บทที่ 32 On My Way
การนั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่งเป็นเรื่องที่สำหรับนัทแล้วต้องผ่านหลายขั้นตอนเหลือเกิน ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง พาสปอร์ต หรือการจ้างเหมาเรือซักลำข้ามไป แต่สำหรับพี่รัตน์และกาย กลับพาพวกเขาลัดเลาะไปยังจุดต่างๆที่มีสิ่งที่พวกเขาต้องการตั้งบริการอยูได้อย่างเชี่ยวชาญ อิทธิพลของพี่รัตน์ในแถบนี้เป็นที่ยอมรับสำหรับ นัท สาและโอ๊ตมาก ในขณะที่กาย ก็ยังคงเป็นที่รู้จักของคนที่นี่ ตลาดเช้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดจะมีป้าอายุเลยวัยกลางคนเป็นต้นไป กรูกันเข้ามาขอกอดกายที่ยินดีและทักทายพ่อมดที่ดูเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้วกันยกใหญ่ และนัทก็มักจะได้ยินประโยคที่ซ้ำกันอย่างเช่น "กาย โตขึ้นเยอะเลยลูก" หรือ "หายไปไหนมาเนี่ย ตายแล้วพ่อคุณ เคยอุ้มตอนเด็กๆดูสิโตเป็นหนุ่มแล้ว"
นัทยิ้มกว้างกับภาพเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดจริงๆว่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับคนอย่างกาย พ่อมดในสังคมไฮโซสุดหรู มีอีกด้านที่ใช้ชีวิตติดดิน เขามองกายในรูปแบบนี้อย่างมีความสุข มันทำให้ตลาดเช้าวันนี้อากาศดีมากกว่าปกติ
“คือ ผมน่ะ ต้องวิ่งไปซื้อโจ๊กทุกเช้าเลยคุณ เอามาให้แม่ที่หลังวัด" กายเล่าให้นัทฟังอยู่ที่นั่งหลังสุดของเรือยนต์ ที่เริ่มออกจากท่าและล่องไปตามแม่น้ำโขงเพื่อข้ามไปยังฝั่งลาว
“แล้วบางทีวันพระดันมาตรงกับวันเสาร์ใช่มะ ผมก็ไม่อยากจะตื่น แม่งี้ลากผมลงจากที่นอนเลยล่ะ ถ้าผมไม่ตื่นน่ะ" กายเล่าอย่างมีความสุข ขณะที่นัทนั่งฟังพลางหัวเราะ
“คุณเคยโดนแม่ตีบ้างป่าว" นัทถามขึ้น
“โหย โดนสิคุณ" กายลดเสียงลงด้วยความเขินอาย "ตอนเด็กๆผมแสบจะตาย"
“เหรอ" นัทขึ้นเสียงสูง "ผมว่าตอนนี้คุณก็แสบอยู่นะ"
“อ่านะ ที่โดนเยอะๆก็ตอนมัธยมน่ะคุณ" กายว่า
“กะแล้ว" นัทร้อง "ผมว่าแล้ว ตอนวัยรุ่นคุณต้องแสบแน่ๆ"
“งั้นคุณลองทายสิ ว่าผมโดนแม่ตีเรื่องอะไรบ้างน่ะ" กายถาม
“อืม" นัทมองหน้ากายพลางคิด "เรื่องผู้หญิง"
“โห.....” กายทำสีหน้าเหมือนโดนดูถูกครั้งใหญ่ นัทเลิกคิ้ว
“อ้าว ไม่ใช่เหรอ ผมเดาผิดเหรอเนี่ย" นัทแก้เก้อ
“ก็ถูกแหละคุณ" กายตอบเบา นัทส่ายหน้าพลางเมินหน้าหนีทันที "โธ่ คุณ ก็....เด็กบ้านนอกอย่างผม มีมอเตอร์ไซค์ก็เอาออกไปร่อนน่ะ คุณเป็นเด็กกรุงเทพคุณไม่เข้าใจหรอก"
“ค้าบ" นัทพูดเสียงเหวี่ยง "ผมไม่เข้าใจคุณ"
“เห้ยนัท งอนผมเหรอ" กายจับคางนัทให้หันมาหาเขาเบาๆ นัทหันไปพบใบหน้าที่ตีหน้าเศร้าใส่เขา
“เปล่า" นัทยิ้มให้เบาๆ พลางจับมือกายลง "แล้วไงต่ออ่ะคุณ"
“ก็..มีอยู่วันนึง แม่ล้มที่บ้าน" กายว่า "ผมก็เลยพาแม่ไปหาหมอ ปรากฎว่าแม่เป็นโรคหัวใจ หลังจากนั้นนะ ผมไม่เคยเที่ยวอีกเลย"
“รู้สึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมาแล้วล่ะสิคุณ" นัทถาม
“เปล่า แม่ยึดมอเตอร์ไซค์อ่ะ" กายตอบ นัทเหลือกตาทันที ในขณะที่กายหัวเราะ "ผมพูดเล่น ผมก็ได้อยู่ดูแลแม่จริงๆนั่นแหละ แต่พอถึงจุดจุดนึงผมก็มาถึงทางเลือก ตอนผมขึ้นม.ปลาย ผมต้องเลือกว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลแม่ หรือเข้าไปในกรุงเทพ เพื่อความฝันของตัวเอง"
“คุณเลือกที่จะมากรุงเทพเหรอ" นัทถามอย่างใคร่รู้
“อืม" กายเบาเสียงลง "แม่บอกผมว่า ชีวิตคนเราต้องรับผิดชอบตัวเอง แม่ไม่มีความสุข ถ้าตัวเองเป็นเหตุผลให้ผมอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ผมควรจะไปได้ไกลกว่านี้"
“แล้วคุณไม่ห่วงแม่คุณเหรอ" นัทถามต่อ
“ห่วงสิคุณ แต่แม่ไม่ยอมหรอก แม่ผมเป็นคนจริงจัง ถ้าท่านตัดสินใจอะไรแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก" กายว่า "แล้วที่สำคัญตอนช่วงแม่ยึดมอเตอร์ไซค์ ผมโดนบังคับอ่านหนังสือสอบเข้าเตรียมอุดมด้วย ผมได้คะแนนดีอยู่นะคุณ"
“อ้าว นี่คุณโดนยึดมอเตอร์ไซค์จริงๆเหรอเนี่ย" นัทว่าพลางหัวเราะใส่กายทันที พ่อมดหนุ่มเหล่มองนัทเบาๆ
“อ่า...ผมไม่หัวเราะคุณก็ได้" นัทพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะฟังกายต่อ
“ผมน่ะ กลับมาบ้านปีละครั้งตอนปิดเทอมใหญ่ ตอนแรกๆผมก็คิดถึงบ้านมาก" กายว่า "แรกๆผลการเรียนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่ก็เลยดุผมเอาน่ะ หลังจากนั้นผมก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น จนสอบชิงทุนนักออกแบบยุวชนได้"
“อ๋อ...ผมเคยเห็นข่าวอยู่ ที่คุณทำหนังสั้นประกวดตอนม.5 ใช่หรือเปล่า" นัทว่า
“ช่าย...คุณดูข่าวผมด้วยเหรอ" กายถาม
“คุณดังจะตาย" นัทว่า "ตอนนั้นทั้งโรงเรียนผมก็พูดถึงแต่คุณ"
“โห งานผมเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ" กายถาม
“ปล่าว เพื่อนผู้หญิงบอกผมว่าคุณหล่อดี" นัทว่า
“อ้อ" กายพ่นลมเบาๆ "ก็...นั่นแหละ พอจบม.หกผมก็ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย"
“คุณไปพร้อมคุณเจนเหรอ" นัทว่า "คุณจบโรงเรียนชายล้วนนี่ แล้วคุณรู้จักคุณเจนได้ยังไง"
“อ๋อ เจนน่ะเหรอ" กายว่า "ผมเจอเธอที่โครงการนักออกแบบยุวชนไง ตอนม.ปลายน่ะเจนไม่ใช่แบบนี้เลยนะคุณ เป็นเด็กผู้หญิงใส่แว่น ผูกเปีย โคตรน่ารักอ่ะ"
“เหรอ" นัทลากเสียงทันที กายหันมาเหล่ใส่นัทอีก นัทรีบเปลี่ยนน้ำเสียง "แล้วไงต่อ"
“ก็นั่นแหละ ก็....ผมก็จีบเค้า ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละคุณ วันเสาร์อาทิตย์ไปเรียนพิเศาที่สยาม เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวดูหนังอะไรทำนองนี้ จนกระทั่งบินไปเมืองนอกด้วยกัน" กายเล่า
“แล้วคุณแม่คุณล่ะ" นัทถาม
“แม่ผมอาการเจ็บหนักตอนผมอยู่ปีสาม" กายเล่า "ตอนนั้นผมทำโปรเจ็คแฟชั่นอยู่ที่ปารีส ช่วงนั้นทุกอย่างมันแย่ไปหมด ผมห่วงหน้าพะวงหลังตลอด ต้องไปเบอร์ลินเพื่อไปหาพ่อ กลับมาปารีสอาทิตย์ละครั้ง แล้วกลับไปดูอาการแม่เดือนละครั้งด้วย"
“โห" นัทร้องเบาๆ "ตอนปีสามงานมันหนักมานะคุณ"
“ใช่ ผมรู้" กายว่า "จนกระทั่งอาทิตย์สุดท้ายที่แม่อาการหนักสุด ผมทิ้งงานที่โน่นแล้วบินกลับมาทันที ผมได้มาดูใจท่านก่อนที่ท่านจะไป"
นัทเอื้อมมือไปจับกายทันที เขาหันมายิ้มให้นัท
“รู้ไหมแม่ผมบอกผมว่าอะไรตอนที่ผมไปถึง" กายว่าพลางยิ้มกว้าง นัทส่ายหน้า "แม่บอกว่า ผมเหมือนเกย์......”
“หา" นัทร้อง "จริงเหรอคุณ"
“ก็วันนั้น ผมแต่งตัวจัดมาก ลงจากเครื่องเลยไง" กายตอบ "ผมงี้ไปไม่เป็นเลย"
กายหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลง
“แล้วแม่ก็บอกว่า....แม่คิดถึงพ่อมาก" กายว่า "ผมบอกท่านว่า พ่อกำลังมา แต่แม่ก็ดึงตัวผมเข้าไปไกล้ ท่านบอกกับผมคำสุดท้ายว่า.....อย่าทำกับใคร เหมือนกับที่พ่อทำกับแม่ อยู่กับคนที่ผมรักให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้"
กายยิ้มให้นัทก่อนจะจับมือนัทแน่นขึ้น
“ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผมเรื่องผู้หญิงมากที่สุด ก็ผมออกลายมาตั้งแต่เด็กๆนี่นา" กายว่า "แล้วท่านก็เสีย ผมกับพ่อจัดงานให้ท่าน หลังจากนั้นผมก็ต้องบินกลับไป แล้วเชื่อไหมคุณ....เจนบอกเลิกผมทันทีเลยที่ผมกลับไป ผมงี้แทบล้มทั้งยืน"
“งั้นเหรอ" นัทรับคำ
“ผมเหลือเขาเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วตอนนั้น เขาก็ดันมาทิ้งผมไปอีก" กายว่า "ผมก็เลยประชดชีวิตด้วยการลุยแต่งานทั้งวันทั้งคืน ทำให้ตายไปเลย แล้วก็ปรากฎว่า มันได้รับคำชื่นชมมากเกินคาด แล้วก็มาเป็นผมทุกวันนี้แหละ"
“ชีวิตคุณนี่บากบั่นมากเนอะ" นัทว่า "ผมไม่อยากเชื่อเลยอ่ะ ว่า.....นี่จะเป็นเรื่องของคุณ"
“ผมรู้" กายว่า "ผมก็ไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนี้หรอก แต่มันเป็นไปแล้ว แล้วผมก็ถอยหลังกลับไม่ได้ด้วย"
นัทพยักหน้าเบา ก่อนจะมองออกไปนอกเรือ
“ถึงฝั่งแล้วล่ะทุกคน ขนของกันได้แล้ว" เสียงพี่รัตน์ร้องขึ้นทันที กายและนัทลุกขึ้นทันที และช่วยกันขนของส่งไปให้สาและโอ๊ตที่รอรับอยู่บนฝั่ง
“แล้วที่คุณบอกว่า คุณรู้จักหมู่บ้านที่นี่ล่ะ" นัทถามขึ้น
“อ๋อ ที่นี่เป็นบ้านเกิดแม่ผมเองแหละ ผมมารู้เอาจากหลวงลุงทีหลัง เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง" กายว่า "พี่รัตน์ เขาอยากจะเปิดเอเจนซี่โฆษณาที่ลาวเป็นเจ้าแรก มันเป็นความคิดที่บ้ามากกับการมาจัดการกับประเทศที่ไม่มีระบบด้านดีไซน์เลย มันเต็มไปด้วยงานที่ต้องใช้แรงคิดเยอะ แล้วพี่รัตน์ก็ติดต่อมาหาผม เพราะเขารู้มาจากอาพัฒน์ว่าผมเป็นคนหนองคาย"
“บอสเป็นน้องชายแม่คุณเหรอ" นัทตอบขณะก้าวเดินขึ้นฝั่ง
“ไม่ใช่หรอก" กายตอบ "อาพัฒน์เป็นน้องชายของพ่อผม"
“อ่อ" นัทพยักหน้ารับ
พี่รัตน์ชี้ให้ทั้งหมดดูรถสองแถวคันเล็กที่มาคอยรับอยู่ที่ท่าน้ำ ทั้งหมดขึ้นไปบนรถขนาดเล็กที่นั่งได้ไม่เกินแปดคน ที่จะนำทั้งหมดไปยังหมู่บ้านแห่งหนึงที่หลวงพระบาง
“คุณก็เลยเคยข้ามมาที่นี่แล้วงั้นสิ" นัทถามกายต่อทันที
“ใช่" กายตอบ "ผมมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เราจะวางแผนกันที่ฝั่งไทยก่อนที่จะข้ามมา พี่รัตน์ใช้เวลาเกือบสามปีกว่าออฟฟิศที่หลวงพระบางจะเสร็จ ผมมาถึงที่นี่ก็เสร็จแล้ว ผมเป็นคนออกแบบเองแหละ"
นัทยิ้มให้กายอีกครั้ง
“ผมนึกว่าคุณแกล้งตามผมมาซะอีก" นัทว่า สาที่ได้ยินอยู่ถึงกับขยับตัวอย่างตกประหม่า
“พี่รัตน์ติดต่อผมไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เจนก็ยืนยันให้ผมได้กลับบ้านมาซะบ้าง" กายว่า "ผมไม่รู้หรอก ว่าคุณจะมาด้วย"
กายยื่นหน้าเข้ามาหานัททันที
“แต่ผมดีใจนะ ที่ได้เจอคุณที่นี่" กายกระซิบเบาๆ
“จริงเหรอ" นัทว่า "บนเครื่อง คุณไม่เห็นจะดีใจตรงไหนเลย"
“ก็ตอนนั้นผมเหนื่อยมากนี่" กายว่า "แต่พอผมเห็นคุณน่ั่งอยู่ข้างๆ ผมก็หลับสนิทแบบไม่ต้องกังวลเลยล่ะ"
“ที่นั่นเป็นยังไงเหรอ" นัทถามพลางมองไปตามถนที่ร่มรื่น
“เงียบและสงบมาก" กายเล่า "มีเด็กๆน่ารักๆเต็มเลย เราอยู่ใกล้สถานีวิทยุชุมชนเล็กๆ เป็นบ้านพักขนาดใหญ่อยู่โดยที่ด้านล่างเป็นออฟฟิศ พี่รัตน์ใช้ที่นั่นเป็นสตูดิโอ เขามีแผนจะเข้าไปเปิดออฟฟิศที่เวียงจันทร์ตอนปลายปีน่ะ"
“อ๋อ" นัทรับคำ "นี่สาได้ยินหรือเปล่า งานใหญ่อีกแล้ว"
“อ....อ้อ...เหรอ" สาที่ทำเป็นถ่ายรูปไปเรื่อยๆแบบไม่ใส่ใจฟัง หันมานัทแล้วทำหน้าราวกับเธอเพิ่งได้ยินบทสนานั้นครั้งแรก "อ่อ...งานใหญ่....ใช่ใช่...งานนี้ใหญ่มาก....”
“เธอไม่บอกฉันเลยน่ะ ฉันจะได้เตรียมตัวมาช่วยเธอด้วยไง" นัทว่า
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก" สาว่า "ฉันก็ไม่ได้กะจะให้แกมาหรอกถ้ารู้ว่า....”
นัทขมวดคิ้วใส่เธอ
“รู้อะไรเหรอ"
“ก็...ถ้ารู้ว่า แกจะต้องมาทำงานหนักๆด้วยไง ฉันอยากให้แกพักผ่อนมากกว่า" สาพูด "ใช่ไหมคะคุณกาย"
กายพยักหน้าให้สา
“จริงนะคุณ พี่รัตน์น่ะ เขาชอบทำงานแบบนี้แหละ" กายตอบทั้งสาและนัท "งานที่อิงๆการท่องเที่ยวหน่อย มันไม่ใช่งานที่ซีเรียสมากมาายเหมือนเรานั่งทำในสตูดิโอของเอเจนซี่หรอก มันจะเป็นงานที่ออกแนวกึ่งเล่นกึ่งทำซะมากกว่า ผมมาทำกับพี่รัตน์บ่อยๆ เพราะอยากกลับบ้านแล้วก็พักผ่อนด้วย"
“แต่มันก็ดีเหมือนกันนะคะ" สาพูด "คุณกายเองก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่เลยนี่"
“ครับ...ผมมีงานตลอดแหละ" กายตอบ "แต่ว่าถ้าคุณสา คุณมิก น้องเอิร์ธ หรือคุณน่ะ มีงานอะไรให้ผมช่วย ก็โทรมาหาผมนะ ผมจะมาหา"
“โหย จะดีเหรอคะ พวกเราไม่...”
“อย่าเลยครับคุณสา ให้ผมมาเถอะ" กายพูด "ไม่เคยมีทีมงานไหนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเท่าพวกคุณจริงๆครับ"
กายหันมานัทและยิ้มให้ สาเหลือกตาทันที เธอยังคงติดภาพว่ามีกายเท่ากับมีเจนอยู่ทุกทีไป
“ค่ะ.....พวกเราก็มีความสุขค่ะ" เธอกล่าวพลางหันไปกดชัตเตอร์รอบๆทางต่อ
“ไม่ต้องพูดเอาหล่อก็ได้คุณ" นัทว่า "ถ้าคุณไม่ว่างมาช่วย พวกผมก็ไม่อยากรบกวนคุณหรอก"
กายหันมาหานัททันที
“โกหก" กายพูดเบาๆ "คุณน่ะ ไม่อยากให้ผมไปไหนเลยต่างหาก ถ้าคุณเลือกได้"
นัทหันมามองหน้ากาย
“จริงไหมครับคุณนัท" กายยิ้มให้นัทอย่างเจ้าเล่ห์ นัทมองหน้ายียวนอย่างสั่นไหวในใจ เงียบกันไปพักนึง
“ถ้ารู้แล้ว....ไม่ไปไหนอีกได้ไหมล่ะ" นัทพูดตอบเบาๆเป็นนัยๆ
“ไม่ได้หรอก" กายพูด รอยยิ้มของนัทจางลง กายเอื้อมมือไปลูบใบหน้านัทเบาๆ "ก็ถ้าผมไม่หายไปบ้าง ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณคิดถึงผมแค่ไหนนัท"
นัทหายใจเข้าช้าๆ
“การคิดถึงใครซักคนมันไม่สนุกเลยนะคุณ" นัทพูดเบาๆใส่กาย เขาพูดออกมาจากใจจริงๆ
“ผมรู้" กายกระซิบ "ผมรู้จริงเชื่อผมสิ"
นัทเอนตัวพิงศรีษะไปที่ไหล่ของกายทันที ก่อนจะหลับตาลง กายโอบไหล่นัทเอาไว้ก่อนจะลูบหัวนัทเบาๆ กายโอบนัทเอาไว้ เขาเข้าใจดี
เพียงแต่ว่าเขายังคงต้องเดินทาง.....
คนเราจะต้องเดินทางไปเรื่อย....
พ่อมดอย่างเขา ยังไม่อยากหยุดเดินทางหรอก.....
…..........