Love Sick [-8-]
วันรุ่งขึ้นผมตื่นมาโดยไร้อาการปวดหัวตัวร้อน มีเพียงแต่แผลจักรยานล้มเท่านั้นที่เจ็บอยู่ ไอ้มิ้นท์อาบน้ำเสร็จแล้วและกำลังนั่งรอผมแต่งตัว
“ปะ” ผมบอกสั้นๆแล้วคว้ากระเป๋าใส่หนังสือเดินออกมา พอเราลงมาถึงข้างล่างผมถึงได้นึกออกว่ายังไม่ได้บอกไอ้มิ้นท์เรื่องที่เอาจักรยานมันไปล้มมา
“ช่างมันเหอะ” มันพูดอย่างไม่ใส่ใจ สงสัยจักรยานมันคงจะไม่เสียหายละมั้ง? ว่าแต่มันไม่เห็นถามผมเลยว่าทำอีท่าไหนจักรยานถึงล้มได้ ผิดวิสัยคนพูดมากแบบมันจัง
ช่วงบ่ายวันนี้เป็นวิชาอิสระ ผมเลยถือโอกาสไปเก็บรายละเอียดงานวาดผนัง อาจารย์แวะมาดูแป๊บหนึ่งแล้วก็ชมเสียยกใหญ่ สุดท้ายเมื่ออาจารย์ไปแล้ว ผมและคนอื่นๆก็ช่วยกันเอาม่านมาขึงและรูดม่านปิดไว้ เพื่อรอโชว์ภาพและจัดสถานที่อีกทีในวันจริง
“เอมไปทำอะไรมาเนี่ย แผลเต็มตัวเลย” ซินถามผมตอนที่เรากำลังช่วยกันเก็บกวาดสถานที่
“จักรยานล้มน่ะ” ผมตอบยิ้มๆ เธอมีสีหน้าเป็นห่วงและบอกกับผมว่าจะเอายาทาแก้แผลเป็นมาให้พรุ่งนี้โดยไม่ซักไซ้ถาม ผมชอบจังผู้หญิงที่ไม่จุกจิกเนี่ย จนกระทั่งเราทำความสะอาดกันเสร็จ ซินถึงได้มาคุยกับผมอีกรอบ
“มิ้นท์บอกให้เราพาเอมไปด้วย”
“ไปไหนอะ?” ผมถามกลับงงๆ
“ไปรอมิ้นท์ซ้อมบาสเสร็จ แล้วกลับพร้อมกันไง”
อ้อ ไปรอไอ้มิ้นท์ซ้อมบาส...
...
..
.
.
เฮ้ย! ไม่เอาไม่ไป ผมไม่อยากไปที่นั่น
“เฮ้ย เราไม่ไปหรอกซิน เราอยากรีบกลับห้องไปทำการบ้านมากกว่าน่ะ” ผมหยิบกระเป๋าและตั้งใจจะชิ่งกลับห้องเลยทันที
“ไม่ได้ๆ มิ้นท์บอกไว้แล้วว่าต้องพาเอมไปด้วยให้ได้นะ มิ้นท์บอกว่าไม่อยากให้เอมอยู่คนเดียว” ซินออกแรงลากแขนผมให้เดินไปกับเธอ พอผมได้ยินที่ซินพูดแล้วผมก็นิ่ง มันเป็นห่วงผม...
ไปก็ได้วะ เพราะยังไงก็คงไม่เจอคนนั้นง่ายๆหรอก เขาคงอยู่กับแฟนเขานั่นแหละ...
ผมคิดแล้วก็เริ่มเศร้า การที่ต้องรับรู้เรื่องของเขากับคนอื่นว่าเจ็บแล้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่ผมจะต้องใช้ชีวิตหลังจากนั้นมันเจ็บยิ่งกว่า สัมผัส...สิ่งที่ไม่สามารถลบล้างได้ ภาพในหัวมันไม่สามารถที่จะโยนทิ้งได้ แล้วเมื่อไรที่ผมจะทำใจไหว...
ผมใจลอยจนซินพาเดินมาเกือบจะถึงสนามบาส เสียงโหวกเหวกที่ดังมาแว่วๆฟังยังไงก็ไม่ใช่เสียงจากการซ้อมแน่ ซินก็มีสีหน้าสงสัยเหมือนผม เราสองคนเลยรีบเดินเข้าไปดูว่าตกลงแล้วมันเป็นเสียงอะไรกันแน่.
โครม!!
เสียงบางสิ่งกระแทกเสียงดังสนั่น ตามด้วยเสียงคนตะโกนร้องห้ามกันลั่น แถมชื่อของคนที่ถูกเรียกก็ทำให้ผมหูผึ่งทันที
“เฮ้ยไอ้มิ้นท์ หยุดๆ” สมาชิกในทีมสองคนกำลังยื้อไอ้มิ้นท์เอาไว้แน่น ท่าทางโกรธแบบนั้นของมันทำเอาผมกลัวนิดๆ ผมไม่เคยเห็นไอ้มิ้นท์เป็นแบบนี้มาก่อนเลย
“ทำไมมึงถึงทำแบบนี้กับเพื่อนกู! ” เสียงไอ้มิ้นท์ตะโกนก้อง มันโกรธจนหน้าแดงเลยครับ ว่าแต่ ‘เพื่อนมัน’ นั่นหมายถึงผมหรือเปล่า?
พลั่ก!
“เฮ้ยพี่จิน” จู่ๆพี่จินที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ก็พุ่งเข้าไปต่อยคนที่นั่งฟุบอยู่ตรงตะกร้าใส่ลูกบาส คนอื่นพากันมาห้ามชุลมุน แต่ดูท่าว่าพี่จินจะห้ามยากกว่าไอ้มิ้นท์ เพราะคนที่เข้าไปห้ามต่างโดนสะบัดออกมาเป็นแถบๆ ผมเห็นแล้วก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่าง ขาก้าวเข้าไปใกล้โดยไม่รู้ตัว เสียงซินที่ร้องห้ามไม่ให้เข้าไปผมก็ไม่รับรู้ ไอ้มิ้นท์หันมาเห็นผมแล้วก็ตกใจ แต่คนที่กำลังลุกขึ้นมาแล้วชกพี่จินกลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า
“พี่เปปเปอร์...” เสียงของผมเหมือนจะทำให้คนทั้งสองกลับมาสู่สภาวะปกติ ใบหน้าของพี่จินและพี่เปปเปอร์ดูย่ำแย่พอกัน แต่เหมือนว่าเลือดกำเดาของพี่เปปเปอร์จะมากกว่าเอาเรื่อง พี่จินใช้แขนปาดเลือดทิ้งแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม
“มาที่นี่ทำไม” พี่จินพูดเสียงเข้ม มือพี่เขาบีบต้นแขนผมแน่นจนปวดตุบ
“พี่ชกพี่เปปเปอร์ทำไม” ผมไม่สนว่าพี่จินจะทำอะไรหรอก ผมแค่อยากรู้ว่าทำไมทั้งสองคนถึงมารุมชกพี่เปปเปอร์แบบนี้
“มันไม่ใช่เรื่องของเรา”
“ไม่ใช่เรื่องของผม? พี่แน่ใจนะว่าไม่ใช่เรื่องของผม!!” ให้ดิ้นตายสิ ผมไม่เชื่อหรอกว่าเรื่องที่ชกกันจะไม่ใช่เรื่องของผม ผมรู้ว่าไอ้มิ้นท์อาจรู้เรื่องจากพี่จินแล้วโกรธแทนผม แต่ผมก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องใช้กำลังกันแบบนี้ ผมเหลือบเห็นว่าพี่เปปเปอร์กำลังเอาทิชชู่จากรุ่นน้องคนหนึ่งมาเช็ดเลือดแล้วออกคำสั่งให้คนอื่นๆเลิกซ้อมและกลับได้แล้ว เลือดพี่เปปเปอร์ไหลมากเสียจนผมอยากจะเข้าไปเช็ดให้ อยากจะทำแผลให้ ถึงยังไงผมก็ไม่อยากเห็นพี่เปปเปอร์เจ็บเลย...
ผมสะบัดแขนพี่จินออกแล้วเดินเข้าไปหาพี่เปปเปอร์ มือเกือบจะหยิบทิชชู่มาเช็ดให้แต่ผมก็ยั้งไว้ทัน เพราะถ้าผมทำแบบนั้นไอ้มิ้นท์คงยิ่งโมโห เพราะแค่ตอนนี้มันก็เริ่มแหกปากด่าอีกแล้ว
“มึงไม่ต้องไปยุ่งกับมันเลยนะเอม” เสียงไอ้มิ้นท์ทำให้ผมรู้สึกผิด ผมหันไปมองฝากให้ซินช่วยดูไอ้มิ้นท์ไว้ ซินดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เธอเพียงแค่ยึดแขนไอ้มิ้นท์ไว้และยืนอยู่เงียบๆ
“เรามีเรื่องต้องคุยกันหรือเปล่าครับพี่เปปเปอร์” ผมไม่เคยคิดเลยว่าแค่การคุยกันมันจะยากขนาดนี้ มันเหมือนว่าผมพร้อมจะร้องไห้ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่เห็นหน้าพี่เปปเปอร์แล้ว ผมอยากจะเอื้อมมือไปแตะที่แผล อยากจะถามว่าพี่เจ็บมากไหม แล้วมือผมก็ไปไวกว่าความคิด แต่ก่อนที่ผมจะได้สัมผัส พี่เปปเปอร์ก็หันหน้าหนีเสียก่อน พี่เปปเปอร์ทำสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถให้ผมถูกตัวได้ อา...ใช่สิ เขามีเจ้าของแล้วนี่นะ... ผมลดมือลงแล้วเอามือสองข้างไปไขว้หลัง น้ำตาหยดแหมะลงมาโดยอัตโนมัติ
“เอม อย่าร้องไห้...” เสียงพี่เปปเปอร์สั่นน้อยๆ
“พี่ขอโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นนะ... “
“พี่ขอโทษเรื่องอะไรครับ ขอโทษ... ที่ปล่อยให้เอมอยู่แบบคนโง่ ไม่รู้อะไรเลย ขอโทษที่ทำให้เอมเฝ้าแต่รอในขณะที่พี่อยู่กับคนอื่น หรือขอโทษที่ทำให้เอมรักพี่... ทั้งที่พี่ไม่ได้รักเอมแม้แต่น้อย... พี่จะขอโทษเรื่องอะไรก่อนครับ”
“...ทุกเรื่อง...” คนที่ผมรักก้มหน้าพูด ทำไมถึงดูขี้ขลาด ทำไมพี่ดูเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวที่สุดในเวลานี้ ผมเสียดายช่วงเวลาที่เคยมีกับพี่เหลือเกิน...
“โรสเขามาก่อนเอมนะครับ พี่เองไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เอมต้องมาเสียใจ พี่ยอมรับว่าพี่ผิดเอง แต่ว่าเอมอย่าทำให้โรสรู้เรื่องได้ไหม? พี่ไม่อยากให้โรสเสียใจ..” ถ้อยคำที่แสนทุเรศไม่น่าเชื่อว่าจะออกมาจากปากพี่เปปเปอร์ ผู้ชายที่ผมเคยคิดว่าเขาอ่อนโยน แสนดี ผมมองพี่เปปเปอร์อย่างไม่เชื่อสายตาเพราะคำพูดของเขา ผมเจ็บได้ ไม่เป็นไรงั้นเหรอ? ถ้าพี่รักผู้หญิงชื่อโรสนัก แล้วจะนอกใจเธอทำไมละ จะมายุ่งกับผมทำไม เพราะผมมาทีหลังถึงต้องทนรับสภาพใช่ไหม?
“เอมไม่คิดจะทำแบบนั้นอยู่แล้วแหละครับ” ผมฝืนยิ้ม พี่เปปเปอร์มีสีหน้าโล่งอกเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่ผมมาที่นี่... สรุปแล้วเขามาเพื่อขอไม่ให้ผมออกไปโวยวายก็แค่นั้น...สินะ
ผมอยากถามหลายเรื่อง แต่มันก็ถูกกลืนลงไปพร้อมกับความเสียใจ สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไร เรื่องมันจบตรงที่ผมไม่ใช่คนที่พี่เปปเปอร์เลือก พี่เขาไม่ได้รักผม ทุกสิ่งที่ผมเคยรู้สึกก็ควรจะลืมไป ยกเว้นเรื่องนั้น...
“แล้วเรื่องคืนนั้นที่ข้างบึงหน้าหอปีสามละครับ” ผมแค่อยากรู้ เพราะตอนนั้นการกระทำของพี่มันดูเหมือนว่ารักผมมากเหลือเกิน แต่แล้วสายตางุนงงที่เหมือนว่าไม่รู้เรื่องของพี่เปปเปอร์ก็ทำให้ผมตะหงิดใจ
“คืนนั้น? คืนไหนครับ? พี่เคยออกไปเจอเอมตอนกลางคืนด้วยเหรอ ส่วนไอ้บึงน้ำนั่นน่ะพี่ไม่เคยไปนั่งเลยนะ มันน่ากลัวจะตาย มีแต่ไอ้จินแหละที่ชอบไปนั่งดูดาวตรงนั้น” คำพูดพี่เปปเปอร์ทำให้ผมเหมือนถูกตีแสกหน้า พี่จินต่างหากที่ชอบไปนั่งตรงนั้น...
ผมอึ้ง คนที่จูบผมไม่ใช่พี่เปปเปอร์ นี่ผมจะเชื่ออะไรได้อีกเนี่ย
“ช่างเถอะครับ ลืมไปเถอะ เพราะเอมก็จะลืมเรื่องของพี่เหมือนกัน”ผมเดินหันหลังออกมา แต่ก็ถูกพี่เปปเปอร์ดึงไว้
“เอม ยกโทษให้พี่ได้ไหม?” สีหน้าเว้าวอน ยังมีหน้ามาขอให้ยกโทษให้อีกเหรอ...
“เรื่องนี้เรื่องเดียวที่เอมทำให้ไม่ได้ครับ ขอโทษด้วย” สะใจนิดหนึ่งที่เห็นสีหน้าเครียดปรากฎบนใบหน้าพี่เปปเปอร์อีกครั้ง ผมจะเดินหนีออกมาแต่ก็ถูกเขารั้งแขนไว้อีกครั้ง
“พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนี้กับเอม แต่พี่ยั้งความรู้สึกไว้ไม่ทันจริงๆ พี่ชอบเอม แต่พี่ก็รักโรส พี่ไม่อยากให้โรสต้องเสียใจ เอมมาทีหลัง เอมก็คงทำใจได้ง่ายกว่าใช่มั้ยครับ” ผมสะบัดมือพี่เปปเปอร์ออก มันจบแล้วครับ ที่ผมต้องเจ็บใจก็เพราะว่าผมเป็นคนที่มาทีหลัง ผมคงเจ็บปวดไม่นานสินะ...
ทฤษฎีบ้าอะไรที่บ่งบอกว่าใช้เวลารักน้อยกว่า ก็จะเสียใจน้อยกว่า...
“ทำไมมึงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกแฟนมันล่ะ อย่างน้อยถ้ามันทำมึงเจ็บ มันก็น่าจะต้องเจ็บให้เหมือนกัน” ไอ้มิ้นท์ถามผมขึ้นมาในขณะที่เรากำลังเดินกลับห้อง หลังจากที่แวะไปส่งซินเรียบร้อยแล้วนะครับ
“เพราะมันไม่มีความจำเป็นที่กูจะต้องลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องให้มาเจ็บปวดด้วยไงล่ะ” ผมพูดสั้นๆแล้วก็แวะนั่งลงตรงริมฟุตบาท คืนนี้มีดาวเต็มฟ้าสมกับที่เป็นคืนเดือนมืด อากาศก็เย็นกำลังดี
“กูเจ็บ ไม่ได้แปลว่าจะต้องทำให้คนอื่นเจ็บไปด้วยนะ มึงก็เห็นว่านิสัยแบบนั้นมันทุเรศแค่ไหน กูไม่อยากเป็นคนน่าสมเพชแบบพี่เปปเปอร์ว่ะ...” ผมคว้าเอากิ่งไม้แถวนั้นมาเขี่ยบนผิวดินที่อ่อนนุ่ม
“เพราะมึงมันนิสัยดีซื่อบื้อแบบนี้ไง ถึงได้ถูกคนแบบนั้นหลอกเอาได้”
“เอ๊า มาว่ากูอีก แทนที่มึงจะปลอบใจกูเนอะ”
“ฮ่าๆ เอาเถอะ เพราะกูก็เห็นด้วยกับมึงนะเอม ยังไงมีคนเสียใจน้อยแค่ไหนก็ดีเท่านั้น เพราะกูคิดว่าแค่ยัยโรสนั่นได้ผู้ชายเฮงซวยแบบไอ้เปปเปอร์ไปก็รับว่าโชคร้ายจนน่าสงสารพอแล้วละ”
“มึงก็พูดซะเสียเลย” ผมเกาหัวแกรก ไอ้มิ้นท์มันช่างมองโลกได้พิสดารพันลึกจริงๆเลยครับ
“มิ้นท์ กูขอบใจนะ ที่มึงอยู่เป็นเพื่อนกูแบบนี้”
“มึงอย่าลืมไปขอบใจพี่จินด้วยละ เพราะดูท่าเขาก็ห่วงมึงไม่น้อยเหมือนกัน”
“แล้วโยงไปถึงเขาได้ยังไงวะ” ผมหงุดหงิด พอพูดชื่อนี้ขึ้นมาผมก็นึกถึงเรื่องคืนนั้น ไอ้คนฉวยโอกาส...
“ก็กูรู้ว่าพี่จินเป็นห่วงมึงแค่ไหนละกัน” บ๊ะ! ไอ้นี่ มาทำอมพะนำ
“เออ กูจะจำไว้ละกัน” ผมเลือกที่จะตัดบท ตอนนี้ยังไม่อยากพูดถึงพี่จิน เพราะเมื่อพูดถึงพี่จิน ผมก็จะนึกถึงเรื่องจูบ และเมื่อนึกหลายเรื่องในตอนนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนว่าจะสติแตกเอาเสียก่อน...
ช่วงนี้ผมใช้ชีวิตแบบมึนๆเอาเรื่องเลยละครับ มันเหมือนกับว่าไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรสักอย่าง ข้าวปลาก็ไม่ค่อยหิว วันๆก็เรียนแล้วก็วาดรูป สลับสับเปลี่ยนวนเวียนไปมาแบบนี้ ...
แล้ววันจบการศึกษาก็เวียนมาถึงจนได้...
ผมตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าวันนี้ผมจะซุ่มเงียบเก็บตัวอยู่แต่ในหอ จะไม่ออกไปไหน บางทีคิดว่าอาจจะลาป่วยไปเลย แต่เหมือนว่าอาจารย์ที่ปรึกษาผมจะรู้แกว แกก็เลยสั่งมาว่าผมจะต้องมาช่วยงานและร่วมแสดงความยินดีกับรุ่นพี่ด้วย
“เธอเป็นว่าที่นักเรียนดีเด่น จะทำตัวเละละไม่ได้นะ” เอ่อ... ได้ข่าวว่าผมก็คนนะครับ จะเกเรบ้างไม่ได้เชียวเหรอ –“-
เซ็งจิต...
และสุดท้ายผมก็ต้องมาเดินร่อนเร่อยู่ในโรงเรียน แต่ผมก็เลือกอยู่ให้ห่างจากสถานที่จัดพิธีนะครับ แบบว่าผมก็พอจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
อะไรน่ะเหรอครับ?
ก็อย่างเช่น เดินไปแล้วบังเอิญเจอพี่เปปเปอร์กำลังเก๊กท่าถ่ายรูปกับแฟนเขาไง อู๊ยยย มันคงเจ็บแปลบดีพิลึกเลยละครับ
เอาตามจริงผมก็ไม่ได้อะไรมากมายแล้วละ รู้สึกดีด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่าพี่เปปเปอร์เป็นคนแบบนั้นก่อนที่จะถลำลึกไปกว่านี้ แต่เหมือนว่าแผลมันยังสดน่ะครับ บางทีวันเวลาผ่านไปก็คงดีขึ้นเอง
แต่ไม่ได้แปลว่าผมจะทนมองหน้าไอ้คนฉวยโอกาสนี้ได้นะ!!!
“ชะเอม” อ๊ากกก จะมาเรียกผมทำไมมมมมม ไม่ต้องๆ ไม่ต้องมาทำหน้าหล่อเลยนะ แล้วผมนั่นน่ะ หวีเสยขึ้นไปทำม๊ายยย โอย... พอเห็นหน้าพี่จินที่วันนี้ดูจะผุดผ่องเป็นพิเศษผมก็เริ่มตุ๊มๆต่อมๆแล้วละ เดินหนีดีกว่า
“เอม พี่เรียกเราไม่ได้ยินหรือไง!” เอ่อ...ไม่ต้องเสียงดังก็ได้ครับ ผมหยุดแล้ว T T
“มีอะไร... ครับ” จริงๆไม่อยากจะพูดดีด้วยหรอกนะ ทำไปงั้นแหละ
“มาถ่ายรูปกันก่อน” อะ...เอ๋? ถ่ายรูปเหรอ ผมคิดแล้วก็มองพี่จินที่ยื่นกล้องให้เพื่อนเขาแบบงงๆ เขาจะถ่ายรูปคู่กับผม?
แชะ!
โดยไม่ทันคัดค้าน เขาก็ดึงผมไปโอบแล้วแอ็คท่าอย่างเนียน ผมมั่นใจว่าผมต้องทำหน้าพิลึกๆไปแน่นอน
“แค่นี้แหละ ขอบใจมาก” และแล้วเขาก็เดินจากไปครับ มีแต่ผมเนี่ยแหละที่ยืนใบ้รับประทานอยู่ตรงนี้...
เหลือแต่เพียงความสงสัยที่ติดค้างใจผมอยู่ตอนนี้...
นั่นมันอะไรกันวะ...
หลังจากวันนั้นก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ พวกรุ่นพี่ปีสามจบออกไป พวกผมก็เลื่อนชั้นเป็นพี่ปีสอง ได้รับน้องและแก้แกค้นเหมือนกับที่รุ่นพี่เคยทำกับพวกผมตอนรับน้องปีหนึ่ง หึหึ ก้ไม่หนักหนาอะไรถึงขนารับน้องสยองขวัญหรอกครับ
ความสัมพันธ์ของไอ้มิ้นท์กับซินก็ดีขึ้นตามลำดับ อ้อ! ผมได้รู้เรื่องใหม่เกี่ยวกับซินมาด้วยนะครับ ชื่อของซินน่ะ ย่อมาจาก ‘ซินนามอน’ แหม เป็นไงล่ะ ไฮโซเชียว
และเรื่องสำคัญ หลังจากพวกรุ่นพี่จบไปประมาณสี่เดือน ก็มีจดหมายปิดผนึกส่งมาถึงผมฉบับหนึ่ง ซองจดหมายจ่าหน้าถึงผม ผู้ส่งไม่มีชื่อ มีแค่ที่อยู่... จากที่ไกลแสนไกล... Paris
ข้างในซองเป็นรูปหนึ่งใบ รูปที่ทำให้ผมสับสนจนไม่รู้จะทำหน้ายังไง รูปที่มีเด็กชายตัวเล็กยืนเคียงข้างกับชายหนุ่มหล่อเหลา ใบหน้าที่เย็นชากับสายตาคมปลาบ แต่ว่ามีบางอย่างที่ทำให้ผมอึ้ง นั่นคือบรรยากาศรอบๆในรูปนั้น ความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอบอวลอยู่เต็มรูปภาพ ผมเผลอหยิบรูปมาแนบอก ลมหายใจติดขัด...
‘จะกลับมาอีกทำไมกัน...’
*** วันนี้มีเรื่องจะมาบอกด้วยละค่ะ นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่บีลงนิยายมาเลยนะคะ ที่ได้รู้ว่าคอมเมนท์จากผู้อ่านสำคัญอย่างไร
เพราะว่าทุกคอมเมนท์ที่เป็นความคิดเห็นของผู้อ่านน่ะค่ะ คนเขียนอย่างบีสามารถเอาไปต่อยอดได้นะคะ
บางทีคิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไร พอได้มาอ่านคอมเมนท์มันก็จะเห็นแนวทางอะค่ะ เพราะฉะนั้นขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนท์ค่ะ