ตอนพิเศษ ภาค โอ๋ ตอง ค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอโทษที่ปล่อยให้รอนานนะคะ
คือว่าพิตมีงาน นิดหน่อย แล้วก็ พอดี ว่า ช่วงนี้ปิดเทอม
ต้องไปออกค่ายอ่ะค่ะ เวลาแต่งเลยไม่ค่อยจะมี ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามนะคะ
ปล ร้อนๆอีกแล้ว ทุกวันนี้เริ่มเผานิยาย ฮ่าๆๆ มีคนบอกผมว่า ความรักมักเกิดนอกเหนือการควบคุมของสมองเสมอ เมื่อก่อนผมไม่เคยเชื่อ จนกระทั่งผมได้พบคนๆนึง คนที่ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า “รัก” แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อคนๆนั้นคือ คนรักของน้องชายผมเอง คุณอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ครับเมื่อก่อนผมก็เคยคิดแบบนั้น แต่ตอนนี้มันเป็นไปแล้ว ผมรักตองจริงๆ รักทั้งๆที่รู้ว่ามันผิด รักทั้งๆที่รู้ว่า ไอ้โอรักตอง และตองก็รักไอ้โอ ผมควรจะอยู่จุดไหน จะยอมเจ็บเพื่อเป็นพี่ชายที่แสนดี หรือยอมเลวเพื่อให้ได้คนที่รักมาครอบครอง
……………………………………………..
“เซเว่น อิ่มสะดวกสวัสดีครับ”เสียงที่ผมได้ฟังมาหลายเดือนดังขึ้นทันทีที่ประตูเปิด
“อ้าวพี่โอ๋” เจ้าของใบหน้าหวานทักขึ้นทันทีที่รู้ว่าคนที่เข้ามาเป็นผม
“ออกกะยังตอง”
“ยังครับอีกครึ่งชั่วโมง พี่ไปหาอะไรกินก่อนก็ได้แล้วค่อยมารับผม” ตองบอกอย่างเกรงใจ
“นี่เรา ยังไม่เลิกเกรงใจพี่อีกเหรอ” ผมถามตองบางทีมันก็อดคิดไม่ได้นะครับ รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว ตองยังไม่เลิกเกรงใจผมเลย
“เอ่อ คือขอโทษนะครับคือผมยังไม่ชินน่ะ”
“ช่างเถอะ เดี๋ยวพี่ไปรอข้างนอกนะ”
ผมบอกก่อนจะเดินออกมารอที่ม้านั่งหน้าร้าน พลางแอบมองคนหน้าหวานที่อยู่ในร้านไปด้วย คิดๆแล้ววันก็น่าแปลกนะครับเห็นตัวเล็กๆแบบนั้นแต่จริงๆแล้วตองเข้มแข็งมาก เพราะถ้าผมเป็นตองการที่ต้องเผชิญกับปัญหาแบบนั้นไม่รู้ว่าผมจะยังสามารถยืนอยู่ได้อย่างที่ตองทำหรือเปล่า
5เดือนก่อน
“หมวดครับมีอุบัติเหตุที่หน้าห้างA มีคนถูกรถชนได้รับบาดเจ็บสาหัส 1 คนครับ” หมู่ช้างวิ่งหน้าตาตื่นมาบอกผม
“แล้วมันยังไงล่ะหมู่”
“คือ เอ่อ นี่ครับ” หมู่ช้างยื่นบัตรประชาชนของคนเจ็บให้ผม
นาย อดิสร พิพัตพ์โยธิน
“ไอ้โอ” คำพูดแผ่วเบาที่หลุดออกมาเป็นคำแรกหลังจากที่ผมได้เห็นชื่อของคนเจ็บ นี่มันเรื่องอะไรกัน ในหัวผมมีคำถามมากมายที่หาคำตอบไม่ได้ ผมรีบไปที่โรงพยาบาลทันที หวังเหลือเกินว่าน้องผมจะไม่เป็นอะไร
“โอ๋” แม่เรียกผมทั้งน้ำตาก่อนจะโผเข้ากอดผมทันทีที่มาถึง
“โอ๋ น้องล่ะ น้องไม่เป็นอะไรใช่ไหมลูก ” ผมได้แต่กอดแม่ไว้แน่นด้วยหัวใจที่ปวดหนึบไม่แพ้กัน
“น้องต้องไม่เป็นอะไรครับแม่ เดี๋ยวนี้หมอเขาเก่งจะตาย อีกวันสองวัน เดี๋ยวไอ้โอมันก็ลุกขึ้นมาให้ผมไล่เตะเหมือนเดิมแล้วครับ” ผมพูดปลอบใจแม่และปลอบใจตัวเองไปด้วย ตั้งแต่ผมเป็นตำรวจการเห็นคนต้องเจ็บ ต้องตาย มันแทบจะเป็นชีวิตประจำวันผมอยู่แล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกเป็นครั้งแรกจริงๆที่ ผมต้องทำคดีที่เกิดกับคนในครอบครัว ผมไม่สามารถบอกได้หรอกครับว่าความรู้สึกนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ผมรู้แค่ว่าผมทำอะไรไม่ถูกตั้งแต่ เห็นคนที่นอนจมกองเลือดอยู่คือน้องชายแท้ๆของตัวเอง
“ แม่ต้องโทรหาตอง” แม่พูดขึ้น
“ตอง แฟนไอ้โอเหรอครับ”
“ใช่จ๊ะ” แม่บอกก่อนจะเดินออกไปโทรศัพท์
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงหมอก็ยังไม่ออกมาจากห้องฉุกเฉินผมได้แต่ลอบมองจากช่องประตูแต่ก็เห็นแค่ความวุ่นวาย ภายในห้อง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมรู้สึกว่าเวลาเดินช้าลง ในทุกวินาทีถึงมีแต่ความกังวล ผมกลัว กลัวว่าน้องจะเป็นอะไรไป ไอ้โอยังเด็ก เด็กเกินกว่าที่จะเจอเรื่องแบบนี้ ผมจะทำยังไงดีครับ
“ไม่ทราบว่าญาติ คุณอดิสร คนไหนครับ”
“ผมเองครับ” ผมประคองแม่ไปพบหมอพร้อมๆกับความกังวลขออย่าให้น้องผมเป็นอะไรเลย
“หมอเสียใจด้วยนะครับ เราพยายามเต็มที่แล้ว”
“ครับ” คำตอบรับแผ่วเบาที่ผมตอบหมอไปก่อนจะรับรู้ถึงความเปียกชื้นที่อกเสื้อ
“แม่” ผมกอดแม่ที่ร้องไห้อยู่อ้อมกอดผมแน่น แม่ไม่สะอื้นไม่ฟูมฟายเพียงแต่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาช้าๆและกอดผมไว้แน่นเท่านั้น
“แม่ครับ แม่ไปนั่งก่อนนะ” ผมบอกพลางประคองแม่ไปนั่งที่เก้าอี้หน้าห้อง
“แม่รอที่นี่ก่อนนะครับ ผมขอตัวไปดูเรื่องคดีก่อน” ผมบอกก่อนจะผละออกมาทันที ไม่ใช่ผมไม่อยากอยู่กับแม่นะครับแต่การสรุปคดีมันคือหน้าที่ ที่ผมต้องทำ ในฐานะตำรวจ
“โอตื่นเซ่!!!!!” ฮื่อๆๆๆๆ ภาพของผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้พลางกอดร่างน้องชายผมแน่นเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็นหลังจากที่กลับมา ใบหน้าหวานที่เต็มไปด้วยน้ำตาทำให้ผมสะท้อนใจและเจ็บปวดไปพร้อมๆกัน
“ทำไมนายผิดสัญญา ไหนบอกจะไม่ทิ้งกันไปไหนไง ไอ้เด็กบ้าตื่นเดี๋ยวนี้นะ”
“หนูตองพอเถอะลูก โอเขาไปดีแล้วนะลูก” แม่พูดก่อนจะดึงผู้ชายคนนั้นออกมาจากร่างโอ ภาพของคนที่ร้องไห้ปานจะขาดใจทำให้หัวใจผมปวดหนึบ ความเข้มแข็งที่พยายามสร้างแทบจะหายไปหมด ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร ผมรู้แค่ว่า อยากปกป้องเขาเหลือเกิน ไม่อยากเห็นน้ำตาของคนๆนี้อีกแล้ว
“พี่โอ๋ พี่โอ๋ครับ พี่โอ” เสียงเรียกไม่เบานักของคนหน้าหวานปลุกให้ผมออกจากความคิดของตัวเอง
“เสร็จแล้วเหรอตอง”
“ครับ”
“แล้วนี่หิวไหม เดี๋ยวพี่พาไปกินข้าว” ผมบอกเพราะเท่าที่สังเกตผมว่าตองผอมไปเยอะเลยครับ
“อย่าเลยครับ ผมกลับไปกินที่ห้องดีกว่าไม่รบกวนพี่โอ๋หรอกครับ” ตองยังตอบแบบเกรงใจผมอยู่เหมือนเดิมเขาจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า ผมเป็นห่วงเขามากแค่ไหน
“ตามใจเราแล้วกัน” ผมได้แต่ตอบอย่างปลงๆพลางมองคนหน้าหวานที่ตอนนี้เดินไปที่รถจักรยานที่จอดอยู่ข้างร้าน
“ผมกลับแล้วนะครับพี่โอ๋ วันนี้พี่ไม่ต้องไปส่งผมก็ได้นะครับ”
“เรานี่ เมื่อไหร่จะเลือกดื้อสักทีนะ แล้วบอกกี่ครั้งแล้วว่าขี่จักรยานกลับเองมันอันตรายไปกับพี่ดีกว่าไหม”
“อย่าดีกว่าครับ ผมขี่จักรยานกลับได้พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
น้องตองบอกก่อนจะขี่จักรยานออกไป ผมได้แต่ขับรถตามไปช้าๆ ผมขับรถตามไปส่งน้องทุกวันครับแต่น้องจะขี่จักรยานกลับ เป็นแบบนี้มา5เดือนแล้ว ผมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าวันไหนน้องตองจะลืมอดีตได้สักที
ผมจอดรถเพื่อส่งน้องเข้าห้องรอจนแน่ใจว่าน้องขึ้นห้องแล้วถึงขับรถออกมาถ้าคนอ่านจะด่าว่าผมโง่ก็ตามสบายเลยนะครับ บางคนอาจจะบอกว่าทำไมไม่บอกไปล่ะ บอกไปแล้วก้สิ้นเรื่อง ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากหรอกครับ แต่ผมกลัว กลัวความจริงทุกอย่างที่ต้องเจอ กลัวว่าคำบางคำจะทำลายความเชื่อใจและไว้ใจที่น้องเคยมีให้ ถ้าผมเป็นใครสักคนที่ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆของไอ้โอ เรื่องมันก็คงง่ายกว่านี้
“กริ๊งๆ” เสียงริงโทนดังขึ้นระหว่างทางกลับบ้าน โทรมาไม่รู้เวลาแบบนี้มีคนเดียวครับ ท่านผู้กองหัวหน้าหน่วยผมแน่นอน
“มีไรพี่”
“ไอ้โอ๋ น้องร๊ากกกกกกกกกก” มาแนวนี้เมาแน่ๆ
“เมาเหรอพี่”
“ครายยยยยยมาววววไม่มี๊” พี่กันตอบไม่เมาเลยเนาะ
“ครับไม่เมาก็ไม่เมา แล้วตกลงโทรมามีไรพี่”
“มารับหน่อย”
“อ้าว พี่ครับ สามีตัวเองก็มีโทรให้ไปรับดิ เกี่ยวไรกะผม”
“อย่าไปพูดถึงไอ้บ้านั่นได้ไหมว่ะ แกนั่นแหล่ะมารับเร็วๆที่เดิมนะเว้ย ตู๊ดๆๆๆ” บอกเสร็จก็ชิงวางสายซะงั้น เฮ้อ เรื่องงานเนี่ยเก่งจริงแต่พอเป็นเรื่องหัวใจทีไรไปไม่เป็นทุกทีพี่ชายผม แล้วก็เป็นผมทุกทีที่ซวย
ผมถึงกับส่ายหน้ากับสภาพที่เห็นรุ่นพี่ขาบู๊ของผมนอนหมดสภาพอยู่บนโต๊ะข้างๆมีขวดเหล้าวางระเกะระกะ เฮ้อ ท่าจะทะเลาะกันหนักครับคราวนี้
“ตื่นได้แล้วพี่”
“อ้าว อ้ายยยยโอ๋ มาโชนนนนนนนนน” คนเมายังพยายามที่จะชวนผมชนให้ได้ ผมได้แต่พยายามแบกพี่กันออกมาจากผับแล้วพาไปส่งบ้าน ส่วนน้องเซ้นส์รายนั้นรออยู่ที่บ้านนั่นล่ะครับ ทะเลาะกันทีไรก็เป็นแบบนี้ทุกที พี่กันไปกินเหล้า ผมไปรับ น้องเซ้นส์รอรับที่บ้าน ยังกะวงจรยุง เหอๆ
ผมขับรถพาคนที่ เอ่อ ไม่เมามาส่งบ้าน ที่ตอนนี้สามีของคนขี้เมายืนรออยู่
“ขอโทษนะพี่โอ๋ ลำบากอีกแล้ว” เซ้นส์บอกทันที่ผมลงจากรถ
“ไม่เปนไรหรอก สมัยก่อนพี่ก็แบกพี่กันกลับบ้านประจำ” ผมบอกก่อนที่ผมกับน้องเซ้นส์ จะแบกคนเมาขึ้นไปบนห้อง
“ขอบคุณมากนะพี่ ที่ช่วย”
“อืม ว่าแต่คราวนี้เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“เรื่องเดิมครับ” ผมพยักหน้าเข้าใจทันที อธิบายหน่อยดีกว่าเผื่อคนอ่าน งง ปกติคู่นี้เขาไม่ค่อยทะเลาะกันหรอกครับ ออกจะหวานจน น้ำตาลอิจฉา แต่เรื่องที่ทะเลาะกันบ่อยๆก็คือ เรื่องความบ้าเลือดของผู้กองเขานั่นล่ะครับ คุยกันเรื่องนี้ทีไรทะเลาะกันทุกที คนหนึ่งก็เป็นห่วง อีกคนก็รักงานเหลือเกิน เฮ้อ แต่ผมคงช่วยอะไรมากไม่ได้เพราะลำพังเรื่องตัวเองผมก็แทบไม่รอดแล้ว
“หน้าดูเครียดๆนะพี่ มีอะไรปรึกษาผมได้นะ” น้องเซ้นส์ถามระหว่างที่เดินลงมาส่งผม
“มีเรื่องให้คิดนิดหน่อยน่ะ”
“บอกได้นะพี่ ไหนๆพี่ก็ช่วยผมมาเยอะแล้ว ถ้าผมพอจะช่วยอะไรพี่ได้บ้างผมก็ยินดีนะพี่”
“เฮ้อ เอาไงดีว่ะ พี่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง” มันไม่รู้จะพูดอะไรก่อนจริงๆครับ คือว่ามันเรียงประโยคไม่ถูกไม่รู้ว่าควรพูดยังไงดี
“ก็พูดอะไรก็ได้ที่พี่ไม่สบายใจ ก็เท่านั้น”
“อืม ถ้าพี่จะบอกว่าพี่ชอบแฟนน้องชายตัวเองล่ะ” ตรงไปไหมครับ ก็น้องเซ้นส์บอกให้พูดตรงๆนิ เนาะ
“น้องตองแฟนน้องชายพี่ที่เสียไปใช่ไหม” น้องเซ้นส์บอกเสียงเรียบ เฮ้ย นี่ไม่ตื่นเต้นเลยเหรอ
“ไม่ต้องทำหน้าสงสัยขนาดนั้นหรอกพี่ ผู้กองของพี่เขาบอกผมมาบ้างแล้วล่ะครับ”
“อย่าหาว่าผมสอนพี่เลยนะ เรื่องความรักมันไม่มีถูกผิดหรอก มันอยู่ที่เรารักใครมากกว่านะ บางทีการที่เราใช้เหตุผลมากเกินไปมันอาจจะทำให้เราเสียคนที่รักไปก็ได้นะครับ ผมคงบอกพี่ได้เท่านี้มันอยู่ที่ตัวพี่เองมากกว่าว่ากล้าพอที่จะรัก หรือเปล่า ถ้ากล้าก็เดินหน้าลุยเต็มที่ แต่ถ้าไม่ ก็ตัดใจซะเถอะครับ”
น้องเซ้นส์บอกก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไป นั่นสินะครับ เหตุผลจริงๆที่อยู่ในใจผม อาจจะไม่ใช่ “การเป็นพี่ชายที่ดี” แต่อาจจะเป็น “ความกลัว” มากกว่า เฮ้อ ทำไม ยิ่งคิดมันยิ่งยากก็ไม่รู้นะครับ แล้วผมต้องทำยังไง เฮ้อ ปวดหัวๆ วางแผนจับผู้ร้ายยังง่ายกว่านี้เลย
ปล อีกที ว่าจะเครียด ไหง พระเอกหนูรั่วอีกแล้วหว่า
แปะรูป รีล่างค่ะ