Love Sick
- 4 -
วันนี้อากาศดีมากเลยครับ ฟ้าใส แดดแรง ผมเลยพาลรู้สึกว่าชั่วโมงเรียนผ่านไปไวเหลือเกิน แป๊บเดียวก็เที่ยงซะแล้ว
“เอม กินข้าวเสร็จแล้วไปดูซ้อมดนตรีกัน” ไอ้มิ้นท์รีบหันมาบอกผมที่นั่งอยู่ด้านหลังมันทันทีที่หมดคาบเรียน
“ซ้อมดนตรีอะไรอ่ะ?”
“ก็วงของโรงเรียนเรานี่ละ เห็นว่ามีซ้อมใหญ่เพื่อเตรียมไปแข่งระดับภาค” เห? ผมเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าโรงเรียนผมมีวงดนตรีด้วย
“เหรอ แล้วเขาเล่นดนตรีแนวไหน”
“ก็เพลงไทยสากล บางทีก็มีเพลงฝรั่งปนๆมาบ้าง พวกพี่เขาเล่นเก่งมากเลยนะโว้ย กูเคยไปแอบดูเขาซ้อมมาแล้วครั้งนึง” อืม... ฟังดูน่าสนใจแฮะ ไปก็ได้วะ ว่าแต่เป็นวงของรุ่นพี่เหรอ พี่เปปเปอร์หรือเปล่าน้า หุหุ
“เออ ไปก็ไป งั้นกินข้าวก่อนแล้วกัน”
หลังจากที่ผมและไอ้มิ้นท์กินข้าวเสร็จเรียบร้อยก็ถึงเวลาที่ไอ้มิ้นท์รอคอย พวกเราเดินไปที่หอประชุมเล็กซึ่งเป็นสถานที่ซ้อมประชุมชั่วคราว จำนวนคนที่มากจนล้นทะลักออกมาตรงทางเท้าด้านนอกทำเอาผมแทบถอดใจไม่ไปดู แต่เพราะว่าแรงควายของไอ้มิ้นท์ที่ลากแขนผมเข้าไปนั่นละ พวกเราจึงได้ไปยืนอยู่ด้านหน้าแทบติดกับวงดนตรี
สิ่งแรกที่เข้ามาปะทะกับสายตาของผมทำให้ผมแทบหยุดหายใจ เสียงทุ้มต่ำที่กำลังร้องเพลงเหมือนมีมนต์สะกดสั่งให้ผมหยุดสายตาอยู่ที่คนร้องนำ เพลงที่ต้นฉบับร้องโดยนักร้องผู้หญิงที่มีเสียงหวานเป็นเอกลักษณ์ ไม่น่าเชื่อว่าพอมาถ่ายทอดผ่านเสียงผู้ชายจะฟังได้กินใจขนาดนี้
.......
..
ไม่เคยขอ ไม่เรียกร้องเอาอะไรกว่านี้
ไม่ไขว้คว้า อ้อนและวอนเพื่อได้อย่างนี้
แค่มองตรงนี้ก็พอให้อุ่นใจ
ให้เธอรู้คนอย่างฉันแม้จะยืนอยู่ไกล
แต่ว่าฉันยังไม่เคยคิดจะจากไป
อยากให้เธอรู้ว่ามีอีกใจที่รักเธอ
อีกคนที่รักๆ เธอคนเดียวเท่านั้นหมดใจ
ไม่ต้องการคำตอบใดๆ แค่อย่าทำร้ายใจก็พอ
อาจมีสักครั้งที่เธอต้องทนอ้างว้างไม่เหลือใคร
แต่อย่าลืมอีกหนึ่งคนไกลคนที่ใจไม่ไกลจากเธอ
สิ่งที่เธอเคยได้เห็นฉันคือ
ฉันคนเดิมอยู่ตรงที่เก่า
แบ่งปันอารมณ์ที่เหงาที่ซึมเซา
แต่ไม่ใช่คนที่เธอรัก...
“พี่จินแม่งร้องเพลงโคตรเพราะ” เสียงไอ้มิ้นท์ดังขึ้นใกล้ๆ ผมหันไปถามว่ามันแน่ใจได้ยังไงว่าเป็นพี่จิน ทั้งที่ใจของผมเองก็รู้ตั้งแต่แรกเห็นแล้วว่าคนนี้คือพี่จิน เพราะสายตาของเขานั้นมันดูเฉยเมย ต่างจากพี่เปปเปอร์ที่มักจะมีสายตาอ่อนโยนเสมอ แต่ถึงแม้จะรู้ว่านั่นจะเป็นพี่จินผมก็ไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้
“ก็พี่จินเขาเป็นนักร้องนำของวงไง” นั่นคือคำเฉลยจากปากไอ้มิ้นท์ ผมไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนมาดูการซ้อมมากขนาดนี้ ก็ดูนักร้องนำสิ ทั้งน้ำเสียงและรูปร่างเหมือนกับเป็นแม่เหล็กที่ดูดผู้คนให้เข้ามาใกล้ พี่จินทำสีหน้าได้อินกับเพลงมาก อย่างกับว่าเพลงนี้เป็นความรู้สึกจริงๆของเขาอย่างนั้นแหละ
‘?’ ผมรู้สึกว่าแวบหนึ่งสายตาของพี่จินมาหยุดตรงหน้าผม ไม่ใช่... ไม่ใช่แวบเดียว... ผมว่าเขากำลังมองผมต่างหาก ดูเหมือนว่าไอ้มิ้นท์ก็คงรู้สึกเหมือนกัน เพราะมันหันมามองผมสลับกับมองพี่จิน
“อ๊ะ เปลี่ยนคนร้องแล้ว” โชคดีครับ เพราะว่ามีการเปลี่ยนตัวนักร้องจากพี่จินเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมว่าน่าจะปีเดียวกับพวกผมนะ เพราะคุ้นๆหน้าอยู่
“นี่ไง... ที่กูรอคอย” ไอ้มิ้นท์พูดพึมพำเสียงเบา แต่มันก็ดังพอที่ผมจะได้ยิน ผมหันไปมองที่วงดนตรีว่าอะไรคือสิ่งที่ไอ้มิ้นท์รอคอย อย่าบอกนะว่ามันมาเพื่อรอดูนักร้องหญิงคนนี้? ผมตั้งใจมองนักร้องหญิงที่กำลังฮัมช่วงอินโทรของเพลง อืม น่ารักไม่ใช่น้อย นับว่าไอ้มิ้นท์ตาถึงไม่เบา
ฮืม....ฮือ....ฮืม......
เกลียดคำถามเธอ เมื่อยามที่พบเจอ ว่าวันนี้ฉันไม่เป็นไรใช่มั้ย
ถ้อยคำเหมือนหวังดี ที่เธอแค่พูดไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรเท่านั้น
คนๆหนึ่งที่โดนทิ้ง คงจะอยู่อย่างสุขสันต์ คำผ่านๆประเภทนั้น ถามเอาอะไร
วันที่เธอมีเขาข้างกัน ข้างกายของฉันว่างเปล่า....
มันเหงาจะขาดใจ แต่ละคืนยาวนานและแสนยากเย็น ไม่รู้ต้องทำเช่นไร ให้ผ่านคืนโหดร้ายไปอีกคืน..
ผมพอรับรู้ได้ว่าเสียงของนักร้องเพราะและมีพลังเกินกว่าที่ผู้หญิงตัวเล็กๆจะทำได้ แต่ว่าสีหน้าของเพื่อนผมตอนนี้มันทำให้ผมอึ้งมากกว่าครับ ไอ้มิ้นท์ทำตาวิบวับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนผมมั่นใจว่าต้องมี Something Wrong แน่ๆเลย
“มึงชอบเขาเหรอ?” ผมแกล้งถาม แต่ไอ้มิ้นท์กลับพยักหน้าตอบ สงสัยมันกำลังเคลิ้มจัดเลยครับ
“เขาชื่ออะไรอะ” ผมแกล้งถามต่อ
“ชื่อซิน อยู่ปีเดียวกับเรานี่แหละ” โว้ มันตอบมาเยอะกว่าที่ผมถามอีกครับ
“อืม น่ารักเนอะ แล้วจะจีบปะละ” มันกำลังจะตอบครับ แต่แล้วก็เหมือนนึกได้ มันหันมามองผมตาโตแถมหน้าแดงแปร๊ด
“มึงถามอะไรกูเนี่ยยยยย!” กร๊ากกกก ไอ้มิ้นท์มีความรักคร้าบทุกท่าน~
“แหม ทีกูแอบชอบใครกูยังบอกมึงเลยนะ ทีงี้ไม่บอกกูบ้างหรอก” ผมค้อนมันแว่บหนึ่งแต่มันคงไม่สนใจผมหรอกครับ ก็เล่นจ้องนักร้องที่ชื่อซินไม่ละสายตาเลยนะ แล้วที่สำคัญ ผมกำลังแปลกใจกับความรู้สึกของตัวเองมากกว่าครับ ทำไมผมถึงรู้สึกตึกตักตอนเห็นพี่จินร้องเพลงนะ สงสัยอาจจะเป็นเพราะว่าเวลาที่คนเราเล่นดนตรีมันจะดูเท่ขึ้น 50% ละมั้ง ก็คงแค่นั้น... องค์ประกอบของเครื่องดนตรี ทั้งไมโครโฟน กีตาร์ คีย์บอร์ด คงทำให้คนหล่อขึ้นบ้างแหละ... เนอะ...
หลังจากที่หมดเวลาพักเที่ยงผมกับไอ้มิ้นท์ก็แยกย้ายกัน ไอ้มิ้นท์ไปห้องน้ำ ส่วนผมก็ไปที่ห้องเรียนเลยครับ ช่วงบ่ายเป็นวิชาอิสระ อาจารย์ชอบปล่อยให้นั่งสเก็ตช์ภาพกันเอง บางทีก็จะมีเด็กห้องอื่นมาร่วมแจมด้วย
“ขอโทษนะคะ เราขอจับคู่กับเธอได้มั้ย” เสียงที่ฟังดูคุ้นหูทักผม พอผมเงยหน้าจะขอปฏิเสธก็แอบตกใจไปแวบหนึ่ง ก็นี่มันสาวซินที่ร้องเพลงเมื่อกี้นี่หว่า จากที่กะว่าจะปฏิเสธก็เลยคิดว่าตกลงดีกว่า หึหึ ถ้าไอ้มิ้นท์มาเห็นต้องกรี๊ดแน่เลย
“คือว่าเรากะว่าจะวาดคนเดียวน่ะครับ แต่เดี๋ยวเพื่อนเราก็มา เธอจับคู่กับเพื่อนเราได้มั้ย” ผมเสนอ แหม ทำไมถึงคิดอะไรได้แยบยลขนาดนี้นะเรา
“ได้สิคะ” โอ๊ะ เธอยิ้มสวยเสียด้วย ซินยิ้มให้ผมแล้วก็ดึงอุปกรณ์มานั่งข้างผม ระหว่างนั้นผมก็แอบมองเธอเป็นระยะ เธอน่ารักจริงๆด้วย ยิ่งมองก็ยิ่งน่ารักอะครับ ตัวเล็กกว่าผม ผิวขาว ผมยาว ตาก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน อย่างกับลูกครึ่งแน่ะครับ
“เอ่อ แล้วไม่มีเพื่อนคนอื่นมาด้วยเหรอครับ” ผมถามฆ่าเวลาบวกกับความสงสัย เพราะส่วนมากถ้ามีเด็กต่างห้องมาแจมวิชาอิสระ ก็มักจะมากันเป็นกลุ่มๆน่ะครับ ไม่ค่อยเห็นใครมาคนเดียวหรอก
“อ๋อ คือว่าพวกเพื่อนเราเขาไปห้องงานปั้นกันหมด เห็นว่าอาจารย์ห้องนั้นหล่อน่ะ” ซินพูดยิ้มๆ ผมก็นึกตาม เออ..อาจารย์ที่ห้องงานปั้นหล่อจริงๆครับ เห็นว่าเป็นอาจารย์เพิ่งจบใหม่ด้วย
“ว่าแต่เธอชื่อซินใช่มั้ย เราชื่อเอมนะ” ผมแนะนำตัว ผู้หญิงคนนี้ยิ่งมองยิ่งเพลินจริงๆครับ เสียดายที่รสนิยมผมต้องเป็นชายหนุ่มหล่อล่ำเท่านั้น ไม่งั้นผมคงจีบเธอแน่
“จริงๆแล้วเรารู้จักเอมมานานแล้วแหละ” ซินพูดยิ้มๆ
“อ้าว รู้จักเราได้ไงเหรอ?” นี่ผมเป็นที่รู้จักของคนอื่นตั้งแต่เมื่อไรเนี่ย
“ก็เอมเป็นนักเรียนทุนใช่มั้ย เราก็เป็นนักเรียนทุนเหมือนกัน แล้วอาจารย์ที่ดูแลเรื่องนักเรียนทุนน่ะก็ชอบชมเอมให้ฟังว่าเรียนเก่งแล้วก็วาดรูปเก่งมาก” เหวอ ผมเขินจัง นี่อาจารย์เอาผมไปพูดแบบนั้นด้วยเหรอ แต่ยังไม่ทันจะได้เขินอะไรไอ้มิ้นท์ก็มาพอดีครับ
“อ๊ะ เพื่อนเรามาพอดี” ผมหันไปบอกซิน
“คนนี้ชื่อมิ้นท์นะซิน คนนี้แหละที่จะให้ซินจับคู่ด้วย” พอไอ้มิ้นท์มาถึงตรงที่ผมนั่ง มันก็มองผมทีนึง มองซินทีนึง ผมเลยแนะนำไอ้มิ้นท์ให้กับซิน เธอส่งยิ้มให้ไอ้มิ้นท์ที่ยืนอึ้งเป็นรูปปั้นไปแล้วครับ
“อะ..เอ่อ สวัสดีครับ..” ไอ้มิ้นท์ทักทายแบบเก้อๆ ผมเองก็อยู่เห็นเหตุการณ์ถึงแค่ตรงนั้นแหละครับ เพราะหลังจากนั้นผมก็เดินออกไปหาที่วาดรูปข้างนอกแทน แบบว่าไม่อยากอยู่เป็นกขค.นี่นะ...
ผมเลือกมานั่งตรงใต้อาคารเรียน ช่วงนี้เป็นคาบเรียนจึงไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน บริเวณรอบๆก็เงียบแถมยังมีลมพัดตลอด ผมรู้สึกเหมือนว่าเสียงเพลงของพี่จินยังคงดังชัดเจนอยู่ในหัวของผม ผมถามไอ้มิ้นท์แล้ว มันบอกว่าเพลงที่พี่จินร้องเป็นเพลงของเจ๊คิ้มจริงด้วย ชื่อเพลง ‘คนไกลๆ’ แล้วพี่จินก็ร้องเพลงนี้ได้อินมากเลย อินซะจนผมคิดไปว่าพี่เขาแอบรักใครอยู่หรือเปล่า
‘ฮึ้ย จะไปนึกถึงทำไมนะ’ ผมสะบัดหัวไล่ความคิดถึงพี่จินออกไป มันคงเป็นแค่วูบหนึ่งนั่นแหละที่ผมคิดว่าเขาเท่ ถ้าไม่ใช่ตอนที่เขาร้องเพลงผมก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก... แค่การร้องเพลงทำให้ผมละสายตาไปจากเขาไม่ได้...ก็แค่นั้น...
ผมรู้สึกอยากเห็นหน้าพี่เปปเปอร์ที่สุด แต่จนแล้วจนรอดทั้งสัปดาห์ผมก็ไม่เจอเขาเลยสักครั้ง ทั้งพี่ทั้งน้องแหละครับ ไม่เจอเลยแม้แต่เงา...
ในที่สุดผมก็ทนคิดถึงไม่ไหวและตัดสินใจถามไอ้มิ้นท์ในวันศุกร์ บางทีมันอาจจะรู้ก็ได้ว่าพี่เปปเปอร์ไปไหน
“ไม่รู้ว่ะ กูก็ไม่เห็นเขามาซ้อมหลายวันแล้วเหมือนกัน แล้วถามทำไมเนี่ย คิดถึงอะเด้ โอ๊ย!” ผมเอาสันมือฟาดหัวมันไปทีหนึ่งครับ มันใช่เวลามาแซวผมไหมเนี่ย...
และแล้วในวันเดียวกับที่ผมถามไอ้มิ้นท์ ผมก็ตัดสินใจมาเดินแกร่วตรงแถวหอพักของเด็กปีสาม เพราะความหวังอันน้อยนิดว่าจะได้เจอพี่เปปเปอร์แค่สักแว้บก็ยังดี
ผมเห็นรุ่นพี่ปีสามหลายคนไปเตะบอลที่สนาม บางกลุ่มก็รวมตัวกันทำการบ้าน บางกลุ่มก็นั่งคุยเล่นกัน แต่ไม่มีกลุ่มไหนที่จะมีพี่เปปเปอร์ของผมเลย เฮ้อ... อยากเจอชะมัด
วันเวลาผ่านไปอีกสองวัน วันนี้เป็นวันจันทร์แล้วแต่ผมก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่เปปเปอร์ ความหงุดหงิดเริ่มทวีคูณขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด ไอ้มิ้นท์มาโม้เรื่องซินให้ฟังก็หมั่นไส้เผลอแขวะมันไปเสียหลายแผล
“มึงไปกินข้าวคนเดียวนะมิ้นท์ กูจะไปวาดรูปหน่อย” ผมบอกมันเสียงแข็งหลังจากหมดคาบเรียนในช่วงเช้า
“อ้าว ไม่หิวหรือไงวะ”
“ไม่ค่อยหิว แต่ไม่เป็นไรหรอก กูมีแซนวิชติดกระเป๋าอยู่อันนึง” ผมบอกแล้วก็สะพายกระเป๋าออกมาจากห้องเรียนทันที ผมเริ่มสับสนว่าทำไมผมถึงรู้สึกแบบนี้ ทั้งที่ผมไม่ได้เป็นอะไรกับพี่เขา แต่แค่ไม่ได้เจอเพียงสาม-สี่วันผมก็วุ่นวายใจมากเหลือเกิน... ผมควรจะทำยังไงกับความรู้สึกของตัวเองดี...
ห้องศิลปะเงียบเชียบเพราะว่าตอนนี้คือช่วงพักกลางวัน คนอื่นเขาก็พากันไปกินข้าว มีแต่ผมละมั้งที่มานั่งบ้าวาดรูปอยู่ได้ นึกแล้วก็เศร้าใจ ทำไมผมถึงรู้สึกห่อเหี่ยวแบบนี้นะ ผมหยิบกระดาษวาดรูปแผ่นใหม่ขึ้นมาหนีบไว้บนเฟรม วันนี้ผมอยากลองระบายสีน้ำดู ไม่ร่างเส้นด้วยนะ ผมจะละเลงสีให้เต็มที่เลย
และแล้วจากกระดาษสีขาวก็เริ่มเต็มไปด้วยสีสันละลานตา ผมเองไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ารูปที่ผมระบายอยู่นั้นมันเป็นรูปอะไร พอได้จับพู่กันผมก็เหมือนถูกดึงเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง เวลารอบตัวผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่รู้ จนกระทั่งมีมือหนึ่งแตะลงมาที่บ่าของผม
“บ่ายแล้วเหรอมิ้-” ผมหันไปข้างหลัง คิดว่าคงเป็นเพื่อนร่วมห้องจึงทักออกไปโดยยังไม่ทันเห็นหน้าด้วยซ้ำ แล้วผมก็คิดผิดจนได้ เพราะคนที่ยืนอยู่ทำให้ผมต้องอ้าปากค้างเหมือนคนปญอ.ไปแล้ว...
“พี่หน้าเหมือนเพื่อนเราขนาดนั้นเลยเหรอครับ?” เจ้าของร่างสูงพูดไปยิ้มไป เห็นได้ชัดว่าไม่โกรธที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนอื่น คงเป็นเพราะว่าดีใจที่ได้เจอเช่นเดียวกันละมั้ง ทำให้อะไรๆก็ไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้...
“เอ่อ..ไม่เหมือนหรอกครับ คือเอมคิดว่าเป็นไอ้มิ้นท์ ขอโทษด้วยนะครับ...” อึ๋ย... สั่นอีกแล้วเรา ว่าแต่ดีใจชะมัดที่ได้เห็นหน้าสักที...เอมคิดถึงพี่เปปเปอร์มากเลยนะครับ > <
“ไม่ได้เจอหลายวัน ดูเอมโตขึ้นมากเลยนะ”
“? เอมเป็นคนนะครับ ไม่ใช่ถั่วงอก จะได้โตวันโตคืนขนาดนั้น” ผมพูดแล้วก็ทำหน้างอใส่พี่เปปเปอร์โดยอัตโนมัติ มาถึงก็หาเรื่องแหย่ผมซะแล้ว รู้สึกหมู่นี้พี่เขาชอบแหย่ผมจังแฮะ
“อะไรกัน งอนพี่เหรอ พี่แค่แหย่เล่นเองนะครับ”
“ไม่ได้งอนหรอก ว่าแต่พี่เปปเปอร์หายไปไหนมาหลายวันเลยครับ” แค่เห็นหน้าพี่ผมก็อารมณ์ดีแล้วแหละครับ ใครจะไปโกรธลง
“หืม? เอมสังเกตด้วยเหรอว่าพี่ไม่อยู่”
“ก็แหม...สังเกตสิครับ..” พี่จะต้องทำหน้าดีใจทำไมละเนี่ย ผมแค่ถามว่าพี่หายไปไหนก็แค่นั้น...โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าผมคิดถึงพี่ และก็มีแต่เรื่องของพี่เต็มหัวไปหมด!
“พี่ไปงานศพคุณทวดมาน่ะครับ” พี่เปปเปอร์พูดแบบไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร จะว่าเศร้าโศกก็ไม่ แต่ก็ไม่ได้ชิลจนน่าเกลียด
“อ้าว... เสียใจด้วยนะครับ... แต่ว่าพี่มีคุณทวดด้วย ท่านอายุเท่าไรเหรอครับ” ทวดนี่คือรุ่นพ่อแม่ของปู่ย่าตายายเราใช่ไหมครับ ผมเห็นน้อยมากเลยนะที่บ้านไหนจะมีทวดเนี่ย เพราะว่ารุ่นทวดจะต้องอายุมากเลย แถมยังมีชีวิตอยู่ไม่ค่อยถึงรุ่นเราด้วยนี่นา
“ตอนที่เสียท่านก็ 102 ปีแล้วแหละครับ ตอนพี่เด็กๆน่ะ จำได้ว่าท่านยังแข็งแรงอยู่เลยนะ”
“แล้วพี่สนิทกับคุณทวดมั้ยครับ” ผมถามแล้วก็ได้รับคำตอบเป็นการส่ายหัวจากพี่เปปเปอร์
“ไม่เลย เพราะว่าพี่อยู่คนละบ้านกับท่านน่ะ คุณทวดท่านอยู่บ้านใหญ่ที่เชียงราย ปีนึงพี่ถึงจะได้ไปไหว้สักครั้ง แถมท่านก็แก่แล้ว คงไม่ชอบเด็กซนๆแบบพี่กับจินเท่าไรนักหรอก” อีกชื่อหนึ่งที่ออกมาจากปากพี่เปปเปอร์ทำให้ผมสะดุดใจ... พี่จิน...
“พี่จินก็ไปด้วยเหรอครับ”
“อ้าว ก็ต้องไปสิ ถามอะไรแปลกๆนะเรา” นั่นสิ ผมถามอะไรพิลึกจริง
“ว่าแต่ว่าวันนี้จะไปดูพี่ซ้อม เอ๊ย จะไปดูมิ้นท์ซ้อมมั้ยครับ?”
“คงไม่ละครับ วันนี้ต้องร่างภาพให้เสร็จ” ผมนึกถึงการบ้านที่ต้องเร่งส่งอาจารย์แล้วก็ถอนหายใจ ทำไมการบ้านผมเยอะแบบเน้!
“ว้า เสียดายจัง..” ผมจะเข้าใจผิดหรือเปล่าครับ พี่เปปเปอร์เสียดายที่ผมไม่ได้ไปดูไอ้มิ้นท์ซ้อม หรือเสียดายที่ผมไม่ไปดูพี่เขาซ้อม เขาคงคิดว่าผมไม่รู้สินะ...คงคิดว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรสินะ... ถึงได้ชอบทำแบบนี้...
“พี่เปปเปอร์ครับ...” ผมเรียกพี่เปปเปอร์แล้วเงยหน้ามองพี่เขา พี่เปปเปอร์มองผมกลับแล้วยิ้มบางๆ
“อะไรเหรอครับ?” บางทีถ้าผมรู้ว่าพี่เปปเปอร์จะทำสีหน้าแบบนี้ ผมคงไม่ทำในสิ่งที่ผมคิดหรอกครับ แต่มันก็คงไม่ทันเสียแล้ว... ลองนึกภาพเวลาที่เราแอบรักใครสักคน แล้วก็เหมือนว่าเขาจะชอบเราเหมือนกัน มิหนำซ้ำยังชอบทำเหมือนให้ความหวัง เป็นคุณจะสารภาพไหมละ? ผมเองน่ะแทบจะทนเก็บความรู้สึกไม่ไหวอยู่แล้วนะครับ...
“เอม...นึกถึงเรื่องวันนั้นตลอดเลยครับ...เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวันทำความสะอาดหอพัก...” พี่เปปเปอร์จะรู้มั้ย ว่าผมอายจนแทบจะทึ้งผมบนหัวตัวเองเหมือนคนบ้าแล้วเนี่ย!!
“เรื่องไหนเหรอครับ? เรื่องที่เราบังเอิญเจอกัน? เรื่องที่เราได้คุยกัน? หรือเรื่องที่พี่จูบหน้าผากเอม?” พี่เปปเปอร์พูดช้าๆ และเน้นย้ำทุกคำ โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั่น...
“...” ง่ะ... ทำไมพี่เปปเปอร์พูดออกมาได้หน้าตาเฉยเลยเนี่ย พอผมมองหน้าพี่เปปเปอร์ผมก็มั่นใจเต็มร้อยว่าผมโดนแกล้งแน่นอน ก็พี่เปปเปอร์เขาทำสีหน้ากรุ้มกริ่มขนาดนั้นอะ...
“ยังจะมาถามอีก..” ผมบ่นพึมพำกับตัวเอง เคืองนะเนี่ย จะแกล้งผมไปถึงไหน..
“อ้าว ก็พี่ไม่รู้นี่ว่าเอมหมายถึงเรื่องอะไร พี่ก็ต้องถามสิครับ” เย้ย! ดันได้ยินอีก
“งั้นถ้าพี่เปปเปอร์ไม่รู้จริงๆก็ช่างมันเถอะครับ เอมมีนัดกับเพื่อน ต้องรีบไป” ผมพูดหยั่งเชิง ไอ้นัดกับเพื่อนอะไรนั่นน่ะไม่มีหรอกครับ แต่พี่เปปเปอร์เขาชอบแหย่ผมนัก งั้นขอผมแหย่กลับบ้างเถอะ
“นัดกับเพื่อน? คนไหนครับ พี่ไม่เห็นมิ้นท์บอกว่าจะมีนัดกับเอมสักหน่อย” พี่เปปเปอร์คว้าแขนผมหมับเลยครับ แถมทำหน้าถมึงทึงอีก ผมว่าเริ่มคิดถูกแล้วละที่ตัดสินใจพูดแบบนั้น หึหึ ลองโดนยั่วโมโหดูบ้างจะเป็นไรละครับ แต่ผมเริ่มจะรู้สึกแล้วละ ว่าไอ้มิ้นท์เพื่อนผมมันคงเป็นสายให้พี่เปปเปอร์แน่เลย ก็ดูพี่เขาเล่นตามผมไปได้ทุกที่ ถ้าไม่ใช่ไอ้มิ้นท์บอกก็คงเป็นเพราะเขามีญาณวิเศษแล้วมั้ง
“ไม่ใช่ไอ้มิ้นท์หรอกครับ ทั้งโรงเรียนไม่ได้มีแค่มันคนเดียวที่อยากเป็นเพื่อนผมนี่” ผมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วแกล้งทำเป็นว่าจะออกไปจากห้องศิลปะ ฮิ้วว เอาตุ๊กตาทองไปเลยไอ้เอม~
“เอมครับ” พี่เปปเปอร์จับแขนผมไว้แน่น แรงเยอะยังกับช้าง มือพี่เขากำแขนผมได้มิดเลยอะ เสียงพี่เขาก็เริ่มน่ากลัวขึ้นทุกทีแล้ว
“อะไรครับ?” ต้องใจดีสู้เสือเข้าไว้ เรื่องแค่นี้ไม่ทำให้ไอ้เอมกลัวได้ร้อก~
“...อยู่กับพี่ตรงนี้ อย่าไปไหนเลยนะ...” อึ๊ก ขาผมอ่อนยวบเลย พะ..พี่เปปเปอร์อ้อนผม!!
“แต่...เอมมีนัด” ผมพยายามแกะมือพี่เปปเปอร์ออก แต่แล้วโดยที่ไม่ทันตั้งตัว พี่เปปเปอร์ก็ดึงผมเข้าไปนั่งตักเขา อ๊าก! ผมทำตัวไม่ถูกแล้ว!
“คบกับพี่นะ...”