูออกจะบ่อย” มองหน้ารุ่นน้องอย่างเหนือกว่าแล้วเสมองไปทางสระน้ำเช่นเดิม
“เฮ้ย จริงดิ ได้ไงวะ เหี้ยเป้งไม่เห็นไปหากูมั่งเลยนะมึง” ฝิ่นโวยวายอย่างไม่จริงจังนัก พลางแอบมองใบหน้าที่วางไว้เรียบเฉยแต่ก็ดูออกว่าในใจคงจะหนักอึ้งอยู่ไม่น้อย
“หึ เข้าป่าคราวหน้าคงไม่มีใครมานอนเบียดแล้วสิ” นี่นะคำพูดของคนที่ไม่คิดถึง
“มันรีบก็ให้มันไปก่อนเถอะ อีกเดี๋ยวผมก็คงตามไปเหมือนกัน”
“ไอ้เหี้ย” ฝิ่นยกมือรับพรก่อนจาก ถ้าไม่ติดว่าห่มผ้าเหลืองอยู่ หลวงพี่ไม้คงได้ไล่เตะเขาเป็นแน่
.
.
.
ฝิ่นกลับขึ้นรถเมื่อร่ำลาหลวงพี่ไม้เสร็จ หยิบแว่นกันแดดมาใส่แต่ยังไม่ยอมออกรถ
“พี่กูไม่เคยเศร้าขนาดนี้ ...เพราะเพื่อนมึงคนเดียว” แก้วก้มหน้ายินยอมรับคำต่อว่าต่อขานแต่โดยดี
“หึ เงียบทำไม มึงมีความสุขไหมกับผลพวงที่มึงทำ” แก้วเม้มปากเบือนหน้าหนี ไม่ต้องย้ำเขาก็รู้แล้ว ไม่ต้องย้ำเขาก็เข้าใจ ความรู้สึกของการจากไปอย่างไม่มีวันกลับน่ะ เขารู้จักดี แต่จะให้เขาทำยังไงไอ้ฝิ่นมันถึงจะรู้ว่าตัวเขาเองก็เสียใจมากกับเรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
“บอกกูสิ” มันบีบไหล่เขาทั้งสองข้าง พลางเขย่าคาดคั้นเอาคำตอบ
“กู...” มันเป็นอุบัติเหตุ มันเป็นอุบัติเหตุ แก้วย้ำสิ่งที่เขาคิดอยู่ข้างในเพียงคนเดียว
“ขอโทษสักครั้ง มึงยังทำไม่ได้เลย” มันผลักเขาจนกระแทกกระจกข้างแล้วค่อยถอยรถออกจากวัดด้วยความเร็ว
...ถ้าขอโทษก็เท่ากับว่าผิดน่ะสิ
เขายินดีรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่...เขายอมรับว่าไอ้พงษ์ทำผิดไม่ได้จริงๆ
.
.
.
“กลับมาแล้วเหรอไอ้หนู มาๆนั่งกินเหล้ากับพ่อหน่อย ฉลองที่วันนี้ลูกค้าเยอะเป็นพิเศษโว้ย” แก้วยกมือไหว้ผู้ชายที่ดูมีอายุ มือตบเสื่อเรียกลูกชายให้เข้าไปนั่งด้วย
“แม่บอกรถเยอะ ไอ้เราก็ว่าจะเข้าไปช่วย ไปถึงไอ้โจ้บอกพ่อกลับบ้านแล้วซะงั้น” ฝิ่นเดินไปนั่งกับพ่อ
“เจ๋งไหมล่ะ ฮ่าๆๆ แล้วใครวะนั่น ไม่เคยเห็นหน้าเลย” เหมือนมันจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีเขายืนอยู่ข้างหลังมันเมื่อคุณลุงเอ่ยทักขึ้นมา
“นั่ง” มันจึงหันมาสั่ง “เด็กโนTพ่อ พกไว้ทำเท่” ยักคิ้วบอกพ่อตน
แก้วนั่งลงข้างๆฝิ่น
“เท่ตรงไหนวะ เจี๋ยมเจี้ยมซะขนาดนี้ มึงเรียนอะไรวะไอ้หนู” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามทั้งยังยื่นแก้วเหล้าส่งให้เขา
แก้วรับมาอย่างขัดไม่ได้
“อิเล็กฯครับ” เขาตอบ แล้วยกแก้วเหล้าเข้าปากอย่างเฝื่อนขมเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เขาไม่เคยจะชินกับรสชาดมันเลยทั้งที่โดนจับกรอกปากออกจะบ่อย
“เรียนช่างน่ะมันต้องกระโชกโฮกฮากหน่อยสิวะ เรียบร้อยไปไหนเนี่ย” พ่อฝิ่นยังคงต่อว่าเขาไม่หยุด จนเขารู้สึกเกร็งไม่น้อยไปกว่าตอนที่ถูกไอ้ฝิ่นตะคอกเลย
“พ่อไปว่าเพื่อนลูกทำไม เด็กมันดี รู้จักกาลเทศะก็ดีอยู่แล้ว” แม่ฝิ่นวางกับแกล้มไว้ให้ ต่อว่าสามีเล็กน้อยก็กลับเข้าไปในบ้านทันทีเพราะไม่ใช่วงสนทนาของตน
“แล้วไปเอาไอ้หน้าอ่อนนี่มาไว้บ้านทำไมวะ” เหมือนถูกเมียต่อว่าเลยเปลี่ยนไปซักลูกชายตัวเองแทน น้ำเสียงเริ่มอ้อแอ้ คงจะดื่มมาก่อนสักพักแล้ว
“เปล่า หนูก็แค่นึกสนุกๆไม่มีอะไรหรอกน่า”
“โกหกพ่อมันบาปนะเว้ย” พูดอย่างรู้ทันลูกชายตัวเอง
“หนูถึงพูดความจริงแค่ครึ่งเดียวไง”
“แหนะ มันกะล่อนได้ใครวะ” พ่อส่งแก้วเหล้าให้ลูกชายอีกรอบ “เออ แล้วตามคนทำไอ้เป้งได้รึยัง”
“กำลังจัดการอยู่พ่อ” มันตอบ พร้อมเหล่ตามองแก้วที่เริ่มจะก้มหน้างุดอีกครั้ง
“เอาคืนไม่ต้องเอากันให้ตายก็ได้นะฝิ่น ลูกก็ผ่านความรู้สึกนั้นมาแล้วน่าจะรู้ดีว่ามันมีแต่ทุกข์”
“หนูรู้น่า เอ้า ชนๆ ซีเรียสทำไมพ่อนี่ ”
.
.
.
แก้วพาดแขนฝิ่นไว้บนไหล่แล้วพาเดินเข้าไปยังห้องนั่งเล่น สภาพอย่างนี้เขาคงไม่มีแรงแบกมันลงห้องใต้ดินได้ แม่ฝิ่นเลยให้พามันมานอนที่sofa bed ตรงห้องนั่งเล่นแทน
“ทำไมผู้ชายอย่างมึงถึงเป็นคนสำคัญได้วะ กูไม่เห็นว่ามึงจะมีอะไรดีสักอย่าง” เมาอย่างที่แก้วไม่เคยเห็นมาก่อน วันที่เจอกันครั้งแรกนึกว่ามันไม่ได้สติแล้ว แต่วันนี้คงจะมากกว่า ถึงได้กอดคอพร่ำเรื่องของเขาอยู่อย่างนี้
“อะไรดีที่ว่าคือความเป็นอันธพาลรึเปล่า” แก้วปล่อยตัวฝิ่นลงบนโซฟาอย่างไม่กลัวมันเจ็บและไม่กลัวว่ามันจะไม่พอใจ...เมาขนาดนี้มันจะทำอะไรเขาได้
“หึ ยกเว้นแม่งปากดี” ฝิ่นดึงแขนเขาให้ล้มตามลงไป แก้วสะดุ้งยันแขนคล่อมตัวมันไว้เกือบไม่ทัน “มึงเป็นเกย์เหรอวะ” ฝิ่นหลับกระซิบถามเบาๆ
“อะ อะไรนะ!”
“มึงอยากรู้ไหมอะไรที่จะทำให้กูพอใจจนเลิกราวีโนTคนอื่นๆได้” ไอ้ฝิ่นมันคง...เมามากไปแล้ว ถึงได้พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลชวนขนลุกแบบนี้ ทั้งยังมือที่ลูบไล้มาถึงสะโพกเขาอีก
แก้วรีบตะปบมือหนานั้นไว้ก่อนที่มันจะลูบวนไปมากกว่านี้ พลันคนเบื้องล่างก็ลืมตาอันหยาดเยิ้มขึ้นมาประสานกับสายตาเขาพอดี
“รักกูสิ แล้วกูจะปล่อยพวกมึงไป...ทุกคน”
....................................
ค่อยๆรักกัน เบาเบา...ในวันที่คนเขียนไม่มีแรงจิ้น
บทสนทนา และเวิ่นๆบางช่วง(ไม่กล้าใช้คำว่าบทบรรยาย) งงกันไหมคะ ไม่หรอกเนอะ(ไซโค) อิอิ
คนเขียนรู้สึกไปเองว่าตอนเช้าอากาศมันเย็นๆผิดปกติอะนะ ร่างกายมันเลยปรับตัวไม่ทัน ก็เลยต้องนอนไวเป็นพิเศษ (เกี่ยวไหมน๊อ) อิอิ เอาน่าดีกว่าน๊อคไปเลยเนอะ ตอนนี้จึงเสร็จช้าหน่อย จากที่พยายามจะให้เสร็จภายในสองวันT^T
:pig4:ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ กอดๆ ^^