]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ]| เวลาที่เหลืออยู่ |[ :: ขอบฟ้าสั้นกว่าเข็มวินาที....... ปลายทางสุดท้ายของหัวใจ (จบ)  (อ่าน 165210 ครั้ง)

yaoifan

  • บุคคลทั่วไป
มารอ ยังไม่มาต่อตอนจบ

มาช่วยดัน เพราะตกไปอยู่หน้าสองแล้ว

มาต่อเร็วๆน๊ะ :m1:

Givesza

  • บุคคลทั่วไป

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
โทดทีนะคับ เปื่อยง่ะ รอสักพักนะ T__T


blackberry2214

  • บุคคลทั่วไป

Givesza

  • บุคคลทั่วไป

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ osaru

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 209
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
 :m1: :m1:
อ่านตอนนี้แล้วมีความสุขจังเลย

หายเร็วๆน้า :กอด1:

blackberry2214

  • บุคคลทั่วไป
มาช่วยดันคร้าบ


หายเร็วๆ น้าพี่ต้น ^_____________^

TaDa

  • บุคคลทั่วไป


รอครับ รอ รอเวลาที่เข็มเริ่มเดิมอีกรอบ  :oni1: :oni1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Givesza

  • บุคคลทั่วไป

blackberry2214

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ patee

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3732
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +276/-3
หายป่วยไวๆนะคะ

เอาดอกไม้มาเยี่ยมคนป่วย :L2:

ออฟไลน์ AidinEiEi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 776
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-1

Givesza

  • บุคคลทั่วไป

Black Angel

  • บุคคลทั่วไป

Givesza

  • บุคคลทั่วไป

TaDa

  • บุคคลทั่วไป


พี่ต้นคร๊าบบบบบ หายเร็วๆนะครับ

คิดถึง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ท้องฟ้ากะก้อนเมฆแย้ว

Givesza

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:


CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป
ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:







ห่วงอีกคนมากกว่า . . .

สำหรับแก . . . อยากกินซิสเลอร์ว่ะ


Givesza

  • บุคคลทั่วไป

pae_tekung

  • บุคคลทั่วไป

 :m1:

ยังไม่กล้าอ่านเลย เหอๆๆๆ -_-"
ตอนแรกคิดว่าถ้าจบเศร้า คงขอเวลาทำใจอีกสักแป๊บบบบ (แป๊บอีกนานไหม... ไม่รู้)
แต่ตอนนี้น่าจะไม่เศร้าแล้วมั้ง หรือป่าวหว่า....

เป็นกำลังใจให้นะครับ

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
มาแล้วครับ ยาวมากนะขอบอก สี่สิบกว่าหน้าแน่ะ เตรียมตัวเอาไว้เลย
ยกเว้นว่าผมจะกั๊กไว้อีกนิสสสนุงงง เพื่อที่ว่ามันจะได้ไม่ยาวไป และวันจันทร์ไม่ก็อังคารหน้าค่อยเจอกันอีกที
อิอิ

 :t2:

ยังไม่หายเลยครับ เซ็งจัง
แต่เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกัน

 :m13:







ห่วงอีกคนมากกว่า . . .

สำหรับแก . . . อยากกินซิสเลอร์ว่ะ



วันศุกร์นี้ไปแล้วนะ และคงไม่ได้กลับมาอีกยาวเลยครับพี่ คิดถึงแย่เลย
อ้อ แล้วก้อขอบคุณมากๆๆๆๆๆๆๆนะครับ ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกอย่าง

ปล. มันน่ะไม่เป็นไรแล้วล่ะ แต่ต้นนี่สิที่ยังนั่งคิดมากอยู่คนเดียวเนี่ย เฮ้อออ


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ยี่สิบเอ็ดสู่ปลายทางสุดท้าย


เช้าวันต่อมา ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในอ้อมแขนของไอ้ซัน และเมื่อผมปลุกมันให้ตื่นแล้ว มันก็เริ่มที่จะซนอีกครั้งทันที แต่ผมก็บอกให้มันคอยก่อน เพราะว่าวันนี้เรามีเรื่องที่จะต้องทำกันหลายเรื่อง และเราก็มีเรื่องต้องคุยกันอีกเยอะด้วย โดยเฉพาะกับพีที่มีเรียนในตอนบ่าย ดังนั้นผมจึงตัดสินใจว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราทั้งสามคนควรจะมานั่งคุยกันอย่างเปิดอก และพีก็จะเป็นคนแรกที่จะได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดอย่างครบถ้วนจากปากของเราทั้งสองคนพร้อมๆกันด้วย

หลังจากข้าวเช้า เราสามคนก็นั่งคุยกันถึงคำถามและสิ่งที่คาใจที่เหลืออยู่ทั้งหมด และเมื่อเราตัดสินใจกันได้แล้ว ผมกับซันก็เห็นตรงกันว่าเราสองคนจะรีบจับเครื่องบินรอบที่เร็วที่สุดเพื่อกลับกรุงเทพ เพื่อที่จะได้ทันเจอกับพวกพ่อและแม่ของซันที่กรุงเทพก่อนที่พวกท่านจะบินกลับอังกฤษกันมาเสียก่อน และที่สำคัญก็คือเพื่อที่จะไม่ทำให้ใครต้องมานั่งเป็นห่วงเราสองคนไปมากกว่านี้อีกแล้วนั่นเอง

หลังจากที่พีออกไปเรียน ผมก็โทรศัพท์กลับไปเล่าเรื่องทั้งหมดว่าผมกับซันกลับมาคืนดีและเข้าใจกันแล้วให้พ่อรวมทั้งไคล์ฟัง พร้อมทั้งบอกทั้งคู่ด้วยว่าเราจะรีบกลับไปให้เร็วที่สุด ดังนั้นเราจึงอยากให้ทุกคนรออยู่เจอพวกเราก่อนที่จะบินกลับอังกฤษกันมา

เวลาที่เหลืออยู่ของวันนั้น เราสองคนก็ใช้มันไปกับการตามขอบคุณและบอกลาเพื่อนๆของเราทุกคน พร้อมกับสัญญาว่าเราจะต้องกลับมาเยี่ยมทุกคนอีกแน่นอน จนกระทั่งถึงเวลาที่เราอยู่กันตามลำพังในห้อง เราจึงได้นั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตที่เคยค้างคา เราปรับความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง และเรายังคุยกันถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้หลังจากที่เรากลับประเทศไทยแล้วด้วย โดยที่ไอ้ซันดูจะเป็นกังวลแทนผมมากจนผมต้องยืนยันกับมันว่าผมไม่เป็นอะไรจริงๆ และยืนยันกับมันว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อยอย่างแน่นอน

“มึงต้องเจอกับอะไรมามากมายจริงๆ เมฆ กูไม่คิดเลยว่ากูจะทำให้มึงต้องลำบากขนาดนั้นแล้วยังทิ้งมึงมาที่นี่อีก”

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ซัน เรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะมึง มึงเองก็รู้”

“แต่ถึงยังไงกูก็เป็นคนผิดที่ไม่เข้มแข็งพอที่จะอยู่ข้างๆมึงได้ในยามที่มึงต้องการ”

“แต่ในตอนนั้น.......... บางทีกูก็อาจจะไม่ได้ต้องการมึงก็ได้นะ” ผมบอกมันตามความจริงที่ผมคิด “ไม่รู้สิ บางทีอาจเป็นเพราะว่าตอนนั้นมันมีอะไรหลายเรื่องมาก และถ้าเราสองคนยังคงเห็นหน้ากันอยู่ ถ้ากูยังคงเห็นมึงอยู่ใกล้ๆ กูก็อาจจะไม่เข้มแข็งได้มากพอที่จะทำอะไรแบบนั้นลงไปได้เลยก็ได้มั๊ง”

“ตอนนั้นกูเองก็มีคิดแบบนั้นเหมือนกัน นอกจากที่ว่ากูจำเป็นต้องห่างมึงเพื่อตัวของมึงเองแล้ว กูยังคิดด้วยว่ามันอาจจะเป็นอะไรที่มึงกำลังต้องการอยู่แล้วด้วยเหมือนกัน ถึงแม้ใจของกูมันจะไม่ได้อยากทิ้งมึงไปไหนเลยก็ตาม.......”

“แล้วมึงล่ะ สรุปแล้วกูก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้ามึงบอกมึงไม่รู้ว่ากูมาที่นี่ แล้วมึงแต่งเพลงนั้นให้กูได้ยังไง จะเอาไปเล่นให้กูฟังเมื่อไหร่อะไรแบบนั้นน่ะ”

“ไม่หรอก.........” ไอ้ซันมองหน้าผม “ตอนแรกเลยกูไม่ได้คิดจะทำเพื่อให้มึงฟัง หรือแม้แต่ถ่ายรูปและปิดไปทั่วทั้งห้องแบบนั้นเพื่อให้มึงเห็นหรอก แต่กูทำเพราะกูคิดถึงมึง เมฆ........ กูทำเพราะกูเหงา กูเศร้า กูต้องการระบายมันออกมา และแค่หวังว่าจะได้อัดมันเก็บเอาไว้เป็นเพลงที่กูจะได้เอาไว้ฟังเวลาที่คิดถึงมึงเท่านั้นเอง มันก็มีบ้างที่กูหวังว่าสักวันกูจะได้เล่นเพลงนั้นให้มึงฟังเมื่อกูพร้อม เมื่อเราพร้อม......... ถึงจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่และยังไง แต่กูคิดจริงๆนะว่าถึงสุดท้ายแล้วมึงจะไม่มาตามหากูถึงที่นี่ สักวันนึง ท้องฟ้าผืนนี้แหละ ที่จะเป็นฝ่ายออกเดินทางหาก้อนเมฆของมันเองบ้าง”

เมื่อมันพูดจบ เราสองคนก็นั่งมองหน้ากันเงียบๆครู่หนึ่ง จากนั้นไอ้ซันก็เอนตัวลงมานอนหนุนตักผม

“เมฆเหนื่อยมั๊ย กับการที่ต้องเป็นฝ่ายเข้มแข็งและรักษาความสัมพันธ์นี้เอาไว้แค่คนเดียวแบบนี้ เหนื่อยมั๊ยที่ต้องเป็นคนเดียวที่คอยตามหาและออกเดินทางอยู่ตลอด.........”

ผมลูบแก้มมันเบาๆ “ไม่หรอก ซัน เมฆรักซัน ไม่ว่าซันจะอยู่ไกลแค่ไหน หรือเราจะต้องเผชิญปัญหาหนักหนามากเท่าไร ถ้าเพื่อซัน....... เพื่อคนที่เมฆรักเพียงคนเดียว ความสุขเพียงหนึ่งเดียวของเมฆ เมฆทำได้เสมอและไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลยด้วย” ผมก้มลงจูบลงบนริมฝีปากมันเบาๆ “และที่สำคัญซันเองก็เพิ่งบอกนี่นาว่าตัวเองก็ตั้งใจจะบินกลับไทยไปหาเมฆเมือนกันน่ะ”

“ใช่ครับ........” ซันพยักหน้า ก่อนจะคว้ามือของผมไปกุมเอาไว้ “ไม่ใช่แค่ก้อนเมฆหรอกนะที่อยู่ไม่ได้โดยปราศจากท้องฟ้าน่ะ แต่ท้องฟ้าเองก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีก้อนเมฆลอยอยู่ข้างกายเหมือนกัน จำเอาไว้เลยนะ” มันจุ๊บลงบนมือของผมเบาๆ “ความเหงาและความเจ็บปวดของท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆน่ะ มันหนักหนากว่าที่ใครๆคิดมากนะ”

เราสองคนอยู่เงียบๆกันแบบนั้นอีกครู่ใหญ่ๆ ก่อนที่ผมจะนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ บางอย่างที่ผมยังคงปิดบังมันอยู่เป็นเรื่องสุดท้าย และเป็นสิ่งที่ผมเองก็เกือบจะลืมไปแล้วด้วยเหมือนกัน..........

“ซัน เมฆมีบางอย่างอยากจะสารภาพนะ..........”

“เรื่องอะไรครับ”

“เรื่องจูบ.........”

“อีกแล้วๆ อย่าบอกนะว่าเป็นไอ้สองคนนั้นอีกน่ะ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ แต่เมื่อมันเห็นว่าผมไม่ได้มีท่าทางล้อเล่น มันก็เริ่มมีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันที

“เมฆเองก็เพิ่งนึกออกเหมือนกัน บางทีเพราะมันอาจจะเป็นอะไรที่เมฆอยากละลืมๆมันไปซะก็ได้”

“หมายความว่ายังไง”

“ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก แต่ว่าคนที่เมฆจูบไปจริงๆก็คือ......... นัท” ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้ไอ้ซันฟัง ซึ่งมันก็ฟังอย่างตั้งใจและไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ จบกระทั่งผมเล่าจบ ไอ้ซันก็ยังคงเงียบอยู่ เงียบจนผมเริ่มรู้สึกกลัว.........

“ซัน.........” ผมเรียก

“ไม่เป็นไรหรอก ซันแค่ตกใจนิดหน่อยน่ะ” มันพูดเรียบๆ “แต่ซันเข้าใจนะ เพราะมันก็คงเหมือนๆกับสิ่งที่ซันทำลงไปล่ะมั๊ง และที่สำคัญ.........”

“อะไรครับ” ผมถาม

“ในตอนนี้ซันไม่มีอะไรจะต้องไปหึงคนอย่างนัทอยู่แล้วนี่ จริงมั๊ย”

“ใช่แล้ว” ผมพยักหน้าเห็นด้วย “ไม่มีอะไรมาเทียบกันได้เลยด้วย”

ผมกับซันบอกลาพีที่สนามบินเป็นครั้งสุดท้าย เขาให้สัญญาว่าจะกลับไปเยี่ยมพวกเราทุกคนอีกครั้งเร็วๆนี้แน่นอน ตลอดการเดินทางบนท้องฟ้าอันยาวนานของเรา เราทั้งคู่ต่างก็นอนหลับเอาแรงกันซะเป็นส่วนมาก แต่ว่าผมก็สังเกตเห็นและรู้สึกถึงบางอย่างในตัวของไอ้ซันที่ดูแปลกไปเล็กน้อย แต่เมื่อผมถามมันมันก็เอาแต่ส่ายหน้าแล้วก็บอกปฏิเสธ ผมจึงตัดสินใจปล่อยไปและไม่เซ้าซี้อะไรมันอีก จนกระทั่งเมื่อเครื่องบินลงจอดที่สนามบินสุวรรณภูมิในตอนบ่ายแก่ๆและเรานั่งอยู่บนแท็กซี่เพื่อตรงกลับไปที่บ้านแล้วนั่นแหละ ผมจึงยิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของมันได้อย่างชัดเจนมากขึ้นไปอีก มันดูกระสับกระส่ายและเป็นกังวลมากจนผมต้องถามมันออกไปอีกครั้ง

“เป็นอะไรไป ซัน”

“ไม่รู้สิ..........” ไอ้ซันมองหน้าผม “กูรู้สึกเครียดๆว่ะ”

“เครียดอะไร มึงยังคิดมากเรื่องนั้นอยู่อีกเหรอ”

“เปล่าหรอก คือ กู........ ไม่รู้สิ กูกังวลมั๊ง กูรู้สึกผิดน่ะ กูรู้สึกผิดต่อมึง แต่ไม่ใช่แค่นั้น กูยังทำผิดต่อพ่อของมึงมากด้วย กูว่ากูไม่กล้าเจอหน้าพ่อมึงเท่าไหร่เลยว่ะ เมฆ”

“มึงคิดมากไปแล้ว ซัน พ่อกูเค้าไม่ใช่คนอย่างนั้น มึงเองก็น่าจะรู้ดีนี่”

“กูรู้ แต่กูก็กลัวนี่ กูทำร้ายลูกชายเค้า และทั้งๆที่กูเป็นผู้อาศัย แต่กูก็ยังทำตัวแบบนั้นลงไปอีก กูรู้สึกแย่ว่ะ”

“กูเข้าใจมึง แต่ว่ากูก็คงพูดอะไรไม่ได้หรอกนะเพราะกูไม่ใช่พ่อกู กูคงจะฟันธงอะไรไม่ได้ แต่กูบอกได้แค่ว่า มึงเองก็เป็นลูกชายคนนึงของพ่อเอกเหมือนกัน เหมือนกับที่กูเป็นลูกของพ่อสันต์กับแม่กุ้งนั่นแหละ เข้าใจมั๊ย ทีหลังมึงห้ามคิดว่าตัวเองเป็นยังคงเป็นคนอื่นของครอบครัวกูอีกเด็ดขาด จำไว้ด้วย” ผมเหลือบเห็นคนขับแท็กซี่มองเราสองคนผ่านกระจกหลังด้วยสายตาแปลกๆ แต่ผมก็ไม่สนใจ “คอยดูก็แล้วกันว่าพ่อกูเค้าจะว่ายังไง แต่กูกล้าพูดได้เลยว่าพ่อกูเค้าคงไม่หยิบปืนมาไล่ยิงมึงเหมือนบรรดาพ่อๆในละครช่องเจ็ดหรอก”

เมื่อแท็กซี่มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านของเราแล้ว ผมกับซันก็เดินเข้าบ้านไปพร้อมๆกัน พ่อเอกที่นั่งรออยู่บนโซฟาและเห็นเราเดินเข้ามาในบ้านก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาเราทั้งสองคนทันที ผมเหลือบไปมองหน้าของไอ้ซันแว่บหนึ่งและเห็นว่าภายใต้สีหน้านิ่งเฉยของมันนั้นซ่อนความกังวลเอาไว้อยู่ภายในอย่างชัดเจนทีเดียว มันอาจจะตบตาใครหลายๆคนรวมทั้งพ่อหรือแม่มันได้ แต่มันไม่มีทางตบตาผมได้เด็ดขาด และผมก็ไม่คิดว่ามันจะตบตาพ่อเอก คนที่เลี้ยงดูและปลูกฝั่งสิ่งที่ผมเป็นมาตลอดยี่สิบกว่าปีได้ด้วยเช่นกัน เพราะเมื่อพ่อเอกเดินตรงเข้ามาหาเราสองคน สิ่งแรกที่พ่อทำก็คือดึงตัวของไอ้ซันเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น

“ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะ ลูกซัน”

ผมยืนมองไอ้ซันทำตัวไม่ถูกด้วยความรู้สึกขำๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มันจะรู้สึกตัวและยกมือขึ้นกราบลงบนอกของพ่อเอก

“ผมขอโทษนะครับ พ่อ”

“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรต้องขอโทษนี่ และไม่มีอะไรที่พ่อจำเป็นต้องให้อภัยด้วย” พ่อพูดพร้อมกับตบบ่าของไอ้ซันเบาๆสองสามที

ไอ้ซันเหลือบมาสบตากับผม และผมก็ยิ้มและพยักหน้าตอบกลับไปให้กับมัน

“เราเองก็ดูโทรมลงไปเหมือนกันนะ เอาล่ะ กลับมาแล้วคราวนี้ก็พักผ่อนให้มากๆด้วยล่ะ ส่วนตอนนี้พ่อว่าเราสองคนเอาของเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บในห้องกันก่อนไป”

ผมกับซันรับคำพร้อมๆกันก่อนจะเดินขึ้นบันไดไป และเมื่อเราขึ้นไปจนถึงเกือบชั้นสองแล้ว เราทั้งคู่ต่างก็ต้องชะงักฝีเท้าลงเมื่อได้ยินเสียงของพ่อตะโกนดังขึ้นมา

“อ้อ ซัน พอเก็บของเสร็จแล้วลงมาคุยกับพ่อหน่อยนะ”

ไอ้ซันหันมามองหน้าผมด้วยแววตาขอความช่วยเหลือทันที ทำให้ผมอดหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

“มึงอย่าขำดิ่ว่ะ เมฆ กูกลัวจริงๆนะเว้ย” ไอ้ซันพูดหลังจากผมปิดล็อคประตูห้องแล้ว

“มึงยังจะกลัวเหี้ยอะไรอีก เมื่อกี๊ก็ได้ยินที่พ่อพูดแล้วนี่ พ่อกูเค้าไม่ว่าอะไรมึงหรอกน่า”

“มันก็ใช่ แต่ว่ากูไม่รู้ว่ากูควรจะพูดอะไรออกไปมั่งนี่หว่า”

“พูดเรื่องทั้งหมดที่มึงอยากจะพูดนั่นแหละ ซัน พ่อเอกคือพ่อกูนะ พ่อเค้าเป็นคนสอนและเลี้ยงดูกูมา กูเชื่อว่าพ่อจะต้องเข้าใจ”

“เรื่องนั้นน่ะกูไม่แปลกใจเลยจริงๆ”

“เรื่องไหนวะ” ผมสงสัย

“ก็เรื่องที่มึงกับพ่อเอกเป็นพ่อลูกกันไง พ่อมึง......... ไม่สิ ต้องพูดว่ามึงนั่นแหละที่มีอะไรคล้ายพ่อมึงหลายอย่างมากจริงๆ มากจนถ้าพ่อมึงเด็กลงกว่านี้สักยี่สิบสามสิบปีนะ กูต้องนึกว่ามึงสองคนไปฝาแฝดไม่ก็เป็นพี่น้องกันแน่ๆเลยว่ะ”

“แล้ว..........” ผมเดินตรงเข้าไปกอดเอวมันหลวมๆ “ถ้าเกิดเป็นอย่างนั้นจริง มึงจะยังคงรักกูอยู่มั๊ยวะ หรือว่าจะเปลี่ยนใจไปเลือกพี่ชายกูคนนั้นแทน”

ไอ้ซันยิ้มแล้วชะโงกหน้าเอาปลายจมูกของมันมาชนกับยอดจมูกของผมเบาๆ

“ไม่มีวัน” เราสองคนจูบกันเบาๆ ก่อนที่ไอ้ซันจะเป็นฝ่ายผละออกจากผม “เอาล่ะ ก่อนที่มันจะเกินไปยิ่งกว่านี้ กูขอลงไปคุยกับพ่อเล็กก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวพ่อเค้าจะรอนาน”

“อืม ก็ดี แล้วมึงคุยอะไรกันอย่าลืมบอกกูด้วยล่ะ”

“แต่ว่าก่อนหน้านั้น มึงอย่าลืมล่ะ อย่างที่เราคุยกันเอาไว้ตอนอยู่บนเครื่องน่ะ”

“ได้ เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงไปเถอะ”

ไอ้ซันชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผมเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมจึงหยิบโทรศัพท์มากดเบอร์หาไคล์และรายงานให้เขาที่อยู่ที่มหาลัยรู้ว่าเราสองคนกลับมาถึงบ้านแล้วเป็นคนแรก จากนั้นก็โทรไปคุยกับไอ้เอ็น อีฟ และพี่แอมป์ตามลำดับ โดยเฉพาะตอนที่คุยกับเอ็น มันก็ทำให้ผมได้รับข้อมูลใหม่ที่น่าตกใจมากเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งด้วย และหลังจากนั้นผมก็คุยโทรศัพท์กับคนอื่นอีกนานจนกระทั่งเผลอลืมเวลาไป และมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อไอ้ซันเดินเข้าห้องมาทั้งๆที่ผมก็ยังคงกำลังคุยกับพี่แอมป์อยู่นั่นแล้ว

“ครับ ก็อย่างนั้นแหละครับพี่ ขอบคุณมากนะครับพี่ แล้วก็ขอโทษด้วยที่ทำให้วุ่นวาย........ อ้าว ไอ้ซันเข้าห้องมาแล้ว  ถ้ายังไงไว้เดี๋ยวเราคุยกันใหม่นะครับ อย่างที่ผมบอกนั่นแหละครับ ไว้เจอกันครับพี่ ครับ ขอบคุณมากครับ บายครับ” ผมวางสายพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซัน “เรียบร้อยแล้วหมดทุกคน เป็นอย่างที่เราคิดกันไว้จริงๆ”

“งั้นเหรอ” ไอ้ซันเดินมานั่งลงบนเตียง

“แล้วตกลงพ่อคุยอะไรกับมึงมั่งล่ะ”

ไอ้ซันมองหน้าผมแล้วยิ้ม ซึ่งก็นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี “ไม่บอกหรอก บอกไม่ได้ว่ะ ความลับของกูกับพ่อมึงสองคนเท่านั้น”

“เอ๊า อะไรวะ”

“ไม่อ๊งไม่เอ๊าหรอก แต่ว่ามีอยู่อย่างนึงที่เป็นเรื่องสำคัญที่พ่อเค้าเพิ่งบอกกูมา และเราจะต้องไปคุยรายละเอียดกันอีกทีทีหลัง” ไอ้ซันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“เรื่องอะไรวะ”

“เรื่องที่บ้านมึงโดนโจรขึ้นบ้านตอนนั้นน่ะ”

“เออ ใช่ๆๆ เมื่อกี๊กูก็เพิ่งรู้รายละเอียดมาจากไอ้เอ็นเหมือนกัน”

“อ้าวเหรอ เออ งั้นก็ดีเลย เพราะงั้นกูว่าตอนนี้เรารีบไปอาบน้ำกันดีกว่าว่ะ เพราะเดี๋ยวคืนนี้เราจะต้องออกไปกินข้าวกัน”

“กับใครมั่ง พ่อพ่อเอกน่ะเหรอ”

“ใช่ แล้วก็กับไคล์ พ่อสันต์ แม่กุ้ง ป้าแอ๊นท์ แล้วก็ลุงคาร์ลอสด้วย คืนนี้พ่อแม่ทั้งสามครอบครัวจะได้นั่งกันพร้อมหน้าเป็นครั้งแรก และเราก็มีเรื่องต้องคุยกับพวกเค้าทุกคนเยอะเลยด้วย เพราะงั้น รีบไปเตรียมตัวได้แล้ว”

“เฮ้ย แต่เมื่อกี๊กูเองก็เพิ่งวางจากไคล์เองนะ ไม่เห็นเค้าได้พูดอะไรเลย”

“ใช่ เมื่อกี๊เอง” ไอ้ซันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู “เมื่อหนึ่งชั่วโมงกับห้าสิบนาทีที่แล้วน่ะนะ”

“ชิบหาย นี่กูคุยโทรศัพท์นานขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ใช่”

“แล้วมึงกับพ่อก็คุยกันนานขนาดนั้นเลยด้วย” ผมถาม

“ใช่ แต่กูก็คุยกันเรื่องร้านอาหารคืนนี้แล้วก็โทรไปหาพ่อกับแม่แล้วก็ไคล์เพื่อนัดเวลากันด้วยไง เอาล่ะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เรามีเวลาอีกแค่ชั่วโมงครึ่งก่อนจะออกจากบ้านนะ ไปเร็ว” ไอ้ซันจูงข้อมือผมเดินเข้าห้องน้ำไปกับมัน และก็ไม่ต้องบอกเลยว่าการที่ผมกับมันอาบน้ำด้วยกันอย่างนี้นั้นมันจะทำให้ประหยัดเวลามากขึ้นหรือทำให้เรายิ่งช้าลงกันแน่

กว่าเราสองคนจะแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อย พ่อเอกก็นั่งรอเราอยู่ที่ห้องรับแขกแล้ว ไอ้ซันเป็นฝ่ายอาสารับหน้าที่ขับรถโดยมีพ่อเอกนั่งที่เบาะหน้า ส่วนผมก็นั่งอยู่เบาะหลัง และดูท่าทางว่าไอ้ซันจะสบายใจขึ้นมากแล้วจริงๆ แต่คราวนี้ก็เป็นคราวที่ผมจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มรู้สึกกังวลมั่งแล้ว เพราะว่าอีกไม่กี่นาทีถัดจากนี้ผมก็จะต้องเป็นฝ่ายเผชิญหน้าทั้งกับพ่อสันต์และแม่กุ้งเองแล้วด้วยเหมือนกัน

หลังจากที่เราแวะรับไคล์ที่มหาลัยเสร็จ เราก็มุ่งตรงไปยังร้านอาหารแถวเกษตรนวมิทร์ทันที เมื่อไปถึงที่ร้านอาหารและจอดรถเรียบร้อยแล้ว ความกังวลของผมมันก็คงจะฉายแววออกมาได้อย่างชัดเจนทีเดียว ไอ้ซันที่เห็นสีหน้าและแววตาของผมจึงเดินตรงเข้ามากุมมือของผมเอาไว้

“ไง เป็นฝ่ายกลัวซะเองแล้วรึไง”

“อะไร ใครบอกว่ากูกลัว”

“อย่าทำปากแข็งหน่อยเลย มึงน่ะไม่ใช่กูนะ ไม่ต้องทนฝืนเก็บความรู้สึกหรอก เพราะกูเองก็รักมึงที่มึงเป็นแบบนี้มากกว่าน่ะ” ไอ้ซันหอมแก้มผมไวๆกลางลานจอดรถ ทำให้ไคล์ต้องกระทุ้งสีข้างไอ้ซันแรงๆเป็นการเตือน มันจึงปล่อยมือผมออกในจังหวะเดียวกับที่แขกคนอื่นเดินผ่านพวกเราไปพอดี

“กูไม่ได้กลัวหรอก แต่แค่รู้สึกเกรงใจพ่อแม่มึงน่ะ ไม่รู้สิ กูก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ะ”

“เห็นมั๊ย ก็เหมือนกับกูนั่นแหละ แต่วางใจเถอะ พ่อแม่กูน่ะ รักมึงมากกว่ารักกูอีก เดี๋ยวไม่เชื่อมึงคอยดู”

เราสี่คนเดินตรงเข้าไปในร้านอาหาร และหลังจากที่เรานั่งลงเรียบร้อยแล้ว อีกไม่นานพ่อกับแม่ของซันและไคล์ก็มาถึง และก็เป็นอย่างที่ไอ้ซันพูดจริงๆ ทันทีที่แม่ของซันรวมทั้งป้าแอ๊นท์เดินมาถึง พวกท่านก็ตรงเข้ามากอดและหอมแก้มผมทันที ส่วนไอ้ซันก็โดนทั้งคู่เอ็ดเข้าให้ชุดใหญ่ แต่ก็เป็นการดุแบบไม่จริงจังมากกว่า เพราะผมรู้ดีเลยว่าทุกคนในตอนนี้ต่างก็กำลังมีความสุขกับการได้มาเจอกันพร้อมหน้าแบบนี้มากแค่ไหน โดยเฉพาะพ่อแม่ของไอ้ซันและตัวไคล์เองที่ได้ลูกชายและพี่ชายของตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมอย่างนี้อีกครั้ง

มื้ออาหารผ่านไปพร้อมกับบทสนทนาที่ราบรื่น พ่อแม่ของผมกับซันนั้นเคยเจอกันมาก่อนแล้วหลายครั้ง แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่มีพ่อและแม่ของไคล์อยู่ด้วย บรรยากาศจึงค่อนข้างจะต่างไปจากเดิมเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเต็มไปด้วยสีสันโดยเฉพาะป้าแอ๊นท์แม่ของไคล์ที่ยังคงเป็นคนที่คงความอารมณ์ดีเอาไว้ได้อยู่ตลอดเวลาเหมือนเดิมจริงๆ

แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้เราทุกคนมารวมตัวกันในวันนี้ บรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนไปในทันที ซันบอกกับผมเอาไว้แล้วว่ามันจะขอเป็นฝ่ายเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่แรกให้ทุกคนฟังเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นจุดประสงค์หลักของเราสองคนก็คือการพูดคำว่า “ขอโทษ” มากกว่าอย่างอื่น แต่ทว่าเมื่อมาถึงคราวของผมที่ต้องพูดถึงเรื่องของพี่จ๊อบ ซึ่งถึงแม้ว่าผมจะพยายามตัดรายละเอียดที่อาจจะมากจนเกินไปออกแล้วก็ตาม ทุกคนที่โต๊ะอาหารต่างก็ยังคงมีปฏิกิริยาต่างๆกันไปแบบที่แทบจะไม่แตกต่างจากที่ผมคาดเอาไว้แต่แรกสักเท่าไหร่ อย่างเช่นพ่อสันต์ที่อาจจะดูนิ่งกว่าใครเพื่อนเช่นเดียวกับพ่อเอก แต่ก็ยังแสดงออกด้วยคำพูดอย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจกับเรื่องนี้มากแค่ไหน แม่กุ้งก็จะออกแนววิตกกังวลถึงความปลอดภัยของเราสองคนในอนาคตมาก ส่วนป้าแอ๊นท์ก็ค่อนข้างที่จะโวยวาย แสดงความไม่พอใจ และต้องการที่จะให้ผมเอาเรื่องพี่จ๊อบให้ถึงที่สุด จะมีก็ไคล์แค่เพียงคนเดียวที่ดูเงียบกว่าคนอื่นทั้งหมด จนกระทั่งเขาขอตัวลุกไปเข้าห้องน้ำ ผมจึงถือโอกาสลุกเดินตามเขาไปด้วย

“ไคล์ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ” ผมถามเขาเมื่อเราอยู่ในห้องน้ำ

เขานิ่วหน้าเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ศิลา ผมดีใจนะครับ ที่ทั้งคู่กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”

“แต่.......”

“แต่ว่าผมก็เสียใจด้วยเหมือนกัน ที่ทั้งศิลาและซันทำเหมือนกับผมเป็นคนอื่นแบบนี้ ทั้งๆที่เราก็ผ่านอะไรมาด้วยกันมาก แต่ทั้งคู่กลับไม่ไว้ใจผม ไม่เคยบอกอะไรผมเลย ทั้งๆที่เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันแล้วแบบนั้น ศิลารู้มั๊ยว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมและคนอื่นๆเป็นห่วงทั้งคู่มากแค่ไหน และยิ่งพอรู้ว่าทั้งคู่ต้องเจออะไรแบบนั้นมาด้วยแล้ว มันก็ยิ่ง.........” ไคล์หยุดไปเหมือนหาคำพูดมาพูดไม่ได้

“ยิ่งน่าตกใจ” ผมพูดต่อ “พี่เข้าใจ และพี่ก็ขอโทษจริงๆนะ ไคล์ พี่เข้าใจว่าเราโกรธ พี่เข้าใจว่าการถูกโกหกปิดบังมันเป็นยังไง เพราะต้นเหตุหนึ่งของปัญหาในคราวนี้มันก็เกิดจากที่ไอ้ซันปิดบังพี่ก่อนเหมือนกัน แต่ว่าเหตุผลของพี่ก็คือพี่ไม่อยากให้ไคล์ต้องเดือดร้อนไปกับพวกเราด้วย พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่เจอมามันอันตราย ดูขนาดตอนที่ไคล์ต้องเจ็บตัวเมื่อตอนโจรขึ้นบ้านเราเมื่อตอนนั้นสิ แค่นั้นพี่ก็แทบหัวใจสลายแล้ว และถ้าเกิดว่าไคล์ต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องนี้แบบเต็มๆแล้วได้รับอันตรายยิ่งไปกว่านั้นล่ะ ถ้าเกิดไคล์กลายเป็นเป้าหมายที่พวกนั้นจ้องเล่นงานจนต้องเจ็บตัวไปมากยิ่งกว่านั้น พี่คงจะต้องเสียใจและไม่มีวันยกโทษให้ตัวเองเลยจริงๆ....... ไคล์ยกโทษให้พี่กับซันนะครับ ได้มั๊ย”

ไคล์พยักหน้า “ครับ ผมขอโทษที่เอาแต่ใจ แต่ถึงยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผมรักพวกพี่นะครับ ผมอยากให้ทั้งสองคนมีความสุข และอยากให้เรามีกันและกันแบบนี้ตลอดไป”

“พี่สัญญาครับ จะไม่มีอะไรมาทำลายความสัมพันธ์และสายใยที่เราสี่คนมีให้แก่กันได้แน่นอน พี่สัญญา..........”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ยี่สิบสองสู่ปลายทางสุดท้าย


ซัน


เช้าวันต่อมา หลังจากพ่อเล็กออกจากบ้านเพื่อไปทำธุระที่ที่ทำงานของตัวเองแล้ว ผมกับเมฆก็นั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆตามลำพัง แต่จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ค่อยจะถูกนัก เพราะเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครให้ความสนใจกับรายการทีวีที่เปิดอยู่เลยสักนิดเดียว ผมเปิดทีวีมาหยุดอยู่ที่รายงานข่าวช่วงเช้าค้างเอาไว้ แต่ก็หันมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์กีฬาแทน ส่วนไอ้เมฆก็กำลังนั่งอ่านหนังสือนิยายแปลที่มันอ่านค้างเอาไว้อยู่ข้างๆ ผมรู้ดีว่าเช้าวันนี้เราทั้งสองคนต่างก็เต็มไปด้วยความคิดจนไม่อยากจะรับฟังหรือรับรู้อะไรอีกสักเท่าไหร่ เสียงของพิธีกรรายการชายและหญิงในทีวีนั้นก็มีเอาไว้เพียงเพื่อทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดลงเท่านั้นเอง

ผมหันไปมองหน้าของเมฆแล้วก็อดรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาทั้งหมดไม่ได้ ผมทำร้ายมันมามาก ผมรู้ดีว่ามันนั้นเข้มแข็ง แต่ผมเองก็รู้ดีด้วยเช่นกันว่ามันไม่ได้เข้มแข็งแบบนั้นได้ตลอดเวลา มันต้องทนเก็บและทนฝืนอะไรต่างๆมากมายเพื่อผม เพื่อคนที่ไม่ได้เรื่องอะไรเลยคนนี้ และในวันนี้ที่ผมได้มานั่งมองใบหน้าของมันแบบนี้แล้ว มันทำให้ผมได้เห็นเลยว่าภายใต้ใบหน้าที่ดูอ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่นนั้น ล้วนเปี่ยมไปด้วยความเข้มแข็งและกำลังใจที่เอ่อล้นออกมาจากภายในอย่างไม่มีวันหมดสิ้น ผมไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าถ้าหากผมไม่มีมันอยู่ข้างกาย หรือว่าคนที่อยู่ข้างกายของผมไม่ใช่มันคนนี้นั้น ชีวิตของผมมันจะเดินไปในทิศทางไหนกัน..........

ผมวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วตะแคงตัวลงไปนอนลงบนตักของมัน ไอ้เมฆมองผมด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร มันวางหนังสือที่ตัวเองอ่านอยู่ลงบนโต๊ะรับแขก จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของผมเบาๆ

“เมฆ....... ซันขอโทษนะ” ผมคว้ามือของมันมากุมเอาไว้

“อะไรกัน เรื่องอะไรอีก”

“สำหรับทุกๆเรื่อง....... ขอโทษที่ซันไม่เข้มแข็งมากพอ ขอโทษที่ไม่เชื่อใจเมฆ และขอโทษที่ซันไม่เชื่อใจตัวเองเหมือนอย่างที่เมฆเชื่อ”

“เราพูดเรื่องนี้กันมาหลายหนแล้วน่า ซัน ช่างมันเถอะครับ เลิกโทษตัวเองสักที ถ้าขืนมึงยังพูดคำว่าขอโทษอีกล่ะก็คราวนี้กูจะโกรธจริงแล้วนะ”

“ถ้างั้นก็ขอบคุณ.........”

“หืมม ขอบคุณเรื่องอะไร” ไอ้เมฆเลิกคิ้ว

“ไม่รู้สิ เอาเป็นว่ากูขอบคุณมึงก็แล้วกัน นะ ไอ้ตัวดี”

ไอ้เมฆยิ้มกว้าง และนั่น...... นั่นเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้เห็นมานานแล้วจริงๆ รอยยิ้มที่ทำให้ผมต้องตกหลุมรักมัน รอยยิ้มที่ทำให้โลกทั้งใบสว่างสดใสขึ้นมา มันคือรอยยิ้มแห่งความสุขของคนที่ผมรักที่สุดในโลกใบนี้ ก้อนเมฆของผมกลับมาเป็นก้อนเมฆที่สว่างสดใสและสวยงามดังเดิมแล้ว

“เดี๋ยวพูดเพราะ เดี๋ยวพูดหยาบ มึงจะเอาไงแน่ ไอ้แสบบบ” ไอ้เมฆบีบจมูกผมแล้วเขย่าเบาๆ

“โอ๊ยยๆๆ เดี๋ยวก็จมูกเบี้ยวเสียหล่อกันพอดี” ผมสะบัดหน้า “ก็มึงเป็นฝ่ายพูดมึงกูก่อนนี่”

“มันคงไม่เสียไปมากกว่านี้แล้วล่ะ ไอ้หน้าหล่อเอ๊ยยย” ไอ้เมฆปล่อยมือแล้วก้มลงจูบลงบนปลายจมูกผมเบาๆ

“ซันรักเมฆนะครับ”

“เมฆก็รักซันครับ”

เราสองคนอยู่ท่านั้นเงียบๆกันอีกพักใหญ่ๆ ผมปล่อยให้ไอ้เมฆลูบหัวผมเล่นไปเรื่อยๆ ปกติแล้วผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาเล่นหัวผมสักเท่าไหร่นักหรอก จะมีก็แต่มันเพียงคนเดียวนี่แหละที่ผมยอม และไม่ใช่แค่ยอม ผมต้องยอมรับเลยด้วยซ้ำว่าผมรู้สึกดีมากเวลาที่มันมาลูบหัวผมเล่นแบบนี้

“ไปเตรียมตัวได้แล้วมั๊งซัน เดี๋ยวซันต้องเข้าบริษัทพร้อมกับพ่อสันต์อีกนี่”

“ใกล้ได้เวลาต้องไปแล้วเหรอ กำลังเพลินเลย”

“ไม่ต้องมาทำเพลินเลย ไป ลุกเร็วเข้า แปดโมงจะครึ่งแล้ว เดี๋ยวก็สายกันพอดี ซันต้องไปรับพ่อที่คอนโดอีกนะ พ่อเค้าอุตส่าห์ไปช่วยคุยเรื่องงานของตัวเองกับลุงกิตไว้ให้แล้ว ตอนนี้ก็ต้องไปสะสางที่เหลือเองมั่งได้แล้วนะ”

“คร้าบๆ รู้แล้วน่า” ผมลุกขึ้นนั่งพร้อมเกาหัวแกรกๆ “ว่าแต่เมฆเถอะ แน่ใจนะว่าไม่ต้องให้ซันไปด้วยน่ะ”

“อืม แถมถ้าซันไปด้วย ซันจะไปตอนไหน เพราะตอนเที่ยงก็นัดพี่แอมป์เอาไว้ และตอนบ่ายก็ต้องไปหาไอ้อีฟอีกนี่”

“ไอ้เรื่องนั้นมันก็จริง.........” จังหวะเดียวกับที่ผมกำลังจะอ้าปากพูดอะไรต่อ โทรศัพท์มือถือของเมฆก็ดังขึ้น มันเอื้อมมือไปหยิบมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะมาดูเบอร์ที่โชว์เข้า และผมก็เห็นมันทำสีหน้าประหลาดใจ

“ทำไมล่ะ” ผมถาม

“ไม่โชว์เบอร์” เมฆหันมือถือมาให้ผมดูหน้าจอว่ามันไม่โชว์เบอร์จริงๆ

“รับสิ จะได้รู้ว่าใคร”

เมฆพยักหน้า จากนั้นก็กดปุ่มรับสาย “สวัสดีครับ”

ผมนั่งรอจนกระทั่งมันถามชื่ออีกฝ่ายแล้ว จึงได้ถามมันออกไปว่าคนที่โทรมาคือใคร แต่มันกลับหันมาบอกให้ผมรีบไปแต่งตัวให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน ผมที่ไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับมันต่อ จึงได้แต่มองมันด้วยสายตาเป็นห่วงก่อนจะเดินขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับไปคุยเรื่องลาออกที่บริษัทอย่างเป็นทางการ

ก่อนหน้านี้ผมก็แค่ลาพักงานชั่วคราวอย่างไม่มีกำหนด โดยพ่อของผมเองก็เป็นคนช่วยคุยและเป็นธุระให้ด้วย แต่หลังจากที่เราทุกคนนั่งคุยกันแล้ว ผมกับเมฆและทุกๆคนต่างก็ลงความเห็นว่าผมควรจะลาออกให้เรียบร้อย แล้วค่อยไปสมัครงานใหม่ที่ทำงานเดียวกับเมฆทีหลังจะดีที่สุด

หลังจากผมแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย ไอ้เมฆก็เดินกลับขึ้นมาบนห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน

“ตกลงเมื่อกี๊ใครโทรมา แล้วนี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยเหรอ จริงๆต้องออกจากบ้านตอนบ่ายๆไม่ใช่เหรอ”

“เปลี่ยนแผนนิดหน่อยน่ะ พอดีเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมา นัดให้เมฆออกไปคุยด้วยตอนสายๆน่ะ”

“กรณ์ไหน” ผมสงสัย

“พี่กรณ์ เพื่อนพี่วินไง”

“อ๋อ ลูกน้องพี่วินที่เมฆเคยเล่าให้ฟังคนนั้นน่ะเหรอ”

“ลูกน้องเหรอ......... อืมม ก็คงจะใช่ด้วยแหละ แต่จะไงก็เหอะ คือเมื่อกี๊พี่กรณ์โทรมาบอกว่ามีเรื่องอยากจะคุยกับเมฆนิดหน่อยน่ะ เค้าเลยนัดให้ออกไปหา เพราะว่าพี่เค้าจะว่างก็แค่ช่วงเช้าเท่านั้นเอง”

“แล้วพี่เค้ามีเรื่องอะไร เค้าได้บอกรึเปล่า”

“เปล่า” เมฆส่ายหน้า “แต่พี่เค้ายืนยันว่าไม่ได้มีอะไรร้ายแรงหรือน่าเป็นห่วงหรอก”

“ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็ดี..........”


............................................................

เมฆ


ผมกับซันขับรถออกจากบ้านไปคนละคันในเวลาเดียวกัน ไอ้ซันมุ่งหน้าไปยังคอนโดเพื่อรับพ่อสันต์ไปทำธุระที่ที่ทำงาน ส่วนผมก็มุ่งหน้าไปหาพี่กรณ์ที่ที่ทำงานของพี่เขาเช่นเดียวกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ผมจะได้ไปยังที่ทำงานของพี่กรณ์และพี่วิน ลึกๆในใจผมก็หวังอยากจะเจอพี่วินอีกสักครั้ง แต่อะไรบางอย่างมันบอกผมว่าการที่พี่กรณ์เป็นคนโทรนัดผมออกมาแบบนี้ แถมยิ่งการที่นัดให้มาหาเขาที่ที่ทำงานของพี่เค้าแบบนี้ด้วยแล้ว มันทำให้ผมรู้สึกว่าผมคงจะยังไม่ได้เจอกับพี่วินในวันนี้แน่ๆ

ผมจอดรถที่ลานจอดรถของอาคารสูงหลายสิบชั้นกลางตัวเมือง จากนั้นก็เดินตรงเข้าไปในล็อบบี้ เมื่อมองดูป้ายบอกสำนักงานในแต่ละชั้นแล้วผมถึงได้รู้ว่าออฟฟิศส่วนตัวของพี่วินนั้นกินเนื้อที่ห้าชั้นบนสุดของอาคารแห่งนี้ ซึ่งเท่าที่ผมลองประเมิณดูด้วยตาก็คิดว่ามันน่าจะเป็นทำเลที่ราคาสูงไม่เบาเลยทีเดียว แต่พอสังเกตดูดีๆผมถึงได้เห็นว่าจริงๆแล้วอาคารทั้งอาคารนี้น่าจะเป็นสมบัติของครอบครัวของพี่วินนั่นเอง เพราะผมเห็นตัวอักษรดับเบิ้ลยูและรวมทั้งป้ายชื่อนามสกุลของพี่วินสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนกำแพงด้านหลังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ พี่กรณ์บอกผมเอาไว้แล้วว่าเมื่อผมไปถึงแล้วให้ผมโทรหาพี่เขาตามเบอร์ที่เพิ่งให้ไว้ และผมก็ทำตามที่พี่เขาบอก จากนั้นอีกแค่ประมาณห้านาทีถัดมา พี่กรณ์ก็ดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมด้วยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า

“เป็นยังไงมั่ง เมฆ สบายดีมั๊ย”

“สบายดีครับพี่ แล้วพี่ล่ะ”

“ก็เรื่อยๆเหมือนเดิมแหละครับ”

“แล้วพี่วินล่ะครับ”

พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอย่างรู้ทัน “วันนี้พี่เค้าไม่อยู่น่ะ ไปธุระเรื่องงานนิดหน่อย พี่ก็เลยต้องดูแลงานที่นี่แทนพี่เค้าเกือบทั้งหมด ยุ่งพอตัวเลยล่ะ พี่ก็เลยจำเป็นต้องนัดให้เมฆมาหาพี่ที่นี่ไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ช่วงเช้านี้ยังไงผมก็ว่างอยู่แล้ว”

“แล้วช่วงบ่ายล่ะ”

“ก็มีธุระต้องสะสางนิดหน่อยน่ะครับ”

“เรื่องของซันใช่มั๊ย”

“พี่กรณ์รู้ได้ยังไงครับ” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ไม่สิ ถ้าพูดจริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องของซันซะทีเดียวหรอก จริงมั๊ย เอาล่ะ อย่ามายืนคุยกันอยู่ตรงนี้เลย ไปนั่งที่ร้านกาแฟตรงนั้นกันดีกว่า พี่เลี้ยงเอง” เมื่อพูดจบ พี่กรณ์ก็เดินนำผมไปยังร้านกาแฟตรงหน้าบันไดเลื่อน

พี่กรณ์สั่งกาแฟร้อนมาถ้วยหนึ่ง ส่วนผมที่ไม่ค่อยชอบของร้อนๆก็สั่งกาแฟเย็นมาแก้วนึงด้วยเช่นกัน และเมื่อเราสองคนนั่งกันเรียบร้อยแล้ว ผมก็เริ่มถามคำถามทันที

“พี่รู้ได้ไงครับว่าผมกำลังจะไปทำอะไร”

“เฮ้ย พี่ไม่รู้หรอก พี่ก็แค่เดาเอาเท่านั้นเอง เพราะตั้งแต่ก่อนที่เมฆจะไปตามซันที่อังกฤษ เมฆก็บอกพี่วินเอาไว้แล้วนี่นาว่ายังเหลืออะไรที่เมฆจะต้องกลับมาเคลียร์อีกด้วยตัวเองเป็นอย่างสุดท้าย พี่ก็เลยแค่เดาเอาว่าหลังจากที่เมฆกลับมาแล้วเมฆกับซันก็น่าจะทำอะไรกันต่อก็เท่านั้นเอง และอีกอย่าง พี่วินเองก็ยังไม่ได้วางใจขนาดจะปล่อยให้น้องชายของเค้าลุยเดี่ยวด้วยตัวเองทุกอย่างขนาดนั้นด้วย”

“พี่หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่ค่อยเข้าใจ”

“พี่ก็แค่หมายความว่า พี่วินเค้ายังไม่ได้วางมือจากเรื่องนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ พี่วินไม่เคยและไม่มีวันที่จะวางมือจากเรื่องของเมฆและพ่อเลยแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นเมฆไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น พี่เข้าใจว่าพอพูดแบบนี้ไปแล้วเมฆอาจจะยังรู้สึกเหมือนมันไม่จบไม่สิ้นหรือกลัวว่าจะยังมีพี่วินคอยเดินตามหลังอยู่ตลอดเวลา แต่มันไม่ใช่แบบนั้น มันก็แค่เหมือนกับยี่สิบปีที่ผ่านมาของเมฆที่มีพี่วินคอยดูแลโดยที่เมฆไม่รู้ตัวแบบนั้นแหละครับ”

“ถ้าเรื่องนั้นผมก็พอจะเข้าใจครับ แต่ว่า......... ยิ่งพี่พูดแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจนะ ทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของผมเยอะแยะขนาดนั้นล่ะครับ ผมหมายถึง พี่วินรู้ทุกอย่างว่าผมเป็นอยู่ยังไง แต่ผมกลับแทบไม่เคยรู้ถึงชีวิตของพี่วินเลยสักนิดเดียว”

พี่กรณ์วางถ้วยกาแฟลงแล้วยิ้มให้ผม “เมฆอยากรู้มั๊ยล่ะ”

“ว่าไงนะครับ”

“เมฆอยากรู้มั๊ย ว่าจริงๆแล้วพี่วินคือใคร และทำไมเค้าถึงได้รักเมฆกับพ่อมากถึงขนาดนั้น”

หัวใของผมเริ่มเต้นแรงขึ้นกับสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยิน และสีหน้าท่าทางของผมก็คงจะบอกให้พี่กรณ์เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยเช่นกันว่าผมรู้สึกตกใจและตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้ยินอยู่มากขนาดไหน

“แต่ข้อแม้ก็คือ เมฆห้ามบอกพ่อหรือพี่วินเด็ดขาดนะว่าเมฆรู้เรื่องพวกนี้ เก็บมันเอาไว้กับตัวคนเดียวก็พอ”

“ครับ ผมเข้าใจ”

“อืมม จะเริ่มยังไงดี.......... เอาล่ะ” พี่กรณ์โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย “พี่จะถือว่าเมฆไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับพี่วินมาก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ และก่อนอื่น ก่อนที่พี่จะเล่าให้เมฆฟังนี่พี่อยากให้เมฆเข้าใจไว้ก่อนว่า พี่ไม่ได้เล่าเพื่อความเห็นใจ และก็ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ของใครทั้งสิ้น แต่พี่แค่อยากจะให้เมฆรู้เอาไว้และเข้าใจอะไรขึ้นบ้างสักเล็กน้อยก็ยังดีนะครับ”

ผมพยักหน้า “ครับ”

“เมฆเองก็รู้ว่าการที่พี่วินจะไว้วางใจอะไรใครสักคนน่ะ มันยากมากขนาดไหนใช่มั๊ย พี่เองก็ไม่ได้สนิทสนมกับพี่เค้ามาตั้งแต่แรกเลยหรอกนะ เราสอคนน่ะเรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม แต่เพิ่งจะมาสนิทกันจริงๆก็ตอนอยู่มัธยม และกว่าที่พี่จะได้การยอมรับจากพี่วินน่ะ ก็ปาไปอีกหลายปีให้หลัง แต่เรื่องนั้นน่ะช่างมันก่อนก็แล้วกัน พี่คิดว่าเมฆคงจำได้ว่าตอนเมฆเด็กๆ พี่วินเค้าเคยไปอาศัยอยู่ที่บ้านของเมฆมาช่วงนึงใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ แต่ผมก็จำรายละเอียดได้ไม่ค่อยมากหรอก”

“พี่เองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนักหรอกนะครับ เพราะแม้แต่กับพี่เอง พี่วินก็ยังคงมีอะไรหลายๆอย่างที่ไม่เคยและคงจะไม่มีวันบอกพี่เหมือนกัน แต่เท่าที่พี่รู้ก็คือ พี่วินกับเมฆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดด้วยเหมือนกัน”

ผมรู้สึกว่าผมกำลังอ้าปากค้างทั้งๆที่ไม่ได้เป็นอย่างนั้น

“ใช่ แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งน่ะนะ เพราะพี่วิน คือลูกชายของพี่สาวของแม่ของเมฆนั่นเอง หรือถ้าจะพูดให้ง่ายขึ้นก็คือ เขาคือลูกของป้าของเมฆที่เสียไปเมื่อนานมาแล้ว”

“แต่ว่า ป้าของผมเสียไปตั้งแต่ผมยังไม่เกิดอีกนี่ครับ”

“ใช่ หลังจากที่พี่วินเพิ่งจะอายุได้ไม่เท่าไหร่เอง” พี่กรณ์พยักหน้า “และหลังจากนั้น พ่อของพี่วินก็ไปแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งปัจจุบันก็คือแม่ของพี่วิน แต่ว่า......... มันก็ไม่ง่ายสำหรับพี่วินนักหรอกนะ ที่จะต้องอยู่บ้านหลังใหม่กับผู้หญิงที่ไม่เห็นว่าพี่วินเป็นลูกของตัวเองเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งหลังจากที่แม่ของพี่วินตั้งท้องลูกชายอีกหนึ่งคน คราวนี้พี่วินก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะคนเป็นพ่อที่เคยจะพอรักและเอ็นดูลูกของตัวเองอยู่บ้างก็ยิ่งไปเห่อลูกคนใหม่จนแทบไม่ดูดายพี่วินอีกเลย”

“นี่แปลว่าพี่วินมีน้องชายด้วยเหรอครับ”

“เปล่า....... แค่เคยมีน่ะ” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบและคงมองเห็นความสงสัยและความตกใจในแววตาของผม จึงได้เริ่มเล่าต่อ “พอพี่วินอยู่ชั้นประถามปลายๆก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ทำให้พี่วินต้องบาดเจ็บและน้องชายของพี่วินก็ต้องจากไป แต่ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือแม่ของพี่วินโทษว่าการสูญเสียลูกชาย ‘คนเดียว’ ของเขาไปนั้นมีสาเหตุมาจากพี่วิน และแม้แต่พ่อของพี่วินเองก็หัวใจสลาย ถ้านั่นยังไม่แย่พอกับการที่แม่เลี้ยงของตัวเองไม่ใยดีแถมยังกลั่นแกล้งแทบทุกวัน พ่อแท้ๆของตัวเองก็กลับไม่สนใจและปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นอยู่ทุกวันนานนับปี”

“แล้ว......... ผมขอถามอะไรหน่อยได้มั๊ยครับ”

“ว่าไงครับ”

“พี่กรณ์รู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงครับ และพ่อของผมก็รู้เรื่องพวกนี้ด้วยรึเปล่า”

“รู้สิ เพราะว่าแม่ของพี่เป็นคนที่ทำงานให้กับบ้านของพ่อและแม่ของพี่วิน พี่จึงเห็นและรู้แทบทุกอย่างภายในบ้านหลังนั้น ส่วนพ่อของเมฆก็รู้ดีทีเดียว เพราะก่อนที่แม่ของเมฆจะจากไป พ่อและแม่ของเมฆก็ยังเคยมีติดต่อกับพ่อของพี่วินอยู่บ้าง จนกระทั่งแม่ของเมฆจากไปนั่นแหละ สองครอบครัวนี้ก็เลยไม่เหลืออะไรที่จะให้เชื่อมต่อกันอีกเลย”

“นอกจากพี่วิน” ผมเสริม

“ใช่ และพี่วินเองก็รู้เช่นกัน เมื่อตอนขึ้นชั้นมัธยมปลายใหม่ๆ พี่วินที่ทนแบกรับอะไรหลายๆอย่างไว้จนถึงขีดก็เริ่มรับสภาพของพ่อและแม่ตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว....... คืองี้ เมฆต้องเข้าใจนะว่าพี่วินเป็นคนที่หัวดีมาก ไม่ว่าจะพูดถึงทั้งหน้าตา การเรียน หรือแม้แต่กีฬา ก็จะต้องมีชื่อของพี่วินติดอันดับท็อปอยู่เสมอ แต่ว่ามันก็ดูจะไม่มีค่าอะไรเลยกับครอบครัวของพี่วิน จนมาถึงเหตุการณ์ๆหนึ่งที่ทำให้ชีวิตของพี่วินเปลี่ยนไป เขาตัดสินใจหันหลังให้กับครอบครัวของตัวเองและไปพึ่งพาพ่อของเมฆ ซึ่งตอนนั้นพี่วินก็ได้หาหนทางติดต่อและพูดคุยกับพ่อของเมฆเอาไว้สักพักแล้วล่ะ ราวกับเค้ารู้อยู่แล้วว่าสักวันหนึ่งเรื่องนี้มันจะต้องเกิดขึ้น และพ่อของเมฆก็เป็นคนดีมากจริงๆที่ยอมรับในตัวของพี่วินและให้ที่พักพิงเขาจนกระทั่งเขาพร้อม..........”

“พร้อม........ พร้อมสำหรับอะไรครับ” ผมถาม

“เรื่องนั้นพี่คิดว่าพี่คงบอกเมฆไม่ได้น่ะครับ มันอาจจะมากเกินไป รวมทั้ง ก่อนที่เมฆจะถาม เรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นและผลลัพธ์ทั้งหมดด้วย พี่คงจะบอกไม่ได้จริงๆ และใช่ว่าพี่เองก็จะรู้รายละเอียดอะไรมากมาย แต่สิ่งหนึ่งที่พี่พูดได้แน่ๆก็คือ ตอนนี้พ่อของพี่วินกำลังพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเป็นการชดเชยความผิดของตัวเองอยู่ และคิดว่าเมฆคงรู้ว่านั่นไม่ได้ช่วยอะไรพี่วินได้เลย” พี่กรณ์ส่ายหน้าเบาๆ “ครั้งหนึ่งเมื่อคนเราได้เปลี่ยนไปแล้ว มันก็ยากนะ ที่จะเปลี่ยนกลับมาเป็นคนเดิมที่เคยได้รับบาดแผลใหญ่มาก่อนน่ะ”

“พี่กรณ์หมายถึงเปลี่ยน........ ไปเป็นพี่วินแบบปัจจุบันนี้น่ะเหรอครับ”

พี่กรณ์ยิ้มน้อยๆ “ก็คงใช่ เมฆคงไม่คิดหรอกนะว่าพี่วินจะเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เกิดน่ะ”

“ผม เอ่ออ..... ก็ไม่รู้สิครับ”

“พี่จะบอกให้เมฆรู้ไว้นะว่า พี่วินน่ะ ไม่เคยยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ผิดกฎหมายเลยแม้แต่อย่างเดียวหรือครั้งเดียว ตรงกันข้าม เขากลับต่อสู้กับเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด ถึงจะด้วยวิธีการของเขาเองและถึงแม้บางครั้ง......... หลายครั้งมันจะไม่ถูกกฎหมายนักก็ตาม”

“เรื่องนั้นผมก็พอรู้ครับ เพราะแบบนี้ด้วยมั๊งครับ ที่พ่อเคยบอกว่าพ่อรักพี่วินมาก แต่ก็ยังคงไม่สามารถที่พ่อจะยอมรับพี่เขาเป็นเหมือนลูกชายคนนึงได้........ ผมเพิ่งจะเข้าใจเมื่อตอนโตว่านั่นคงหมายถึงว่าพ่อคงไม่อยากให้ผมต้องเข้าไปพัวพันอะไรกับเรื่องที่ไม่ดีๆก็ได้”

“ใช่ครับ แต่นั่นก็เป็นความต้องการของพี่วินเองด้วยแหละ พี่เค้าปราถนาสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวของเมฆ และเค้าก็รู้ตัวดีว่าสิ่งที่พี่เขาทำอยู่มันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก อืมมม........ พี่คิดว่ามันอาจจะตรงกันข้ามกับที่เมฆคิดนะ แต่เมฆรู้มั๊ยว่าพี่วินน่ะรักน้องที่เสียไปของพี่วินกว่าที่ใครๆคิดมากนะครับ และเมฆก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวที่พี่วินมีอยู่ในตอนนี้ และพี่คงไม่ต้องบอกว่าพี่วินรักพ่อของเมฆและเมฆมากขาดไหนกับสิ่งที่ทั้งคู่ทำและชดเชยให้พี่วินในสิ่งที่พี่เขาสูญเสียไป”

“แต่ผมจำไม่ได้เลยนะครับว่าผมทำอะไรไปให้พี่วินบ้างน่ะ คือ เมื่อตอนนั้นผมก็ยังเด็กมากเลย แล้วผมก็จำอะไรแทบไม่ค่อยได้เลยด้วยซ้ำ”

“มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะตอนเด็กๆเมฆเคยเกิดอุบัติเหตุขึ้นครั้งนึงที่ทำให้เมฆลืมเรื่องราวในช่วงนั้นไปจนเกือบหมด รวมทั้งเรื่องที่พี่วินเคยเป็นคนเลี้ยงดูเมฆมาช่วงนึงด้วย”

“ผมไม่เคยรู้เลย” ผมอึ้ง

“ก็คงงั้นแหละครับ เพราะพ่อของเมฆเองก็คงไม่อยากจะให้เมฆจำได้เท่าไหร่ด้วย เพราะถ้าท่านเล่าให้เมฆฟัง เมฆก็ต้องถามเรื่องพี่วินหรือเรื่องอื่นๆที่เมฆไม่ควรจะรู้และท่านลำบากใจที่จะเล่า อย่างเช่รเรื่องที่พี่กำลังเล่าอยู่ตอนนี้ไง”

ผมนั่งนิ่งและไต่ตรองสิ่งที่เพิ่งรับฟังไปเข้าสู่สมอง ข้อมูลที่ผมเพิ่งได้มาใหม่มานี้มันน่าตกใจสำหรับผมมากเลยทีเดียว

“และเมฆคงแปลกใจว่าทำไมพี่วินถึงได้รู้เรื่องของเมฆเยอะนัก อย่างแรกเลยก็คือพ่อของเมฆกับพี่วินน่ะมีติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาครับ และเมฆเองก็น่าจะรู้แล้วว่าพี่วินสามารถที่จะเดินตามหลังเมฆทั้งวันได้โดยที่เมฆไม่รู้ตัว รวมทั้งเขายังมีพี่และคนอื่นๆคอยช่วยเหลืออีกด้วย ดังนั้นเรื่องการรวบรวมข้อมูลสำหรับพี่วินแล้วมันจึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย รวมทั้ง........ สำหรับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นทั้งหมดนี่ด้วย”

“เรื่องนั้นผมก็พอเข้าใจครับ และผมก็คิดอยู่ตลอดเลยด้วยว่าถ้าไม่ได้พี่วินกับพี่กรณ์ล่ะก็ ผมคงต้องแย่แน่ๆ”

“ไม่เกี่ยวกับพี่หรอกครับ พี่ก็แค่ทำตามที่พี่วินบอกมาเท่านั้นเอง.........” พี่กรณ์ยกกาแฟขึ้นจิบอีกครั้ง หลังจากนั้นก็วางแก้วกาแฟลงแล้วยิ้มให้กับผม “เมฆจะแปลกใจ ถ้ารู้ว่างานอดิเรกลำดับที่สองที่พี่วินชอบทำก็คือการช่วยเหลือเด็กกำพร้าและการทำบุญตามสถานสงเคราะห์ต่างๆนะ”

“คราวนี้ผมแปลกใจขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะครับ” ผมหัวเราะเบาๆ “แต่ว่าถ้าจะนึกดูดีๆหลังจากที่ฟังเรื่องทั้งหมดจากพี่แล้ว....... ผมว่ามันก็คงไม่แปลกใจเท่าไหร่แล้วล่ะครับ เพียงแต่ว่า....... งานอดิเรกลำดับที่สองงั้นเหรอครับ ถ้างั้นแล้วลำดับแรกคืออะไรล่ะ”

“ฆ่าคน”

ผมสะดุ้งเฮือกทำเอาสำลักกาแฟที่เพิ่งดูดเข้าไปจนต้องไอโขลกออกมา

“พี่ว่าไงนะ”

“พี่ล้อเล่นน่า” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ

“ล้อเล่นแบบนี้ไม่ขำเลยนะครับพี่ ถ้ามันเป็นล้อเล่นแบบว่า ล้อเล่นในสิ่งที่รู้ๆกันอยู่ว่าไม่ใช่มันก็คงจะตลกอยู่หรอก แต่นี่มันแบบว่า.........”

“โอเคๆ พี่ขอโทษ” พี่กรณ์หัวเราะ “แต่ก็อย่างที่เมฆคิดนั่นแหละ มันก็ไม่เชิงว่าผิดเสียทีเดียวหรอกนะ แต่พี่จะบอกให้อย่างนึงว่าสิ่งที่ทำให้พี่วินน่ากลัวน่ะ ไม่ใช่เรื่องการฆ่า.........” พี่กรณ์ลดเสียงต่ำลงและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “แต่เป็นการที่พี่วินไม่ชอบการฆ่าต่างหาก”

ผมกลืนน้ำลายลงคอและพยักหน้าออกมาช้าๆ “โอเค ผมว่าผมรู้มากพอแล้วล่ะครับ รายละเอียดมากกว่านั้นผมคิดว่าผมพอจะเดาเองได้ และเผลอๆ......... ผมเองก็คงเคยเห็นมามากพอแล้วด้วยเหมือนกัน”

พี่กรณ์พยักหน้า “ว่าแต่ซันล่ะไปไหน”

ผมเล่าถึงสิ่งที่ผมกับซันกำลังจะทำกันวันนี้ให้พี่กรณ์ฟัง และเมื่อเล่าจบ พี่กรณ์ก็พยักหน้าออกมาเป็นเชิงเห็นด้วย

“ดีแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พี่ก็คงไม่ต้องทำอะไรอีกแล้วมั๊ง...........”

“หืมม ‘ทำอะไร’ นี่หมายถึง ทำอะไรครับ”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก” พี่กรณ์ดูนาฬิกาข้อมือ “เอาล่ะ ได้เวลาที่พี่ต้องกลับไปทำงานต่อแล้วครับ เดี๋ยวเกิดพี่วินกลับมาเห็นงานยังไม่เสร็จล่ะก็พี่คงตายแหง”

“โอเคครับพี่ งั้นผมไม่กวนเวลาพี่แล้วครับ”

เราสองคนลุกขึ้นยืนพร้อมๆกัน พี่กรณ์หันมามองหน้าผมแล้วยิ้มให้อีกครั้ง

“ขอบใจมากนะ เมฆ”

ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “เรื่องอะไรครับ”

“ที่ทำให้พี่วินมีความสุขขึ้นแบบนี้น่ะ”

“ผมเนี่ยนะครับ”

“ใช่แล้ว เอาล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรล่ะก็ โทรหาพี่ได้นะครับ หรือถ้ามันสำคัญมาก จะโทรเข้าหาพี่วินเลยก็ได้ คิดว่าเมฆคงโทรติดเข้าสักเบอร์ที่พี่เขาเคยให้ไว้นั่นแหละ” พี่กรณ์ส่งยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป แต่ตอนนั้นเองที่ผมนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เดี๋ยวครับพี่กรณ์” ผมรั้งพี่กรณ์เอาไว้ “จะว่าไปพี่พอจะรู้มั๊ยครับว่าพี่วินกับครูวิชญ์ที่สอนยูโดผมเกี่ยวข้องกันยังไง”

“อ๋ออ” พี่กรณ์หัวเราะเบาๆ “ครูวิชญ์น่ะเหรอ หมอนั่นก็แค่เคยมั่นใจในฝีมือของตัวเองมากจนกระทั่งวันนึงเกิดไปหาเรื่องผิดคนเข้าเท่านั้นเอง”

“พี่หมายถึงพี่วินเหรอครับ”

พี่กรณ์พยักหน้า “เจ้าตัวเองเค้าก็คงจะไม่อยากนึกถึงมันสักเท่าไหร่หรอก มันคงเป็นเรื่องน่าอายสำหรับครูสอนศิลปะการต่อสู้ที่มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนทีเดียว เพราะงั้นเมฆก็อย่าไปใส่ใจนักเลยนะ แต่ถ้าเมฆจะลองไปถามเค้าดูเอาเองเลยก็ได้ ถ้าเค้าไม่อายที่จะเล่าให้ใครฟังน่ะนะครับ” พี่กรณ์ยิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนที่จะเดินจากไป



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ยี่สิบสามสู่ปลายทางสุดท้าย


ถึงจะเป็นช่วงบ่ายคล้อย แต่ก็นับว่าแปลกที่ท้องฟ้าในวันนี้นั้นกลับสว่างสดใสโดยที่ไม่มีแสงแดดร้อนแผดเผามากเหมือนกับปกติ ลมเบาๆที่พัดผ่านพาให้ก้อนเมฆเบื้องบนลอยตัดท้องฟ้าสีครามอย่างเอื่อยๆและช่วยบดบังแสงแดดอันแรงกล้าจากดวงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี ผมนั่งเงยหน้ามองความงามและความอัศจรรย์ของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างไม่รู้จักเบื่อ ของสองสิ่งที่ธรรมชาติสร้างมาให้เกิดมาเพื่อคู่กัน สร้างมาเพื่อทำให้อีกอย่างหนึ่งนั้นสมบูรณ์และสวยงาม หากขาดท้องฟ้า ก้อนเมฆก็คงไม่มีวันถือกำเนิดขึ้นมาได้ และถ้าหากขาดก้อนเมฆไป ท้องฟ้าก็คงจะเดียวดายและไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยบรรเทาความร้อนแรงของพระอาทิตย์ลงได้อย่างแน่นอน

ผมนั่งอยู่ใต้ร่มผ้าใบของร้านกาแฟที่ใต้ชายคาของตึกใหญ่แห่งหนึ่งในย่านธุรกิจของกรุงเทพ ดูท่าทางว่าร้านกาแฟและร้านเบเกอรี่เหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องมีในทุกๆอาคารสำนักงานไปซะแล้ว ถึงเมื่อเช้าผมก็เพิ่งจะดื่มกาแฟไปแล้วสองครั้งทั้งจากที่บ้านหนนึง และจากที่ออฟฟิศของพี่กรณ์อีกหนนึง แต่การได้กาแฟเย็นๆสักแก้วในตอนบ่ายแก่ๆนี้อีกสักครั้งมันก็ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะมันสามารช่วยบรรเทาความร้อนทั้งจากไอแดดและทั้งจากภายในจิตใจของผมลงได้เป็นอย่างดี

ผมล้วงลงไปหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงที่ดังขึ้นและรับสาย ผมคุยกับคนที่โทรมาได้เพียงสองสามนาทีก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมคุ้นเคยดังขึ้น

“เมฆ”

ผมหันไปตามเสียงเรียก นัทกำลังเดินตรงเข้ามาหาผมพร้อมรอยยิ้ม จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยทีเดียวที่ผมได้เห็นนัทในชุดทำงานแบบนี้ ถึงจะไม่ใช่ยูนิฟอร์ม แต่ว่ามันก็ทำให้นัทดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก

“นัท นั่งก่อนสิ” ผมชี้มือไปยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของผม และรอจนกระทั่งนัทนั่งลงเรียบร้อยแล้วจึงเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ต “ขอโทษทีนะที่มาหาถึงที่นี่”

“ไม่เป็นไรหรอก ดีแล้วล่ะ เพราะถึงยังไงก็คงดีกว่าไปหานัทที่ที่ทำงานแหละ”

“แล้วนี่คุยกับลูกค้าเสร็จแล้วเหรอ ต้องกลับไปที่ออฟฟิศอีกมั๊ย”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ วันนี้งานนัทเสร็จหมดแล้ว เวลาออกมาพบลูกค้านี่มันเหนื่อยหน่อยก็จริงแหละ แต่ข้อดีก็คือถ้าเสร็จธุระแล้วก็เอาเวลาที่เหลือไปเที่ยวได้สบาย” นัทนั่งไขว่ห้างและเอนหลังพิงพนักพิงเก้าอี้ “อากาศดีเนอะ แดดไม่ค่อยร้อนด้วย”

“ใช่ เป็นสัญญาณที่ดีนะ”

“ว่าแต่เมฆมีธุระอะไรเหรอ นัทว่านัทกำลังจะโทรหาเมฆแล้วชวนไปกินข้าวด้วยกันอยู่เลย หลังจากนี้เมฆว่างวันไหนมั่งรึเปล่าล่ะ”

“อืมม คงไม่ได้หรอก เพราะเดี๋ยวเมฆก็ต้องกลับเข้าทำงานแล้ว เพราะตอนนี้พ่อก็หายดีและกำลังจะกลับไปทำงานเหมือนเดิมแล้วด้วย”

“แล้วเสาร์อาทิตย์ล่ะ”

“เมฆก็คงต้องอยู่กับไอ้ซันน่ะ”

สีหน้าของนัทดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็แค่เพียงแว้บเดียวเท่านั้นจริงๆ “อ้อ นี่เมฆกับซันกลับมาคืนดีกันแล้วเหรอ”

“ก็ประมาณนั้นแหละ แต่จะว่าไปจริงๆเราก็ไม่ได้ทะเลาะอะไรกันหรอก มันก็แค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง”

“ถ้างั้นวันนี้เมฆมาหานัทมีธุระอะไรล่ะ”

“เมฆจะมาขอบคุณน่ะ”

“ขอบคุณเหรอ”

“ใช่ ขอบคุณที่ทำให้เมฆตาสว่างสักที และขอบคุณที่ทำให้เมฆได้รู้ว่าใครคือเพื่อนที่ดีที่สุดสำหรับเมฆ และใคร........ ที่ไม่ใช่”

“เมฆหมายความว่ายังไง”

“ตอนนี้นัทเลิกกับพี่จ๊อบไปแล้วใช่มั๊ย” ผมถาม

“ใช่ เมฆก็รู้นี่ นัทไม่อยากแม้แต่จะได้ยินชื่อของคนๆนั้นอีกต่อไปแล้ว” นัทเบือนหน้าหนีเล็กน้อย

“เมฆเข้าใจ ก็ถ้าเค้าเป็นคนที่ทำแบบนั้นหรือแบล็คเมล์นัทอย่างนั้นจริงล่ะก็นะ มันก็ไม่คู่ควรกับนัทอีกต่อไปแล้วล่ะ........” ผมถอนหายใจเบาๆ “แต่ถ้าจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนที่ทำอะไรแบบนั้นลงไปได้น่ะ มันก็ไม่สมควรจะที่จะเป็นมนุษย์อยู่บนโลกนี้อีกแล้วด้วยเหมือนกัน”

“ใช่ คนแบบนั้นมันเลวที่สุด”

“แต่ทำไมนัทไม่แจ้งความหรือให้พ่อจัดการล่ะ”

“เรื่องนั้น....... เมฆก็รู้นี่ว่านัทให้พ่อรู้เรื่องพวกนี้ไม่ได้หรอก”

“หรือว่านัทไม่สามารถให้ใครรู้ได้เลยมากกว่า โดยเฉพาะพ่อของนัทเองน่ะ เพราะถ้าหากเรื่องนี้มันหลุดออกไปโดยไม่ใช่มีแค่เมฆคนเดียวที่รู้แล้วล่ะก็ เรื่องอื่นๆมันคงต้องแดงตามกันมาติดและคงทำให้แผนของนัทต้องเสียไปด้วยแน่ๆใช่มั๊ย เพราะงั้นตอนนั้นนัทถึงได้ย้ำกับเมฆนักหนาว่าอย่าได้เอาไปบอกใครเด็ดขาดน่ะ”

“เมฆพูดอะไรน่ะ นัทไม่เข้าใจ” นัททำหน้าสงสัย

“นัทเก่งมากที่ทำให้เมฆเชื่อนัทซะสนิท นับตั้งแต่ตุ๊กตาหมีตัวแรกที่นัทลงทุนร้องไห้กลางห้างเมื่อตอนนั้นแล้ว ใครจะไปคิดล่ะว่านัทจะกล้าซ้อนแผนของตัวเองโดยที่ยอมแกล้งทำเป็นโดนจับได้แบบนั้น” ผมกับนัทสบตากันนิ่ง ต่างคนก็ต่างไม่มีใครยอมหลบตาและพูดอะไรออกมา สุดท้ายผมจึงตัดสินใจพูดต่อ “จริงๆแล้วก็มีคนเคยบอกเมฆเอาไว้นะว่า สักวันความใจอ่อนและความมองโลกในแง่ดีมากเกินไปของเมฆมันอาจจะทำร้ายเมฆเข้าให้ได้แบบนี้ แต่เมฆก็ไม่เคยคิดจริงๆว่าคนที่จะทำร้ายเมฆจะเป็นคนใกล้ตัวที่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กันได้อย่างนัท”

“เมฆพูดอะไรออกมาน่ะ รู้ตัวรึเปล่า”

ผมไม่ตอบคำถาม แต่เริ่มพูดต่อ “มันคงจะเจ็บปวดสินะ ที่มารู้ว่าแฟนของตัวเองเป็นไบ แถมไปๆมาๆก็มารู้อีกว่าแฟนเก่าของตัวเองที่พอเลิกนแล้วก็ยังดันไปคบกับผู้ชายอีกน่ะ จริงมั๊ย ให้ตายสินะ เมฆไม่เคยนึกถึงจุดๆนี้มาก่อนเลยว่าเรื่องแบบนี้มันจะทำให้คนอย่างนัทต้องรู้สึกเสียหน้ามากขนาดไหน ยิ่งถ้ามีใครคนอื่นรู้เรื่องนี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นเมฆเอง เมฆก็คงทนไม่ได้เหมือนกันล่ะนะ....... แฟนเก่าตัวเองเป็นเกย์ ส่วนแฟนใหม่ก็เป็นไบ รู้ถึงไหนก็คงอายถึงนั่น มีหวังตกเป็นขี้ปากคนอื่นแย่”

“เมฆหมายถึงใครที่เป็นไบ”

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่เลย นัท นัทเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจและเลิกกับพี่จ๊อบมันไปตั้งนานมาแล้ว แต่ด้วยการที่อยากจะรักษาหน้าของตัวเอง นัทเองก็คงระแคะระคายหรือพอรู้เรื่องของเมฆกับซันอยู่นิดหน่อยอยู่แล้ว ถึงได้พาพี่จ๊อบไปที่ทะเลด้วยเพราะไม่อยากให้ใครถามว่าพี่จ๊อบไปไหน นัทคงทนไม่ได้ที่จะบอกใครๆว่าเลิกกันแล้ว และคงทนไม่ได้ที่จะให้เมฆเห็นว่าตัวเองเพิ่งเลิกกับแฟนไป แต่เมื่อมาเจอความจริงเรื่องเมฆกับซัน นัทคงยิ่งเจ็บที่เห็นทุกคนให้การยอมรับเรื่องของเรามาก แต่ในขณะที่ตัวเองต้องทนเก็บความอัปยศนั่นเอาไว้เพียงคนเดียว”

“ถ้าเมฆคิดจะคุยเรื่องนี้ล่ะก็ นัทคงต้องขอตัวนะ นัทมีธุระต้องไปทำอีก”

“อ๊ะ ไม่ต้องคิดจะลุกขึ้นเลยนะนัท” ผมร้องห้าม “และถ้าธุระนั่นหมายถึงการโทรไปคุยกับพี่จ๊อบเพื่อนัดหมายหรือทำอะไรสักอย่างอีกล่ะก็ เลิกคิดได้เลย เพราะตอนนี้ไอ้เหี้ยนั่นไม่สามารถจะทำอะไรได้อีกต่อไปแล้ว”

“หมายความว่ายังไง”

“ก็ไม่ได้หมายความว่ายังไงหรอก นัทรู้มั๊ยว่าสิ่งที่เมฆไม่สามารถให้อภัยกัยเรื่องนี้ได้เลยก็คือการที่นัทส่งคนไปรื้อบ้านของเมฆเพื่อหารูปพวกนั้นจนทำให้พ่อและไคล์ต้องได้รับบาดเจ็บ ส่วนไอ้เรื่องการที่นัทจะร่วมมือกับพี่จ๊อบส่งคนมาสะกดรอยตามเราสองคน แอบถ่าย ส่งตุ๊กตาหมีเลียนแบบ เล่นสงครามประสาท หรือพยายามทำให้เราแยกทางกันเท่าไหร่น่ะ นั่นมันก็อีกเรื่องนึง แต่การที่นัททำร้ายครอบครัวและคนที่เมฆรักแบบนี้ เมฆยกโทษให้ไม่ได้”

“ไอ้ที่เมฆพูดๆมาทั้งหมดน่ะ เมฆมีหลักฐานรึยังไง อยู่ดีๆมากล่าวหากันแบบนี้นัทสามารถแจ้งความฟ้องเมฆได้เลยด้วยซ้ำนะ อย่าลืมสิว่าพ่อของนัทเป็นตำรวจน่ะ”

“โอ๊ย เมฆไม่ลืมหรอก และก็รู้ดีเลยว่านัทเองก็ไม่อยากให้พ่อของตัวเองรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะเมฆเองก็ไม่คิดหรอกนะว่าพ่อของนัทจะยอมเอาชื่อเสียงของตัวเองมาแปดเปื้อนเพื่อช่วยลูกสาวโรคจิตของตัวเองแบบนี้น่ะ”

“เมฆว่าใครโรคจิต!” นัทเริ่มขึ้นเสียงเล็กน้อย

“เรื่องนี้มันก็เริ่มต้นง่ายๆอย่างที่เมฆบอก.........” ผมเล่าต่อโดยไม่สนใจสีหน้าเกรี้ยวกราดของนัท “ที่ทะเลในตอนนั้นหลังจากที่นัทเริ่มทนความอัปยศและริษยาของตัวเองไม่ได้ นัทก็คงจะเริ่มคุยกับพี่จ๊อบเอาไว้แล้วว่าแผนการของนัทคืออะไร ถ้าทำให้เมฆกับซันเลิกกันได้ นัทก็คงได้ความสะใจ ส่วนพี่จ๊อบก็จะได้เมฆไป คงจะเป็นแบบนี้สินะ แต่พี่จ๊อบเองก็คงไม่รู้ตัวว่านัทเองก็หลอกใช้มันอยู่อีกต่อหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะมันเองก็เคยทำให้นัทต้องเจ็บปวดเหมือนๆกัน ดังนั้นนัทจึงให้พี่จ๊อบเป็นคนไปคุยกับไอ้แบ๊งค์หลังจากที่รู้ว่าแบ๊งค์คิดยังไงกับซันและเริ่มแบล็คเมล์มัน หลอกใช้ความรู้สึกของมันที่มันมีต่อซัน ทำให้ซันเข้าใจผิด แผนการทั้งหมดที่ทั้งนัทและพี่จ๊อบวางเอาไว้มันมีเพื่อทำให้เริ่มเกิดรอยร้าวระหว่างเมฆกับซัน ทำให้เราต้องมีความลับต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ อาศัยประโยชน์จากการที่นัทรู้จักนิสัยของเมฆดี แต่การที่นัทลงมือบางอย่างด้วยตัวเองโดยที่พี่จ๊อบไม่รู้มาก่อนก็ทำให้มันคงต้องแปลกใจไปบ้างหลายครั้งเหมือนกัน นั่นเลยเป็นช่องว่างที่ทำให้พี่วินเริ่มเกิดความสงสัยในตัวของนัทมากขึ้นไปอีก อ้อ นัทคงรู้จักพี่วินสินะ พี่เค้านี่แหละที่เป็นคนจัดการตามเรื่องทุกอย่างได้เพราะพี่เค้าไม่ได้ไว้ใจใครเลยตั้งแต่แรก และก็เป็นคนแรกที่เข้าไปคุยกับไอ้แบ๊งค์เองด้วย แต่ถึงยังไงก็เถอะ เมฆมันโง่เองที่หลงเชื่อและไว้ใจนัทมากจนทำให้มันต้องเกิดเรื่องรายแรงทั้งหลายเหล่านี้”

เราสองคนนั่งจ้องหน้ากันเงียบๆอีกสักพัก จนในที่สุดนัทก็หัวเราะเหยียดๆออกมาเบาๆ

“เมฆอยากพูดอะไรก็พูดไปเถอะ หลักฐานอะไรก็ไม่มีสักอย่าง”

“แต่ไม่ใช่แค่ไอ้แบ๊งค์ที่นัทและพี่จ๊อบหลอกใช้........” ผมเล่าต่อโดยไม่สนใจปฏิกิริยาและคำพูดของนัท “แต่ยังรวมไปถึงเอ็น น้องชายของพี่แอมป์ด้วย พี่จ๊อบมันคงจะได้ยินเรื่องที่เมฆจะไปถ่ายรูปกันที่คอนโดของพี่แอมป์ในตอนงานวันเกิดของเมฆ และนั่นก็เลยทำให้ทั้งนัทและพี่จ๊อบสามารถนำเอาเรื่องนี้มาเป็นจุดอ่อนในการขู่ให้ไอ้ซันตีตัวออกห่างจากเมฆได้ ไอ้ซันเล่าความจริงเรื่องคืนนั้นทั้งหมดให้เมฆฟังแล้วว่า มันไปเจอรูปเปลือยของนัทที่นัทฝากเมฆเอาไว้ที่บ้าน ซึ่งก็เป็นไปตามแผนของนัทพอดี........”

“ไร้สาระน่าเมฆ นัทจะไปทำอย่างนั้นได้ยังไง ใครมันจะไปคิดถึงขนาดว่าซันจะต้องมาหาเจอ และถึงจะเป็นแบบนั้นจริง ใครจะไปรู้ว่าซันจะมาหาเจอเมื่อไหร่ มันอาจจะนานขนาดไหนก็ได้ ใครจะไปคิด”

“นั่นแหละ คือจุดประสงค์ของนัท อะไรที่มันดูเป็นไปไม่ได้แบบนั้นแหละ และนัทเองก็รู้ดีว่ายิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปนานนั่นแหละยิ่งดี พี่จ๊อบก็จะยิ่งเข้ามาก่อกวนเมฆมากขึ้น ส่วนไอ้แบ๊งค์ก็จะเริ่มเข้าหาไอ้ซันมากขึ้น สุดท้ายเมฆกับซันก็จะเริ่มระหองระแหงหมางใจกันไปเรื่อยๆ และยิ่งนานไปมันก็จะยิ่งแย่ และคราวนี้ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา เราสองคนก็จะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่ขึ้นและคงไม่อาจกลับมาเหมือนเดิมได้เลย นั่นแหละคือความต้องการของนัท แต่นี่นับว่าเรายังโชคดีที่ไอ้ซันเจอรูปพวกนั้นได้เร็วก่อนที่อะไรๆระหว่างเราสองคนจะถูกทำลายไปมากกว่านั้น........” ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “เรื่องของคืนนั้นนั่นก็คือ ระหว่างที่เมฆกับพี่วินออกไปเจอกับคนสะกดรอยตามของพี่จ๊อบ ไอ้ซันก็มาเจอรูปของนัทเข้าและมันก็เลยโทรไปถามความจริงจากปากของนัท และสิ่งที่นัทบอกมันก็คือ นั่นคือรูปตอนที่เราสองคนมีอะไรกัน และแน่นอนว่านัทยังบอกมันอีกด้วยว่าเราสองคนก็ ‘ยังคง’ มีอะไรๆต่อกันอยู่ นัทอาศัยช่องว่างที่เราเริ่มมีเรื่องปิดบังกันมาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ว่านั่นก็ไม่สามารถทำให้ไอ้ซันเขวได้มากพอ นัทจึงต้องบอกมันอีกว่านอกจากนั้นนัทยังมีรูปเปลือยของเมฆและซันที่เราถ่ายด้วยกันในบ้านพี่แอมป์อยู่ในมืออีกด้วย และเพื่อตัวของเมฆเอง ซันจะต้องยอมถอยห่างออกไปซะ แน่นอนว่าไอ้ซันไม่ใช่คนหัวอ่อนและจะยอมทำตามง่ายๆขนาดนั้น แต่เมื่ออะไรๆต่างก็รุมเร้ามันเข้ามามากขนาดนั้น แถมยังเพื่อผลประโยชน์และความปลอดภัยของเมฆเอง มันจึงยอมทำตามเงื่อนไขเบื้องต้นของนัท นั่นก็คือการขนของจากบ้านเมฆกลับไปคอนโดของมัน จากนั้นนัทจึงได้โทรตามแบ๊งค์ออกมาเพื่อเพิ่มเชื้อไฟ ใช่ นัทคงไม่ได้คาดคิดว่าเมฆจะโผล่ไปที่นั่นได้เหมาะเจาะขนาดนั้น แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอกว่าเมฆจะไปเห็นฉากไหนตอนไหนเข้า มันสำคัญที่สิ่งนี้คือบ่อเกิดที่ทำให้ซันต้องเลือกที่จะจากไปเพราะทั้งความเป็นห่วงในตัวของเมฆ และเพราะมันรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันทำลงไปเพราะความเมาและสถานการณ์จำเป็นแบบนั้น............”

“แหม เป็นนิยายที่สนุกมากเลย เมฆ แต่นั่นมันก็แค่ข้อสันนิษฐานไม่ใช่รึไง มีหลักฐานอะไรที่จะมากล่าวหาอะไรนัทได้อย่างนั้น เท่าที่ฟังมานี่พี่จ๊อบคนเดียวมันก็ทำอะไรพวกนั้นได้ไม่ใช่รึไง ไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับนัทตรงไหน”

“ก็คงเป็นอย่างนั้น....... การที่นัททำแบบนี้และใช้ประโยชน์จากที่พี่จ๊อบมันมีทั้งเงิน คน และอำนาจในการทำหลายๆเรื่อง ทำให้แทบจะไม่มีอะไรสาวไปถึงตัวนัทได้เลย หลักฐานทุกอย่างมันจะตกไปอยู่ที่พี่จ๊อบที่เป็นคนลงมือทำอะไรอย่างเอิกเกริกทั้งนั้น ไม่ใช่นัทที่เป็นคนนั่งมองดูทุกๆอย่างอยู่เบื้องหลัง”

นัทยิ้มอย่างมีชัยชนะ “ใช่ แล้วก็ถ้าสมมติมันเป็นอย่างนั้นจริงแล้วจะทำไม ถ้าสมมติว่าสิ่งที่เมฆพูดเป็นความจริง แล้วมันสมควรแล้วมั๊ยล่ะ กับคนที่ทรยศหักหลังนัทแบบนี้น่ะ ใช่สิ ใครๆต่างก็รักศิลาและฟ้าคราม แต่มีใครบ้างมั๊ยที่จะสนใจและเข้าใจนัทที่ต้องมีแฟนเป็นไอ้พวกลักเพศทั้งสองคนแบบนั้นน่ะ!”

“แต่ทำไมนัทถึงต้องทำร้ายคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องแบบนั้นด้วย ทำไมต้องแบล็คเมล์ไอ้แบ๊งค์มันอย่างนั้น และทำไมถึงต้องทำร้ายพ่อกับไคล์”

“เมฆอย่าลืมสิว่านัทไม่ได้เป็นคนทำนะ ไอ้พวกนั้นมันทำของมันกันเองต่างหาก”

“ไอ้พวกนั้น หมายถึงคนที่มันขึ้นบ้านเมฆน่ะเหรอ”

“ใช่ คนโง่ๆมันก็เหมาะกับการใช้แล้วทิ้งดีน่ะนะ” นัทแค่นยิ้ม “แล้วจะทำไม เมฆ โอเค ใช่ นัททำเรื่องทั้งหมดเอง แต่ไหนล่ะหลักฐาน เมฆบอกเองไม่ใช่เหรอว่าไม่มีหลักฐานอะไรสาวมาถึงตัวนัทได้เลยน่ะ และจำเอาไว้เลยนะ เมฆ.......” นัทโน้มตัวเข้ามาหาผม “ถ้านัทไม่มีความสุขล่ะก็ อย่าหวังเลยว่าเมฆกับซันก็จะมี!”

ผมรู้สึกถึงความโกรธที่แผ่พุ่งไปทั่วทั้งร่างกาย นัทกำลังทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่ผมก็คว้าข้อมือของเธอเอาไว้

“หยุด” ผมกระชากข้อมือของนัทเข้าหาตัวทำให้นัทเสียหลักเล็กน้อย “กลับมานั่งลงเดี๋ยวนี้”

“โอ๊ยย! ปล่อยนะ เมฆ!”

“นัทอยากได้หลักฐานใช่มั๊ย” ผมล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “นี่ไง หลักฐาน”

“นี่มันอะไรน่ะ”

ผมกดปุ่มๆหนึ่งบนโทรศัพท์ และหยิบมันมาแนบกับหู “ออกมาได้แล้วล่ะ”

สีหน้าของนัทเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่กำลังเดินออกมาจากหลังร้านคือไอ้เอ็นที่สวมชุดตำรวจในเครื่องแบบอย่างเต็มยศ ในมือของมันถือมือถืออีกเครื่องเอาไว้ และสีหน้าของมันก็บอกให้นัทรู้ได้อย่างชัดเจนว่ามันได้ยินทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว

“ทุกคำพูดของนัทถูกบันทึกเอาไว้หมดแล้ว ขอบใจมากเมฆ ที่พูดหลอกล่อจนในที่สุดมันก็ยอมรับสารภาพออกมาเอง” ไอ้เอ็นหันมาพูดกับผม

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” นัทร้องออกมา

“ยังอยากได้หลักฐานอื่นอีกมั๊ย เช่นรูปที่นัทส่งเข้ามือถือไอ้ซันเมื่อคืนนั้นน่ะ แน่นอนว่าต้องมีเบอร์และเวลาโชว์อยู่ด้วยแน่ รวมทั้งไอ้โจรกระจอกสามคนที่นัทจ้างไปขึ้นบ้านของเมฆในคืนนั้นก็ด้วยเหมือนกัน ตอนนี้พวกมันนอนรอที่จะชี้ตัวนัทอยู่ในห้องขังเรียบร้อยแล้ว”

“เมฆ! นี่มันหมายความว่ายังไง!”

“เมฆมันไม่ได้พูดสักคำนะว่ามัน ‘ไม่มีหลักฐานอะไรเลย’ แต่มันพูดว่า ‘แทบจะไม่มี’ ต่างหาก นัทเองนั่นแหละที่เป็นคนพูดมัดตัวตัวเองออกมา” เอ็นพูดพร้อมกับโบกโทรศัพท์ในมือขึ้นเบาๆกลางอากาศ “คราวนี้ก็ดิ้นไม่หลุดแล้วล่ะนะ ต่อให้พ่อของนัทจะใหญ่สักแค่ไหนก็คงช่วยอะไรไม่ได้แล้วคราวนี้”

“เอาล่ะ คราวนี้คือจุดประสงค์หลักของการที่เรามาเจอกันวันนี้แล้วนะ นัท เมฆอยากจะขอร้องอะไรนัทเป็นอย่างสุดท้าย ถือว่าเราแลกเปลี่ยนกันก็ได้ นั่นก็คือเมฆอยากให้นัทวางมือจากเรื่องพวกนี้ซะ เลิกคิดที่จะทำอะไรเหี้ยๆแบบนี้อีก และเราสองคนก็จบลงเท่านี้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องต่อกันอีก เมฆจะไม่เอาเรื่องนัทก็ได้ แต่นัทต้องรับปากว่าจะไม่มาวุ่นวายกับพวกเราคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป และเมื่อไหร่ถ้ามันเกิดเรื่องเหี้ยๆพรรค์นี้ขึ้นมาอีกล่ะก็ ต่อให้เป็นพ่อนัทหรือใครก็คงช่วยอะไรนัทไม่ได้แน่ และแน่นอน..........” ผมโน้มตัวเข้าไปหานัทเล็กน้อย “ครั้งหน้ากูจะไม่ใจดีแบบนี้แน่นะ”

ผมยืนขึ้นและหันไปพยักหน้าให้กับเอ็น จากนั้นก็เดินออกไปจากร้านกาแฟแห่งนั้นโดยมีมันเดินตามหลังมาติดๆ ทิ้งให้นัทที่หน้าซีดเผือดนั่งตัวสั่นอยู่อย่างนั้นตามลำพัง

“แล้วทางฝั่งไอ้ซันว่ายังไงมั่งแล้วล่ะ”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก มันก็แค่ไปคุยกับพี่แอมป์นิดหน่อย แล้วก็ไปเล่าเรื่องทั้งหมดให้อีฟฟังน่ะ ตอนแรกกูก็ว่าจะนัดพวกมันมาเจอแล้วพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคนเลยเหมือนกัน แต่ไปๆมาๆกูคิดว่าแบบนี้คงจะดีที่สุดแล้วว่ะ ขอบใจมึงมากนะเอ็น ที่อุตส่าห์มาให้กูทั้งๆที่เป็นวันหยุดมึง แถมยังต้องแต่งตัวมาซะเต็มยศขนาดนี้”

“เฮ้ย เรื่องเล็กน้อยน่า ว่าแต่เรื่องไอ้สามคนนั้นที่มันเพิ่งมามอบตัวเมื่อสามวันก่อนตอนที่มึงไปอังกฤษน่ะสุดท้ายกูก็ยังไม่รู้เรื่องเลยนะว่าทำไมจู่ๆมันถึงได้โผล่มามอบตัวที่โรงพักเองได้น่ะ”

“นั่นสินะ กูก็ไม่รู้เหมือนกัน” ผมยิ้มเล็กน้อย

“มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะเว้ย ทั้งสามคนต่างก็ยอมรับสารภาพกันถ้วนหน้า แต่ก็สารภาพด้วยท่าทางหวาดกลัว แถมบางคนยังมีร่องรอยถูกทำร้ายด้วย มันดูเหมือนกับว่าไอ้พวกนี้ถูกซ้อมและขู่บังคับให้สารภาพมากกว่านะ แต่โชคยังดีที่หลักฐานที่มีอยู่มัดตัวพวกมันแน่นหนาพอ และทั้งพ่อมึงกับไคล์ก็ชี้ตัวได้ถูกต้องด้วย”

“แต่ก็ดีแล้วนี่ที่จับตัวคนร้ายได้ มึงเองก็บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่ามึงจะต้องจับพวกมันให้ได้น่ะ มันมามอบตัวเองแบบนี้ก็ดีแล้วนี่”

“กูถามจริงๆเลยนะเมฆ...........” ไอ้เอ็นหยุดเดินและหันมาหาผม “มึงคิดว่าเป็นเพราะพี่วินของมึงรึเปล่า”

ผมยักไหล่ทั้งๆรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่รู้สิ กูก็ไม่ได้คุยกับพี่เค้าอีกเลยเหมือนกัน ก็เลยไม่รู้ว่าเค้าทำได้อะไรลงไปอีกบ้างรึเปล่าน่ะ”

ไอ้เอ็นมองหน้าผมอย่างสงสัย แต่แล้วสุดท้ายก็ยอมแพ้ “เออๆ เรื่องคราวนี้พวกมึงเจอมาเยอะ และพี่วินของมึงก็ช่วยพวกมึงเอาไว้มาก เพราะงั้นกูจะไม่ถามอะไรอีกก็ได้ แต่มึงก็รู้ใช่มั๊ยว่าเค้าเป็นคนที่ อืมม....... ค่อนข้างจะอันตรายน่ะ”

“ไม่ใช่สำหรับพวกกูหรอก เอ็น” ผมออกเดินอีกครั้ง “ว่าแต่ไอ้แบ๊งค์ล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ก็ดีขึ้นนะ มันก็ยังไม่เลิกโทษตัวเองสักเท่าไหร่หรอก และมันก็ยังกลัวว่าไอ้เหี้ยจ๊อบจะกลับมาแว้งกัดครอบครัวของมันอีกรึเปล่าด้วยว่ะ”

“กูว่าเรื่องนั้นไม่มีทางแล้วล่ะ มึงไปบอกให้มันสบายใจเถอะ และอีกอย่างตอนนี้ทั้งกูและซันต่างก็ไม่คิดมากแล้ว และกูเองก็ไม่ได้คิดโกรธหรือผูกใจเจ็บอะไรมันอีกแล้วด้วยเหมือนกัน”

เมื่อเราสองคนเดินมาถึงอาคารจอดรถ ผมกับไอ้เอ็นก็หยุดฝีเท้าลง

“เดี๋ยวกูคงต้องไปทำธุระต่ออีกนิดหน่อยว่ะ งั้นเราแยกกันตรงนี้เลยก็แล้วกันนะ เอ็น”

“ได้ ว่าแต่มึงไม่เป็นอะไรแน่นะเมฆ”

ผมพยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอก กูไม่เหลือเยื่อใยอะไรให้คนๆนี้มานานแล้วว่ะ ความรักความผูกพันความรู้สึกดีๆอะไรทั้งหลายแหล่แม่งหายห่าไปหมดนับตั้งแต่ตอนที่กูรู้ความจริงแล้ว......... และบอกตามตรงนะ กูว่าแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะงั้นตอนแรกกูถึงได้คิดจะประจานมันต่อหน้าเพื่อนๆทุกคนเลยด้วยซ้ำไปไง” ผมส่ายหน้าเบาๆ “คิดๆดูแล้วก็เลวเหมือนกันเนอะ กูนี่”

“เลวเหี้ยอะไร แค่นี้มึงก็พระเอกมากแล้ว อีห่านั่นมันทำถึงขนาดนี้มึงยังจะอุตส่าห์ไม่เอาเรื่องมันอีกแบบนี้น่ะ”

“ใช่ กูคงไม่เอาหรอก........ แต่ว่าถ้าเป็นไอ้ซันล่ะก็ไม่แน่” ผมยิ้ม

“อ้ออ” ไอ้เอ็นยิ้มกว้าง “หึๆ มิน่าล่ะ ไอ้ซันมันถึงได้เรียกมึงว่าไอ้ตัวดี”

“งั้นมึงก็คงจะไม่แปลกใจสินะที่กูเรียกมันว่าไอ้แสบน่ะ”

“ไม่เลยสักนิดเดียวว่ะ” ไอ้เอ็นหัวเราะชอบใจ “ไม่เลยสักนิดเดียว”



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ยี่สิบสี่สู่ปลายทางสุดท้าย


“พี่แอมป์บอกว่าพี่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน และเขาก็ฝากขอโทษด้วยที่เป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมดนี่น่ะ”

“เฮ้ย ซัน พี่เค้าไม่ผิดสักหน่อยนี่นา แล้วซันได้บอกพี่เค้ารึเปล่าว่าอย่าคิดมากน่ะ”

“บอกแล้ว แต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้มากแค่ไหนน่ะนะ เมฆจะเข้าไปคุยกับพี่เค้าอีกทีมั๊ยล่ะ เสร็จธุระเรื่องอีห่ารากโรคจิตนั่นแล้วใช่มั๊ย”

ผมอดหัวเราะเบาๆเพราะคำพูดของมันไม่ได้ “ใช่ แล้วซันล่ะยังอยู่กับอีฟอยู่รึเปล่า”

“ตอนนี้เพิ่งขับรถออกมาแล้วครับ ว่าแต่แล้วจะเอายังไงต่อล่ะ จะเข้าไปหาพี่แอมป์อีกรอบมั๊ย เดี๋ยวคราวนี้ซันไปด้วยก็ได้ เพราะว่ามีอะไรบางอย่างที่เมฆน่าจะอยากเห็นนะ แล้วซันเองก็อยากจะรู้เรื่องที่พี่กรณ์อะไรนั่นคุยกับเมฆด้วยเหมือนกัน”

“ก็ได้ครับ ถ้างั้นเราไปเจอกันที่นั่นเลยก็แล้วกัน” ผมตอบตกลง จากนั้นก็กดปุ่มวางสายและขับรถมุ่งหน้าไปหาไอ้ซันและพี่แอมป์ที่สตูดิโอ จากตำแหน่งที่ผมและไอ้ซันอยู่ผมก็กะเอาไว้ว่าเราน่าจะไปถึงในเวลาใกล้ๆกันพอดี และก็เป็นอย่างที่คาด เพราะเมื่อผมจอดรถปุ๊บ รถของไอ้ซันก็เลี้ยวเข้ามาในลานจอดรถพอดีเลยด้วยเช่นกัน

“ไปเถอะ พี่แอมป์รออยู่ข้างในแล้ว” ไอ้ซันพูดทันทีที่ลงจากรถ

เราสองคนเดินเข้าไปในอาคารสำนักงานขนาดเล็กพร้อมกันๆ ที่นี่เป็นตึกขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก มีความสูงทั้งหมดประมาณหกชั้น ชั้นล่างนั้นเป็นออฟฟิศและเป็นห้องใช้รองรับแขกที่มาติดต่อ และเมื่อดูจากป้ายหน้าลิฟต์แล้วก็เห็นว่าบนชั้นสองและชั้นสามนั้นเป็นสตูดิโอที่เอาไว้ใช้ถ่ายภาพ ซึ่งครั้งหนึ่งซันก็เคยพาไคล์มาถ่ายรูปที่นี่ด้วยนั่นเอง

“เมฆ ซัน” พี่แอมป์ลุกขึ้นจากโซฟาและเดินตรงเข้ามาหาพวกเราทันทีที่เราเดินเข้าประตูไป

“สวัสดีครับพี่ เป็นยังไงมั่งครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้

“สบายดีๆ แต่เรานั่นแหละ ดูผอมลงไปเยอะเลยนะ พี่รู้เรื่องทั้งหมดแล้วค่ะ ไม่คิดเลยว่าไอ้บอลมันจะแอบเอารูปพวกเราไปขายให้ไอ้คนชื่อจ๊อบนั่นได้ และพี่ก็ไม่รู้เลยว่าไอ้บ้านั่นมันจะเลวขนาดนี้ พี่ต้องขอโทษแทนเพื่อนพี่ด้วยจริงๆ แล้วก็ขอโทษแทนไอ้อาร์มน้องชายพี่ด้วยที่มันปากมากจนเป็นสาเหตุให้เราต้องมีปัญหากันแบบนี้น่ะ” พี่แอมป์รีบออกปากขอโทษ

“ไม่ต้องคิดมากหรอกครับพี่ มันไม่ใช่ทั้งความผิดของพี่และของอาร์มหรอก ไอ้พวกเหี้ยนั่นน่ะ ถ้ามันไม่ได้เรื่องที่เรามาถ่ายรูปกัน มันก็ยังจะสรรหาเรื่องนั้นเรื่องนี้มากลั่นแกล้งทำให้เราเลิกกันให้ได้อยู่ดีแหละครับ”

“แต่พี่ก็ยังรู้สึกไม่ดีอยู่จริงๆนะ และนี่ตั้งแต่เกิดเรื่องมา พี่ก็ยังติดต่อนังบอลไม่ได้เลยสักครั้งเดียวเนี่ย” พี่แอมป์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด

“แล้วพี่เค้าไม่ได้บอกที่ทำงานก่อนเหรอครับว่าเค้าจะไปไหนน่ะ พี่เค้าทำงานที่นี่ใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ จริงๆมันก็ต้องมาประจำที่นี่นั่นแหละ ไม่เหมือนพี่ที่มาๆไปๆ แต่หัวหน้ามัน พี่ปุ๋ม เค้าก็บอกพี่นะว่ามันไม่โผล่หน้ามาหลายวันแล้ว ติดต่อก็ไม่ได้ มีแค่จดหมายลาออกส่งมาแค่ใบเดียว ตายห่าไปรึยังก็ไม่รู้เนี่ย”

ผมกับซันมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ จากนั้นผมก็หันไปหาพี่แอมป์ “แล้วที่บ้านพี่เค้าล่ะครับ มีใครเคยไปรึเปล่า และติดต่อคนที่บ้านเค้าได้มั๊ย”

พี่แอมป์ส่ายหน้า “ไม่ได้เลย มันไม่ใช่คนกรุงเทพหรอก มันอาศัยอยู่คนเดียวในอพาร์ทเม็นท์น่ะ สงสัยหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามผู้ชายไปแล้วมั๊ง พี่ก็ไม่รู้สิ เห็นพี่ปุ๋มบอกว่าหลังจากวันนั้นที่มีผู้ชายคนนึงมาขอพบมันแล้วมันก็หายหัวไปเลย”

“มีผู้ชายมาขอพบเค้าเหรอครับ” ผมถาม รู้สึกใจหายวาบ

“ใช่จ้ะ ตอนแรกพี่ปุ๋มเค้ายังนึกว่าเป็นแฟนมันเลย เพราะเห็นว่าหน้าตาดีด้วยนะ”

“ใช่แน่..........” ผมพึมพำออกมาเบาๆ

“เมฆว่ายังไงนะคะ”

“เปล่าๆครับ ไม่มีอะไร ผมก็แค่กำลังคิดว่าถ้าผมหรือไอ้ซันไม่ได้เจอหน้าเค้าตอนนี้ซะก็คงจะดีแล้วน่ะครับ เพราะไม่งั้นคงได้มีเรื่องแน่ๆ โดยเฉพาะไอ้ซันมันเป็นคนใจเย็นซะเมื่อไหร่”

“เมื่อกี๊กูก็พูดแบบนี้แหละ” ไอ้ซันหัวเราะเบาๆ “ว่าแต่พี่ครับ แล้วของที่จะให้ไอ้เมฆดู........”

“อ้อ ใช่ๆ มาทางนี้สิทั้งสองคน” พี่แอมป์เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง จากนั้นก็พาเราสองคนเดินเข้าไปในห้องรับรอง พนักงานสองสามคนในนั้นหันมามองที่ผมกับไอ้ซันแล้วก็หันไปซุบซิบคิกคักกันจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

“นี่เค้าหัวเราะอะไรพวกผมกันเหรอครับ” ผมกระซิบถามพี่แอมป์หลังจากนั่งลงบนโซฟาแล้ว

“อ๋ออ ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปถือสาเลย พี่ต้องขอโทษด้วยนะ ยัยพวกนี้มันแค่ไม่เคยเห็นคนหน้าตาดีสองคนเดินมาด้วยกันแบบนี้เท่านั้นเอง” พี่แอมป์พูดไปอมยิ้มไปอย่างอารมณ์ดี

ไอ้ซันก้มหน้าแอบหัวเราะเบาๆ ส่วนผมก็ได้แต่นั่งงงเพราะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พี่แอมป์พูด แต่สุดท้ายเมื่อพี่แอมป์เดินจากไป ผมถึงได้เห็นผนังห้องด้านหลังตรงที่พี่แอมป์เคยยืนบังอยู่ว่ามันคืออะไร และนั่นก็ทำเอาผมรู้สึกอายจนหน้าแดงไปถึงหู

บนกำแพงฝั่งนั้นมีบรรดารูปภาพของนายแบบนางแบบหลายคนทั้งชาวไทยและต่างชาติมากมายแขวนอยู่ บางคนก็เป็นคนมีชื่อเสียง ดารา หรือนักร้อง และบางคนก็อาจจะเป็นนายแบบนางแบบสมัครเล่นที่ยังไม่มีชื่อเสียงหรือที่ผมไม่รู้จัก แต่หนึ่งในรูปหลายรูปพวกนั้นมีอยู่รูปหนึ่งที่สะดุดตาผมมากที่สุด เพราะมันเป็นรูปขาวดำและแขวนอยู่เกือบจะตรงกลางห้องพอดี นั่นคือรูปของผู้ชายสองคนที่เปลือยท่อนบนและมีคนหนึ่งนอนหงานอยู่บนเตียง ส่วนอีกคนก็นอนตะแคงชันหัวมาส่งยิ้มให้กับเขาอยู่ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนสองคนนี้มีความสัมพันธ์กันมากกว่าคำว่าเพื่อนแน่นอน ทั้งจากรอยยิ้ม แววตา และบรรยากาศทั้งหมดที่ถูกสื่อออกมาจากภาพใบนั้น และที่สำคัญก็คือชายหนุ่มสองคนนั้นมันคือผมกับไอ้ซันนั่นเอง

“เฮ้ยยย” ผมร้องอุทานออกมาเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาไอ้ซันที่ยังคงนั่งหัวเราะตัวงออยู่ข้างๆ “ไอ้แสบบ! นี่มึงรู้อยู่แล้วงั้นเหรอ แล้วทำไมภาพนั้นมันถึงได้ขึ้นไปแผ่หราอยู่กลางห้องแบบนั้นได้วะ!”

ไอ้ซันเงยหน้าขึ้นมาเอานิ้วจุ๊ปากทั้งๆที่ยังคงหัวเราะอยู่ “เบาๆ เมฆ คนอื่นเค้ามองมึงกันหมดแล้วนะ”

ผมมองไปรอบๆแล้วก็ลดเสียงลง “กูอายเค้านะเว้ย มิน่าทำไมเค้าถึงได้มองเรากันจัง”

“เอาน่าๆ รูปแค่ใบเดียวเอง กูบอกพี่แอมป์เองแหละว่าให้เอาขึ้นได้เมื่อตอนที่พาไคล์มาน่ะ โถ่เอ๊ย คิดมากน่าเมฆ ก็อย่างที่พี่แอมป์บอกไง พวกเค้ามองเราก็เพราะเราหล่อไง” ไอ้ซันหัวเราะคิกคัก

“ไม่ใช่สักหน่อย ไอ้ห่าาาา แบบนี้ก็เหมือนประกาศตัวเลยสิวะว่าเราเป็นเกย์น่ะ” ผมกระซิบ

“ก็แล้วทุกวันนี้ยังไม่ได้ประกาศอีกเหรอ” ไอ้ซันชูนิ้วนางข้างซ้ายที่มีแหวนสวมอยู่ขึ้นมา “และยังกับมึงหรือกูแคร์น่ะ แถมที่สำคัญ มันก็แค่รูปเรานอนคุยกันยิ้มให้กัน ไม่ได้มีป้ายบอกตรงไหนสักหน่อยว่าสองคนนั้นเป็นเกย์น่ะ ไอ้ที่มึงพูดมามันก็แค่ความคิดของคนอื่นที่เขาจะคิดกันไปเองรึเปล่าก็เท่านั้นเอง”

“แต่ว่ามัน.........” ผมมองไปยังพนักงานหญิงกลุ่มนั้น และเมื่อเขาเห็นผมมอง พวกเขาก็ส่งยิ้มและโบกมือมาให้พวกเราสองคน ผมจึงได้แต่ยิ้มแห้งๆคืนกลับไป แต่ไอ้ซันกลับหันไปโบกมือกลับให้พวกเขาหน้าตาเฉย “ยังมีหน้าไปโบกมือให้พวกเขาอีก ไอ้หน้าไม่อาย” ผมด่ามัน

“อะไรของมึงงง เมฆ ก็กูมาที่นี่หนที่สามแล้ว นี่ๆ พี่คนนั้นชื่อเอ๋ คนนั้นชื่อปลา ส่วนอีกคนที่ผมสั้นๆนั่นชื่อแพม เป็นไง กูอ่ะคุยกับพวกเค้ามาหมดแล้ว ตอนที่พาไคล์มากูก็คุย เมื่อกี๊ก็คุย และนี่ถ้ามึงจะเอาเบอร์ด้วยก็ได้นะ เดี๋ยวกูไปขอมาให้”

“พอเลย ไอ้แสบสัตว์ นั่งเฉยๆเลย” ผมดึงแขนมันให้มันนั่งลงกับที่ “เออๆ กูผิดเองที่เสือกหน้าบางและดันมีแฟนหน้าหนาน่ะ”

“ใครบอกว่ากูหน้าหนา กูก็แค่หน้าไม่อายที่มีแฟนหน้าตาดีอย่างมึงต่างหาก” ไอ้ซันพูดพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาหอมแก้มผม

“แหมๆ ยังหวานกันไม่เปลี่ยนเลยนะ แบบนี้ค่อยน่าสบายใจหน่อย” พี่แอมป์ที่เพิ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับสมุดหรือหนังสืออะไรสักอย่างเล่มโตในมือพูดขึ้น และคราวนี้พี่แอมป์ก็กลับมาพร้อมกับผู้หญิงวัยกลางคนอีกคนนึงด้วย “นี่พี่ปุ๋มจ้ะ เป็นบรรณาธิการของที่นี่”

“สวัสดีครับ” ผมยกมือขึ้นไหว้

“จ้ะ นี่น่ะเหรอเมฆ หล่อกว่าในรูปซะอีกน้า” พี่ปุ๋มหันไปยังรูปของพวกเราสองคน ทำเอาผมรู้สึกเขินขึ้นมาอีกครั้ง “นี่ เมื่อตอนกลางวันพี่ก็คุยกับซันไปแล้วรอบนึงนะ แต่เมฆกับซันไม่สนใจจะมาถ่ายแบบกันมั่งเหรอ สนุกๆน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก ถือว่ามาลองดูหาประสบการณ์ไง แถมยังได้เงินดีด้วยนะ”

“เอ่ออ ไม่ดีกว่าครับพี่ ผมเกรงใจ”

“แน่ใจนะเมฆ ทำสนุกๆก็ได้นี่นา” ไอ้ซันยุ

“หุบปากเลยไอ้แสบ เดี๋ยวมึงจะโดน” ผมหันไปกระซิบใส่มัน “ว่าแต่นั่นอะไรอ่ะครับ พี่แอมป์” ผมรีบเปลี่ยนเรื่อง

“นี่แหละ ที่พี่อยากให้เมฆกับซันดูก่อนที่มันจะเสร็จน่ะค่ะ” พี่แอมป์วางหนังสือลงบนโต๊ะ และเมื่อมันถูกเปิดออก ข้างในก็คือรูปของไคล์ในหลายๆชุดและหลายๆอิริยาบถ “นี่คือรูปของไคล์ที่มาถ่ายไปเมื่อคราวนั้นไง เมื่อตอนกลางวันพี่ก็ให้ซันดูไปแล้วรอบนึงน่ะ”

“พี่กำลังคัดเลือกกันอยู่พอดีว่าจะเอารูปไหนลงหนังสือบ้าง แต่เห็นว่าน้องคนนี้เป็นคนโปรดของแอมป์น่ะ พี่ก็เลยให้เป็นกรณีพิเศษหน่อยก็คือจะให้เจ้าตัวมาเลือกเองด้วย แต่เห็นซันบอกว่าไคล์มาไม่ได้ พี่ก็เลยเอามาให้เมฆกับซันช่วยเลือกแทน” พี่ปุ๋มอธิบาย

“ทำไมไคล์ถึงมาไม่ได้ล่ะ” ผมหันไปถามซัน

“เพราะว่าพี่เค้าจะต้องเลือกภายในวันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วน่ะสิ” ไอ้ซันตอบ

“ใช่ค่ะ เพราะว่าพี่ต้องรีบส่งไปเรียบเรียงและขึ้นเล่มสำหรับฉบับเดือนหน้าน่ะ”

“ว่าไง เมฆ ซัน ลองจิ้มๆดูสักสี่ห้าภาพซิ พี่เค้าจะได้ดูว่าเห็นด้วยมั๊ย”

ผมกับซันช่วยกันเลือกรูปและคุยกับพี่ปุ๋มพี่แอมป์กันอยู่อีกราวๆครึ่งชั่วโมง ก่อนที่พี่ปุ๋มจะขอตัวกลับไปทำงานต่อพร้อมกับภาพที่ถูกเลือกแล้ว ส่วนพี่แอมป์ก็ยังคงนั่งคุยกับพวกเราต่ออีกครู่หนึ่ง

“จริงๆที่พี่มาที่นี่วันนี้เพราะพี่จะมาส่งเรื่องสั้นที่พี่เพิ่งเขียนเสร็จด้วยน่ะ”

“เรื่องสั้นเหรอครับ”

“ใช่แล้ว เมฆ จำได้มั๊ยที่พี่เคยบอกไงว่าน้องสองคนน่ะเป็นแรงบันดาลใจให้พี่นะ พี่ก็เลยเขียนเรื่องความรักในอีกมุมมองหนึ่งขึ้นมาเรื่องนึงสั้นๆน่ะ แค่ประมาณหนึ่งหน้าเอสี่เอง และพี่ปุ๋มก็ชอบมากด้วย คิดว่าจะได้ลงตีพิมพ์พร้อมกับรูปถ่ายแบบของไคล์เดือนหน้านี้แหละ”

“จริงเหรอครับพี่” ผมถามอย่างไม่อยากเชื่อ

“จริงสิ จริงๆพี่ก็อยากให้เมฆกับซันได้ลองอ่านดูก่อนนะ แต่พี่ว่ารอไว้ทั้งคู่ได้ดูแบบสมบูรณ์จริงๆเลยจะดีกว่า แต่วางใจเถอะ มันไม่ใช่เรื่องของทั้งสองคนเป๊ะๆหรอก ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครจำได้หรอกนะคะ”

“เรื่องนั้นผมไม่กลัวหรอกครับพี่ พวกผมเชื่อใจพี่แอมป์ครับ”

“ขอบใจจ้ะ เมฆ” พี่แอมป์ยิ้ม

จากนั้นไม่นานเราสองคนก็ขอตัวกลับบ้าน โดยที่ผมกับไอ้ซันจำเป็นที่จะต้องขับรถกลับกันคนละคัน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เคลียร์ปัญหาหนึ่งที่คาใจผมอยู่ออกไปด้วย ทันทีที่ผมขึ้นรถและเห็นไอ้ซันขับรถนำออกจากลานจอดรถไปแล้ว ผมก็หยิบมือถือขึ้นมากดหาพี่กรณ์ทันที

“พี่กรณ์ครับ ผมขอถามอะไรพี่อย่างนึงสิครับ”

“ว่าไงครับเมฆ”

“พี่กรณ์รู้จักคนชื่อบอลใช่มั๊ยครับ ที่เค้าเป็นคนถ่ายรูปให้พวกผม”

“อ้อ ใช่ครับ ทำไมเหรอ”

“พี่รู้ใช่มั๊ยครับว่าตอนนี้พี่เค้าอยู่ที่ไหน พี่วินเป็นคนที่เข้ามาหาพี่บอลใช่มั๊ยครับ”

“ใช่ครับ แต่ไม่ต้องห่วงนะ พี่วินไม่ได้ทำอะไรรุนแรงหรอก ถ้าเมฆจะห่วงเรื่องนั้น........”

ผมถอนหายใจโล่งอก “แล้วพี่เค้าอยู่ที่ไหนครับ ทำไมเค้าถึงหายไปโดยไม่ได้บอกใครก่อนเลยแบบนี้”

“กลับบ้านนอกไปแล้วล่ะครับ และก็คงไม่กล้ากลับมาเหยียบกรุงเทพอีกนานเลยล่ะ”

“พี่หมายความว่าไงครับ”

“เอาเป็นว่า จากที่พี่วินบอกพี่น่ะนะ ถ้าคนที่ชื่อบอลนั่นกล้าโผล่หน้ามาให้พี่วินเห็นตามท้องถนนหรือโผล่มาให้พวกเมฆเห็นหน้าแม้อีกแค่ครั้งเดียวล่ะก็ พี่วินจะส่งมันกลับบ้านเก่าของจริงแน่ๆน่ะครับ”

“นี่พี่วินไปขู่เค้าแบบนั้นเหรอครับ”

“เมฆอย่าลืมสิครับว่าเพราะไอ้หมอนี่มันทำให้เมฆต้องพบกับอะไรมาบ้าง อย่าลืมบาดแผลที่กลางหลังและความเจ็บปวดของพ่อและไคล์ หรือแม้แต่ความเจ็บปวดทางใจของตัวเองและคนรอบข้างด้วย” พี่กรณ์พูดเตือน “แต่จะว่าพี่วินไปขู่มันอย่างเดียวก็ไม่ถูก เพราะมันเองก็รีบตะครุบข้อเสนอของพี่วินและทำตามที่พี่เขาบอกแต่โดยดีและเต็มใจเลยด้วย”

“ข้อเสนอเหรอครับ” ผมสงสัย

“พี่วินน่ะ รวยนะครับ เมฆอย่าลืมสิ พี่เขาจะเอาเงินไปชักโครกทิ้งสักเท่าไหร่ก็ไม่หมดหรอก และถ้าเสียเงินกะไอ้แค่นี้แล้วถือว่าเป็นค่ากำจัดขยะไปให้พ้นหูพ้นตาแล้วล่ะก็ มันก็ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”

“พี่วินต้องควักเงินของตัวเองด้วยเหรอครับ”

“ไม่ต้องใส่ใจหรอกนะเมฆ มันเป็นสิ่งที่พี่เขาอยากจะทำอยู่แล้วน่ะครับ อย่าลืมว่าพี่เค้าจะเลือกทางอื่นที่รุนแรงกว่านั้นก็ได้ แต่พี่เค้าเลือกใช้วิธีนี้ก็เพราะเค้านึกถึงเมฆนะครับ เอาล่ะ พี่ต้องขอตัวกลับไปทำงานต่อแล้ว เท่านี้ก่อนนะครับ”

หลังจากพี่กรณ์วางสายไป ผมก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นอีกครู่หนึ่งจนกระทั่งไอ้ซันโทรเข้ามาถามว่าผมออกมาหรือยัง เพราะมันจะชวนผมไปเดินหาซื้อของทำกับข้าวเย็นคืนนี้ด้วยกันก่อนที่จะเข้าบ้าน ผมจึงเริ่มขับรถจากมาพร้อมกับความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แต่ว่ามันก็เป็นความรู้สึกสบายใจที่ผมรู้สึกดีอยู่ลึกๆไม่น้อยเลยทีเดียว



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
วินาทีที่ยี่สิบห้าสู่ปลายทางสุดท้าย


คืนนั้นผมกับซันนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันแล้วนั่งดูทีวีรอบดึกอยู่ในห้องนั่งเล่น พ่อเอกที่ไปทำธุระเรื่องานเสร็จแล้วบอกกับเราว่าไอ้ซันจะต้องเข้าไปสมัครงานด้วยตัวเองอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ ส่วนผมกับพ่อก็ต้องกลับไปเริ่มงานอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ด้วยเลยเช่นกัน และพรุ่งนี้ในตอนบ่ายพ่อกับแม่ของซันและไคล์ก็จะบินกลับอังกฤษแล้วด้วย นับว่าโชคไม่ดีที่เราไม่สามารถไปส่งพวกท่านที่สนามบินได้ แต่ว่ามื้อเย็นที่บ้านของพวกเราเมื่อครู่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการอำลาในช่วงสั้นๆจนกว่าที่เราจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าอีกครั้ง

“จะว่าไป มันมีอยู่อีกอย่างที่แปลก คืออะไรรู้มั๊ยเมฆ.........” ไอ้ซันพูดขึ้นหลังจากที่ผมเล่าเรื่องที่ผมไปคุยกับพี่กรณ์มาเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าผมก็ไม่ได้เล่าถึงรายละเอียดเรื่องอดีตของพี่วินอะไรให้มันฟังเลย เพราะผมรับปากกับพี่กรณ์เอาไว้แล้ว และตัวไอ้ซันเองก็เข้าใจดี

“อะไรเหรอ”

“วันนี้ซันไม่ได้เจอกับลุงกิตหรอกนะ ปรากฎว่าลุงเค้าลางานไปได้สามวันแล้ว”

“อ้าวเหรอ”

“เมฆไม่รู้สึกเหรอว่ามันแปลกๆคล้ายกับกรณ์ของไอ้พี่บอลเลยน่ะนะ”

“ซันคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเพราะพี่วินด้วยงั้นเหรอ.......... แล้วลุงกิตนั่นเค้าจะมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”

“อืมม ซันลองถามเรื่องนี้กับพ่อดูแล้ว และรู้มั๊ยว่าที่น่าตกใจคืออะไร....... ลุงกิตน่ะรู้จักกับพ่อของไอ้เหี้ยจ๊อบมาก่อนด้วยนะ หรือพูดให้ถูกก็คือทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนกันมาสมัยที่เรียนมัธยมปลายด้วยกันน่ะ”

“จริงอ้ะ” ผมถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ใช่ พ่อเองก็เพิ่งจะนึกออกเหมือนกัน แต่ว่าพ่อก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับพ่อของไอ้เหี้ยจ๊อบนั่นหรอกนะ แต่แค่เคยเห็นสองคนนี้เค้าไปมาหาสู่กันครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง แถมนั่นมันยังเมื่อนานมาแล้วด้วย เพราะงั้นพ่อก็เลยไม่ได้ใส่ใจจำอะไรมากนัก”

“ถ้างั้นก็หมายความว่าพ่อมันก็ต้องมีส่วนรู้เห็นในเรื่องนี้ด้วยน่ะสิ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถึงพ่อมันจะรู้จักกับลุงกิตจริง แต่แล้วลุงกิตมาเกี่ยวข้องอะไรด้วยล่ะ”

“เรื่องนี้เราสองคนก็คงได้แต่เดากันไปเองน่ะนะว่าพ่อมันรู้เห็นด้วยรึเปล่า แต่ซันคิดว่าไอ้พี่จ๊อบมันอาจจะแค่ฝากให้พ่อมันฝากลุงกิตเอากล่องของขวัญกล่องนั้นเข้าไปในตึกให้มันก็ได้ นั่นก็อธิบายได้ว่าทำไมกล่องของขวัญนั่นถึงได้มาวางอยู่บนโต๊ะซันได้ แต่ซันก็แค่เดาน่ะนะ.......” ไอ้ซันยักไหล่ “และอีกอย่างก็คือเมฆจำได้ใช่มั๊ยที่เราไปกินข้าวกันแล้วซันเกิดขอตัวกลับก่อนเมื่อตอนนั้นน่ะ นั่นน่ะจริงๆแล้วก็เพราะซันเกิดจำหน้าคนๆนึงที่ซันเคยเจอในร้านอาหารที่ซันไปกินกับลุงกิตและลูกค้าในคืนที่ซันได้ตุ๊กตาหมีได้น่ะสิ เพราะงั้นพอลองมาคิดๆดูลุงกิตก็อาจจะเป็นคนที่คอยบอกไอ้จ๊อบหรือพ่อของมันถึงเรื่องความเคลื่อนไหวของซันก็เป็นได้ จริงมั๊ย”

“อืมมม ที่ซันพูดมามันก็มีเหตุผลนะ........ แต่มันก็เป็นแค่การคาดเดาน่ะนะ จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรในกอไผ่เลยก็ได้ หรือบางทีมันอาจจะไม่ใช่อย่างที่ซันพูดเป๊ะๆแต่ก็อาจจะมีส่วนหรือเฉียดๆก็เป็นได้ ใช่มะ”

“ใช่ แต่ถ้าเกิดเมฆอยากจะรู้จริงๆล่ะก็ เมฆก็แค่โทรถามพี่กรณ์หรือพี่วินก็คงได้คำตอบแล้วนี่”

“เรื่องนั้นมันก็ใช่ แต่ว่าซันอยากรู้เหรอ.......” ผมถาม

“ไม่อ่ะ” ไอ้ซันเบ้ปากแล้วส่ายหน้า “ไม่สนใจสักนิดเดียว เรื่องมันจบลงไปแล้วก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปรื้อฟื้นอะไรอีก ใครทำอะไรไว้สักวันมันก็ต้องใช้ผลกรรม ก็เท่านั้นเอง”

“เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลย” ผมพยักหน้า จากนั้นเราก็นั่งดูทีวีเงียบๆกันต่อ “จริงสิ รอแป๊บนึงนะ”

ผมผลุดลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นชั้นสองไปหยิบผ้าห่มในห้องของเราลงมา เมื่อไอ้ซันเห็นผมหิ้วผ้าห่มผืนใหญ่ลงมาแบบนั้นมันก็ส่งยิ้มกว้างแล้วรีบเขยิบตัวซุกลงมาในผ้าห่มทันทีที่ผมวางมันลงบนโซฟา

“ทำแบบนี้แล้วคุ้นๆเนอะ”

“เหมือนคืนที่มึงกลัวผีจนไม่กล้านอนคนเดียวตอนนั้นนั่นไง” ผมหัวเราะ

“โห จนป่านนี้แล้วยังต้องให้บอกมั๊ยว่ากูแกล้งกลัวน่ะ ไม่งั้นป่านนี้เราก็คงไม่ได้มานั่งกอดกันอยู่แบบนี้หรอกนะ” ไอ้ซันใช้แขนเกี่ยวคอของผมเข้ามารัดเบาๆ

เราสองคนนั่งหยอกล้อและหัวเราะเบาๆกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนมาเป็นนั่งซบและกุมมือกันดูทีวีกันต่อโดยไม่มีคำพูดใดๆระหว่างเรากันอีก คำพูดเพียงอย่างเดียวที่เราใช้สื่อสารกันอยู่ในตอนนี้ก็คือภาษาแห่งความเงียบ ซึ่งเป็นภาษาที่เราสองคนชอบใช้ในยามที่ต้องการจะส่งผ่านความอบอุ่นถึงกันและกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆเป็นสื่อกลาง.......

“ยังไม่นอนอีกเหรอครับทั้งสองคน” ไคล์ชะโงกหน้าลงมาจากชั้นสองมาถามพวกเรา

“ยังเลย ไคล์ล่ะ ทำไมยังไม่นอนอีก มานี่ๆ มานั่งดูทีวีด้วยกันก่อนสิ” ผมเรียก

ไคล์เดินลงมาจากชั้นสองในชุดนอนและมานั่งขดอยู่บนโซฟาเดี่ยวข้างๆพวกเรา เราสามคนนั่งดูทีวีกันอยู่เงียบๆท่ามกลางไฟสลัวอยู่ครู่ใหญ่ๆโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยสักคน

“กินนมเย็นๆกันสักคนละแก้วมั๊ย” ไอ้ซันถามขึ้น

“ก็ดีนะ ไคล์ล่ะ เอามั๊ย”

“ก็ดีครับ ผมขอด้วยแล้วกัน”

“โอเค เอาล่ะ เมฆ ไปหยิบมาซิ” ไอ้ซันเขยิบตัวแล้วตบก้นผมให้ลุก

“อ๊าวว ไอ้เหี้ย เห็นเป็นคนพูด กูก็นึกว่ามึงจะลุกไปหยิบเอง ไอ้ห่านี่” ผมหัวเราะเบาๆ แต่ก็ลุกขึ้นไปเทนมจากในครัวเทใส่แก้วมาทั้งหมดสามใบและมายื่นให้แก่ไคล์ ซัน และตัวผมเองคนละใบ จากนั้นก็กลับมานั่งอยู่ข้างๆไอ้ซันเหมือนเดิม

“จะว่าไปไคล์ก็พูดภาษาไทยเก่งขึ้นมากเลยนะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนให้ไคล์มานั่งดูทีวีที่พูดภาษาไทยแบบนี้ล่ะคงเป็นไปไม่ได้แน่ๆ”

“ก็จริงนะ แต่ผมเองก็ใช่ว่าจะฟังทันหมดทุกคำอยู่ดีนั่นแหละครับ ศิลา”

“แต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกไคล์ยังต้องพูดไทยคำอังกฤษคำอยู่เลย แต่เดี๋ยวนี้แทบไม่ต้องแล้วนี่”

“ก็สมัยนั้นผมไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยกับคนอื่นนอกจากกับแม่นี่นา แต่พอมาอยู่ที่นี่ก็มีแต่คนพูดภาษาไทย ถึงผมจะเรียนอินเตอร์ก็เถอะนะ”

“ว่าแต่อาร์มเป็นยังไงมั่ง ไคล์” ไอ้ซันถาม

“ก็ดีนะครับ ถ้าซันหมายถึงหลังจากเหตุการณ์ทั้งหมด รู้สึกว่าเจ้าตัวเองจะไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก แต่ก็ดูเป็นคนกล้าพูดกล้าคุยกับคนอื่นมากขึ้น และเค้าก็ยอมรับกับผมแล้วด้วยว่าเค้าเป็นเกย์”

“ก็ดีแล้ว บางทีการที่มีเพื่อนให้เราคุยด้วยได้แม้แค่สักคนเดียวน่ะ มันก็ทำให้เราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อนะ”

ผมกับไคล์พยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นห้องทั้งห้องก็ตกลงสู่ความเงียบอีกครั้ง มีเพียงแสงไฟและเสียงเพลงจากทีวีเท่านั้นที่ช่วยทำลายความเงียบและความมืดมิด ถึงอากาศในคืนนี้จะค่อนข้างเย็น แต่ทว่าผมกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นและความสบายอย่างที่ไม่ได้รู้สึกมานานแล้วจริงๆ

“มานั่งด้วยกันสิ ไคล์” ไอ้ซันเรียกไคล์ให้มานั่งข้างๆ

ผมเขยิบให้เกิดช่องว่างขึ้นระหว่างผมกับไอ้ซันและเปิดผ้าห่มออกให้ไคล์เข้ามานั่งได้ ไคล์ค่อยๆสอดตัวเข้ามาระหว่างเราสองคน และถึงเขาจะตัวสูงกว่าเราทั้งคู่เสียอีก แต่ทว่าเราก็จัดการเบียดเสียดกันอยู่ใต้ผ่าห่มผืนนี้ได้อย่างพอดี

ผมเอื้อมมือไปโอบทางด้านหลังของไคล์ ส่วนไอ้ซันก็กอดไคล์จากทางด้านหน้า สายตาของเราทั้งสามจับจ้องอยู่ในทีวี แต่หัวใจของเราทุกดวงต่างก็ล้วนผูกพันกันอยู่ข้างใน ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นนี้คงจะไม่มีอะไรที่สามารถมาทดแทนมันได้อย่างแน่นอน

“พีทเล่าให้ผมฟังว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองคนก็เคยทำแบบนี้กับเขา” ไคล์พูดขึ้นเบาๆ

“งั้นเหรอ แต่จะว่าไปก็ใช่นะ”

“น่าจะหลายครั้งด้วยซ้ำไป” ไอ้ซันเห็นด้วย

“แต่กับไคล์เองก็พวกพี่ก็เคยทำนี่”

“ใช่ครับ และพวกพี่รู้มั๊ยว่าทุกครั้งที่พี่ทำแบบนี้ มันทำให้พวกผมรู้สึกดีมากจริงๆนะ”

“งั้นเหรอ”

“ใช่ครับ มันทำให้พวกผมรู้สึกเหมือนได้รับการปกป้องจากพี่ชายที่ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยมที่สุดของเราทั้งสองคนน่ะ”

“โห ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ไอ้น้องชาย”

“ใช่ พวกพี่ก็เป็นแค่คนธรรมดาๆ ครั้งนี้ไคล์เองก็เห็นแล้วไม่ใช่เหรอว่าทั้งพี่และซันต่างก็ทำเรื่องงี่เง่าจนต้องทำร้ายกันเองมากขนาดไหนมาแล้วน่ะ”

“มันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอครับ ที่คนเป็นแฟนกันจะทะเลาะกันหรือผิดใจกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทั้งสองคนมีก็คือ ‘ความรัก’ ที่ไม่มีวันสั่นคลอน และ ‘ความผูกพัน’ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นแหละครับคือต้นแบบ ‘ความรักในอุดมคติ’ ของผมกับพีทเลย”

“พี่เองก็ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยนะครับ ว่าสิ่งที่ทำให้คนหลายคนรู้สึกชอบหรือแม้แต่ชื่นชมในตัวพี่กับซันเหมือนอย่างพีกับไคล์น่ะ คือ ‘ความรัก’ ด้วยตัวของมันเอง” ผมพูด

“ถึงตอนนั้นพี่จะสูญเสียเมฆมันไปชั่วขณะหนึ่งเพราะความอ่อนแอของพี่เอง แต่พี่ก็พูดได้เลยนะว่าพี่ไม่เคยสูญเสียความรักที่มีให้มันไปเลยแม้แต่วินาทีเดียว ตรงกันข้าม สาเหตุที่พี่ทำเรื่องเหล่านั้นลงไปมันก็เป็นเพราะว่าพี่รักมันมากซะด้วยซ้ำ แต่มันเสียตรงที่พี่ไม่เข้มแข็งมากพอเท่านั้นเอง”

“มึงพูดเหมือนกูไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้เลยนะ ไอ้ซัน”

“ผมชอบที่เวลาพี่สองคนแทนตัวเองด้วยชื่อตัวกันมากกว่าคำว่ามึงกับกูนะ” ไคล์พูดขึ้น “ไม่รู้สิ คือผมรู้ว่าคำว่ามึงกับกูมันเป็นคำหยาบคายที่เพื่อนที่สนิทๆเค้าใช้เรียกกัน เพื่อนผมบางคนก็เรียกผมแบบนี้ แต่ผมว่าพี่สองคนเป็นแฟนกันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงยังเรียกตัวเองว่ามึงกูกันอยู่อีกล่ะ”

ผมกับซันมองหน้ากันครู่หนึ่ง “คิดว่ายังไงครับ ฟ้าคราม”

“ไม่เห็นต้องถามเลยนี่” ไอ้ซันยิ้ม

“ก็นั่นสินะ จริงๆแล้วเรื่องนี้เมฆก็เคยคิดอยู่เหมือนกันนะ ลองนึกดูสิ ถ้าสักวันนึงเรามีลูก แล้วลูกเรามันได้ยินพ่อกับแม่เรียกกันว่ามึงๆกูๆ มันคงจะทุเรศน่าดู”

“โว้ววว โว่ววๆๆ ใจเย็นๆก่อนเลย คุณก้อนเมฆ มีลูกงั้นเหรอ แถมยังไอ้คำว่าพ่อกับแม่นั่นอีก นี่มันอะไรกันครับคุณ”

“อ้าว เรื่องในอนาคต ใครจะไปรู้ล่ะ สักวันมันอาจจะมีเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ชายตั้งท้องได้ก็ได้นี่หว่า” ผมพูด และนั่นก็ทำให้ไคล์หัวเราะคิกคักอยู่ระหว่างกลางของเราสองคน

“สงสัยว่าจะมีเทคโนโลยีที่ว่าได้ก็คงพอๆกับเมื่อประเทศไทยมีกฎหมายให้ผู้ชายสองคนแต่งงานกันได้ซะละมั๊งง”

ผมยักไหล่ “เรื่องของในอนาคต ใครจะไปรู้ จริงมะ”

“แต่ตอนนี้มีอยู่สิ่งนึงที่รู้แน่ชัดล่ะ........”

“อะไรล่ะ”

ซันมองหน้าผมนิ่งด้วยดวงตาเป็นประกาย “ซันรักเมฆนะครับ รักมากด้วย และจะรักตลอดไปไม่มีวันจางเลย.........”

ผมยิ้มกว้าง “เมฆก็รักซันครับ และจะรักคนเดียวไม่มีวันเปลี่ยนเช่นกัน”

เราสองคนชะโงกหน้าเข้ามาจุ๊บปากกันเบาๆ ทำให้ไคล์ต้องหดหัวลงไปอยู่ใต้ผ้าห่ม

“โอเคๆ ผมรู้แล้วว่าทั้งสองคนรักกันมาก แต่ไม่เห็นต้องทำอะไรกันแบบนี้ต่อหน้าผมที่ไม่มีแฟนอยู่ให้ทำแบบนั้นด้วยก็ได้นี่”

ผมกับซันหัวเราะและกอดไคล์พร้อมๆกัน จากนั้นเราก็หอมแก้มเขาพร้อมๆกันคนละข้าง

“และเราสองคนก็รักไคล์กับพีมากเหมือนกันครับ”

“ขอบใจมากนะไคล์ ที่เชื่อมั่นในตัวของพวกเราสองคนไม่เคยเปลี่ยนแปลง”

“จะไม่เชื่อได้ยังไงล่ะครับ ก็เพราะว่าเราสี่คนผูกพันกันด้วยโชคชะตาและความผูกพันกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่” ไคล์หันมาหอมแก้มผมกับซันคนละที จากนั้นก็ซุกตัวกลับลงไปอยู่ใต้ผ้าห่มอีกครั้ง

เวลาในค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า นาฬิกาบนผนังบอกเวลาเริ่มเข้าวันใหม่ เสียงลมหายใจหนักๆของไคล์บอกให้เรารู้ว่าเขาหลับลงไปแล้วท่ามกลางอ้อมกอดของเราสองคน เราหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันน้อยๆ ไอ้ซันค่อยๆเขยิบตัวออกแล้วดึงผ้าห่มมาห่มให้ไคล์อย่างเรียบร้อย จากนั้นก็ย้ายที่มานั่งข้างผมๆอีกฝั่งหนึ่ง มันหอมแก้มผมเบาๆจากนั้นก็สอดมือเข้ามากอดผมเอาไว้หลวมๆ

“ทุกอย่างกำลังจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้วใช่มั๊ยครับ” ไอ้ซันกระซิบเบาๆ

“ก็ไม่เชิงหรอก........ เพราะจริงๆแล้วทุกอย่างกำลังจะกลับมาดียิ่งกว่าเดิมต่างหาก”

“อยากให้ถึงวันที่พีกลับมาไทยเร็วๆจังนะ”

“ซันลองไปพูดเรื่องนี้กับไคล์ดูสิ” ผมหัวเราะเบาๆ

“ก็นั่นน่ะสินะ”

“ซันครับ........”

“หืมม”

“ง่วงรึยัง”

“นิดหน่อยน่ะ...... แล้วเมฆล่ะ ง่วงมั๊ย”

“ก็นิดนึงเหมือนกัน แต่ว่า.......”

“แต่อะไรครับ”

“แต่เมฆอยากหลับอยู่ภายใต้อ้อมแขนของซันแบบนี้จังเลยครับ”

“งั้นก็นอนเลยก็ได้ครับ และไม่ใช่แค่คืนนี้นะ แต่เมฆจะได้หลับอยู่ใต้อ้อมกอดของซันแบบนี้ตลอดไป...........”

ผมยิ้มและจูบปากของไอ้ซันเบาๆ จากนั้นก็ซุกตัวลงใต้อ้อมแขนของมันแล้วหลับตาลง ไอ้ซันกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นและเอนหัวมาพิงลงบนหัวของผม คืนนี้ก้อนเมฆก้อนนี้จะขอนอนหลับฝันดีอยู่ใต้อ้อมแขนของท้องฟ้าอันเป็นรักนิรันดร์ของมัน และคืนต่อๆไปก็จะยังคงเป็นเช่นนี้............ ตลอดไป



ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
บทส่งท้าย


พี่แอมป์และอาร์ม
ทั้งสองคนได้กลายมาเป็นเพื่อนคนสนิทของครอบครัวเมฆและซันในที่สุด และเรื่องสั้นที่พี่แอมป์เขียนถึงเมฆกับซันก็กล่าวถึงความรักที่ไม่จำกัดรูปแบบและคำนิยาม และเป็นความงดงามของหัวใจที่ใครหลายคนอาจจะมองข้ามไป ทันทีหลังจากที่หนังสือเริ่มวางขาย ไคล์ก็เริ่มมีชื่อเสียงและถูกกล่าวถึงตามหน้าเวบไซท์ต่างๆบนอินเตอร์เน็ตขึ้นมาทันที

นัท
เนื่องจากพยานและหลักฐานที่มีมากมายจึงทำให้แม้แต่พ่อของตัวเองไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ แต่สุดท้ายพวกเขาก็สู้คดีโดยใช้คำยืนยันจากแพทย์ว่าผู้ต้องหาเป็นผู้มีปัญหาทางจิต ซึ่งทุกคนรวมทั้งเมฆและซันต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นเรื่องจริง และหลังจากนั้นนัทก็หายไปจากชีวิตของเพื่อนๆทุกคนตลอดกาล

พี่จ๊อบ
หลังจากนั้นไม่นานสุดท้ายก็ต้องติดคุกเพราะข้อหาเมาแล้วขับจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องถึงแก่ชีวิต ส่วนพ่อของเขาก็ไม่สามารถไปได้ในเส้นทางการเมืองอย่างที่ฝันเพราะถูกนำหลักฐานเรื่องอื้อฉาวในอดีตที่เคยทำเอาไว้ออกมาแฉ สุดท้ายสองพ่อลูกคู่นี้ก็ต้องชดใช้ความผิดที่ตัวเองเคยก่อเอาไว้อย่างเลี่ยงไม่ได้

แบ๊งค์
หลังจากที่เริ่มยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองได้ก็กลับมาเป็นแบ๊งค์คนเดิมของเพื่อนๆ ถึงแม้จะไม่สนิทสนมกับทุกๆคนโดยเฉพาะกับเมฆและซันเหมือนกับแต่ก่อน แต่ว่าพวกเขาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันตลอดมา

เอ็น
หลังจากเหตุการณ์คราวนั้นก็ทำให้เอ็นสนิทสนมกับครอบครัวของเมฆและซันมากขึ้น และนอกจากนั้นก็ยังสนิทสนมกับแบ๊งค์มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอีกด้วย แต่ถ้าหากลองถามสองคนนี้ดูก็จะได้แต่คำตอบที่ว่า “เราเป็นเพื่อนกัน” แค่เพียงอย่างเดียว

อีฟและกอล์ฟ
เพื่อนที่ดีที่สุดของซันกับเมฆ ที่ต่อมาทั้งสองได้ตัดสินใจพัฒนาความสัมพันธ์ของทั้งคู่ขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง แต่น่าเศร้าที่อีฟต้องสูญเสียครอบครัวไปจากอุบัติเหตุรถยนต์ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่เริ่มคบกัน และหลังจากนั้นอีกหนึ่งปี คู่นี้ก็เป็นคู่แรกที่ประกาศข่าวดีออกมา และได้ตัดสินใจซื้อบ้านหลังใหม่และย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันซึ่งบ้านหลังนั้นก็อยู่ติดกับคอนโดของเมฆและซันด้วย

เพื่อนคนอื่นๆของเมฆและซัน
ก็ยังคงเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุดอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง และนอกจากอีฟกับกอล์ฟแล้ว ป๋อมกับเดียร์ก็กำลังพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวเองอยู่เรื่อยๆด้วยเช่นกัน และคาดว่าอีกนานไม่ก็คงจะมีข่าวดีตามอีฟกับกอล์ฟเร็วๆนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

พ่อเอก
กลับไปทำงานที่บริษัทตามเดิมและยังคงเป็นพ่อที่แสนดีสำหรับลูกๆทุกคนอยู่ไม่ปลี่ยนแปลง

พ่อสันต์ แม่กุ้ง ป้าแอ๊นท์ และลุงคาร์ลอส
กลับไปอยู่ที่อังกฤษเหมือนเดิม แต่ก็หาโอกาสกลับมาเยี่ยมลูกๆของตัวเองที่ไทยปีละสองถึงสามครั้งเป็นประจำทุกๆปี

พี่วิน
ก็ยังคงเป็นพี่ชายคนเดียวที่เมฆรักมากที่สุดและเป็นคนที่รักครอบครัวของเมฆมากที่สุดอยู่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นับจากนั้นมาเมฆก็แทบไม่เคยเจอและพูดคุยกับเขาอีกเลย แต่ถึงอย่างไร เมฆเองก็รู้ดีว่าพี่วินยังคงอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลา ทั้งพี่วินและพี่กรณ์พร้อมที่จะโทรมาหาหรือโผล่มาถึงหน้าประตูห้องของเมฆได้ตลอดเวลาถ้าเกิดเมฆหรือพ่อเกิดมีปัญหาขึ้นมาไม่ว่าจะในเวลาใดก็ตาม

พีและไคล์
น่าเสียดายที่พีไม่ได้โชคดีเหมือนกับคนอื่นๆ หลังจากที่เขาเรียนจบและกลับมาอยู่ที่ไทย เขาก็ตัดสินใจบอกพ่อกับแม่เรื่องของตัวเองและไคล์ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าพ่อกับแม่ไม่สามารถยอมรับความจริงในเรื่องนี้ได้ พีต้องทนผ่านความเสียใจและยากลำบากของชีวิตอยู่ช่วงใหญ่ๆ แต่ก็ยังคงมีไคล์ที่ตัดสินใจอาศัยอยู่ที่ประเทศไทยต่อ รวมทั้งเมฆกับซันซึ่งเป็นครอบครัวหนึ่งของเขาด้วยเหมือนกันเป็นกำลังใจให้จนเขาผ่านพ้นมันไปได้ ส่วนไคล์ที่มีชื่อเสียงมากขึ้นก็ยังคงเป็นไคล์ เด็กหนุ่มอารมณ์ดีที่ดูเหมือนไม่รู้จักโตอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง

เมฆและซัน
ทั้งเมฆ ซัน พี และไคล์ ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่คอนโดของตัวเองหลังจากที่อีฟและกอล์ฟประกาศแต่งงานได้ไม่นาน ทั้งสองคนยังคงเป็นทั้งเพื่อนและคนรักที่ทั้งรักและสนิทสนมกันมากที่สุด และยังเป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ให้กับคนอีกหลายคนในการไขว่หาความรักที่แท้จริงของตัวเองอยู่เรื่อยมา เปรียบดังผืนฟ้าที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องลอยอยู่เคียงคู่กับก้อนเมฆอันเป็นที่รักของตนไปตลอดกาล..............





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 08-10-2008 21:58:16 โดย ExecutioneR »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด