“ใครจะไปนึกล่ะเนอะ........” ผมเอาหน้าผากชนเข้ากับหน้าผากของเมฆเบาๆแล้วค้างอยู่อย่างนั้น “ว่าสุดท้ายแล้วผู้ชายสองคนก็สามารถมีลูกด้วยกันได้แบบนี้น่ะ”
“ใช่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องไปทำอะไรกับผู้หญิงเลยสักครั้งก็ตาม........ แถมผู้หญิงคนนั้นยังเป็นไอ้อีฟอีกด้วยนิ่สิ”
เราสองคนหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน จากนั้นก็นั่งกุมมือหันหน้ามองดูพระอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนคล้อยต่ำลงสู่ผิวน้ำอย่างเชื่องช้า ผมเชื่อว่าในตอนนี้เราทั้งคู่ต่างก็คงมีความคิดเหมือนๆกัน นั่นก็คือความรู้สึกที่อยากจะหยุดช่วงเวลาในตอนนี้เอาไว้อย่างนี้ไปตลอดกาล..........
“นานกว่านี้อีกนิดทะเลก็จะกลายเป็นน้ำเชื่อมแล้วนะครับ” เสียงของไคล์ดังขึ้นจากทางด้านหลังของเราสองคน
เมื่อเราหันหลังกลับไปก็เห็นว่าไคล์ พี และพี่แอมป์กำลังยืนยิ้มรอพวกเราอยู่แล้ว
“รีบกลับกันเถอะครับ อาหารเย็นพร้อมแล้วนะ” พีพูดขึ้น
“ทั้งสามคนมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย” ผมพูดขณะที่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับปัดทรายออกจากกางเกง
“เมื่อไม่กี่วินาทีนี้เองแหละจ้ะ” พี่แอมป์พูดพร้อมกับขยิบตาให้ผม “ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ขอกลับก่อนนะ มีอะไรต้องทำนิดหน่อยน่ะ”
“ไปกันเถอะครับ ทุกคนรอกันอยู่นะ”
“เดี๋ยวสิไคล์ มานั่งที่นี่ด้วยกันก่อน” เมฆกวักมือเรียกทั้งสองคน
ไคล์กับพีต่างก็เดินตรงมานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างเราสองคน
“ดูนั่นสิ พี่ชอบที่นี่มากเลยรู้มั๊ย เพราะมันมีทั้งท้องฟ้า ก้อนเมฆ พระอาทิตย์ ผืนน้ำ ผืนทราย และก้อนหินที่วางอยู่เกลื่อนกลาด......... จะมีสักกี่ที่ในโลกใบนี้ล่ะที่จะให้ความรู้สึกที่ทำให้เราคิดถึงกันได้ในทุกๆครั้งแบบนี้” เมฆพูดขึ้น
“เวลามันผ่านไปเร็วนะครับ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะรู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว”
“และจากนี้ตลอดไปครับ พี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามในอนาคตนับจากนี้ พี่เชื่อว่าเราสี่คนก็จะยังคงมีกันและกันแบบเดิมเช่นนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จริงมั๊ย”
ผม ไคล์ และพี ต่างก็พยักหน้าออกมาพร้อมๆกัน เราสี่คนนั่งมองดูพระอาทิตย์ตกจนลับเส้นขอบฟ้าไป จนกระทั่งท้องฟ้าที่เคยสว่างเริ่มเปลี่ยนเป็นความมืด ผมจึงลุกขึ้นยืนและส่งสัญญาณให้พวกเราออกเดิน
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวพวกนั้นเค้าจะรอนาน แถมที่สำคัญ ตอนนี้พี่เองก็เริ่มหิวแล้วซะด้วย”
มื้อเย็นครั้งนี้เป็นอะไรที่ทุกคนต่างก็เต็มที่กับมันมาก อาหารมากมายนับสิบจานต่างก็วางเรียงรายกันจนเต็มโต๊ะ บรรดาแม่ครัวและพ่อครัวรุ่นเก๋าต่างก็พากันโชว์ความสามารถของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้น้อยหน้าพ่อครัวแม่ครัวรุ่นเล็กอย่างพวกอีฟและพวกไอ้วิท แต่ว่าที่ยิ่งไปกว่าอาหารจานไหนๆนั่นก็คือความสุขที่ทุกคนล้วนแต่แบ่งปันกันอย่างเต็มที่ โดยมีไอ้ตัวเล็กของพวกเราเป็นศูนย์กลางความรื่นเริง ถึงแม้วายุจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของผมกับเมฆ แต่ว่าทั้งกอลฟ์และอีฟต่างก็ยอมรับในตัวของเราทั้งคู่มาก รวมทั้งยอมรับในตัวพ่อและแม่ของพวกเรามากถึงขนาดให้วายุเรียกพ่อๆและแม่ของเราว่าปู่กับย่าด้วยซ้ำไป ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้พ่อและแม่ทุกคนมีความสุขมากขึ้นไปอีกที่ในที่สุดก็ได้มีหลานสมใจ ถึงแม้ว่าทุกคนจะเคยตัดใจจากเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งก็ตาม และก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าหลานชายตัวน้อยคนนี้จะได้รับการเอาใจและตามใจจากบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายมากมายขนาดไหน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม วายุก็เป็นเด็กที่ฉลาดและน่ารักมาก เจ้าตัวเล็กคนนี้ไม่เคยงอแง ไม่ดื้อ และไม่ซนจนทำให้ใครๆต้องปวดหัวเลยสักครั้ง เจ้าตัวแสบตัวน้อยนี่ต่างก็ได้ส่วนที่ดีของทั้งพ่อและแม่มาจนหมด ไม่จำเป็นต้องรวมถึงหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่ใครๆเห็นต่างก็ต้องหลงด้วยเลยด้วยซ้ำไป ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าอีฟเป็นผู้หญิงที่เก่งและยอดเยี่ยมมากขนาดไหน รวมทั้งไอ้กอล์ฟเพื่อนสนิทผมคนนี้เองก็ด้วยเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งสองคนก็ยังคงยืนยันว่าทั้งผมและเมฆต่างก็มีส่วนสำคัญที่ช่วยเลี้ยงดูให้ลูกของ “เรา” น่ารักได้มากถึงเพียงนี้ด้วยเช่นกัน
เวลาเริ่มผันผ่านไปจนท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ดวงดาวที่เคยไร้แสงในยามกลางวันก็เริ่มส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับเต็มท้องฟ้า อาหารที่เคยมีมากมายจนพูนจานก็เริ่มที่จะร่อยหรอลงจนเกือบหมด ทุกคนที่เคยครื้นเครงกันต่างก็เริ่มที่จะแยกตัวกันไปจับกลุ่มนั่งคุยกันเงียบๆ ชื่นชมกับความงามตามธรรมชาติและความเงียบสงบในยามค่ำคืน เสียงเพลงบรรเลงเพียงเสียงเดียวที่มีอยู่และดังก้องไปทั่วบริเวณก็คือเสียงดนตรีจากธรรมชาติอันเกิดจากสายลมและเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งเป็นระลอกๆ ทุกคนในที่นี้ต่างก็มาที่นี่เพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตประจำวันในตัวเมืองอันสู่ความเงียบสงบเช่นนี้เอง และที่ยิ่งไปกว่านั้น นั่นคือความสุขกับการที่เราได้ใช้ช่วงเวลาดีๆกับครอบครัวและคนที่เรารักมากอย่างนี้นี่เอง
“ดูเจ้าตัวแสบนี่สิ” ผมสะกิดเมฆให้ดูเจ้าวายุที่กำลังนอนกรนเบาๆอยู่บนตักของผม “เมื่อสิบนาทีที่แล้วยังเต้นเย้วๆอยู่เลย แต่ดูตอนนี้สิ จู่ๆก็หลับไปซะแล้ว”
“แต่เดี๋ยวลูกจะหนาวรึเปล่า พาลูกเข้าบ้านก่อนดีกว่ามั๊ย”
เมื่อราวๆสิบห้านาทีก่อนเราสองคนหลบมานั่งกันอยู่ใต้ต้นมะพร้าวต้นนี้เงียบๆตามลำพัง แต่ก็ไม่พ้นที่จะโดนเจ้าตัวแสบตัวน้อยนี่ตามมาเจอจนได้ และไปๆมาๆ มันก็มานอนหลับอยู่บนตักของผมอย่างที่เห็นตอนนี้นี่แหละ
“เมฆ ซัน”
ผมหันไปตามเสียงเรียกของอีฟ “นี่ไง พ่อกับแม่มันมาพอดีเลย เราสองคนกำลังว่าจะพามันเข้าไปนอนในบ้านอยู่พอดีเลย อีฟ กลัวว่าเดี๋ยวมันจะเป็นหวัดเอาน่ะ”
“นั่นสิ แต่ว่าไม่เป็นไรหรอก เราเอาผ้าห่มมาให้แล้ว เดี๋ยวให้กอล์ฟอุ้มมันไปนอนบนก้าอี้ยาวนั่นก็แล้วกัน” อีฟหันไปพยักหน้าให้กับกอลฟ์ จากนั้นไอ้กอล์ฟก็มาอุ้มวายุขึ้นจากตักผมไปอย่างช้าๆ
“ทำไมไม่ให้ลูกไปนอนในบ้านดีๆล่ะ อีฟ”
“ก็เราไม่อยากให้มันพลาดช่วงเวลาดีๆแบบนี้น่ะสิ ถึงมันจะยังหลับอยู่ก็เถอะนะ” อีฟยิ้ม
“เวลาอะไร”
“มาสิ เมฆ ซัน ทุกคนรออยู่ตรงนั้นนะ” อีฟเดินนำพวกเราตรงไปยังลานหน้าบ้าน
ที่นั่น ทุกคนมานั่งรวมตัวกันอยู่อย่างพร้อมหน้า แสงไฟจากเทียนนับร้อยเล่มถูกจุดขึ้นจนทั่วบริเวณ และแม้ในขณะที่เรากำลังเดินไป พวกไอ้วิทไอ้แป๊ะก็ยังคงกำลังช่วยกันจุดเทียนให้ครบกันอยู่เลย
“โห นี่มันเนื่องในโอกาสอะไรครับเนี่ย พ่อ” ผมหันไปถามพ่อเอกที่นั่งอยู่ใกล้ผมที่สุด
“นั่นไง” พ่อเอกพยักหน้าไปทางประตูบ้านของไอ้วิทที่ถูกเปิดออก
ป๋อมและเดียร์ค่อยๆช่วยกันเดินถือเค้กก้อนใหญ่ออกมาจากในบ้านพร้อมๆกับเสียงปรบมือเบาๆจากคนรอบข้าง
“เฮ้ย ชิบหายแล้ว วันเกิดใครวะ เมฆ” ผมหันไปกระซิบถามเมฆ
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ตายห่าแล้ว นี่เราสองคนลืมวันเกิดใครไปรึไงเนี่ย” เมฆกระซิบตอบผมกลับมา
“นี่ เค้กช็อกโกแล็ตสูตรพิเศษของพวกเราเลยนะเว้ย เมฆ ซัน” เดียร์พูดขึ้นเมื่อวางเค้กลงบนโต๊ะแล้ว
ผมกับซันหันมามองหน้ากันงงๆ
“เมฆ ซัน มันอาจจะเร็วไปสักสองวัน แต่ว่าพ่อและทุกๆคนในที่นี้ต่างก็ยินดีที่จะบอกว่า สุขสันต์วันครอบรอบปีที่เจ็ดของทั้งสองคนนะลูก” พ่อเล็กยืนขึ้นพูดและตบบ่าของผมกับเมฆเบาๆพร้อมกับเสียงกู่ร้องแสดงความยินดีจากทุกๆคนรอบทิศทางและเสียงเพลงที่ถูกเปิดขึ้นโดยไอ้วิท ทำให้แม้แต่ไอ้ตัวแสบที่หลับไปแล้วก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมานั่งงัวเงียตบมืออยู่ข้างๆแม่ของตัวเองไปพร้อมกับคนๆอื่นด้วยเหมือนกัน
“ขอให้มีความสุขมากๆนะ เมฆ ซัน” พ่อเล็กกอดเมฆ แล้วก็หันมากอดผมด้วยเช่นกัน “ดูแลความรักของตัวเองให้ยั่งยืนได้อย่างนี้ตลอดไปนะ ซัน พ่อรักลูกทั้งสองคนมากนะ”
“ขอให้มีความสุขนานๆนะลูก รักกันและมั่นคงกันให้ตลอดไป” แม่ของผมเดินเข้ามากอดผมกับเมฆ ถัดจากนั้นก็เป็นพ่อ
“พ่อก็คงไม่มีอะไรจะพูดมากนักหรอก แค่ขอให้ทั้งสองคนเชื่อมั่นในตัวเองอย่างที่เคยเป็นมาก็พอนะ”
“แหม เดี๋ยวรอวันที่ลูกเขยของป้าได้รับการยินยอมจากพ่อแม่เค้าบ้างก่อนเถอะ จะเอาให้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งานนี้เลยคอยดู” ป้าแอ๊นท์หัวเราะพลางกอดผมสลับกับเมฆไปด้วย “แต่สำหรับหลานชายที่น่ารักของป้าทั้งสองคนนี้ ป้าก็ไม่ขออะไรมากนอกจากแค่ความรักที่เป็นนิรันดรอย่างที่ทั้งคู่มีอยู่แล้วนี้ก็พอนะ”
“ขอให้รักกันนานๆนะ เมฆ ซัน” ลุงคาร์ลอสพูดเป็นภาษาไทยสั้นๆด้วยสำเนียงแปร่งๆพร้อมกับตบบ่าพวกเราสองคน
“วันครบรอบ........ ของผมสองคน” ไอ้เมฆพูดออกมาอย่างตะกุกตะกักเมื่อหลุดจากการถูกสวมกอดจนครบทุกคนแล้ว
“ก็ใช่น่ะสิ อะไรวะ จำวันครบรอบแต่งงานตัวเองไม่ได้รึไง” ไอ้กอล์ฟกระทุ้งสีข้างเมฆเบาๆ
“ไม่ใช่ คือ พวกกูจำได้ แต่ไม่คิดว่ามันจะ เอ่อ เป็นอะไรแบบนี้”
“แถมที่สำคัญพวกกูแต่งงานกันแล้วซะเมื่อไหร่เล่า”
“แล้วจะรอจนกว่าที่รัฐบาลไทยจะอนุญาตให้มีการแต่งงานของผู้ชายรึไง ไอ้ซัน” ไอ้แป๊ะแย้ง
“ใช่ๆ แค่พวกมึงรักกัน แลกแหวนกัน แลกคำสาบานกัน พ่อแม่ผู้ใหญ่รับรู้และยินยอม นั่นก็เรียกว่างานแต่งงานแล้วเว้ย”
“อ้อ แล้วก็ไอ้เอ็นฝากความคิดถึงและคำอวยพรมาให้พวกพวกมึงด้วยนะ และยังบอกอีกว่าพอมึงกลับกรุงเทพกันไปและพอมันออกเวรเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ ให้พามันเค้าไปเลี้ยงเหล้าด้วย” ไอ้ป๋อมเดินเข้ามากอดพวกเรา “รักกันนานๆนะเว้ยมึง อย่าเพิ่งเลิกกันก่อนกูกับเดียร์จะแต่งงานล่ะ”
ถัดจากนั้นก็เป็นตาของไคล์และพีที่เดินเข้ามากอดพวกเราสองคน
“ยินดีด้วยนะครับ เจ็ดปีแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยเนอะ ขอให้พี่สองคนรักกันนานๆอย่างนี้ตลอดไปนะครับ” พีกอดผมสลับกับเมฆพร้อมทั้งดวงตาที่เป็นประกายจากหยาดน้ำตา
“ความรักของทั้งสองคนคือสิ่งที่ค้ำจุนความสุขของผู้คนรอบข้างทุกคนนะครับ ผมขอให้พี่สองคนรักษามันเอาไว้นานๆนะ ผมรักพวกพี่มากครับ” ไคล์พูดพร้อมกับหอมแก้มเราทั้งสองคน
ผมหันไปเห็นเมฆเริ่มมีน้ำตาไหลมาปริ่มอยู่ที่ขอบตา และมันก็เลยทำให้ผมต้องเริ่มร้องไห้ตามไปกับมันด้วย ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะโชคดีที่มีคนรักและหวังดีมากมายถึงเพียงนี้ ความรักของผมกับเมฆที่มีให้กันอยู่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แค่ความรักของเราสองคนแต่เพียงลำพังเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่เราได้รับมาจากคนรอบข้าง และช่วยหล่อหลอมพวกเรามาจนมีวันนี้ขึ้นมาได้นั่นเอง
ทุกๆคนต่างก็เข้ามาอวยพรและแสดงความยินดีให้กับเราทั้งสองคนจนครบ และคนสุดท้ายที่เข้ามาอวยพรให้กับเราก็คือเจ้าวายุนั่นเอง
“ไหน วายุมีอะไรอยากจะบอกพ่อเล็กกับป่ะป๊ามั๊ยคะลูก” อีฟอุ้มวายุเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน
เจ้าตัวเล็กโผเข้าหาเมฆแทบจะในทันที จากนั้นก็ใช้แขนเล็กๆคู่นั้นกอบรัดรอบคอของเมฆและซุกหน้าลงบนซอกคอของป่ะป๊าของมันอย่างรักใคร่และน่าเอ็นดู
“ยุรักป่ะป๊าคับ แล้วก็รักพ่อเล็กด้วย” เจ้าตัวเล็กโผเข้ามาให้ผมอุ้มบ้าง ผมเลยรับมันมาจากอ้อมแขนของเมฆแล้วหอมลงบนแก้มนิ่มๆนั่นฟอดใหญ่
“พวกเราก็รักตัวเล็กเหมือนกันครับ”
วายุหันไปชี้นิ้วไปที่เค้กบนโต๊ะแล้วก็ร้องออกมาเสียงดัง “ยุจะกินเค้กกก”
“คร้าบๆ งั้นไปหาแม่ก่อนนะ” ผมส่งวายุคืนให้กับอีฟ จากนั้นก็เดินจูงมือเมฆไปยังโต๊ะที่วางเค้กอยู่
ทุกคนที่ยืนล้อมรอบเราเงียบเสียงลง ผมหันไปมองหน้าเมฆแล้วพยักหน้าเบาๆ ผมรู้ว่าผมไม่เก่งในเรื่องนี้เท่ากับมันนัก และผมรู้ดีเลยว่ามันเองก็คงมีอะไรทั้อยากจะพูดกับทุกคนมากมายไม่ต่างจากที่ผมคิดมากนัก
“ผมกับซันขอบคุณทุกคนมากจริงๆครับ เราขอบคุณมากจริงๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีคำๆไหนสามารถนำมาใช้พูดแทนคำๆนี้ได้อีกมั๊ย แต่ว่ามันก็คือความรู้สึกที่เรามีให้แก่ทุกคนจริงๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเรารู้ตัวดีว่าเราโชคดีแค่ไหนที่มีเพื่อนและครอบครัวที่ดีที่คอยให้กำลังใจเราอยู่เสมอมา และไม่ใช่แค่ความโชคดี แต่ยังเป็นความรักอันมหาศาลที่เราได้รับและหล่อเลี้ยงมาตลอดยี่สิบกว่าปีนี้ด้วย นับจากวันนั้นที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ยังเป็นลูกชายที่ดื้อที่ซนของพ่อและแม่ เป็นเพื่อนที่วิ่งเล่นเที่ยวเล่นด้วยกัน จวบจนมาถึงวันนี้ที่เราเติบโตขึ้นมาจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว มีครอบครัวเดิมที่อบอุ่น สร้างครอบครัวเล็กๆของเราขึ้นมาเองใหม่ และมีเพื่อนๆที่รักและยังคงมั่นคงต่อกันตลอดนานนับสิบปี รวมไปถึงผู้คนใหม่ๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราอีกหลายคน แต่ทุกสิ่งที่ทุกคนมีให้แก่เราเหมือนๆกันนั่นก็คือ ‘ความรัก’ ครับ........ ถ้าหากไม่มีความรักจากทุกๆคนเช่นนี้ เราก็คงจะไม่ใช่เมฆกับซันอย่างในทุกวันนี้แน่ เพราะฉะนั้น ผมไม่มีอะไรจะพูดมากยิ่งไปกว่าคำว่า........ ขอบคุณจริงๆครับ”
ทุกคนปรบมือขึ้นทันทีหลังจากที่เมฆพูดจบ และเมื่อเสียงปรบมือเริ่มซาลงนั้นก็เป็นสัญญาณที่จะให้ผมพูดอะไรบางอย่างออกไปด้วยเช่นกัน
“เอ่ออ ผมก็คงเหมือนกันนั่นแหละครับ ขอบคุณทุกคนมากจริงๆ ผมรู้ว่าในอดีตผมเคยทำผิดพลาดไป มันคงเป็นความผิดที่ผมไม่มีวันลืม แต่ว่า ผมก็คงจะลืมไม่ลงด้วยเช่นกันว่า ณ ตอนนั้น ช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเราสองคน เรามีเพื่อนและครอบครัวที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนที่คอยให้กำลังใจเราเรื่อยมา” ผมเว้นช่วงและมองไปยังใบหน้าของทุกคนรอบข้าง “หลายคนอาจจะพูดว่าเขาชื่นชมในความรักที่ผมกับเมฆมีให้แก่กัน แต่ผมขอบอกเลยนะว่าจริงๆแล้ว ความรักของเราสองคนนั้นมันเกิดขึ้นมาได้จากความรักที่ทุกคนมีให้แก่พวกเราต่างหากครับ ดังนั้นในคืนนี้ผมจึงอยากจะบอกทุกคนเลยว่า ผมขอบคุณทุกคนมากจากใจจริงๆ”
ทุกคนปรบมือขึ้นอีกครั้ง ถัดจากนั้นก็เป็นเสียงร้องของเจ้าตัวแสบว่าอยากกินเค้กดังขึ้นอีก ผมกับเมฆจึงช่วยกันตัดเค้กแบ่งใส่จานและเดินแจกให้แก่ทุกคนจนครบคน และในขณะที่ทุกคนกำลังนั่งกินเค้กของตัวเองกันอยู่นั้น ผมกับเมฆก็ได้รับของขวัญชิ้นน้อยใหญ่จากหลายๆคนไปด้วย
“ซันคะ” พี่แอมป์เดินเข้ามาหาผมพร้อมกับสมุดเล่มหนึ่งในมือ “นี่ค่ะ ของขวัญวันครบรอบเจ็ดปี ยินดีด้วยจริงๆนะจ้ะ”
“ขอบคุณมากครับพี่” ผมรับสมุดเล่มนั้นมาถือเอาไว้ในมือ รู้ดีเลยว่ามันคือสมุดสำหรับเก็บสะสมภาพถ่ายนั่นเอง
พี่แอมป์หอมแก้มผมเบาๆหนึ่งทีก่อนจะเดินกลับไปนั่งกับอาร์มเหมือนเดิม
“เมฆ มาดูนี่สิ” ผมกวักมือเรียกให้เมฆลุกเดินเข้ามาหา “เมฆจำรูปพวกนี้ได้มั๊ย.........” ผมค่อยๆเปิดสมุดเล่มนั้นตั้งแต่หน้าแรกไล่ไปเรื่อยๆ
“จำได้สิ นี่มันเป็นรูปที่ซันถ่ายตอนที่หนีเมฆไปอังกฤษเมื่อคราวนั้นนี่นา”
“ใช่แล้ว ซันเป็นคนบอกให้พีช่วยเอากลับมาให้ และพี่แอมป์เค้าก็ทำสมุดเล่มนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นของขวัญของเราสองคนนะ” ผมพลิกหน้าสมุดช้าๆทีละหน้าๆจนมาถึงหน้าก่อนสุดท้าย “แต่เมฆจำได้มั๊ยว่าตอนนั้นมันมีรูปของท้องฟ้ากับก้อนเมฆอยู่ทั้งหมดกี่ใบ”
“สี่สิบเก้าใบใช่มั๊ย”
“ใช่ และจำได้มั๊ยที่ซันเคยบอกว่าซันรอที่จะมีรูปใบที่ห้าสิบที่เป็นรูปที่ซันจะได้ถ่ายมันพร้อมกับเมฆ เป็นรูปที่จะเป็นรูปของ ‘ท้องฟ้าและก้อนเมฆ’ จริงๆ”
“ซันได้มันมาแล้วเหรอ” เมฆถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันน่ะ สามปีผ่านไปซันไม่เคยพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลยนี่นา”
“ก็แหม มันหารูปเหมาะๆไม่ได้ซะกทีนี่นา แถมซันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะเป็นรูปยังไง เพราะพี่แอมป์เป็นคนอาสาว่าจะถ่ายและเลือกมาใส่ให้ด้วยตัวเองน่ะ เรามาดูพร้อมๆกันเลยดีกว่า” ผมพลิกไปยังหน้าสุดท้าย และในหน้านั้นก็มีรูปถูกเก็บไว้อยู่แค่เพียงใบเดียว เป็นรูปย้อนแสงที่เห็นเป็นเงาทอดผ่านทางด้านหลังของเราสองคนที่กำลังนั่งกุมมือกันอยู่บนสันทราย และเบื้องหน้าทางขวามือของเรานั้นก็เป็นพระอาทิตย์ดวงโตที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าไปพร้อมกับก้อนเมฆก้อนน้อยใหญ่ลอยประดับอยู่เคียงข้างมัน
“รูปนี้มันเมื่อกี๊นี้เองนี่” ไอ้เมฆใช้มือลูบลงบนรูปใบนี้ช้าๆ
“พี่แอมป์นี่ไม่เคยพลาดจริงๆเลยนะ” ผมหัวเราะเบาๆ
“สวยมากๆเลยว่ะ ซัน เมฆชอบรูปนี้กว่ารูปที่เรานั่งชิงช้าด้วยกันใบนั้นซะอีก ไม่สิ คือถ้าจะพูดจริงๆแล้วก็คือเมฆชอบรูปนี้โคตรๆเลย”
“ซันก็เหมือนกัน” ผมหันไปหอมแก้มเมฆเบาๆ
“พ่อเล็กหอมน้องยุด้วย” ผมก้มลงมองที่ขากางเกงของผมถูกดึงโดยเจ้าตัวเล็กแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“ได้สิครับ เอ้านี่” ผมอุ้มมันขึ้นมากอดเอาไว้แล้วก็หอมแก้มไปฟอดใหญ่พร้อมกับไซร้คอมันไปด้วย ทำเอาเจ้าตัวแสบตัวน้อยหัวเราะคิกคัก “นั่น พ่อมาตามไปกินเค้กต่อแล้ว ไปหาพ่อก่อนนะ ไป”
ไอ้กอล์ฟเดินมารับลูกของมันไปนั่งกับแม่มันเหมือนเดิม จากนั้นผมจึงกันกลับมาเพื่อวางสมุดเก็บภาพถ่ายนั้นไว้บนโต๊ะที่ใช้วางของขวัญที่ทุกคนมอบให้พวกเรามา แต่ทว่าก็มีกล่องของขวัญอยู่กล่องหนึ่งที่ผมไม่คุ้นตาเลยว่าผมได้รับมันมาจากใครหรือเมื่อไหร่ในค่ำวันนี้
“เมฆๆ ผมกวักมือเรียกเมฆให้เดินกลับมาหา “เมฆรู้มั๊ยว่านี่ของใครให้เรามาน่ะ ซันจำไม่ได้”
เมฆหยิบกล่องของขวัญนั้นขึ้นมาพลิกไปพลิกมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มออกมา “อื้อ รู้สิ”
“ใครให้ล่ะ ทำไมซันไม่เห็นจำได้ หรือว่าเมฆเป็นคนรับมา”
“เปล่า เมฆก็ไม่ได้ได้รับมาจากมือหรอก” เมฆตอบพลางหันมองไปรอบๆตัว “และยังไม่รู้ด้วยซ้ำนะว่าเค้าจะอยู่ที่นี่รึเปล่าน่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“นี่ไง ตัวอักษรตัวดับเบิ้ลยูตัวเล็กๆตรงนี้นี่ เห็นมั๊ย ทุกครั้งที่เมฆได้ของขวัญจากคนๆนี้ มันจะมีสัญลักษณ์นี้อยู่ที่กล่องเสมอแหละ”
“และคนๆที่ให้นี้ก็คือ.........”
“พี่วินไง”
“อ้อออ” ผมพยักหน้า
เมฆวางของขวัญชิ้นนั้นลงที่เดิมพร้อมกับเดินจูงมือผมออกมายืนอยู่กลางลาน และตอนนั้นเองที่เพลงที่เปิดอยู่กำลังจะจบลงและเพลงถัดมาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเพลงจังหวะที่ช้าลงกว่าเดิม หรือถ้าพูดให้ถูกก็คือถูกเปลี่ยนเป็นเพลงสำหรับเต้นรำนั่นเอง
“เต้นกันหน่อยดีมั๊ย ฟ้าคราม”
ผมยิ้มและตอบกลับด้วยการคว้าเอวของมันเข้ามาสวมกอดเอาไว้ ทันทีที่เราสองคนเริ่มขยับตัวอย่างช้าๆ ป้าแอ๊นท์กับลุงคาร์ลอสก็ลุกขึ้นมาเต้นอยู่ข้างๆเราสองคน จากนั้นก็ตามด้วยเดียร์กับป๋อม พีและไคล์ และคนอื่นๆก็ด้วยเช่นกัน
เสียงเพลงช้าบรรเลงเคียงคู่ไปกับแสงสีส้มนับร้อยดวงรอบกายเรา ช่วยขับกล่อมท่วงทำนองแห่งความสุขและความรักจากผู้คนรอบข้างเราทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ถึงท้องฟ้าในตอนกลางคืนนั้นจะมืดมิด แต่มันก็สวยงามระยิบระยับไปด้วยแสงดาวนับร้อยดวงและความงามจากดวงจันทร์อันนวลผ่อง และเราสองต่างก็รู้ดีเลยว่าภายในใจของเราทั้งคู่นี้ ท้องฟ้าผืนเดียวที่เราใช้ร่วมกันนั้นจะยังคงเป็นสีฟ้าครามสวยสดเคียงคู่ไปกับก้อนเมฆสีขาวบริสุทธิ์อยู่เช่นนั้นตลอดไปไม่มีวันเปลี่ยนแปลง.........
“นี่ก็เท่ากับเราแต่งงานกันจริงๆจังๆแล้วสินะ ฟ้าคราม”
“ใช่....... มีทั้งแหวน ทั้งเค้ก คำอวยพรจากผู้ใหญ่ เพื่อนๆ งานฉลอง และการเต้นรำ ซันว่าเราก็คงเพิ่งได้แต่งงานกันจริงๆก็เมื่อวันครบรอบเจ็ดปีของเรานี่แหละนะ ศิลา”
“แถมยังเป็นแบบผสมทั้งแบบไทยและแบบฝรั่งด้วย”
“ก็นั่นสินะ วันครบรอบปีหน้าของเราคงจะงงกันน่าดูเลยว่าครบอะไรแบบไหนมั่งแล้วน่ะ”
“ว่าแต่พอเป็นแบบนี้แล้วรู้อะไรมั๊ย ซัน”
“อะไรเหรอครับ........” ผมก้มเอาหน้าผากมาชนเข้ากับหน้าผากของมันเบาๆ
ไอ้เมฆเงียบลงไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา “แบบนี้ก็เท่ากับว่า นับแต่นี้ต่อไป มึงก็ติดอยู่กับกูไปตลอดชีวิตแล้วนะ ไอ้ตัวแสบ.........”
“และมึงก็ติดอยู่กับกูไปตลอดชีวิตแล้วเหมือนกัน ไอ้ตัวดี.........” ผมหัวเราะเบาๆ
จบบริบูรณ์
.......................................................................