วินาทีที่ยี่สิบสองสู่ปลายทางสุดท้าย
ซัน
เช้าวันต่อมา หลังจากพ่อเล็กออกจากบ้านเพื่อไปทำธุระที่ที่ทำงานของตัวเองแล้ว ผมกับเมฆก็นั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆตามลำพัง แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับรายการทีวีที่เปิดอยู่เลยสักนิดเดียว ผมเปิดทีวีมาหยุดอยู่ที่รายงานข่าวช่วงเช้าค้างเอาไว้ แต่ก็หันมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาแทน ส่วนไอ้เมฆก็กำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายแปลที่มันอ่านค้างเอาไว้อยู่ข้างๆ ผมรู้ดีว่าเช้าวันนี้เราทั้งสองคนต่างก็เต็มไปด้วยความคิดจนไม่อยากจะรับฟังหรือรับรู้อะไรอีกสักเท่าไหร่ เสียงของพิธีกรรายการชายและหญิงในทีวีนั้นก็มีเอาไว้เพียงเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลงเท่านั้นเอง
ผมหันไปมองหน้าของเมฆแล้วก็อดรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดไม่ได้ ผมทำร้ายมันมามาก ผมรู้ดีว่ามันนั้นเข้มแข็ง แต่ผมเองก็รู้ดีด้วยเช่นกันว่ามันไม่ได้เข้มแข็งแบบนั้นได้ตลอดเวลา มันต้องทนเก็บและทนฝืนอะไรต่างๆมากมายเพื่อผม เพื่อคนที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลยคนนี้ และในวันนี้ที่ผมได้มานั่งมองใบหน้าของมันแบบนี้แล้ว มันทำให้ผมได้เห็นเลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่นนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งและกำลังใจที่เอ่อล้นออกมาจากภายในอย่างไม่มีวันหมดสิ้น ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าถ้าหากผมไม่มีมันอยู่ข้างกาย หรือว่าคนที่อยู่ข้างกายของผมไม่ใช่มันคนนี้นั้น ชีวิตของผมมันจะเดินไปในทิศทางไหนกัน..........
ผมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วตะแคงตัวลงไปนอนลงบนตักของมัน ไอ้เมฆมองผมด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันวางหนังสือที่ตัวเองอ่านอยู่ลงบนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ
“เมฆ....... ซันขอโทษนะ” ผมคว้ามือของมันมากุมเอาไว้
“อะไรกัน เรื่องอะไรอีก”
“สำหรับทุกๆเรื่อง....... ขอโทษที่ซันไม่เข้มแข็งมากพอ ขอโทษที่ไม่เชื่อใจเมฆ และขอโทษที่ซันไม่เชื่อใจตัวเองเหมือนอย่างที่เมฆเชื่อ”
“เราพูดเรื่องนี้กันมาหลายหนแล้วน่า ซัน ช่างมันเถอะครับ เลิกโทษตัวเองสักที ถ้าขืนมึงยังพูดคำว่าขอโทษอีกล่ะก็คราวนี้กูจะโกรธจริงแล้วนะ”
“ถ้างั้นก็ขอบคุณ.........”
“หืมม ขอบคุณเรื่องอะไร” ไอ้เมฆเลิกคิ้ว
“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่ากูขอบคุณมึงก็แล้วกัน นะ ไอ้ตัวดี”
ไอ้เมฆยิ้มกว้าง และนั่น...... นั่นเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วจริงๆ รอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องตกหลุมรักมัน รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างสดใสขึ้นมา มันคือรอยยิ้มแห่งความสุขของคนที่ผมรักที่สุดในโลกใบนี้ ก้อนเมฆของผมกลับมาเป็นก้อนเมฆที่สว่างสดใสและสวยงามดังเดิมแล้ว
“เดี๋ยวพูดเพราะ เดี๋ยวพูดหยาบ มึงจะเอาไงแน่ ไอ้แสบบบ” ไอ้เมฆบีบจมูกผมแล้วเขย่าเบาๆ
“โอ๊ยยๆๆ เดี๋ยวก็จมูกเบี้ยวเสียหล่อกันพอดี” ผมสะบัดหน้า “ก็มึงเป็นฝ่ายพูดมึงกูก่อนนี่”
“มันคงไม่เสียไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ไอ้หน้าหล่อเอ๊ยยย” ไอ้เมฆปล่อยมือแล้วก้มลงจูบลงบนปลายจมูกผมเบาๆ
“ซันรักเมฆนะครับ”
“เมฆก็รักซันครับ”
เราสองคนอยู่ท่านั้นเงียบๆกันอีกพักใหญ่ๆ ผมปล่อยให้ไอ้เมฆลูบหัวผมเล่นไปเรื่อยๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาเล่นหัวผมสักเท่าไหร่นักหรอก จะมีก็แต่มันเพียงคนเดียวนี่แหละที่ผมยอม และไม่ใช่แค่ยอม ผมต้องยอมรับเลยด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกดีมากเวลาที่มันมาลูบหัวผมเล่นแบบนี้
“ไปเตรียมตัวได้แล้วมั๊งซัน เดี๋ยวซันต้องเข้าบริษัทพร้อมกับพ่อสันต์อีกนี่”
“ใกล้ได้เวลาต้องไปแล้วเหรอ กำลังเพลินเลย”
“ไม่ต้องมาทำเพลินเลย ไป ลุกเร็วเข้า แปดโมงจะครึ่งแล้ว เดี๋ยวก็สายกันพอดี ซันต้องไปรับพ่อที่คอนโดอีกนะ พ่อเค้าอุตส่าห์ไปช่วยคุยเรื่องงานของตัวเองกับลุงกิตไว้ให้แล้ว ตอนนี้ก็ต้องไปสะสางที่เหลือเองมั่งได้แล้วนะ”
“คร้าบๆ รู้แล้วน่า” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมเกาหัวแกรกๆ “ว่าแต่เมฆเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ซันไปด้วยน่ะ”
“อืม แถมถ้าซันไปด้วย ซันจะไปตอนไหน เพราะตอนเที่ยงก็นัดพี่แอมป์เอาไว้ และตอนบ่ายก็ต้องไปหาไอ้อีฟอีกนี่”
“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.........” จังหวะเดียวกับที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของเมฆก็ดังขึ้น มันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูเบอร์ที่โชว์เข้า และผมก็เห็นมันทำสีหน้าประหลาดใจ
“ทำไมล่ะ” ผมถาม
“ไม่โชว์เบอร์” เมฆหันมือถือมาให้ผมดูหน้าจอว่ามันไม่โชว์เบอร์จริงๆ
“รับสิ จะได้รู้ว่าใคร”
เมฆพยักหน้า จากนั้นก็กดปุ่มรับสาย “สวัสดีครับ”
ผมนั่งรอจนกระทั่งมันถามชื่ออีกฝ่ายแล้ว จึงได้ถามมันออกไปว่าคนที่โทรมาคือใคร แต่มันกลับหันมาบอกให้ผมรีบไปแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ผมที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมันต่อ จึงได้แต่มองมันด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับไปคุยเรื่องลาออกที่บริษัทอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านี้ผมก็แค่ลาพักงานชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด โดยพ่อของผมเองก็เป็นคนช่วยคุยและเป็นธุระให้ด้วย แต่หลังจากที่เราทุกคนนั่งคุยกันแล้ว ผมกับเมฆและทุกๆคนต่างก็ลงความเห็นว่าผมควรจะลาออกให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปสมัครงานใหม่ที่ทำงานเดียวกับเมฆทีหลังจะดีที่สุด
หลังจากผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ไอ้เมฆก็เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน
“ตกลงเมื่อกี๊ใครโทรมา แล้วนี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยเหรอ จริงๆต้องออกจากบ้านตอนบ่ายๆไม่ใช่เหรอ”
“เปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ พอดีเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมา นัดให้เมฆออกไปคุยด้วยตอนสายๆน่ะ”
“กรณ์ไหน” ผมสงสัย
“พี่กรณ์ เพื่อนพี่วินไง”
“อ๋อ ลูกน้องพี่วินที่เมฆเคยเล่าให้ฟังคนนั้นน่ะเหรอ”
“ลูกน้องเหรอ......... อืมม ก็คงจะใช่ด้วยแหละ แต่จะไงก็เหอะ คือเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมาบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเมฆนิดหน่อยน่ะ เค้าเลยนัดให้ออกไปหา เพราะว่าพี่เค้าจะว่างก็แค่ช่วงเช้าเท่านั้นเอง”
“แล้วพี่เค้ามีเรื่องอะไร เค้าได้บอกรึเปล่า”
“เปล่า” เมฆส่ายหน้า “แต่พี่เค้ายืนยันว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรือน่าเป็นห่วงหรอก”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี..........”
............................................................
เมฆ
ผมกับซันขับรถออกจากบ้านไปคนละคันในเวลาเดียวกัน ไอ้ซันมุ่งหน้าไปยังคอนโดเพื่อรับพ่อสันต์ไปทำธุระที่ที่ทำงาน ส่วนผมก็มุ่งหน้าไปหาพี่กรณ์ที่ที่ทำงานของพี่เขาเช่นเดียวกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมจะได้ไปยังที่ทำงานของพี่กรณ์และพี่วิน ลึกๆในใจผมก็หวังอยากจะเจอพี่วินอีกสักครั้ง แต่อะไรบางอย่างมันบอกผมว่าการที่พี่กรณ์เป็นคนโทรนัดผมออกมาแบบนี้ แถมยิ่งการที่นัดให้มาหาเขาที่ที่ทำงานของพี่เค้าแบบนี้ด้วยแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมคงจะยังไม่ได้เจอกับพี่วินในวันนี้แน่ๆ
ผมจอดรถที่ลานจอดรถของอาคารสูงหลายสิบชั้นกลางตัวเมือง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ เมื่อมองดูป้ายบอกสำนักงานในแต่ละชั้นแล้วผมถึงได้รู้ว่าออฟฟิศส่วนตัวของพี่วินนั้นกินเนื้อที่ห้าชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ซึ่งเท่าที่ผมลองประเมิณดูด้วยตาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นทำเลที่ราคาสูงไม่เบาเลยทีเดียว แต่พอสังเกตดูดีๆผมถึงได้เห็นว่าจริงๆแล้วอาคารทั้งอาคารนี้น่าจะเป็นสมบัติของครอบครัวของพี่วินนั่นเอง เพราะผมเห็นตัวอักษรดับเบิ้ลยูและรวมทั้งป้ายชื่อนามสกุลของพี่วินสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงด้านหลังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ พี่กรณ์บอกผมเอาไว้แล้วว่าเมื่อผมไปถึงแล้วให้ผมโทรหาพี่เขาตามเบอร์ที่เพิ่งให้ไว้ และผมก็ทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นอีกแค่ประมาณห้านาทีถัดมา พี่กรณ์ก็ดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
“เป็นยังไงมั่ง เมฆ สบายดีมั๊ย”
“สบายดีครับพี่ แล้วพี่ล่ะ”
“ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมแหละครับ”
“แล้วพี่วินล่ะครับ”
พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน “วันนี้พี่เค้าไม่อยู่น่ะ ไปธุระเรื่องงานนิดหน่อย พี่ก็เลยต้องดูแลงานที่นี่แทนพี่เค้าเกือบทั้งหมด ยุ่งพอตัวเลยล่ะ พี่ก็เลยจำเป็นต้องนัดให้เมฆมาหาพี่ที่นี่ไง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงเช้านี้ยังไงผมก็ว่างอยู่แล้ว”
“แล้วช่วงบ่ายล่ะ”
“ก็มีธุระต้องสะสางนิดหน่อยน่ะครับ”
“เรื่องของซันใช่มั๊ย”
“พี่กรณ์รู้ได้ยังไงครับ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่สิ ถ้าพูดจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของซันซะทีเดียวหรอก จริงมั๊ย เอาล่ะ อย่ามายืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย ไปนั่งที่ร้านกาแฟตรงนั้นกันดีกว่า พี่เลี้ยงเอง” เมื่อพูดจบ พี่กรณ์ก็เดินนำผมไปยังร้านกาแฟตรงหน้าบันไดเลื่อน
พี่กรณ์สั่งกาแฟร้อนมาถ้วยหนึ่ง ส่วนผมที่ไม่ค่อยชอบของร้อนๆก็สั่งกาแฟเย็นมาแก้วนึงด้วยเช่นกัน และเมื่อเราสองคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มถามคำถามทันที
“พี่รู้ได้ไงครับว่าผมกำลังจะไปทำอะไร”
“เฮ้ย พี่ไม่รู้หรอก พี่ก็แค่เดาเอาเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่ก่อนที่เมฆจะไปตามซันที่อังกฤษ เมฆก็บอกพี่วินเอาไว้แล้วนี่นาว่ายังเหลืออะไรที่เมฆจะต้องกลับมาเคลียร์อีกด้วยตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย พี่ก็เลยแค่เดาเอาว่าหลังจากที่เมฆกลับมาแล้วเมฆกับซันก็น่าจะทำอะไรกันต่อก็เท่านั้นเอง และอีกอย่าง พี่วินเองก็ยังไม่ได้วางใจขนาดจะปล่อยให้น้องชายของเค้าลุยเดี่ยวด้วยตัวเองทุกอย่างขนาดนั้นด้วย”
“พี่หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ”
“พี่ก็แค่หมายความว่า พี่วินเค้ายังไม่ได้วางมือจากเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินไม่เคยและไม่มีวันที่จะวางมือจากเรื่องของเมฆและพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเมฆไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่เข้าใจว่าพอพูดแบบนี้ไปแล้วเมฆอาจจะยังรู้สึกเหมือนมันไม่จบไม่สิ้นหรือกลัวว่าจะยังมีพี่วินคอยเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่แบบนั้น มันก็แค่เหมือนกับยี่สิบปีที่ผ่านมาของเมฆที่มีพี่วินคอยดูแลโดยที่เมฆไม่รู้ตัวแบบนั้นแหละครับ”
“ถ้าเรื่องนั้นผมก็พอจะเข้าใจครับ แต่ว่า......... ยิ่งพี่พูดแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจนะ ทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของผมเยอะแยะขนาดนั้นล่ะครับ ผมหมายถึง พี่วินรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นอยู่ยังไง แต่ผมกลับแทบไม่เคยรู้ถึงชีวิตของพี่วินเลยสักนิดเดียว”
พี่กรณ์วางถ้วยกาแฟลงแล้วยิ้มให้ผม “เมฆอยากรู้มั๊ยล่ะ”
“ว่าไงนะครับ”
“เมฆอยากรู้มั๊ย ว่าจริงๆแล้วพี่วินคือใคร และทำไมเค้าถึงได้รักเมฆกับพ่อมากถึงขนาดนั้น”
หัวใของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นกับสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยิน และสีหน้าท่าทางของผมก็คงจะบอกให้พี่กรณ์เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกันว่าผมรู้สึกตกใจและตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินอยู่มากขนาดไหน
“แต่ข้อแม้ก็คือ เมฆห้ามบอกพ่อหรือพี่วินเด็ดขาดนะว่าเมฆรู้เรื่องพวกนี้ เก็บมันเอาไว้กับตัวคนเดียวก็พอ”
“ครับ ผมเข้าใจ”
“อืมม จะเริ่มยังไงดี.......... เอาล่ะ” พี่กรณ์โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “พี่จะถือว่าเมฆไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่วินมาก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ และก่อนอื่น ก่อนที่พี่จะเล่าให้เมฆฟังนี่พี่อยากให้เมฆเข้าใจไว้ก่อนว่า พี่ไม่ได้เล่าเพื่อความเห็นใจ และก็ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ของใครทั้งสิ้น แต่พี่แค่อยากจะให้เมฆรู้เอาไว้และเข้าใจอะไรขึ้นบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดีนะครับ”
ผมพยักหน้า “ครับ”
“เมฆเองก็รู้ว่าการที่พี่วินจะไว้วางใจอะไรใครสักคนน่ะ มันยากมากขนาดไหนใช่มั๊ย พี่เองก็ไม่ได้สนิทสนมกับพี่เค้ามาตั้งแต่แรกเลยหรอกนะ เราสอคนน่ะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม แต่เพิ่งจะมาสนิทกันจริงๆก็ตอนอยู่มัธยม และกว่าที่พี่จะได้การยอมรับจากพี่วินน่ะ ก็ปาไปอีกหลายปีให้หลัง แต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนก็แล้วกัน พี่คิดว่าเมฆคงจำได้ว่าตอนเมฆเด็กๆ พี่วินเค้าเคยไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเมฆมาช่วงนึงใช่มั๊ยครับ”
“ใช่ครับ แต่ผมก็จำรายละเอียดได้ไม่ค่อยมากหรอก”
“พี่เองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอกนะครับ เพราะแม้แต่กับพี่เอง พี่วินก็ยังคงมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยและคงจะไม่มีวันบอกพี่เหมือนกัน แต่เท่าที่พี่รู้ก็คือ พี่วินกับเมฆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดด้วยเหมือนกัน”
ผมรู้สึกว่าผมกำลังอ้าปากค้างทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“ใช่ แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะนะ เพราะพี่วิน คือลูกชายของพี่สาวของแม่ของเมฆนั่นเอง หรือถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เขาคือลูกของป้าของเมฆที่เสียไปเมื่อนานมาแล้ว”
“แต่ว่า ป้าของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิดอีกนี่ครับ”
“ใช่ หลังจากที่พี่วินเพิ่งจะอายุได้ไม่เท่าไหร่เอง” พี่กรณ์พยักหน้า “และหลังจากนั้น พ่อของพี่วินก็ไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็คือแม่ของพี่วิน แต่ว่า......... มันก็ไม่ง่ายสำหรับพี่วินนักหรอกนะ ที่จะต้องอยู่บ้านหลังใหม่กับผู้หญิงที่ไม่เห็นว่าพี่วินเป็นลูกของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งหลังจากที่แม่ของพี่วินตั้งท้องลูกชายอีกหนึ่งคน คราวนี้พี่วินก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะคนเป็นพ่อที่เคยจะพอรักและเอ็นดูลูกของตัวเองอยู่บ้างก็ยิ่งไปเห่อลูกคนใหม่จนแทบไม่ดูดายพี่วินอีกเลย”
“นี่แปลว่าพี่วินมีน้องชายด้วยเหรอครับ”
“เปล่า....... แค่เคยมีน่ะ” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบและคงมองเห็นความสงสัยและความตกใจในแววตาของผม จึงได้เริ่มเล่าต่อ “พอพี่วินอยู่ชั้นประถามปลายๆก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้พี่วินต้องบาดเจ็บและน้องชายของพี่วินก็ต้องจากไป แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือแม่ของพี่วินโทษว่าการสูญเสียลูกชาย ‘คนเดียว’ ของเขาไปนั้นมีสาเหตุมาจากพี่วิน และแม้แต่พ่อของพี่วินเองก็หัวใจสลาย ถ้านั่นยังไม่แย่พอกับการที่แม่เลี้ยงของตัวเองไม่ใยดีแถมยังกลั่นแกล้งแทบทุกวัน พ่อแท้ๆของตัวเองก็กลับไม่สนใจและปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนานนับปี”
“แล้ว......... ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั๊ยครับ”
“ว่าไงครับ”
“พี่กรณ์รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงครับ และพ่อของผมก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า”
“รู้สิ เพราะว่าแม่ของพี่เป็นคนที่ทำงานให้กับบ้านของพ่อและแม่ของพี่วิน พี่จึงเห็นและรู้แทบทุกอย่างภายในบ้านหลังนั้น ส่วนพ่อของเมฆก็รู้ดีทีเดียว เพราะก่อนที่แม่ของเมฆจะจากไป พ่อและแม่ของเมฆก็ยังเคยมีติดต่อกับพ่อของพี่วินอยู่บ้าง จนกระทั่งแม่ของเมฆจากไปนั่นแหละ สองครอบครัวนี้ก็เลยไม่เหลืออะไรที่จะให้เชื่อมต่อกันอีกเลย”
“นอกจากพี่วิน” ผมเสริม
“ใช่ และพี่วินเองก็รู้เช่นกัน เมื่อตอนขึ้นชั้นมัธยมปลายใหม่ๆ พี่วินที่ทนแบกรับอะไรหลายๆอย่างไว้จนถึงขีดก็เริ่มรับสภาพของพ่อและแม่ตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว....... คืองี้ เมฆต้องเข้าใจนะว่าพี่วินเป็นคนที่หัวดีมาก ไม่ว่าจะพูดถึงทั้งหน้าตา การเรียน หรือแม้แต่กีฬา ก็จะต้องมีชื่อของพี่วินติดอันดับท็อปอยู่เสมอ แต่ว่ามันก็ดูจะไม่มีค่าอะไรเลยกับครอบครัวของพี่วิน จนมาถึงเหตุการณ์ๆหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่วินเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจหันหลังให้กับครอบครัวของตัวเองและไปพึ่งพาพ่อของเมฆ ซึ่งตอนนั้นพี่วินก็ได้หาหนทางติดต่อและพูดคุยกับพ่อของเมฆเอาไว้สักพักแล้วล่ะ ราวกับเค้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเรื่องนี้มันจะต้องเกิดขึ้น และพ่อของเมฆก็เป็นคนดีมากจริงๆที่ยอมรับในตัวของพี่วินและให้ที่พักพิงเขาจนกระทั่งเขาพร้อม..........”
“พร้อม........ พร้อมสำหรับอะไรครับ” ผมถาม
“เรื่องนั้นพี่คิดว่าพี่คงบอกเมฆไม่ได้น่ะครับ มันอาจจะมากเกินไป รวมทั้ง ก่อนที่เมฆจะถาม เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นและผลลัพธ์ทั้งหมดด้วย พี่คงจะบอกไม่ได้จริงๆ และใช่ว่าพี่เองก็จะรู้รายละเอียดอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่พี่พูดได้แน่ๆก็คือ ตอนนี้พ่อของพี่วินกำลังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเป็นการชดเชยความผิดของตัวเองอยู่ และคิดว่าเมฆคงรู้ว่านั่นไม่ได้ช่วยอะไรพี่วินได้เลย” พี่กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ “ครั้งหนึ่งเมื่อคนเราได้เปลี่ยนไปแล้ว มันก็ยากนะ ที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยได้รับบาดแผลใหญ่มาก่อนน่ะ”
“พี่กรณ์หมายถึงเปลี่ยน........ ไปเป็นพี่วินแบบปัจจุบันนี้น่ะเหรอครับ”
พี่กรณ์ยิ้มน้อยๆ “ก็คงใช่ เมฆคงไม่คิดหรอกนะว่าพี่วินจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดน่ะ”
“ผม เอ่ออ..... ก็ไม่รู้สิครับ”
“พี่จะบอกให้เมฆรู้ไว้นะว่า พี่วินน่ะ ไม่เคยยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมายเลยแม้แต่อย่างเดียวหรือครั้งเดียว ตรงกันข้าม เขากลับต่อสู้กับเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด ถึงจะด้วยวิธีการของเขาเองและถึงแม้บางครั้ง......... หลายครั้งมันจะไม่ถูกกฎหมายนักก็ตาม”
“เรื่องนั้นผมก็พอรู้ครับ เพราะแบบนี้ด้วยมั๊งครับ ที่พ่อเคยบอกว่าพ่อรักพี่วินมาก แต่ก็ยังคงไม่สามารถที่พ่อจะยอมรับพี่เขาเป็นเหมือนลูกชายคนนึงได้........ ผมเพิ่งจะเข้าใจเมื่อตอนโตว่านั่นคงหมายถึงว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมต้องเข้าไปพัวพันอะไรกับเรื่องที่ไม่ดีๆก็ได้”
“ใช่ครับ แต่นั่นก็เป็นความต้องการของพี่วินเองด้วยแหละ พี่เค้าปราถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเมฆ และเค้าก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่พี่เขาทำอยู่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก อืมมม........ พี่คิดว่ามันอาจจะตรงกันข้ามกับที่เมฆคิดนะ แต่เมฆรู้มั๊ยว่าพี่วินน่ะรักน้องที่เสียไปของพี่วินกว่าที่ใครๆคิดมากนะครับ และเมฆก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวที่พี่วินมีอยู่ในตอนนี้ และพี่คงไม่ต้องบอกว่าพี่วินรักพ่อของเมฆและเมฆมากขาดไหนกับสิ่งที่ทั้งคู่ทำและชดเชยให้พี่วินในสิ่งที่พี่เขาสูญเสียไป”
“แต่ผมจำไม่ได้เลยนะครับว่าผมทำอะไรไปให้พี่วินบ้างน่ะ คือ เมื่อตอนนั้นผมก็ยังเด็กมากเลย แล้วผมก็จำอะไรแทบไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำ”
“มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะตอนเด็กๆเมฆเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งนึงที่ทำให้เมฆลืมเรื่องราวในช่วงนั้นไปจนเกือบหมด รวมทั้งเรื่องที่พี่วินเคยเป็นคนเลี้ยงดูเมฆมาช่วงนึงด้วย”
“ผมไม่เคยรู้เลย” ผมอึ้ง
“ก็คงงั้นแหละครับ เพราะพ่อของเมฆเองก็คงไม่อยากจะให้เมฆจำได้เท่าไหร่ด้วย เพราะถ้าท่านเล่าให้เมฆฟัง เมฆก็ต้องถามเรื่องพี่วินหรือเรื่องอื่นๆที่เมฆไม่ควรจะรู้และท่านลำบากใจที่จะเล่า อย่างเช่รเรื่องที่พี่กำลังเล่าอยู่ตอนนี้ไง”
ผมนั่งนิ่งและไต่ตรองสิ่งที่เพิ่งรับฟังไปเข้าสู่สมอง ข้อมูลที่ผมเพิ่งได้มาใหม่มานี้มันน่าตกใจสำหรับผมมากเลยทีเดียว
“และเมฆคงแปลกใจว่าทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของเมฆเยอะนัก อย่างแรกเลยก็คือพ่อของเมฆกับพี่วินน่ะมีติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาครับ และเมฆเองก็น่าจะรู้แล้วว่าพี่วินสามารถที่จะเดินตามหลังเมฆทั้งวันได้โดยที่เมฆไม่รู้ตัว รวมทั้งเขายังมีพี่และคนอื่นๆคอยช่วยเหลืออีกด้วย ดังนั้นเรื่องการรวบรวมข้อมูลสำหรับพี่วินแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย รวมทั้ง........ สำหรับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดนี่ด้วย”
“เรื่องนั้นผมก็พอเข้าใจครับ และผมก็คิดอยู่ตลอดเลยด้วยว่าถ้าไม่ได้พี่วินกับพี่กรณ์ล่ะก็ ผมคงต้องแย่แน่ๆ”
“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกครับ พี่ก็แค่ทำตามที่พี่วินบอกมาเท่านั้นเอง.........” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง หลังจากนั้นก็วางแก้วกาแฟลงแล้วยิ้มให้กับผม “เมฆจะแปลกใจ ถ้ารู้ว่างานอดิเรกลำดับที่สองที่พี่วินชอบทำก็คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและการทำบุญตามสถานสงเคราะห์ต่างๆนะ”
“คราวนี้ผมแปลกใจขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่ว่าถ้าจะนึกดูดีๆหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจากพี่แล้ว....... ผมว่ามันก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่า....... งานอดิเรกลำดับที่สองงั้นเหรอครับ ถ้างั้นแล้วลำดับแรกคืออะไรล่ะ”
“ฆ่าคน”
ผมสะดุ้งเฮือกทำเอาสำลักกาแฟที่เพิ่งดูดเข้าไปจนต้องไอโขลกออกมา
“พี่ว่าไงนะ”
“พี่ล้อเล่นน่า” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ
“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ขำเลยนะครับพี่ ถ้ามันเป็นล้อเล่นแบบว่า ล้อเล่นในสิ่งที่รู้ๆกันอยู่ว่าไม่ใช่มันก็คงจะตลกอยู่หรอก แต่นี่มันแบบว่า.........”
“โอเคๆ พี่ขอโทษ” พี่กรณ์หัวเราะ “แต่ก็อย่างที่เมฆคิดนั่นแหละ มันก็ไม่เชิงว่าผิดเสียทีเดียวหรอกนะ แต่พี่จะบอกให้อย่างนึงว่าสิ่งที่ทำให้พี่วินน่ากลัวน่ะ ไม่ใช่เรื่องการฆ่า.........” พี่กรณ์ลดเสียงต่ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เป็นการที่พี่วินไม่ชอบการฆ่าต่างหาก”
ผมกลืนน้ำลายลงคอและพยักหน้าออกมาช้าๆ “โอเค ผมว่าผมรู้มากพอแล้วล่ะครับ รายละเอียดมากกว่านั้นผมคิดว่าผมพอจะเดาเองได้ และเผลอๆ......... ผมเองก็คงเคยเห็นมามากพอแล้วด้วยเหมือนกัน”
พี่กรณ์พยักหน้า “ว่าแต่ซันล่ะไปไหน”
ผมเล่าถึงสิ่งที่ผมกับซันกำลังจะทำกันวันนี้ให้พี่กรณ์ฟัง และเมื่อเล่าจบ พี่กรณ์ก็พยักหน้าออกมาเป็นเชิงเห็นด้วย
“ดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พี่ก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วมั๊ง...........”
“หืมม ‘ทำอะไร’ นี่หมายถึง ทำอะไรครับ”
“เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก” พี่กรณ์ดูนาฬิกาข้อมือ “เอาล่ะ ได้เวลาที่พี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้วครับ เดี๋ยวเกิดพี่วินกลับมาเห็นงานยังไม่เสร็จล่ะก็พี่คงตายแหง”
“โอเคครับพี่ งั้นผมไม่กวนเวลาพี่แล้วครับ”
เราสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน พี่กรณ์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้อีกครั้ง
“ขอบใจมากนะ เมฆ”
ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรครับ”
“ที่ทำให้พี่วินมีความสุขขึ้นแบบนี้น่ะ”
“ผมเนี่ยนะครับ”
“ใช่แล้ว เอาล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ โทรหาพี่ได้นะครับ หรือถ้ามันสำคัญมาก จะโทรเข้าหาพี่วินเลยก็ได้ คิดว่าเมฆคงโทรติดเข้าสักเบอร์ที่พี่เขาเคยให้ไว้นั่นแหละ” พี่กรณ์ส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แต่ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“เดี๋ยวครับพี่กรณ์” ผมรั้งพี่กรณ์เอาไว้ “จะว่าไปพี่พอจะรู้มั๊ยครับว่าพี่วินกับครูวิชญ์ที่สอนยูโดผมเกี่ยวข้องกันยังไง”
“อ๋ออ” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ “ครูวิชญ์น่ะเหรอ หมอนั่นก็แค่เคยมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากจนกระทั่งวันนึงเกิดไปหาเรื่องผิดคนเข้าเท่านั้นเอง”
“พี่หมายถึงพี่วินเหรอครับ”
พี่กรณ์พยักหน้า “เจ้าตัวเองเค้าก็คงจะไม่อยากนึกถึงมันสักเท่าไหร่หรอก มันคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนทีเดียว เพราะงั้นเมฆก็อย่าไปใส่ใจนักเลยนะ แต่ถ้าเมฆจะลองไปถามเค้าดูเอาเองเลยก็ได้ ถ้าเค้าไม่อายที่จะเล่าให้ใครฟังน่ะนะครับ” พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนที่จะเดินจากไป