แอบเอาเรื่องสั้นมาลงเรื่องนึงนะคะ ตอนเดียวจบเช่นเคยค่ะ :]
Other One-Shot(s):
[Short Story] --> take the last piece, get a handsome guy
[LOVE SICK's Fanfiction] --> no words
[LOVE SICK's Fanfiction] --> simply emotion
ถ้าลงช้าต้องขอโทษด้วยนะคะ เนตเราแย่มากเลย TT
ฝากด้วยนะค้าา You and Me are .. We*A One-Shot Story by Lich2601..
.
.
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย...ผมหยุดยืนนิ่งมองความเป็นไปของผู้คนรอบกายภายในสนามบินประจำชาติ...
เหลือบมองตารางเวลาแล้วก็ให้หวนนึกถึง...
ผมกวาดสายตามองหาเก้าอี้ตัวเก่า...ตัวเดียวกับเมื่อสามปีก่อน...
ปลายเท้าสาวตรงไปข้างหน้า...ก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้แห่งความทรงจำตัวเดิม...
“...เปอร์...สัญญานะว่าจะรอเรากลับมา...”
“...บอกว่าให้เรียกพี่ ๆ ไง...นายนี่ยังไงกันนะ...แล้วมีอย่างที่ไหนแทนตัวเองว่าเรากับคนอายุมากกว่าน่ะ...ดื้อ...”
“...โอ๊ย! บ่นยังกับคนแก่...ก็เราพอใจจะเรียกแบบนี้...แล้วก็เรียกมานานจนชินปากแล้วด้วย...จะทำอะไรเราได้ หือ...นายเปอร์...เปอร์...เปอ---อุ๊บ!...”
ปากอวบอิ่มนั้นถูกผมเก็บกลืนคำพูดลงคอจนหมด...
เด็กพูดมากได้แต่นั่งแก้มแดงก้มหน้าก้มตาหุบปากเงียบฉับพลัน...ทำเอาผมยิ้มกริ่มด้วยความเอ็นดู...
“...แล้วรีบกลับมาล่ะไอ้ตัวแสบ...มาช้าไม่รอไม่รู้ด้วยนะ...”
“...อยากตายก็ลองดูสิ ชิ!...”
มันถลึงตาดุใส่ผม...แต่ก็เพียงครู่เดียว...
เพราะหลังจากนั้นไม่นาน...ดวงตาโต ๆ นั่นก็เริ่มกลั่นน้ำใสให้คลออยู่จนเกือบท้นหน่วยตา.....
..
..
ผมยังจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้ดี...
ยังคงจำไอ้เด็กแสบบ้านฝั่งตรงข้ามที่ชอบทำเสียงดังหนวกหูจนลำบากให้ผมต้องจำใจสะดุ้งตื่นก่อนนาฬิกาปลุกทุกเช้า...เพื่อจะได้ให้พรจากความอารมณ์เสียแก่มัน...
ยังจำไอ้เด็กกวนประสาทที่หน้าตาโคตรหวานสุดแสนจะขัดกับนิสัยจริงของมันราวฟ้ากับเหว...
ไอ้ลูกแมวขี้อ้อนที่ชอบใช้ตาโต ๆ กับหน้าใส ๆ หลอกล่อให้ผมหลงเคลิ้มในคารมของมันทุกที...
และยังคงจำไอ้เด็กใจแตกที่ไม่ยอมเรียกผมว่าพี่สักที...ตลอดช่วงเวลาเกือบสี่ปีที่มันย้ายมาอยู่บ้านใกล้ ๆ กัน...
ภาพติดตาของคน ๆ เดียว...ที่ทำให้ผู้ชายโลกส่วนตัวสูงอย่าง
‘คุณชายเปอร์’ หวั่นไหวได้ง่าย ๆ....
ภาพของเด็กผู้ชายอายุน้อยกว่าผมเกือบหกปีที่ถึงจะแสบแค่ไหนแต่ก็ยังน่ารักในสายตาผมอยู่ดีคนนี้...ที่ชื่อว่า
‘มอร์’....
..
..
..
คุณสงสัยไหม...ทำไมผมถึงบอกว่ามันน่ารัก...?
เอาตรง ๆ เหตุผลเดียวตอนนี้ที่ผมนึกออกคือเพราะว่ามันหน้าตาดี (ถึงดีมากเลยแหละ) ไงครับ...
ถึงขนาดที่ไม่ว่าใครจะมองก็เป็นต้องสะดุดตาเลยแบบนั้นน่ะ...
แถมเวลามองเผิน ๆ ดูคล้ายตุ๊กตาญี่ปุ่นหน้าขาวปากแดง...
เสียแต่ว่ามันช่างพูดจนเกินจะบรรยาย...
ไอ้น้องมอร์เป็นเด็กผู้ชายตัวบางที่ผิวขาวจัดแต่กลับไม่ซีด...
ริมฝีปากน่าจูบสีแดงเรื่ออมส้มแบบคนสุขภาพดี...
มีดวงตาสีดำสนิทกลมโต...จมูกก็โด่งเป็นสันเหมือนคนในภาพวาด...
ดูยังไงมันก็น่ารักเกินธรรมชาติของเด็กผู้ชายทั่วไป...
ผมรู้จักเด็กนี่ด้วยความบังเอิญ...
จากการที่ผมจำต้องไปงานพบผู้ปกครองของน้องสาวในช่วงเวลาที่พ่อกับแม่ไปต่างประเทศ...
และการไปเยี่ยมโรงเรียนของน้องในครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่า...
ไอ้เด็กหน้าหวานคนนี้...คือเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของยัยเปย์...
จากวันนั้น...ทุกเช้าเย็นผมก็จะต้องเห็นนั่งทำหน้าสลอนอยู่ในบ้านทุกที...
แรก ๆ ผมถึงกับคิดว่ามันจะแกล้งตีสนิทเพื่อหวังจีบน้องเปย์หรือเปล่า...?
ถึงได้คอยคิดกันท่ามันทุกวิถีทาง...
แต่ใครจะไปรู้ล่ะครับ...ว่าเป้าหมายหลักที่ทำให้มันต้องสรรหาบรรดาข้ออ้างทั้งหลายแหล่มาบอกกับทุกคนนั่นน่ะ
แท้จริงแล้วคืออดีตเดือนนิติศาสตร์พี่ชายของคุณหนูตระกูลป. ที่ชื่อ
‘เปอร์’ คนนี้นี่เอง...
..
..
..
ผมเป็นผู้ชายแมน ๆ ที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะชอบผู้ชาย...
แต่ใครจะไปรู้ว่าพอถูกเด็กผู้ชายขโมยจูบตอนหลับเข้าทีเดียว...
กลับทำให้ผมต้องหวั่นไหวไปเป็นอาทิตย์ ๆ ...
มันเป็นวันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านและน้องเปย์ที่รักก็หนีเที่ยว...
แต่ก็ยังใจดีส่งพ่อครัวมาช่วยทำอาหารประทังชีวิตให้ผม...
เป็นครั้งแรกที่ผมได้รู้ว่าเด็กไม่เอาอ่าว (ที่ผมชอบหลอกด่า) บ้านตรงข้ามนั้นดันทำอาหารอร่อยจนเผลอเติมแล้วเติมอีก...
แล้วก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มกว้างเวลาที่ได้รับคำชื่นชมนั้นมันน่ารักขนาดไหน...
วูบหนึ่งที่ทำผมเผลอคิดไปว่า...
‘ถ้ามีภรรยาทำอาหารเก่งแบบมันบ้างก็คงดี’ ...
คืนนั้นผมนอนกระสับกระส่าย...รู้สึกคันยิบไปทั้งตัวจนต้องพยายามเปิดไฟเพื่อมองหาความผิดปกติ...
แต่ผมกลับไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถขยับลุกไปไหนได้...
เป็นเวลาเดียวกับที่เด็กมอร์เดินออกมาปิดระเบียงบ้านตัวเองและมือผมกวาดไปโดนแก้วน้ำข้างเตียงตกแตก...
เด็กขี้โวยวายถึงได้รีบปีนข้ามบ้านเพื่อเข้ามาดูอาการผม...
ผมแพ้กุ้ง!นั่นคือสิ่งที่มันสันนิษฐาน...และผมก็เป็นไข้...
ไอ้ตัวแสบทำหน้าที่พยาบาลให้ผมอย่างดีเยี่ยม...
ทั้งเช็ดตัว จัดยา ป้อนข้าว และอีกสารพัดจนผมนึกละอายใจที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายคงเอาแต่เล่นไร้สาระไปวัน ๆ ...
ผมเคลิ้มหลับไป...รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาหอมหวานติดริมฝีปาก...
เมื่อลืมตาขึ้นก็สบเข้ากับสายตาที่บ่งบอกทุกอย่าง...
และเพราะคืนนั้นเองที่ทำให้ผมหวั่นไหวจนในที่สุดความรู้สึกที่มีให้มันก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล...
..
..
..
ผมเคยถามมันไปว่า
‘นายชอบพี่ตรงไหน...?’ไอ้เด็กดื้อกลับเอาแต่บ่ายเบี่ยงไม่เคยให้คำตอบผมสักครั้ง...
เอาแต่อมยิ้มแก้มแดงแล้วก็เดินหนี...
แต่พอผมถาม
‘ทำไมไม่ยอมเรียกพี่’ ...
เจ้าตัวดีกลับตอบทันควัน...
‘ก็ไม่ได้อยากให้เป็นพี่...อยากให้เป็นมากกว่านั้น’...
แล้วก็ยักคิ้วยักไหล่ทำหน้ากวนไปตามประสา...
คุณอาจสงสัยว่าเราคบกันตอนไหน...?
บอกเลยว่าผมก็ยังไม่รู้...
เราสองคนไม่เคยบอกรัก...ไม่เคยขอคบ...
มีแต่ความรู้สึกแค่ว่า...
สุขใจเวลาที่ได้อยู่ด้วยกัน...
ถึงมันจะชอบกวนประสาท...
แต่ทุกอย่างที่มันทำกลับทำให้ผมยิ้มได้...
ถึงมันจะขี้งอนในบางครั้ง...
แต่เมื่อใดที่ผมง้อสำเร็จ...รอยยิ้มกว้าง ๆ นั้นก็ทำให้โลกของผมดูสดใส...
ผมไม่รู้หรอกว่าความรู้สึกเหล่านี้เรียกว่าอะไร...
แต่ผมและมันก็อยากให้ทุกอย่างยังคงเป็นแบบนี้เรื่อย ๆ ไปก็พอ...
..
..
..
ผมยังคงนั่งนิ่งบนเก้าอี้ตัวเดิม...ตัวเดิมกับเมื่อสามปีก่อน...
วันที่ผมส่งเจ้าตัวดีไปเรียนต่อด้านดนตรีที่ออสเตรียอย่างที่มันใฝ่ฝัน...
อ้อ! นี่ผมบอกพวกคุณหรือยังครับว่าไอ้ตัวแสบน่ะเรียนเก่งนะ...
มันได้รับทุนเต็มจำนวนจากผู้อำนวยการโรงเรียน...และนั่นก็เป็นเหตุให้เราต้องห่างกัน...
ผมรู้ว่ามันดีใจ...แต่อีกเสี้ยวหนึ่งคงลำบากใจที่ต้องห่างจากผม...
นับแต่วันที่เรารู้สึกแบบเดียวกัน...ก็แทบไม่เคยต้องอยู่ห่างกันเลยสักครั้ง...
“...เรา...ฮึก...เราจะคิดถึงเปอร์ทุกวันเลย...เปอร์ก็ต้องคิดถึงเราเหมือนกันนะ...!”
เป็นประโยคสุดท้าย...ก่อนไอ้เด็กดื้อจะมอบกอดแน่น ๆ ให้กับผม...
ก่อนที่เสียงประกาศจากสายการบินจะพาร่างบาง ๆ ของมันให้ค่อย ๆ หายลับไปจากโถงผู้โดยสารขาออก...
ค่อย ๆ หายไปจากลานสายตาของผม...
ผมไม่ได้รับปากไปหรอกครับว่าผมจะคิดถึงมันทุกวัน...
แต่ริมฝีปากที่ประทับลงบนเนินหน้าผากนั่นแผ่วเบา...คงเป็นเครื่องยืนยันคำตอบให้มันได้อย่างดี...
ว่าผมจะคิดถึง...และผมก็จะรอ...รอจนกว่าคำว่า ‘เรา’ ของมัน...
จะถูกเติมเต็มด้วยหัวใจของ ‘เปอร์’ กับ ‘มอร์’......
..
..
เสียงประกาศเรียกผมให้มองตารางเที่ยวบินอีกครั้ง...
กวาดสายตามองทั่วบริเวณช่องทางผู้โดยสารขาเข้า...
แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเจ้าตัวดีของผมสักนิด...
ให้ตายเถอะ!
ยิ่งใกล้เวลาจะได้เจอก็ยิ่งกระสับกระส่ายชอบกล...
ผมลุกขึ้นยืนหมุนตัวกำลังจะออกเดินเพื่อไปสงบสติอารมณ์ในห้องน้ำ...
หากแต่แรงโถมกอดจากทางด้านหลังกับกลิ่นหอม ๆ ที่เคยคุ้นก็เรียกรอยยิ้มให้ฉาบบนใบหน้าแทน
“...เราคิดถึงเปอร์ทุกวันเลย...แล้วเปอร์คิดถึงเราบ้างหรือเปล่า...?”หันกลับมาสบดวงตากลมโตฉายแววออดอ้อนแฝงความคิดถึงเต็มเปี่ยม...
ไม่เหลือเค้าความซุกซนเหมือนเคย...ก็ได้แต่อมยิ้ม...
ผมก้มลงแนบจุมพิตบนเนินหน้าผากก่อนกระซิบข้างหูคนตรงหน้าแผ่วเบา...
ถ้อยคำที่ทำให้มันต้องหัวเราะร่าทั้งน้ำตา...
“...คิดถึงสิ...คิดถึงคำว่า ‘เรา’ ตลอดเวลาเลยรู้รึเปล่าไอ้ตัวดี...”จบค่ะ :]