ตอนที่ 10
<< HoiHug’s Mode >>
“ไม่เป็นอะไรแน่นะฮัก?”
“ครับ ไม่เป็นไร”
“ให้ป้าอิ่มทำนมอุ่นๆ ให้นะลูก”
“ขอบคุณครับ”
ผมค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างเงียบๆ พ่อรินมองตามด้วยสายตาเป็นห่วง ผมไม่เป็นไรหรอกครับพ่อรินก็แค่ตกใจนิดหน่อย อืม...ใครคิดว่าเจ้าบ้านั้นที่หน้าบ้านคนอื่นยังไม่เว้นกันล่ะ ไอ้หื่นเอ๊ย! แค่ถูกจูบก็เข่าอ่อนล้มพับไปกับพื้นเรื่องนี้ใครรู้เข้าอายเขาตายชัก โดยเฉพาะไอ้พรีสต์ตัวดีเลย
ผมกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเบาๆ ผมหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่แล้วไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เห็นเหล่าสาวใช้ในชุดคุณเมดน่ารักคิขุยิ้มแก้มแดงตาเป็นประกายยืนถือถาดแก้วนมอยู่หน้าห้อง
“พวกเรามาเตรียมน้ำให้ค่ะคุณชาย”
“อ้อ”
ผมพยักหน้ารับแล้วเลี่ยงทางให้แก่พวกเธอที่ค่อยๆ เดินเข้ามาด้วยจริตที่ดูน่ารักแอ๊บแบ๊ว ผมมองตามอย่างเฉยชา เห็นแบบนี้มาตั้งนานแล้วนี่น่า แถมยัยพวกนี้ก็ไม่ใช่ผู้หญิงแท้ๆ ด้วย พวกเธอเคยเป็นผู้ชายมาก่อนน่ะครับและอายุมากกว่าผมไม่รู้เท่าไรแต่เดชะด้วยความเป็นคนดีหรือทำบุญมาก่อนก็แล้วแต่พวกเธอจึงหน้าเด็กอยู่แบบนี้เหมือนเดิม!
“คุณชายต้องการน้ำแบบไหนคะ? อุ่นพอดี ร้อนนิดๆ หรือจะผสมพวกน้ำหอมระเหยผ่อนคลายด้วย?”
เมดสาวเบอร์หนึ่งเอ่ยถามผมด้วยรอยยิ้มแอ๊บแบ๊ว ผมปิดประตูแล้วเดินมาที่โต๊ะลิ้นชักใกล้เตียงนอน โบกมือให้กับพวกเธออย่างไม่สนใจ
“จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ”
“ได้ค่า~”
สาวเมดเบอร์สองเดินเข้ามาวางถาดแก้วนมอุ่นๆ วางบนโต๊ะที่ผมกำลังค้นหาของ เห็นชุดเมดของพวกเธอสามสาวทีไรผมก็อดไม่ได้ทุกทีที่จะคิดว่าพวกนี้น่าจะไปเป็นดีไซเนอร์มากกว่าจะเป็นสาวใช้ที่นี้ ก็เพราะไอ้ชุดที่พวกเธอใส่อยู่นี่พวกเธอออกแบบใส่กันเองน่ะครับ ไม่ใช่ชุดสาวใช้บ้านนี้นะ อย่าเข้าใจผิด
“ชุดใหม่ของเดือนนี้ค่ะ สวยไหมคะคุณชาย!”
“อืม”
“ต๊ายยย~ คุณชายชมว่าฉันสวยล่ะ!! วันนี้คงจะหลับฝันดีแน่ๆ!”
ชมชุดต่างหากล่ะเจ๊!สามสาวเมดนี้ว่างๆ ก็จะไปงานคอสเพลย์กันด้วยล่ะครับ เวลางานแต่งแฟนซีของมหาลัยทีไรพ่อทั้งสองก็จะมาใช้บริการของสามสาวออกแบบชุดแฟนตาซีให้เป็นประจำน่ะครับ เอ๊ะ? ส่วนผมน่ะเหรอ? คณะถาปัตย์คิดว่าจะได้แต่งตัวสวยงามงั้นเหรอครับ? คอนเซ็บต์เมื่อปีที่แล้วก็คือวรรณคดี ผมได้แต่งเป็นอะไรน่ะเหรอ?
ก็แต่งเป็นสี่ยอดกุมารไงล่ะครับ!โดยมีไอ้โจ้เป็นหนึ่งในแก๊งสี่ยอดกุมารของเรา อีกสองก็มาจากเพื่อนสาขาอื่นครับ ไอ้พรีสต์ได้แต่งเป็นขุนแผนแสนสะท้าน ไอ้บู๊ลิ้มแต่งเป็นนางวันทอง เล่นเอาไอ้ขุนแผนทำหน้าเบื่อโลกไปเลยทีเดียว! คอนเซ็บต์ของคณะเราไม่เหมือนชาวบ้านเขาเท่าไร เราจะคิดธีมหลักแล้วจับฉลากเลือกเอาครับไม่ได้คิดตามใจชอบแบบคนอื่นเขา คนที่ได้ตัวดีๆ ก็ดีไปแต่ไอ้ที่ได้ไม่ตรงตัวเองก็...ทำใจ!
“หาอะไรคะคุณชาย? ช่วยหาไหมเอ่ย?”
“ไม่ต้องหรอก ผมหาเจอแล้ว”
ผมหันไปปฏิเสธเข้าแล้วหยิบอัลบั้มรูปภาพติดมือมาที่เตียงนอน นั่งเปิดมันอย่างรวดเร็วแล้วไปหยุดที่รูปหนึ่ง แน่นอนว่ารูปนี้ผมไม่ได้ใส่ใจมันจนกระทั่งไปเจอรูปเดียวกันที่เจ้าวินเซอร์นั้นแหละ ไม่อยากจะเชื่อว่าเด็กในรูปนี้จะกลายเป็นเจ้าถึกนั้นได้ ไปทำอะไรมาถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้นวะ!?
ตอนที่หมอนั้นบอกว่าเป็นตัวเองเนี่ย ผมตกใจมากเลยนะ หือ? ตกใจจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น! เด็กน่ารักๆ คนนั้นกลายเป็นไอ้หื่นนี่ไปได้ยังไงวะ? พ่อของมันเลี้ยงด้วยอะไรกัน!? นิสัยก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปเลย ไม่เห็นมีภาพเก่าๆ จากวัยเด็กเหลือแม้แต่น้อย นี่มันเรื่องบังเอิญใช่ไหม? ระ...เอ่อ...หรือว่า....มันจะเป็นพรหมลิขิต?
แหวะ!!เน่าตัวเองชิบ!!“คุณชายคะ! โทรศัพท์ดังค่า~”
ผมนั่งเหม่ออยู่นานอีกฝ่ายก็แทบจะยื่นมือถือมากระแทกหน้า ถ้าจะทำแบบนี้ทำไมไม่โยนใส่หน้าไปเลยล่ะ ผมรับมือถือนั้นมาดูแล้วเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ คนที่โทรมาคือไอ้พรีสต์แฮะ ปกติจะไม่โทรมาหาผมก่อนหรอกถ้าไม่ใช่เรื่องชวนไปเที่ยวเนี่ย จะมาชวนไปเที่ยวอีกเหรอ?
“ว่าไง?”
[ เฮ้! ไอ้ฮอย วันอาทิตย์อย่าลืมนะ นัดกันที่คณะตอนบ่ายสามโมง! ]
“อ้อ จำได้”
[ เออ อย่ามาสายนะ แค่นี้แหละ ]
มาเร็วก็ไปเร็ว... ไอ้พรีสต์พูดๆ แล้ววางสายไป ตกลงไอ้หมอนี้มันก็ยังไม่รู้เหมือนเดิมว่าผมคือเพื่อนสมัยเด็กของมันใช่ไหม? นี่อุตส่าห์ให้เบอร์โทรเดิมที่ติดต่อกันเป็นประจำแล้วน่ะเนี่ย ไม่รู้จะว่าไอ้หมอนี้ระดับความบื้อมันติดลบไปถึงไหน เฮ้อ!
“เตรียมน้ำเสร็จแล้วเจ้าคะ เชิญคุณชายพักผ่อนให้สุขสราญสำราญใจ”
คุณเมดสาวเบอร์สามโผล่มาจากห้องน้ำ คอนเฟิร์มการเตรียมน้ำเรียบร้อย ผมพยักหน้ารับแล้วสามสาวก็โค้งตัวเดินถอยหลังออกจากห้องของผมไปอย่างรวดเร็ว ผมนั่งเปิดรูปดูต่อไปเรื่อยๆ มีไอ้พรีสต์ตอนเด็กแล้วก็พี่ชายของมันติดมาด้วย แล้วก็หยุดตรงรูปพ่อกับแม่ตอนรับรางวัล
ผมนี่เหมือนแม่จริงๆ ด้วยแฮะ แถมคนอื่นๆ ยังบอกว่าได้นิสัยมาจากแม่เต็มๆ อีกด้วย พ่อของผมถึงจะหน้านิ่งไร้ความรู้สึกแต่จริงๆ แล้วท่านนิสัยไม่เข้ากับหน้าตานิ่งๆ นั้นเท่าไรหรอกเพราะจริงๆ แล้วพ่อของผมเป็นคนใจดีและอ่อนโยนมาก ส่วนแม่น่ะนิสัย...เอ่อ...แบบผมไง ผมเปิดดูไปเรื่อยๆ หลังๆ มานี่เป็นรูปงานถ่ายแบบของผมเอง สงสัยพ่อรินนั้นแหละเอามาใส่ไว้
จู่ๆ หน้าของผมก็ร้อนผ่าว ใจเต้นรัวขึ้นมา ให้ตายสิ! ดันคิดถึงงานของวันนี้ซะได้ งานน่ะไม่เท่าไรหรอกแต่ไอ้ตากล้องนั้นน่ะสิ ทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรทั้งๆ ที่ผมก็... อ๊ะ! ไม่ได้ยั่วอะไรหรอกนะก็แค่ลองวิชาที่พี่ลอนดอนสอนมาเท่านั้นแหละ นอกจากนี้มันก็...แค่อินไปนิดหนึ่ง ตั้งใจมากไปหน่อย แต่ให้ตายสิ! เจ้าตากล้องนั้นน่ะหน้านิ่งอย่างกับสตาร์ฟไว้
เหอะ หวั่นไหวหน่อยก็ไม่ได้หรือไง อุตส่าห์ลงทุนขนาดนั้น! พอทำงานแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นคนจริงจังแบบนั้นงั้นเหรอ? หน้าเอาจริงเอาจังของหมอนั้นทำเอาผมแทบจะไม่มีสมาธิในการทำงาน นี่ผมเป็นเอามากเลยสินะ เหลือบสายตาไปมองเจ้าตุ๊กตาหมีประหลาดมันมีรอยยิ้มที่แสยะชั่วร้ายเหมือนเจ้าของมันไม่มีผิด!
ตกหลุม(รัก)ขึ้นไม่ไหว! ไอ้หมีเกรียนมันถีบผมลงมา!!!“ผมว่าผมทำไม่ได้หรอกครับ”
“เฮ้ย! ยังไม่ได้ลองดู แกปฏิเสธก่อนเลยเหรอวะ?”
พี่ต้นน้ำอุทานออกมาอย่างรวดเร็วเมื่อผมปฏิเสธหน้าตายหลังจากได้ดูเอ็มวีเพลงนักร้องสาววัยใสที่เต้นเหยงๆ น่ารักน่าเอ็นดูนั้น จะให้ผมเลียนแบบอะไรก็ให้มีขอบเขตบ้าง! พี่ลอนดอนชักสีหน้าเล็กน้อยตอนที่ผมปฏิเสธ แกนอนแปะกับพื้นรีบลุกขึ้นมาทันที
“ตอนที่ฉันฝึกครั้งแรกก็ได้ร้องเต้นเลยนะโว้ย! แกแค่เต้นแล้วลิปซิ้งเท่านั้นเอง จะยากอะไร”
“...”
ไม่มีปรานีกันเลยสินะ! นั้นมันนักร้องสาวน้อยที่เขาน่ารักอยู่แล้วนะครับพี่ แต่จะให้ผมไปเต้นน่ารักๆ แบ๊วๆ แบบนั้น แค่คิดก็อยากจะอ้วกแล้ว! พวกพี่ๆ สามคนก็ขยับเข้ามานั่งล้อมผม กดดันให้ผมทำอยู่นั้นแหละ
“นี่พวกพี่เลือกแนวเหมาะกับฮักแล้วนะ”พี่ยูไนเต็ดเอ่ยพร้อมกับยิ้มนิดๆ มันเหมาะกับผมตรงไหนวะครับ!? ผมส่งสายตาเป็นคำถามให้พี่ยูไนเต็ด
“ก็ไอ้วินมันชอบแนวนี้นี่”พี่ลอนดอนเอ่ยเสริมอย่างจริงจัง ผมก็ถอนหายใจเฮือก
“ถึงหมอนั้นจะชอบแนวนี้หรือแนวไหน ผมก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวเองให้หมอนั้นชอบเลยนี่”
“...มันก็ใช่แฮะ”พี่ต้นน้ำพยักหน้ารับและเห็นด้วยกับผม แต่แล้วพี่แกก็โดนพี่ลอนดอนเตะโด่งออกจากวงทันที
“ไอ้บ้าเอ๊ย ไปเห็นด้วยกับมันทำไมวะ? ชิ!”
“เอาน่าพี่ลอนดอน ถ้าฮักเขาพูดแบบนั้นเราก็เลิกแกล้งน้องเขาเถอะ”พี่ยูไนเต็ดยิ้มออกมาอย่างสดใสแล้วเอ่ยเกลี่ยกล่อมให้พี่ลอนดอนยอมตาม พี่ลอนดอนยกมุมปากแล้วทำเสียงขึ้นจมูก
“เฮอะ”
ผมว่าแล้ว ไม่พ้นพี่ลอนดอนหาเรื่องแกล้งผมนั้นแหละ!
“เข้าเรื่องเลยดีกว่านะฮัก ต่อไปนี้เราจะฝึกคลาสลับแลกันจริงๆ ซึ่งเธอก็รู้ใช่ไหมว่าคลาสลับแลน่ะคือการแสดงเป็นตัวละครผู้หญิง แสดงเป็นผู้หญิงจริงๆ นะ ไม่ใช่แสดงเป็นกะเทย! ทั้งท่าทาง การพูดจา น้ำเสียง โทนเสียง อารมณ์ ทุกๆ อย่างต้องเป็นผู้หญิง หากสวมบทแสดงนั้นๆ แล้วจะหลุดความเป็นผู้ชายมาไม่ได้เด็ดขาด”
“...”ผมพยักหน้า พี่ยูไนเต็ดยิ้มแล้วเอ่ยต่อ
“ในละครโนะหรือละครคาบูกิของญี่ปุ่นก็ใช้ผู้ชายแสดงทั้งหมด”
“พี่ลอนดอนเคยไปแสดงร่วมกับคณะละครชื่อดังเชียวนะ!”พี่ต้นน้ำเอ่ยออกมาแล้วมองพี่ลอนดอนด้วยสายตาชื่นชมสุดๆ ผมมองพี่ลอนดอนนิ่งๆ เจ้าตัวก็ยักไหล่
“ในไทยก็มี ละครนอกที่เมื่อก่อนจะใช้ผู้ชายแสดงทั้งหมดเพราะมีกฎห้ามไม่ให้ผู้หญิงแสดง ถ้าผู้หญิงแสดงจะเป็นละครในซึ่งมีแต่กษัตริย์ดูได้เท่านั้น”พี่ยูไนเต็ดก็เอ่ยเล็กเชอร์ต่อไปไม่มีหยุดพร้อมกับยิ้มนิดๆ
“ที่พูดมายืดยาวนั้นก็คือ...ต่อไปนี้เราจะมาฝึกเป็นผู้หญิงกันไงล่ะ ตั้งแต่ท่าทาง เสียง ทุกๆ อย่างเลย”
“ที่ยากที่สุดก็คือเสียงเนี่ยแหละ กว่าฉันจะทำได้ก็แทบตายแน่ะ”
พี่ต้นน้ำบ่นงึมงำออกมา จะว่าไปแล้วผมก็ค่อนข้างทึ่งเหมือนกันครับ เสียงของพวกพี่สามคนนี้เวลาเล่นเป็นผู้หญิงน่ะมันมหัศจรรย์สุดๆ เสียงของพี่ยูไนเต็ดอย่างกับเสียงบาร์บี้เลยล่ะครับหวานใส ส่วนของพี่ต้นน้ำแกออกแนวหวานแก่นๆ พี่ลอนดอนน่ะหวานแบบทรงพลัง
“พี่ว่าเสียงของฮักเนี่ยต้องหวานเซ็กซี่~”
“ว่าไปครับ ผมอาจจะทำไม่ได้ก็ได้”
“ถ้าคิดว่าไม่ได้มันก็ไม่ได้ ทำไมไม่ลองคิดว่าทำได้บ้างล่ะ?”
พี่ยูไนเต็ดส่งยิ้มหวานมาให้พร้อมกับประโยคหรูๆ เพื่อให้ผมมีกำลังใจ เอ่อนะ เมื่อก่อนก็คิดว่าทำได้ทุกอย่างอยู่หรอก แต่พอมาเรื่องนี้แล้วใจมันต่อต้านหรือไงนะ? ไม่อยากทำหรือเปล่านะถึงคิดว่าทำไม่ได้? มันก็ใช่เซ่ ตูเป็นผู้ชายแท้ๆ ทำไมต้องมาแสดงเป็นผู้หญิงด้วย!
“เลิฟอยู่นี้เองเหรอ?”
“สวัสดีครับประธานทิม”
“เออ มาที่ห้องหน่อย มีอะไรจะคุยด้วย”
ประธานทิมเข้ามาเรียกด้วยใบหน้าเครียดๆ ผมเลิกคิ้วมองตามอีกฝ่ายที่เดินหายไปจากห้อง ผมมองหน้าของพวกพี่ๆ ที่มองตามประธานทิมอย่างแปลกใจ พี่ลอนดอนลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่ผม
“เขาเรียกก็ไปสิ เดี๋ยวเลือกเพลงรอ”
ยังจะให้ผมเต้นอีกเหรอ!?
ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ห้องของประธานทิม ไม่รู้ว่าเฮียแกจะเรียกผมไปบ่นเรื่องอะไรกันแน่ เฮ้อ~ สงสัยต้องเป็นนั้นแน่ๆ เลยแฮะ ผมแอบจิ๊กปากกาแกมาตอนเซ็นลายเซ็นให้แฟนคลับ เอ๊ะ หรือว่าตอนนั้น! ที่ผมใช้เสื้อแขนยาวของประธานเช็ดคาบสกปรกที่โต๊ะ!? ไม่นะ อาจจะเป็นเรื่องนั้นก็ได้... รู้สึกว่าเรื่องไม่ดีทำผมทำเยอะจังเลยแฮะ เอาเถอะเข้าไปแล้วคงจะรู้เองล่ะ ผมเคาะประตูแล้วค่อยๆ ผลักประตูเข้าไป
บรรยากาศมันเครียดๆ แฮะ
“ประธานมาอะไรจะคุยงั้นเหรอครับ?”
“เออ นั่งก่อนเถอะ”
ประธานทิมจ้องโน้ตบุ๊กคลิกอะไรไปสักพักแล้วพูดให้ผมนั่งลง ผมก็ค่อยๆ จับเก้าอี้แล้วหย่อนตัวนั่งลง ประธานทิมก็ยังไม่ได้พูดอะไร มือพิมพ์บางอย่างก่อนจะหันมามองผม นี่คงจะไม่ได้ใช้ความเงียบมากดดันให้ผมสารภาพความชั่วที่ทำไว้หรอกใช่ไหม? หึๆ มันไม่ได้ผลหรอกน่า ผมรู้ทัน! ผมยังคงนั่งเงียบต่อไปรอให้อีกฝ่ายเปิดประเด็นก่อน
“ฮัก”
“ครับ?”
“แกชอบไอ้วินเซอร์เหรอ?”
“...อืม”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายถามมาแบบนั้น ผมก็นิ่งคิดแล้วก็พยักหน้ารับมันง่ายๆ ประธานทิมมองผมนิ่งเงียบไปนานแล้วประธานทิมสูดลมหายใจเข้าปอดก่อนจะใช้ฝ่ามือตบโต๊ะดังปัง ผมเหลือบมองมือแล้วเงยมองประธานทิมที่ผุดลุกขึ้นมาทำหน้าทะมึน ประธานทิมโหมดน่ากลัว!
“ไอ้เด็กโง่ แกนี่รนหาที่ตายจริงๆ ว่ะ! แกจะไปชอบหมูหมากาไก่ที่ไหนฉันจะไม่ว่าเลย แต่นี่แกกลับผ่าไปชอบไอ้บ้านั้น เฮอะ! บรรลัยแล้ว!!”
มันเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ? กับอีแค่ชอบใครคนหนึ่งน่ะ? ผมนั่งเงียบ ประธานทิมก็ดูไม่สบอารมณ์เหมือนเดิม อารมณ์ในตอนนี้ไม่ใช่เด็กดื้อที่เอาแต่ใจไม่ฟังใครหรอกนะครับ แต่ผมกำลังงงว่าการที่ผมชอบหมอนั้นมันดูไม่สมควรเหรอ?
“แกเป็นดารานะโว้ย”
“ผมเข้าใจ”
“เข้าใจ? แกไม่เข้าใจหรอก! ฉันไม่ได้โกรธแกหรอกนะ แต่ฉันคิดว่าแกน่าจะฉลาดคิดได้บ้าง สังคมตอนนี้น่ะถึงจะดูเหมือนยอมรับพวกนี้ได้แต่ส่วนใหญ่มันก็พูดแต่ปากว่ารับได้ พวกนั้นมันก็ยังอี๊เหมือนเดิมนั้นแหละ พวกคนในสังคมน่ะรับไม่ได้หรอกนะที่คนที่เขาชอบเป็นประเภทนั้น ชีวิตในวงการแกจะลำบาก ไม่แค่นั้นนะ ชีวิตในสังคมแกก็ลำบากไปด้วย”
“แล้วจะให้ผมทำไง? เลิกชอบหมอนั้นน่ะเหรอ?”
“แกจะทำได้ไหม?”
ผมเอ่ยถามไปหลังจากที่ฟังอีกฝ่ายสาธยายมายาวเหยียด ผมเข้าใจว่าสังคมปัจจุบันนี้เขารังเกียจพวกนี้กัน โดยเฉพาะคนในวงการถ้ามีความรักแบบนี้ก็ต้องหลบๆ ซ่อนๆ แบบพวกพี่ลอนดอน ทำเป็นแค่รู้จักกันไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกัน สำหรับผมแล้วมันคงจะยากเพราะผมเป็นคนตรงๆ ไม่ค่อยแคร์ว่าใครจะมองยังไง ผมเข้าใจว่าประธานทิมคงจะเป็นห่วงผม แต่ถึงแบบนั้นผมก็ไม่คิดว่าตัวเองจะขี้ขลาดถอยกลับหลังหรอกนะ ผมมองประธานทิมนิ่ง
“ถึงประธานจะขอ ผมก็จะปฏิเสธ”
“กูว่าล่ะ”ประธานทิมทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้แล้วเงยหน้ามองเพดานห้องก่อนจะกลับมานั่งด้วยท่าปรกติแล้วบ่นกับตัวเอง ผมลุกขึ้นยืน
“ถ้าแกเตรียมใจได้ ฉันก็ไม่ขวางหรอกว่ะ หมอนั้นมันดีอะไรให้แกไปชอบได้วะไม่เข้าใจเลย มีแต่พวกมาโซนั้นแหละที่ชอบมัน!”
“ผมไม่ใช่มาโซ”
“เหอะ ใครจะไปรู้ว่าแกอาจจะมาโซลึกๆ”
“...”
ผมมองอีกฝ่ายแบบไม่อยากจะยอมรับ อันที่จริงก็เคยแอบคิดเหมือนกันว่าตัวผมแอบมาโซหรือเปล่าที่ไปชอบไอ้บ้านั้นเข้า เฮ้อ!
“แกคงไม่โง่ทำให้ตัวเองเสียหายใช่ไหม?”
“ไว้ใจได้เลยครับ ผมมีวิธีของตัวเอง รับรองว่าจะไม่ให้ชื่อของเลิฟมีแปดเปื้อน”
“ฉันไว้ใจแกได้ใช่ไหม?”
“อืม ผมขอตัวครับ”
ผมก้มศีรษะให้กับประธานแล้วเดินออกมาจากห้อง เดินกลับมาห้องซ้อมของเหล่าชาวลับแล แต่ละคนนั่งทำหน้าซีเรียสปานประชุมไตรมาสของบริษัท นี่ผมเข้ามาผิดเวลาหรือเปล่าวะ? พอเห็นผมเดินเข้ามาในห้องพี่ยูไนเต็ดก็ส่งยิ้มสว่างไสวมาให้ทันที ส่วนพี่ต้นน้ำก็ยิ้มแปลกๆ ให้ ผมว่างานนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอีกแน่!
“เราได้เพลงที่จะให้เธอฝึกเลียนแบบแล้วล่ะ”
“เหมาะกับแกมากเลยล่ะ!”
“เพลงอะไรครับ?”
ผมถามพี่ยูไนเต็ดที่เอ่ยเกริ่นขึ้น พี่ต้นน้ำแกก็ยกนิ้วคอนเฟิร์มอีกคน พี่ลอนดอนดีดนิ้วอย่างภาคภูมิใจก่อนจะเสนอชื่อเพลงนั้นด้วยน้ำเสียงสดใส
“เพลง I believe ของทาทา ยัง!”
“...”
โคตรเหมาะกับกูเลยวะ(?)TBC.แก้แล้วจ้า