พิมพ์หน้านี้ - Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:03:20

หัวข้อ: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:03:20
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

สรุปข้อสำคัญดังนี้


1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ  ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม

5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง  ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เีดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน


เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

(https://i.imgur.com/4b4c05b.png)

"ผมจะไม่ขอให้คุณอยู่ แต่ผมจะขอแค่ให้คุณบอกผมซักคำก่อนคุณจะไป ว่าผมยังมีความหมายกับคุณอยู่บ้างหรือเปล่า"
กาย

"มันไม่มีวันที่ฉันจะได้เจอความรักที่สมบูรณ์แบบหรอก และทั้งหมดที่ผ่านมา มันก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ มันก็แค่ การคลายเหงา ท่ามกลางสัมคมแบบนี้เท่านั้นเอง"
นัท

"ก็เพราะว่าฉันไม่ทำอย่างโลกที่ต้องการให้ทำนี่ ฉันแค่หวังว่านายจะเข้าใจที่ฉันทำ แค่นายคนเดียว ไม่ได้หรือไง"
มิก

"ผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รู้จักพี่ ถึงบางทีผมอาจจะทำให้พี่เสียใจ แต่พี่รู้ไว้นะ พี่คือคนสำคัญที่สุดของผม จากนี้และตลอดไป"
เอิร์ธ


ความรัก.......ออกแบบไม่ได้
Loveless Society

ช่วยกันดีไซน์ความรักให้มันเป็นไป อย่างที่ใจต้องการ

---------------------------------

ภาค 2
Coldness Town เพราะหัวใจ... ไม่เคยลืม
https://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=34986.0

ภาค 3
Endless Dream เพราะปลายทาง... คือเรา
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=71352.0
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:04:02
บทที่ 1 So Tire

   “นายแน่ใจนะนัท ว่าไอเดียนี้จะผ่านบอสจริงๆน่ะ” เสียงเคาะปากกาลงกับแผ่นมูดบอร์ดบนโต๊ะทำงานของผึ้งกำลังทำให้นัทประสาทเสีย
   “ไอเดียนี้ใหม่มากนะเจ๊ ผมไปคอนซัลท์กับดีไซน์เนอร์ที่ปารีสมาเต็มเดือนเลยนะ ขอล่ะ ให้ผมพรีเซ้นต์เถอะ” นัทกล่าวกับหญิงสาวที่กำลังมองทะลุเข้ามาในตัวเขาผ่านกองแผ่นงานที่เขาพยายามนำเสนอ เขาเพิ่งรู้สึกถึงความรู้สึกที่นั่งไม่ติดเก้าอี้เอาก็วันนี้เอง ผึ้งเงียบไปนานมาก
   นัท ดีไซน์เนอร์ไฟแรงที่ใช้เวลาตลอด 5 ปีในคณะและการฝึกงานกับการทำโฆษณา ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในนักศึกษาที่กวาดรางวัลมากที่สุดตลอดเวลาการเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษา และแน่นอนว่าเกียรตินิยมที่ได้รับมา ก็ทำให้เขาได้พิสูจน์ตัวเองได้ไม่ยากนักว่าเขานี่แหละได้เกิดมาเพื่อเป็นดีไซน์เนอร์ตัวจริง
   ชายหนุ่มคนนี้เพิ่งเข้ามาทำงานที่นี่ได้สามเดือน แต่เขาก็รู้สึกว่างานการที่ได้รับทำกับเขาราวกับเขาอยูที่นี่มาค่อนชีวิตเสียแล้ว ที่นี่คือ Lovable เอเจนซี่โฆษณาเล็กๆที่มักจะจับแต่งานใหญ่ๆ ที่นี่รวบรวมดีไซน์เนอร์ ครีเอทีฟ และช่างภาพไว้มากมาย ซึ่งนัทมักเรียกมันว่าโรงฆ่าสัตว์ที่น่าเอ็นดู เขารู้จักที่นี่จากการทาบทามของอาจารย์ที่คณะสมัยเรียนวิชาโฆษณา เขาเพิ่งมารับรู้เอาตอนนี้ว่าการตามใจอาจารย์เพื่อเอาเกรดเอนั้นเป็นความคิดที่ผิดทีเดียว
   “ตกลงว่าไงครับ" นัทถามย้ำอีก
   “พูดตรงๆนะ" ผึ้งพูด "ฉันปลื้มไอเดียเธอ นัท อาจารย์ไนเจลเขาคิดไม่ผิดที่เอาเธอมาฝากไว้ที่นี่แต่....”
   “แต่อะไรครับ" นัทถามต่ออีก
   “แต่โปรเจ็คนี้มันค่อนข้างยากในการทำงานของพวกเรา ไอเดียของทุกคนที่นี่ ยังไม่มีใครเตะตาบอสเลย ถ้าเธอคิดว่างานนี้คือสิ่งที่ได้จากการไปดูงานที่ปารีสก็เอา" ผึ้งพูด นัทยิ้มกว้าง
   “ขอบคุณมากครับ แล้วผมจะรวบรวมทีมไปรวบรวมข้อมูลพรุ่งนี้เลยนะ" นัทพูดพลางเก็บกองกระดาษบนโต๊ะทำงานของผึ้ง
   “ใครอนุญาติให้เธอเริ่มงานเนี่ย" ผึ้งว่าพลางขวมดคิ้ว
   “ก็.....ไอเดียผมผ่านแล้วนี่" นัทพูด
   “ผ่านฉัน.....แต่ไม่ได้ผ่านบอส" ผึ้งพูดพลางยื่นกระดาษแผ่นสุดท้ายให้นัท
   “นี่....หมายความว่า....ผมต้องไปพรีเซ็นต์กับบอสอีกทีเหรอครับนี่" นัทถาม
   “งานนี้มันนรกจริงๆนัท บอสเราดันมาฟรีไอเดียเอางานนนี้น่ะสิ ทุกคนต้องขึ้นไปพรีเซ็นต์กับเจ้าตัวเอง แล้วก็ยังประกาศรับไอเดียจากที่อื่นไปทั่ว" ผึ้งว่าพลางขยับแว่น
   “ยังไงครับ" นัทถาม
   “ขึ้นไปห้องบอสสิ เดี๋ยวก็รู้เอง" ผึ้งพูดพลางเหลือกตาขึ้นข้างบนซึ่งเป็นตำแหน่งของห้องทำงานบอส นัทยิ้มเฝื่อนๆรับทราบพลางหอบงานตัวเองกลับออกมายังสตูดิโอด้านนอก ชายหนุ่มโยนกระดาษลงบนโต๊ะอย่างเสียไม่ได้ พลางทรุดตัวลงนั่ง ขณะที่เสียงใกล้ๆดังขึ้น
   “บราโว่" เสียงของมิกที่โดดมากอดคอนัททันที "ฉันชนะ เธอต้องเลี้ยงข้าวฉันเย็นนี้แล้วล่ะสา นัทพรีเซ้นต์ไม่ผ่าน"
   สา ช่างภาพสาวที่กำลังนั่งง่วนกับการเลือกรูป ลากเก้าอี้เข้ามาที่โต็ะทันที
   “อะไรกันเนี่ย ไม่แฟร์นี่นา ปกติไอเดียนายต้องผ่านสิ เกิดอะไรขึ้นเนี่ย" สาพูดพลางใช้ไหล่กระทุ้งตัวของนัทเพื่อนร่วมงาน
   “เปล่า ไม่ใช่ไม่ผ่าน" นัทพูดเหนื่อยๆ
   “ลัคกี้ เห็นไหมล่ะ" สาร้อง ขณะที่มิกหน้าเริ่มห่อเหี่ยว
   “แต่ก็ใช่ว่าจะผ่าน" นัทพูดต่ออีก
   “พูดอะไรของนายวะเพื่อน งง" มิกถาม
   “ฉันต้องพรีเซ้นต์กับบอสอีกรอบน่ะ" นัทพูด
   “หือ? มีอย่างนี้ด้วยเหรอ ปกติเจ๊ผึ้งต้องตัดสินก่อนไม่ใช่เรอะ รึฝีมือเจ๊แกตกซะและ" มิกพูด
   “ไม่ใช่หรอก คราวนี้บอสเกิดใจกว้าง เปิดไอเดียจากคนนอกด้วยน่ะสิ" นัทพูด "ถ้าเป็นย่างนั้นฉันก็ไม่อยากจะไปกันที่เด็กๆรุ่นใหม่น่ะ ฉันเข้าใจความรู้สึกตัวเองดีตอนที่เอางานมาประกวดที่นี่แล้วโดนใครบางคนเอาไอเดียตัดหน้าไปน่ะ"
   “ไอเดียตัดหน้าเหรอ ไม่ใช่หรอกม้าง มันเอาของนายไปพูดให้เป็นของมันต่างหาก" สาว่า
   “นี่กำลังพูดถึงผมกันอยู่หรือเปล่าคร้าบบบ พ่อหน้าใหม่" เสียงกวนประสาทเดินมายังโต๊ะ ไบร์ท ครีเอทีฟผู้วนเวียนทำงานอยู่ที่นี่มาแรมปี "งานแบบนี้ ไอเดียใครดีก็กินขาด มันเป็นเรื่องธรรมชาติ นายน่าจะเข้าใจดีนะนัท ดีไซน์เนอร์ไฟแรง ผู้เดินตรงราวกับเข็มนาฬิกา"
   “ใช่ นั่นเขาล่ะ เขาเดินตรง ไม่เหมือนใครบางคนที่เดินวกไปวนมา จิ๊กไอเดียคนนู้นที คนนี้ที แล้วเอาไปทำเป็นของตัวเองหรอก" สาว่ากับอย่างเผ็ดร้อน
   “โอ้วววว แรงนะนั่น" ไบร์ททำตาโตกวน "พิสูจน์สิ"
   “นายไปทำงานของนายเถอะไบร์ท ขอร้อง อย่ามาหาเรื่องกันดีกว่า" นัทว่า "พวกเราก็มีงานที่ต้องทำ"
   ไบร์ทยิ้มกริ่มพลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้นัทมากขึ้น
   “ก็ดี ตั้งใจทำงานของนายไปเถอะ" ไบร์ทว่า พลางยื่นหน้าเขามากระซิบที่ข้างหูชายหนุ่ม "ตราบเท่าที่มันยังเป็นงานของนายอยู่น่ะ"
   “ทำอะไรกันอยู่น่ะ" เสียงของผึ้งดังขึ้นจากประตูของสตูดิโอ ทั้งสี่ก็สะดุ้งพลางหันไปมองและถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “ปล่าวผึ้ง ผมก็แค่มาถามๆเรื่องงานกับน้องไฟแรงนี่ซักหน่อยน่ะ" ไบร์ทพูด
   “ก็ดีไบร์ท เผื่อครั้งหน้านายจะมีไอเดียดีดีมาเสนอกับเขาบ้างก่อนที่นายจะต้องไปถ่ายรูปแทนสาเค้าน่ะ" ผึ้งพูด ไบร์ทเลิกคิ้วพลางเดินกวนๆกลับไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง
   “นี่ก็อีกคน" ผึ้งพูดพลางมองมาที่นัท "บอสเค้ารอไอเดียเธออยู่น่ะ ถ้าเธอไม่ขึ้นไปเสนอ คราวนี้เธอถูกตัดหน้าแน่"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ" นัทถาม
   “ใช่ มีคนกำลังเสนองานอยู่ในห้องบอส" ผึ้งว่า
   “ใครครับ นักศึกษาเหรอ" นัทถาม
   “ไม่ใช่ เขาเป็นฟีแลนต์หนุ่ม" ผึ้งพูดพลางอมยิ้ม นัท มิกและสามองผึ้งด้วยสายตาลุกวาว
   “หวังว่าคงไม่ใช่.....”
   “ใช่ เขาล่ะ คุณกายสิทธิ์ สุทธิสมพงส์"
   นัทไม่รู้ตัวหรอกว่าตัวเองใช้เวลาเร็วแค่ไหนในการรวบรวมกระดาษที่ตัวเองโยนลงบนโต๊ะ และเรียงมันใหม่ทั้งหมด พลางเซ็ทแมคบุ๊คของตัวเองก่อนจะแจ้นออกจาสตูดิโอ
   “จริงเหรอเนี่ย เขามาที่นี่เหรอ" เสียงของสากรอกหูเขา
   “ใช่แล้วล่ะ กายสิทธิ์ ฟีแลนต์ที่ไอเดียของเขาจุดประกายและร้อนแรงดังมีไม้ร่ายมนต์ลูกค้าสมชื่อของเขา" มิกเริ่มบรรยายสรรพคุณ "ชายหนุ่มผู้มีฉายาในวงการดีไซน์เนอร์ว่า "พ่อมดแห่งวงการโฆษณา" ถ้าเขามาที่นี่เพื่อเสนองานกับบอสล่ะก็....นัทนายแพ้แน่ๆ"
   ประตุสตูดิโอเปิดออกอีกครั้งเป็นหน้าของนัทที่เหนื่อยหอบโผล่กลับเข้ามา
   “ก็มารอดูกันว่า เค้ากับฉัน ไอเดียใครจะกินขาดก่อนกัน" นัทพูดทิ้งท้ายก่อนจะหายไปพร้อมกับเสียงขึ้นบันได
   นัท ไม่ได้รู้สึกว่า กายสิทธิ์ เป็นไอด้อลของตัวเขาเอง เขามีชื่อเสียงในวงการโฆษณามานาน แต่มันจะดีไม่น้อยถ้าเขาจะได้ลองประชันไอเดียกันซักครั้ง และวัดกันว่าใครที่มีไอเดียเจ๋งกว่ากัน การรู้แกวของคนที่สูงกว่า มันจะทำให้เขาโค่นแชมป์ได้ไม่ยาก ความคิดนี้มันทำให้เขาตื่นเต้นสุดๆ  คนในวงการโฆาณารู้ดีว่าถ้าหากกายสิทธิ์ทำงานให้กับเอเจนซี่ไหน ที่นั่นจะดังสุดๆ กายสิทธิ์เป็นฟีแลต์เขาไม่ทำงานให้บริษัทไหนถาวร นัทคิดเล่นๆว่าการที่บอสเปิดรับไอเดียนอกอาจจะต้องการให้เขามาที่นี่ แต่นั่นไม่ได้ทำให้นัทหวั่น นัทเปิดประตูห้องทำงานบอสเข้าไปทันที ชายหนุ่มคนหนึ่งหมุนเก้าอี้หันหลังกลับมามองเขา
   ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้เขาอย่างเจ้าเล่ห์ ความหล่อเหล่าที่ทำให้สาวๆยอมตายเพื่อให้ได้เป็นนางแบบให้เขาถ่ายรูปกำลังจ้องมองมายังเขาอย่างพินิจ จากการพิจารณาของนัท กายสิทธิ์กำลังพยายามท้าทายเขาด้วยอำนาจบางอย่าง
   “สวัสดีครับคุณณัทนนท์" เสียงนุ่นลึกของเขากล่าวขึ้นพลางยิ้มขึ้นที่มุมปาก
   “ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณกายสิทธิ์ ผมได้ยินชื่อคุณมานานแล้วครับ ยินดีด้วยที่....”
   “อันที่จริงผมไม่ได้ยินดีเท่าไหร่ คุณมาช้า" กายสิทธิ์พูด นัทรู้สึกอึ้งเล้กน้อยที่ถูกตำหนิ เรื่องเวลาเขาไม่เคยพลาด บอสไม่เคยตำหนิเขาด้วยเรื่องนี้ แต่หมอนี่เป็นใครกัน
   “ขอโทษด้วยครับที่ทำให้คุณต้องรอนะครับคุณกายสิทธิ์"นัทพูดพลางถอนหายใจ
   "เรียกผมกายดีกว่าครับคุณนัท" หมอนี่กำลังท้าทายเขาจริงๆ นัทมองไปยังโต๊ะทำงานของบอสแต่ก็ไม่พบใคร
   “คือผมเห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องรีบขนาดนั้น เพราะเอ่อ....บอสก็ไม่อยู่นี่ครับ" นัทพูด
   “เขาไปเอากาแฟให้ผมน่ะ" กายสิทธิ์พูด
   “เอากาแฟ....อะไรนะครับ บอสไปเอากาแฟ ให้คุณน่ะเหรอ" นัทถามต่อ
   “มีอะไรแปลกเหรอครับ" กายสิทธิ์พูดพลางกอดอกและยิ้มกริ่ม พลางมองนัทอย่างประเมิณค่า
   “อ้อ...พ่อมด" นัทพึมพำ
   “แห่งวงการโฆษณา....ใช่ครับ พวกเขาเรียกผมอย่างนั้น" นัทสะดุ้ง หมอนี่ได้ยินที่เขาพูด
   นัทมองกายสิทธิ์อยู่พักนึงก่อนจะเดินนำงานวางลงบนโต๊ะประชุม กายสิทธิ์เดินตามเขาและหยิบงานส่วนหนึ่งมาดู
   “คุณทำอะไรน่ะ" นัทถามพลางเอางานของตัวเองออกจากมือของกายสิทธิ์
   “เปล่า....ก็แค่อยากรู้ว่า งานของเด็กใหม่ไฟแรงแห่ง Lovable ที่เขาร่ำลือกันเนี่ยเป็นยังไงน่ะ" กายสิทธิ์พูดพลางยิ้มกริ่ม
   “งานผมจะเป็นยังไงผมคิดว่าลูกค้าจะเป็นคนตัดสินครับ และในที่นี้ ผมหมายถึงบอส" นัทเริ่มไม่พอใจนักกับการไม่เป็นมิตรของพ่อมดบ้าบอนี่
   “ดูท่า คุณอารมณ์ไม่ค่อยจะดีนะ" กายสิทธิ์กล่าว
   “พอดีผมมีงานเยอะน่ะ ก็เลยเหนื่อย" นัทพูดพลางจัดเรียงงานของตัวเองให้พร้อมกับการพรีเซ็นต์
   “นึกว่าคุณจะดีใจซะอีกที่ได้เจอผม" กายสิทธิ์ว่า
   “ผมได้ยินเรื่องของคุณมาเยอะครับ" นัทพูด "ก็ไม่นึกว่า ตัวจริงคุณ.......จะต่างจากที่ลงไว้ในแมกาซีน"
   “งั้นเหรอครับ...แล้วมันต่างยังไง" กายสิทธิ์ว่า "ทฤษฎีความต่างในงานนี่หรือเปล่าที่คุณใช้ประเมิณผม"
   นัทอึ้งเล็กน้อย ทฤษฎีความต่าง เป็นหลักที่เขาใช้ในงานออกแบบของตัวเองในแทบทุกๆงาน เขามักจะออกรวบรวมข้อมูลกลุ่มเป้าหมายของงานนั้นๆ และเลือกสิ่งที่จะครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายให้ได้กว้างมากที่สุด ซึ่งตัวแปรที่มักจะให้เขามานั่งขบคิดก็คือเรื่องความต่างของบุคคล นัทเชื่อว่า คนเราทุกคนต่างกันและมีจุดๆหนึ่งที่เหมือนกัน จุดนั้นเอง ที่นัทจะต้องดึงออกมาเพื่อให้โฆษณาของเขาเข้าถึงคนหมู่มาก ซึ่งนอกจากความคิดนี้จะทำให้งานเขาเป็นที่ยอมรับทั้งในมหาวิทยาลัยและเอเจนซี่ทั่วไปแล้ว มันยังทำให้เขารู้จักคนในรูปแบบต่างๆด้วย และก็ใช่อีกที่เขากำลังใช้มันประเมินหมอนี่ ซึ่งผลออกมาก็คือ หมอนี่มันหยิ่งเสียจริง
   “ผม....มักจะมองคนที่งานมากกว่าครับ ผมยังไม่ตัดสินคนแรกพบด้วยทฤษฎีนั้นหรอก" นัทพูดอ้อมๆ
   “เยี่ยม สมแล้วที่คุณพิพัฒน์ชอบงานคุณแล้วรับคุณทำงานที่นี่ คุณบิดพลิ้วได้เก่งดี" กายสิทธิ์ว่า ซึ่งทำให้นัทโกรธมากขึ้นอีก "สำหรับผมทฤษฎีความต่างมักทำให้ผมเสียเวลา ผมมักจะเรียกมันว่าทฤษฎีของคนใจกว้างเกิน"
   กายสิทธิ์ยื่นหน้าเขามาใกล้กับนัทมากขึ้น
   “เพราะผมน่ะ มักจะตัดสินคนทันทีที่เห็นครั้งแรกด้วยสันชาตญาณของตัวเอง" กายสิทธิ์พูด "นั่นแหละทฤษฎีของผม"
   “งั้นเหรอครับ" นัทพูด กายสิทธิ์ยิ้มกว้างขึ้น พลางขยับเข้าหานัทใกล้ขึ้น
   “ใช่ครับ มันเป็นทฤษฎีเดียวกับเรื่องอะไรที่คล้ายๆกับ.......รักแรกพบ" กายสิทธิ์ว่า "เหมือนกับเห็นครั้งแรกแล้วก็ชอบเลย....คุณไม่คิดแบบเดียวกับผมเหรอ.....ครับ...คุณ...นัท"
   นัทเงียบไปพักนึง อาจจะเป็นเพราะกำลังถุกสายตาเจ้าเล่ห์ของกายสิทธิ์มองทะลุเข้าไปอีก
   เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น นัทสะดุ้งสุดตัว ขณะที่กายสิทธิ์กำลังหัวเราะเบาๆ
   “อ้าวนัท ขึ้นมาแล้วเหรอ ได้เจอกับกายแล้วใช่ไหม" บอสนั่นเอง เขาพยายามปิดประตูด้วยเท้า เพราะมือทั้งสองข้างต้องถือถ้วยสตาร์บัคส์เอาไว้สองถ้วย
   “คุยอะไรกันอยู่ล่ะกาย" บอสถาม
   “ก็แค่ทำความรู้จักแล้วก็แลกเปลี่ยนไอเดียเกี่ยวกับงานนิดหน่อยครับ...คุณอา" กายว่า
   คำทิ้งท้ายหลังสุด ทำเอานัทหันควับไปมองบอส
   “อ่อใช่ๆ.....กายสิทธิ์เขาเป็นหลานผมเองนัท แปลกใจใช่ไหมล่ะ เราเอ่อ...เป็นญาติที่ก็ห่างกันมากๆทีเดียว ฮ่าๆ" บอสหัวเราะแบบนนี้ประจำเวลาเล่นมุขแล้วไม่ขำ เสียงหัวเราะแบบนี้เช่นเดียวกันที่ทำให้ทั้งสตูดิโอปวดหัวเมื่อมีงานสุดหินเข้ามาให้ทำแบบกระทันหัน งานนี้ก็เช่นกัน
   “เหรอครับบอส ผมว่าคุณกายสิทธิ์เค้าก็ไอเดียดีนะครับ ถ้าเค้าเก่งขนาดนี้เนี่ย ทำไมบอสไม่ชวนเค้าเข้ามาทำงานที่นี่ซะเลยละครับ" นัทพูดแต่กลับไม่ได้มองหน้าบอส เขากำลังกระทบกายสิทธิ์เข้าอย่างจัง
   “โธ่นัท นึกว่าผมไม่เคยชวนเจ้ากายเรอะ เจ้านี่มันอีโก้สูง ไม่ยอมมาทำงานกับอาซักที" บอสกล่าว
   “อาพัฒน์ ผมก็เคยบอกอาแล้วนี่ครับ ว่าถ้าบริษัทอามีอะไรน่าสนใจผมก็จะมาร่วมงานน่ะ" กายหันกลับไปประจันหน้ากับนัททันที "ซึ่งผมว่าตอนนี้....ก็มีอะไรน่าดึงดูดให้ผมมาร่วมงานซะแล้วล่ะครับ"
   “ฮ่าๆๆๆ อาก็ไม่คิดว่าเราจะเอางานมาเสนออาหรอกกาย เอาจริงๆตอนนี้อาชอบไอเดียเรานะ นัท จะลองฟังกายเค้าพรีเซนต์หน่อยมั้ยล่ะ" บอสพูด
   “ผมว่าให้คุณนัทเค้าเริ่มก่อนจะดีกว่าครับ" กายสิทธิ์กล่าว "ผมไม่อยากกันที่เด็กใหม่"
   “ดีครับ" นัทเริ่มรู้วิธีรับมือหมอนี่แล้ว "งั้นผมเริ่มเลยนะครับ"
   นัทนำบอสและกายสิทธิ์ไปยังโต๊ะประชุม เขาเปิดคอมพร้อมกับเริ่มพรีเซ้นต์งาน เขาไม่เคยรู้สึกอยากพรีเซ้นต์รอบสองมากขนาดนี้มาก่อน เขาหันไปยิ้มท้าทายกับกายสิทธิ์
   “สินค้าของลูกค้าเจาะกลุมเป้ามหมายที่แน่นอนอยู่แล้วทางด้านการตลาด ดังนั้นรูปแบบปรินท์แอด บิลบอร์ดและตัวแอมเบี้ยนที่จะทำออกมาจึงจะยังคงยึดคอนเซ็ปต์เดิมของตัวสินค้า  ผมได้ลองคอนซัลต์กับทางดีไซน์เนอร์ที่ได้ทำในส่วนของสินค้าออกมาแล้ว เขามีคอนเซ็ปต์ดั้งเดิมคือ โลกสีเขียว ดังนั้นงานอีเว้นท์ครั้งนี้ ผมจึงจะยังคงใช้ธีมเป็นโลกสีเขียว ซึ่งรายละเอียดก็เป็นไปตามในมูดบอร์ดครับ.....มีคำถามไหมครับ"
   นัทส่งสายตาเชื้อเชิญให้กับกายซึงเขาทำผิดถนัดเลย
   “ทฤษฎีความต่าง งานอีเว้นท์นี้ก็จะเปิดรับคนทุกกลุ่มอาชีพและทุกวัยสินะครับ" กายสิทธิ์เริ่มพูด
   “ถูกต้องครับ" นัทพูด
   “มันจะไม่ง่ายไปเหรอครับถ้าเกิดเราใช้ธีมนั้นต่อเลย ผมว่ามันเอ่อ....ไม่รู้สิ....มันไม่มีหัวคิดน่ะ" กายพูด
   “คุณว่าอะไรนะครับ"
   “คือผมกำลังจะพูดว่า โลกสีเขียวเป็นธีมที่งานอีเว้นท์เกือบแปดสิบเปอร์เซนต์ในวงการออกาไนซ์เลือกใช้ และมันก็ดูไม่มีมิติอะไรของงานที่จะดึงดูดอะไรคนเลย แล้วยังไงล่ะ สีเขียว สีเขียว สีเขียว สินค้าก็ยังเป็นโทรศัพท์มือถือ ที่ต้องขุดน้ำมันมาชาร์ทไฟใช้มันอยู่ดี" กายเริ่มพูด "ผมคิดว่ามันน่าจะดีกว่าถ้าเราจะนำเอาคุณสมบัติที่ดีของมันออกมาขาย แล้วนำเรื่องโลกสีเขียวลงเป็นเรื่องรอง"
   “แต่นั่นจะทำให้จำนวนคนที่สนใจงานลดลงนะครับ" นัทแย้ง
   “ผมไม่อยากเปิดโอกาสให้คนมากมาก แล้วก็เห็นข้อบกพร่องของตัวสินค้ามากขึ้น เราต้องบีบมันให้แคบลง และศึกษาคนที่จะมาร่วมงานให้มากว่าเขาต้องการอะไร การขยายตลาดแบบปากต่อปากจะทำให้ตัวสินค้าดูน่าสนใจยิ่งขึ้น....เห็นด้วยไหมครับ...." กายว่า
   “ม...ไ"
   “...คุณอา" กายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
   “สรุปว่าสองคนยังไม่ลงรอยเรื่องคอนเซปต์งานสินะ งั้นก็ดีเลย" บอสพูดพลางกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน "อาสนใจไอเดียเรานะกาย"
   “เอ่อ....แต่ว่าบอสครับ" นัทพยายามพูด
   “เอาน่านัท ผมว่าคุณก็รับผิดชอบมาหลายงานแล้ว คราวนี้ให้กายเค้าช่วยเอางานนี้ไปทำก็แล้วกัน" บอสพูดพลางยิ้มแย้ม "น่าสนใจทีเดียว"
   “อ้อ...ดีครับ" นัทว่า "ชื่อเสียงของคุณกายสิทธิ์น่าจะพอทำให้งานดูดีได้"
   ทั้งห้องเงียบสนิท คราวนี้นัทรู้ตัวเลยว่าเขาพูดแรง
   “คือ....ผมหมายถึงมันคงดีครับที่มีคุณกายสิทธิ์มาช่วย ขอบคุณที่รับฟังการนำเสนอของผมครับบอส ถ้าไม่มีอะไร ผมขอลงไปทำงานต่อนะครับ" นัทรีบพูดแก้ตัว
   “อืม ขอโทษด้วยนะนัทคราวนี้ แต่ไอเดียคุณก็เจ๋งเสมอแหละ" บอสว่า
   “ขอบคุณครับบอส และ....”นัทเก็บของเสร็จก็หันมามองกายสิทธิ์ "หวังว่าเราคงไม่ได้เจอกันบ่อยนักนะครับ"
   นัทเดินจ้ำอ้าวออกจากห้อง
   “แต่ผมกะจะให้คุณนัทเค้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ผมน่ะครับอา" กายพูด ทำเอานัทหยุดกึก
   “อะไรนะครับ" นัทหันกลับมาทันที
   “ผมว่างานมันคงน่าสนุกถ้ามีเด็กใหม่กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูดอยู่ในทีม ผมขอเค้าเป็นพาร์ทเนอร์งานนี้ อาคงไม่ว่าอะไรนะครับ" กายสิทธิ์พูด
   “นี่คุณ....”
   “โอ้...งั้นก็ดีสิกาย นัทจะได้มีโอกาสทำงานกับเราด้วยไง" บอสว่า
   “ผมไม่ได้ดีใจเท่าไหร่หรอกบอส" นัทพึมพำ
   “อะไรนะนัท ผมได้ยินไม่ถนัด" บอสถาม
   “เอ่อ...ผมบอกว่า ผมดีใจมากมายครับบอส" นัทพูด
   “งั้นสองคนนี่ก็เริ่มงามได้เลยพรุ่งนี้นะ ให้ตายสิ อีเว้นท์นี้มันจะต้องเจ๋ง ได้สุดยอดแห่งวงการทั้งสองคนมาทำงานร่วมกัน Lovable ดังระเบิด ฮ่าๆๆๆๆ" บอสหัวเราะร่วนพลางเดินกลับไปยังโต๊ะทำงาน
   กายและนัทมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง กายจึงยื่นมือมาตรงหน่้านัท
   “ยินดีที่ร่วมงานครับคุณนัท" กายพูด
   นัทถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับกับกายสิทธิ์ ซึ่งมันทำให้นัทหัวเสียมากมายเมื่อเห็นใบหน้าของกายสิทธิ์ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ลับหลังบอส
   “เช่นกันครับ" นัทพูด
   ทั้งคู่มองหน้ากันพักนึงก่อนจะเก็บของออกจากห้องของบอสไม่กี่นาทีหลังจากนั้น นัทคิดไว้ทันทีหลังจากวินาทีนั้นว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ
   “ผมไม่คิดว่าไอเดียผมกับคุณจะเข้ากันได้ คุณกายสิทธิ์" นัทพูดขึ้นทันทีเมื่อลงมาถึงชั้นล่าง
   “เรียกกายครับ เราสองคนอายุเท่ากัน" กายว่า "และผมก็เชื่อว่า เราสองคนจะเข้ากันได้ดี"
   นัทถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง
   “เอาล่ะ...เอ่อ...กาย...คุณฟังผมนะ ผมไม่ชอบให้ใครมาบังคับ หรือบรีฟไอเดียผม ผมทำงานมาเยอะ อาจจะไม่มีฝีมือเลื่องชื่อเท่าคุณ แต่ผมก็มีสิทธิ์เลือกงาน เลือกลูกค้า คุณกับผมจะเริ่มต้นอะไรไม่ได้เลยถ้าไอเดียเราเข้ากันไม่ได้"
   “ดีครับ นั่นเป็นการเริ่มต้นที่ดี" กายยิ้มอีก นัทคิดว่ารอยยิ้มนั้นอาจจะทำให้สาวๆใจอ่อนได้ แต่มันไม่ใช่กับเขา
   “เผื่อคุณจะยังไม่เข้าใจนะ ถ้าคุณไม่ชอบผม เห็นผมหน้าใหม่ ฝีมือไม่ถึงหรืออะไรก็ตามก็บอกกันมาตรงๆ เหมือนผมบอกคุณเมื่อกี้นี้" นัทว่า "ผมจะเป็นพาร์ทเนอร์คุณได้ยังไงถ้าคุณไม่ชอบผม"
   “แล้วใครว่าผมไม่ชอบคุณ" กายพูด
   นัทอึ้งไปพักนึง ขณะที่กายได้แต่มองหน้าของนัทราวกับจะเจาะทะลุ
   “เอ่อ...ขอโทษค่ะ คุณกายสิทธิ์" เสียงแหลมของสาปลุกให้นัทหันไปหาเธอพร้อมกับกาย เมื่อทั้งคู่หันไปก็พบสากับมิกพร้อมด้วยเหล่าคนในบริษัทอีกจำนวนหนึ่งมายืนออกันตรงประตู ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสาวๆที่พกกล้องอันเบ้อเริ่มที่คาดว่าคงซูมได้ถึงรูหุมขนของคนที่นัทคาดว่าจะเป็นกายที่จะถูกบันทึกลงฟิล์ม
   “จะว่าอะไรไหมคะ ถ้าเกิดพวกเราจะขอสัมภาษณ์อะไรเล็กน้อยๆ" สาเริ่มพูด
   “ได้สิครับ ผมยินดี" กายยิ้มให้นัทแว้บหนึ่งก่อนจะจมหายไปกับเหล่าสาวๆช่างภาพแห่ง Lovable
   นัทปลีกตัวออกมาจากตรงนั้นได้สำเร็จและกลับมายังโต๊ะของตัวเอง
   “ให้ฉันทายซิ....ว่านายพรีเซ็นต์ผ่านไหม" ไบร์ทนั่นเอง นัทคิดว่าไบร์ทน่าจะมีเรดาห์ประหลาด เขาจะเข้ามาทุกทีตอนที่นัทกำลังอารมณ์เสีย "เด็กใหม่ไฟแรงโดนเวทย์มนต์ดับไฟซะแล้วเหรอเนี่ย"
   “อิจฉาเหรอไบร์ทที่ผมได้พรีเซ้นต์แข่งกับคุณกายสิทธิ์น่ะ" นัทว่า
   “ฉันไม่ได้สนใจประเด็นนั้นเด็กใหม่ ฉันสนใจที่นายพรีเซ้นต์ไม่ผ่านมากกว่า" ไบร์ทพูด "นั่นคงทำให้นายเสียใจมากสินะ อย่าทะนงตนไปนัก ยังมีดีไซน์เนอร์ที่ไอเดียดีอีกมากมายเสียจนนายไม่กล้าฝันถึงอีกเยอะ"
   “ไม่เป็นไรหรอกไบร์ท อย่างน้อยผมก็ดีใจ ที่หนึ่งในนั้นไม่ใช่คุณ" นัทว่ากลับ ไบร์ทน่าถอดสีทันที
   “ขอโทษครับ คุยธุระกันอยู่หรือเปล่า" เสียงของกายสิทธ์นั่นเอง
   “เปล่าครับ คุณกายสิทธิ์ ดีใจด้วยนะครับที่คุณได้โปรเจ็คนี้ไป" ไบร์ทพูดทันที
   “อ๋อ ไม่ใช่ของผมคนเดียวหรอกครับ ของนัทเค้าด้วย" กายว่า "ผมกับนัท ได้ดูแลโปรเจ็คนี้ทั้งคู่ เราสองคนเป็น....” กายทิ้งท้าย นัทจ้องหน้ากายเขม็ง "พาร์ทเนอร์กันจนจบโปรเจ็คครับ"
   เสียงฮือฮาดังไปทั่วสตูดิโอ ไบร์ทหน้าเหวอทันที
   “พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปที่บริษัทลูกค้าตอนสิบเอ็ดโมงนะ แล้วเจอกัน" กายพูดก่อนจะเดินหายออกไปท่ามกลางขบวนของช่างภาพสาวๆ สากับมิกรีบเดินมาหานัททันที
   “ไม่จริงใช่ไหมนัท นั่นมันเหลือเชื่อเลยอ่ะ นายกำลังจะได้ร่วมงานกับพ่อมดแห่งวงการให้ตายสิ"สาร้อง
   “ไม่ใช่กำลัง แต่ร่วมแล้ว" นัทพูดพลางมองไปหาไบร์ทที่รีบเดินไปยังโต๊ะตัวเองอย่างรวดเร็ว
   “แต่ไม่เคยมีใครร่วมงานกับเขาได้เกินสองอาทิตย์เลยนะ ว่ากันว่าเขาแสบน่าดู" มิกว่า "แล้วนายว่าไง"
   “ที่พวกนายรู้มา ไม่ถึงครึ่งเลยล่ะ" นัททำหน้าเบื่อโลกสุดๆ "หมอนี่อีโก้เป็นบ้า"
   สากับมิกมองหน้ากัน
   “เขาเลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ" สาพูด
   “เจอครั้งแรกเค้าก็ปั่นหัวฉันซะเป็นลูกข่าง ก็ต้องดูกันต่อไปว่าเขากับฉันใครจะหมดความอดทนก่อนกัน ไปหาไรกินกันเถอะ" นัทพูดพลางลุกขึ้นและมองไปทางโต๊ะของไบร์ท
   “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมต้องกลับก่อนนะ พอดีต้องรีบกลับไปเสก็ตไอเดียให้ชัดเจนกว่านี้หน่อย ดูเขาจะปลื้มไอเดียผมมากเลยล่ะ" นัทจงใจพูดเสียงดัง "ผมไปก่อนนะครับไบร์ท"
   นัทเดินออกจาสตูดิโอโดยไม่ได้ใส่ใจสีหน้าขอไบร์ทที่ดูเจ็บใจสุดๆ ขณะที่สาได้แต่กลั้นหัวเราะโดยมีมิกคอยห้าม
   ทั้งสามออกมาถึงหน้าบริษัทพอดีกับที่มีรถสปอร์ตสีดำคันหนึ่งค่อยๆชลอจอดอย่างงดงามต่อหน้าพวกเขา กายนั่นเอง ชายหนุ่มค่อยๆหมุนกระจกลงช้าๆพลางโบกมือให้กับนัท
   “อย่าไปสายล่ะ" กายพูดสั้นๆก่อนจะบึ่งรถออกไปด้วยความเร็มสูง
   “โห รถเค้าสวยแหะ" สาร้อง
   “ไม่เท่าไอ้เต่าทองฉันหรอกน่า" มิกพูด
   “ไม่ต้องพูดมากเลย ไปเอารถเถอะน่า มาร์คเค้ารออยู่นะ" สาว่า
   “เธอจะห่างจากแฟนซักสองชั่วโมงเนี่ยมันจะตายรึไง" มิกพูดพลางเดินไปเอารถเต่าคันโปรดที่รับใช้พวกเขาสามคนมาตั้งแต่สมัยเรียน ขณะที่นัทได้แต่มองรถคันนั้นขับผ่านไปพลางนึกอะไรบางอย่างออก
   “รอฉันแป้บนะ" นัทพูด พลางวิ่งกลับเข้าไปในบริษัทตรงดิ่งเข้าไปหาผึ้ง
   “เจ๊ผึ้ง" นัทเปิดประตูเข้าไปหญิงสาวขยับแว่นพลางจับอก
   “ตกใจหมดนัท มีอะไรจ้ะ" ผึ้งถาม
   “พี่ช่วยอะไรผมอย่างสิ"
….............
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:09:33
บทที่ 2 Reflectivity

   นัทใช้เวลาทั้งเย็นนั่งสาธยายความเป็นมาเรื่องนี้ให้สากับมิกฟัง ทั้งคู่รู้ว่ามันรวดเร็วจนแทบตามไม่ทัน แต่หลังจากที่มาร์คแฟนของสาได้เล่าประสบการณ์หินๆในการทำงานกับกายสิทธิ์ให้ฟังด้วยแล้ว ทำให้คำพูดของนัทน่าเชื่อถือทีเดียว
   นัท สา และมิก เรียนด้วยกันมาที่มหาลัย และก็เลือกที่จะมาฝึกงานด้วยกัน พวกเขาทั้งสามคน รู้จักนิสัยกันดี และแทบไม่เคยจะทะเลาะกันด้วยเรื่องใดใดเลย และทั้งคู่ก็มาจบลงที่ Lovable มันเป็นที่ๆ ทั้งคู่เห็นว่าดี และมันก็เริ่มบอกพวกเขาทีละน้อยว่าอาจจะไม่ใช่อย่างนั้น ส่วนมาร์ค เขาเป็นนายแบบ รู้จักกับสาตอนที่ Lovable ไปออกาไนซ์ให้กับงานแฟชั่นที่สยามพารากอน สองอาทิตย์หลังจากนั้นสาควงมาร์คมาบริษัททำเอาสาวๆใน Lovable กรี๊ดสลบ ส่วนมิก เป็นคนที่อาร์ทเสมอต้นเสมอปลาย น้อยคนนักที่จะคุยกับมิกแล้วไม่ปวดหัว มิกมักจะกวนประสาทคนอื่นเสมอและก็อยู่ห่างจากคำว่าบ้าแค่เส้นยาแดง ถึงขนาดตั้งชื่อรถตัวเองว่าไอ้เต่าทองและดูแลยิ่งกว่าลูก
   กายสิทธิ์ สำหรับพวกเขาสามคนก็ไม่ต่างจากซุปเปอร์สตาร์ของพวกเขา สาจะกรี๊ดเมื่อได้ยินชื่อ นัทมีความรู้สึกอยากจะเทียบชั้น ขณะที่มิกไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่าดีไซน์เนอร์มีชื่อคนหนึ่งที่อาจพบเห็นได้ทั่วไปในวิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ แต่ที่พิเศษตรงที่กายสิทธิ์สามารถประสบความสำเร็จอย่างงดงามแม้อายุจะยังน้อยมากเมื่อเทียบกับคนอื่นๆในวงการ ดังนั้นเมื่อนัทมีโอกาสได้ร่วมงานกับเขา ถึงกายสิทธิ์จะดูเป็นอย่างนั้นก็เถอะ มันก็เป็นเรื่องน่ายินดีที่ทั้งสี่จะฉลองกันจนมืด ที่ร้านอาหารหน้าปากซอยบ้านของนัท ร้านประจำของทั้งสาม
   “สงสัยฉันต้องกลับแล้วล่ะ ฉันต้องไปอีเว้นต์แต่เช้า" มาร์คพูดขึ้น
   “กลับแล้วเหรอ อืม เดี๋ยวสาไปส่งนะคะ" สาพูด "เห้ยมิกยืมเต่าทองหน่อยสิ"
   “แกนี่ประจำเลยนะ ก็ได้วะ นัท วันนี้ฉันค้างบ้านนายนะ" มิกว่า
   “เอ้า ไงหวยมาออกที่ฉันจนได้"นัทว่า "ก็ได้วะ"
   “งั้นก็แยกกันตรงนี้ เจอกันพรุ่งนี้นะ" สาพูด พลางหยิบกุญแจรถไปพร้อมกับควงมาร์คเดินออกจากหน้าร้านไป
   “ดูมัน ได้แฟนแล้วก็ทิ้งเพื่อน" มิกว่า
   “เข้าบ้านเหอะ ปล่อยมันไป" นัทว่าพลางเดินเข้าซอยไปพร้อมกับมิก
   ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็จมอยู่กับคอมและโต๊ะดราฟเพื่อจะเสก็ตไอเดียให้เสร็จ หลังจากอาบน้ำเรียบร้อยแล้ว
   “เออนัท แม่นายจะเมื่อไหร่จะกลับจากอเมริกาล่ะ" มิกถามขึ้น
   “เดือนหน้าอ่ะ" นัทว่า "แม่ว่าทำงานที่นั่นหนักพอแล้ว เห็นว่าจะกลับมากินเงินเดือน"
   “โห ดีแหะ ไม่เหมือนแกกับฉันต้องมานั่งตรากตรำกับบอสมุขแป๊กนี่" มิกว่า นัทหัวเราะแห้งๆ "งั้นเดือนหน้าฉันก็คงไม่ได้มานอนห้องแกแล้วสินะ"
   นัทหันกลับไปมองมิก
   “ฉันอยู่คนเดียได้หรอกน่า" นัทว่า
   “แต่ฉันไม่อยากให้แกอยู่คนเดียวนี่หว่า" มิกพูด "ฉันเป็นห่วงแกนะเว่ย"
   “อืม ขอบใจ" นัทพูด
   นัทยังคงก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป แม้ว่ามิกจะยังคงจ้องมองนัทอยู่อย่างนั้น
….................


   กิจวัตรประจำวันของนัทและมิกไม่มีอะไรสำคัญมากนัก ทั้งคู่ตื่นนอนตอนแปดโมง และอาบน้ำและทานอาหารเช้าที่มิกมักจะเป็นคนทำ
   “เห้ยมิก ทำไมนายต้องทำอาหารเช้าให้ฉันด้วยวะ" นัทถามขึ้น
   “ก็แม่แกบอกให้ แกกับฉันอยู่กันดีดีนี่หว่า" มิกว่า
   “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับอาหารเช้าวะ" นัทพูดพลางนั่งลงหั่นขนมปัง
   “เอาน่า อย่างน้อยฉันก็อยากดูแลแก ไม่ได้รึไง" มิกพูดพลางถอดชุดทำครัวและเตรียมนั่ลงรับประทานอาหารเช้า
   “นี่ถ้าแกดูแลผู้หญิงให้ได้อย่างนี้นะ แกก็หาแฟนได้ไม่ยากหรอกมิก" นัทว่า
   “ฉันไม่ต้องหาแฟนแล้วล่ะ" มิกพูดพลางเริ่มตักไข่ดาว
   “เห้ยหรือว่า.....แกมีคนที่ชอบแล้วอ่ะดิ ใช่ป่ะล่ะ" นัทหันมาทำตาโตใส่มิก "เห้ยใครวะ อั่นแน่ อย่าบอกนะว่าเป็นยัยแอน ที่ทำอยู่ประชาสัมพันธ์อ่ะ คนนั้นเด็กบอสไม่ใช่เรอะ"
   “บ้า...ไปเอามาจากไหน ไม่ใช่แอนเว่ย แล้วเค้าก็ไม่ใช่เด็กบอสด้วย นินทาบอสนะแก" มิกว่า
   “เอาน่าๆ หนุกๆ" นัทพูด
   “ดูวันนี้แกจะอารมณ์ดีนะ เกิดมาปลื้มที่จะได้ทำงานกับคุณกายขึ้นมารึไง" มิกถาม นัทเลิกคิ้วพลางอมยิ้ม
   “เค้าจะลืมไม่ลงเลยแหละที่ได้มาทำงานกับฉัน" นัทพูด "รีบกินเหอะ ฉันต้องออกไปพบลูกค้า"
   หลังจากอาหารเช้าที่เร่งรีบ ทั้งคู่ก็มาถึงออฟฟิสตอนเก้าโมงครึ่ง เมื่อนัทมาตอกบัตรและมาให้ไบร์ทเห็นหน้าแล้วเขาก็แจ้นออกไปข้างนอกทันที สาและมิกมองหน้ากันอย่างฉงน
   “เห้ยเดี๋ยวนัทแกจะรีบไปไหนวะ" มิกออกมาทันก่อนที่นัทจะก้าวพ้นประตูบริษัท
   “ก็ไปพบลูกค้าไง" นัทพูดพลางยิ้มๆ
   “แล้วไปกับ.....”
   “ฉันไปก่อนนะ แล้วเจอกันบ่ายๆ" นัทพูดตัดบทก่อนที่มิกจะพูดจบประโยค ปล่อยให้มิกยืนงงกับอาการเร่งรีบของนัท
   “อะไรของเค้าวะ" มิกพึมพำ
   นัทเหมารถแท๊กซี่ตรงไปยังโรงแรมมารีออตย่านฝั่งธน เป็นที่ที่เขานัดพบกับลูกค้าไว้ แต่ทว่ามันไม่ใช่ลูกค้าของเขากับกายวันนี้
   หนึ่งชั่วโมงให้หลัง นัทและลูกค้าของเขานั่งสนทนากันอย่างเคร่งเครียดที่ร้านอาหารริมน้ำของมารีออต
   “ถ้าคุณตกลงกับแอมเบี้ยนตัวนี้ ผมจะได้สั่งตีพิมพ์บัตรเชิญทั้งหมดและเริ่มงานได้เลยครับ ส่วนมอคอัพตัวนี้ถ้าไม่มีอะไรแก้ไขผมจะสั่งทำเอามาเป็นตัวอย่างก่อน 10 ชุดนะครับ" นัทเริ่มอธิบายงานของเขา
   “ครับผม ขอบคุณมากนะครับ แหม่คุณนี่ไอเดียโดนใจผมจริงๆ" ชายวัยกลางคนกล่าวชื่นชม
   “งั้นคุณช่วยตอบแบบสอบถามนี่หน่อยนะครับแล้วเดี๋ยวผมจะส่งภาพงานโดยรวมให้ไม่เกินวันศุกร์นี้ครับ" นัทยื่นเอกสารให้ลูกค้าเซ็นขณะที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านหน้าร้านอาหาร
   “ไม่ได้นะคะ ถ้าไม่ได้จองไว้เข้าไม่ได้นะคะ" เสียงของพนักงานต้อนรับดังขึ้นอีก ขณะที่นัทเงยหน้าขึ้นดูก็ตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อคนที่วิ่งพรวดพราดเข้ามาคือคนที่เขาคิดว่าวันนี้สามารถกำจัดไปได้สำเร็จแล้ว....กายนั่นเอง
   “คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง นัท" เสียงอันดังของกายทำเอาคนเกือบทั้งร้านหันมามองที่โต๊ะของนัทเป็นสายตาเดียวรวมทั้งสายตาของลูกค้าที่กำลังตอบแบบสอบถามของเขาอยู่ นัทมองไปรอบๆตัวรู้สึกว่าบางคนที่รู้จักว่ากายเป็นใครกำลังซุบซิบกันแปลกๆ แต่เขาจะไม่ยอมเสียลูกค้าคนนี้ไปเป็นอันขาด
   “เอ่อ....ผมขอตัวซักครู่นะครับ" นัทกล่าวอย่างนุ่มนวลกับลูกค้า ก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกจาร้านไปยังศาลาริมน้ำที่ห่างไกลผู้คนที่อยากรู้อยากเห็น กายเห็นดังนั้นก็เดินตามไปอย่างไม่รอช้า
   นัทหันกลับไปหากายช้าๆ
   “คุณมาที่นี่ทำไม" นัทว่า
   “ผมต่างหากที่ต้องถามคุณ คุณมาทำอะไรอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ไปพบลูกค้ากับผม" กายว่ากลับเสียงดัง นัทยิ้มกริ่มในใจ ในที่สุดเขาก็ทำให้หมอนี่รู้สึกโกรธได้
   “ผมต้องทำโปรเจ็คกับลูกค้าคนนี้ให้จบ" นัทพูด "แล้วคุณพีระดาเค้าก็ไปแทนผมแล้วไง"
   “ผมไม่ได้ถามว่าใครไปแทน ผมถามว่าทำไมคุณไม่ไป" กายโวยวาย
   “คุณผึ้ง เค้าทำงานที่ Lovable มาก่อนผม เขามีพร้อมทั้งประสบการณ์และมีไอเดียดีกว่าผมซะอีก" นัทพูด
   กายส่ายหัวอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้นัทเกินระยะปลอดภัย
   “ผมไม่ได้สนใจว่าใครไอเดียดีกว่าใคร ผมถามว่าทำไมคุณถึงไม่ไป" กายกัดฟัน
   “แล้วผมจะไปหรือไม่ไปมันต่างกันตรงไหน....” นัทเริ่มพูดเสียงดังบ้าง
   “มันก็ต่างกันตรงที่.....” กายเริ่มอึกอัก ชายหนุ่มหลบสายตาลงก่อนจะพยายามหาคำพูดบางอย่าง นัทกะไว้อยู่แล้ว หมอนี่แค่ต้องการประชันกับเขา เพื่อให้เขาแพ้และยอมศิโรราบให้ แต่นัทไม่ชอบวิธีนี้ ถ้าเสือสองตัวมันอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ จะหาเรื่องให้มันกัดกันทำไม
   “นี่ คุณไม่ต้องมาวกวนกับผมเลยนะผมน่ะ ไม่ใช่คนมีปัญหา คุณนั่นแหละที่มีปัญหา ไม่งั้นคุณก็คงไม่หาคนอื่นไปแทนหรอก" กายพูด "บอกผมมาดีกว่า ว่าคุณมีปัญหาอะไร ถึงไม่อยากไปกับผม"
   นัทรู้สึกหงุดหงิดกับหมอนี่ขึ้นมาอีกแล้ว ทำไมกันนะเขาเกือบชนะอยู่แล้ว.....ทำไมหมอนี่พลิกกลับมาต้อนเขาจนมุมอีกจนได้
   “เอ่อ...” นัทพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม "ผมก็บอกคุณไปแล้วหนิ ว่าผมไม่คิดว่าไอเดียเราสองคนจะเข้ากันได้"
   “อะไรนะ" กายพูด
   “ผมบอกคุณไปแล้วเมื่อวานไง" นัทพูด
   “นี่หมายความว่าคุณไม่อยากร่วมงานกับผมเหรอ" กายถาม "กับผมเนี่ยนะ"
   นัทคิดว่าหมอนี่กำลังหลงตัวเองสุดๆ
   “คือผมหมายความว่า ผมและคุณ เราก็ได้ชื่อว่าเจ๋งทั้งคู่ แต่เราก็ยังไม่เคยทำงานด้วยกัน" นัทว่า "แล้วแถมเราก็ยังเข้ากันไม่ได้ด้วย"
   “แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเราเข้ากันไม่ได้" กายถามอีก
   นัทตอบคำถามไม่ได้อีกแล้ว...ทำไมกัน
   “ผมเราว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ ผมขอตัวกลับไปคุยกับลูกค้านะ" นัทเดินกลับไปยังร้านอาหาร
   “เดี๋ยว" กายเรียก "ถ้าคุณไม่ยอมไปกับผม ผมยอมไปกับคุณก็ได้"
   “อะไรนะ" นัทหันมาอย่างไม่เชื่อหู
   “อ้อ แล้วก็อย่าคิดนะครับ ว่าจะเอาชนะผมได้" กายพูดทิ้งทาย ย่างท้าทาย
   “งั้นก็ตามใจคุณละกัน แต่คุณคงจะต้องรอนานหน่อยนะ เพราะผมมีลูกค้าอีกคนนึงที่นัดเอาไว้ แล้วลูกค้าคนนี้เนี่ย ผมจะต้องคุยกับเค้าอีกสี่ชั่วโมง" นัทว่า
   “อีกกี่ชั่วโมงนะ" กายถามย้ำ
   “สี่ชั่วโมงครับ ใช่แล้ว" นัทพูดพลางยิ้ม "สี่ชั่วโมง"
   “เอ่อ...งั้นก็ได้" กายพูด
   “งั้นก็เชิญครับ" นัทเปิดประตูร้านให้กายเข้าไปก่อน และหลังจากนั้นสี่ชั่วโมง กายก็ได้รู้สึกถึงความเบื่ออย่างแท้จริง
…........
   “นายนี่มันก็แสบไม่เบาเลยนะ" สาพูดในช่วงเย็นของวันนั้น หลังจากที่นัทและกายกลับมาถึงบริษัท ซึ่งสาและมิกก็ผิดคาด ขณะที่นัทหน้าตาระรื่นกลับมากลับเป็นกายที่ดูหงุดหงิดและเหมือนจะเอาเรื่องนัทเสียให้ได้ ก่อนที่เขาจะหายขึ้นไปที่้องทำงานของบอส นัทก็ถูกผึ้งเทศนาอยู่ยกใหญ่ที่เอาเธอไปเป็นตัวตายตัวแทน
   “แต่ว่านายก็ยังต้องทำงานกับเขาต่อไปไม่ใช่เรอะ" มิกถาม
   “โดนไปขนาดนี้แล้ว คงไม่แล้วล่ะมั้ง" นัทพูด "ในเมื่อมันจะต้องทะเลาะกัน จะทำให้งานมันเสียไปด้วยทำไมล่ะ จริงหรือเปล่า"
   “ดูพูดเข้าสิ ทำเหมือนตัวเองใหญ่โตมากจากไหน” ไบร์ทร้องข้ามโต๊ะมา ทั้งสามมองกลับไปอย่างเหนื่อยหน่าย "ดูจากสิ่งที่นายทำกับหลานของบอสแล้ว นายเดือดร้อนแน่"
   “ขอบคุณนะครับ ที่เป็นเดือดเป็นร้อนแทนผม" นัทพูด "ไม่เป็นอะไรหรอกครับ ผมว่าบอสคงจะพิจารณาเรื่องนี้ถี่ถ้วนหรอกครับ เมื่อเทียบปริมาณงานของผมกับคนอื่น"
   นัททำเอาไบร์ทเงียบไปอีก เป็นเรื่องเดียวที่เขาอยากจะขอบคุณกาย ที่ทำให้เขาสยบปากของไบร์ทได้ไ่ม่ยากนัก
   “ก็รอดูตอนต่อไป ฉันว่ามันสนุกจนลืมไม่ลงแน่ เรื่องนี้" ไบร์ทพูดพลางลุกหายไปในห้องครัว
   “ปากปีจอจริงๆไอ้นี่" สาสบถ
   “เอาน่า" มิกห้าม
   เสียงประตูสตูดิโอเปิดออกพี่ผึ้งโผล่หน้าเข้ามา
   “บอสเรียกพบแหนะนัท" ผึ้งว่า "ด่วนด้วยนะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องให้ฉันขึ้นไปแทนอีกล่ะ"
   “ครับเจ๊" นัทพูดไล่หลังผึ้งที่เดินจากไป
   “เอาแล้วไง" สาพูดพลางทำหน้ามุ่ย "กายสิทธิ์ร่ายมนต์แล้วล่ะ ฉันว่า"
   นัทลุกขึ้นพลางถอนหายใจ
   “นัท ถ้าเผื่อนายถูกไล่ออก ฉันขอโต๊ะนายทำงานนะ" มิกพูด
   “ไอ้นี่ ปากเสียอีกคน" นัทว่าพลางออกเดินไปยังห้องทำงานของบอส
   นัทไม่เข้าใจจริงๆว่าเจ้ากายมันต้องการอะไรจากเขา นัทคิดว่าสำหรับตัวเองกับกายแล้ว เขาเองด้อยกว่าในทุกๆด้าน กายเรียนจบจากฝรั่งเศส ทั้งมีผลงานระดับโลก สร้างชื่อเสียงให้วงการโฆษณาเมืองไทยมานักต่อนัก  แล้วเขาล่ะ ก็แค่เด็กใหม่ที่อาจจะทำงานได้เตะตาผู้ใหญ่ในวงการหลายๆคนจากแกลลอรี่ที่เขาสามารถจัดขึ้นได้เมื่อเดือนก่อน ไม่มีเหตุผลงี่เง่าอะไรเลยที่กายต้องพยายามมาร่วมงานกับเขาให้ได้ ยังมีผู้ใหญ่ในวงการโฆษณาอีกหลายๆคนที่มีฝีมือพอจะเทียบชั้นกับกายสิทธิ์ได้ ถ้านัทยังไม่ถูกไล่ออกซะก่อน เขาจะต้องเค้นความจริงจากกายให้ได้ ว่าต้องการอะไรจากเขากันแน่
   “มาแล้วเหรอนัท" บอสขยับแว่นตาลง นัทมองเห็นกายนั่งอยู่ท่เก้าอี้ตรงข้ามกับบอส นัทสูดหายใจเข้าลึกๆ
   “ครับ"
   “วันนี้กายเค้าเล่าให้ฟังว่าคุณพาเขาไปดูการพูดคุยกับลูกค้าของคุณเหรอ" บอสถามเรียบๆ
   “เอ่อ...ใช่ครับ แต่ผมอธิบายได้นะครับ" นัทพูด
   “จะอธิบายอะไรอีก มันเห็นๆกันอยู่แล้ว" บอสพูด นัทก้มหน้าลง "นั่นทำให้ผมรู้ว่าคุณอยากให้กายรู้จักวิธีการทำงานของคุณ แหม่ เป็นการเริ่มต้นแบบมืออาชีพจริงๆ"
   “อะไรนะบอส" นัททำหน้าเหวอ
   “เอ้า จะมายืนทำหน้างงทำไมคุณนัท มานั่งนี่สิ ผมเพิ่งเล่าให้คุณอาฟังว่าวันนี้คุณกับผมเรียนรู้กันไปมากแค่ไหนแล้ว" กายหันหลังกลับมายิ้มเจ้าเล่ห์อีก นั่นทำให้นัทอยากกะโดดถีบหน้าจริงๆ
   “อ้อเหรอครับ" นัทพูดพลางเดินมานั่งที่เก้าอี้ "ผมไม่นึกว่าคุณจะชอบ งั้นคราวหน้าผมจะให้คุณพบลูกค้ากับผมอีกสี่รายก็ได้นะครับ"
   กายส่งสายตาแค้นเคืองให้นัทก่อนจะหันกลับไปหาบอสอีกครั้ง นัทอมยิ้มทันที
   “เท่าที่ผมคุยกับลูกค้าวันนี้แล้วเค้าพอใจไอเดียผมมากเลยครับคุณอา" กายเริ่มพูดต่อ "ถ้าผมจะดำเนินงานตามที่บอกคุณอาไป"
   “อืม....เอางั้นก็ได้" บอสพูด
   “อะไรครับบอส ดำเนินงานตามไหนครับ" นัทดูจะตามไม่ทัน
   “คืออย่างนี้นะนัท ในทีมของกาย ก็จะมีคุณ สา แล้วก็มิกเป็นหัวเรือใหญ่นะ" บอสพูด
   “แล้วบอสได้ถามก่อนมั้ยครับเนี่ย" นัทพูดโพล่งออกไป "คือผมหมายถึง สากับมิกน่ะครับ"
   “ก็ที่ผมเรียกคุณขึ้นมาก็เพื่อจะให้ไปบอกเค้านั่นแหละ" บอสพูด
   “ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับคุณนัท ผมว่าสองคนนั่นคงดีใจที่จะได้ร่วมงานกับผม" กายพูด "ไม่เหมือนบางคนหรอกครับ"
   นัทอึ้งเล็กน้อย นี่มันมัดมือชกกันชัดๆ หมอนี่จะให้เขาเป็นลูกทีมโดยที่เขาไม่เต็มใจ แถมไม่ใช่ไอเดียเขาเองอีก
   “แต่่ว่า....”
   “งั้นผมขอตัวไปคุยงานกับทีมก่อนกลับนะครับคุณอา" กายลุกขึ้นก่อนจะพยุงให้นัทลุกตามไปด้วย
   “แต่ผม...”
   “สวัสดีครับคุณอา" กายลากนัทออกจากโต๊ะทำงานของบอสได้สำเร็จ โดยไม่สนว่านัทพยายามจะพูด อะไร กายลากนัทออกไปด้านนอก
   “นี่คุณจะทำอะไรอ่ะ" นัทว่า "มัดมือชกกันแบบนี้ ไม่เป็นมืออาชีพเลยนะ"
   “ช่วยไม่ได้ คุณไม่ไปพบลูกค้ากับผมเองนี่" กายพูด "แล้วถ้าผมไม่ช่วยคุณไว้วันนี้เนี่ย คุณอาเล่นงานคุณแน่ครับ..คุณ...นัท"
   “ผมจะพูดกับคุณตรงๆอีกครั้ง ผมไม่ได้มีความสนใจอยากจะร่วมงานกับคุณเลยซักนิด" นัทพูด
   “แต่เมื่อวานพอคุณรู้ว่าผมมาเสนองานกับคุณอา คุณเองก็วิ่งขึ้นมาบนนี้แทบไม่ทันเลยไม่ใช่เหรอ แล้วแบบนี้มันไม่สนใจจะร่วมงานกับผมยังไงล่ะเนี่ย" กายพูดพลางอมยิ้ม นัทมองหน้ากายอย่างหัวเสีย "และที่สำคัญ ผมสนใจคุณ"
   นัทอึ้งกับหมอนี่อีกแล้ว คำพูดแบบนี้กระมังที่เขามัดใจลูกค้า
   “เอาเป็นว่า เดี๋ยวผมจะลงไปบอกกับคุณสาและคุณมิกเองว่าเขาสองคนจะได้มาร่วมทีมกับผมและคุณ" กายพูด "แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปคุยกันเรื่องรายละเอียดอีกครั้งนึงนะ ก่อนกลับผมฝากคุณไปเอารูปที่ผมฝากห้องอัดปรินท์ไว้ด้วยล่ะ แล้วก็เอากลับไปเสก็ตไอเดียมาให้ผมพรุ่งนี้ละกัน"
   “ผมจะไม่เสก็ตอะไรให้คุณทั้งนั้น ถ้ามันไม่ใช่งานผม" นัทพูดท้ายทาย กายหันมายิ้มที่มุมปาก พลางทำหน้ามุ่ย
   “ทำแบบนี้อ่ะ ไม่เป็นมืออาชีพเลยนะ"
   “ฮึ่ย" นัทร้องอย่างหงุดหงิดพลางเดินไปยังห้องอัดรูปตามที่กายบอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นับจากวันที่เขาเป็นดีไซน์เนอร์มา เขาไม่เคยรู้สึกหัวเสียเท่านี้มาก่อนเลย
   การอัดรูปและตัดใช้เวลายี่สิบนาที นัทจึงได้กลับมาที่สตูดิโอ ก่อนจะรู้สึกตัวเสียงแหลมเล็กของสาก็ทำเอาเขาสะดุ้ง
   “นัท นี่มันสวรรค์ที่สุด" สาร้อง "คิดดูสิ ฉันเลือกรูปอยู่ดีดี ก็มีพ่อมดแห่งวงการเดินมาหาฉันแล้วก็พูดว่า คุณช่วยมาร่วมงานกับผมได้ไหมครับคุณสา โอ้วววววว"
   “พนันว่าเขาพูดแบบนี้กับสาวๆทุกคนแหละ" นัทว่า
   “ว่าแต่จริงใช่มะ ที่ฉันกับสาได้ทำงานกับแกคราวนี้ รวมทั้งคุณกายสิทธิ์ด้วย" มิกถามอีก
   “พนันสิว่าฉันไม่ได้เต็มใจ" นัทพูด แต่ทว่าก็ต้องหยุดเมื่อเห็นสายตาไม่พอใจของสา "คือฉันหมายความว่า เค้าไม่ปรึกษาฉันก่อนน่ะ คือ ฉันเป็นพาร์ทเนอร์เค้าไม่ใช่เหรอ"
   “แหม ในที่สุดนายก็ยอมรับจนได้สินะ" สากลับมายิ้ม
   “ก็...อืม" นัทถอนหายใจ ยี่สิบนาทีที่เขาเห็นรูปของกาย มันก็สวยแบบมืออาชีพจริง เขาเริ่มทำใจที่จะทำงานกับหมอนั่นได้บ้างแล้ว อย่างน้อยก็มีสากับมิก ทีมที่เขารู้ฝีมือมาเป็นเวลานาน "ช่างเหอะ อย่างน้อยงานนี้เราสามคนก็ได้ทำงานด้วยกัน"
   “ใช่...แต่เดี๋ยว" สาลุกขึ้นยืน "ไม่แสดงความยินดีกับพวกเราหน่อยเหรอคะคุณไบร์ท"
   พนันว่านัทได้ยินเสียงโครมครามดังมาจากห้องครัว ซึ่งนั่นทำให้ทั้งสามพอใจยิ่งนัก
   “เอาล่ะ ได้เวลาลุยงาน" สาว่าพลางกอดคอเพื่อนรักทั้งสอง
   “อะไรจะไฟแรงขนาดน้าน" นัทพูด
   “เราต้องแอคทีฟหน่อย..เพื่อน" มิกว่า "เตรียมพร้อมให้กับหน้าใหม่ไฟแรง และพ่อมดแห่งวงการ"
   “เว่อร์จริงนะพวกแก" นัทพูด “เอางั้นก็ได้วะ งั้นก็เก็บของ กลับกันเหอะ ฉันเหนื่อยมาทั้งวันและ"
   “งั้นก็...ลุย" สาและมิกร้องพร้อมกันก่อนจะเก็บข้าวของ และออกจากสตูดิโอ
   ทั้งสามออกมาถึงหน้าบริษัทพอดีกับที่โทรศัพท์ของนัทดังขึ้นด้วยเบอร์ที่ไม่คุ้น
   “ฮัลโหล" นัทกดรับ
   “เดี๋ยวพรุ่งนี้ ผมจะดูเสก็ตคุณตอนสิบโมงนะ" กายนั่นเอง
   “นี่คุณไปเอาเบอร์ผมมาจากไหนเนี่ย" นัทร้อง
   “อย่าสายนะ แล้วผมจะรอ" กายว่า
   “นี่คุณเลิกยุ่งกับผมซะทีได้ไหม อย่างน้อยก็นอกเวลางาน" นัทว่า
   “ไม่ได้ เพราะผมอยากยุ่งกับคุณ" กายพูดก่อนจะวางโทรศัพท์ไป นัทมองโทรศัพท์ตัวเองอย่างหงุดหงิด หมอนี่ทำเขาหงุดหงิดได้ทั้งวันจริงๆ
   “นัท สาวโทรมาเหรอ"สาแซว ขณะที่มิกหันควับมาทันที
   นัทมองทั้งคู่แล้วยิ้มแหยๆ
   “ไม่ใช่หรอก แค่ลูกค้าโรคจิตน่ะ" นัทตอบ
   “แอ่ะ" สาพูด
   “เลิกแซวมันได้และ กลับบ้าน" มิกพูดตัดบท พลางลากทั้งสามขึ้นรถ นัทรู้สึกว่ากายสิทธิ์นี่คงมีมนต์วิเศษจริงๆ ที่ทำให้เขาหัวเสียได้ทั้งวัน แต่ซักวันหนึ่งเขาจะทำให้หมอนั่นยอมเขาให้ได้ ยอมถึงขนาดต้องขอร้องเขาอย่างเสียใจสุดชีวิตเลยทีเดียว.....ซึ่งนัทไม่รู้เลยว่า มันกำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ
…........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:27:40
บทที่ 3 Inspiration

   
   “แล้วไง" มิกพูดขึ้นในตอนเที่ยงของวันต่อมา
   “ก็ แกต้องไปเอารูปที่สาอัดได้ แล้วก็เอาไปขึ้นมอคอัพไง ทำซัก สี่อันก่อนก็พอมั้ง ไปให้ไบร์ททำก็ได้" นัทเริ่มอธิบายต่อ
   “ไม่ๆ ฉันหมายถึง เค้าพูดว่าไงต่อหลังจากแกอธิบายในเสก็ตบุ๊คเสร็จแล้วน่ะ" มิกถามย้ำ
   “เค้าไม่ได้พูดอะไรเลย" นัทพูด มิกยังคงมองหน้านัทอยู่ "นี่ อย่าพยายามมองฉันเหมือนว่าฉันมีอะไรจะบอกนายอีก มันไม่มีอะไรมากกว่านั้น วันนี้เค้าเงียบเป็นเป่าสากเลยอ่ะ แถมดูเครียดอีกต่างหาก"
   “เค้าโกรธที่นายมาไม่ตรงเวลาหรือเปล่า" สาพูด พลางตักอาหารคำสุดท้าย "นายก็เคยเล่าให้ฟังว่าคุณกายเขาฟิกเรื่องเวลา"
   “ฉันมาก่อนเค้าตั้งครึ่งชั่วโมง" นัทพูด "ฉันไม่ยอมให้เค้าว่าฉันเป็นครั้งที่สองหรอก"
   “แล้วมันเรื่องอะไรล่ะทีนี้" สาพูด "เค้าเอาใจยากแหะ"
   นัทได้แต่ยักไหล่อย่างเสียไม่ได้
   วันนี้เค้าทำเสก็ตไอเดียมาส่งกายตามเวลาที่เขานัดแป๊ะๆ  แต่วันนี้มันผิดคาด ทันทีที่เขาขึ้นไปถึงห้องบอส ก็พบกายที่นอนเอนอยู่ที่โต๊ะทำงานของบอส และดูงัวเงียเมื่อเขาเข้าไปถึง นัทเข้าไปอธิบายเสก็ตบุ๊คทันที แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบ เงียบ และเงียบกลับมา กายพยักหน้าในบางครั้ง ทำเอานัทก็งงอยู่เหมือนกัน ว่าไอ้คุณกายที่แสนหลงตัวเองจะหายไปในชั่วข้ามคืน แต่นั่นมันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่มีเหตุผลใดๆเลยที่เขาจะมานั่งสงสัย แต่ก็นั่นแหละ มันก็แปลกสิ้นดีและทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้
   เมื่อกินข้าวกลางวันเสร็จ มิกนำข้าวกล่องไปทิ้งในครัวขณะที่สาดื่มน้ำและเช็ดโต๊ะ พร้อมกลับเข้าสู่โหมดทำงานอีกครั้ง นัทก็ลุกพรวดพราดทันที
   “นั่นนายจะไปไหนอ่ะ อีกสิบนาทีก็จะประชุมแล้วนะ" สาถาม
   “เดี๋ยวฉันมา" นัทพูด พลางเดินออกจากสตู ในเมื่อเขาและกายตกลงกันแล้วว่าจะทำงานนี้ด้วยกัน แม้ว่าที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เต็มใจนัก แต่ถ้ากายเกิดเป็นประเภทไม่พอใจอะไรแล้วไม่พูดล่ะก็ นัทคิดว่านี่ต้องเป็นปัญหาใหญ่แน่ๆ อย่างน้อยเขาต้องถามกายให้แน่ชัดว่าเขาต้องการอะไร จากงานหรือเปล่า ก่อนที่มิกจะขึ้นมอคอัพ ไม่งั้นก็ได้แก้กันยาว ไบร์ทเคยทำให้เกิดเหตุการณ์คิดเองเออเองโดยไม่ถามบอสแล้วก็ต้องได้แก้งานกันหัวขวิดมาแล้ว มันนรกมากสำหรับสัปดาห์นั้น
   นัทเปิดประตูห้องทำงานของบอสเข้าไปพบเพียงกายที่ยังคงมองรูปในเสก็ตของเขาอย่างพินิจ ขณะที่เงยหน้าขึ้นมามองเขาตามเสียงประตู  และกลับไปทำงานต่อ
   “เอ่อ....” การกระทำนั้นทำเอานัทงงไปอีก แถมเขารู้สึกได้ถึงรัสมีอำมหิตออกมาจากตัวกายอีกด้วย "คุยด้วยได้ไหมครับคุณกาย"
   “มีอะไรเหรอคุณ" กายถามเรียบๆ
   “คือ...เอ่อ...ผมสงสัยเรื่องเสก็ตเมื่อเช้า" นัทถาม
   “อ๋อ...มีเรื่องอะไรเหรอ" กายพูดเรียบๆ แม้ว่าจะยังคงมองงานที่กองบนโต๊ะต่อไป
   “คุณเอ่อ..ต้องการอะไรไหม" กายมองหน้านัทแบบงงๆ "คือผมหมายความว่า มันต้องมีอะไรอีกไหม แบบว่า คุณยังไม่พอใจตรงไหนหรือเปล่า"
   “คุณเห็นผมพูดอะไรหรือเปล่าล่ะ" กายถาม นัทเลิกคิ้ว
   “คือผมเกรงว่า....ถ้าคุณไม่พอใจอะไร แล้วผมตามไม่ทัน" นัทพูด
   “คุณยังไม่ตอบคำถามนะ...คุณเห็นผมพูดอะไรหรือเปล่า" กายถาม
   “ไม่ครับ" นัทตอบ
   “งั้นมันก็ไม่มีอะไร" กายพูด
   นัทก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี อยู่ดีดีเทพทำงานเข้าสิงหมอนี่หรือไงถึงไม่ลุกขึ้นมากวนประสาทเขาซักที
   “งั้นถ้าไม่มีอะไร ผมจะได้ให้มิกขึ้นมอคอัพของบู๊ท"  นัทพูดพลางเดินออกจากห้องอย่างมึนๆ
   “เดี๋ยว" กายร้องทัก นัทหยุดและหันกลับมามอง "ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรคุณ"
   “อะไรนะ"
   “ก็...คุณขึ้นมาก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ" กายพูดราวกับอ่านใจเขาออก "ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไร งานคุณโอเค"
   “อ้อเหรอครับ" นัทโพล่งออกมา "ดีครับ"
   “ขอบใจนะ ที่เป็นห่วงความรู้สึกของผม" กายว่าพลางยิ้มที่มุมปากอย่างเจ้าเล่ห์แม้ว่ามันจะไม่เต็มที่พอจะกวนโทสะของนัทได้ วินาทีนั้น นัทก็เบาใจอย่างประหลาด เป็นอันว่าหมอนี่ยังปรกติ นัทยิ้มให้เป็นคำตอบ และหันหลังกลับ...แต่เอ๊ะ
   “คุณว่าอะไรนะ...ผมเนี่ยนะเป็นห่วงความรู้สึกคุณ" นัทว่า
   “เอ๊า...เป็นอะไรไปอีกเนี่ยคุณ" กายทำหน้างงอีก
   “ก็เมื่อกี้คุณว่าผมเป็นห่วงความรู้สึกคุณ ผมไม่จำเป็นต้องไปเป็นห่วงความรู้สึกคุณหรอกนะ" นัทเริ่มพูดบ้าง
   กายหัวเราะแห้งๆ พลางยิ้มกว้าง
   “แต่ที่คุณขึ้นมาเนี่ย ก็เพราะคุณกลัวว่าผมจะไม่พอใจอะไรแล้วไม่พูดไม่ใช่เหรอ" กายพูดถูกอีก "ผมก็จะได้บอกให้คุณรู้ว่าผมเปล่า....แล้วก็ขอบคุณที่คุณอุตส่าห์เห็นความรู้สึกพอใจและไม่พอใจของผมเป็นเรื่องสำคัญก็แค่นั้น...คุณจะมาโมโหอะไรเนี่ย....ผมยังไม่ได้แกล้งอะไรคุณเลยนะ"
   นัทอึ้งเล็กน้อย ก็จริงอยู่แล้วเมื่อกี้เขาจะโมโหทำไม
   “เอ่อ...ผมก็แค่ไม่อยากให้ต้องทำงานกันลำบากน่ะ" นัทพูด ขณะที่กายยิ้มกว้างขึ้นอีก นัทโกรธมากขึ้นอีก "ผมต้องไปแล้ว มีประชุม"
   นัทพูดพลางเปิดประตู พอดีกับที่คนในออฟฟิศกรูกันเข้ามา
   “จะออกไปไหนอีกล่ะนัท ประชุมห้องบอสไง" สาพูดเมื่อเห็นนัทประจันหน้ากับตนที่ประตู นัทอึ้งอีก นี่เขาเป็นอะไรไปเนี่ย กายกลั้นหัวเราะและอมยิ้มเล็กๆเมื่อมองนัท
   “เอ้า นัท หน้าแดงเชียว อาการเหวอกำเริบเรอะ" มิกพูด อาการเหวอ เป็นอาการที่นัทจะเป็นบ่อยๆ เวลาทำอะไรแตกหัก เดินชนกระจก ลืมรูดซิบหรือแม้แต่เวลามีรุ่นน้องมาบอกรัก และพยายามบอกรักรุ่นน้อง
   มิกลากนัทมานั่งที่ประจำขณะที่เจ้าตัวพยายามหลบหน้ากายอย่างเต็มที่
   “หวัดดีครับทุกคน" กายพูดเมื่อทุกคนนั่งที่เรียบร้อยแล้ว "ผมมีเรื่องจะแจ้งสองเรื่องนะครับ เรื่องแรก วันนี้บอสกำลังเดินทางไปที่โรงแรมเซ็นทาราเพื่อประชุมกับสมาคมนักโฆษณากรุงเทพเรื่องการประกวดรางวัล  B.A.D. Award การประชุมวันนี้ จะเป็นการประชุมผ่านวีดีโอคอนเฟอเร๊นซ์นะครับ ซึ่งจะเริ่มอีก สองนาที"
   แอนลุกขึ้นไปเปิดทีวีหน้าโต๊ะประชุมขณะที่ทุกคนเตรียมสมุดขึ้นมาจด เวลาบอสประชุมผ่านวีดีโอคอลลทีไร พวกเขาจดไม่ทันทุกที
   “เรื่องที่สอง สำหรับ Lovable จะส่งประกวดในเรื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่สีเขียวนะครับ ซึ่งคราวนี้ผมได้รับเกียรติมาร่วมตั้งทีมประกวดโดยมีคุณนัท คุณสา และคุณมิกเป็นหัวเรือใหญ่คราวนี้ครับ"
   เสียงปรบมือดังสนั่น นัท สาและมิกลุกขึ้นยิ้มให้เพื่อนๆในบริษัท อาจยกเว้นไบร์ท
   “ยังไงถ้าใครมีไอเดียอยากจะเสนอ ก็คุยกับพวกเราทั้งสี่คนได้นะครับ" กายพูด "ตอนนี้รู้สึกว่าคุณอาจะพร้อมแล้ว งั้นเริ่มกันเลยครับ"
   ภาพของบอสปรากฎขึ้นในจอพร้อมกับเสียงอู้อี้ นัทพยายามขยับเก้าอี้เพื่อให้มองเห็นจอชัดๆขณะที่บอสเริ่มพูด แต่เขาก็รู้สึกว่ามีเสียงเบาๆมากระซิบที่ข้างหู
   “นัท" กายนั่นเอง
   “อะไรคุณ" นัทหันไปขวมดคิ้ว "ประชุมแล้วนะ"
   “บ่ายนี้คุณว่างไหม" กายพูด
   “มีอะไร" นัทกระซิบเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนคนอื่น
   “ไปกับผมหน่อย" กายพูด
   “ไปไหน" นัทถาม
   “ไปหา Inspiration” กายตอบ
   “แต่....”
   "ผมจะรออยู่ข้างล่างที่รถหลังเลิกประชุมนะ"
   กายเดินออกนอกห้องไปโดยไม่ฟังคำตอบ นัทคิดว่าหมอนี่เทพแห่งการทำงานคงออกไปแล้ว จึงกลับมากวนประสาทเขาได้เหมือนเดิม นัทหันกลับมาฟังประชุมแม้ว่าจะมีสายตาใคร่รู้สองคู่มองมายังเขาจากสากับมิก นัทยิ้มให้ทั้งคู่แหยๆ พลางตั้งใจฟังการประชุมต่อไป โดยไม่รู้ว่ามิกยังคงหันมามองเขาจากมุมๆหนึ่ง โดยที่นัทไม่รู้อะไรเลยจริงๆ
…....

   “คือฉันหมายความว่า มันจะไม่รวดเร็วไปเหรอที่บอสจะให้เราทำ.....” สาพูดกับมิกอย่างเคร่งเครียดขณะที่ทุกๆคนทยอยออกจากห้องบอสหลังประชุมเสร็จ นัทไม่ได้ใส่ใจฟังนัก บทสนทนารอบๆผ่านหูไป นัทกำลังคิดว่าคนระดับกายแล้ว ยังต้องออกไปหา Inspiration ข้างนอกอีกหรือ เขาน่าจะมีคอลเลคติ้งบุ๊คหรืออะไรซักอย่าง ไว้บ้าง แต่นัทก็คิดว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกันที่เขาจะออกไปหา Inspiration กับกาย ไม่งั้นก่อนทำมอคอัพ ไอเดียคงตีกันสนุกสนาน และเขาก็เบื่อที่จะทะเลากับหมอนี่เต็มทน อันที่จริงตอนนี้เขากำลังชั่งใจว่าจะไปหรือไม่ไป
   “นายว่ายังไงนัท" มิกหันมาถาม
   นัทสะดุ้งก่อนจะหันไปมองสาและมิก
   “เอ่อ.....ก็ดี" นัทพูด
   “อะไรนะ ให้ไบร์ทรับงานที่เชียงใหม่ไปทำนี่นะดี" สาร้อง
   “อ้อ...คือ ฉันหมายความว่า มันก็ดีไง เจ้านั่นจะได้ไม่ต้องอยู่ที่สตูอย่างน้อยก็พักนึง" นัทแก้เก้อ
   “อ่อ" มิกพูด "ว่าแต่นายเป็นอะไรหรือเปล่า เห็นอึนๆ มาตั้งแต่ก่อนประชุมและ"
   “เปล่า ไม่มีอะไร" นัทตอบ
   “แล้วตอนเริ่มประชุมคุณกายเขามาคุยอะไรกับนายเหรอ" สาถาม
   “อ๋อ...คือ...เขาชวนฉันไปข้างนอกบ่ายนี้ เห็นว่าไปหา Inspiration” นัทพูด "เขาจะรอฉันอยู่ที่รถตอนเลิกประชุม"
   “เอ้า....แล้วนายรออะไรอยู่ล่ะนัท" สาพูดพลางมองหน้า "เดี๋ยวเขาก็โวยอีกหรอก"
   “เอ้อ...นั่นสินะ" นัทพูด พลางวิ่งไปหยิบกระเป๋าสะพายคู่ใจที่บรรจุสมุดเสก็ตส่วนตัวและปากกาหลากชนิด "งั้นเอ่อ ฉันไปก่อนนะ"
   “อือ" สามองนัทเดินออกจากบริษัทไป "เป็นอะไรของเขานะ ว่ามั้ย"
   มิกไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองนัทวิ่งลับตาไป
   นัทวิ่งมาถึงถนนด้านล่างพอดีกับที่รถสปอร์ตสีดำวิ่งมาเทียบพอดี นัทมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเปิดประตูรถเข้าไปนั่ง
   “มาช้าจังนะคุณ" กายหันมาพูดกับนัทภายใต้แว่นสีดำสุดเก๋
   “เอ่อ...โทษที ผมต้องคุยเรื่องงานกับสาและมิกนิดหน่อย" นัทว่า "แล้วเอ่อ....เราจะไปแกลไหนล่ะ"
   “แกล? คุณหมายถึงแกลลอรี่อ่ะเหรอ" กายถาม
   “ก็ใช่ไง....เวลาผมไปหา Inspiration ผมก็มักไปแกล" นัทพูด กายหัวเราะเบาๆ
   “เหรอ....งั้นเดี๋ยวผมพาไป" กายอมยิ้มก่อนจะบึ่งรถออกจากบริษัททันที
   เป็นเวลากว่าหลายชั่วโมงกว่านัทจะได้รับรู้ว่ากายพาเขามาที่ไหน และนั่นทำให้นัทโกรธแบบสุดชีวิต เมื่อที่ๆเขาต้องนั่งอดทนฝ่าการจราจรมาถึงนี่มันไม่ใช่แกลอรี่มีชื่อที่ไหนเลย แต่มันคือ...สวนสนุกสาธารณะในสวนกลางกรุง
   นัทพยายามไม่โวยวายขณะที่กายกำลังเล่นปืนอัดลมอย่างสนุกสนาน ในซุ้มๆซุ้นหนึ่ง เพื่อพยายามสอยตุ๊กตาล้มลุกให้ได้ และกายก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเขาสามารถสอยเอาตัวที่ยากที่สุดลงจนได้ ชายหนุ่มหันมายักคิ้วให้กับนัทก่อนจะรับเอาพวงกุญแจมา
   “เป็นไง ผมยิงปืนเป็นไบ้าง" กายพูด นัทไม่ตอบอะไรและพยายามไม่มองหน้าหมอนี่ เพราะถ้าเขาเป็นก๊อตซิลล่า เขาคงพ่นไฟใส่กายไปแล้ว "เห้ย อะไรเนี่ยคุณ นี่สวนสนุกนะ ทำตัวสนุกหน่อยสิ"
   นัทไม่พูดอะไรอีกได้แต่มองพวงกุญแจอย่างประเมิณค่า
   “นี่คุณโกรธเหรออะไรผมเหรอ" กายพูด
   นัทถอนหายใจ
   “ที่ผมไม่พูดอะไรเนี่ย เพราะผมเบื่อที่จะพูดกับคุณแล้ว คุณมันก็พวกพูดไม่รู้เรื่องวันยังค่ำ" นัทโพล่งออกมาอย่างเหลืออด "ตอนแรกที่ผมตัดสินใจมากับคุณ ก็เพราะว่าเห็นคุณตั้งใจทำงานจริงจังเป็น และบอกว่าจะพาผมมาแกลเพื่อหา Inspiration แต่สุดท้ายคุณมันก็กวนผมอีกอยู่ดี ผมเลยไม่อยากพูดกับคุณอีก"
   กายอมยิ้มพลางหัวเราะ
   “แต่คุณพึ่งพูดกับผมเองนะเนี่ย พูดยาวมากเลยด้วย" กายว่า ซึ่งนั่นทำให้นัทโกรธมากขึ้นไปอีก ก่อนจะเดินออกห่างจากกายเพื่อหาทางออกจากที่นี่ เขาไม่น่าโง่เลยจริงๆ
   "เห้ยเดี๋ยวดิคุณ" กายวิ่งไปขวางเอาไว้ "ไม่เอาน่า ใจเย็นก่อน ไปเล่นปาเป้าก่อนนะ จะได้มีสามาธิ"
   “ผมจะกลับแล้ว คุณอยากจะเล่นอะไรก็เชิญตามสบาย ผมไม่อยู่แล้ว" นัทว่าก่อนจะเดินออกห่างไปอีก
   “เดี๋ยวก่อนดิคุณ ฟังผมก่อน ผมไม่ได้โกหกคุณนะ ผมพาคุณมาแกลจริงๆ" กายว่า นัทมองหน้ากายอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก "นี่คุณไม่ได้ตามข่าวงานอีเว้นท์อะไรเลยเหรอเนี่ย"
   นัทส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด
   “นี่มันงาน Fun in Park เป็นเทศกาลงานศิลป์ของอาจารย์ไนเจล อาจารย์คุณไง" กายพูดนัทเลิกคิ้ว "จริงจริง ใครจะเอางานวัดมาจัดในสวนกลางกรุงเล่าโธ่ มันมีแกลอยู่ที่สวนด้านโน้น แต่มันยังไม่เปิด ผมก็เลยต้องหาอะไรทำฆ่าเวลาไง"
   นัทมองไปรอบๆ
   “จริงเหรอ" นัทถาม
   “ก็จริงน่ะสิ " กายพูด "งานนี้คอนเซ็ปต์คือความงดงาม สนุกสนาน และรัก น่าสนใจดีออก"
   นัทพยักหน้าน้อยๆ
   “แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนเล่า" นัทโวย
   “ก็คุณอ่ะชอบหงุดหงิดอะไรก่อนเรื่องอยู่เรื่อย ก็ช้าลงซักนิดสิคร้าบบบคุณนัท" กายพูด "แล้วยังจะกลับอีกไหม"
   นัทไม่ตอบได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ พลางมองตุ๊กตาพวงกุญแจในมือของกาย แล้วก็นึกอะไรออกอย่างนึง
   “ได้แค่พวงกุญแจเองเหรอคุณ" นัทพูด กายทำหน้างง
   ก่อนจะทันรู้อะไรนัทก้เดินกลับไปที่ซุ้มยิงปืนอีกครั้ง
   “พี่ ตานึง แปดนัด" นัทพูดพลางวางแบงค์ยี่สิบลงบนเคาท์เตอร์ ก่อนจะจับกระบอกปืนขึ้นมา กายมองนัทอย่างยิ้มกริ่ม
   “ผมได้หกนัด" กายพูดสั้นๆ
   นัทยิ้มพลางเหนี่ยวไกแปดนัดติดกัน และ.....
   “ฮ่าๆๆๆๆ" กายหัวเราะท้องแข็งทันทีเมื่อสิ่งที่อยู่ในมือนัทเป็นของรางวัลมันคือลูกอมสองเม็ด
   “ไม่ต้องมาหัวเราะเลยคุณ ผมยิงได้มากกว่าคุณตั้งลูกนึง" นัทพูด
   “แต่คุณเล่นยิงเอาตัวแต้มน้อยนี่ โธ่ ตัวล่างใครๆก็ยิงได้" กายพูด พลางเอาพวงกุญแจขึ้นมาโชว์ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าเสื้อแล้วเดินจากไป นัทหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะแกะลูกอมขึ้นมากินอย่างหงุดหงิด ก่อนจะวิ่งตามกายไปและยัดลูกอมอีกเม็ดเข้ามือกาย
   “โอ้...ขอบคุณนะ" กายพูดยิ้ม ในขณะที่นัทมองออกไปทางอื่น
   ทั้งคู่เดินมาถึงสถานที่จัดแกลอรี่ที่มีคนเดินเข้าชมไม่มากนัก มันเป็นแกลลอรี่ที่น่ารักเพราะจัดอยู่ท่มกลางต้นไม้ที่ร่มรื่น นัทมองไปรอบๆ นี่มันแกลอรี่ในฝันของเขาทีเดียว
   “นัท นั่นนัทใช่ไหมนั่น" เสียงอันคุ้นหูดังมาใกล้ นัทหันไปก้พบกับอาจารย์ไนเจล คนที่ฝากเขาเข้าทำงานที่ Lovable เขาเป็นศิษย์รักของอาจารย์คนนี้เอง
   “สวัสดีครับอาจารย์ แกลสวยจังนะครับ" นัทกล่าวชม
   “โฮ่ๆๆ ไม่หรอก นี่แค่งานเล็กๆเอง สู้แกลเราไม่ได้หรอก" อาจารย์ไนเจลว่า
   “อย่ายอกันสิครับอาจารย์นั่นมันแกลมหาลัยนี่นา อย่างน้อยนี่ก็แกลอาจารย์เองจริงๆ" นัทว่า
   “แล้วนี่มากับ...โอ้...นั่นกายสิทธิ์หรือเปล่า....ใช่ไหมนั่น" อาจารย์ไนเจลร้องเสียงดัง เมื่อกายเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา "นี่มาด้วยกันเหรอเนี่ย โฮ่ๆๆๆๆ"
   “พอดีเราสองคนผ่านมาน่ะครับ และจำได้ว่าอาจารย์จัดแกลวันนี้" กายพูด
   “โอ...ดูสิมีดีไซน์เนอร์ชื่อดังทั้งสองคนมาอยู่ที่แกล แหม่น่าปลื้มจริงๆ" อาจารย์ไนเจลมองไปมาระหว่างทั้งสองคน "แล้วเป็นไงที่บริษัท พัฒน์เค้าเป็นไงบ้าง"
   “บอสก็...อารมณ์ดีครับ ไม่นับเรื่องงานนะครับ" นัทว่า อาจารย์ไนเจลและกายก็หัวเราะกับความจริงข้อนั้น ทั้งสามใช้เวลาเกือบสิบนาทีในการถามไถ่สารทุกข์ ก่อนที่กายจะปลีกตัวเองออกไป ยังมุมๆหนึ่งของแกล นัทจึงปลีกตัวจากอาจารย์ออกไปหากายตรงมุมนั้น
   “อาจารย์เค้าน่ารักเสมอแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาผมคง.....นี่มัน" นัทมองไปยังภาพเบื้องหน้า ก็ตกตะลึง ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายแนวปรัชญาที่เขาถ่ายไว้ตอนทำทีสิตส่งอาจารย์ รู้สึกตกใจเล็กน้อยที่มันมาอยู่ที่นี่
   “Loveless Society” ทั้งคู่พูดขึ้นพร้อมกันนัทตกใจมากขึ้นอีกที่กายรู้จักชื่อภาพนี้ ทั้งๆที่ตรงนี้ไม่ได้ติดชื่อภาพเอาไว้
   “คุณรู้ชื่องานได้ไงอ่ะ" นัทถาม กายได้แต่ยิ้มก่อนจะเดินจากไป
   “เดี๋ยวดิคุณ คุณรุ้จักชื่อองานได้ไงอ่ะ" นัทวิ่งตามไปถามไป "คุณรู้จักงานผมได้ยังไง เดี๋ยวสิคุณ"
   “คุณจะว่างต่ออีกสักครึ่งคืนได้ไหม" กายหันกลับมาถาม
   “คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลย" นัทว่า
   “เพราะถ้าคุณว่าง ผมจะตอบคุณทุกคำถามเลย" กายพูด นัทมองหน้ากายอยู่อย่างนั้น หมอนี่ชักมีอะไรไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว แถมยังรู้จักงานของเขาอีก เอาล่ะ ไหนๆก็อกมากันแล้ว เขาจะขอล้วงลับพ่อดแห่งวงการซักหน่อย
   “ก็ได้" นัทพูด
   “งั้นก็ดี ไปกันต่อเถอะ" กายพูดพลางนำหน้าไปยังรถที่จอดอยู่ นัทเดินตามไปอย่างไม่รอช้า
   บนถนนใจกลางเมืองซึ่งบรยากาศรอบตัวบ่งบอกเวลามืดค่ำเข้าทุกที เมื่อขึ้นมาบนรถ กายมีรังสีอำมหิตออมาแบบเดียวกับเมื่อเช้าอีกแล้ว นั่นทำให้นัทยังไม่อยากถามอะไร แต่ถ้าหมอนี่เบี้ยวคำตอบเขาล่ะก็ เขาจะไม่ยอมเด็ดขาด แต่นัทก็รู้สึกไม่สบายใจเลยที่กายเงียบแบบนี้ มันทำให้เขารู้สึกอึดอัด
   นานทีเดียวกว่ากายจะพาเขามาถึงจุดหมาย มันไม่ใช่ที่ดีเด่อะไร ก็แค่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมด้วยถุงลูกชิ้นสองถุงมานั่งกิน กายนอนแผ่ลงบนสนามหญ้าตรงนั้น
   “ผมเคยเห็นงานคุณที่ปารีส" กายพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน
   “อะไรนะ" นัทพูด "เพิ่งนึกออกว่าควรพูดหรือไง"
   “อย่าเพิ่งชวนทะเลาะสิคุณ ผมจริงจังนะเนี่ย" กายว่า นัทยิ้มแห้งๆก่อนจะตั้งใจฟังต่อ
   “ตอนนั้นผมก็รู้สึกแปลกใจว่าดีไซน์เนอร์ไทยคนไหนกันที่อาจหาญเอางานตัวเองมาโชว์ถึงเมืองแห่งดีไซน์ได้" กายว่า "เพราะผมยังไม่เคยจัดแกลเองเลยจนกว่าจะทำงาน"
   “มันก็แค่งานของเพื่อนๆใน Lovable นั่นแหละคุณ ไม่ได้ดีเด่อะไรหรอก" นัทว่า
   “แต่ผมชอบความหมายมัน" กายพูด "สังคม ที่ไม่มีความรัก"
   นัทหันมามองกายที่นอนแผ่หลา สายตาจ้องมองขึ้นไปบนฟ้า
   “ผมถูกดึงเข้ามาอยู่ในโลกที่วุ่นวาย แข่งขันและไม่จริงใจ นับตั้งแต่ววนที่ผมเลือกเป็นดีไซน์เนอร์ แทบไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาสังคมที่ผมเจอพร้อมกับความรัก" กายพูด "ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร ผมสนุกกับมัน ผมเอ่อ...รักที่จะท่องไปในสังคมนี้ แสงสี ความหรูหรา...เอ่อ...เซ็กซ์ แต่มันไม่มีความรัก ผมไม่รู้ว่าทำไม แต่ผมรู้สึกถึงความรู้สึกแบบนี้ในงานคุณ"
   “ดีใจจังที่คูณดูรู้เรื่อง" นัทว่า "หลายๆคนดุแล้วกลับบอกว่า นี่มันอะไรวะ"
   “มันอาร์ทล่ะมั้ง" กายว่า นัทหัวเราะแห้งๆ "แต่ผมเห็นจริงๆนะ มันคือความรู้สึกนั้น ผมไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ผมรู้สึกได้"
   “ความเหงาไง" นัทตอบ รอยยิ้มของกายจางลง "ผมสื่อถึงความเหงา ความเหงาที่แฝงตัวอยู่ในสีที่วุ่นวายนั้น มันไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนโลกที่เราอยู่ วงการมายานี่ ไม่มีใครจริงใจ ไม่มีเพื่อน ไม่มี...ความรัก"
   กายมองนัทพลางยิ้มน้อยๆ
   “นั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้ผมสนใจคุณ" กายว่า นัทหันควับมาหากายทันทีพลางทำหน้าฉงน "ผมว่ามันจะต้องสนุกแน่ถ้าจะได้รู้จักกับคนที่ทำภาพนี้ ผมอยากรู้จักเขา รู้วิธีการคิด การทำงานของเขา รู้จักตัวตนของเขา"
   “คุณก็ยังไม่รู้จักอยู่ดีอ่ะแหละ" นัทพูดพลางลุกขึ้น และออกเดิน กายลุกขึ้นนั่งทันที
   “นั่นคุณจะไปไหนอ่ะ" กายถาม
   “ตามมาสิ" นัทพูดพลางเดินต่อไปเรื่อย "เอากล้องมาด้วยนะ"
   กายยิ้มกว้างขณะมองนัทออกเดินแต่ก็ลุกขึ้นและเดินตามไป นัทพากายมายังตลาดท่าเรือริมน้ำที่มีของขายเยอะแยะ ทั้งคู่ระดมถ่ารูปแม่ค้าและข้าวของยามราตรีอย่างสนุกสนาน แสงไฟและความสว่างแบบไม่เป็นธรรมชาติของแสงไฟนี่แหละ มันให้อารมณ์ที่แตกต่างออกไป มันยังคงครึ้กคื้นได้ แม้จะไม่สว่างแต็มที่ มันแสดงถึงความไม่หลับใหล การท่องไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้แสงจันทร์ที่ก็เอาชนะแสงไฟไม่ได้ นี่แหละ เป็น Inspiration ของภาพ Loveless Society ของนัท
   เลยเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้วกว่ากายจะขับรถมาส่งนัทที่บ้าน และจอดนิ่งสนิทอยู่หน้าบ้านของนัท
   “บ้านคุณน่ารักจัง" กายว่าพลางมองเข้าไปในบ้าน "ผมรู้จักบ้านคุณเพิ่มขึ้นอีกจนได้"
   นัทหันไปมองกายอย่างหงุดหงิด "ว่าแต่คุณไปเอาเบอร์ผมมาจากไหน"
   “จากบอสคุณไง" กายว่า "อ๊ะ...อย่าเพิ่งโกรธสิ เราเป็นพาร์ทเนอร์กันนะ จะไม่มีเบอร์กันได้ยังไงเล่า"
   นัทมองกายอย่างไม่ไว้ใจอยู่ครู่หนึ่ง
   “ผมพูดจริงจร๊ิง" กายย้ำแม้ว่าจะยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์อยู่ดี
   “ผมไปล่ะ" นัทพูดพลางเปิดประตูรถ
   “เดี๋ยวนัท" กายร้อง พร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของนัทไว้ นัทตกใจเล้กน้อยพลางมองมือของกายที่กำลังจับมือของเขา
   “เอ่อ...ผมขอบคุณมากนะที่เป็นเพื่อนเที่ยวให้ผม" กายพูดพลางนำของสิ่งหนึ่งใส่มือของนัทที่กายจับไว้ นัทมองดู มันคือตุ๊กตาพวงกุญแจนั่นเอง
   “ผมให้" กายพูดและยิ้มให้นัท "เป็นการตอบแทนไง"
   นัทหัวเราะเบาๆ
   “ขอบใจ" นัทว่าและยิ้มเบาๆ และก็มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น "เอ่อ...คุณ...ปล่อยมือผมได้แล้ว"
   กายยิ้มเขินๆก่อนจะปล่อยมือนัท ชายหนุ่มลงจากรถ ก่อนจะโบกมือให้กายที่ค่อยๆขับรถออกจากหน้าบ้านของนัทไป แม้ว่านัทจะยังคงมอรถนั้นลับหายไปพร้อมกับยิ้มให้กับตุ๊กตาพวงกุญแจนั้น ก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน และนัทก็สังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติ เมื่อไฟชั้นล่างของบ้านยังคงเปิดอยู่ และเมื่อเขาเข้าไปก็พบร่างๆหนึ่งนอนอยู่บนโซฟา มิกนั่นเอง
…......
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:29:48
บทที่ 4 Take Care....ดูแลตัวเองด้วยนะ

   นัทมองร่างที่นอนนิ่งอยู่บนโซฟา ชายหนุ่มคนนี้คือเพื่อนรักของเขามาตั้งแต่เข้าปีหนึ่ง มิกเป็นคนเดียวที่รู้ใจเขาไปเสียทุกอย่าง ซึ่งกลายเป้นว่าเขาสนิทกันถึงขนาดที่แม่ของเขาขอให้มิกมาอยู่เป็นเพื่อนนัทที่บ้านระหว่างที่แม่นัทไปทำงานที่อเมริกา พ่อและแม่ของมิกเสียชีวิตหมดแล้วตั้งแต่ก่อนเขาเรียนจบ เป็นอุบัติเหตุที่น่าเศร้าที่สุดเท่าที่นัทเคยสัมผัสมา แต่มันก็ผ่านมานานมากแล้ว ทุกวันนี้เพื่อนของนัทคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็นภายนอกนัก
   ชายหนุ่มเดินขึ้นไปชั้นบนและลากเอาผ้าห่มผืนโตมาห่มให้กับเพื่อนรัก ก่อนจะนั่งลงข้างๆพอดีกับที่โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเสียงข้อความ

ขอบคุณมากที่ไปกับผมวันนี้
อย่านอนดึกล่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ไ่ม่มีงานมาส่งผม
                                 กาย
    นัทยิ้มให้กับข้อความนั้น ถ้าไม่ติดว่าหมอนี่เป็นคนกวนประสาท กายก็ยังพอมีด้านดีดีนอกเหนือจากเรื่องงานอยู่บ้าง แต่ก็น้อยเหลือเกินจนเขาหาแทบไม่เจอ เสียงขยุกขยิกดังอยู่ข้างตัวพร้อมกับเสียงงัวเงียดังขึ้น
   “ไป....ไหน....มา" มิกค่อยๆลุกขึ้นนั่งพลางขยี้ตา "กลับซะดึกเลย"
   “ก็ไปกับคุณกายนั่นแหละ" นัทยิ้มกว้างให้มิกที่มองเขางงๆ
   “ไปกับคุณกาย" มิกถาม "แล้วไหงอารมณ์ดีล่ะ"
   นัททำหน้าเหวอๆ
   “เอ๊า...ฉันต้องอามรมณ์เสียตลอดหรือไงพออยู่กับหมอนั่นน่ะ" นัทว่าพลางลุกไปรินน้ำที่โต๊ะอาหารและหยิบมาสองแก้ว "เขาพาฉันไปแกลลอรี่ในสวนของอาจารย์ไนเจล แล้วก็ไปตลาดริมน้ำแถวสะพานพุทธน่ะ"
   “อ้อ" มิกดื่มน้ำ "แล้วเป็นไง"
   “ก็ดี" นัทยิ้มกว้างพลางมองโทรศัพท์ "ไม่มีอะไรมากหรอก"
   “งั้นเหรอ" มิกรับคำ แต่ทว่าเขาไม่เชื่อเช่นนั้น นัทกำลังยิ้มอย่างเกินจำเป็น นัทก็เคยยิ้มแบบนี้มาแล้ว ตอนที่เขาแอบชอบน้องรหัสโดยไม่รู้ตัว ตอนที่นัทกำลังมีความรัก
   “แล้วไหงไม่ไปนอนข้างบน" นัทถาม
   “ก็...เอ่อ..รอบอกนายว่ามอคอัพเสร็จแล้ว" มิกพูด
   “โอ้....โทษทีที่ไม่ได้อยู่ช่วย โทษทีๆ" นัทว่า "แกนี่ฝีมือไม่ตกจริงๆเลยว่ะ"
   “ของมันแน่อยู่แล้ว"มิกพูดขณะเก็บผ้าห่ม
   “แล้วทำเสร็จแล้วทำไมไม่ขึ้นไปนอนเล่า ไม่ต้องมารอบอกก็ได้" นัทพูด
   “ก็เผื่อจะให้แก้ไขไง" มิกแถ
   “อย่ามาแถ กฎของแกคือหลังตีหนึ่ง ห้ามปลุกมาแก้งาน หัวไม่ไปไม่ใช่เรอะ" นัทพูด นี่คือกฎของหนุ่มอาร์ทอย่างมิกที่ใครจะละเมิดมิได้ แม่แต่สา "รอฉันอ่ะดิ๊"
   “รู้แล้วจะถามไมวะ" มิกอมยิ้ม
   “ปล่าว...ก็แค่จะบอกว่าไม่ต้องห่วงฉันขนาดนั้นก็ได้  ยังไงก็ดูแลตัวเองด้วย" นัทมองหน้ามิก
   “ฉันดูแลตัวเองเป็นมานานและ แค่อยากลองดูแลคนอื่นบ้าง" มิกพูดและมองหน้านัทกลับ "โดยเฉพาะแกอ่ะ"
   นัทเงียบไปพักนึง
   “ปากหวานอีก ไปนอนได้และ" นัทไล่ "เดี๋ยวอาบน้ำก่อน แล้วเดี๋ยวตามขึ้นไป"
   มิกยิ้มอย่างเข้าใจตัวเองดี ชายหนุ่มลุกขึ้นช้าๆ สงสัยคราวนี้เขาจะช้าไม่ทันคนอื่นอีกแล้ว นัทมองโทรศัพท์และถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะไปทำกิจวัตรของตัวเองและเข้าสู่เวลานอน โดยไม่รู้เลยว่า คนอีกคนที่อยู่อีกฟากนึงของเมืองกำลังมองเขาผ่านท้องฟ้า และนอนไม่หลับเลย
….......

   หลายอาทิตย์ต่อมาไม่มีเรื่องอะไรมารบกวนใจกับการทำงานของนัทมากนัก Inspiration จากงานแกลอรี่ในสวนเอาจริงๆก็ไ่ม่ได้มีส่วนช่วยอะไรในงานเท่าไหร่ พวกเขาทั้งสี่ลงความเห็นกันแล้วว่ามันไม่ใช่ธีมที่ควรทำมากนัก สรุปก็คือวันที่เขาออกไปข้างนอกกับกายจนดึกดื่นไม่ได้ประโยชน์อะไรกลับมาเลย
   “พูดจริงพูดเล่น" สาถามนัทอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็ยิ้มเม้มปากด้วยสายตาที่พยายามบอกว่า...มันช่วยอะไรไม่ได้ "ดูเขาทำสิ ให้ตาย รู้ไหมว่าภาพพวกนี้มันสวยแค่ไหน โอ๊ย มัน....พระเจ้า"
   “โละทั้งเซ็ทเลยเหรอ" มิกถามเสียงกังวล
   “ไม่เหลือซักใบ" นัททรุดลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะดราฟในสตูดิโอ
   “ทำไมนายไม่ช่วยพูดอะไรหน่อยล่ะนัท" สาหันมาโวย
   “หยุดเลยเธอ....เสก็ตฉันก็โดนโละเหมือนกัน" นัทถอนหายใจ สองสามวันมานี่ งานก็เดินเข้าสู่ช่วงประชุมสรุปผลและเตรียมดำเนินงานจริง นั่นทำให้ทั้งสามเครียดมาก เพราะกายกำลังทำให้พวกเขาประสาทเสียด้วยการทวีความละเมียดในการเลือกส่วนประกอบของงานทุกชิ้น และนั่นส่งผลให้งานเกือบครึ่งหนึ่งของพวกเขาถูกโละลงมาอย่างไม่ปราณี
   “แล้วเอาไงล่ะทีนี้" มิกถามสา ที่นั่งกุมขมับ
   “ฉันต้องกลับบ้านและ ฉันยังมีคอลเลคชั่นส่วนตัวไว้อีกชุด" สาพูดพลางลุกขึ้นทันที
   “นี่มันจะเลิกงานแล้วนะสา จะกลับมาทันเหรอ" นัทพูด
   “คุณกายจะเอาบรีฟใหม่มาลงตอนบ่ายสามครึ่ง ถ้าบรีฟเก่าเรายังไม่เสร็จล่ะก็ คืนนี้อย่าหวังจะได้กลับบ้านกัน" สาพูดพลางถอนหายใจ "มิกนายไปส่งฉันทีสิ เดี๋ยวฉันออกค่าอาหารให้เต่าทองแกเอง"
   “แล้วแกล่ะนัท" มิกหันไปถาม
   “เดี๋ยวฉันรออยู่นี่ก็ได้" นัทพูด "ถ้ากายเค้าลงมาแล้วไม่เจอใครเดี๋ยวสตูดิโอบึ้ม"
   สาและมิกหัวเราะแห้งๆ
   “งั้นก็ไป" สาพูดและออกเดินพร้อมกับมิกที่หยิบกุญแจรถ
   นัทนั่งลงจัดหน้ากระดาษในแมคใหม่ และเริ่ม Illustrate งานใหม่อีกครั้ง การขึ้นรูปมันไม่ได้ยากแล้วเพราะเขาทำเจ้านี่เป็นรอบที่หกแล้วตั้งแต่เช้า เขาคงต้องทำส่วนของตัวเองให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยลงไปช่วยทางสาและมิกร่างบู๊ตคร่าวๆ อันที่จริงสิ่งที่รบกวนจิตใจของนัทตอนนี้มันคือความอำมหิตของกายมากกว่า เวลาที่ทั้งสามเอางานขึ้นไปส่งทีไรกายจะมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาทันที ซึ่งนัทก็รับรู้ได้ในหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาว่ามันคือความตั้งใจทำงานของกายนั่นเอง ที่ทำให้เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน แต่เขากำลังประสาทเสีย กายใช้คำพูดรียบๆของเขาโละงานที่เขาทำมาทั้งคืนอย่างทารุณมาก ซึ่งงานวันนี้มันงานที่สี่แล้ว ซึ่งทำให้นัทอึดอัดใจอย่างมาก เขาเข้าใจดีอยู่ว่าการทำงานให้ลูกค้ากึ่งกรรมการคนนี้มันยาก เพราะการแข่งขันระหว่างเอเจนซี่เพื่อชิงรางวัล B.A.D. Award มันสูงมากแต่นัทคิดว่านี่มันเกินไป สมัยเขาเป็นนักเรียนและทำโฆษณาประกวด มันก็ไม่ได้หินอะไรเท่านี้ คิดได้ไม่นานประตูสตูดิโอก็เปิดออกอีก กายนั่นเอง
   “ผมเพิ่งได้ดูมอคอัพของคุณมิก" กายหิ้วเอาโมเดลซุ้มที่เขาและมิกนั่งต่อมาทั้งคืนวางลงบนโต๊ะ "มันไม่ผ่านนะ"
   “อ...อะไรนะ" นัทว่า "ไม่ผ่านเหรอ"
   “ใช่ มันใหญ่ไป งานในสวนนะคุณ มันต้องฟรีเสปซหน่อย" กายพูด
   “ผมว่าคุณควรปรึกษาอินทีเรียนะ" นัทว่า
   “ฝีมืออย่างคุณก็น่าจะทำได้นี่" กายยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะวางกระดาษอีกสองแผ่นลงบนโต๊ะหน้านัท ชายหนุ่มมองมันก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ "บรีฟใหม่ และคอเลคชั่นของชำร่วย แอมเบี้ยนที่คุณเสก็ตมาลูกค้าไม่ชอบ เขาต้องการอะไรที่สื่อถึงมือถือเครื่องนี้ และลูกค้าจะไม่เอาไปทิ้งเวลาเดินออกจากงาน"
   “โอ้....คุณต้องการเท่าไหร่" นัทถาม
   “มอคอัพแปดชิ้น" กายพูด นัทมองหน้ากายจนตาแทบถลน
   “ท...เท่าไหร่นะ" นัทพูด
   “แปด" กายหันมาย้ำ "มีอะไรเหรอ"
   “อ้อ...เปล่าไม่มีอะไร" นัทยิ้มเฝื่อนๆ
   “ก็ดีแล้ว ผมต้องการรูปคุณสาฉบับแก้ใหม่ในอีเมล์ก่อนหกโมงเย็นนะ แล้วมอคอัพซุ้มนี้ ตัวแก้ที่โต๊ะผมก่อนคุณกลับบ้าน" กายเริ่มสาธยาย "แล้วมอคอัพของชำร่วยให้ส่งเสก็ตให้ผมในอีเมล์เหมือนกันก่อนเท่ียงคืนนะ"
   “ได้ครับ" นัทถอนหายใจก่อนจะหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมาดู
   “อย่าช้าล่ะ" กายพูดเรียบๆก่อนจะเดินออกจากสตูดิโอไป
   “พระเจ้า มอคอัพตัวแก้ก่อนกลับบ้าน แล้วเพิ่งเอามาให้ตอนสี่โมงเนี่ยนะ" มิกตะโกนผ่านโทรศัพท์มา นัทโทรหาทั้งคู่ทันที และกระจายงาน เพราะจริงๆแล้วตอนนี้สมองเขาเริ่มตื้อ งานที่กายสั่งมาเมื่อกี้แทบไม่ได้เข้าหัวเลย เขาต้องแบ่งเบามัน"ชั่วโมงนึงฉันจะทำเสร็จได้ไง"
   “แล้วแกกะสาอยู่ไหนแล้วเนี่ย" นัทถาม
   “เพิ่งถึงบ้านสาเหอะ แต่นี่สี่โมงเย็น เด็กน้อยกำลังเลิกเรียน รถติดโคตร" มิกว่า นัทถอนหายใจ
   “เออ...งั้น..เอ่อ.....” นัทพูดพลางเสยผม "เดี๋ยวฉันจะลงมือทำมอคอัพให้แกก่อน แล้วค่อยว่ากัน บอกสาเรื่องส่งรูปเข้าอีเมล์ด้วย ใช้บีบีให้เป็นประโยชน์ซะ"
   “อืม ขอบใจมาก"
   นัทมองมอคอัพตัวที่ต้องแก้อย่างหมดอาลัยหลังจากมิกวางโทรศัพท์ไปแล้ว ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะของมิกและค้นเอาเครื่องมือมาเต็มกล่องและวางลง
   “เอาล่ะ" นัทสบถกับตัวเอง "ได้เวลาทำปราสาทให้พ่อมดจอมกวนแล้ว"
   นัทนั่งลงที่โต๊ะและเริ่มแกะโมเดลออกมาทีละชิ้น โดยไม่รู้เลยว่ากายกำลังมองดูเขาอยู่ที่บันไดขึ้นไปยังห้องทำงานและยิ้มกว้าง
   เวลาผ่านไปช้าๆขณะที่นัทนั่งทำงาน เขาไม่อยากมองนาฬิกา เพราะมันจะทำให้เขาเครียด ได้แต่นั่งตัดโมไปเรื่อยๆอย่างใจเย็น
   “นัท" เสียงผึ้งดังมาจากประตูสตูดิโอ "พี่จะกลับแล้ว นายจะกลับหรือยัง"
   “เจ๊กลับเลยครับ ผมยังไม่เสร็จเลย ต้องรอสากับมิกอีก" นัทร้องตอบแม้ว่ามือยังคาอยู่ที่กระดาษชานอ้อย "เดี๋ยวผมปิดสตูและออฟฟิศให้"
   “ดูให้เรียบร้อยด้วยนะ สู้ๆจ้ะ" ผึ้งพูดให้กำลังใจเขานัทยิ้มให้เป็นคำตอบก่อนจะนั่งทำงานต่อไป
   ล่วงเลยเวลาไปมาก ยังไม่มีวี่แววของสาและมิกกลับมา นัททากาวหลังคาและติดลงที่โมเดลเป็นชิ้นสุดท้าย ก่อนจะหงายหลังพิงเก้าอี้และร้องด้วยเสียอันดัง
   “อ๊าคคคค เสร็จแล้ว" นัทลุกขึ้นพลางมองบรรยากาศรอบตัว มืดแล้ว มองดูนาฬิกามันบอกเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง ชายหนุ่มถอนหายใจ เขาทำงานล่าช้ากว่ากำหนด แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เขาทำคนเดียวนี่นา อย่างน้อยมันก็เสร็จไปแล้วหนึ่งงานที่ต้องแก้ ระหว่างรอรถติด สาก็คงส่งรูปเข้าอีเมล์ไปแล้ว นัทสั่งปรินท์เสก็ตออกมาจากคอม แล้วนำมันขึ้นไปในห้องบอสตามที่กายบอก อย่างน้อยเขาและมิกก็ไม่ต้องเอามันกลับไปทำที่บ้านอีก เปิดประตูห้องบอสทันที
   “อ้าว...คุณ...” กายนั่นเอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะประชุมพร้อมกับกองเอกสารที่แทบจะท่วมตัว แสงไฟจาหหน้าคอมส่องสว่าง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองนัท
   “เอ่อ...โทษทีที่ไม่ได้เคาะประตู ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้ว" นัทพูดพลางเดินเอามอคอัพและเสก็ตเข้ามา "โทษทีที่ผมเอามาให้ช้า"
   “ช่างเถอะ วางไว้นั่นแหละ" กายพูด
   “เอ่อ...นี่คุณยังมีงานอีกเหรอ" นัทถามขึ้น กายเงยหน้าขึ้นจากคอมอีกแล้วพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะกลับไปนั่งทำงานต่อ นัทมองกายอยู่ครู่หนึ่ง เขาชอบมองกายเวลานั่งทำงาน มันดูจริงจัง ไม่เหมือนคนที่คอยกวนประสาทเขาตั้งแต่แรกพบ กายเงยหน้าขึ้นมามองนัทอีกคราวนี้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับมาอีกครั้ง นัทสะดุ้งเฮือก
   “มีอะไรเหรอครับ" กายถาม
   “อ้อ...ปล่าว...ผมก็แค่...เอ่อ.....จะบอกคุณว่า ถ้าไม่มีอะไรผมจะกลับแล้ว" นัทพูด กายยิ้มเจ้าเล่ห์อีก "ผมมีงานที่คุณให้แก้อีก"
   นัทหมุนตัวงงๆอยู่สองทีก่อนจะเดินไปยังประตู
   “อันที่จริงถ้าคุณไม่อยากแก้ก็บอกผมได้นะ ผมเองก็ไม่ได้อยากไปฟิกอะไรคุณมาก คุณเป็นพาร์ทเนอร์อ่ะ ไม่ใช่ลูกทีมผม" กายพูด นัทหันกลับมาหากาย รู้สึกหงุดหงิดทันที จะมาพ่อพระอะไรเอาป่านนี้ เขาและมิกก็ทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นนอตไปเรียบร้อย ยังไม่รวมสา ที่กำลังรอโอกาสเด็ดหัวเขามาจิ้มน้ำพริก
   “ไม่เป็นไรหรอก ผมเชื่อฝีมือพ่อมดแห่งวงการน่ะ" นัทว่า กายหัวเราะเบาๆ
   “ก็เลยแก้มอคอัพนี่มาเป็นปราสาทให้พ่อมดจอมกวนสินะ" กายลุกขึ้นพูดพลางค่อยๆเดินมาหานัทซึ่งหน้าแดงทันที
   “นี่คุณ....”
   “เอาเหอะ ความจริงก็คือ ผมเองก็ถูกคุณอาคุณกดดันมาอีกนั่นแหละ Lovable ไม่เคยเข้าประกวดงานนี้ ผมกับคุณเป็นครั้งแรกของที่นี่ คุณอาก็เลยค่อนข้างหวังน่ะ" กายเล่า ซึ่งนั่นนัทเชื่อจริงๆ เพราะเขาก็รู้จักนิสัยบอสดี ที่ชอบจับแต่งานใหญ่ๆ และมันต้องสำเร็จ นั่นแหละที่ทำให้เขาเรียกที่นี่ว่าโรงฆ่าสัตว์ที่น่าเอ็นดู
   “เหรอครับ" นัทรับคำ
   “ใช่ แล้วยิ่งเป็นคุณ ผมก็เลยต้องตั้งใจกับมันมากๆ" กายพูด นัทมองหน้ากายอย่างงงๆ
   “ยังไงครับ"
   “คุณคือไอเดียไฟแรงยุคใหม่ของวงการ ถ้าคุณชนะงานนี้ คุณจะไปได้อีกไกล" กายพูด "มันจะมีความหมายกับคุณมาก"
   “ผมยังขอยืนยันคำเดิมนะ ว่าผมไม่ได้สนใจงานี้เลย" นัทพูด
   “ผมรู้ แต่ผมอยากให้คุณทำ" กายพูด
   “เพื่ออะไรล่ะ" นัทเริ่มถามกลับ
   “เพื่อคุณไง"
   กายมองหน้านัทอย่างมีความหมาย ซึ่งนัทยังไม่เข้าใจอยู่ดี กายต้องการอะไรกับงานนี้กันแน่ ในเมื่อเหตุผลที่หมอนี่อยากรู้จักเขาก็แค่กายสนใจงานเขา แต่มันเกี่ยวอะไรกับงานประกวดรางวัล B.A.D. Award บ้าบอนี่
   มองหน้ากันอยู่ซักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น นัทสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะรับโทรศัพท์
   “ฮัลโหลว่าไง" นัทรับสายมิกนั่นเอง
   “ฉันอยู่ข้างล่าง นายหายไปไหนอ่ะ" มิกถาม
   “ฉันอยู่ที่ห้องบอส กำลังจะลงไป" นัทพูด
   “จะกลับเลยหรือเปล่าฉันจะได้เก็บของเลย" มิกถาม
   “เอาสิ แล้วเดี๋ยวลงไป" นัทวางหู ก่อนจะหันกลับไปหากาย "มิกเค้ามาแล้ว ผมเอ่อ....ต้องไปแล้ว"
   นัทยิ้มให้ก่อนจะหันหลังกลับแต่ทว่ากายคว้ามือเขาเอาไว้
   “เดี๋ยวก่อนนัท" นัทหันกลับมาพลางมองมือข้างเดิมที่ผู้ชายคนนี้ได้สัมผัสเป็นครั้งที่สองแล้ว นัทมองมันอย่างตกใจเล็กน้อย "ผมรู้ว่าพักนี้เราทำงานกันหนักและคุณก็อาจจะเหนื่อยเพราะผม ผมขอโทษด้วย"
   “อ...อื้ม" นัทตอบอ้ำอึ้ง เขายังตามไม่ทันกับกายนัก
   “ดูแลตัวเองดีดีนะ ผมเป็นห่วง" กายว่าพลางมองหน้านัทอย่างอ่อนโยน
   “อ....อื้ม" นัทตอบเสียงดังขึ้น "ป...ปล่อยมือผมได้แล้วล่ะ"
   นัทดึงมือตัวเองกลับก่อนจะเดินไปที่ประตู กายยิ้มให้พลางเดินกลับไปที่โต๊ะทำงาน
   “คุณก็เหมือนกันนะ" กายหันกลับมาตามเสียงนั้น นัทนั่นเอง "คุณก็....อย่าไปจะซีเรียสกับมันมาก ชนะไม่ชนะมันไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ตัวคุณจะไหวรึเปล่า"
   กายยิ้มกลับมาให้นัท
   “ยังไงก็...ดูแลตัวเองด้วยเหมือนกัน" นัทพูด "ขอบคุณที่เอ่อ...เป็นห่วงผม"
   นัทยิ้มให้กายก่อนจะเปิดประตูออกนอกห้องไป ขณะที่กายก็ได้แต่ยิ้มให้กับประตูจนแทบไม่มีอารมณ์ทำงานอีก
   “ทำไมช้าจังวะ" มิกถามขณะที่ต้องยืนแบกข้าวของรออยู่ที่หน้าออฟฟิศ
   “โทษที กลับกันเหอะ" นัทพูดพลางรับของจากมิกและเดินไปขึ้นรถ
   “อ้าว ยังไม่กลับเหรอสา" นัทร้องทักในรถ
   “ยังหรอก" สาตอบเสียงยานคางมาจากด้านหลังของรถ "ฉันต้องไปช่วยงานนายที่บ้าน คืนนี้ฉันค้างด้วยนะ"
   “อ้อ..โอเค" นัทตอบพอดีกับที่มิกเริ่มออกรถ
   “อ้าว....นั่นรถคุณกายนี่ เขายังไม่กลับเหรอนัท" สาร้องพลางชี้ให้ดูรถที่จอดอยู่ที่หน้าออฟฟิศ นัทสะดุ้งก่อนจะหันไปสบตามิกที่มองกลับมาอย่างมีความหมาย นัทกำลังมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่ เรื่องของหัวใจของเขาที่กำลังจะเปลี่ยนไป
…..
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:37:37
บทที่ 5 In the middle

   หลายวันต่อมานัท มิกและสาสามารถตะลุยฝ่าปราการนรกและเอาชนะพ่อมดแห่งวงการโฆษณา บอสตัวสุดท้ายของเกมส์การประกวดสุดหินนี่ได้ อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่พวกเขานำงานทั้งหมดไปสั่งทำ ทั้งใบปลิว แอมเบี้ยน ของชำร่วย บูู๊ตตั้งงาน และตัวอย่างบิลบอร์ดมันทำให้ทั้งสามรู้สึกสมองโล่งอย่างประหลาด และยิ่งไบร์ทรับงานที่เชียงใหม่ไปทำด้วยแล้ว มันทำให้สตูดิโอดูมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก
   ความจริงข้อหนึ่งที่ทำให้นัทรู้สึกสบายใจมากๆ ก็คือกายเริ่มลดรังสีอำมหิตขณะทำงานลงและดูเป็นมิตรมากขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้สาไม่อยากเด็ดหัวเขาแล้ว และกลับมาสสู่สภาวะกรี๊ดกร๊าดพ่อมดแห่งวงการเหมือนเดิม
   “แหม เขาก็แค่จริงจังกับการทำงานนี่นา" สาว่าขึ้นตอนเช้าวันนั้น "อย่าไปว่าเขาสิ"
   และนั่นก็ำให้สามีเวลากลับไปจู๋จี๋กับมาร์คแฟนหนุ่มได้มากขึ้น ก็เลยไม่แปลกที่วันนี้จะไม่เห็นเธอเข้าออฟฟิศ นัทและมิกก็เลยได้แต่นั่งเลือกรูปสำหรับไปจัดบู๊ตในงานประกาศรางวัลเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์เอเจนซี่ อย่างน้อยงานพวกนี้ก็สบายกว่าเอาตัวเองเข้าไปประกวดเอง
   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น นัทรับสายทันทีเมื่อรู้ว่าเป็นกายที่โทรเข้ามา
   “นี่คุณ....คืนนี้คุณว่างไหม" กายถามผ่านสายโทรศัพท์มา
   “มีอะไรอีกล่ะคุณ" นัทถาม
   “ผมมีธุระจะคุยกับคุณนิดหน่อย" กายพูด "คุณมาได้ไหม"
   นัทมองหยิบสมุดตารางงานขึ้นมาดู
   “ก็พอได้อ่ะ" นัทตอบ "กี่โมงล่ะคุณ"
   “ประมาณสองทุ่ม เจอกันที่คลับเลาจ์ของโรงแรมฟอร์จูนนะ" กายพูดจบก็วางสายไปทันที โดยไม่รอฟังคำตอบของนัท หมอนี่เอาแต่ใจตัวเองอีกแล้วนัทถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย
   เสียงประตูสตูดิโอเปิดออก หน้าของผึ้งลอยเข้ามา
   “นัท มิก" ผึ้งกล่าว "ช่วยอะไรเจ๊หน่อยสิ"
   “อะไรเจ๊" นัทถาม
   “คือเจ๊ยังทำตัดต่องงานที่จะส่งตอนวาเลนไทน์ยังไม่เสร็จน่ะ" ผึ้งว่าพลางยิ้มแหยๆ
   “แล้วไงอ่ะ" มิกถามต่อ
   “คือวันนี้ลูกพี่ไม่สบาย พี่ต้องรีบกลับ แต่บอสเค้าว่าต้องการก่อนทุ่มนึง" ผึ้งพูดพลางทำสายตาอ้อนวอน
   “นี่เจ๊ ถ้าเจ๊อายุน้อยกว่านี้อีกซักหกปีนะ ผมก็จะใจอ่อนหรอก" มิกว่า
   “นี่มิก ว่าพี่แก่เหรอ" ผึ้งโวย
   “อ๊ะๆๆๆๆ ก็ได้ๆ เดี๋ยวผมจัดการเองพี่" มิกพูดพลางลุกขึ้นเดินตามผึ้งไป นัทยักคิ้วให้เป็นกำลังใจ งานของเจ๊ผึ้งเป็นงานที่ค่อนข้างยากและใช้ฝีมือสูง นัทและมิกเจองานแบบนี้อยู่บ่อยๆ
   "เห้ย...จะรอกลับด้วยกันหรือเปล่า" มิกหันกลับมาถาม "เพราะท่าทางจะนานว่ะ"
   “ไม่เป็นไร..คือ...เอ่อ....ฉันมีนัดน่ะ" นัทพูด
   “อ้อ...อืมๆ" มิกพยักหน้ารับงงๆ "งั้น...เอ่อ...ไว้เจอกันที่บ้านละกัน"
   นัทมองมิกหายตัวไปกับผึ้ง พลางมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่สตูดิโอ พลางถอนหายใจ กายทำให้เขาไม่ได้ช่วยมิกทำงานอีกแล้ว แต่ก็ได้แต่ถอนหายใจนั่นเอง นัทลุกขึ้นเก็บของและเตรียมตัวออกเดินทาง
   หนึ่งในไม่กี่เหตุผลที่เขายอมอดทนทำงานกับกายมาจนล่วงเข้าหนึ่งเดือนก็เพราะว่ากายได้พิสูจน์แล้ว่าเขาเป็นมืออาชีพ นัทเองก็ไม่เคยเห็นมีใครที่สามารถเสกสรรค์งานที่แทบเป็นไปไม่ได้ให้ออกมาได้จริงๆ แม้ว่าสิ่งเหล่านั้นเขาจะต้องนั่งทำออกมาก็ตาม แต่ในแง่ไอเดีย กายกินคาดสมชื่อกายสิทธิ์จริงๆ
   นัทใช้เวลาอันยาวนานฝ่ารถที่ติดขั้นรุนแรง ลุยไปถึงสถานที่นัดหมาย ซึ่งมันก็ล่วงเวลามืดแล้ว ชายหนุ่มเข้าไปในโรงแรมและเดินตรงเข้าไปในคลับเล้าจ์ รู้สึกเก้อเขินเล้กน้อย เพราะนัทไม่เคยมาสถานที่แบบนี้เลย นัทมองเข้าไปด้านใน บรรยากาศในร้านมันคือคลับชั้นสูงที่เขาเคยเห็นบ่อยๆในข่าวแวดวงสังคม
   “โทษครับ ได้จองไว้หรือเปล่าครับ" พนักงานหน้าร้านถาม นัททำท่าอ้ำอึ้ง
   “เอ่อ..คือ......”
   “เขามากับผมครับ" แขนของกายสิทธิ์โอบไหล่ของนัทมาจากด้านใดด้านหนึ่ง นัทสะดุ้งสุดตัวก่อนจะหันไปมอง
   “งั้นก็เชิญด้านนี้ครับ" พนักกงานคนนั้นเชิญเข้าไปด้านในขณะที่นัทพยายามสะบัดเอาแขนข้างนั้นออกไปจากไหล่ "โต๊ะนี้นะครับ"
   “ครับผม" กายตอบ "เพิ่งมาเหรอคุณ"
   “นี่คุณ" นัทพูดพลางมองทือที่จับไหล่เขาอยู่
   “อ้อ โทษที" กายยิ้มพลางเลิกคิ้ว "เอ๊า ผมถามว่าเพิ่งมาเหรอ"
   “ก็...ใช่" นัทนั่งลงที่เก้าอี้ "แล้วนี่คุณมีธุระอะไรเหรอ"
   “จะดื่มอะไรไหม" กายถาม "สั่งได้เลยผมเลี้ยง"
   นัทถอนหายใจอีก ขณะที่กายเรียกเด็กเสิร์ฟมาที่โต๊ะ
   “วายน์แดงครับ" กายสั่ง "แค่นี้ก่อนครับ....เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ"
   “ผมถามว่าคุณเรียกผมมามีธุระอะไร" นัทถาม
   กายหันมาทำหน้าเคร่งเครียดใส่นัท
   “ไม่มีอะไรอ่ะ" กายยิ้มกว้าง
   “เอ๊า แล้วคุณเรียกผมมาทำไม" นัทโวย
   “นั่นน่ะสิ แล้วคุณมาทำไมอ่ะ" กายย้อน
   “นี่คุณ" นัทว่า หมอนี่กลับมากวนประสามเขาอีกแล้ว "มิกเขามีงาน ผมอุตส่าห์เลี่ยงเพื่อมาหาคุณนะ"
   “งั้นเหรอ" กายพูดพลางยิ้มกว้างกว่าเก่า "งั้นแสดงว่าคุณก็อยากมาหาผมอ่ะสิ ใช่มะ"
   “จะบ้าเหรอ....ใครจะอยากมาหาคุณ" นัทร้อง
   “ก็คุณไง" กายว่า "ผมยังไม่ทันบอกเลยว่าผมมีเรื่องอะไร แต่คุณก็มา...จริงไหมครับ"
   นัทลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิท จริงๆแล้วกายยังไม่ได้บอกเขาเลยว่ามีเรื่องอะไร ก็จริงที่ว่าพอเขาได้ยินเสียงกายขอให้มา เขาก็มาทันที เขาไม่น่าหลงกลหมอนี่เลย กายก็ยังคงกวนประสาทเขาไม่เปลี่ยน
   “ดี...งั้นผมกลับ" นัทพูดพลางลุกขึ้น
   “เห้ย เดี๋ยวดิคุณนั่งลงก่อน" กายพูดพลางดึงตัวนัทลง "โธ่ ใจเย็นๆดิคุณ ผมเห็นว่าพักนี้งานก็เบาลงแล้ว ผมก็แค่อยากชวนคุณมาดื่มอะไรกันหน่อย วันนี้ผมนัดเพื่อนๆผมเอาไว้ด้วย ผมอยากแนะนำคุณให้พวกเขารู้จักน่ะ"
   นัททำหน้าหงุดหงิดใส่
   “มันไม่เกี่ยวอะไรกับผมเลยนะ" นัทว่า "แล้วผมก็ไม่อยากรู้จักเพื่อนคุณด้วย คุณน่าจะบอกผมก่อน ผมจะได้ไม่มา"
   “งั้นแสดงว่าถ้าผมมาคนเดียว คุณก็จะมากับผมใช่มะ" กายว่า
   นัทเงียบสนิท
   “คุณ...”นัทกัดฟัน
   “ไฮ กาย" เสียงผู้หญิงและเสียงเอะอะดังมาจากภายนอกร้าน กายโบกไม้โบกมือทักทาย นัทมองตามกายไป กลุ่มผู้หญิงและผู้ชายประมาณสี่ห้าคนเดินตรงมาที่โต๊ะของเขาและกาย แต่สิ่งที่ทำให้นัทอึ้งก็คือ....
   “ไฮ ดาร์ลิ่ง เป็นไงบ้างคะ" หญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่มเดินตรงเข้ามาและนั่งลงบนตักกายและหอมแก้มกายอย่าไม่แคร์สายตาคนอื่นๆในร้าน รวมถึงนัทด้วย
   “โฮ่...เอ่อ...ไงเจน" กายดูจะงงแต่ก็ยิ้มและหอมแก้มผู้หญิงที่ชื่อเจนกลับก่อนจะมองนัทแว้บๆพร้อมรอยยิ้ม ในขณะที่เพื่อยๆคนอื่นๆของกายก็กล่าวทักทายกันรอบโต๊ะของเขา โดยที่เจนก็ยังไ่ม่ลุกไปจากตักของกาย
   “กายอ่ะ ไม่โทรบอกเจนเลยนะคะว่ากลับมาเมืองไทยแล้ว พอจบแฟชั่นวีค กายก็หายไปเลย เจนอ่ะคิดถึงกายมากเลยนะคะ" เจนซบตัวลงไปบนไหล่กาย ขณะที่เพื่อนๆคนอื่นๆของกายต่างก็เรียกพนักงานเพื่อสั่งเครื่องดื่ม
   “ขอโทษนะเจนที่ผมมาโดยไม่บอกน่ะ ก็ผมเห็นคุณยุ่งๆไง" กายกล่าว
   “เจนว่างเสมอเพื่อกายนะคะ....” เจนยิ้มกว้างให้กาย นัทมองแล้วรู้สึกหมั่นไส้พิกล หมั่นไส้ผู้หญิงคนนี้นี่แหละ ที่ตอนนี้เขากลับกำลังรู้สึกโกรธ โกรธกายที่ให้เรียกให้เขามารู้จักแฟนเนี่ยนะ งี่เง่า "เอ่อ...แล้วนี่....”
   “อ้อ...เฮ้ยเพื่อนๆ นี่นัท คนที่ฉันเล่าให้ฟังไง ที่เอาภาพขึ้นแกลที่ปารีสตอนเดือนก่อน" กายแนะนำนัทให้เพื่อนๆของเขารู้จัก "เจ้าของภาพ Loveless Society ที่ฉันเล่าให้ฟังไง"
   “หวัดดีค้าบบบ" เสียงสวัสดีดังอื้ออึงรอบตัวนัทซึ่งเขาก็ยิ้มตอบทุกคน จนกระทั่งเจนเอื้อมมือมาข้างหน้า
   “ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ คุณนัท" เจนกล่าว "กายเล่าเรื่องของคุณให้ฉันฟังบ่อยๆ เขาปลื้มภาพคุณน่าดูเลยที่ปารีส"
   “เหรอครับ" นัทกล่าวเรียบๆพลางเอื้อมมือไปจับกับเจน
   “เอ่อ..นัทนี่ เจนนะ เป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์ เขาทำงานให้โวล์คของปารีส นี่ฝนเป็นโปรดักซ์ดีไซน์ ส่วนนั่นแม็กซ์ เป็นสถาปนิก ส่วนสองคนนั่น บิทกับเบนซ์เป็นฟีแลนต์เคยทำแกลมากับผม" กายแนะนำเพื่อนของเขาให้รู้จักทีละคนซึ่งนัทก็ไม่ได้จำได้หมดทุกคนในครั้งเดียวอยู่ดี
   และก็เหมือนกับว่านัทถูกลืมไปจากกลุ่มเพื่อนๆของกาย มีเพียงเจนที่ยังคงนั่งมองเขาด้วยสายตาแปลก แม้ว่าเธอไม่เคยจะขยับตัวออกไปไกลกายเลยแม้แต่นิดเดียว
   “กาย....ไปเต้นเพลงนี้กันเถอะค่ะ" เจนพูดพลางลุกขึ้นและลากกายออกไปเต้นกลางฟลอร์ทันที นัทมองตามไปอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่น่าหลงกลหมอนี่เลย เพราะสุดท้าย  หมอนั่นก็ไม่ได้สนใจเขาเลย
   “ฉันไม่ได้อยากจะมารู้จักแฟนนายเลยให้ตายสิ" นัทพึมพำ
   “เอ่อ...คุณนัทครับ" คนที่ชื่อแม็กซ์ทักเขา
   “ครับ" นัทหันไปตอบ
   “เบื่อๆเหรอครับ" แม็กซ์ถาม
   “ก็นิดหน่อยครับ ผมไม่ค่อยชอบเที่ยวกลางคืน" นัทพูดตามตรง
   “เหรอครับ งั้นก็คงคุมกายมันยากหน่อยนะครับ" แม็กซ์พูด
   “คุมเหรอครับ ทำไมต้องคุมล่ะครับ" นัทถาม
   “กายเค้าขาเที่ยวกลางคืน งานสังสรรค์ไหนเขาไม่เคยพลาดเลยล่ะ ยังไงคุณก็คงเหนื่อยเลยทีเดียวที่ต้องดูแลเขา" แม็กซ์เริ่มพูดเข้าประเด็น นัทเริ่มเข้าใจแล้วและเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องดีแน่
   “เอ่อ...โทษนะครับ ผมกับกับคุณกาย เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันครับ" นัทตอบแตาแม็กซ์ก็หัวเราะเบาๆ
   “ไม่เป็นไรครับผมเข้าใจ กายมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยแหละครับของแบบนี้"
   คำพูดทิ้งท้ายของแม็กซ์ทำเอานัทเงียบสนิท ชายหนุ่มลุกขึ้นทันที
   “อ้าว จะไปไหนครับ" แม็กซ์ร้องถาม
   “เอ่อ...ผมต้องกลับแล้วครับ ต้องขอโทษด้วย" นัทตอบและออกเดินทันที อย่างนี้นี่เอง นัทคิดในใจ หมอนี่มันก็คาสโนว่าในวงการด้วย และนี่ก็คือก๊วนเพื่อนๆท่องราตรีของกายสินะ นัทคิด เขาโง่จริงๆที่หลงตามหมอนี่มาที่นี่ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยพอๆกับวันที่เขาไปแกลอรี่ในสวน เพื่อนๆของกายมองเขาเป็นแค่คนควงของกายแบบชั่วข้ามคืน ทั้งๆที่เขาไม่ใช่แบบนั้นซักหน่อย ยังไม่รวมถึงอาการดูไม่เป็นมิตรของเจน แฟนของกายด้วยที่มองเขาแบบแปลกๆ นัทเริ่มหงุดหงิดขณะเดินออกจากร้านอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต
   “นั่นคุณจะไปไหนอ่ะ" เสียงกายเดินตามตัวเขามา นัทหันหลังไปเห็นกายเดินตามเขาออกมานอกร้าน
   “คุณตามผมออกมาทำไม" นัทว่า "ผมจะกลับแล้ว"
   “อะไร...นี่เพิ่งเริ่มเอง" กายพูด "ไม่สนุกเหรอ"
   “ผมมีงานต้องทำ คุณกลับไปสนุกกับเพื่อนคุณต่อเถอะ" นัทออกเดินอีก
   "งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง" กายว่า
   “เดี๋ยวแฟนคุณก็ว่าเอาหรอก" นัทพูดเสียงดังอย่างหงุดหงิด กายยิ้มกว้างพลางชี้นิ้วย้ำๆใส่นัท "เป็นอะไร"
   “เปล่า" กายพูด "รอตรงนี้แป้บนะเดี๋ยวผมไปส่ง ห้ามหนีไปไหนด้วย"
   นัทส่ายหน้าก่อนจะออกเดินโดยไม่ใส่ใจ แต่กายก็เดินอย่างรวดเร็มเข้ามาที่ตัวเขาและจับเอาของบางอย่างออกจากกางเกงไปอย่างรวดเร็ว....กระเป่าสตางค์
   “นี่คุณทำอะไรอ่ะ" นัทโกรธขึ้นมาจริงๆ
   “ขอโทษนะ แต่ผมไม่ยอมให้คุณกลับเองหรอก" กายพูดพลางเดินกลับไปในร้านเพื่อลาเพื่อนๆของเขา "ผมเคยเห็นคู่นึงในละครเค้าทำน่ะ เพื่อไม่ให้แฟนเค้าหนีกลับก่อน"
   นัทมองกายหายเข้าไปในร้าน รู้สึกโกรธจัดอีกแล้ว เขาคงมีความสุขกับหมอนี่ได้เพียงเวลางานเท่านั้นจริงๆ เพราะนอกจากนั้น เขารู้สึกอยากจะกระโดดถีบหน้ากายมากขึ้นทุกที
   บนรถของกายยามค่ำคืน นัทมองออกนอกหน้าต่างพลางภาวนาให้ถึงบ้านเร็วๆ เพราะเขาไม่อยากจะมองหน้ากายอีกแม้แต่นาทีเดียวไม่งั้นเขาอาจจะทำให้ปราถนาดั้งเดิมของสาที่ลืมเลือนไปกลับมาสำเร็จอีกครั้ง คือเด็ดหัวหมอนี่มาจิ้มน้ำพริก
   “คุณเป็นอะไรอ่ะ ไม่สนุกเหรอ" กายเริ่มถาม นัทถอนหายใจและยังคงไม่ตอบอะไร "อ่อ ไม่อยากพูดกับผมอีกสิ คราวนี้เพราะผมยังไงอีกล่ะ"
   “คุณ หยุด...”
   “นั่นไง ผมว่าแล้ว ว่าเดี๋ยวคุณก็หันมาว่าอะไรผมอีกอยู่ดี ถึงคุณจะบอกว่าไม่อยากพูดกับผม" กายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อีกนัทถอนหายใจอีกครั้ง "เอาล่ะ โอเคๆ ผมขอโทษเรื่องวันนี้ ไม่ว่าคุณจะโกรธผมเรื่องอะไรก็ตามโอเคไหม"
   นัทรู้สึกตกใจเล็กน้อย หมอนี่พูดขอโทษกะเค้าเป็นด้วยแหะ
   “ไม่พูดเรื่องผมชวนคุณมาแบบไม่เต็มใจก็ได้ งั้นเอ่อ...ผมถามอะไรคุณอย่างสิได้หรือเปล่า" กายว่า นัทหันมามองกายอย่างไม่เต็มใจนัก
   “อะไร" นัทถามห้วนๆ
   “คุณว่าเจนเค้าเป็นไงอ่ะ"
   นัทขมวดคิ้วและหันขวับไปอีกทางทันที เรื่องอื่นมีตั้งเยอะแยะทำไม่ถามกัน ถ้าไม่ติดว่าที่แคบ เขาได้ต่อยหมอนี่เข้าให้แน่
   “ก็ดี" นัททำเสียงสูงเกินจำเป็น "เค้าก็ เหมาะกะคุณดีนี่"
   “เหรอ จริงอ่ะ" กายว่า "รู้ไหมคุณ ว่าเจนกับผมเคยเป็นแฟนกันด้วยนะ แต่ก็เลิกกันมาปีกว่าและ สมัยเราเรียนด้วยกันที่ปารีสนะ เราสนุกกันมากเลย ขับรถตะลอนๆฟังเพลงเมทัลร็อค"
   นัทถอนหายใจเสียงดัง เพื่อให้กายรู้ว่าเขารำคาญเรื่องผู้หญิงคนนี้เต็มทน นี่ขนาดเลิกกันแล้วนะ ถ้ายังเป็นแฟนกัน ไม่จูบกันกลางผับเลยรึไง
   “นี่คุณหงุดหงิดอะไรเนี่ย ถอนหายใจบ่อยจัง ผมขอโทษคุณแล้วน้า" กายพูดเสียงยานคาง
   “อยากรู้ใช่ไหมว่าผมหงุดหงิดอะไร" นัทถาม "งั้นผมขอถามอะไรคุณกลับนะ"
   “ได้สิ ชวนผมคุยหน่อย ไม่งั้นผมหลับแน่" กายพูด
   “หลังจากคุณเลิกกับเจนแล้ว คุณควงสาวๆหรือใครๆมาเที่ยวแบบนี้กี่คนแล้วล่ะ" นัทถามเอากายกระตุกรถจนนัทตกใจก่อนจะขับรถต่อไป
   “คุณเอามาจากไหนเนี่ย" กายถาม
   “คุณยังไม่ตอบคำถามผมเลยนะ" นัทใช้คำพูดที่กายมักกวนเขาถามกลับ กายหันมามองเขา
   “ก็มีบ้าง" กายตอบสั้น "คุณสนใจเหรอ"
   “สนใจอะไร" นัทว่า
   “สนใจว่าผมเคยควงใครมาบ้างก่อนคุณน่ะ" กายถาม
   “ผมจะไปสนใจทำไม คุณจะเคยควงใครมันก็เรื่องของคุณดิ" นัทว่า "ผมแค่ไม่อยากให้ตัวเองกลายเป็นพวกแบบคนที่คุณควงแบบข้ามคืนก็เท่านั้น"
   “แล้วใครบอกคุณว่าผมจะควงคุณข้ามคืน" กายยิ้มเจ้าเล่ห์ใส่นัทอีก
   “นี่คุณ ถ้าคุณพูดอะไรแบบนี้อีกนะ ผมจะลง" นัทว่า
   “อ่ะๆ ก็ได้ๆ" กายว่า "ก็...แหม มันก็ทุกคนแหละ ทำอย่างกะคุณไม่เคยมีแฟนไปได้"
   “ใครจะไปรู้" นัทว่า "ผมไม่ได้คาสโนว่าแบบคุณนี่"
   “โห ว่าแรงนะนั่น" กายพูดเสียงเซ็งๆ "เอาไว้ผมจะพาสาวๆในสต๊อคมาให้คุณรู้จักและกัน"
   “เรื่องของคุณ" นัทพูดเสียงแข็ง "คุณจะพาใครไปไหนก็เรื่องของคุณ คุณจะมาบอกผมทำไม"
   “ปล่าว ก็แค่อยากดูอาการ" กายพูดเบาๆ
   “อาการอะไร" นัทถามก่อนจะหันไปที่หน้าต่างและเงียบไป กายยิ้มกว้างก่อนจะขับรถต่อไป
   รถจอดนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าบ้านของนัทในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา กายดับเครื่องยนต์ก่อนจะหันไปหานัท
   “ถึงแล้วคุ.....” ภาพที่กายเห็นคือนัทที่หลับสนิทเอนไปกับเบาะ กายยิ้มน้อยๆให้กับภาพนั้น หัวใจภายใต้ร่างน้อยๆของนัทจะรู้บ้างหรือเปล่าว่าเขาคิดยังไงกับนัท นับตั้งแต่วันที่เขาเห็นภาพ Loveless Society เขาเองก็เคยบอกนัทไปแล้ว ว่าแต่ละคนที่ผ่านมาในชีวิตเขาไม่มีใครที่มาพร้อมกับความรัก คนทุกคนในสังคมที่เขาพบเจอ มันไม่มีใครจริงใจ เขาเลยรู้สึกสนใจนัทอย่างประหลาดแม้ว่าจะยังไม่ได้เห็นหน้า ไม่ใช่แค่อยากจะมาร่วมงานหรอก แต่มันคืออะไรมากกว่านั้น เขาอยากให้นัทอยู่กับเขา อย่างน้อยก็คนที่มีความรู้สึกเหมือนๆกัน
   นัทขยับตัวแล้วลืมตาขึ้น ก็สะดุ้งเมื่อเห็นกายกำลังจ้องมองเขาอยู่
   “ตื่นแล้วเหรอ ถึงบ้านแล้วคุณ" กายพูด
   “แล้วทำไมไม่ปลุกเล่า" นัทพูดพลางปลดเข็มขัดนิรภัยและหยิบกระเป๋า
   “นี่คุณ ผมกับเจนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ คนอื่นๆด้วย" กายพูดต่อ นัทหันมาหากายทันที
   “นี่ยังไม่จบเรื่องนี้อีกเหรอเนี่ย" นัทพูด
   “ผมก็แค่อยากให้คุณรู้" กายพูด "เพราะผมกลัวว่า เดี๋ยวคุณจะหึง"
   “จะบ้าเหรอ คิดอะไรอ่ะ" นัทร้อง "ผมไม่ได้เป็นอะไรกับคุณซะหน่อย ผมจะไปหึงคุณทำไม"
   “เปล่า ก็ถ้าคุณเป็น ผมก็ไม่แปลกใจหรอกถ้าคุณจะหึง" กายว่า "แล้วผมก็จะไม่ว่าอะไรด้วย ดีใจด้วยซ้ำ"
   นัทเงียบสนิทได้แต่มองหน้ากายอยู่อย่างนั้น ความจริงอีกข้อก็คือ เวลากายพูดอะไรแบบนี้กับเขาทีไร เขาก็ใจอ่อนทุกที
   “เอ่อ....ผมจะเข้าบ้านแล้ว" นัทเปิดประตูรถ
   “อ้อเดี๋ยวคุณ คุณลืม....”
   กายดึงนัทเข้ามาในรถอย่างรวดเร็จนทำให้นัทหันหน้ากลับเข้ามาและชนเข้ากับปากของกายพอดี และนั่นก็ทำให้เวลารอบตัวของทั้งคู่หยุดหมุนทันที กายและนัทหันห้ามามองกันช้าๆ ใบหน้าของทั้งคู่อยู่ใกล้กันเกินไปแล้วและ....
   “สมุดสเก็ต" กายยื่นสมุดของนัทให้คืนหลังจากที่เขาเอามาส่งตั้งแต่อาทิตย์ก่อน นัทตื่นขึ้นจากภวังค์ก่อนจะรับมันกลับมา
   “อ้อ..อืม"
   “เดี๋ยวมีอีกเรื่องนึง" กายรั้งนัทไว้อีก ที่ตอนนี้ก็หน้าแดงจนแทบจะระเบิดอยู่แล้ว จูบแบบบังเอิญเมื่อกี้มันก็ทำให้อาการหึงของนัทหายไปหมด
   “อะไร" นัทพูดเบาๆ
   “คุณจะว่าอะไรไหมถ้าผมจะชวนคุณออกไปข้างนอกอีก" กายพูด นัทขมวดคิ้ว "ไปแบบวันที่เราหา Inspiration ไง มีแค่คุณกับผมน่ะ"
   นัทเงียบไปพักนึงก่อนจะมองกายอย่างประเมิณค่า แต่มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ลองเล่นกับหมอนี่ดูซักตั้ง มันก็น่าสนุกดีถ้าเขาจะได้เอาคืนคาสโนว่าคนนี้อย่างสาสม
   “อืม...ก็ตามใจคุณละกัน" นัทพูดเร็วๆก่อนจะก้าวเท้าลงจากรถแต่กายก็ยังรั้งประตูไว้อีก
   “เดี๋ยว...เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ" กายยิ้มกว้างแบบไม่เชื่อหู "คุณไม่พอใจที่ผมชวนคุณออกมาวันนี้ แต่คุณยอมไปกับผมอีกงั้นเหรอ"
   นัททำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
   “อืม...ก็....ถ้าเป็นแบบวันนั้นผมก็ไม่ว่าอะไร ผมเองก็....ไม่ค่อยมีรูปเก็บไว้" นัทพูดแก้เก้อ "แต่ก็อย่าเป็นแบบวันนี้อีกก็ละกัน"
   กายยิ้มกว้างให้นัทก่อนจะหัวเราะเบาๆ
   “เฮ้อ...ค่อยยังชั่ว...ผมอยากให้คุณมีไม่มีรูปในสมุดบ่อยๆจังเลย" กายพูดพลางดึงประตูรถปิดลง และบึ่งรถออกจากหน้าบ้าน นัทได้แต่มองรถขับผ่านไปพลางยิ้มน้อยแล้วส่ายหัว หมอนี่มัน....ฮึ่ย!!!
   นัทกลับเข้ามาในบ้านก็พบกับมิกที่นั่งรอเขาอยู่ที่ชั้นล่างเช่นเคยแต่คราวนี้มิกไม่ได้หลับแต่มองนัทด้วยสายตาแปลกๆ
   “เป็นอะไรไป" นัทพูดพลางนั่งลงข้างๆ "งานเจ๊ผึ้งหนักหรือไง"
   “นัท นายมีนัดกับใครเหรอ" มิกถาม
   “อ่อก็ ไม่มีอะไรหรอก" นัทพูดปัดๆ มิกเม้มปาก "ไม่ง่วงเหรอไงวะ ไปนอนได้แล่ว"
   “แกไปกับคุณกายมาใช่มะ" มิกถามต่ออีก
   นัทเงียบไปพักนึงก่อนจะหันกลับมา
   “เปล่า"
   “แกจะโกหกฉันทำไมวะ" มิกพูดเสียงแข็ง นัทหันไปมองทันที "โกหกฉันแล้วมันจะเป็นยังไงวะ มันจะทำให้แกได้เป็นแฟนกับกายเค้าสะดวกขึ้นเหรอ"
   “แกพูดอะไรของแกวะมิก" นัทหันไปถาม "ที่ฉันไม่บอกก็แค่รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสำคัญถึงขนาดต้องบอก เพราะฉันก็ไม่ได้ไปเพราะเรื่อง...”
   “ไม่ได้ไปเพราะเรื่องงาน...สินะ" มิกลุกขึ้นพลางเดินขึ้นบันได
   “แกต้องการจะสื่ออะไรป่ะเนี่ย" นัทถามตรงๆ
   มิกมองหน้านัทอย่างมีความหมาย ก่อนจะคิดคำพูดออกมาได้
   “เมื่อกี้ฉันเห็นแกกะเค้าที่หน้าบ้าน" มิกพูดสั้นๆ นัทอึ้งเล็กน้อยพลางมองมิกอย่างตกใจ "ฉันว่าฉันเข้าใจอะไรบางอย่าง ดูแกจะลดความไม่ชอบใจเขาลงไปมากเลยนะตลอดหนึ่งเดือนมานี่"
   “ฉันก็เคยบอกแกแล้วไง ว่าฉันไม่จำเป็นต้องหงุดหงิดตลอดเวลาที่อยู่กับเขา" นัทว่า "และฉันก็...ก็...ก็"
   “ก็เพราะว่าแกเริ่มชอบเขาแล้วไงนัท" มิกพูดเข้าประเด็น นัทอึ้งกับคำพูดนั้น
   “ไม่...ไม่ใช่..นั่นนั่น...นั่นมันนอกประเด็นไปแล้ว" นัทพยายามพูด "ประเด็นคือแกโกรธที่ฉันไม่ได้อยู่กับแกเมื่อเย็น"
   “นั่นก็ใช่....แต่แกก็ชอบเค้า" มิกพูด ขณะที่นัทพยายามหลบสายตาเขา "ฉันอยู่กับแกปีนี้ปีที่หกแล้วนะ ของแค่นี้ฉันดูออก ช่างเหอะ ฉันก็แค่อยากจะยืนยันเรื่องที่ฉันสงสัย...ก็แค่นั่น"
   “ฉันขอโทษ...” นัทพูด "ฉันขอโทษที่ทำให้แกต้องรอ"
   “ฉันรอแกมานานและ รอต่ออีกหน่อยไม่ตายหรอก" มิกว่า พลางเดินขึ้นชั้นบน "และฉันก็ไม่ได้โกรธแกเรื่องนั้น เพราะถ้าฉันโกรธแกแค่เพราะแกไปกับคนอื่น ฉันก็บ้าแล้ว"
   นัทรู้สึกว่าเหมือนตัวเองถูกตำหนิทางอ้อม เสียงข้อความโทรศัพท์ดังขึ้น ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะรับมันมาเปิดอ่าน
ขอโทษด้วยที่ทำให้โกรธวันนี้
คราวหลังผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก
ขอโทษด้วยถ้าเพื่อนผมพูดอะไรไม่ดีกับคุณ
                                        กาย
   นัทมองข้อความนั้นก่อนจะปิดโทรศัพท์เห็นหน้ามิกมองเขาอยู่ก่อนจะเดินหายขึ้นไปชั้นบน นัทมองมิกเดินหายไปด้วยความสับสน....นี่เรากำลังชอบหมอนั่นจริงๆเหรอเนี่ย....นัทก่นด่าตัวเองในทุกๆด้านว่ามันต้องมีอะไรผิดพลาด พลางคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ เขาไปหากายโดยไม่จำเป็นต้องทราบว่ากายมีธุระอะไร เขาไม่พอใจเจน เขาไม่พอใจที่เพื่อนๆกายเห็นเขาเป็นหนึ่งในคนที่กายควงไปไหนต่อไหน แต่เขากลับพอใจกับคำขอโทษเล็กน้อย หรือว่า.....
   “ไม่ใช่หรอก" นัทพูดกับตัวเอง "ฉันแค่อยากจะเอาชนะเขา นายผิดแล้วมิก มันไ่ม่มีอะไรมากหรือน้อยไปกว่านั้น"
   นัทกัดฟัน พลางเดินไปทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองก่อนจะเข้านอน แม้ว่าก่อนที่เขาจะเอื้อมมือไปปิดไฟหัวเตียง มือของเขาก็เอื้อมไปหยิบตุ๊กตาพวงกุยแจมานอนกอดมันทั้งคืน
….....
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:54:01
บทที่ 6 Trust No.1

   “นัท แกช่วนขยับตัวหน่อยดิ๊" สาพูดในวันรุ่งขึ้น "เห้ย ได้ยินหรือเปล่า ลืมหูไว้บ้านเหรอ....ไอ้นัท"
   นัทสะดุ้งสุดตัวเมื่อสาตวาดเขา ชายหนุ่มกระเถิบตัวให้สาสามารถเดินไปยังโต๊ะทำงานได้สะดวก
   “โทษที" นัทพูดแม้ว่าจะยังคงนั่งแกว่งตุ๊กตาพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าดินสอ
   “นี่ถามจริงเถอะ ใจนายกะจะจ้องมันให้มีชีวิตมาทำงานแทนนายได้เลยหรือไง" สาพูด
   “เปล่าซะหน่อยน่า" นัทว่า แต่รอยยิ้มของเขาก็หมดลงเมื่อมิกเปิดประตูเข้ามาในห้อง นัทรีบเก็บกระเป็าดินสอทันทีเมื่อเห็นสายตาของมิกมองตรงมาที่โต๊ะเขา
   “อ้าว...กลับมาแล้วเหรอ" สาทัก "ลูกค้าเป็นไงบ้างล่ะ"
   “ก็ดีอ่ะ" มิกตอบสั้นๆก่อนจะเดินไปยังโต๊ะทำงานวางกระเป๋า ก่อนจะหายเข้าไปในห้องครัว นัทมองตามมิกจนลับสายตาไป
   “เอ๊า....” สาอุทาน "แล้วนี่ก็เป็นอะไรไปอีกคน ลืมเอาปากไว้ที่บ้านหรอไง"
   สามองไปมองมาระหว่างนัทกับห้องครัว ก่อนจะรู้สึกถึงอะไรที่แปลกออกไป หญิงสาวเดินเอาแขนกระทุ้งสีข้างของนัท
   “ทะเลาะอะไรกันเหรอ" สาถามนัทเบาๆ
   "เปล่า" นัทตอบเบาๆ "ก็...มันอาจจะแค่เหนื่อยๆมั้ง"
   “งั้นเหรอ" สาพูด
   “ถ้าเธอถามนัทมันอ่ะ ก็คงไม่ได้ความจริงหรอก" มิกพูดขณะเดินออกมาจากครัวพร้อมกับแก้วน้ำ "เพราะช่วงนี้มันกำลังมีความ....ลับน่ะ"
   นัทหันไปมองหน้ามิกและถอนหายใจ มิกเลิกคิ้วมองนัทก่อนจะยิ้มน้อยๆพลางยักไหล่
   “ความลับอะไร" สามองไปมาระหว่างทั้งคู่ "ใคร...ใครมีความลับอะไรกะใคร ..นัท นายมีอะไรเหรอ"
   “ไม่มี" นัทตอบทันที "มิกมันอาจจะคิดอะไรไปเองน่ะ ฉันไม่มีความลับอะไรหรอก"
   มิกส่ายหัวอย่างหงุดหงิดก่อนจะเอางานตัวเองออกมาทำต่อ แต่คราวนี้สาก็เข้าใจแล้ว
   “มีอะไรที่ไม่ได้บอกฉันหรือเปล่าเนี่ย" สาว่า "หึว่าไง โกรธอะไรกันเหรอ"
   สาถาม แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมา หญิงสาวถอนหายใจ
   “เห้ย เราสามคนตกลงกันแล้วนะ ว่าโกรธอะไรให้รีบเคลียร์" สาว่าเสียงดัง "ว่าไงล่ะ นัท นายโกรธอะไร"
   “ฉันมันไม่ได้โกรธอะไรมันหรอก" นัทพูดใส่มิกที่อยู่ตรงหน้า "ฉันไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องของคนอื่น มาพาลใส่อีกคนหรอก"
   “อ้อ เข้าใจและ" สาสูดหายใจเข้าลึกๆ พลางมองมิกที่ก้มหน้าทำงานเงียบๆ สามองนัทและตุ๊กตาพวงกุญแจที่ห้อยอยู่กับกระเป๋าดินสอ "เข้าใจแล้ว"
   สาว่าพลางเดินกลับไปเลือกรูปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง เพราะว่าที่จริงแล้ว มันก็ใช่ว่าเธอจะไม่รู้อะไรเลย แต่เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนและเสี่ยงต่อการหักล้างมิตรภาพของเขาสามคนน่าดู เธอจำเป็นต้องคิดเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง แต่นัทกลับสงสัยเรื่องนี้มากขึ้นไปอีก
   “อะไรเนี่ย" นัทพูดกับสา "อะไรของเธออีก ฉันตามไม่ทันแล้วนะ"
   “ฉันเอ่อ....ขี้เกียจเคลียร์ให้น่ะ" สาว่า "ฉันขอเอ่อ ทำงานก่อน"
   “เอ๊า" นัทร้องสาหันกลับมามองหน้าเขา
   “ฉันพูดได้แค่ว่าการไม่พูดอะไรกันน่ะ มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย ฉันก็เคยบอกแล้ว" ถึงประโยคนี้ สาหันหน้าไปหามิก "แล้วเดี๋ยวมันก็สายไปอีก...ตามเคย"
   สาหันกลับไปทำงาน นัทกำลังจะอ้าปาก พอดีกับที่ประตูสตูดิโอเปิดออก
   “ดูเหมือนสามสหายจะสลายตัวแล้วสินะ" เป็นเสียงกวนโสตประสาทที่กลับมาได้เมื่อเช้านี้เอง นั่นทำให้นัทกลับมารู้สึกว่าสตูดูคับแคบลงอีก
   “ถ้านายไม่หุบปากล่ะก็นะไบร์ท นายจะได้สลายไปตรงนี้แน่" สากัดฟัน
   “ฮึ ก็มาดูว่าใครจะสลายก่อนกัน" ไบร์ทพูดไม่ทันขาดคำเสียงบอสก็ตะโกนลงมาจากชั้นบนทันที
   “นัท นัทอยู่ไหน" เสียงที่บอกถึงปัญหาใหญ่ทำเอานัทสะดุ้งเฮือก เจ้าตัวรีบจ้ำอ้าวออกไปให้บอสพบทันที "ขึ้นมาพบผมด่วนเลย พวกคุณทั้งสามคนน่ะ"
   เสียงบอสหายเข้าไปพร้อมกับเสียงปิดประตูอันดัง นัทหันมามองพวกเขาที่เหลืออย่างงงๆ พลางเห็นหน้าของไบร์ทที่ยิ้มอย่างมีชัย
   นัท สา และมิกที่เดินตามขึ้นมาห่างๆ สาวเท้าขึ้นไปที่ห้องของบอสด้านบน ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไป เห็นกายกำลังเดินออกมาจากห้องประชุมด้วยหน้าตาที่มีรัสมีอำมหิตรอบตัวไปหมด นัทเห็นดังนั้นก็ตรงรี่ไปหากาย ทั้งคู่หยุดมองหน้ากันพักนึง นัทอยากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ทว่าเสียงของผึ้งก็ดังขึ้น
   “เข้าไปหาบอสก่อนนัท” ผึ้งว่า “เดี๋ยวกลับออกมาคุยกับเขาก็ได้”
   กายมองหน้านัทอย่างเย็นชาก่อนจะเดินจากไป ซึ่งนัททำให้นัทรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก ชายหนุ่มและเพื่อนอีกสองคนเดินเข้าไปนั่งลงหน้าโต๊ะของบอส ที่นั่งกุมขมับโดยมีผึ้งยืนถือแฟ้มอยู่ข้างๆ
   “มีอะไรเหรอครับบอส” นัทถาม พอดีกับที่บอสโยนแฟ้มเอกสารเล่มหนึ่งลงบนโต๊ะด้วยเสียงอันดัง
   “พวกคุณดูนี่” บอสว่า “เป็นแบบร่างงานของเอเจนซี่โอเมก้า ลองดูสิ”
   นัทหยิบมันขึ้นมาดู และก็พบว่า...นี่มัน...
   “นี่มันไอเดียเรานี่.....นี่มันของเรา” สาแย่งมันไปจากมือนัท และพลิกหน้ากระดาษอย่างเร่งร้อน “ของเรา นี่มัน ของเราทั้งหมดเลยนี่คะ”
   “ใช่” บอสพูด “ผมอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง”
   “มันเกิดขึ้นได้ยังไง” นัทหันไปมอสากับมิก ตอนนี้มิกได้แต่เงียบและมีสีหน้าที่กังวลอย่างมาก
   “พวกเราไม่ทราบจริงๆค่ะ” สาพูด “มัน..มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่...ที่โอเมก้าจะได้ร่างแบบงานไป เราไม่เคยบอกพวกเขา”
   “แล้วพวกคุณดูนี่” บอสชี้ให้สาดูตัวหนังสือในหน้าสุดท้าย "ชื่อดีไซน์เนอร์ตรงนี้"
   สามองตามไป ก่อนจะสะดุ้งเฮือกและมองมาหานัท และส่ายหน้าช้าๆ นัทมองสายตาเธอที่แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มรับมันมาอ่านช้าๆ
   “อัครพนธ์ จุรีรักษ์" นัทอ่านมันช้าๆ "ม...มิก"
   ทั้งคู่หันไปหามิกที่ตอนนี้ได้แต่จ้องแฟ้มนั้นด้วยสายตาแข็งกร้าว สาและนัทรู้ทันที มิกกำลังอยู่ในอาการช็อค แต่ทว่า มันจะเป็นไปได้ยังไง
   “เห็นชัดว่านี่เป็นการเสนอขายงานโดยคุณ" บอสพูด "คุณเอางานไปเสนอขายโอเมก้าใช่ไหมคุณมิก"
   “ไม่จริงหรอกครับบอส" นัทพูด "ตลอดเวลาที่เราทำงาน มิกอยู่กับผมตลอด มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอางานเราไปเสนอขายคนอื่น"
   “ใช่ค่ะ บอส เราสองคนยืนยันได้" สาพูด
   “ใช่ครับบอส บอสถาม กา...”
   “ว่าไงคุณมิก" บอสไม่สนใจฟังคำพูดของนัทและสาจนจบ แต่หันกลับมามองที่มิกแทน ซึ่งกยังคงจับจ้องอยู่ที่โต๊ะและเงียบสนิทเหมือนเดิม
   “บอกบอสไปสิ ว่าแกอยู่กับฉันตลอด" นัทพูด "บอกสิมิก"
   “แกสองคนเงียบเหอะ" มิกพูดเบาๆ "แกสองคนไม่ได้อยู่กับฉันตลอดซักหน่อย"
   มิกเงยหน้าขึ้นมามองนัทอย่างมีความหมาย นัทกัดฟัน นี่เขาพยายามช่วยมิกอยู่นะ
   “มิก" นัทร้อง
   “มิก นี่คุณขายเราจริงๆเหรอเนี่ย" บอสร้องขณะที่ผึ้งเอามือขึ้นมาปิดปาก
   “แกสองคนออกไปเถอะ" มิกพูดสั้นๆ "บอสครับ ผมอธิบายได้ครับ"
   “มิก!!! นี่แก" นัทลุกขึ้นยืน
   “ฉันบอกให้ออกไปไงเล่า เดี๋ยวฉันคุยกับบอสเอง" มิกพูดเสียงดัง นัทได้ยินเสียงสาสะอื้นเบาๆก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากห้องบอส นัทมองหน้ามิกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินออกจากโต๊ะบอสไปอย่างช้าๆ มิกไม่เพียงแต่จะมองหน้าเขา ไม่มีทาง...เขาไม่มีวันเชื่อเด็ดขาด นัทกัดฟันเดินจากมาอย่างโกรธจัด และจ้ำอ้าวออกจากห้องบอสอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าเขากลับได้ยินคำพูดคำหนึ่งก่อนที่เขาจะปิดประตู เป็นคำพูดจากปากของมิก
   “ผมไม่ได้ทำครับ"
   เมื่อลงมาถึงชั้นล่างสาก็ถลาเข้ามาหาเขาทันที
   “เขาไม่ได้ทำ" สาร้อง "นายก็รู้ เราสองคนรู้ดีอยู่แก่ใจ"
   “มิกก็พูดอย่างนั้น" นัทพูดสั้นๆ ถึงกระนั้นก็เถอะ เขาก็ยังไม่หายโกรธมิก เขาจะทำให้ตัวเองดูน่าสงสัยไปทำไม
   “งั้นเธอสองคนก็พิสูจน์สิ" เสียงของไบร์ทดังข้ามโต๊ะมา "แหม่ แต่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่นี่มันก็แย่มากเลยนะ ไม่น่าเลยน้าเพื่อนนายเนี่ย ทำแบบนี้น่ะ มันไม่เป็นมืออาชีพเลยจริงๆ"
   นัทถลาเข้าไปหาไบร์ทอย่างไม่รอช้า อะไรบางอย่างจากไอ้คนคนนี้มันบ่งบอกเขาถึงอะไรบางอย่าง
   “แกจะไปพูดพล่ามยังไงกับบอสก็ได้ไบร์ท" นัทว่าไบร์ททันที ขณะที่สาร้องห้าม และคนอื่นๆในบริษัทเริ่มกรูเข้ามาที่สตู "แต่ถ้าฉันรู้ว่าแกมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ฉันไม่ปล่อยแกแน่"
   “ก็หาหลักฐานสิ" ไบร์ทท้าทาย "เพราะมันก็คงช้าไปแล้วอยู่ดี กว่าแกจะหาหลักฐานมาเาผิดฉันได้ ถ้ามันมีนะ เพื่อนแกก็คงถูกบอสไล่ออกไปแล้ว"
   นัทกระชากคอเสื้อไบร์ททันที สาถลาเข้าห้าม
   “อย่านึกว่าฉันไม่รู้ว่าแกเป็นคนยังไงนะไบร์ท" นัทว่า "ฉันมั่นใจเชียวแหละว่าแกเกี่ยว และถ้าเพื่อนฉันถูกไล่ออก แกก็จะตามไปติดๆ"
   “ระวังหน่อยเจ้าหน้าใหม่" ไบร์ทสะบัดตัวเองออกจากมือของนัท "สูทนี่แพงกว่าปริญญาแก"
   ไบร์ทเดินออกจาโต๊ะของตัวเองแต่ก็พบกับกายที่รอดักอยู่หน้าประตูสตูดิโอ ไบร์ททำสีหน้าท้าทาย
   “ขอทางด้วยครับคุณกายสิทธิ์" ไบร์ทกล่าว กายยิ้มน้อยๆ
   “ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะหาวิธีอื่นเพื่อหาทางออกนะ" กายพูด
   “นี่คุณกล่าวหาผมเหรอ" ไบร์ทพูด
   “เปล่าครับ ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณซักคำ" กายว่า ไบร์ทเงียบสนิททันที "รีบเหรอครับ"
   “ก็ใช่ครับ" ไบร์ทว่า
   “อย่ารีบไปเลยครับ ยังไงผมว่า มันก็หนีไม่พ้นอยู่ดี" กายพูดเรียบๆ ไบร์ทมองหน้ากายเขม็ง
   “คุณพูดอะไรของคุณอ่ะ ไม่สมกับเป็นมืออาชีพเลยนะ หลีกทางให้ผมด้วย" ไบร์ทว่าเสียงดัง กายยิ้มให้อย่างสุภาพก่อนจะปล่อยให้ไบร์ทเดินจากไป
   “นัท นี่นาย" สาว่า
   “ฉันไม่ปล่อยมันไปแน่" นัทพูด "ฉันมั่นใจ"
   ชายหนุ่มมองกายและคนในออฟฟิศที่มองเข้ามาในสตูเป็นสายตาเดียว
   “เธอช่วยออกไปเคลียร์คนพวกนั้นที" นัทพูดอย่างหัวเสีย "ฉันไม่ต้องการให้มคนเอาเรื่องนี้ไปนินทา"
   สาพยักหน้ารับก่อนจะเดินผ่านกายออกจากสตูและลากเหล่าบรรดาคนอยากรู้อยากเห็นในออฟฟิศออกไปให้สตูดิโอมากที่สุด เหลือเพียงนัทกับกายและความเงียบ นัทมองกายอยู่อย่างนั้น
   “เขาไม่ได้ทำนะ" นัทพูดขึ้นหลังจากเงียบไปนาน "ไม่ว่าคุณจะเชื่อยังไงก็ตามแต่เขาอยู่กับผม...ตลอดเวลา...ผมเป็นพยานให้เขาได้"
   “คุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา" กายพูดเรียบๆ นัทมองหน้ากายเขม็ง
   “นี่คุณไม่...”
   “ผมเชื่อเขานะ" กายพูด "ผมเชื่อเขา...เพราะผมเชื่อใจคุณ"
   นัทเงียบไปอีก
   “คุณหมายความว่ายังไงกันแน่" นัทพูดเสียงเครียด "ผมอยู่กับเขาตลอดเวลา เขาอยู่บ้านเดียวกับผม ตลอดเวลาที่เราทำโปรเจ็คนี้ เราทำงานด้วยกัน"
   “แต่คุณไม่ได้อยู่กับเขาตลอดเวลา คุณอยู่กับผม" กายพูด นัทเงียบสนิท "ถึงคุณจะพูดอย่างนั้นก็จริง แต่หลักฐานมันแก้ต่างตัวคุณไปแล้ว และคุณอาก็รู้ ว่าผมอยู่กับคุณมากกว่า"
   “แต่เขาไม่ได้ทำนะกาย คุณต้องเชื่อผมนะ" นัทร้องออกมาทันที กายเดินเข้ามาจับตัวนัทไว้
   “ผมบอกคุณแล้วไง ว่าผมเชื่อใจคุณ" กายมองตานัทอย่างมีความหมาย "แต่เราพิสูจน์เรื่องนี้ไม่ได้เลย และคุณต้องยอมรับ ว่านี่มันเสียหายมาก กับทั้งคุณ เค้า คุณสา และตัวผมเองด้วย"
   นัทมองหน้ากายทั้งๆที่น้ำตาคลอเบ้า
   “ยังไงผมก็ต้องพิสูจน์ตัวเขาให้ได้" นัทพูด "เขาเป็นเพื่อนผมมานาน ผม...ผมเสียเขาไปไม่ได้"
   “งั้นเราก็ทำอะไรกันซักอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเขา" กายพูดขณะที่เสียงประตูสตูดิโอเปิดขึ้นทันที เป็นมิกนั่นเอง
   มิกมองกายและนัทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินผ่านทั้งคู่ไป
   “เห้ยมิก" นัทเข้าไปทัก "บอสว่าไง"
   “เขาไม่ได้ไล่ฉันออกหรอก" มิกพูดห้วนๆ นัทยิ้มอย่างเบาใจ "แต่ฉันถูกพักงาน จนกว่าฉันจะหาหลักฐานมายืนยันได้ว่าฉันไม่ได้ทำ"
   “อะไรนะ" นัทร้อง "เห้ย...แล้ว...แล้วแกจะทำไง"
   “ฉันจัดการตัวเองได้หรอก แกไม่ต้องมาห่วงฉันหรอก" มิกว่าเสียงดัง
   “แล้วแกจะไม่ให้ฉันห่วงแกได้ไงวะ" นัทร้องเรียก ขณะที่มิกกำลังเก็บของบนโต๊ะ "แกเป็นเพื่อนฉันนะโว้ย"
   มิกมองหน้านัทอย่างเย็นชา ก่อนจะออกเดิน
   “แล้วนี่แกจะไปไหน" นัทถามอีก
   “กลับบ้าน" มิกตอบ
   “กลับบ้าน แล้วแกไม่หาหลักฐานเหรอวะ แกไม่อยากจะพิสูจน์ตัวเองเองหรือไง" นัทร้อง
   “ฉันทำหรือไม่ทำอะไรแกไม่ต้องมายุ่งหรอก แกอยู่ก่างๆฉันไว้ดีกว่า" มิกว่า "ไปไกลๆเหอะ"
   คำพูดนี้ทำเอานัทนิ่งสนิท ซึ่งตัวมิกเองก็ตกใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งได้พูดไปเช่นกัน ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ก่อนที่มิกจะก้าวเท้าเดินและหยุดอยู่ที่ๆกายยืนอยู่
   มิกมองหน้ากายอยู่พักหนึ่งอย่างมีความหมายก่อนจะพบกับสาที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูสตูดิโอด้วยสีหน้าตกใจ ดูเหมือนว่าเธอก็ได้ยินบทสนทนาเมื่อกี้
   มิกเดินผ่านกายออกไปโดยไ่ม่ล่ำรา นัทมองเพื่อนรักหายลับสายตาไป เขาไม่แน่ใจนักว่าบ้านที่มิกกลับไป จะเป็นบ้านของเขาหรือเปล่า แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขารับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆขณะที่สาเดินตามมิกไป ความรู้สึกที่ว่า เขากำลังสูญเสียเพื่อนคนหนึ่งไปตลอดกาล
….......
   บรรยากาศตอนเย็นของออฟฟิศวันนี้ดูเงียบเหงาอย่างประหลาด หลังจากคนในออฟฟิศออกกันไปหมดแล้ว นัทยังคงนั่งอยู่ในสตู ผึ้งเข้ามาในสตูก่อนเธอจะกลับเพื่อวางแฟ้มงานของโอเมก้าเอาไว้ให้นัทดู เผื่อเขาจะให้มันหาหลักฐานเพื่อให้มิกพ้นผิด ก่อนกลับเธอยังคงเชื่อว่ามิกไม่ได้ทำ แต่ก็นั่นแหละ เธอไม่สามารถออกความเห็นใดๆ บอสหายออกไปจากออฟฟิศตอนไหนก็รู้ เหลือเพียงนัทที่กำลังนั่งเหม่อมองแฟ้มที่ผึ้งเอามาให้ตรงหน้า ตอนนี้หัวของเขามันอื้อตื้อ ทำอะไรไม่ถูก เขาไม่รู้จะต้องเริ่มต้นจากตรงไหน
   เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่รู้ สิ่งที่นัทรู้ก็คือบรรยากาศรอบตัวเริ่มมืดลง  มีเพียงแสงไฟจากโคมไฟที่โต๊ะที่เขาเอื้อมมือไปเปิด เมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั่งท่าเดิมนานเกินไป เสียงประตูสตูดิโอเปิดออก เป็นสาที่กลับเข้ามา นัทมองเธอแม้ว่าจะยังคงกุมขมับอยู่
   “เขาไปแล้ว" สาว่า "เขาจะไม่กลับมาอีกแล้ว"
   นัทไม่ตกใจนักกับเรื่องนั้น เขากะไว้แล้วว่ามันต้องเป็นอะไรประมาณนี้ เขาทำใจเตรียมไว้แล้ว ได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะกัดฟัน สาเดินลากเก้าอี้มานั่งลงข้างๆเขา เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “ฉัน...คิดอะไรไม่ออกเลย" นัทพูดเบาๆ ขณะที่มองแฟ้มนั้น
   “เธอว่าใครเป็นคนทำเรื่องนี้ ไบร์ทเหรอ" สาว่า นัทหันมาหาเธอพลางเงียบสนิท มันก็แค่สันนิษฐาน ไบร์ทพยายามทำตัวเองให้น่าสงสัย ซึ่งมันก็พอๆกับที่มิกทำกับพวกเขาและบอส
   “ฉันก็แค่...รู้สึกมั่นใจ" นัทว่า "เอาจริงๆ ฉันก็ไม่มีอะไรไปกล่าวหาอย่างมันว่า"
   “คุณกายล่ะ" สาถาม นัทสะดุ้งพลางมองไปรอบๆ
   “คงออกไปหาอะไรกินมั้ง...” นัทตอบ "เขายังไม่กลับ ต้องเคลียร์กับลูกค้ากรรมการ"
   สามองนัทอยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่านัทจะยังคงมองแฟ้มนั้นอยู่ดี
   “คือ...เอ่อ.....ก่อนมันจะหายไป ฉันได้คุยอะไรกับมันนิดหน่อย" สาค่อยๆพูดอย่างระมัดระวัง"มันเอ่อ....พูดอะไรที่ฉันคิดว่า แกอาจจะอยากฟัง"
   นัทหันมามองสาอย่างเหนื่อยหน่าย
   “อะไรเหรอ" นัทถามเบาๆ
   “อันที่จริงไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องหาตัวคนทำ" สาว่า นัทเบือนหน้าหนีอย่างผิดหวัง "มันบอกว่า ที่มันพยายามกันแกออกจากเรื่องนี้ เพราะว่ามันไม่อยากให้แกเดือดร้อน"
   “ทั้งๆที่ฉันเป็นพยานคนเดียวให้มันได้" นัทว่าเสียงดัง
   “ไม่เลย แกเป็นไม่ได้ เพราะแก...ไม่ได้อยู่กับมันตลอดเหมือนที่ผ่านมาอีกแล้ว" สาพูดเบาๆ "ยอมรับเถอะนัท นายช่วยอะไรมันเรื่องนี้ไม่ได้เลย ตลอดเวลา นายอยู่กับ....คุณกาย"
   “แต่ฉันจะไม่ทรยศมัน ฉันเชื่อใจมัน" นัทแย้ง "เราสองคนรู้ดี มันไม่มีทาง....”
   “แค่นั้น มันไม่ได้ช่วยให้มิกพ้นข้อกล่าวหานะ" สาว่า
   “นี่เธอเชื่อจริงๆเหรอว่ามันทำ เธอเชื่อจริงๆเหรอว่าเพื่อนเรา...."  นัทร้อง
   “ฉันไม่ได้จะมาเถียงเรื่องนี้นะนัท ฉันแค่พยายามจะบอกแกว่า ที่มันกันแกออกไป เพราะถ้าเกิดมันพิสูจน์ตัวเองไม่ได้ อย่างน้อย แกก็ไม่ต้องโดนหางเลขเพราะโกหกเพื่อให้มันพ้นผิด" สาอธิบาย "มันจะไม่ยอมให้แกโดนไล่ออกไปพร้อมกับมันหรอก"
   “แต่ฉัน....”
   “นัท....ใช่ว่าบอสจะไม่รู้ว่าแกทำงานอยู่กับคุณกายบ่อยๆ ฉันเองก็ออกไปถ่ายรูปข้างนอก" สาว่า "มันเป็นความผิดของเราเองนะ ที่ปล่อยให้มันอยู่ที่นี่คนเดียวเกือบตลอดเวลา....นึกดูดีดีสิ"
   ความจริงของสาข้อนี้กำลังทำให้นัทเจ็บปวด เขายอมรับไม่ได้หรอก ที่เรื่องนี้มันจะตอกย้ำเรื่องที่เขาไปกับกายบ่อยๆ มันเป็นความผิดเขาเองที่ปล่อยมิกทำงาน ซึ่งเขากับมิกก็ทะเลาะกันประปรายก็เพราะเรื่องนี้
   “แล้วจะให้ฉันทำไง....ปล่อยมันไปเหรอ" นัทพูดอย่างจนปัญญา "ฉันทำไปทั้งหมดก็เพื่อพยายามช่วยมันนะ"
   “แล้วแกไม่คิดเหรอว่าที่มันทำไปทั้งหมด ก็เพื่อช่วยแกเหมือนกัน" สาย้อนกลับ "มันอาจจะคิดล่วงหน้าไว้แล้ว ว่าถ้าเกิดแกเอาตัวเข้ามาเป็นพยานเรื่องนี้ แกก็อาจจะโดนไปด้วย....นัท เรื่องนี้มันไม่ได้จบที่บอสหรือไล่ออกอย่างเดียวนะ มันเสียหายมาก นายต้องอย่าลืม ว่าเราอยู่ท่ามกลางการประกวด ชื่อเสียงตัวนาย คุณกาย ฉัน บอส บริษัท ถ้ามันมาจบตรงที่ทุกคนพยายามปกป้องคนผิด สมาคมนักโฆษณาจะออกมาประนามเรื่องนี้ นี่มันอนาคตการเป็นดีไซน์เนอร์ที่เหลืออยู่ทั้งชีวิตเลยนะนัท"
   นัทตั้งใจฟังความจริงที่อยู่ตรงหน้า กายคงเข้าใจแบบนี้เหมือนกันสินะ ตอนที่พยายามปลอบเขาและทำให้เขาเย็นลงเมื่อบ่ายที่ผ่านมา
   “แต่ที่ฉันทำ มันคือวิธีที่ฉันเลือกเพื่อช่วยมัน" นัทพูด
   “ไม่ใช่เลย นั่นมันเป็นวิธีที่แกใช้เพื่อจะปกปิดทุกคน เรื่องที่แกไปกับคุณกาย" สาพูดเข้าประเด็นที่ถูกต้องที่สุด ประเด็นนี้เองคือสาเหตุที่เขาต้องทะเลาะกับมิก ประเด็นนี้ทำให้เองที่เขาพยายามบอกว่ามิกไม่ได้ทำ ทั้งๆที่ความเป็นจริงมิกอาจจะทำก็ได้ แต่ที่พวกเขาไ่ม่เชื่อกันเช่นนั้นก็เพราะว่าพวกเขาเชื่อใจมิก มันเป็นแค่ความเชื่อใจ ที่พิสูจน์อะไรไม่ได้
   “แล้วเราควรทำยังไง" นัทพูด
   “ก็อย่างที่คุณกายบอก เราต้องหาหลักฐานเพื่อหาตัวคนผิดให้ได้" สาว่า "ไม่ต้องคิดตามมิก มันอาจจะต้องหายไปเงียบๆซักพักเพื่อหาหลักฐานเอง เราช่วยมันได้แค่นี้แหละ แต่ครั้งนี้มันพลาดเอง เธอต้องเข้าใจด้วยว่าครั้งนี้มันก็พลาดที่โดนคนขโมยงานไปนะ"
   “แต่เธอเชื่อใจมิกใช่ไหม" นัทถาม
   “แน่นอนอยู่แล้ว" สาว่า "เราคบกันมากี่ปีแล้วนัท ฉันมีเหตุผลมากมายที่มั่นใจว่ามันจะไม่ทรยศเรา โดยเฉพาะแก"
   นัทสะดุดกับคำพูดบางอย่าง
   “ฉันถามอะไรแกแกจะตอบฉันตามความจริงไหมสา" นัทถาม มันก็คือเรื่องหลายๆเรื่องที่นัทอยากรู้แต่เขาไม่อยากถาม เพราะเขาไม่ได้อยากจะรู้คำตอบขนาดนั้น สายิ้มน้อยๆ
   “ถ้าแกคิดว่าแกรู้แล้ว แกจะถามฉันทำไม" สาว่า นัทอึ้งเล็กน้อยก่อนจะทรุดนั่งลงกับเก้าอี้
   “นี่มัน....จริงๆเหรอ" นัทถามอย่างตกตะลึง
   “แล้วแกคิดว่าไอ้ที่มันดูแลแกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง ย้ายไปอยู่กับแก เอ่อ....รอแกกลับบ้านทุกคืน ทำงานให้แก ช่วยให้แกพ้นผิด มันจะทำไปทำบ้าอะไรล่ะ" สาว่า "ฉันจะบอกอะไรแกข้อนึงนะนัท แกมันดื้อ แกไม่ยอมเชื่ออะไรเลย แกปิดหูปิดตาตัวเอง ขนาดความจริงอยู่ตรงหน้าแก แกยังทำไม่เห็นได้เลย แกเป็นอย่างนี้มาเสมอ"
   นัทถอนหายใจก่อนจะก้มหน้าลง
   “และอีกอย่าง แกอย่านึกว่าฉันไม่รู้อะไรเลยนะนัท ถึงฉันจะไม่ค่อยอยู่ก็เหอะ ฉันมองพวกแกแว้บเดียวฉันก็อ่านออกหมดแล้ว เราสามคนถึงอยู่ด้วยกันมาได้นานถึงขนาดนี้ไง ทำงานด้วยกันดี เพราะพวกเราต่างกันสุดขั้ว แต่เราถอยให้กันตลอด" สาพูด "แกเด่น แกเยี่ยมทุกอย่าง แต่แกก็ไม่เคยรับรู้อะไรง่ายๆ แกไม่เคยยอมรับอะไรเลย แต่แกจะเชื่อใจคนอื่นเสมอ แกพร้อมทำทุกอย่างเพื่อคนอื่น แม้ว่าแกจะไม่ได้ยอมรับเขาก็ตาม...ฉัน ฉันมันก็แรดไปวันๆ แต่ฉันเร็ว ฉันตามเกมส์พวกแกทัน ฉันเข้าใจมิกเข้าใจแก ถึงแม้ว่าแกจะไม่ได้พูดกับฉันซักคำ...แต่มิก มันติสต์แตก มันขี้งอน แต่มันยอมรับฟังคนอื่น มันยอมรับคนอื่นได้ มันยอมรับแกได้ มันถึงได้ชอบแกไง แต่มันจะไม่มีวันพูด เพราะมันเป็นคนไม่พูดไง"
   “แล้วทำไมมันไม่บอกฉัน การไม่พูดมันช่วยให้อะไรดีขึ้นมา" นัทแย้ง "การที่มันไม่พูด ถึงทำให้มันได้รับอย่างที่โดนอยู่นี่ไง"
   “ก็เพราะมันไม่คิดว่า จะมีวันที่แกได้เจอกับคนอื่น" สาพูด "พอคนอื่นเข้ามาในชีวิตแก มันจะพูดหรือไม่พูดมันต่างกันตรงไหน ยังไงมันก็เสียแกไปอยู่ดี"
   นัทอึ้งทันที ส่วนลึกๆในใจเขาที่พยายามไม่ยอมรับก็เพราะว่าคนอื่นคนนั้น...คือ กาย นั่นเอง
   “พอเลยสา...พอเลย เธอกำลังจะเบี่ยงประเด็น เรื่องนี้มันไม่ได้ทำให้มิกพ้นผิด" นัทพูด
   “เห็นไหมล่ะ นายก็จะไม่ยอมรับมันอีก นายทะเลาะกับมิกก่อนจะเกิดเรื่องก็เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ"สาพูดได้ตรงจุดอีก
   “สา..นี่เธอกำลังจะ"
   “เธอชอบคุณกายสิทธิ์ใช่ไหมล่ะ" สาถามทันที นัทอึ้งกับคำถามนั้น ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น สาถอนหายใจ "แกไม่ต้องตอบคำถามฉัน....ก็อย่างที่แกบอก...มันนอกประเด็นไปแล้ว"
   นัทหอบหายใจถี่รัวน ราวกับเพิ่งวิ่งมาเป็นระยะทางหลายกิโล ราวกับว่าเขากำลังหนีอะไรบางอย่าง หนีตัวเอง สานั่งลงกับเก้าอี้อีกครั้ง
   “ฉ...ฉันไม่ได้ตั้งใจ..ที่ไปชอบ...” นัทพยายามพูดอะไรบางอย่าง เขาจนมุมแล้ว
   “ฉันไม่มีความเห็นเรื่องนี้" สาพูดตัดบท "มันเรื่องของแกกับมิกที่ต้องไปเคลียร์กันเอง ฉันต้องกลับไปเป็นผู้เฝ้ามองเหมือนเดิม ไม่งั้น เราจะล้ำเส้นกันเอง"
   นัทถอนหายใจอย่างโล่งอก
   “แต่สำหรับฉัน ฉันดีใจ ที่แกแคร์ความรู้สึกมิกมันในวันนี้ ฉันพนันว่ามันก็ดีใจ" สาว่า "แต่สำหรับคุณกายสิทธิ์ ฉันไม่รู้.....ฉันยังไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง ทุกคนนั่นแหละ"
   และแล้วก็เข้าสู่สภาะความเงียบ นัทและสาไม่ได้พูดอะไรกันอีกนานทีเดียว ล่วงเลยเวลาไปพักหนึ่ง เสียงประตูสตูดิโอเปิดขึ้นอีกครั้ง กายนั่นเอง
   “ดีใจจัง...ที่...ที่พวกคุณยังอยู่” กายพูดเสียงหอบเหนื่อยก่อนจะถลาเข้ามาในห้อง นัทพยายามหลบตาสาเหมือนที่ทำกับมิก แต่สาไม่ได้ใส่ใจเรื่องนัทกับกายขนาดนั้น ยังไงถ้าความสัมพันธ์ของกายและนัทมันไปไกลมากกว่านั้น เธอก็รู้เองได้อยู่ดี ในความเห็นเธอ นี่มันเพิ่งเริ่มต้น
   “มีอะไรเหรอคะ" สาถาม ขณะที่ดูเอกสารที่กายหิ้วมา
   “ผมว่าตอนนี้ มีเค้าแล้วล่ะ ว่าคุณมิกไม่ได้ทำ" กายพูด พลางวางกองกระดาษลงบนโต๊ะ นัทมองดูมันอย่างพินิจ ถ้านี่เป็นควมจริง ความหวังที่เขาจะช่วยมิกมันก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
….........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 21:55:03
บทที่ 7 Trust No.2

   “บัญชีรายได้ของคุณมิก เห็นได้ชัดแล้วว่า เขาไม่รายรับใดใดอีกนอกจากเงินเดือนของที่นี่" เสียงกายกล่าวขึ้นในห้องประชุมบริษัทท่ามกลางคนในออฟฟิศทั้งหมดรวมถึงบอส ในเช้าวันต่อมา
   "ผม คุณนัท และคุณสา ทำโปรเจ็คนี้เสร็จสั่งทำได้เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เป็นไปไม่ได้ที่คุณมิกจะเปิดบัญชีใหม่เพื่อรับเงินจากบริษัทโอเมก้าได้ทันภายในสองวัน" กายเล่าต่อ "ผมได้ให้เพื่อนๆผมที่ทำงานอยู่ที่โอเมก้า ครีเอทีฟแอนด์ดีไซน์ลองตรวจสอบดู กลับพบว่าไม่เคยพบคุณมิกเข้าไปเสนองานที่บริษัทเลย และยังกล่าวอีกว่าพวกเขาได้รับงานที่เป็นของทีมบริษัทเรานี้มาเมื่อตอนเย็นของเมื่อวาน ทางอีเมล์"
   คนในห้องประชุมพยักหน้ารับรู้กับความจริงที่กายเล่าให้ฟัง ขณะที่นัทและสาได้ใช้โสตประสาทที่มีทั้งหมดจับจ้องไปยังไบร์ทที่มีสีหน้าเป็นกังวลตลอดเวลา
   “ซึ่งเวลาเดียวกันนี้ของเมื่อวานทางโอเมก้า ก็ได้ประชุมกันคัดเลือกผลงานเพื่อสั่งทำ ซึ่งได้ผลสรุปเป็นงานที่กล่าวหากันว่าคุณมิกเอาไปเสนอทางนู้นประมาณสิบโมง ทางโอเมก้าจึงส่งอีเมล์กลับมาแจ้งคุณมิกว่าผลงานของเขาได้รับคัดเลือกจากบริษัท ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่แฟ้มถูกส่งมาให้คุณไบร์ทว่าคุณมิกได้ขายงานของเราให้กับทางนู้นพอดี" กายว่าพบางหันหน้าไปมองไบร์ท "ใช่ไหมครับคุณไบร์ท"
   “ใช่...ก็...มันก็ประมาณนั้นแหละ" ไบร์ทตอบทันที
   “และทางโอเมก้ายังบอกมาอีกว่าพวกเขาจะโอนเงินค่าดีไซน์ให้กับคุณมิกในอีกสองวัน แต่เขาปฎิเสธที่จะให้เลขที่บัญชีกับผม ดังนั้น ดีไซน์เนอร์ในวงการเราคนใดก็ตามที่มีเงินไหลเข้าบัญชีวันนี้ คนนั้นคือคนที่จงใจใส่ร้ายคุณมิก และขโมยงานของผมไปขายให้กับบริษัทโอเมก้า "ซึ่งผมก็กำลังให้เพื่อนๆในวงการช่วยๆตามกันอยู่ครับ"
   “แล้วเพื่อนของกายเขาจะไว้ใจกันได้แค่ไหน" บอสถามขึ้น
   “พวกที่ผมให้ช่วยส่วนใหญ่ เป็นฟีแลนต์ครับคุณอา พวกเขาไม่ได้ทำงานให้กับบริษัทไหน" กายว่า "ผมจึงอยากฝากให้พวกคุณระมัดระวังเรื่องบัญชีไว้ด้วย และผมก็ได้บังคับให้คุณมิกระงับการติดต่อกับธนาคารทุกที่ไว้แล้ว เพื่อไม่ให้เขาได้เปิดบัญชีเพื่อรับเงินด้วยวิธีใดๆก็ตาม และเพื่อความบริสุทธิ์ของตัวเขาเอง มีเรื่องจะแจ้งแค่นี้ครับ"
   คนในออฟฟิศต่างลุกหูและส่งเสียงซุบซิบกันอย่างเมามันเมื่อกายบอกเลิกประชุม นัทและสาไม่เห็นไบร์ทอีกหลังจากคนในห้องปนเปกันวุ่ยวาย จึงเหลือเพียงแต่ นัท สา กายและบอสในห้องประชุมเท่านั้น
   “แล้วเรื่องทางกองประกวดล่ะครับคุณอา" กายถามหลังจากหลายๆคนออกไปหมดแล้ว
   “ทางโอเมก้าบอกกับอาว่าลูกค้าของเขายังไม่เห็นงาน" บอสพูด "เขายังพอฟังเราอยู่บ้างและบอกว่าจะให้เวลาเราสามวันในการหาคนผิด ไม่อย่างนั้นเขาก็จะเอางงานนนี้ไปเสนอลูกค้า และคุณมิกก็จะโดนเล่นงานทันที และอาก็จำเป็นต้องไล่เขาออก"
   “เป็นวันหลังจากที่ที่บัญชีได้มีเงินโอนเข้ามาสินะ" นัทพูด
   “งั้นเดี๋ยวผมไปจัดการต่อเองครับ" กายพูดพลางสะกิดให้นัทกับสาเดินออกมาจากห้องของบอสมายังประตูด้านนอก
   “เอาล่ะ ผมทำได้แค่นี้" กายพูดเรียบๆ
   “คุณหมายความว่ายังไงอ่ะ" นัทพูด "นี่คุณจะไม่ช่วยเราแล้วเหรอ เราทีมเดียวกันแล้วนะ ที่เหลือเราก็แค่สั่งไม่ให้ไบร์ทเปิดบัญชีใหม่ แล้วก็รอเวลาให้เงินโอนเข้าบัญชีมัน"
   “เราทำอย่างนั้นไม่ได้" กายพูดแต่นัทกลับหงุดหงิดขึ้นมาอีก
   “ทำไมล่ะคุณ มันเห็นๆกันอยู่แล้ว อีกแค่นิดเดียว" นัทร้อง กายส่ายหน้าช้าๆพลางหันไปหาสา
   “คุณเข้าใจใช่ไหม คุณสา" กายถาม
   “ก็เพราะนั่นจะทำให้ไบร์ทมันว่าเราได้น่ะสิ ว่าเราไปจับตามัน มันจะกล่าวหาเราได้ว่าเราถูกใส่ความ" สาหันมาอธิบายให้นัทฟัง "เราต้องหยุดอยู่แค่นี้"
   “แต่ถ้าทำอย่างนั้น มันก็แค่ไปเปิดบัญชีใหม่ที่ไหนก็ได้ แล้วก็โอนเงินที่ได้มาออกไปที่ไหนซักที่" นัทพูด
   “ข้อมูลธนาคารเราขอไม่ได้จนกว่าเงินจะถูกโอนเข้ามา แล้วเราแจ้งขอดูผ่านการแจ้งความ" กายพูด "เราต้องรอจนกว่าไบร์ทจะได้เงิน เพราะผมไม่อำนาจเข้าไปขออะไรทางโอเมก้าไม่ให้โอนเงิน เพราะแค่นี้ เขาก็ยอมเรามาเยอะพอแล้วในฐานะคู่แข่ง ไม่งั้นเขาคงแจ้งกรรมการไปแล้ว"
   “คุณกายพูดถูกนะนัท"สาพูด "ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือกันไม่ให้ไบร์ทไปถึงธนาคาร ในวันพรุ่งนี้"
   “แล้วเราจะไปตามเฝ้ามันได้ยังไงล่ะ" นัทพูด "ถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดจริง เราก็ทำได้แต่นั่งอยู่ที่นี่เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันตัวเองว่าเราไม่ได้เข้าข้างมิกแล้วกล่าวหาไบร์ท"
   “ก็ให้คนที่ควรหาหลักฐานทำไง" สาว่า
   กายยิ้มให้กับนัท นี่เป็นปผนที่ยอดเยี่ยมที่สุด นัทยิ้มกว้าง
   “เอาล่ะ คุณสองคนไปบอกคุณมิกนะว่าเขาควรทำอะไร" กายพูด "ผมขอไปพบลูกค้าแล้วบอกเขาว่าของที่สั่งทำมันอาจจะล่าช้าไปหน่อยละกัน"
   “งั้นเดี๋ยวฉันลงไปข้างล่างก่อนนะ อยากจะรู้เหมือนกันว่าไบร์ทมันจะมีปฎิกิริยายังไงเมื่อโดนไปขนาดนี้" สาพูดอย่างมีชัยพลางสาวเท้าลงไปชั้นล่างทันที กายและนัทมองเธอวิ่งจากไป
   “ดูพวกคุณจะมั่นใจว่าเป็นคุณไบร์ทกันน่าดูเลยนะ แต่ก็นะ ตารางการบินการกลับเชียงใหม่บ่งบอกว่าเขากลับมากรุงเทพตั้งแต่คืนก่อนแล้ว และแถมเขาเข้ามาที่นี่คืนที่งานถูกส่งไปที่โอเมก้าโดยอีเมล์ซะด้วย" กายพูด
   “ซึ่งเป็นคืนที่มิกไม่อยู่สตูเพราะเขาไปช่วยงานเจ๊ผึ้ง และผมออกไปกับคุณ" นัทพูดต่อ
   “ยังไงก็ตามผมขอให้คุณใจเย็นนะ ผมไม่อยากให้เรื่องไปถึงตำรวจ แค่ไล่ออกแล้วให้เรื่องจบที่นี่ดีกว่า เพราะอย่างน้อยก็เพื่อชื่อเสียงบริษัทเรา" กายพูด "ไม่งั้นเรื่องการประกวดเราจะเสียคะแนนไปเปล่าๆ"
   “อืม....” นัทรับคำ แม้ว่าเขายังอยากจะให้ไบร์ทได้รับโทษก็ตาม เมื่อคืนหลังจากที่เขา สาและกายสืบหาข้อมูลทั้งตารางการบิน กล้องวงจรปิดของบริษัท ทุกเรื่องที่น่าสงสัย จะมีไบร์ทปรากฎตัวอยู่ที่นั่น ลางสังหรณ์ของนัทมันไม่พลาดจริงๆ ไบร์ทโกหกเรื่องการกลับมาจากเชียงใหม่ แค่นี้มันก็ทำให้เกือบทุกเรื่องกระจ่างแล้ว
   “งั้นผมไปก่อนนะ" กายพูดพลางเดินลงบันได
   “เอ่อ...ผมขอบคุณคุณมากนะ" นัทพูดขึ้น กายถึงกับหยุดและหันกลับมามองด้วยสายตาเจ้าเล่ห์และรอยยิ้ม "อะไรนะ เมื่อกี้..คุณขอบคุณผมเหรอ"
   “ก็...อืม" นัทพูดไม่เต็มปาก
   “ฮะ....นี่คุณรู้ไหม ว่านี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่คุณขอบคุณผม" กายว่า "และทั้งสองครั้ง คุณก็ชอบพูดตอนที่ผมกำลังจะเดินจากคุณไปทุกทีเลย"
   นัทรู้สึกตกใจ หมอนี่เอาเวลาที่ไหนมานั่งจำเรื่องเหล่านี้กันนะ
   “คุณจะมานั่งจำเรื่องนี้ทำไมเนี่ย" นัทว่า "มันก็แค่...ผมขอบคุณ"
   “เปล่า ผมก็แค่ดีใจ เวลาที่คุณพูดดีดีกับผม แบบออกมาใจจริงๆแบบคำว่าขอบคุณน่ะ" กายพูด "และที่สำคัญ ผมอยากจำทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับคุณ"
   กายยิ้มให้นัทครั้งนึงก่อนจะเดินลงบันไดหายไป นัทนิ่งสนิทอยู่ตรงนั้น รู้สึกแปลกใจพิกล หรือว่าหมอนี่จะมีอำนาจกายสิทธิ์จริงๆ เพราะนัทก็รู้สึกแล้วจริงๆ ว่าเขากำลังชอบกาย...สะบัดหัวไล่ความคิดงี่เง่าออกไป....ใครกันจะไปชอบคนอย่างหมอนั่น.....นักขมวดคิ้วและส่ายหัวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะสามเท้าลงบันไดและเดินตรงไปที่สตู
   สตูดิโอดูเงียบอย่างประหลาดเมื่อมันเต็มไปด้วยไฟครุกรุ่นที่สานั่งจ้องมองไบร์ทอย่างไม่คาดสายตา ขณะที่เจ้าตัวทำเป็นไม่สนใจ แม้ว่าตัวไบร์ทเองก้มีอาการลุกลี้ลุกลนอยู่ตลอดเวลา นัทเดินไปนั่งลงข้างๆสา
   “เวทย์มนต์พ่อมดแห่งวงการทำเอามันตัวสั่นทีเดียว" สาพูดแม้จะยังไม่วางตาจากไบร์ท "ตั้งแต่กลับมามันยังไม่หยุดใช้คอมเลย คงกำลังลบอีเมล์"
   “อีกไม่นานหรอก เดี๋ยวเธอก็ได้ไม้โปรคืน" นัทว่า "ตอนที่มันต้องเคลียร์โต๊ะเพื่อออกจากที่นี่น่ะ"
   สาคำรามในลำคอก่อนจะกันมาหานัท
   “เราต้องบอกให้มิกตามเฝ้าไบร์ทหลังจากเลิกงาน เขาเป็นคนเดียวที่มีสิทธิ์ทำได้" สาพูด "เขามีสิทธิ์ที่จะสงสัยไบร์ท และตามเขาเพื่อหาหลักฐานและถ้ามันบริสุทธิ์ใจ มันก็ต้องเต็มใจให้มิกตามตรวจสอบ เพราะบอสให้มิกพักงานเพื่อไปหาหลักฐานให้ตัวเอง"
   “อืม...นั่นเป็นความคิดที่ดี" นัทว่า
   “นี่ไม่ใช่ความคิดที่ดีนะ แต่มันเป็นเรื่องที่ต้องทำ" สาพูด "ทุกอย่างที่เราหาได้ ฟ้องว่าไบร์ททำอยู่แล้ว สิ่งที่จะทำให้มันถูกไล่ออกคือเงินที่ถูกโอนเข้าบัญชีของมัน แต่มันจะไม่ได้อะไรเลย ถ้ามันสามารถทำให้เงินนั้นหายไป ทางเดียวก็คือ เฝ้ามัน ไม่ให้มันไปธนาคาร ซึ่งมิกต้องทำหน้าที่นี้"
   “ก็เข้าใจแล้ว นี่รอบที่สอแล้วนะที่เธอย้ำเรื่องนี้กับฉันน่ะ" นัทว่า
   “แต่ปัญหาคือ....”ถึงประโยคนี้สาได้แต่ถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย "มันไม่มีแรงจะออกไปไหนแล้ว และฉันก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ไหน"
   นัทรู้สึกเศร้าใจกับเรื่องนั้น เป็นอย่างที่เขาคาด มิกไม่ได้นอนที่บ้านเขาเมื่อคืนนี้ นั่นทำให้เขารู้สึกเหงาอย่างประหลาดเมื่อในบ้านไม่มีเพื่อนคุย
   “แล้วยังไง" นัทพูด "ฉันก็ไม่...”
   “ฉันว่านายรู้นายเคยอยู่กับเขามาตลอด อย่างน้อยก็ก่อนที่เอ่อ....” สาพยายามจะไม่พูดถึงเรื่องกายอีก "มิกต้องตามเฝ้าไบร์ททันทีหลังเลิกงานวันนี้ นายไปพูดกับมิกได้ไหม"
   “ฉันเหรอ" นัทร้อง
   “แกไม่อยากเคลียร์กับมันอีกซักครั้งเหรอ" สาถาม "อย่างน้อยก็บอกมันไปว่าแกรู้สึกยังไง เปิดใจน่ะ"
   นัทเงียบสนิท
   “นี่เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วนะ ถ้าพลาดล่ะก็ เราสองคนอาจจะไม่ได้เจอมิกอีกเลยนะ" สาพูด "มันจะมีค่าต่างกันมาก ถ้านายไป"
   นัทเข้าใจเรื่องนั้นดี แต่ทว่าเขาจะไปตามทิกได้ที่ไหนล่ะ...หรือว่า
   “งั้นฉันจะลองดูละกัน" นัทพูด
   “ถ้านายอยากช่วยมัน นายต้องทำสำเร็จ" สาพูด นัทยิ้มก่อนจะเริ่มเก็บของเตรียมตัวออกเดินทาง "และถ้ามันรักแกจริง มันจะกลับมา"
   นัทยิ้มให้กับคำพูดของสาคำนั้น มันยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องตัดสินใจให้เด็ดขาด อย่างน้อยเรื่องนี้ก็เรื่องหนึ่ง
….....
   “แล้วคุณแน่ใจเหรอ ว่าเขาอยูที่นี่" กายถามขึ้น ขณะที่จอดรถนิ่งสนิทอยู่ที่หน้าบ้านเล็กๆริมน้ำแถวๆย่านเจริญกรุง นัทหันมาพยักหน้าช้าๆ
   “นี่เป็นบ้านเก่าของมิก" นัทตอบ "เขาจะกลับมาเยี่ยมมันทุกเสาร์อาทิตย์ต้นเดือน มาไหว้กระดูกพ่อและแม่ของเขา"
   นัทใช้เวลาเกือบทั้งครึ่งหนึ่งของวันในการเคลียร์งานทั้งหมดเพื่อหาเวลาปลีกตัวออกมาจากบริษัทเพื่อไม่ให้ใครสังเกตุเห็น ซึ่งสาขู่ว่าจะฆ่าเขาหากเขาไม่กลับไปพร้อมคำตอบที่เหมาะสม เพราะเธอปฎิเสธที่จะนั่งเฝ้าไบร์ททั้งวันโดยปราศจากเหตุผล และแน่นอนว่าหากพ้นช่วงเย็นเป็นต้นไป ไบร์ทจะต้องรีบแจ้นไปธนาคารแน่นอน ซึ่งสาจะไม่เหนี่ยวรั้งไว้ด้วยประการทั้งปวง อย่างที่เธอยืนยันมันเป็นหน้าที่ของมิก
   ระหว่างที่นัทก้าวลงจากรถ เขาคิดว่าต้องขอบคุณกายเป็นอย่างมากที่ทำให้อะไรๆเรื่องนี้ง่ายขึ้นกว่าที่เป็น อย่างน้อยเขาก็พอจะหาลู่ทางที่พอจะเป็นทางออกของเรื่องนี้ การตามหามิกก็เรื่องหนึ่ง ชายหนุ่มเปิดประตูไม้เก่าๆเข้าไปด้านใน แสงสว่างจากแม่น้ำที่สะท้อนแสงแดดส่องจ้าเข้ามาในตัวบ้าน เผยให้เห็นชายหนุ่มอีกคนนั่งอยู่ริมน้ำ นัทถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปนั่งลงข้างๆ
   “จับตัวได้แล้ว" นัทพูดติดตลกแต่ทว่าได้รับเพียงความเงียบกลับใบหน้สเฉยชากลับมาจากมิก "กะแล้วว่าแกต้องอยู่นี่....”
   มิกหันมามองนัทพักนึง นัทยิ้มให้เล็กน้อยแต่ก่อนที่เขาจะรู้สึกตัวอะไรมิกก็ดึงเขาเข้าไปกอดทันที
   “ม...มิก"
   “แกไม่มีวันเข้าใจอะไร" มิกพูดเบาๆ "แกไม่เคยเข้าใจอะไรเลย"
   นัทเงียบไปพักนึง กายเห็นภาพตรงหน้ามองนัทและมิกอยู่พักนึง ก่อนจะหันหลังเดินกลับออกไปอย่างสุภาพ
   “ไอ้เข้าใจน่ะเข้าใจ" นัทค่อยๆพูด "แต่การยอมรับมันอีกเรื่องนึง"
   “ฉันไม่ได้ทำ" มิกพูด "ไม่ว่าแกจะเชื่อยังไง แต่ฉันไม่ได้ทำ ที่ฉันพูดทั้งหมดนั่นก็เพื่อ...”
   “ฉันรู้แล้ว" นัทตอบ "แต่แกจะปล่อยฉันก่อนได้ป่ะ ฉันหายใจไม่ออก"
   มิกค่อยๆผละออกจากนัทช้าๆ ก่อนจะมองหน้าเพื่อนรักตรงหน้า พลางคิดว่ามันงี่เง่าสิ้นดีเรื่องเพื่อนรักรักเพื่อนนี่ มิกได้แต่อมยิ้มพลางเกาหัวเขินๆ
   “ฉันก็แค่เป็นห่วงแก" มิกว่า "มันเป็นความผิดของฉันเองแหละที่สะเพร่า ถึงโดนเอาได้"
   “ปัญหาตอนนี้คือเอาตัวคนผิดให้ได้" นัทพูด "เมื่อคืน ฉันกับสาหาหลักฐานมาได้จำนวนนึง มันชี้ว่าไอ้ไบร์ทอยู่หลังเรื่องเรื่องนี้ แต่ฉันกับสา ไม่มีอำนาจพอจะไปตามตัวมันตลอดยี่สิบสี่ ในเมื่อแกขอออกมาพิสูจน์ตัวเอง แกก็น่าจะตามตัวมันตลอด ไม่งั้นเงินค่าจ้าง มันจะเข้าบัญชีแกเอาได้ง่ายๆ"
   มิกยังคงมองหน้านัทอยู่
   “แล้วคุณกาย เค้าก็พยายามบอกทางกองประกวดไปแล้ว เรายังพอมีเวลา.....” นัทพูด "นี่แกยังฟังฉันอยู่หรือเปล่า"
   “นัท ฉันรักแกว่ะ"
   และแล้วก็เข้าสู่ความเงียบ นัทคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องเจอกับอะไรประมาณนี้ แต่เขาก็ไม่คิดว่ามิกจะพูดมันออกมา
   “เอ่อ....คือฉันว่า"
   “ฉัน...ฉันเอ่อ....รู้ว่ามันไม่จำเป็นอะไรเลยกับเรื่องนี้แต่เอ่อ.....ฉันแค่อยากให้แกรู้"มิกพูด "ฉันรู้ว่าแกคงไม่มาชอบคนอย่างฉันหรอก แต่ฉันเองก็แค่หวังเอาไว้ ว่า เราจะเป็นอย่างที่เป็นมาตลอดอย่างนี้ต่อไป แต่ที่ฉันต้องพูดเพราะว่า...เค้า....เขามาในชีวิตแกและแกอาจจะเปลี่ยนไป ฉันก็เลย.....”
   นัทคิดว่าเขาต้องจัดการอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้นมันจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
   “อืม"
   “แล้วแกว่าไงอ่ะ" มิกถามต่อ
   นัทยิ้มน้อยๆ
   “ไปตามไอ้ไบร์ท แล้วเราจะกลับมาคุยเรื่องนี้" นัทตอบ เป็นทางเดียวที่เขาต้องสงบอารมร์มิกตรงนี้เอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น เรื่องนี้คงยาว "ฉันพูดได้แค่ว่า ฉันกับสารอแกกลับไป เพื่อพิสูจน์ตัวเอง ส่วนเรื่องนี้.....”
   เงียบกันไปพักนึง
   “...ฉันไม่รู้ว่ะ" นัทตอบ มันเป็นความรู้สึกจากใจเขาจริงๆ ความรู้สึกที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกายเลย มิกก้มหน้าลง "ใช่...ดีใจ...และที่จริงก็รู้มานานแล้วแหละ ว่าแกเอ่อ....รู้ดีดีกับฉัน....และก็ซึ้งมากที่แกปกปป้องฉันออกจากเรื่องนี้ แต่ฉันไม่รู้....ฉันไม่แน่ใจกับเรื่องนี้.....ฉันเอ่อ....ฉันไม่รู้จริงๆ"
   มิกเงียบลง
   “แต่มิก.....ไม่ว่าฉันจะตัดสินใจยังไง แกก็พร้อมรับฟังฉันเสมอไม่ใช่เหรอเหมือนทุกครั้ง และครั้งนี้ สิ่งที่ฉันขอก็คือ ให้แกกลับไปพิสูจน์ตัวเอง ลากตัวไอ้ไบร์ทมันมารับผิด....” นัทว่า "สิ่งที่คำคัญมันไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันตกลงหรือเปล่า แต่มันอยู่ที่ตอนนี้ ฉันอบากให้แกกลับมาอยู่กับพวกเรา เหมือนเดิม แกเข้าใจฉันนะ"
   มิกเงยหน้าขึ้น
   “เพราะเขาสินะ" มิกว่า นัทถอนหายใจ มิกไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด "แต่ก็โอเค"
   นัทจ้องมิกตาถลน
   “ไชโย ให้ได้อย่างนี้สิมิก" นัทร้องก่อนจะกอดมิกอีกครั้ง มิกยิ้มน้อยขณะที่อยู่อ้อมกอดของคนรัก ยังไงเขาก็คงไม่ชนะเกมส์นี้หรอก แต่ยังไงวันนึงนัทก็ต้อเลือกบางอย่างและเสียบางอย่าง ซึ่งตัวเขาไม่แน่ใจนัก ว่าเขาพร้อมกับวันนั้นหรือเปล่า
….......
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 22:25:58
บทที่ 8 คำถาม
   
   ไบร์ทรู้ตัวว่าเขากำลังทำให้ตัวเองลำบาก แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ถ้าเขาจะจัดการ Lovable นรกที่ไม่เคยให้อะไรเขาเลยนอกจากงานและคำด่า เรื่องนี้มันก็สาสมอยู่แล้ว และเจ้าเด็กใหม่ที่กวนประสาท ทำตัวอาร์ทเกินไปนั่นก็เหมาะสมดีอยู่แล้ว ที่เขาจะดึงเข้ามาใช้ในแผนนี้ เขาอยากจะจัดการเจ้านัทด้วย แต่เขาเคยทำไปแล้ว การเล่นเจ้านั่นรอบสองอาจดูเป็นการเจาะจงเกินไป แต่เจ้ากายสิทธิ์นั่นกำลังทำให้เขาก้นลุกเป็นไฟ มันอ่านเขาออกหมด และดูเหมือนมันจะเข้าข้างเจ้าเด็กใหม่นั่นจนเกินเหตุ เงินกำลังจะหมุนเข้าบัญชีของเขาวันพรุ่งนี้ เขาต้องจัดการอะไรซักอย่างก่อนที่เรื่องจะแดง
   ไบร์ทเดินตรงรี่ออกจากบริษัททันทีที่เลิกงาน ถึงแม้ว่ายัยสาจอมจุ้นจ้านจะพยายามใช้เขาตัดรูปบ้าบอนั่นจนเลยเวลามามาก แต่มันก็ยังพอทันจนกว่าธนาคารจะปิด และนี่ก็เป็นปลายเดือน คนคงเยอะ แต่ก็คงไม่มาก เพราะเขาจะไม่ยอมให้พลาดแม้แต่นาทีเดียว
   “มาธนาคารเหมือนกันเหรอครับ คุณไบร์ท" เสียงของกายดังขึ้นที่หน้าทางขึ้นธนาคาร ไบร์ทสะดุ้งเฮือก พลางหันไปมองอย่างหัวเสีย
   “นี่คุณสะกดรอยผมเหรอ" ไบร์ทคำราม
   “อะไรกันคุณ ผมก็แค่มากดเงิน" กายสิทธิ์พูด
   “คุณอย่ามาโกหกผมดีกว่าคุณกาย ทำแบบนี้น่ะ มันไม่เป็นมืออาชีพเลยนะ ผมไม่ได้ทำอะไรผิด และคุณก้ไม่มีสิทธิ์มาสงสัยผม"
   “ผมยังไม่ได้สงสัยอะไรคุณเลยนะคุณไบร์ท ผมก็แค่มากดเงิน พอดีบัตรเอทีเอ็มผมหาย ผมก็เลยต้องถอนมือ" กายว่า "คุณระแวงอะไรเหรอ"
   “ผมไม่รู้นะว่าคุณกับเจ้านัทกำลังเล่นเกมส์อะไรกันกับผม" ไบร์ทพูออย่างเหลืออด "แต่ผมไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกคุณไม่มีสิทธิ์มาตามผมแจอย่างนี้"
   “แล้วถ้าเป็นฉันล่ะ พอจะตามแกได้ไหม" เสียงของชายหนุ่มที่ไบร์ทคิดว่าเอาชนะได้แน่ๆ ดังลอยมาจากอีกด้าน มิกนั่นเอง
   “นี่แก.....” ไบร์ทอึ้งเล็กน้อย "อ้อ....ทำไม หาหลักฐานมาเอาผิดฉันได้รึไง"
   “แน่อยู่แล้ว" มิกชูกระดาษปึกนึงขึ้น "นี่เป็นตารางการเดินทางกลับจากเชียงใหม่ของนาย นายกลับมาก่อนกำหนดตั้งวันนึงนี่ ใช่มะ แกกลับมาเอาวันที่ฉันต้องทำงานให้เจ๊ผึ้ง และแกก้เอางานของฉันไป ตอนที่ไม่มีใครอยู่ที่สตู"
   “แกเอาอะไรมาพูด ฉันเพิ่งกลับมาวันที่พวกที่แกเอางานไปขายมาบอกว่าแกน่ะทรยศพวกเราต่างหาก" ไบร์ทว่า แต่มิกเดินเข้ามากระชากคอเสื้อไบร์ททันที
   “นายจะพล่ามยังไงก็ได้นะไบร์ท แต่ฉันมีวีดีโอกล้องวงจรปิดของคืนวันที่แกเข้ามาบริษัท ยังไม่รวมคำให้การของเอเจนซี่นู้นว่าแกใช้อีเมล์อะไรส่งงานไปให้เขา" มิกคำราม ถึงตรงนี้ไบร์ทเงียบสนิท "แล้วแกมาที่นี่ทำไมล่ะ มาเอาเงินออกจากบัญชีที่แกบอกพวกเขาไปใช่ไหมล่ะ มันไม่มีเงินก้อนนั้นแล้ว เสียใจด้วยนะ เพราะฉันในฐานะคนที่แกแอบอ้างชื่อ บอกสละสิทธิ์กับทางนู้นไปแล้ว"
   ไบร์ทมองมิกตาโตอย่างโกรธแค้น แต่ก็ชักสีหน้ากลับ
   “แล้วแกมาบอกฉันทำไม นึกเหรอว่าคนอื่นๆเค้าจะเชื่อในสิ่งที่แกพูด" ไบร์ทพูด
   “ฉันเชื่อ" นัทพูดดังมาจากอีกด้าน ไบร์ทหันไปมองอย่างตกตะลึง
   “ถ้าพรุ่งนี้ เรื่องไม่จบอย่างที่ฉันพอใจ" มิกว่า "หลักฐานทุกชิ้น จะถูกส่งไปที่สมาคมผู้ประกอบการโฆษณา อนาคตทางอาชีพของแก ไม่สวยแน่"
   “นี่แก.....” ไบร์ทคำราม "แกอย่าคิดว่าแกจะชนะฉันได้นะ ฉันทำงานมาก่อนแก กระดูกคนละพ.ศ.”
   “แต่ฉันมีสิ่งหนึ่งที่แกไม่มี" มิกพูดพลางยิ้ม "เพื่อนไง"
   ไบร์ทกัดฟันก่อนจะมองไปรอบๆ ก่อนจะสะบัดตัวเดินออกจากธนาคาร
   “ถ้าผมเป็นคุณนะคุณกายสิทธิ์ ผมจะคบค้ากับคนที่เหมาะสมกับที่ทั้งวงการให้ความเชื่อถือคุณ" ไบร์ทว่า
   “ไม่เป็นไรครับ" กายว่า "ผมว่าตอนนี้ผมรู้แล้ว...ว่าคนบางคนในวงการ เป็นยังไง"
   มิก นัทและกายมองไบร์ทเดินจากไปอย่างเงียบๆ นี่เป็นการให้โอกาศไบร์ทมากพอตัว ใิกยังมีความเมตตาอยู่มากในฐานะคนที่ทำงานมาก่อน แต่ถ้าพรุ่งนี้ เรื่องไม่จบ เขาก็คงต้องจัดการขั้นเด็ดขาดกับไบร์ทเหมือนกัน
….....
   “จริงอ่ะ" สาพูดขึ้นในร้านหมูกระทะเย็นวันนั้น หลังจากนั่งฟังมิกเล่าเรื่องที่เขา นัท และกายปะทะเดือดกับไบร์ทที่หน้าธนาคาร เธอทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดีมาก เพราะเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงที่นัทและมิกเล่า เธอจะฟังอย่างตั้งใจและส่งเสียงดังเมื่อถึงเวลาจำเป็น
   นัทนัั่งมองมิก สาและมาร์คนั่งคุยกันอย่างปกติที่สุด สองสามวันมานี่เขามัวแต่เครียดเรื่องมิกมาจนไม่คิดว่าจะได้เห็นภาพนี้อีก แต่ยังไงก็ตาม เขาก็ดีใจมากๆที่ภาพนี้กลับมาให้เขาเห็นอีกครั้ง อย่างน้อย ไบร์ท จะต้องจัดการเรื่องต่างๆให้เรียบร้อยก่อนเรื่องจะไปถึงสมาคมผู้ประกอบการโฆษณา มิกจะต้องรอดพ้นเรื่องนี้ และเขาก็เชื่อมั่นว่า มิกจะต้องรอดพ้นเรื่องนี้จริงๆ
   เป็นเวลากว่าสองชั่วโมงกว่างานเลี้ยงจะเลิกรา มาร์คและสาเอาเจ้าเต่าทองไปตามเคย ขณะที่มิกและนัท พ่วงด้วยกาย เดินกลับเข้าไปในซอยเพื่อเข้าบ้าน กายจอดรถไว้ที่บ้านของนัทนั่นเอง
   “เอ่อ...ผมต้องขอบคุณคุณมากนะ ที่จัดการเรื่องต่างๆให้ผม" มิกหันมาพูดกับกายทันทีที่มาถึงหน้าบ้าน นัทหันไปมองทั้งคู่ทันที
   “ไม่เป็นไรหรอก ยังไง ผมก็ไม่ยอมให้ทีม ต้องเสียคุณไปหรอกครับ" กายพูดพลางยิ้มกว้างให้มิก "ยังไงก็ดีใจด้วยนะครับ ที่อย่างน้อย คุณก็กลับมาสู้กับความจริง"
   มิกยิ้มให้กายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาหานัท
   “เดี๋ยวฉันเข้าไปเก็บของก่อนนะ เอาเสื้อผ้ามาจากที่บ้านน่ะ" มิกพูดเป็นนัยๆ ก่อนจะเดินหายเข้าไปในบ้าน กายยิ้มให้นัทแว้บนึงก่อนจะหันหลังเดินกลับ
   “เอ่อ....เดี๋ยวคุณ" นัทร้องเรียกกายไว้ ชายหนุ่มหันหลังกลับมายิ้มให้น้อยๆ
   “มีอะไรเหรอคุณ" กายถาม
   “เอ่อ...คือ...ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลยอ่ะ...ที่ ช่วยจัดการเรื่องมิกให้" นัทพูดพลางยิ้มกว้างให้กาย แต่ก็รู้สึกแปลกใจ ที่ไม่เห็นรอยยิ้มกวนๆส่งให้กลับมา "ยังไงก็ขอบคุณคุณมากนะ"
   “ไม่เป็นไร ผมเองก็ดีใจ ที่เห็นคุณยิ้มได้ พอคุณมิกเค้ากลับมา" กายพูดเรียบๆ ก่อนจะหันหลังกลับ นัทรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกๆ
   “เอ่อ...คุณ" นัทร้องเรียกไว้อีก กายหันหลังกลับมา
   “มีอะไรครับ" กายถามอีก แต่คราวนี้นัทกลับรู้สึกว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด เขาแค่อยากให้กายยังไ่ม่กลับไปก็เท่านั้น ชายหนุ่มอ้าปากค้างแต่ก็มีเพียงลมแผ่วเบาผ่านออกาเท่านั้น
   “กลับดีดี...”
   กายมองหน้านัทและเลิกคิ้ว ก่อนจะยิ้มกว้าง
   “คุณไปดูแลเค้าเถอะ ผมว่า เค้าคงอยากให้คุณดูแลเค้า" กายพูด นัทหุบปากลงทันที พลางมองกายอย่างพินิจ กายยิ้มกว้างให้นัทก่อนจะเดินจากไป นัทมองกายหยลับไปอย่างไม่เข้าใจอะไรนัก
…...
   สิ่งที่ชัดเจนในวันรุ่งขึ้นนั้น ทำให้ นัท สา และมิก รู้สึกประหลาดใจมาก บอสเรียกทั้งสามไปประชุมแต่เช้า เพื่อบอกว่า ทางโอเมก้ายกเลิกไอเดียที่เป็นตัวปัญหานี้ทั้งหมด โดยอ้างว่าคนที่อ้างชื่อมิกเอางานไปเสนอ ได้อีเมล์มาขอยกเลิกการรับเงินจากบริษัท ฉะนั้น ไอเดียที่เกิดการซ้ำกันก็ถือเป็นการโมฆะ และเรื่องก็ไม่ถึงคณะกรรมการการประกวด B.A.D Award นั่นทำให้ทั้งสามออกมาจากห้องประชุมอย่างอึ้งงึงงันและแทบจะกระโดดกอดคอกันทีเดียว ในขณะที่ไบร์ทก็ไม่เข้าออฟฟิศโดยอ้างว่ามีงานด่วนเข้ามาต้องไปพบลูกค้า แต่นเมื่อไบร์ทยอมจบ พวกเขาทั้งสามก็จะไม่ไปต่อวามยาวสาวความยืด แม้ว่าครั้งนี้ไบร์ทจะเล่นแรงมากก็ตาม
   นัทและมิก มองหน้ากันไม่ค่อนติดนัก ถึงแม้ว่า มิกจะกลับมาอยู่บ้านเดียวกับนัทแล้ว แต่ทั้งสอก้ไม่พูดอะไรกันเลยนอกจาก "พรุ่งนี้จะกินอะไร" หรือ "งานเสร็จหรือยัง" สาเองก็อยากจะจัดการเรื่องนี้ให้มันเสร็จๆไป แต่ก็อย่างที่มันเป็น มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเกินกว่าเธอจะทำอะไรอย่างด่วนสรุป
   แต่สิ่งที่กวนใจนัทมันไม่ใช่อาการของมิก แต่มันเป็นอาการของกายมากกว่า กายพูดกับเขาน้อยลง ซึ่งมันไม่ใช่เพราะเทพทำงานเข้าสิงแน่ๆ มันแปลกไปกว่านั้น และมันยิ่งทำให้นัทอยากรู้มากขึ้นไปอีก
   “ถ้าอย่างนั้น เราจะไม่ต้องทำอะไรจนกว่า งานทุกอย่างจะตีพิมพ์เสร็จสินะ" นัทถามกายในห้องของบอส "ถ้าอย่างนั้น คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผม สากับมิก จะไปเที่ยวพัทยากันซักสองสามวัน"
   “อ้อ....อืม...ได้สิ" กายพูดพลางยิ้มให้น้อยๆ "ยังไงดีใจด้วยนะ ที่คุณได้คุณมิกเค้ากลับมาน่ะ"
   “อ๋อ...ครับ ขอบคุณ ยังไง คุณก็ช่วยเราไว้เยอะถ้ายังไงคุณว่าง คุณเอ่อ...จะไปกับเราด้วยก็ได้นะครับ" นัทว่า "พวกผมจะออกเดินทางกันคืนวันศุกร์นี้"
   “อืม เอาไว้ เดี๋ยวผมบอกก็แล้วกัน"  กายพูดพลางก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ นัทมองกายอยู่อย่างนั้น พลางคิดว่า หมอนี่เป็นอะไรกัน ถึงไม่กวนประสาทอะไรเขาอีกแล้ว พ่อมดเวทย์มนต์หมดหรือยังไง
   “มีอะไรอีกหรือเปล่า" กายถามขึ้นเมื่อนัทจ้องเขานานเกินไป ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อยก่อนจะยิ้มแหยๆ
   “คือ...เอ่อ...พักนี้คุณเอ่อ....ดูเงียบๆไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า" นัทถามขึ้น พลางรู้สึกตกใจตัวเองที่ไม่น่าถามอะไรออกไปเลย
   “เปล่า ก็...ผมเห็นคุณยังดีใจกับเรื่องคุณมิกก็เลยไม่อยากไปวุ่นวายอะไรกับชีวิตคุณน่ะ" กายพูดเบาๆ นัทขมวดคิ้ว พลางคิดว่าหมอนี่ประสาทแน่ๆ เพราะกายไม่เคยแคร์หรอกว่าเขาจะดีใจหรือเสียใจกับอะไร กายก็ยังมายุ่งกับชีวิตเขาอยู่ดี
   “เหรอครับ" นัทว่า แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเหมือนมันจะขาดอะไรไป พอหมอนี่เงียบๆ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจทุกที "ยังไงผมก็พร้อมทำงานกบคุณเสมอนะ มีอะไรก็บอกผมได้เลยตรงๆ"
   ถึงประโยคนี้ กายเงยหน้าขึ้นมองนัทอย่างพินิจ
   “เอาไว้ผมแน่ใจตัวเองก่อน แล้วผมจะบอกคุณ" กายพูดขึ้น นัทอึ้งเล็กน้อย "คือ...ผมหมายถึง เรื่องที่ผมจะบอกคุณน่ะ"
   “อ้อ...ครับ" นัทว่าพลางเกิดอาการเหว๋ออย่างรุนแรงอีก ชายหนุ่มหมุนตัวเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้อง
   “เดี๋ยวก่อนนัท" กายร้องเรียกนัทเอาไว้ ชายหนุ่มหันกลับมา
   “ครับ" นัทเลิกคิ้ว
   “เรื่องไปพัทยาน่ะ ผมตกลงนะ" กายพูด นัทใจโลดขึ้นอย่างแปลกประหลาด ถ้าหมอนี่กล้าร้องตามก็แสดงว่ายังปกติ
   “อ้อ...ครับ...งั้น เจอกันที่บ้านผมตอนสี่โมงเย็นนะครับ" นัทว่าก่อนจะเปิดประตูออกจากห้องทำงาน
   ระหว่างกลับไปที่สตูดิโอ นัทก็คิดถึงอาการของกาย พลางคิดว่าหมอนี่คงประสาทหรืออะไรซักอย่าง เพราะเขาไม่เชื่อแน่นอนว่าหมอนี่จะมาแคร์อะไรความรู้สึกเขา แต่ถ้าอยากแค่กวนประสาทเขาล่ะก็ไม่แน่ แต่ความจริงก็คือ เขารู้สึกชอบกายก็เพราะหมอนี่มักจะเริ่มต้นทำให้เขาหงุุดหงิด และลงเอยด้วยการทำให้เขายิ้มได้ มันมีไม่กี่คนนักที่เปลี่ยนอารมณ์หงุดหงิดของเขาได้ และแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นไม่ใช่ไบร์ท
   “ว่าไง เขาจะไปกับเราไหม" เสียงสาดังขึ้นทันที เมื่อนัทโผล่หน้ากลับเข้าไปในสตูดิโอ นัทมองหน้าเพื่อนสาวก่อนจะยิ้มกว้าง
   “ไป...” นัทว่า ก่อนเสียงแหลมเล็กจะส่งเสียงลั่น
   “ให้มันได้อย่างนี้สิ สมแล้วที่แกเป็นคนชวน" สาพูด แต่ประโยคนี้ทำเอาคนสองคนสะดุ้งเฮือก ซึ่งก็คือนัทกับมิกนั่นเอง
   “จริงๆแล้ว ไม่เห็นจะต้องฉลองอะไรกันมากมายเลยสา" มิกว่าพลางเก็บข้างของเตรียมตัวกลับบ้าน
   “แหม มิก ฉันว่ามันน่าฉลองออก ตั้งแต่งานเราผ่าน แล้วก็เกิดเรื่อง เราก็ผ่านมนมาได้ด้วยดี ทีมเราน่าจะไปผ่อนคลายซักนิดนะ อย่างน้อยก็เป็นการไปหา Inspiration ฉันเองก็อยากไปถ่ายรูป" สาว่า "แล้วแกกลับมาทั้งที มันก็น่าฉลอง"
   “มันจะน่าฉลองกว่านี้ ถ้ามีคนออกไปน่ะ" มิกว่าก่อนจะลุกขึ้น ทั้งสาและนัทหัวเราะลั่น แต่น่าเสียดายที่คนที่มิกว่าไม่อยู่ในสตูดิโอ
   “กลับกันเถอะ" นัทพูดพลางนำทั้งหมดออกจากบริษัท
   ตอนมืดของวันนั้น มิกเข้านอนเร็วกว่าปกติ เพราะไม่มีงานอะไรต้องทำ แต่ทว่าในหัวของนัทกลับมีแต่คำถามมากมาย ฉะนั้นตอนที่เขากินนมรอบดึกก่อนนอน เขาก็ได้แต่นั่งเหม่อ
   “เป็นอะไรไปล่ะ" สามานั่งลงข้างๆที่ระเบียงบ้าน นัทหันไปมอง วันนี้เธอขอมานอนด้วย
   “มาร์คไม่ว่างรึไง" นัทหันไปแซวกลับ สาอมยิ้ม
   “เห้ย...เค้าก็มีงานของเขาดิวะจะให้มามีเวลาให้ฉันตลอดได้ไง" มิกว่า "แฟนกันน่ะนะ แค่รักกันก็พอแล้ว"
   “ดูแกจะเข้าใจเรื่องความรักดีนะ" นัทว่า"ฉันคงไม่มีวันเข้าใจ แกก็รู้ ฉันชอบแห้วเรื่องความรัก ฉันโง่เรื่องนี้"
   “อืม เชื่อ" สาว่า "เพราะถ้าแกฉลาดเรื่องพวกนี้ แกคงรู้ว่ากายเค้าชอบแก"
   “อะไรนะ" นัทร้อง "ไม่อ่ะ ไม่มีทาง"
   สาถอนหายใจพลางมองนัท นัทเป็นแบบนี้อีกแล้ว เขาไม่ยอมรับมัน แม้ว่ามันจะอยู่ตรงหน้า
   “แกจะไม่ยอมเชื่อเหรอเนี่ย" สาว่า
   “ไม่หรอก คนอย่างเขาไม่มีทางมาชอบฉัน แค่อยากกวนประสาทฉันสิไม่ว่า" นัทพูด "และที่สำคัญ เขามีผู้หญิงเยอะแยะรอบตัวเขา แฟนเก่าเขาอีก เขาก็คาสโนว่าของวงการดีดีนี่เองจะบอกให้"
   “แต่แกชอบเขา" สาว่า "ไม่งั้นแกไม่รู้เรื่องของเขามากเท่านี้"
   “เขาก็แค่ยัดเยียดให้ฉันรู้" นัทว่า
   “ก็เพราะว่าเขาสนใจแกไง" สาว่า
   “เห้ย อะไรเนี่ย สรุปแกจะให้ฉันชอบเขาให้ได้เลยใช่มะ" นัทพูดขำๆ
   “เปล่า ฉันก็แค่เห็นแล้วก็ว่าตามนั้น" สาพูด "เหมือนเรื่องของมิกนั่นแหละ"
   “มันบอกฉันเองแล้วล่ะ" นัทพูดขึ้นทันที สาเอามือปิดปาก พลางมองหน้านัทตาถลน
   “อะไรนะ...แล้วแกว่าไง" นัทส่ายหน้า
   “โธ่...อย่างนี้นี่เอง มันถึงดูเศร้าๆ" สาว่า
   “ฉันบอกมันว่าฉันไม่รู้ต่างหาก" นัทว่า เพื่อให้สาเลิกเข้าใจผิด "ฉัน...ไม่แน่ใจกับมัน"
   สาถอนหายใจพลางมองออกไปยังท้องฟ้า
   “รู้ไหม ทำไมในกรุงเทพไม่ค่อยเห็นดาว" สาพูด "เพราะว่าแสงไฟมันเยอะ มันก็กลบแสงดาวหมด"
   “ต้องการจะสื่ออะไรป่ะเนี่ย พูดซะซึ้งเชียว" นัทว่า
   “ฉันอยากจะบอกแกว่า สิ่งที่อยู่ใกล้ บางทีมันก็สดใสกว่า แต่ยังไง คนเราก็ยังปราถนาดาว แม้ว่าจะมีแสงไฟเยอะแยะ แถมสว่างกว่าดาวอีก" สาว่า "มันขึ้นอยู่กับแก ว่ายังอยากจะมองดาวอยู่ไหม ในเมื่อแสงไฟมันส่องจ้าขนาดนี้"
   นัทเงียบลง พลางมองออกไปยังท้องฟ้า
   “ฉันไม่อยากจะต้องมานั่งเลือกอะไรแบบนี้" นัทพูดจากใจจริง ซึ่งหวังว่าสาจะเข้าใจที่เขาพูด
   “คำถาม มันมีอยู่แล้ว มันกำลังจะรอคำตอบจากแก" สาว่า
   “ฉันยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำ ว่าดาวที่ฉันต้องการ มันเป็นดาวจริงๆไหม ไม่ใช่ฉันหลงคิดไปเองว่ามันเป็นแสงดาว" นัทว่า
   “นั่นแกก็ต้องลองเสี่ยงเอาเอง แต่แสงไฟ มันก็เป็นแสงไฟวันยังค่ำ" สาว่า "ยังไงแกก็ต้องเลือกอยู่ดี"
   สาหันมามองนัท
   “นัท ถ้าแกจะไม่ใช้ไฟ ก็ปิดมันซะเถอะ" สาว่า "ฉันสงสารหลอดไฟว่ะ มันร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว"
   นัทมองหน้าสาช้าๆ
   “ฉันควรทำยังไงดีวะ" นัทถามจากใจจริง
   “แกอยากได้ดาวหรือเปล่า" สาถามตรงๆ นัทมองหน้าเธอช้าๆ
   “ถึงตรงนี้....” นัทหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะยิ้มกว้าง "ฉันก็รู้สึกอยากจะได้ดาวแล้วเหมือนกัน"
   สาเลิกคิ้ว เธอเข้าใจแล้ว
   “ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดได้ยังไง" นัทว่า "ฉันลำบากทุกครั้งที่ต้องมองดาวจากตรงนี้ บางทีมันก็เปลี่ยนทิศไปเรื่อย เดี๋ยวไปอยู่ตรงนู้น ตรงนี้ เดี๋ยวเปลี่ยนเป็นสีนู้นสีนี้ ฉันตามแทบไม่ทัน บางทีก็หงุดหงิดจนแทบไม่อยากมอง แต่มันก็อดไม่ได้ทุกที พอฉันมอง ฉันก็มีความสุข บางทีก็อิจฉาดาวที่อยู่ข้างกัน ที่มีโอกาสอยู่ตรงนั้น แต่ฉันเอง ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมองอะไรอยู่ด้วยซ้ำ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ ฉันอาจจะคิดไปเอง หรือโดนดาวเทียมหลอกตาเอา"
   นัทก้มหน้าลง มันคือความรู้สึกของเขาจริงๆ
   “ส่วนไอ้หลอดตะเกียบนี่ มันก็ไม่เคยเบี้ยวฉันเลยซักครั้ง ปิดปุ๊ปติดปั๊บตลอด พอตอนที่มันเกือบจะเสีย ฉันก็ยอมไม่ได้ทุกที ที่จะเสียมันไป ฉันขาดมันไม่ได้เหมือนกัน"
   ถึงประโยคนี้ สาถอนหายใจ แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ
   “ฉันเห็นแก่ตัวจัง" นัทพูดเบาๆ
   “บางทีคนเราก็ต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองฉันไม่ตำหนิแกหรอก" สาว่า "แต่ยังไง แกต้องเลือกทางที่มีคนเจ็บน้อยที่สุดละกัน แต่สำหรับฉัน ฉันเองก็อยากให้แกได้อะไรดีดีเข้ามาในชีวิตกับเขาบ้าง ฉันก็อยากให้เพื่อนมีความสุขทั้งคู่แหละ"
   สาตบไหล่นัทก่อนจะเดินกลับเข้าไปในตัวบ้าน
   “ถ้าเป็นฉันนะ เจอดาวแล้ว ก็อยากจะลองคว้าดูเหมือนกัน" สาว่า นัทหันไปยิ้ม
   “เอาไว้ให้มันเป็นดาวจริงๆก่อนเถอะ" นัทว่าขำๆ ก่อนจะมองสาเดินลับสายตาไป ชายหนุ่มหันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง สงสัย คำถามนี้ของเขา คงไม่มีใครมาตอบได้จริงๆเสียแล้ว เสียงข้อความดังขึ้น ชายหนุ่มเปิดออกอ่าน

พรุ่งนี้ผมจะไปหา
แต่อาจจะช้าหน่อย รอด้วยนะ อย่าเพิ่งไปกันก่อนล่ะ
ราตรีสวัสดิ์
                                 กาย
   นัทยิ้มกับข้อความนั่น ก่อนสิ่งที่เขาไม่เคยคิดจะทำมันจะเกิดขึ้นในเสี้ยววินาทีนั้น......
   อีกฟากหนึ่งของเมืองกรุงยามค่ำคืน ขณะที่กายอกจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำเสร็จ ชายหนุ่ม นุ่งกางเกงขายาวเดินออกไปมองท้องฟ้าที่ระเบียงคอนโด พลางคิดถึงสิ่งสำคัญที่เขากำลังจะตัดสินใจ ก่อนะจะเดินกลับมาที่เตียง พลางเอื้อมมือไปปิดไฟ แต่เสียงข้อความก็ดังขึ้น ชายหนุ่มกดเปิดออกอ่าน

แล้วผมจะรอนะ
ฝันดีครับ
              นัท

   สำหรับกายแล้ว ไม่เคยมีคืนไหน ที่เขาหลับฝันดีเท่านี้มาก่อนเลย
….........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 22:26:46
บทที่ 9 Weekend

   หลังจากวันทำงานวันสุดท้ายอันน่าเบื่อสำหรับพวกเขาทั้งสาม ค่อยๆผ่านไปอย่างช้า สตูที่ไม่มีไบร์ทมาป้วนเปี้ยนวุ่นวายแล้ว สำหรับนัท การไม่มีกายมาอยู่ด้วยวันนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่ามันน่าเบื่อ แม้ว่าที่จริงแล้ว เขาโหยหาวันว่างๆแบบนี้มานานเหลือเกิน
   มิกเองก็ไม่ได้พูดอะไรมากเกินไปกว่า "เที่ยงนี้ไปกินไหนดี" หรือ "ขอยืมปากกาหน่อย" ถึงแม้เขาเอง อยากจะจับนัทมานั่งจับเข้าคุยให้รู้เรื่อง แต่เมื่อนึกย้อนไป สิ่งที่นัทพูดในวันที่ไปตามเขาที่บ้าน มันก็คือการจับเข้าคุยไปแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะไม่เคลียร์ก็ตาม แต่เรื่องจริงคือคนออกไอเดียไปบางแสนมันคือเขาเอง มันไม่ใช่เขาซะทีเดียว เขาบอกสาว่าต้องการที่ซักที่ ที่จะมีเขา นัท และกาย ไปด้วยกัน เขาอยากดูอะไรให้แน่ใจ สาเลยลงเอยมันด้วยบางแสน
   ในขณะที่สาเองก็ไม่มีอะไรต้องคาใจอีกแล้ว  สำหรับเธอทุกอย่างออกมาเคลียร์ นัทบอกเธอหมดทุกอย่างแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าบางอย่างเธอบอกมิกไม่ได้ ไม่ต้องนึกถึงว่านัทจะบอกมิกหรือเปล่า ที่เหลือที่เธอสนุกกับมันอยู่ตอนนี้ก็คือ มองกายและนัทให้มันชุ่มชื่นหัวใจเล่น กับไล่ตามมาร์คแฟนหนุ่มว่าไปเจ้าชู้ที่ไหนหรือเปล่่า แม้ว่าทุกครั้งเธอก็ได้แต่ถอนหายใจ เห็นมิกมองนัทด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
   ตกเย็นของวันนั้นนัท สา มิกและมาร์ค มารวมตัวกันที่บ้านของนัทเพื่อเตรียมตัวเอาของออกเดินทาง และยกมันขึ้น ไอ้เต่าทอง แน่นอนว่ามันจะไม่วุ่นวายเลย ถ้าสาไม่พยายามขนเอาครีมบำรุงของเธอทั้งหมดขึ้นรถ
   “นี่ขอโทษทีเถอะที่รัก คุณจะขนมันไปบำรุงอะไรกันนักหนา นี่มันบางแสนนะ" มาร์คแซวขณะที่ขนกระเป๋าของสาใบที่สี่ขึ้นรถ
   “มาร์ค นี่มันครีมสำคัญทั้งนั้นเลยนะ และสาเองก็เพิ่งมีโอกาสจะได้ใช้ทริปนี้เป็นทริปแรก" สาสาธยาย ขณะชี้ตำแหน่งที่ไอ้เต่าทองจะวางกระเป๋าเธอได้ตัว "โหย....นึกแล้วก็เสียดายนะ ตอนไปปารีสก็ซื้อจ้างงงงงง.....แต่ไม่มีเวลาได้ใช้"
   “เอาตรงๆนะสา ถ้าเธอคิดจะอาบแดดน่ะ ที่กรุงเทพก็อาบได้ ไม่ต้องถ่อไปถึงบางแสนหรอก แดดแรงพอกัน" นัทพูดพลางยกกระเป๋าของตัวเองขึ้นรถ
   “ฉันไม่ได้ออกความคิดเรื่องนี้ซักหน่อยนี่.....อุ๊บ" สาพูดพลางตกใจที่หลุดปากอะไรไปบางอย่าง นัทมองเธอด้วยความสงสัย
   “อะไร" นัทถาม "เธอเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องนี้ไม่ใช่รึไงเล่า"
   สามองซ้ายขวาไปเลิ่กลั่ก
   “เอ่อ...." สาพูดกุกัก พลางมองไปยังมิกที่มองเธอกลับมาด้วยสายตานิ่งสนิท "เอ่อ....ฉัน.....โอ๊ะนั่น คุณกาย ทางนี้ค่ะ"
   คำพูดนี้ของสาดึงเอาความสนใจของนัทเปลี่ยนไปอีกทางทันที กายสิทธิ์เดินเข้ามาจากหน้าบ้านด้วยชุดที่นัทไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นชุดลำลองที่ดูสบายกับกางเกงสามส่วนและเสื้อบอล กายสิทธิ์สวมหมวกไหมพรมไว้บนศรีษะ ซึ่งเป็นมุมที่นัทไม่เคยเห็นมาก่อน นัทถึงกับอมยิ้มทันทีเมื่อเห็นภาพนั้น
   “สวัสดีครับทุกคน" กายกล่าวทักทาย ทั้งหมดกล่าวทักทายกลับทันที
   “เอ่อ...คุณกายครับ เชิญเอาของขึ้นรถเลยครับ" มาร์คกล่าว
   “อ่อ....ไม่ต้องหรอกครับ คือผมจะเอารถตามไปด้วยนะครับ" กายกล่าว
   “เอ้า เหรอคะ แต่ว่าพอถึงแล้ว คุณกายจะรู้เหรอคะ ว่าเราจะไปพักที่ไหน แล้วไปไหนกันบ้าง เดี๋ยวก็หลงกันหรอกค่ะ" สาพูด
   “เอางี้ไหมล่ะ พวกเราซักคนก็ติดรถคุณกายเค้าไปด้วยสิ จะได้บอกทางไปโรงแรมถูก" มาร์คพูด
   “ก็ดีนี่ เพราะบางคนก็เคยนั่งรถกายเค้าประจำอยู่แล้ว" มิกพูดพลางเดินดุ่ยๆ ไปนั่งด้านคนขับของไอ้เต่าทอง ก่อนจะหันมาหานัท "ยังไงก็อย่างหลงไปกับคุณกายเค้าซะเพลินล่ะ"
   มิกพูดพลางปิดประตูไอ้เต่าทอง มาร์คและสามองหน้ากันหน่ายๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้นัท
   “เอ่อ...ยังไงก็โชคดีนะ ถ้าเกิดแกจำทางไม่ถูก ก็โทรเข้ามาคันไอ้เต่าทองละกัน" สาพูด
   “ขับรถดีดีนะครับคุณกาย แล้วเจอกันที่นู่นครับ" มาร์คว่า ก่อนจะลากสาขึ้นไอ้เต่าทอง มิกสตาร์ทเครื่องก่อนจะหมุนกระจกลงมา
   “ล็อคบ้านให้ดีล่ะ" มิกว่า ก่อนจะบึ่งรถหายออกไป
   นัทถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย พลางอยากจะด่ามิกเอาเสียให้ได้ ชายหนุ่มหันกลับมามองกายที่กำลังมองเขาอยู่
   “เราจะไปกันหรือยังครับ" กายถาม
   “เอ่อ....ขอผมปิดบ้านแป้บนึง" นัทพูดพลางเดินกลับเข้าบ้านเพื่อเช็คประตูหน้าต่างว่าปิดสนิทดีแล้ว ก่อนจะออกมาล็อคประตูรั้วหน้าบ้านและเดินไปขึ้นรถกาย
   ทั้งคู่ไม่แม้แต่จะมองหน้ากัน แต่กายก็ไม่ได้ใส่ใจ ชายหนุ่มบึ่งรถออกไปในทันที
   ท่ามกลางท้องถนน ความเงียบทำให้นัทรู้สึกตื่นเต้นอย่างแปลกประหลาด และแน่นอนว่า เขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนว่าจะได้เดินทางมากับรถกายแบบองต่อสอง ซึ่งนั่น มันทำให้หัวใจเขาเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
   “นี่คุณเป็นอะไรหรือเปล่า เหงื่อโชกเชียว" กายถาม "เมารถเหรอ"
   “เปล่า" นัทพูด "ผมแค่เอ่อ.....เหนื่อยนิดหน่อยตอนจัดของให้รถคันนู้น"
   กายยิ้มกริ่ม ก่อนจะเอื้อมมือไปเปิดวิทยุ เสียงดนตรีบรรเลงเพลงๆหนึ่ง เพลงที่ทำเอานัทเงียบสนิท
   “ผมชอบเพลงนี้นะ" กายพูดก่อนจะอมยิ้มและมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “ใกล้ เกินกว่าที่จะพูดคำใดๆ ออกไป มันใกล้เกินกว่าจะมองเห็นใคร เมื่อเราใกล้จนอยากจะหยุดหายใจ เมื่อใกล้จนมีแต่เธอกับฉันวันนี้เท่านั้น
   อาจเป็นเพราะว่าเธอบังเอิญได้เจอฉัน อาจเป็นเพราะว่าเราบังเอิญอยู่ด้วยกัน เพราะเธอยังไม่เคย ไม่รู้มันเป็นยังไง และฉันไม่เคยเข้าใจ ถ้ามันต้องอยู่อย่างนั้น ถ้าเราได้คุยกันสักครั้ง วันนี้ก็คงไม่มีใครเข้าใจ วันนั้นเธอยังไม่เคย ฉันก็ยังไม่เคย  ไม่รู้มันเป็นยังไง จะหยุดตัวเองทำไม"
   “คุณว่าไงอ่ะ" กายหันมายิ้มให้นัท
   “อืม....ก็เพราะดี" นัทว่าพลางหันหน้าไปทางอื่น ไม่อย่างนั้น กายคงรู้แน่ๆว่าเขากำลังหน้าแดง
   “เหรอ....จริงอ่ะ" กายถามย้ำอีก
   “อืม....” นัทพูดเสียงแข็ง
   “ว่าแต่คุณรู้ทางไปโรงแรมใช่ไหม" กายถาม
   “รู้สิ...คุณขับไปให้ถึงชลบุรีก่อนเหอะ" นัทพูด พลางขยับตัวไปมา
   “คุณอึดอัดเหรอ" กายหันมาถาม
   “ปล่าว"
   “คุณหิวเหรอ" กายถามอีก
   “ปล่าว"
   “คุณเป็นอะไรหรือเปล่า" กายถามอีก
   “ปล่าว"
   “เห้ยคุณ" กายร้องพลางหัวเราะ "พูดอะไรให้มันมากกว่าคำว่าปล่าวหน่อยได้ไหม นี่ Weekend นะ"
   “ก็ผมไม่มีอะไรจะพูดนี่" นัทว่าพลางพยายามมองไปนอกรถ
   กายอมยิ้มพลางฮำเพลง ใกล้ ต่อไปจนจบเพลงก่อนจะตั้งตาขับรถออกจากกรุงเทพโดยไม่พูดอะไรอีก
   ล่วงเลยเวลาไปซักพัก ก่อนที่นัทจะรู้สึกว่าความเงียบเข้าครอบคลุมรถ ชายหนุมันกลับมามองคนขับที่มองท้องถนนอย่างสบายอารมณ์พลางฮัมเพลงต่างๆไปเรื่อย นัทมองกายอยู่ได้ซักพักก่อนจะยิ้มน้อยๆ นึกถึงภาพหมอนี่ตอนเครียดเรื่องมิกแล้วก็ทำให้นัทอดขำไม่ได้ จะว่าไป พ่อมดแห่งวงการก็มีด้านดีดีที่พยายามช่วยเหลือคนอยู่เหมือนกัน
   “ขอบคุณนะ" นัทพูดขึ้น
   “ฮ่าๆๆ ผมชนะ" กายว่าพลางหันมายิ้มให้กับนัทซึ่งกลับมาขมวดคิ้วอีกครั้ง "ผมพนันกับตัวเองไว้ ว่าไม่เกินบางนา คุณต้องพูดกับผมจนได้"
   นัทถอนหายใจก่อนจะหันออกไปมองนอกรถอีก
   “โห....เป็นงอนไปได้น่าคุณ" กายเอื้อมไปจับเข้าที่มือของนัท ชายหนุ่มหันกลับมามองกายทันที ก่อนจะมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
   “คุณ!!! เดี๋ยวก็ชนหรอก" นัทร้อง ชะงักเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับไปขับรถต่อพลางยิ้มกริ่ม "เมื่อกี้คุณขอบคุณเรื่องอะไรเหรอ"
   “.....ก็...ปล่าวหรอก...ผมก็แค่อยากจะขอบคุณคุณอีกครั้ง ที่....ช่วยผมเรื่องมิกเค้า" นัทพูดอึกอัก
   “ผมก็บอกคุณแล้วไง ว่าผมยินดีช่วยคุณ ผมเชื่อใจคุณน่ะ" กายว่า
   นัทมองหน้ากายเงียบๆ พลางคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่พ่อมดแห่งวงการคนนี้ร่วมทำมากับเขา ทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว จริงๆแล้วมันไม่จำเป็นเลย ที่คนระดับกายจะต้องมาช่วยเขาทำอะไรอย่างนี้ กับคนที่อยู่หางแถวของวงการอย่างเขา
   “คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม" กายพูดขึ้น ปลุกนัทให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
   “เอ่อ.....เมื่อกี้คุณว่าอะไรนะ" นัทถามอีก
   “ผมถามว่าคุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม" กายถามพลางหันหน้ามามองนัทแว้บนึง ก่อนจะหันไปยิ้มกว้าง ซึ่งนัทคิดว่าคงเป็นเพราะเขาเผลอยิ้มให้กายโดยไม่ระวังตัว
   “ก็....ไม่รู้สิ" นัทว่า "ถามทำไมล่ะ"
   “เปล่า....ผมก็แค่อยากรู้ว่าคุณคิดยังไงกับเรื่องนี้ จากมุมมองเจ้าของภาพ Loveless Society อย่างคุณ" กายพูด "เอหรือว่าคุณ...จะไม่เคยมีความรัก"
   “ผมจะมีหรือไม่มี มันก็ไม่เห็นเกี่ยวกะคุณซะหน่อย" นัทว่าอย่างหัวเสีย "ผมน่ะ ไม่เชื่อเรื่องพรหมลิขิตหรอก ถ้าผมจะรักใครซักคน ผมก็จะเลือกด้วยตัวผมเอง ไม่ต้องให้พรหมลิขิตมาบอกว่าคนนู้น ใช่ คนนี้ไม่ใช่หรอก"
   “เหรอ....แต่ผมเชื่อนะ" กายว่า "ผมว่าคนบางคนที่ผมเคยเจอน่ะ เขามีพลังบางอย่าง มีแรงดึงดูด ทำให้ผมรู้สึกสนใจเขา อยากรู้จักเขา และอยากให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต"
   นัทหันขวับมามองกายทันที
   “ใครเหรอ" นัทถาม
   “จะเป็นใคร ผมก็ไม่เห็นจะเกี่ยวกะคุณนี่นา" กายย้อน ทำเอานัทหัวเสียและหันไปมองนอกรถอีกรอบ "เห้ยนี่คุณ คุณหันไปมา มองผม มองข้างนอกหลายทีแล้วนะ เดี๋ยวคอก็เคล็ดหรอก......มานี่มา"
   กายกดปุ่มอะไรบางอย่างที่รถสองสามครั้ง ก่อนที่นัทจะรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างรอบๆตัว
   “นี่คุณจะทำอะไรอ่ะ" นัทร้องโวยวาย
   “ใจเย็นสิคุณ...แล้วก็หยุดโวยวายได้แล้ว เดี๋ยวคนข้างนอกก็นึกว่าผมทำอะไรคุณหรอก" กายว่า
   “คนข้างนอก?" นัทถามเสียงสูงก่อนจะรู้คำตอบ รถของกายค่อยๆเปิดประทุนออกไป ขณะเดียวกับที่เบาะของเขาเอนลงในแนวราบ ทำให้ตอนนี้นัทสามารถมองเห็นท้องฟ้าได้เต็มๆ
   “โฮ่....ว้าว" นัทพึมพำ
   “ออกนอกกรุงเทพแล้ว ผมว่าฟ้าคงใสขึ้นน่ะ" กายพูดก่อนจะปิดแอร์ ขณะที่นัทนอนมองท้องฟ้าอย่างสบายอารมณ์ "คุณถามทำไม"
   “ถามอะไร" นัทว่า
   “ก็ถามว่าผมสนใจใคร" กายว่า
   “ก็....เอ่อ......ผมก็...จะได้รู้ไง ว่าคุณแอบชอบใครในออฟฟิศหรือเปล่า" นัทพูด "ผมจะได้ไปเตือนเขาถูก ว่าคุณน่ะ คาสโนว่าแค่ไหน"
   “โห ขนาดนั้นเลยเหรอ" กายพูดเสียงเศร้า
   “ถามจริงเหอะ ที่คุณถามว่าผมเชื่อในพรหมลิขิตไหมน่ะ เพราะคุณเองก็ไม่เคยมีรักแท้เหมือนกันใช่มั้ยล่า" นัทพูด กายเงียบกริบ นัทหันไปมองพ่อมดแห่งวงการที่รอยยิ้มจางลงไปทันที
   “แต่เชื่อมั้ยล่ะ บางทีเวลาที่เราทุ่มเทอะไซักอย่างไปให้กับใครซักคน บางทีนั่นก็อาจจะเป็นอำนาจแห่งพรหมลิขิตจริงๆก็ได้นะ" นัทพูด กายหันมามองพลางยิ้มน้อยๆ
   “คุณรู้ไหม ผมชอบมองดาวจากระเบียงห้องนอนทุกคืนเลยล่ะ" กายว่า "แต่ผมก็ไม่เคยมีโอกาสได้เห็นซักที อาจเป็นเพราะมันอยู่ไกลเกินไป เกินกว่าความวุ่นวายในกรุงเทพที่มาบดบังตลอด ผมยังอยากไปนอนดูดาวอย่างคุณตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ก็ดูสิ ผมก็ยังมีหน้าที่ต้องทำอยู่ดี"
   “คุณก็ลองไม่ทำสิ เราก็จะได้ตายกันกลางถนนนี่" นัทว่า
   “ฮึฮึ แต่ผมก็ยังหวังว่าดาวจะหันมามองผมบ้าง ผมยังอยากหวังให้ดาวรู้ว่าผมยังมองเค้าอยู่เสมอ แม้ว่าดูเหมือนว่าผมจะไม่มีเวลามองดูเขาก็ตาม" กายพูด "เพราะถ้าผมเจอดาวที่ใช่แล้ว ผมก็อยากจะลองคว้าดาวดูเหมือนกัน"
   นัทหันขวับมาดูกายทันที เมื่อถึงประโยคนั้น....
   กายยังคงขับรถต่อไป ขณะที่นัทยิ้มกว้าง ก่อนจะหันไปมองท้องฟ้า
   “ผมก็เหมือนกัน" นัทพูดเบาๆ
   และในช่วงเวลานั้น ที่ท้องถนนเงียบสงบ ก็ดูเหมือนว่าไม่มีรถคันอื่นใดเลย นอกจากรถของกายและนัท ที่กำลังมุ่งสู่ชลบุรี
….......
   
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 24-07-2011 22:27:09
นัทรู้ตัวว่าเขากำลังบ้าไปแน่ๆ เขากำลังวิ่งตามกระต่ายสวมเสื้อกั๊กตัวหนึ่งไป เขาวิ่งตามมันไปจนถึงโพรงๆหนึ่งที่มืดสนิท แล้วเขาก็พลาดท่าไปตกลงไปในโพรงที่ลึกมากๆ เจอกับสิ่งแปลกประหลาดมากมาย และที่แย่ไปกว่านั้น เขาไปเจอกับพ่อมดสวมหมวก เป็นหมวกไหมพรมที่พยายามร้องเรียกชื่อเขา
   “นัท....นัท....ได้ยินผมหรือเปล่า"
   ชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตามองหน้า แมท แฮทเทอร์ ที่หน้าตาดูหล่อเหลากว่าปกติ ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเขาเองไม่ใช่อลิซและนี่ไม่ใช่ความฝัน
   “เอ้า...เอ่อ...โทษที ว่าไงคุณ" นัทค่อยพยุงตัวเองลุกขึ้น เพดานกลับมาดำสนิทแล้ว เขากลับมาอยู่ในรถของกายแล้ว
   “ผมถึงหาดแล้ว ไปไหนต่อล่ะ" เสียงของกายที่มาอยู่ในระยะประชิดเกินไปทำเอาเขารีบกระเถิบตัวออกห่างไป
   “เอ่อ....” นัทมองไปรอบๆตัว "นั่นไง โรงแรมนั้นแหละ เอวันรอยัลครูส"
   กายยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะบึ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว
   ภายในห้องล็อบบี้ทั้งคู่ไม่เห็นพวกเขาที่เหลือจากเจ้าเต่าทองเลย ซึ่งนัทเดาเอาว่าคงยังมาไม่ถึง นัทหมุนไปมาอยู่ได้สองสามครั้ง กายก็เดินเข้ามาเขาทันที
   “จะเอายังไงเนี่ยคุณ" กายว่าพลางสะกิดให้ดูพนักงานที่กำลังขนกระเป๋าของเขา "พนักงานเค้าบอกว่า พวกคุณน่ะจองห้องพักไว้สองห้องน่ะ แล้วเอ่อ....คุณน่ะ นอนห้องเดียวกับผม"
   “อะไรนะ" นัทร้อง "จะบ้าเหรอ ผมจะโดนไปนอนกะคุณได้ไง พวกเราไม่แยกห้องกันนี่"
   “ก็ใช่ มันเป็นห้องใหญ่ติดกันสองห้อง" กายว่า "แต่ตอนนี้คุณกับผมต้องขึ้นไปเปิดห้องก่อน จะขึ้นไปด้วยกันหรือเปล่า"
   “ไม่อ่ะ" นัทว่า
   “น่าคุณ....ขึ้นไปด้วยกันหน่อยไม่ได้เหรอ" กายว่า "เดี๋ยวพนักงานขนกระเป๋าเขาจะเอากุญแจกลับลงมาที่เคาท์เตอร์ ไม่งั้นผมจะไม่ได้จัดของนะ"
   “ก็เรื่องคุณสิคร้าบบบ" นัทพูดเสียงเหนื่อยหน่าย
   กายถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะลากแขนนัทเดินตามพนักงานขนกระเป๋าขึ้นลิฟท์
   “เห้ยคุณ....ผมเจ็บนะ" นัทร้อง
   “ก็อย่าพูดยากสิคุณ" กายว่า ก่อนที่ทั้งคู่จะต้องเงียบสนิทเมื่อลิฟท์ปิด นัทหันไปขมวดคิ้วใส่กายขณะที่เจ้าตัสทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่กี่อึดใจ ลิฟท์เปิดที่ชั้นสิบแปด ทั้งคู่เดินตามพนักงานไปจนถึงห้องใหญ่สองห้อง ห้อง 1817 และ 1818 ทั้งคู่เดินเข้าไปตรวสอบห้องที่กว้างขวาง  กายให้ทิปพนักงานก่อนจะปิดประตู
   “เดี๋ยวน้องคนนั้นจะบอกพวกเราที่เหลือให้ตามขึ้นมาเอง" กายหันกลับไปพูดกับนัทแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า เพราะชายหนุ่มได้ปลีกตัวเองออกไปอยู่ที่นอกระเบียงแล้ว กายเดินตามออกไปทันที
   กายมองนัทที่หลับตาสูดหายใจเข้าลึกๆกับลมทะเลที่พัดเข้ามายามดึกพลางยิ้มกว้างก่อนจะเท้าแขนบ่นไหล่นัท นัทหยุดกึกเล็หน้อย ก่อนจะเหล่มองกาย
   “อะไรเนี่ยคุณ" นัทพูด
   กายไม่พูดอะไร ก่อนจะทำท่าเดียวกับนัท โดยการสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตา วินาทีนั้น นัทมองใบหน้าของกายอย่างเต็มๆก่อนจะอมยิ้ม พอดีกับที่กายหันหน้ามาหาเขา นัทตกใจเล็กน้อยก่อนจะหันหน้ากลับ
   “คุณ....” กายเริ่มพูดก่อน
   “อะไร" นัทพูดเสียงเข้ม
   “ผมมีเรื่องอยากจะบอก" กายค่อยๆพูด
   “อะไร" นัทพูดด้วยน้ำเสียงเดิม แต่มันกลับสั่น เมื่อกายมองหน้าเขาใกล้ขึ้น นัทมองเข้าไปในดวงตาของกายและ...
   “ฉันว่านะ....เราน่าจะโทรหามันอีกที" เสียงขอสาดังขึ้นที่ประตู ปลุกให้ทั้งคู่ตื่นจากภวังค์ ทั้งคูหันหลังกลับมายังห้องโถง สา มาร์คและมิก มาถึงแล้วนั่นเอง สายตาของนัทสบตากับมิกอย่างไม่ได้ตั้งใจทันที เงียบกันไปพักนึง
   “เอ่อ....เอ้า มาถึงกันแล้วเหรอนี่" สาพูด "นึกว่าออกไปหาไรกินกันก่อนแล้วซะอีก"
   “แล้วไมไม่รับโทรศัพท์" มิกถามห้วนๆ
   “อ๋อ พอดีเราจัดของกันอยู่น่ะ" นัทว่า พลางเดินไปช่วยมาร์คหิ้วของใช้ต่างๆของสา ก่อนที่ทั้งห้าจะพยายามแย่งกันจับจองตู้และเตียงนอน
   “จะว่าไป คุณกายกับแกยังไม่ได้กินอะไรเลยไม่ใช่เหรอ" สาว่าขึ้น
   “นี่อย่าบอกนะว่าที่มากันช้าเพราะไปแวะพักหาไรกินน่ะ" นัทร้อง
   “แหม ก็มันหิวนี่นา" สาร้องครวญคราง
   “ทุกทีแหละคนนี้นัท" มาร์คเสริม "แล้วก็มาว่าอ้วนขึ้นๆ"
   สาค้อนแฟนหนุ่มเข้าให้ก่อนจะหันไปหากาย
   “คุณกายจะไปหาอะไรทานที่ภัตตาคารข้างล่างหรือเปล่าล่ะคะ" สาพูด
   “ก็ดีเหมือนกันครับ" กายพูดพลางหันมาหานัท "คุณจะไปกับผมหรือเปล่า"
   นัทอึกอักอยู่พักนึง อาจเป็นเพราะนัทพยายามไม่มองตามิก
   “ก็ลงไปดิวะ จะมายืนท้องร้องอยู่ทำไม" มิกว่า "เอามันไปด้วยแหละครับคุณกาย"
   นัทขมวดคิ้วใส่มิกก่อนจะยอมให้กายลากนัทออกปจากห้องโดยดี
   “โอ๊ย...นี่คุณไม่ต้องลากแขนผมไปด้วยก้ได้นะผมเดินเองเป็น" นัทร้อง
   “นี่คุณอย่าบ่นไปหน่อยเลยน่า....ผมหิวแล้ว" กายพูด
   “ผมไม่ได้หิวกะคุณซะหน่อย" นัทพูด แต่ดูเหมือนท้องของเขาจะทรยศคำพูดของเขาเอง
   “นี่คุณ อยู่กะผมสองต่อสองนี่มันจะตายหรือไง ทำเป็นไม่เคยไปได้" กายว่า
   “นี่คุณพูดอะไรอ่ะ" นัทว่า "ใครจะอยากอยู่กะคุณ"
   กายขำน้อยๆกะเรื่องนั้น
   “เอาเหอะ ลงไปข้างล่างกัน"
   กายลากนัทลงมาทานอาหารที่ภัตตาคารข้างล่างจนอิ่ม แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่ากายจะกลับขึ้นห้องเมื่อไหร่ ทั้งคู่ออกมาอยู่ที่ริมสระว่ายน้ำพร้อมกับพันช์คนละแก้ว
   “จะขึ้นหรือยัง" นัทถามหยังจากเงียบมาได้หลายนาที
   “ยังอ่ะ ผมยังไม่อยากขึ้น" กายตอบ
   เงียบกันไปอีกพักนึง
   “เออ เมื่อกี้คุณว่าคุณมีอะไรจะพูดกับผมนะ" นัทถามขึ้น กายหันกลับมามองหน้านัททันที นัทมองลึกเข้าไปในดวงตาประกายดาวคู่นั้น รู้สึกถึงอะไรไม่ชอบมาพากล
   “ผมแค่อยากจะถามคุณว่า....” กายเริ่มพูด "ว่า....”
   “ว่า...อะไรคุณ"นัทพยายามลุ้น
   “ว่า....คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมจะถามว่า คุณกับคุณมิก เป็นอะไรกันหรือเปล่า"
   นัทมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คำถามนั้นผ่านหูไปซักสองนาทีได้ แต่เขาได้ยินไม่ผิดแน่
   “อะไรนะ" นัทถามอีก
   “คือผมอยากรู้ว่า คุณกับคุณมิก เป็นอะไรกันหรือเปล่า" กายพูด "คือ....ผมหมายถึง โกรธอะไรกันหรือเปล่า"
   นัทถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “ก็...ไม่มีอะไรหรอกคุณ ผมกับมิกเป็นเพื่อนกันมานาน เพื่อนกันถ้าไม่เคยทะเลาะกันเลยก็แปลกแล้วคุณ" นัทตอบ และก็พนันว่าเขาได้ยินเสียงถอนหายใจดังพรืดมาจากกาย
   “เฮ้อ...ดีจัง" กายกัดฟันพูดเบาๆ
   “คุณว่าอะไรนะ" นัทถาม
   “อ๋อ...ผมว่า...เอ่อ...อากาศดีจัง" กายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
   “คุณถามทำไม" นัทย้อนถามบ้าง
   “ก็....ผมเห็นคุณกับคุณมิกเค้าแปลกๆ ก็คิดว่าน่าจะมีอะไรๆไง" กายพูด "ผมก็อยากให้คุณเคลียร์กันซะ อย่างน้อยมาเที่ยวนี่ก็น่าจะเคลียร์กัน กลับไปทำงานจะได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย"
   นัทมองหน้ากายอย่างพินิจ หมอนี่มีอะไรไม่ชอบมาพากล
   “คุณอยากจะพูดอะไรอีกหรือเปล่า" นัทรู้สึกรำคาญกับอาการยึกยักของหมอนี่เต็มทน "เพราะถ้าคุณไม่มีอะไรผมก็จะขอตัวขึ้นไปข้างบนแล้วน่ะ"
   นัทว่าพลางหันหลังกลับ
   “เดี๋ยวคุณ" กายร้อง นัทหันกลับมา ทำหน้าตั้งคำถาม
   “คือ....ผมยังไม่เคยมาเที่ยวที่นี่กับใครมาก่อนเลย แม้แต่เจน" กายเริ่มพูดอะไรบางอย่าง "คือหมายถึง เที่ยวแบบที่ผมเที่ยว"
   นัทขมวดคิ้ว หมอนี่กำลังเมาพันช์แน่ๆ
   “นี่กาย คุณเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย" นัทว่า "พูดซะงง"
   “คือ...เอ่อ...ผมอยากได้ใครซักคนที่จะพาผมไปที่ไหนๆ" กายว่า
   นัททำหน้าเศร้าพลางหัวเราะเสียงแห้ง
   “คุณลองเข้าไปในบาร์หลังโรงแรมสิ เดี๋ยวคุณหาเจอเองแหละ" นัทว่าพลางหันหลังกลับ ไม่มีอะไรน่าหวังสักหน่อย หมอนี่ก็แค่อยากได้ใครซักคนพาเขาเที่ยวกลางคืน
   “ผมหมายถึงทุกๆที่" กายพูด "ไม่ใช่แค่ข้ามคืน"
   นัทหันหลังกลับอีกครั้ง พลางขมวดคิ้วหากาย
   “นี่...คุณ" นัทพึมพำ "นี่คุณ...จะ.....พูดอะไรอ่ะ"
   “นัท....ผมชอบคุณ"
        นัทใช้เวลาแปลความหมายประโยคที่ได้ยินอยู่พักใหญ่ ก่อนจะตั้งสติ ตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ชายหนุ่มมองหน้าพ่อมดตัวกวนตรงหน้า ก่อนจะอ้าปาก
   “ผม....ขอโทษ....ลืมมันซะ ถือว่าผมไม่ได้พูด" กายมีสีหน้าดูเคร่งครึมขึ้นมาทันที นัทปิดปากลง
   “คุณว่าอะไรนะ" นัทถาม
   “คือ....ผม...ผม...ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น" กายส่ายหัวพลางก้มหน้าลงก่อนจะถอยห่างออกจากนัท "คือ....ผม....ผม....ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น คือผมแค่รู้สึก ไม่ได้จริงจังอะไร....ผม"
   “อ่อ" นัทรู้สึกเหมือนแก้วเจียระไนใบโปรดที่เพิ่งได้มาเป็นของขวัญแตกลงต่อหน้า ความรู้สึกเจ็บแปลกๆเกิดขึ้น "ผมก็.....คิดไว้แล้วล่ะ...ไม่แปลกใจเลยซักนิด"
   นัทก้มหน้าลงก่อนจะเดินผ่านกายไป
   “นัท...คือ....ผม" กายร้องเรียกนัทไว้ นัทหันกลับมามองกายอีกครั้ง แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบงันตอบกลับมา นัทยิ้มที่มุมปาก
   “คุณรู้อะไรไหม สิ่งที่ดีกับคุณมากที่สุดตอนนี้ก็คือ ไปที่บาร์หลังโรงแรม" นัทค่อยๆ ถอยห่างกายออกไปเรื่อยๆ "หาผู้หญิงซักคน แล้วก็....เอ่อ.... พาขึ้นรถคันหรูของคุณ ไปแถวพัทยา แล้วค่อยกลับมาที่ห้องพรุ่งนี้ก็ได้"
   นัทหันหลังกลับก่อนจะวิ่งขึ้นลิฟต์ตรงรี่ขึ้นห้องทันที
   กายยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น.....อยู่กับความสับสนของหัวใจตัวเอง
   ประตูห้องเปิดผางออก นัทหันหลังพิงประตูด้วยตาแดงก่ำ ก่อนจะตกใจสุดตัว เมื่อต่อหน้าเขายังมีคนอยู่ในห้อง มิก สาและมาร์ค
   “เป็นไรไปแก" มิกถาม นัทมองหน้าเพื่อนรักอย่างตื่นๆ พลางมองไปหาสา ซึ่งเธอเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่าง จึงลุกขึ้นลากมาร์คเข้าไปอีกห้องทันที แม้ว่ามาร์คจะยังคงมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นอยู่
   “กายล่ะ" มิกเดินเข้ามาถาม นัทก้มหน้าลง
   “อ้อ" มิกพ่นลมออกจากปากเบาๆ "คุยตรงนี้คงไม่เวิร์คสินะ ถ้าเดาไม่ผิด จะไปที่ระเบียงไหม"
   นัทพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินตามมิกไปโดยไม่พูดอะไร
   ไม่กี่นาทีต่อมา สาเปิดกระจกและก้าวเข้ามาที่ระเบียงตามมิก แม้ว่าจะล่วงเลยเวลามาพักใหญ่แล้วที่นัทไม่ได้พูดอะไร สายตาจับจ้องลงไปที่สวนเบื้องล่าง มิกมองสาอย่างพยายามบ่งบอกคำตอบ
   “ท่าทางดินเนอร์ใต้แสงเทียนจะจบไม่สวยแหงม?” สาพูดติดตลก นัทหันมาขมวดคิ้วใส่ทั้งที่นัยน์ตาแดงก่ำ ขณะที่มิกกลั้นหัวเราะ
   “ถ้าตกลงกะฉันซะตั้งแต่แรก ก็จะได้ดินเนอร์ที่จบสวยไปแล้ว" มิกว่า
   “แต่กะแกมันจะไม่โรแมนติน่ะสิยะ" สาว่า "ดินเนอร์กะเพื่อนจะไปสนุกอะไร"
   “แต่บางที กินข้าวเย็นกะเพื่อน ก็รู้สึกมีความสุขกว่าบานเลยแหละ" นัทพูดเบาด้วยเสียงสั่นเครือ พลางมองเพื่อนรักทั้งสอง
   “เกิดอะไรขึ้น" สาถาม
   “ไม่มีอะไรหรอกสา" นัทตอบ "ฉันก็แค่เผลอตัวเผลอใจไปบ้างไรบ้าง ไม่ได้มีอะไรมาก" นัทพยายามสูดเอาไอทะเลเข้าไป เพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่มันอยู่ในใจ
   “เอาจริงๆนะ ฉันเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรหรอก" สาพูดโพล่งขึ้น นัทหันมามองหน้าเธอ "ก็แหม.....คุณกายนะ กายสิทธิ์ พ่อมดแห่งวงการ ขึ้นชื่อเรื่องคาสโนว่าแค่ไหนล่ะ เขาคนที่สาวๆยอมแลกทุกอย่างเพื่อให้ได้เขากดชัตเตอร์ให้นะ มันก็ไม่แปลกหรอกถ้าเขา....."
   “จะไม่ได้คิดจริงจังอะไร" นัทต่อประโยคของสาจนจบ นัทพูดพลางส่ายหัว "พวกนายอย่าคิดมากแทนฉันเลย ฉันก็แค่วูบไป สะพานแขวนน่ะ เรื่องที่ฉันกับเขาร่วมกันทำให้นายไม่ถูกไล่ออกมันบังเอิญสร้างความประทับใจให้ฉันมีต่อเขา ซึ่งสุดท้ายแล้ว มันไม่ใช่เรื่องจริง"
   ทั้งสามเงียบสนิท
   “ไม่เอาน่า" นัทพูดขึ้น "มาเที่ยวๆ อย่าให้อะไรๆมันหมดสนุกสิ ไปๆ เข้าไปข้างในกัน จะได้พักผ่อนๆ พรุ่งนี้จะได้ออกไปขี่จักรยานกัน"
   “เอ้อ ดีเนอะ ซึมเอง แล้วก็เป็นคนปลอบคนอื่นเอง" สาว่าพลางเปิดกระจกระเบียง "งั้นฉันขอไปแช่น้ำอุ่นก่อนนะ อยากจะพอกโคลนซะหน่อย"
   “แหม พอพ่อมาร์คของเธอมาก็ทำสวยใหญ่เลยนะ ทำอะไรก็เกรงใจมิกมันบ้าง มันอยู่ห้องเดียวกับเธอนะ" นัทแซว มิกได้ยินก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ใส่สา
   “แต่ก่อนที่เธอจะไปอาบโคลนของเธอนะ กรุณาเอาครีมของเธออกจากตู้ฉันด้วย ฉันจะไม่มีที่เก็บของแล้ว" มิกร้องบอก
   “ย่ะ งั้นรอแป้บ ไปจัดของล่ะ" สาหายวับไปจากห้องโถงกลางทันที
   นัทส่งยิ้มให้กับหลังของเธอ ก่อนจะหันกลับมาประจันหน้ากับมิกที่มองเขาด้วยสายตาห่วงใย แต่ไม่ทันที่จะพูดอะไร มิกก็นำมือจับเข้าที่ท้ายทอยของนัทและดึงเขาเข้ามาจูบทันที
   อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ตั้งตัว แต่นัทก็ปล่อยให้ร่างกายของตัวเองล่องลอยไปกับมิกที่ไม่เพียงแค่จูบเขา แต่ดูเหมือนการจูบนี้พยายามดึงเอาความเจ็บปวดทั้งหมดออกมาจากหัวใจของนัท ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ และมิกก็ผละออกจากนัท แม้ว่าใบหน้าของทั้งสองจะยังคงชิดกัน นัทก้มหน้าลงขณะที่มิกลูกหัวคนที่รักเบาๆ
   “ฉันอาจจะอยู่กับแกมานานจนรู้ว่าตอนนี้แกไม่ได้ปกติอย่างที่พยายามบอกกับสา” มิกกระซิบเบาๆ นัทไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่น้ำตามันไหลออกมาเฉยๆ โดยที่มันคุมอะไรไม่ได้ “ฉันจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น และจะไม่พยายามทำให้แกมาบอกอะไรฉัน แต่ถ้าแกไม่สบายใจเรื่องเขา ฉันจะอยู่กับแก”
   “ขอบใจมากนะมิก” นัทพูดเสียงสั่น "ไม่เป็นไร ถ้าเลือกที่จะหลบ มันก็หลบไปตลอด ฉันไม่เป็นไรหรอก"
   มิกปาดน้ำตานัทเบาๆ ก่อนจะจับหน้านัทเงยขึ้นมามองหน้าเขา
   “งั้นก็โอเคได้แล้วนะ" มิกว่าพลางอมยิ้ม นัทยิ้มตอบพลางหัวเราะเบาๆ
   “หลอกจูบนี่หว่า" นัทพูดเบาๆพลางต่อยเข้าที่ไหล่มิก
   “แล้วชอบป่ะล่ะ" มิกว่าพลางยิ้มกว้าง นัทเดินออกจากมิกไปยังห้องของเขา "แน่ใจนะ ว่าไม่ต้องให้อยู่เป็นเพื่อน"
   นัทพยักหน้าน้อยๆก่อนจะปิดประตูห้องไป
   มิกก้มหน้าลง ก็จริงอย่างที่นัทว่า เขาขโมยจูบเมื่อกี้มา แต่เขาก็รู้ดี มันช่วยให้นัทดีขึ้น อย่างน้อยก็ให้เขาได้แบ่งเบาความรู้สึกเหล่านั้นออกมาบ้าง มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาพอจะทำได้ เพื่อตอบแทนที่นัททำเพื่อเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาหนึ่งสัปดาห์
   อีกฝั่งของประตู นัททิ้งตัวลงนั่งนิ่งที่ประตูพลางหลั่งน้ำตาเบาๆ เขาไม่เคยร้องไห้ฟูมฟาย แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อครู่กับมิกมันเหมือนกับทำนบแตก อยู่ดีดีมันก็เอ่อขึ้นมา มันผิดที่เขาเอง ที่เขาคิดอะไรๆไปไกลกว่าที่มันควรจะเป็น แต่เขาก็ไม่ได้รู้เลยว่า อีกฝั่งหนึ่งของหาด กายกำลังเดินไปเรื่อยๆ เดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย
   เขาแค่ไม่อยากสูญเสีย เหมือนที่เคยเป็น......
   แต่เขา ก็ไม่อาจเดินต่อไปเรื่อยๆได้อีกแล้ว มันยาวนานมาเกินพอแล้ว.........
…..........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้
เริ่มหัวข้อโดย: kokikung ที่ 24-07-2011 22:52:19
โอโห จัดเต็มสุดๆๆๆๆๆๆ อ่านตาแฉะเลยอ่า
กำลังมันส์เลย ขอให้มิคพ้นผิดไวไวจับคนผิดมารับโทษโดยเร็ว
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 10)
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 25-07-2011 02:58:54
บทที่ 10 You drive me.......CRAZY!!!

   นัทตื่นขึ้นกลางดึก ชายหนุ่มเผลอหลับไปโดยที่ยังไม่ได้อาบน้ำ นัทรู้สึกเลยว่าการลืมตามันช่างยากลำบาก การที่น้ำตาไหลตลอดเมื่อหัวค่ำ ทำให้ตากรังไปด้วยขี้ตา ด้วยความตกใจจึงรีบรุดไปหยิบอุปกรณ์อาบน้ำ เมื่อเปิดไฟห้องนอน ก็พบว่ากายยังไม่ได้กลับมา ความเป็นห่วงแว้บขึ้นในใจ นัทเอื้อมมือไปหยิบบีบี เรื่องอะไรฉันต้องไปห่วงไอ้คนโลเลนั่นด้วย ป่านนี้ไปสราญกับสุรานารีถึงพัทยาแล้วมั้ง เมื่อคิดได้ดังนั้นก็วางโทรศัพท์ลงก่อนจะเดินไปอาบน้ำ
   นัทปล่อยให้สายน้ำอุ่นไหลผ่านร่างกาย เพื่อชำระเรื่องร้ายๆ วุ่นวายๆที่ผ่านมาตลอดตั้งแต่พบกับพ่อมดแห่งวงการคนนี้ออกไป ตอนนี้เขาปกติดีแล้ว ยิ่งคิดไปคิดมาเขาก็หัวเราะอยู่คนเดียว มันบ้าสิ้นดีกับเรื่องเมื่อหัวค่ำ เขาก็น่าจะรู้ตัวอยู่แล้วว่ากายไม่ใช่คนที่จะไปไว้วางใจอะไรได้ขนาดนั้นอย่างที่สาว่า และอันที่จริง มันก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ซักหน่อย หมอนั่นอาจจะเมาพันช์มากไปหน่อย และที่เขาร้องไห้ ก็เป็นเพราะความสับสนกับความรู้สึกดีดีที่มีให้มิก และบวกกับเมาพันช์ไปด้วยอีกคน ฉะนั้น เขาจะลืมเรื่องเมื่อหัวค่ำได้อย่างไม่ต้องพยายาม เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มปิดฝักบัว ก่อนจะเช็ดตัวและหยิบชุดคลุมออกมาปกปิดร่างกาย
   นัทฮัมเพลงเบาๆขณะปิดประตูห้องน้ำออกมา ก่อนจะต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อชายในชุดไปรเวสอย่างมีสไตล์สวมหมวกไหมพรมกำลังยืนพิงประตูและมองมาหาเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำและถมึงทึง มือข้างหนึ่งยันขอบประตูเอาไว้เพื่อให้ตัวเองยังยืนอยู่ได้บ้าง สภาพตอนนี้ของกายตอนนี้ไม่ต่างจากมิกเวลาเมามายในงานปาร์ตี้ แต่ทว่านี่มันเหมือนคุณหนูซักคนที่เมาไม่ได้สติเพราะดื่มเหล้าครั้งแรก
   “ทำ ไม ไม่ โทร หา ผม" น้ำเสียงดุดันพูดขึ้น "ผม โทร มา ก็ ม่าย รับ"
   “ผมอาบน้ำอยู่ ไม่ได้ยินอ่ะ" นัทพูดหน่ายๆ "แล้วผมก็ไม่อยากโทรไปรบกวนเวลาสนุกยามค่ำคืนของคุณด้วย"
   นัทพูดพลางเดินผ่านกายไปยังตู้เสื้อผ้า กายเดินโงนเงน มาดึงตัวนัทให้หันไปหา กลิ่นเหล้ารุนแรงลอยออกมาจากร่างกายทันที
   “คุณ ไม่ ห่วง ผม เลย ไง" กายพูดหน่วงๆ นัทถอนหายใจก่อนจะมองพ่อมดหมดรูปตรงหน้า
   “คุณก็ไม่เป็นไรนี่ นี่คุณเมามากแล้วนะ ไปอาบน้ำ ไม่งั้นผมไม่ยอมนอนร่วมเตียงกับคุณแน่" นัทพูดเสียงแข็งพลางผลักกายไปยังประตูห้องน้ำ
   “ไม่ นอน กับ ผม เหรอ" กายพูดเสียงดัง
   “นี่คุณ ลดเสียงหน่อย คนอื่นเค้าหลับกันหมดแล้ว ไปอาบน้ำไป" นัทว่า
   “ไม่ นอน กับ ผม เหรอ" กาย ถอดหมวกไหมพรมออก ก่อนจะย่างเท้ามาหานัท
   “ใช่ ผมจะไม่นอนกับคุณ ผมอาบน้ำแล้ว และผมก็จะไม่ยอมเหม็นบนเตียงเดียวกับคุณแน่" นัทว่า
   ทันใดนั้น กายก็ใช้แรงที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายถลาเข้าหานัทและโถมตัวลงบนเตียงทันที
   “นี่คุณจะทำอะไรอ่ะ ปล่อยผมน.......” นัทถูกปิดเสียงสุดท้ายด้วยริมฝีปากที่เคล้ากลิ่นแอลกอฮอล์ที่ฉุนจัด กลิ่นเหล้าของกายแทรกซึมเข้ามาในตัวของนัท
   “ผม ไม่ ยอม ให้ คุณ หลุด มือ ไปหรอก" กายว่า " ผม ตาม หา คุณ มา ตลอด เลย รู้ บ้าง หรือ เปล่า นัท"
   “คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย ปล่อยผมนะ" นัทร้องแม้ว่าร่างกายของเขาหมดทางสู้ พร้อมกับชุดคลุมที่เริ่มคลายตัวออก
   “ผม จะ ไม่ ยอม เสีย คุณ ไป" กายพูดครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะก้มตัวลงคลอเคลียกับกับนัท พลางถอดชุดคลุมของนัทออกและโยนมันไปที่โคมไฟตั้งโต๊ะ มันดับวูบลงพร้อมกับไปกลางห้อง และท้ังสองก็อยู่ในความมืดมิด เมื่อสามารถทำให้นัทหลือเพียงร่างเปลือยเปล่าได้สำเร็จ กายก็เร่งถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกโดยไม่สนใจการขัดขืนของชายหนุ่มที่ตกเป็นรอง เมื่อร่างทั้งสองปราศจากสิ่งปกคลุม กายก้มลงจูบนัทอีกครั้ง แม้ว่าการกระทำนี้จะถูกตอบรับด้วยการทุบตีและรอยมือที่จิกลงบนแผ่นหลัง แต่ดูเหมือนว่ายิ่งนัททำร้ายกายมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเพิ่มการจูบให้ดูดดื่มขึ้น จนกระทั่งนัทหมดเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ต่อไป กายจึงละออกจากริมฝีปากนัท โดยยังให้ใบหน้ายังคงชิดใกล้กันอยู่
   “คุณมันก็แค่รักข้ามคืน" นัทพูดเบาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอ
   “คุณไม่เข้าใจหรอก" การพูดของกายดีขึ้น นั่นหมายความว่า เขามีสติแล้ว "คุณไม่มีวันเข้าใจ ว่าผมรู้สึกยังไง"
   และแล้วก็ไม่มีอะไรที่ขวางกันระหว่างความสัมพันธ์ของทั้งกายและนัทได้อีกต่อไป ถึงแม้ว่านัทจะยังคงพยายามขัดขืน แต่กายที่เรียกได้ว่าเป็นพ่อมดที่ช่ำชองเรื่องงานสร้างสรรค์ และงานสร้างสวรรค์ ดังนั้นเมื่อพ่อมดคนนี้มอบความสุขให้กับจุดอ่อนไหวของนัท ร่างกายของเขาก็อ่อนระทวยและยอมตอบสนองงานนี้ทุกท่วงท่า เมื่ออาวุธกายสิทธิ์ที่ติดตัวพ่อมดคนนี้พร้อมแล้วกับการร่ายมนต์ นัทก็ไม่อาจจะต่อต้านเวทย์มนต์สะกดใจนี้ได้ ถึงความรู้สึกเจ็บมากมายจะเกิดขึ้นกับเพลงรักครั้งแรกของนัท เขาก็ยังสามารถเป็นผู้ประลองเวทย์ครั้งนี้ได้อย่างสมรัก และเมื่ออารมณ์แห่งปราถนาพลุ่งพล่าน กายสิทธิ์หายใจถี่รัวก่อนจะกระตุกร่างกายอยู่เป็นจังหวะ เช่นเดียวกันกับนัทที่ปล่อยลมหายใจสุดท้ายพร้อมกับปลดปล่อยความสุขไปพร้อมกันกับกาย ก่อนที่ทั้งคู่จะหมดแรงไปพร้อมกัน และล่องลอยไปสู่ความฝันที่แสนเจ็บปวดและสับสน
…..........
   “นัท นัทอยู่หรือเปล่า" เสียงแหลมเล็กเบาๆ ดังลอดผ่านประตูห้องนอนมา พร้อมกับเสีงเคาะประตู นัทค่อยๆลืมตาขึ้นมาพยายามปรับสายตาให้เข้ากับแสงสลัวๆจากแดดที่ลอดผ่านผ้าม่านเข้ามา "นัท อยู่ไหม พวกเราจะออกไปให้อาหารลิงกัน จะไปไหม ฮัลโหล"
   เมื่อตื่นได้เต็มตา นัทก็ลุกขึ้นนั่งทันที แต่ทันใดนั้นความเจ็บแปลบก็เกิดขึ้น
   “โอ๊ย" นัทร้องพลางจับเข้าที่จุดเจ็บปวด
   “นอนลงไปก่อนคุณ" เสียงของกายดังขึ้น นัทมองไปตามเสียงนั้น พบว่ากายอยู่ในชุดนอนและกำลังจะเดินไปเปิดประตู นัทขมวดคิ้วทันที
   “ค....คุณ"
   “นอนลงไปสินัท มันจะเจ็บมากขึ้นนะ" กายว่า "ผมจะเปิดประตูแล้ว"
   นัททำอะไรไม่ถูก ได้แต่นอนลงและนำผ้านวมขึ้นมาปกคลุมร่างกายที่เปลือยปล่าวเอาไว้ ก่อนที่เขาจะได้ยินเสียงเปิดประตู
   “อ้าวคุณกาย" เสียงของสาร้องทักขึ้น "นัทล่ะคะ ยังไม่ตื่นเหรอ"
   “ยังครับ" กายตอบ "พอดีเมื่อคืนผมกลับมาดึก เค้าก็เลยรอน่ะครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ ผมยังไม่อยากปลุกเขา"
   “อ๋อ งั้นไม่เป็นไรค่ะ เราเห็นว่า เช้านี้อากาศดี เลยจะขึ้นไปที่เขาสามมุก ไปให้อาหารลิงค่ะ คุณกายจะไปด้วยกันไหมคะ มิกกับมาร์คลงไปทานอาหารเช้าแล้วรออยู่ข้างล่างแล้วค่ะ สาเลยลองขึ้นมาชวน"
   “อืม ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวผมรออยู่ที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวนัทเค้าตื่นมาไม่เจอใคร" กายตอบ "แล้วเดี๋ยวตอนบ่ายๆ เย็นๆ เราไปพิพิธภัณฑ์ริปลีย์กันตามโปรแกรมเดิมครับ"
   “ค่ะ งั้นขอโทษด้วยนะคะที่มาปลุกแต่เช้า" สาพูด
   “ไม่เป็นไรครับ ผมตื่นมาซักพักแล้วล่ะ"กายตอบ "ยังไงก็เดี๋ยวเจอกันแล้วกันครับ"
   เสียงปิดประตูเงียบลง ขณะที่นัทเลิกผ้าห่มแล้วลุกพรวดพราดทันที
   “โอ๊ย" ชายหนุ่มร้องดังขึ้นกว่าเดิม พลางนำมือจับตรงจุดที่ได้รับการล่่วงล้ำ
   “อย่าสิคุณ มันจะเจ็บนะ" กายพูดพลางเดินมานั่งลงที่ข้างตัวนัท เขามองหน้ากายอย่างเย็นชา กายสิทธิ์ไม่หลบสายตาที่เจ็บปวดคู่นั้น เขาจ้องมันกลับด้วยแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคำขอโทษ กายขอโทษคนไม่เป็น เขาไม่เก่งเรื่องการแสดงความเสียใจ แต่เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้นัทมองเขาผิดไป ถึงแม้ว่ากระทำเมื่อคืนของเขาต่อนัท มันออกจะดูรุนแรงมากก็ตาม
   “คุณจะด่าผมยังไงก็ได้ ผม ไม่มีอะไรจะ......”
   “ผมหิวน้ำ" นัทพูด "และถ้าคุณจะกรุณา ลดแอร์ลงหน่อย ผมหนาว"
   กายยืนเงอะงะอยู่ซักพัก ก่อนจะกดรีโมทแอร์และรีบรุดไปเปิดตู้เย็นและเทน้ำปล่าวแล้วนำมาให้นัท
   “จะเอาอะไรอีก หิวหรือเปล่า" กายพูดอย่างอ่อนโยน ซึ่งนั่นทำให้นัทรู้สึกไม่สบายใจมากเพิ่มขึ้นไปอีก
   "คุณจะกินอะไรไหม ผมจะได้โทรสั่ง" กายพูดอีก ตอนนี้เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกตอนนี้เรียกว่าเกลียดหมอนี่ได้หรือเปล่า มันตื้อไปหมด เขาทำอะไรไม่ถูกและสับสน
   "คุณลุกไหวไหม จะเข้าห้องน้ำไหม หรือจะออกไปกับพวกคุณมิก" กายถามเขาอีก เขาไม่รู้ว่าควรจะเล่าให้มิกฟังดีไหม และมันจะเปิดอะไรขึ้นถ้ามิกรู้เรื่องนี้ เขารู้สึกเกลียดตัวเอง ที่เมื่อคืนเขาเองก็ปฏิเสธไม่ลงว่าเขาว่ามีความสุข แต่นี่มันเกินไปแล้ว กับเรื่องทั้งหมด
   “คุณจะ....”
   “พอเหอะ" นัทโพล่งออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลช้าๆ เขายังคงนั่งนิ่งสายตาจับจ้องไปที่พื้นห้อง กายเงียบเสียงลง ดูเขาจะตกใจเมื่อเห็นสภาพนี้ของนัท มันเหมือนเช่นเดิม นัทไม่ได้ฟูมฟาย แต่น้ำตามันไหลออกมาเรื่อยๆ นั่นยิ่งทำให้กายทำตัวไม่ถูกมากขึ้นไปอีก ผู้หญิงหลายคนที่เขาเคยหลับนอนด้วย ก็มีบ้างที่ตื่นขึ้นมาแล้วร้องไห้ฟูมฟายซึ่งส่วนใหญ่มันก็จบลงด้วยเม็ดเงินงามๆที่เขาจ่าย แต่สำหรับผู้ชายตรงหน้าเขา เขากลับรู้สึกเจ็บปวดพิกลเมื่อเห็นน้ำตาของนัท น้ำตาที่เงียบสนิท ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้น
   “ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอก" นัทพูดเสียงสั่นเครือ "ผมไม่อยากจะว่าอะไรคุณอีกแล้ว"
   “นัท" กายเอ่ยชื่อเขาเบาๆ
   “ผมอยากถามคุณแค่ข้อเดียว" นัทพูด แม้จะยังไม่มองหน้า กายพยายามมองเข้าไปในตาของนัทเพื่อรอฟังคำถามนั้น "ที่คุณเข้ามาในชีวิตผม กับเรื่องต่างๆที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น คุณแค่ต้องการให้มันจบลง.......แบบนี้ใช่หรือเปล่า"
   กายถึงกับทรุดตัวลงกับตัวเอง พลางมองร่างของนัท
   “ว่าไงล่ะ" นัทถาม "ตอบผมสิกาย ว่าผมเป็นแค่คนที่คุณอยากเก็บเข้าไปในคอลเลคชั่นส่วนตัวของคุณ หรือเป็นแค่คู่นอนที่คุณก็จะเปลี่ยนไปอีกกี่คนก็ได้ เป็นคนในแวดวงสังคมเดียวกับคุณที่คุณจะสนใจก็ต่อเมื่อคุณอยากจะสนุก เหมือนกลุ่มเพื่อนของคุณ"
   นัทเริ่มควบคุมอามรมณ์ไม่อยู่ ทำไมกันนะ เขาอยากจะต่อยหน้ากายเสียเดี๋ยวนี้ กับเรื่องราวทั้งหมดที่เขาผ่านมากับหมอนี่ จนกระทั่งมาถึงเมื่อคืนนี้มันเป็นแค่เรื่องสนุกๆของชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ดวงดาวที่เขาคิดว่าจะใช่ดวงนี้ มันทำให้เขาอยากจะระเบิดมันทิ้ง เพื่อตอบแทนในสิ่งที่เขาทำ ตอบแทนในสิ่งที่ทำให้เขาต้องเจ็บปวดแบบนี้
   “ตอบผมเซ่" นัทแผดเสียง กายนิ่งเงียบไปพักนึง ก่อนจะลุกขึ้นยืน
   “คุณอยากให้ผมตอบว่าอะไรล่ะ" กายพูด "ผมจะตอบอย่างที่คุณอยากฟังก็ได้ และผมก็รู้ด้วย ว่าคุณอยากจะฟังอะไร"
   “คุณไม่รู้จักผม" นัทตอบ เขากำลังโกรธจัด "คุณไม่ใช่แม้แต่คนที่ผมเคยเจอ หรือเป็นเพื่อนผม คุณจะรู้ใจผมได้ยังไง"
   “Loveless Society ไง" กายตอบ "ที่ทำให้ผมรู้จักคุณ"
   “Loveless Society มันเป็นเรื่องโกหก คุณโกหกผม" นัทร้อง เขาตะโกนจนร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความเจ็บ
   “คุณอยากให้ผมพูดกับคุณว่าใช่ ผมแค่รักสนุก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันเป็นเพราะว่าผมแค่...... เป็นอย่างที่คุณอยากให้ผมเป็น เหมือนที่คนอื่นๆอยากให้ผมเป็นใช่ไหม" กายพูด "คุณอยากให้ผมเดินจากคุณไป ทิ้งคุณไว้ที่ห้องนี้ แล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับคนข้ามคืนอื่นๆใช่หรือเปล่า.....เพราะที่คุณอยากได้ยินคำพวกนี้ เพราะคุณเองไม่อยากให้ตัวเองเจ็บเพราะผมน่ะสิ"
   “หยุดเอาเรื่องงี่เง่าใส่หัวผมซักที" นัทร้อง พลางจ้องหน้ากาย "คุณอย่าพูดให้ดูเหมือนว่าผมมีความสำคัญหน่อยเลยกาย คุณเองยังไม่แน่ใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ ว่าตัวเองกำลังทำอะไร กำลังต้องการอะไร คุณก็แค่ลองมัน คนอื่นๆก็แค่คนที่คุณลองดู"
   “ผมไม่......”
   “คุณบอกเองว่าอย่าจำในสิ่งที่คุณพูดไม่ใช่เหรอ" นัทพูดจี้จุดสำคัญ "เพราะฉะนั้น เรื่องเมื่อคืน คุณเองก็คงไม่อยากให้เกิดการจดจำหรอก    ใช่ ผมอยากให้คุณพูดว่าผมเป็นแค่หนูทดลองของคุณ มันยังจะดีซะกว่า ที่คุณจะมาปั่นหัวผมเล่น"
   “นัท" กายร้องขึ้นอย่างไม่เชื่อหู
   “ผมไม่เหมือนคนอื่นๆที่คุณใช้ควงข้ามคืนนะ ผมเป็นคนที่จะต้องรู้ว่าตัวเองจะทำอะไร ผมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ไม่แน่นอนทั้งหมด จากความเจ็บปวดทั้งหมด" นัทพูด "เพราะฉะนั้น ผมจะขอให้คุณหยุด การกระทำทุกอย่าง ที่มันจะนำผมไปสู่วังวนที่ไม่จริงจังของคุณซักที"
   “แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะบอกคุณ" กายพูด "ผมไม่ได้จะ......”
   “ผมจะไปอาบน้ำแล้ว" นัทพูดตัดบท ก่อนจะพยายามลุกขึ้นเดินไปยังห้องน้ำ กายพยายามเดินไปประคอง แต่นัทก็ฝืนแรงเดินไปได้โดยลำพัง
   นัทปล่อยโฮร้องไห้ภายใต้ฟักบัว มันไม่ค่อยเจ็บแล้วทางร่างกาย แต่ตอนนี้เขารู้สึกโกรธและรังเกียจตัวเองมากกว่า เขารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายของเขาสกปรกเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะความจริงที่ว่าเมื่อคืนมันคือความสุขที่เขาแอบหวังเล็กๆว่าจะได้พบเจอ แต่ทว่ามันดันเกิดกับพ่อมดจอมลวงโลกคนนี้ นั่นทำให้ภาพร่างตอนต่อไปของเรื่องนี้ของเขาเริ่มเลือนราง แค่เคาคิดว่าตัวเองจะต้องเป็นแบบไหนเมื่อกลายเป็นของเล่นหรือสมบัติส่วนตัวของกาย ภาพของเจนแฟนเก่าของกายแว้บขึ้นมา นั่นก็ทำให้เขาอยากจะอาบน้ำไปอีกซักสิบรอบ
   กว่าเขาจะสงบลงไปได้ก็กินเวลาเขาอาบน้ำไปกว่าครึ่งชั่วโมง เขาออกมาจากห้องน้ำโดยที่แต่งตัวเสร็จตั้งแต่ในห้องน้ำเลย เผื่อว่ากายจะบ้าคลั่งอะไรขึ้นมาอีก เขาจะได้มีเวลาป้องกันตัวมากขึ้นด้วยเสื้อผ้าที่มั่นคงกว่าเมื่อคืน เมื่อเขาออกจากห้องน้ำมากายก็ยืนบางอย่างให้ตรงหน้าเขา
   “ถ้ามันเจ็บ ก็ทาซะ" กายพูด "ผมไม่ได้จะมาทำให้คุณสับสนอะไร แค่อยากจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองทำ"
   นัทมองมันอย่างประเมิณค่าครั้งนึงก่อนจะรับมันมา เพราะเอาจริงๆพออาบน้ำเสร็จแล้วเริ่มออกเดิน เขาก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาอีกครั้ง แอบคิดในใจว่าตอนกายร่วมรักกันกับเขา มันก็เลยเถิดรุนแรงจนสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้ เขาเดินผ่านกายไปและเริ่มเช็คข้าวของติดตัวเพื่อที่จะออกจากห้องพัก
   “เราจะไปพิพิธภัณฑ์ริปลีย์กันตอนบ่าย คุณไปไหวหรือเปล่า" กายถาม นัทหันมาทำหน้านิ่ง
   “ถ้าคุณไปไม่ไหว ผมจะได้บอกคนอื่น แล้วเอ่อ ผมจะขอดูแลคุณที่นี่" กายพูด
   “ผมจะไป" นัทตอบ "คุณไม่ต้องดูแลผมหรอก ผมดูแลตัวเองได้ ขอบใจสำหรับยา"
   นัทหันไปสบตากายอีกครั้งหลังจากไม่ยอมมองหน้าเขามาเกือบทั้งเช้า นัทตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นกายตาแดงก่ำ พลางขวมดคิ้วอย่างครุ่นคิด พลางมองมาที่เขาเหมือนเขากำลังเป็นอะไรซักอย่าง
   “แต่ผมอยากดูแลคุณ" กายพูดเสียงแหบพร่า
   นัทเห็นดังนั้นแล้ว อยู่ดีดีกำแพงทั้งหลายที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อครู่ก็ค่อยทลายลง เวลากายอยู่ในโหมดทำงาน เวลาหมอนี่ขมวดคิ้วครุ่นคิด หรือใกล้เคียงแบบนั้น อย่างตอนนี้ มันก็ยิ่งทำให้เขาใจอ่อนลง
   “งั้นตอนนี้ผมหิว" นัทว่า
   กายยังมองหน้าเขา
   “เมื่อเย็นอาหารก็กินไม่ค่อยอิ่ม เจอแต่เรื่องแย่ๆ กับคนกวนประสาท" นัทว่า "พอตกดึกก็ยัง......”
   นัทเว้นวรรคเพื่อพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
   “....ยังถูกพ่อมดร่ายมนต์ใส่อีก ตอนนี้ผมแทบไม่มีแรงแล้ว" นัทว่า กายเริ่มอมยิ้มให้เขา
   ทันใดนั้นเหมือนนัทจะนึกอะไรบางอย่างออก ไม่มีเวลาอะไรจะเหมาะไปกว่าตอนนี้อีกแล้วนี่นา...
   “ถ้าคุณอยากจะดูแลผมจริงๆ คุณจะทำยังไงล่ะครับคุรกายสิทธิ์" นัทว่าพลางเลิกคิ้ว
   “ผมจะพาคุณลงไปทานอาหารเช้าให้ทันชุดอาหารเช้าของโรงแรม" กายพูดพลางกลับมายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "และจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณให้อภัยผมน่ะสิครับ...คุณ...นัท"
   นัทยิ้มอย่างมีแผนก่อนจะลุกขึ้นเดินตามกายออกไป
   ….นายทำให้ฉันอ่อนแอ โดยที่นายไม่รู้ตัวเลยว่าหากฉันตกต่ำลงไปถึงจุดอ่อนแอเมื่อไหร่ หลังจากนั้น ฉันกลับมาเอาเรื่องให้ถึงที่สุด กายสสิทธิ์ ถ้านายยังคิดจะปั่นหัวฉันอยู่อย่างนี้ล่ะก็ ฉันจะทำให้นายต้องยอมศิโรราบให้ฉัน และเอ่ยปากขอโทษกับสิ่งที่นายทำลงไปทั้งหมด ฉันจะเอาคืนนายให้แสบเลยคอยดู.....
   นัทคิดโดยไม่รู้เลยว่า การกระทำของเขามันจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นเอง
…...........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 11)
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 25-07-2011 18:28:57
บทที่ 11 Times Up

   สานึกไม่ออกเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับการท่องเที่ยว การที่เธอเห็นว่ามิกมีอาการซึมเศร้ามันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ทว่าการเยี่ยมชมของแปลกที่พิพิธภัณฑ์ริปลีย์ที่พัทยา กลับมีอะไรที่แปลกยิ่งกว่ากระโหลกมนุษย์ย่อส่วนเสียอีก เมื่อกลายเป็นเธอและมาร์คที่ถูกย่อส่วนให้เล็กลงจากภาวะสุดอึดอัดนี้ และกลับกลายเป็นว่ามิกต่างหากที่เริ่มมีอาการดีขึ้น แต่คนที่มีอาการแย่ลงคือ.....กาย
   อาหารมื้อกลางวันสุดแพงดำเนินไปท่ามกลางสายตาที่ตรวจเช็คสถานการณ์ ทุกความเป็นไปอย่างละเอียดของสา นัทดูจะใช้ชีวิตได้อย่างปกติและสนุกสนานไปกับการท่องเที่ยว เช่นเดียวกับมิก ที่ก็ดูมีท่าทีที่ดีขึ้น หลังจากการที่ทั้งคู่เข้าไปในปราสาทผีสิงและวิ่งโร่ออกมาพร้อมกัน การที่สาเห็นทั้งคู่กลับมาร่าเริงได้เหมือนเดิมมันก็ดีอยู่หรอก แต่สาก็ยังรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันไม่ชอบมาพากล นัทที่มีอาการเหมือนตัวเองไม่สบายตัว หรืออะไรซักอย่างที่ทำให้เขาไปไหนมาไหนไม่ค่อยสะดวกตาพิกล และทุกครั้งที่นัททำท่าเหมือนจะชะงักกับการเดินทาง กายก็จะรีบปรี่เข้าไปดูแลอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน จากการทำงานที่ผ่านมาของสาที่ทำร่วมกับกาย เธอก็พอจะรับรู้ความจริงที่นัทพยายามเฝ้าบอกเธออยู่บ้างเรื่องที่กายเป็นพ่อมดจอมกวนประสาท แต่ทำไมทริปนี้พ่อมดคนนี้ถึงเปลี่ยนตัวเองเป็นสุนัข ไม่สิ เป็น จิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ที่ดันมาเอาอกเอาใจเจ้านายอย่างเกินความจำเป็น แต่แน่นอนว่าสาก็เก็บคำถามนี้เอาไว้มิดชิดโดยไม่ปริปากแซว หรือถามใครคนอื่นๆเลย
   “ดูสิมิก เค้าเปิดประตูรถให้กันด้วยล่ะ" สาสะกิดให้มิกดูผ่านกระจกหลังของไอ้เต่าทอง ขณะกำลังจะกลับโรงแรม เมื่อนัทกำลังจะขึ้นรถ กายก็ปรี่เข้ามเปิดประตูให้ทันที มิกมองไปแล้วก็เลิกคิ้วก่อนจะมาทำหน้าเบ้ใส่สา
   “ไม่ต้องทุกเม็ดก็ได้" มิกแซวก่อนจะสตาร์ทรถ "เธอสะกิดฉันดูจนตอนนี้ฉันหมดอารมณ์จะน้อยใจมันและ"
   “เธอตัดใจได้แล้วเหรอ" สาร้องทันที
   “ฉันรำคาญ" มิกตัดพ้อ ขณะที่มาร์คก็หัวเราะ
   “หยุดเลยนะมาร์ค ก็แหม ที่นายอยากให้มาเที่ยวกัน ก็เพราะอยากให้เกิดเรื่องแบบนี้กับเค้าสองคนไม่ใช่เหรอ" สาบอกกับมิก ขณะที่มิกค่อยๆออกรถไปพลางมองรถสปอร์ตคันหรูที่ตามหลังมาอย่างเฉยชา
   “ฉันก็เคยอยากดู ว่าเขาจะจะตัดสินใจยังไง" มิกว่า
   “ขอออกความเห็นซักอย่างนึง" มาร์คพูดขึ้นจากเบาะหลัง "ในฐานะที่เคยทำงานกับคุณกายมาก่อนพวกนาย รู้เอาไว้เลยนะ ว่าเขาไม่ใช่พวกที่จะลงเอยอะไรกับใครได้หรอก เขามันผู้ชายลั่นล้า คนในวงการทุกคนรู้ดี"
   “นั่นแหละฉันถึงให้เขาอยู่ใกล้ตาเรา" มิกตอบ "ถ้านัทมันล้ม ฉันจะเป็นคนแรกที่ไปฉุดมันขึ้นมา"
   “แล้วทำไมไม่ห้ามไว้ก่อนล่ะ" มาร์คถาม
   “ก็เพราะว่าเราสามคนรู้วิธีจัดการอะไรๆกับเรื่องแบบนี้น่ะสิที่รัก" สากล่าว "ตอนนี้น้ำมันเชี่ยว ไม่มีใครอยากเอาเรือเข้าไปขวางหรอก มันมีแต่เสียกับเสีย ในเมื่อนัทเขาอยากจะลอง ก็ต้องปล่อยเขา ถ้ามันจะต้องมีอะไรผิดพลาด ก็มีแต่พวกเรานนี่แหละที่จะอยู่เคียงข้างเขา"
   “โฮ่" มาร์คเลิกคิ้ว "มีแฟนเฟรนลี่โคตรไว้กรู"
   “แล้วที่สำคัญ ฉันว่านัทเองก็น่าจะมีแผนอะไรซักอย่างอยู่ในใจอยู่หรอก" มิกว่า "มันไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบง่ายๆอยู่แล้ว"
   “เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะรู้หรือเปล่า ว่ากำลังเล่นอยู่กับอะไร" มาร์คว่า สาและมิกหันมองหน้ากันอย่างเข้าใจดี "ฉันกลัวว่าตอนจบ นัทเค้าก็จะมีแต่เสียใจกับเสียใจเท่านั้นแหละ"
   สาและมิกไม่ได้พูดอะไรกันอีก ก็เป็นจริงอย่างที่มาร์คว่า แต่ยังไงก็ตาม สาคิดว่าความสัมพันธ์ของทั้งกายและนัทมันยังไ่ไปถึงไหน และไม่รู้ว่ามันจะออกหัวหรือก้อย เธอจะไม่ด่วนสรุปเรื่องนี้เด็ดขาด ในขณะที่มิกก็ยังคงรอดูนัทอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ และแน่นอนว่าถ้าเกิดกายทำอะไรให้นัทต้องเจ็บช้ำน้ำใจล่ะก็ มิกไม่มีวันให้อภัยเขาเด็ดขาด แต่มิกไม่ได้เกลียดกาย เขาจะดีใจมากหากกายจะดูแลนัทได้จริงๆ เขาขอเพียงให้มันเป็นจริงอย่างนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าตอนนี้กายและนัทก็ยังไม่ได้มีอะไรเลยเถิดไปไหน
   ซึ่งมันผิดคาดทีเดียว บรรยากาศในรถสปอร์ตคันหรูมีบรรยากาศมาคุเสียยิ่งกว่าในเจ้าเต่าทองเสียอีก มันไม่ได้มีบทสนทนาอะไรมากมายนักบนรถ นัทจะตอบคำถามกายบ้างเป็นบางช่วงเช่น "ผมไม่ได้เป็นอะไร" หรือ "คุณแวะปั้มหน่อยได้ไหม" ซึ่งต่างจากกายที่มองนัทราวกับเขาเป็นกระจกส่องรถอีกบานที่ต้องคอยหันมาตรวจเช็คสม่ำเสมอ สำหรับกายแล้ว เขารู้ดีว่านัทกำลังคิดอะไร แต่เขาไม่อยากจะอธิบายหรือฝืนอธิบายมัน เพราะถึงอย่างไรแล้วนัทก็คงคิดว่าเขาโลเลหรือเชื่อใจไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดที่เขาจะทำได้ตอนนี้คือพยายามดูแลนัทให้ดีที่สุด ให้สาสมกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
   ตกเย็นลง การท่องเที่ยวครั้งนี้แน่นอนว่าจะต้องจบลงที่วงเหล้า แต่มันก็ไม่ได้เฮฮาปาร์ตี้มากจนถึงขั้นเละเทะ ที่ภัตตาคารของโรงแรมวันนี้มีเพียงกายเท่านั้นที่ไม่ได้ดื่มอะไร มากนัก
   “คุณกายคะแล้วตกลงว่าเรื่องงานนี่เหลืออะไรบ้างคะเนี่ย" สาพูดขึ้นมา
   “ก็พอเรากลับไปแล้ววันจันทร์ทางกรรมการก็จะเริ่มบอกบรีฟกลับมาครับว่าของเราผ่านหรือไม่ ถ้าไม่ก็ต้องแก้กัน ถ้าผ่าน คราวนี้ก็ถึงคราวโปรดักชั่นแล้วล่ะครับ" กายตอบ
   “โปรดักชั่นที่ว่านี่ ต้องใช้นางแบบและนายแบบด้วยใช่หรือเปล่าครับ ถ้าตามร่างสเก็ชของผม" มิกว่า
   “ใช่แล้วครับ เดี๋ยวก็คงต้องนั่งหากันอีกว่าจะเป็นใคร" กายพูด
   “แล้วนัทล่ะมีไอเดียอะไรจะเสนอบ้าง" สาว่า นัทที่กำลังนั่งมองแก้วไวน์นิ่งจรสาต้องเรียกอีกครั้ง "นัท ได้ยินฉันหรือเปล่า"
   “อ่อ....เอ้อ....ดีดี" นัทพูด
   “ดีแป๊ะอะไรล่ะ ยังไม่ได้พูดอะไรเลย" มิกว่า " เป็นไรมากป่ะเนี่ย ดูเหนื่อยๆนะแก"
   “อ๋อ เปล่า ไม่มีอะไร" นัทตอบ
   “ถ้าไม่ไหวจะขึ้นไปก่อนก็ได้นะ" มิกบอก
   “เห้ย ไม่เป็นไรจริงๆ แล้วเมื่อกี้ว่าอะไรกันล่ะ เรื่องโปรดักชั่นเหรอ" นัทถาม "ก็ตามนั้น ถ้ากายเค้าว่าดี ผมจะไปขัดอะไรได้ล่ะ"
   สาและมิกถึงกับเงียบเสียงลง
   “อ่ะ......แหม่ พอดีเลย ถ้าต้องใช้นายแบบ เดี๋ยวผมเป็นให้เอาป่ะล่ะ ช่วงนี้ตารางงานผมว่างพอดี" มาร์ครีบพูดดึงอารมณ์ขึ้นมา
   “เอาสิครับ" กายยิ้มให้อย่างเป็นมิตร "เป็นมาร์คก็ดีเหมือนกัน รู้แนวกันอยู่แล้วด้วย"
   “แหม จะว่าไปมันก็ดีเหมือนกันนะเนี่ย สาเองก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสร่วมงานกับคุณกายเลยค่ะให้ตายสิ" สาว่า
   “ใช่ครับ ผมเองก็ต้องขอบคุณคุณกายอีกครั้งครับกับเรื่องที่ผ่านมา" มิกพูด "ยินดีเช่นกันที่ได้ร่วมงานกันครับ"
   กายยิ้มกว้าง
   “ผมก็ดีใจนะ ที่มีโอกาสได้รู้จักแล้วก็ร่วมงานกับพวกคุณ ประทับใจมากครับ" กายตอบรับ
   “เดี๋ยวคุณก็ไปแล้วนี่" นัทพูดโพล่งขึ้นอีก ทั้งหมดหันมามองเขา นัทมองไปรอบๆวงอย่างไม่เห็นว่าเขาพูดอะไรผิดไป
   “อะไรนะ" กายถามเสียงเข้ม
   “ก็คุณพูดเอง วันแรกที่คุณมาเจอพวกเราจำไม่ได้เหรอ" นัทพูด "ว่าคุณจะเป็นพาร์ทเนอร์ให้เราจะจบโปรเจ็ค ฉะนั้นถ้างานจบแล้ว คุณก็คงไปแล้วสินะ"
   กายมองหน้านัทเขม็ง นัทมองหน้ากายกลับอย่างไม่สนใจอะไร สา มาร์คและมิกมองดูเหตุการณ์อย่างตื่นตกใจ เมื่อนัทเห็นว่ากายไม่กล้าทำอะไรเขา จึงลุกขึ้นจากโต๊ะ
   “นอนก่อนนะ เดี๋ยวเช้ามืดจะตื่นไปถ่ายรูป" นัทว่าพลางออกเดิน
   พวกเขามองนัทเดินจากไป ทั้งหมดตามไม่ทันกับการกระทำนี้นัก
   “ฉันว่าไอ้นัทป่วย" สาพูด
   กายมองนัทที่เดินผ่านไปช้าๆ ทันใดนั้นสติของเขาก็ขาดผึง พ่อมดลุกขึ้นแล้วเดินตามไปทันที มิกเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นแต่มาร์คดึงตัวเขาไว้ พลางส่ายหน้า ขณะที่สามองตามทั้งสองไปอย่างรู้ความนัย
   นัทเดินสาวเท้าขึ้นไปถึงห้องได้ทันก่อนที่กายจะตามเขาเข้าลิฟท์ทัน แต่ถึงอย่างไรก็ตามกายก็ตามเข้าเขาไปในห้องได้ในอีกไม่กี่นาทีต่อมา แต่สำหรับนัทเขาไม่ทนแล้ว ตลอดวันมานี่เป็นความรู้อึดอัดและการท่องเที่ยวที่ทรมาณเหลือเกิน แม้ว่าเขาจะรู้ว่ามันใกล้จบสุดสัปดาห์ที่แสนยาวานนี้ลงแล้ว เสียงปิดประตูดังขึ้น
   “นี่คุณสนุกมากใช่ไหมนัท" กายเปิดประเด็นพูดก่อน นัทยังคงหันหลังให้กับเขา "ผมไม่สนุกแล้วนะ"
   “เหรอครับ ผมนึกว่าคุณจะสนุกซะอีก" นัทพูด "ผมพยายามทำตัวให้ปั่นหัวยากแล้วนะ คุณน่าจะหากลเม็ดเด็ดๆมาเอาชนะผมให้ได้นะครับคุณพ่อมด"
   “นี่ที่คุณยอมให้ผมดูแลคุณทั้งวันมานี่ เพื่อที่คุณจะแก้แค้นผมเหรอ" กายถามตรงประเด็น นัทยังคงเงียบสนิท
   “แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะครับ พอเรากลับกรุงเทพ คุณกับผมก็ต้องกลับไปอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นอยู่ดี คุณจะมาแคร์ความรู้สึกผมทำไมอีก" นัทพูด
   “นัท ผมขอล่ะ อย่าทำแบบนี้" กายพูดอย่างอ่อนโยนที่สุด "บอกผมสิว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่มีความหมายอะไรระหว่างเราสองคนเลย"
   “สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นน่ะเหรอ นี่คุณกล้าบอกว่าเรื่องนั้น......”
   “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเมื่อคืน ผมหมายถึงทุกเรื่องที่ผ่านมา" กายย้อน นัทถึงกับเงียบสนิท "ผมหมายถึง ตั้งแต่วันที่เราเจอกัน วันที่คุณงอนผม วันที่อยู่ดีดีคุณก็มาเป็นห่วงความรู้สึกผม แล้วก็หยุดเถียงซักทีว่ามันไม่จริง ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับผมนัท หยุดหลอกตัวเองซะที"
   “ไม่ยักกะนึกว่าคุณจำได้" นัทพูด
   “ผมจำทุกๆอย่างได้" กายย้ำ
   “แต่คุณบอกผม" นัทเริ่มเสียงสั่นเครือ "คุณบอกผมให้ลืมเรื่องราวเหล่านั้น คุณบอกผมว่าคุณไม่ได้จริงจังอะไร"
   ในที่สุดตลอดเวลาหนึ่งวันที่ผ่านมาความอัดอั้นทั้งหมดของนัทก็พังทลายลง
   “คุณบอกผม ว่าคุณแค่รักสนุก คุณแค่..........” นัทน้ำตาคลอเบ้า กายเดินเข้ามาหานัทช้าๆ "คุณหลอกให้ผม.....”
   นัทไม่อยากพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นอันตราย
   “นัท เรื่องของเราสองคน ผมไม่ได้ต้องการจะหลอกคุณ มันอาจจะดูเหมือนอย่างนั้น แต่คุณจงรู้ไว้ ว่าผมตั้งใจและผมจริงใจ" กายพูด แต่นัทเริ่มรู้สึกว่านี่เป็นบทสนทนาที่วกวนเสียเหลือเกิน เขาจำเป็นต้องตัดสินใจอะไรบางอย่าง เขาหายใจเข้าอีกครั้ง
   “โอเค" นัทหันหลังกลับ "งั้นผมขอคุณข้อนึง หลังจากวันนี้"
   กายมองนัทอย่างมีความหมาย
   “ลืมเรื่องทุกอย่างไว้ที่นี่" นัทพูด
   “อะไรนะ" กายว่า
   “ผมไม่สนใจ และไม่อยากรู้อีกแล้วว่าคุณจะยังไง" นัทว่า "แต่ผมขอ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมขอให้มันจบที่นี่ คุณทำให้ผมได้ไหม"
   “นัท...คุณ" กายพูดเสียงแผ่วเบา
   “ถ้าคุณจริงใจกับผมจริงๆ ผมขอให้หยุดซะ" นัทว่า "อย่างน้อยๆ เพื่อรักษางานที่เราจะต้องทำด้วยกัน จนกว่าจะจบโปรเจ็คนี้นะกาย"
   นัทไม่รอฟังคำตอบใดใดอีก ชายหนุ่มเดินเข้าห้องนอนและปิดประตูทันที
…...........
   เสียงคลื่นกระทบหาดทรายช้าๆ ละทะเลพัดอ่อนๆเข้าหาชายฝั่ง ชายหนุ่มนั่งมองทะเลออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา พลางนึกถึงเรื่องของตัวเอง มันมาถึงจุดจบเสียแล้วกับเรื่องราวทั้งหมด มันเป็นเพราะเขาเองที่ทำมันพังเพียงเพราะความรักชีวิตแบบเก่าๆ เพราะเขาเองที่ไม่กล้าจริงจังกับใครอีก มันเป็นเพราะเขาทั้งหมด กายนั่งมองท้องทะเลอยู่อย่างนั้น เป็นความเจ็บปวดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจอเลยตลอดชีวิตในแบบของเขา
   “ขอนั่งด้วยได้ไหมคะ" สาร้องทักขึ้น กายหันไปเจอเธอที่เดินลงมาด้วยชุดสบายๆ
   “ได้สิครับ" กายพูดพลางขยับตัวให้เธอนั่งลง
   “อากาศดีนะคะ เลือกมุมได้ดีจัง เงียบมากเลย" สาเอ่ยชม
   “พูดมาตรงๆเถอะครับ" กายพูดอย่างไม่อ้อมค้อมตามสไตล์ของเขา
   “คุณต่างหากล่ะที่ต้องพูดตรงๆ" สาว่ากลับกายถึงกับสะดุ้งพลางหัวเราะเบาๆ
   “ผม ไม่มีอะไรจะแก้ตัว" กายสารภาพ "ผมยอมรับว่าผมทำเขาไว้เยอะ ในหลายๆเรื่อง แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเลวร้ายขนาดนี้นะครับคุณสา"
   “ฉันเองก็ไม่รู้จักคุณมาก่อนหรอกนะกาย" สาว่า "ถ้าไม่นับเรื่องที่คนอื่นๆพูดถึงคุณ กายคะ ที่คุณทำไปทั้งหมดนี่มันเพียงเพราะความสนุกหรือเปล่า ถ้าใช่ สาขอเถอะค่ะ นัทเป็นเพื่อนที่สารักมาก สาไม่อยากให้เขาไปเป็น....”
   “ของเล่นของผม" กายพูดต่อ สาเงียบลง "ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมไม่เคยเห็นเค้าเป็นของเล่นของผม ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมทำ ผมบริสุทธิ์ใจ ตอนแรกมันอาจจะใช่ แต่พอที่ผ่านมาพอมันเริ่มมาไกลขนาดนี้ ผมชักไม่สนุกแล้ว เขาทำให้ผมเป็นกังวล เขาทำให้ผม Lag ผมไปข้างหน้าต่อไปไม่ได้ ผมถอยหลังก็ไม่ได้ ผมทำอะไรไม่ถูกเลย สุดท้ายผมเลยกลายเป็นคนไม่จริงใจไปจนได้"
   สามองหน้าพ่อมดตรงหน้าเธอ เธอรู้เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาว่าเหตุการณ์เริ่มบานปลายรุนแรง เธอแยกกับมิกไปเคลียร์กับอีกฝ่าย ทั้งๆที่เป็นสิ่งสุดท้ายที่อยากทำแต่มันก็ช่วยไม่ได้เลย
   “กายคะ" สาเริ่มพูด "มันไม่ได้ผิดที่บางทีเรายังไม่พร้อมที่ตัดสินใจ สาเข้าใจว่าคุณเคยมีชีวิตแบบไหนมาก่อน มันไม่แปลกหรอกค่ะ ถ้าคุณจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อเจอกับนัทเค้า"
   “ผมไม่แน่ใจ ว่ามันถูกต้องแล้วหรือเปล่าที่ผมทำไปทั้งหมด ผมทำเพื่อตัวเขา หรือ ผมทำเพียงเพราะอยากจะดึงเขาให้ขึ้นมาอยู่กับผม ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการอีก" กายส่ายหน้าพลางหลับตา "ผมไม่รู้จะทำยังไง ไปต่อยังไง"
   “การลังเลใจ เป็นจุดเริ่มต้นของละทิ้งนะคะ" สาพูด "ถ้าคุณจริงใจและบริสุทธิ์ใจจริงๆ คุณก็ไม่ต้องลังเลแล้วนะคะกาย สาเชื่อว่าถ้าคุณบริสุทธิ์ใจมันก็ไม่มีอะไรที่จะผ่านไปไม่ได้"
   “แล้วถ้าผมไม่ได้จริงใจล่ะ" กายถาม
   “ไม่จริงหรอกค่ะ" สาว่า "มันก็เหมือนกับตอนเราอยู่ม.ปลายมั้งคะ สาเองก็ไม่เคยตั้งใจเรียน แล้วก็ไม่เคยคิดจะจริงจังกับการสอบเข้ามหาลัยมาก่อนเลยค่ะ แต่ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเริ่มจากตรงไหนที่รู้สึกว่าดีไซน์เนอร์นี่แหละใช่ พอมันใช่แล้วอ่ะ ความขยันอ่านหนังสือ ก็มาจากไหนไม่รู้ แล้วก็.....มาจนถึงตรงนี้แหละค่ะ คุณเองก็น่าจะลองใช้เวลาหาดูอีกนิด ว่ามันใช่หรือยัง"
   สาลุกขึ้นออกเดินกลับโรงแรม
   “เวลามันคงไม่คอยท่าแล้วมั้งคุณ" กายว่า "Times Up”
   “งั้นรอรอบหน้าสิ" สายิ้ม "รถกลับกรุงเทพ ไม่ได้มีวันละรอบซักหน่อย จริงไหมคะ"
   “ขอบคุณนะครับคุณสา" กายกล่าว
   “สาเฉยๆได้แล้วกาย" สาพูด "ถ้าคุณยังไม่ใกล้พวกเรากว่านี้ สาว่ามันคงยากถ้าคุณจะดึงใครซักคนขึ้นไป ขอให้โชคดีนะคะ สู้ๆนะ"
   กายเดินมองสาเดินจากไปพร้อมกับถนหายใจ เขาต้องอดทนแล้วสู้กับสิ่งนี้ซักที หรือเพราะเขาอยู่กับชีวิตที่ถูกตามใจมาโดยตลอดกระมัง แต่ตอนนี้เขาก็ได้เวลาจริงจังได้แล้ว
….............
   ภายใต้แสงสลัวๆของห้องพักในโรงแรมร่างสองร่างกำลังกำลังแนบริมฝีปากเข้าหาซึ่งกันและกันอย่างเบาบางและมีความหมาย มิกรีบรุดเข้ามาหานัททันทีที่เห็นว่าอะไรๆชักจะไปกันใหญ่แล้ว เมื่อเขาเปิดประตูห้องนอนออก เข้าวิ่งถลาเข้าไปหานัทและจูบเขาทันทีโดยไม่รีรอ ไม่มีคำถาม ไม่มีคำบอกเล่าใดใด มิกใช้ความรู้สึกของเขาบอกเล่าผ่านร่างกายซึ่งนัทก็ตอบสนองมันได้ทันที เมื่อทั้งสองผละออกจากกัน นัทหายใจหอบถี่รัวมิกลูบหัวคนที่เขารักอย่างห่วงใย
   “บอกได้ไหม" มิกถามเบาๆ นัทส่ายหน้า "เขาทำอะไร"
   นัทยังคงส่ายหน้า มิกสวมกอดนัททันที
   “ฉันไม่อยากเห็นแกเป็นแบบนี้" มิกพูด
   “แต่ฉันก็ไม่อยากให้แกทำแบบนี้เหมือนกัน" นัทพูดเบาๆ "ฉันรู้ว่าแกห่วงฉัน แต่ฉันไม่เป็นไรเว่ย"
   “ตัดสินใจเองแล้วสินะ" มิกพูด นัทพยักหน้าน้อยๆ "ฉันรักแกน่ะเว่ย ไม่ว่ายังไงฉันก็ห่วงแกที่สุด"
   “ขอบใจมิก"
   เสียงเปิดประตูดังขึ้น มิกผละออกจากนัททันที เป็นสานั่นเองที่เข้ามาเห็นภาพที่มิกและนัทกอดกันอยู่ สามองทั้งคู่อย่างถอดใจ
   “เราต้องกลับแล้ว" สาพูด "กลับเถอะ กลับเดี๋ยวนี้"
   และนั่นก็เป็นคำพูดสุดท้ายที่พวกเขาได้สนทนากันในสุดสัปดาห์ที่แสนยาวนานนี้
….........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 11)
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 25-07-2011 21:57:00
 :z2: :z2: :z2: :call:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 11)
เริ่มหัวข้อโดย: kokikung ที่ 25-07-2011 22:13:55
OMG อะไรกานนนนนนนน
ทำไมกายยทำแบบเน้อ่า  :เฮ้อ:
นัทจะใจอ่อนไหมเนี่ยยยยยยย สู้ๆๆนะกาย
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 12)
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 25-07-2011 23:19:23
บทที่ 12 Internship

   ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาหน้าตาหล่อเหลานั่งตัวตรงอยู่ที่โต๊ะเลขานุการของ Lovable Studio ด้วยท่าทีตกประหม่า เด็กหนุ่มที่เพิ่งจบชั้นปีที่สามในสาขาออกแบบนิเทศศิลป์ ที่เพิ่งจะปิดภาคเรียนและย่างเข้าสู่ฤดูฝึกงาน เขาถูกถูกหญิงสาววัยกลางคนมองผ่านแว่นตาที่สวมเก๋ๆ อย่างมีสไตล์อย่างพินิจ เขาขยำปลายเนคไทที่ติดตรามหาวิทยาลัยอย่างเป็นกังวล ในคำพูดที่เขารอฟัง
   “เริ่มงานทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ 10 โมง" หญิงสาวสวมแว่นกล่าว "ห้ามเลทนะจ้ะ"
   “ครับ ได้ครับ พี่...." เด็กหนุ่มตอบรับพลางผ่อนคลายลงบ้าง
   “ผึ้งจ้ะ เรียกพี่ผึ้งก็ได้จ้ะ เดี่ยวนะ เราว่า เราทำอะไรได้บ้างนะ" ผึ้งถามต่อ
   “ผมทำงานกราฟฟิคได้ครับ ทุกประเภท แล้วก็งานคอมโพสหน้ากระดาษ โปสเตอร์แล้วก็ทำผังโฟลว์ชาร์ทครับ" เด็กหนุ่มตอบ
   “อืม งั้นก็ดีเลย พอดีมีพี่คนนึงเค้าเองไม่ค่อยสันทัดเรื่องงานพวกนี้ แล้วเค้าอาจจะอยากได้ลูกมือช่วยแบ่งเบาได้อยู่พอดี" ผึ้งกล่าว "เราชื่อเล่นว่าอะไรล่ะ นฤเดช"
   “เอิร์ธครับ" เอิร์ธตอบ "ผมชื่อเอิร์ธครับ"
   “อ้อ จ้ะเอิร์ธ" ผึ้งยิ้มให้เขา "สา สา อยู่หรือเปล่า สา"
   “ขาเจ๊" เสียงแหลมเล็กของสาดังมาแต่ไกล ไม่กี่อึดใจใบหน้าของเธอก็ปรากฎอยู่ที่หน้าห้องของผึ้ง
   “มีอะไรคะเจ๊" สาถาม
   “นี่น้องเอิร์ธเด็กฝึกงานน่ะ" ผึ้งแนะนำเด็กหนุ่มที่ไหว้สาทันที เธอรับไหว้พลางยิ้มกว้าง "น้องเค้าเก่งงานซีจีเลยอยากให้เธอเอาไปเป็นลูกมือเจ้ามิก เห็นว่ามันงานด้านนี้ล้นมืออยู่นี่ มันเองก็งมโข่งช้าเป็นชั่วโมงเลยๆไม่ใช่เหรองานคอม"
   “อ๋อได้ค่ะ ดีจ้ะเอิร์ธ พี่ชื่อสานะ" สาแนะนำตัวเอง "งั้นหนูพาน้องไปเลยป่ะคะ"
   “จ้ะ ฝากด้วยนะ ให้อยู่สตูเราไปเลยก็แล้วกัน" ผึ้งว่า ขณะที่เอิร์ธเก็บข้าวของตัวเองแล้วลุกออกจากห้องของผึ้งทันที เมื่อเด็กหนุ่มเดินนำหน้าไปก่อน สาหันมาอมยิ้มกับผึ้ง
   “น้องหล่อเนอะ" สาว่า ขณะที่ผึ้งทำหน้าตาดุใส่ สาหัวเราะคิกคักพลางแนะนำที่ต่างให้กับเอิร์ธ
   “สตูพี่น่ะอยู่กันสี่คน สองคนน่ะเพื่อนพี่ ส่วนอีกคนน่ะ เอ่อ ช่างเถอะ ว่าแต่เราอายุเท่าไหร่เนี่ย" สาเริ่มทักทาย
   “21 ครับ" เอิร์ธตอบ
   “อ้อจ้ะ ที่นี่รับงานออกาไนซ์ซะเป็นส่วนใหญ่รับอีเว้นท์บ้าง นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรมาก แต่ตอนนี้ที่งานหนักๆก็คงเป็นเพราะเอเจนซี่เรากำลังจะลงประกวดงาน B.A.D Award น่ะ" สาเล่า
   “จริงเหรอครับ" เอิร์ธถาม "เป็นงานที่ผมเคยลงประกวดเมื่อตอนปีสองครับ แต่ก็.....”
   “หึหึ อย่าไปซีเรียส ของธรรมดาน่า นั่นห้องปริ้นท์อัดรูปอยู่ด้านนั้นนะ ส่วนบันไดนั่นขึ้นไปห้องของบอสของที่นี่ ยังมีสตูอีกสามสตูอยู่ถัดไป ส่วนพวกพี่อยู่ที่สตูนี้จ้ะ.......เฮ้ นัท มิก" สาร้องเข้าไปสตูดิโอ
   นัทกับมิกที่กำลังง่วนกำกับการช่วยกันเลือกไทโปที่เหมาะสมกับงานกราฟฟิคหันกลับมามองสาและเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า
   “หวัดดีคับ" เอิร์ธก้มหัวลงอย่างสุภาพ
   “นี่น้องฝึกงานนะ ชื่อเอิร์ธ เค้าจะมาช่วยนายทำซีจีน่ะมิก" สาว่า
   “หวัดดีคับพี่มิก พี่.....” เอิร์ธชี้ไปที่นัท
   “นัทครับ หวัดดีครับเอิร์ธ" นัทยิ้มกว้างทักทาย
   “เธอว่าอะไรนะ ช่วยฉันทำงานซีจีน่ะเรอะ" มิกว่า
   “ช่าย สงสัยจะเป็นตอนที่นายไปทำงานให้เจ๊ผึ้งแกแน่เลย ที่นายไปงมโข่ง VTR ให้เจ๊แกเกือบทั้งคืน" สาว่า "นี่จ้ะ โต๊ะเรา นั่งตรงนี้ก็ได้เนอะ....”
   “ไม่จริงเลยเหอะ ที่ฉันงมอยู่นานก็เพราะคอมเจ๊แกอืดอย่างกะอะไร พอๆกับอายุเจ๊แกนั่นแหละ" มิกว่าซึ่งนัทขำจริงๆกับเรื่องนั้น
   “หะหะ แต่ฉันก็ช่วยคอนเฟิร์มเจ๊แกนะ เพราะว่าฉันเห็นแกถนัดแต่งานทำมือนี่หว่า" สาแซวอีก
   “หยุดเลยยัยสา ฉันไม่ใช่เต่าแก่ถึงกับใช้คอมไม่เป็นหรอก" มิกเถียง
   “เอ่อ.....ถ้างั้นผมไม่ต้องช่วยพี่มิกก็ได้ครับ" เอิร์ธพูดขึ้น
   “ไม่ต้อง นายไม่มีสิทธิ์เลือก ฉันสั่งอะไรก็ทำตามแค่นั้น เข้าใจป่ะ" มิกหันไปพูดกับเอิร์ธเสียงแข็งโดยที่สาและนัทห้ามไม่ทัน เพราะสมัยเรียนมิกเคยเป็นพี่เชียร์เวลาเห็นน้องปีการศึกษาอ่อนกว่า เขามักจะมีหัวโขนมาสวมไว้ทันที และเริ่มไม่อยากให้ใครมาแซวให้ภาพลักษณ์ของมิกเสียไปต่อหน้ารุ่นน้อง ซึ่งนั่นก็เป็นอีกอารมณ์ติสต์แตกของมิกอีกเช่นกัน
   สาและนัทคาดว่าจะเห็นอาการสลดหรือหวาดกลัวมิกขึ้นมาในตัวน้องฝึกงานซึ่งมันผิดถนัด ตอนนี้เอิร์ธเลิกคิ้วใส่มิกที่มองหน้าเด็กหนุ่มอย่างมึนงงว่าการพูดของเขาไม่ได้ส่งผลอะไรเลย เอิร์ธหรี่ตาลงและมองทะลุตัวมิกไป
   “โทษนะครับ ใครเป็นคนทำโปสเตอร์นั้นน่ะครับ พี่นัท" เอิร์ธชี้ไปยังไอแมคที่มิกและนัทนั่งงมกันอยู่เมื่อครู่
   “เอ่อ....มิกเค้าเป็นคนจัดน่ะ พี่กำลังช่วยหา Head ที่มันน่าจะเหมาะแบบว่า....." นัทพูดไม่ทันจะจบประโยค เอิร์ธก็ไถลเก้าอี้ตรงรี่ไปยังไอแมคและเริ่มลงือจัดเรียงโปสเตอร์หน้านั้นใหม่
   “เฮ้ คิดว่ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ ฉันจัดมาตั้งครึ่งชั่วโมงนะ" มิกร้อง
   “ผมว่าพี่น่าจะใจเย็นหน่อยน้า" เอิร์ธว่า "มิน่าล่ะ ถึงทำงานคอมไม่เร็ว ใจร้อนนี่เอง"
   มิกกำลังจะอ้าปาก นัทหันมาแล้วส่ายหน้าช้าๆ ในขณะที่สาเท้าเอวแล้วเริ่มมองน้องฝึกงานไฟแรงคนนี้พลางอมยิ้ม คราวนี้อาร์ทตัวพ่อกำลังมีคนมาลบเหลี่ยมเสียแล้ว
   “แบบนี้เป็นไงครับ" เอิร์ธถอยตัวเองออกมาขณะปรับให้โปสเตอร์เป็นภาพฟูลสกรีน ซึ่งโปสเตอร์ตรงหน้า อักษรทุกตัวถูกจัดวางอย่างมีระเบียบ โดยที่ยังคงมีมิติอยู่ ในขณะที่ส่วน Head เอิร์ธได้ปรับเอาท์ไลน์ของฟอนต์เดิมไม่ให้มันดูระเกะระกะ จนเกินไป ลดส่วนตีนและหัวของอักษรลงจนเข้ารูปกับกราฟิคด้านหลังแต่ยังคงเด่นสมเป็น Header อยู่
   เอิร์ธยิ้มกว้างให้ทั้งสาม นัทเลิกคิ้วมองสาที่ส่งสายตาหากันว่า ไม่เลว.....
   ซึ่งผิดถนัดกับมิกที่มองเด็กหนุ่มอย่างประเมิณค่าอยู่หลายนาทีก่อนจะรุดไปที่คอมเพื่อสั่งปรินท์ทันทีโดยที่เอิร์ธแอบอมยิ้มอยู่ในใจ
   “ก็ถ้าเก่งแบบนี้ได้ตลอดก็ดี จะได้เป็นงาน ไม่ต้องสอนอะไรมาก" มิกพูดงึมงำๆอยู่คนเดียว
   “ครับ" เอิร์ธรับคำเสียงดังฟังชัด "พี่เลี้ยง"
   สาแค่นหัวเราะออกมาทันที ขณะที่นัทเอาแขนกระทุ้งมิกเพื่อนรักที่ทำหน้าเซ็งๆ
   “งั้นเอานี่ไปทำ" มิกค้นอะไรบางอย่างคลุกคลักอยู่ซักพัก ก่อนจะโยนกระดาษถนอมสายตากับผ้าไหมปึกนึงโยนให้เอิร์ธที่โต๊ะ
   “อะไรอ่ะพี่" เอิร์ธถาม
   “ทำสมุด" มิกพูด "ของชำร่วยที่จะแจกลูกค้าในงานอีเว้นท์ B.A.D. Award”
   “เฮ้มิก นั่นเราทำกันเองดีกว่าไหม งานคุณกายนะ" นัทส่งเสียงเตือน "แล้วนอกเค้าถนัดงานซีจีไม่ใช่เหรอ"
   “ก็คนเค้าเก่ง" มิกขึ้นเสียงสูง "มาฝึกงาน มันก็ต้องทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัดบ้าง แล้วห้ามเสียล่ะ พวกนี้ใช้จริงนะน้อง"
   “พวกนี้" เอิร์ธร้อง
   “อ่อใช้ เอาซัก 50 เล่มก่อน" มิกพูด
   เอิร์ธเงียบไปซักพัก
   “งั้นผมขอบรีฟครับ" เอิร์ธร้อง สาและนัทหันไปหาเอิร์ธทันที
   “ขออะไรนะ" มิกถามอีกครั้ง
   “ก็บรีฟของสมุดพวกนี้ไงครับ" เอิร์ธว่า "ก็นี่มันงานดีไซน์นะครับ ไม่ใช่งานโรงงาน ผมจะทำได้ยังไงโดยไม่รู้คอนเซ็ปต์มันอ่ะ"
   “เจ็ท!!!” นัทสบถหยาบออกมา ขณะที่สามองหน้ามิกเหมือนกับว่าเขากำลังถูกน๊อกดาวน์ มิกมองเด็กคนนี้พลางอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “ด....ได้ รอแป้บ"
   มิกหันหน้าไปปรินท์บรีฟออกจากอีเมล์ที่กายส่งให้เขาเมื่อวันจันทร์ออกมา นัทและสาถึงกับขำเบาๆ
   “หัวเราะไรกันเนี่ย" มิกว่าขึ้นมา ซึ่งนั่นทำให้เสียงหัวเราะดังขึ้นไปใหญ่ "ไม่ต้องเลยนะ อ้อ แล้วก็ไม่ต้องช่วยน้องด้วย เค้าเป็นเด็กชั้น ฉันจะดูแลเอง"
   เอิร์ธมองไปหามิกด้วยสายตาที่ท้าทาย โดยไม่รู้เลยว่านี่คือจุดเริ่มต้นที่แทบจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปเลยทีเดียว
…............
   “คุณว่าใครทำนะ" กายถามนัทอย่างสุภาพบนห้องทำงานของบอส ขณะหยิบสมุดปกผ้าไหมขึ้นมาพิจารณาอย่างระมัดระวังว่าเขาจะทำมันชำรุด มันเป็นสมุดที่ทำด้วยกระดาษถนอมสายตาห่อด้วยผ้าไหมสีเขียวที่ตัดกับสีเหลืองอ่อนอย่างดูมีระดับ สีของการโปรโมทโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่พวกเขากำลังรับผิดชอบลงประกวดร่วมกัน
   “น้องเอิร์ธครับ เป็นน้องฝึกงานของมิก เพิ่งจะปีสาม ตอนเขาโดนมิกสั่งให้ทำ เขาขอบรีฟของคุณมาเช็คไอเดียก่อนทำงานด้วย" นัทตอบเรียบๆ
   “เหรอ ดีจัง ฝากไปบอกเค้าด้วยนะว่า ผมชอบมาก ชอบจริงๆ" กายว่า นัทพยักหน้ารับ
   “มิกฝากให้ผมมาถามว่า คุณได้เลือกนางแบบสองคนเอาไว้หรือยังเพราะว่ามิกเค้าได้เตรียมตัวนายแบบไว้แล้วสองคนครับ" นัทพูด
   กายมองหน้านัท
   “ผมเลือกเอาไว้แล้ว และก็ติดต่อให้พวกเขามาแล้วด้วยวันนี้น่ะ" กายตอบ
   “ก็ดีครับใครเหรอ" นัทถาม
   “นางแบบคนนึงคือฝนโปรดักซ์ดีไซน์เนอร์เพื่อนผมเอง เธอเป็นคนมีเส่ห์แล้วก็เหมาะกับเช็ทปราดเปรียวดี" กายว่า "ส่วนอีกคนก็คือ เจน เธอจะมาทำเสื้อผ้าให้แล้วก็นางแบบไปด้วย กับเซ็ทที่ดูสดใสน่ะ"
   “อ้อ" นัทร้องเบาๆ พลางนึกถึงผู้หญิงคนที่เป็นแฟนเก่าของ...... ไม่สิ เขาไม่เคยรู้จักใครเหล่านี้เลย
   “แล้วนายแบบล่ะ" กายถามขึ้น
   “ก็มาร์ค เค้าคงบอกคุณไว้แล้ว" นัทว่า "ส่วนอีกคน......คือผมเอง"
   กายมองหน้านัท
   “อะไรนะ" กายร้อง พลางหัวเราะแก้เก้อ "คุณไม่จำเป็นต้องลงเป็นนายแบบเองนะมัน....”
   “คุณมีปัญหาเหรอ" นัทถามกลับ "ผมตัดสินใจแล้ว ไหนคุณเคยบอกว่า ผมออกความเห็นได้ไง เราเป็นพาร์ทเนอร์กันไม่ใช่เหรอครับ"
   คำพูดอันแข็งกร้าวและเย็นชาของนัททำให้กายก้มหน้าลง
   “งั้นก็ตามใจคุณและกัน" กายว่า
   “ขอบคุณครับ" นัทพูดพลางลุกขึ้น "ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะ"
   นัทไม่ได้แม้แต่รอฟังคำตอบ แต่เขาหันหลังและเดินออกไปทันที กายจึงลุกขึ้นและพยายามพูดอะไรบางอย่างและ....
   “ดาร์ลิ่งงงงงง"
   เสียงแหลมเล็กของสาวในชุดที่แปลกตาอย่างมีสไตล์และผมยาวสยายดำขลับเปิดประตูสวนนัทเข้ามาให้ห้องทำงานของบอสทันที
   “โทษทีเจนมาช้าไปอ่ะ รถติดมากแล้วออฟฟิสก็เล็กมาก เจนหาที่จอดรถไม่เจอเลยค่ะ" เจนพูดพลางสวมกอดเข้าที่ตัวกายพลางหันมาเจอนัท "อ้าวคุณนัท ตายจริง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีหรือเปล่าคะ ดูเครียดๆนะคะเนี่ย ใจเย็นๆค่ะ งานใกล้จบละ"
   “ครับ" นัทรับคำพลางมองกายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย จนกายถึงกับต้องหลบสายตาลง "ผมเองก็รอเวลาให้งานนี้มันจบซักทีเหมือนกัน"
   “ก็เหมือนกันแหละค่ะ" เจนพูดใส่เขาพร้อมกับมองเขาอย่างมีความนัย
   “งั้นผมขอตัวนะครับ เจอกันตอนประชุมงานพรุ่งนี้" นัทพูดพลางหันหลังกลับ
   “ค่ะ เชิญค่ะ" เจนว่าใส่ "กาย ฝนตอบตกลงแล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวก็คงมา.....”
   นัทปิดประตูห้องลงพร้อมกับเดินลงมาข้างล่าง ภาพของกายและเจนกลับมาหลอกหลอนเขาอีกแล้ว ยอมรับว่าภาพเก่าที่คลับเลาทจ์เมื่อหลายเดือนก่อนยิ่งเด่นชัดขึ้นมาอีก ผู้หญิงคนนี้ฉายแววบางอย่างออกมาจนเขารู้สึกได้ เธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พลังที่สามารถเอาชนะเขาได้ในทุกๆด้าน เขาไม่ค่อยถูกกับเรื่องแฟชั่น จึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเธอมาก่อน แต่จากการที่ได้เจอเธอครั้งนี้เป็นครั้งที่สอง เขาตระหนักแล้วว่าการผูกมิตรกับเธอกลายเป็นปัญหาเสียแล้ว เพราะหมอนั่นแท้ๆ.....ไม่สิ ไม่ใช่เพราะใคร เพราะเขาไม่ถูกชะตาเอง
   “ไอ้นัท" มิกร้อง จนนัทสะดุ้งโหยง
   “อะไร เรียกซะดัง" นัทถาม
   "ก็แกเดินจะจะชนฉันอยู่แล้วเนี่ย คิดไรอยู่" มิกว่า
   “อ๋อปล่าว ได้เรื่องนางแบบจากคุณกายแล้วนะ" นัทว่า
   “อ่อ" มิกพ่นลมออกจากปากเบาๆ เหมือนจะเดาอะไรบางอย่างออก "แล้วว่าไงอ่ะ"
   “ก็เขาหานางแบบได้แล้ว สองคนเลย เป็นเพื่อนเค้าน่ะ ประชุมงานพร้อมกันพรุ่งนี้สิบโมงครึ่ง" นัทว่า
   “แล้วเค้ามีปัญหาเรื่องที่แกเป็นนายแบบเองหรือเปล่า" มิกถามอีก
   “ไม่" นัทตอบสั้นๆ
   “แล้วเขารู้หรือเปล่า ว่ามันต้องเปลือยเอ่อ....”
   “ไม่" นัทพูดตัดบท "ฉันเป็นคนตัดสินใจในฐานะนายแบบเว่ย งานส่วนของฉันมันหมดแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นนายแบบ แล้วก็มีสิทธิ์เลือกงานในฐานะนายแบบ ถึงจะชั่วคราวก็เหอะ ไม่มีใครต้องมาตัดสินแทนฉัน มันไม่จำเป็นต้อง...."
   “นัท นัท....” มิกมองซ้ายมองขวาก่อนจะขยับตัวเข้าใกล้นัทมากขึ้นพลางเขย่าตัวเขา "ไม่เอาดิ มองหน้าหน้าฉัน คุยกับฉัน เหมือนตอนเราอยู่ที่บ้าน เหมือนคืนสุดท้ายที่โรงแรมนั่นดิ แบบที่ไม่มีงานดีไซน์ ไม่มีความเสียใจ ไม่มีคนอื่น"
   มิกค่อยๆลูบหน้าคนรักเบาๆ นัทเอาหน้าหลบ
   “ไม่เป็นไรแล้ว ขอบใจนะ ช่วงนี้ฉันหงุดหงิดไปหน่อยอ่ะ โทษที" นัทถอนหายใจ "เออ เขาชมงานน้องเอิร์ธด้วย เขาชอบมาก"
   “งั้นเหรอ" มิกพูดเสียงสูง "เป็นไปได้ไงกัน เออใช่.....แม่ง....ฉันไปก่อน"
   มิกร้องขึ้นพลางวิ่งไปตามโถงบริษัท
   “แกจะไปไหนอ่ะ" นัทร้องถาม
   “ไอ้ไบร์ท มันถือโอกาสตอนฉันไม่อยู่ พาเจ้าเด็กนั่นไปช่วยงานกองถ่ายอ่ะดิ" มิกตะโกนตอบ
   “แล้วมันไม่ได้ไงวะ" นัทถามอีก
   “เด็กนั่นมันเด็กฉัน มีแต่ฉันกับเพื่อนที่ใช้มันได้เว่ย" มิกพูดพลางหายตัวออกจากบริษัทไป
   นัทรู้สึกถึงอะไรแปลกๆเข้าซะแล้ว
….............
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 12) - 25/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 26-07-2011 01:42:59
สนุกมากจริงๆค่ะ จะรอติดตามเรื่อยๆนะคะ
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 13) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-07-2011 03:00:50
บทที่ 13 That's Mine

   “ดังนั้นภาพถ่ายทั้งสองเซ็ทที่เราจะถ่ายทำกันบ่ายนี้ จะเป็นไปตามที่ผมเพิ่งกล่าวไปนะครับ เอ่อเพื่อความสะดวกใจผมขอให้คุณฝนและนัทออกไปคุยกันเรื่องเอ่อ คอนเซ็ปต์แล้วก็หาวิธีเซฟน่ะครับ แล้วเดี๋ยวเราจะใช้สตูดิโอถ่ายรูปกัน โดยที่คุณกายจะเป็นคนถ่ายรูปเซ็ทสดใสของมาร์คและคุณเจน และสาจะเป็นคนถ่ายเซ็ทนู๊ดเองนะครับ"
   มิกอธิบายงานมาจนถึงช่วงท้ายของการประชุม การประชุมที่อึดอัดและไปเป็นได้ยากที่สุดเท่าที่นัทเคยได้เข้าประชุมมา ซึ่งเรื่องที่ขัดใจเขาในการประชุมเช้านี้จนมันล่วงเลยมาจนเกือบเที่ยงมันมีอยู่สองประเด็น ประเด็นแรกคือฝ่ายคอสตูมของเราดูเหมือนจะทำการบ้านมาอย่างเกินจำเป็น เจนจิราเธอยิงคำถามใส่มิกที่เป็นพ่องานถ่ายภาพศิลป์ครั้งนี้อย่างล้วงลึก จนถึงขั้นย้อนถามกลับไปถึงตอนไอเดียแรก โดยทั้งที่จริงแล้วเธอเองก็แทบไม่มีสิทธิ์ถามอะไรลึกขนาดนั้นเพราะเธอมาทีหลัง แต่กายก็ยังปล่อยให้เธอสามารถถล่มมิกด้วยคำถามสุดหฤโหด แต่โชคดีที่มิกและเจนมีประสบการณ์ในเรื่องที่ต่างกันสุดขั้ว ฉะนั้นคำถามและคำตอบมันเลยดูเหมือนจะไม่ได้สมการเท่าไหร่นัก ราวกับพูดคนละภาษา และมันก็จบลงด้วยเธอเองก็ต้องยอมรับมิกไปอย่างงงๆ ซึ่งสำหรับนัทแล้วมันช่างน่าขำ ไม่มีทางที่เจนจะถล่มมิกได้เลย มิกมีคำตอบที่ล้ำลึกมากพอที่ลูกค้าที่หินที่สุดยังต้องอึ้งมาแล้ว
   ประเด็นถัดมาคือเมื่อมาถึงการอธิบายเซ็ทภาพถ่ายนู๊ตที่เขาต้องถ่ายกับคุณฝน ใช่แล้วมันเป็นเซ็ทภาพถ่ายนู๊ทที่เขาต้องทาตัวสีเขียวและใส่เพียงกางเกงในสีขาวตัวจิ๋ว โดยที่คุณฝนจะห่มเพียงผ้าสีขาวพลิ้วไหวเหมือนสายลมและผืนป่า เขามั่นใจในตัวมิกและเห็นด้วยกับความงามนั้นเพราะมันไม่ได้อนาจารเลย และเพื่อไม่ให้ต้องใช้นายแบบที่เปลืองตัวมากไปนัก นัทจึงตอบตกลงที่จะเป็นเองเพื่อความสะดวกและรวดเร็ว ที่มันเป็นปัญหาก็คงดูเหมือนกับว่าเมื่อกายรู้ว่านัทกำลังจะต้องทำอะไร ดูเขาจะต้องขัดอะไรไปเสียทุกอย่างขึ้นมาซะอย่างนั้น ซึ่งนั่นทำให้นัทหงุดหงิดมาก
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว แยกย้ายกันดีกว่าครับ อีกครึ่งชั่วโมงไปเจอกันที่สตูดิโอถ่ายรูปชั้น 4  ครับ" มิกพูด
   “ขอเป็นชั่วโมงนึงได้ไหมคะคุณมิก" เจนกล่าวขึ้นอีก "ฉันไม่คิดว่าจะเตรียมชุดแล้วก็แต่งหน้าแต่งตัวทุกคนทันน่ะค่ะ"
   “คบกันคนละครึ่งทางก็แล้วกันครับคุณเจน 45 นาที ห้ามเลทนะครับ เพราะไม่งั้นเราจะช้ากันหมด" มิกพูดอย่างเฉียบขาดตามสไตล์ ใบหน้าของเจนดูถอยกรูไปก่อนที่ทุกคนจะลุกฮือแยกย้าย กายรีบปรี่เข้ามาหานัททันทีและ.....
   “คุณนัทคะ" ฝนร้องเรียกเขา นัทมองหน้ากายแว้บนึงก่อนจะฆันไปหาเจ้าของเสียง
   “ค...ครับคุณฝน" นัทพูด
   “คือฉันอยากจะมาเคลียร์ก่อนจะต้องถ่ายจริงก่อนน่ะค่ะว่า.....” ฝนพูดกระอักกระอ่วน
   “คือถ้าคุณไม่ถือ ผมก็จะเต็มที่นะครับ ผมไม่คิดอะไรอยู่แล้วครับ" นัทพูดพลางยิ้มกว้าง
   “ค่ะ...แต่ว่าก็เขินๆอยู่เหมือนกัน" ฝนกล่าว
   “เต็มที่กันดีกว่าครับ" นัทพูด "ช่างภาพของเซ็ทเราคือสาเป็นผู้หญิงด้วย แล้วผมเองก็จะอยู่ข้างหลังคุณมากกว่า เราก็คงไม่เห็นอะไรกันมากมายนัก"
   “ค่ะ งั้นแยกย้ายนะคะ" ฝนกล่าว
   “ครับแล้วเดี๋ยวเจอกัน"
   นัทพูดให้กับฝนซึ่งหายไปพร้อมกับมาร์คยังห้องแต่งตัว นัทเหลือบมองไปที่เจนที่เอาแบบร่างอะไรซักอย่างให้กายดูอย่างใกล้ชิดจนแทบจะปีนป่ายกันอยู่ตรงโซฟาอยู่แล้ว นัทถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะปลีกตัวออกมากับสาและมิกด้านนอกห้องประชุม
   “เป็นอะไรไป ทำหน้าซะเครียดเชียว" มิกพูดกับสาพอดีที่นัทปิดประตูห้องประชุม
   “ก็ถ้ายัยนั่นยังไม่หยุดถามอะไรอีกล่ะก็ แม่จะเควี้ยง DSLR ใส่ให้ขนตาหลุดเลย" สาว่าอย่างเผ็ดร้อน "มาทีหลังแล้วยังทำให้งานล่าช้าอีก"
   “เขาก็แค่อยากให้งานออกมาดีหรอกน่า" มิกว่า
   “มันก็ดีไงที่นายตอบยัยนั่นได้ แต่ให้ตายเถอะมิก นี่นายดูไม่ออกเหรอว่ายัยนั่นทำท่าดูถูกงานเราจะตายไป" สาว่า "ชุดที่เอามาให้เซ็ทโน้นก็ใช่ว่าจะสวย"
   “เอาน่าๆ รีบๆลงไปเตรียมของได้แล้ว" มิกพูด
   “ใครก็ได้ตอบฉันหน่อยซิว่ายัยนี่เป็นใครมาจากไหนกัน ทำตัวน่าหมั่นไส้ชะมัด " สาว่าพลางสะบัดเดินลงบันได
   “เขาเป็นแฟนเก่าของกาย ที่ฉันเคยเล่าให้ฟังเมื่อหลายเดือนก่อน" นัทพูดเรียบๆก่อนจะแทรกตัวลงบันไดตามไป "ก็ไม่แปลกที่เขาจะเป็นแบบนี้ เพราะเขาไม่ชอบขี้หน้าฉันตั้งแต่วันนั้นแล้ว"
   นัทเดินนำหน้าหายไปยังสตูดิโอ
   “โอ้" สาร้อง "กระจ่างชัดเลย"
   มิกถอนหายใจก่อนจะลากสาเดินลงบันไดตามนัทไป เมื่อมาถึงสตูดิโอมิกก็ร้องเสียงดัง
   “เอิร์ธ!!!”
   “ครับ" น้องฝึกงานหันมารับคำ
   “หายไปไหนมาอ่ะ" มิกถลาเข้าไปต่อว่า
   “ก็เปล่านี่ครับ ผมก็มาสิบโมงปกติ แต่เห็นพวกพี่ขึ้นไปประชุมกัน ผมก็เลยรออยู่นี่ ไม่มีอะไรทำ" เอิร์ธว่า
   “พี่หมายถึงเมื่อวาน ที่พี่บอกว่าพี่จะไปรับทำไมไม่รอ" มิกพูด
   “อ้อ เรื่องเมื่อวานผมก็มีอะไรจะบอกพี่เหมือนกัน" เอิร์ธว่าเสียงแข็ง
   “นายจะว่าอะไร นายเป็นเด็กของพี่ นายไม่มีสิทธิ์ไปทำงานให้คนอื่นถ้าพี่ไม่อนุญาต โดยเฉพาะไอ้ไบรท์ ถ้านายยังไม่ได้รู้จักมันดีพอ นายก็ไม่จำเป็นต้องไปช่วยมัน" มิกพูดเสียงเฉียบขาด "แล้วอีกอย่างที่โทรไปบอกให้รอ พี่จะไปรับทำไมไม่รอ"
   “งั้นผมก็ขอโทษด้วยครับที่ไม่ทราบว่าผมไม่ควรไปทำงานให้พี่ไบร์ท แต่พี่เค้ามาขอแล้วผมก็ไม่เห็นว่าไม่ควรจะช่วยเขาตรงไหนผมเป็นแค่เด็กฝึกงานนะครับ และผมก็ทำสมุดของพี่เสร็จแล้วด้วย" เอิร์ธว่า "แต่ข้อสำคัญ ผมไม่ชอบให้ใครมีเบอร์โทรผมโดยที่ผมไม่อนุญาตเหมือนกัน และที่สำคัญตอนนอกเวลาฝึกงานแล้ว ทำไมผมต้องรอพี่ด้วยล่ะ"
   มิก สา และนัทอึ้งกับคำพูดของเอิร์ธอย่างทันที เด็กคนนี้นี่ไม่เบาจริงๆ
   “อ...อะไรนะ" มิกว่า "นี่พี่จะมีเบอร์แกไม่ได้เลยเหรอ"
   “มันก็เรื่องที่ผมขอก็แล้วกันครับ" เอิร์ธว่า "แต่ถ้าพี่มีไปแล้วก็ไม่เป็นไรครับ แต่พอหลังเลิกงานก็คือเราสองคนก็ไม่ต้องติดต่อหันหรอกมั้งครับ แล้ววันนี้พี่มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่า"
   มิกอึ้งอยู่พักนึงก่อนจะตั้งสติได้
   “เราจะมีถ่ายรูปกันที่สตู 4 และ 5 ไปจัดไฟให้เสร็จ พี่ให้เวลาสิบห้านาที" มิกว่า "พี่หมายความตามคำที่พูด"
   เอิร์ธมองหน้ามิกอยู่ขณะหนึ่งก่อนจะออกเดิน
   “ฟังพี่น่ะ มันก็ไม่ได้แย่นักหรอกนะน้อง" มิกพูดขึ้น เอิร์ธนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะออกเดินไป
   “เห้ย แกไม่ต้องโหดขนาดนั้นก็ได้ป่าววะ น้องมันไม่รู้เรื่องอะไรของแกกับไบร์ทนะ" นัทว่า
   “ใช่ แล้วที่จริงน้องเค้าก็ทำถูกนะ ลองคิดสิว่าถ้าน้องเค้าไม่ไปกับไอ้สารเลวนั่น เดี๋ยวมันก็ได้ปากปีจอขึ้นมาอีกหรอก เพราะน้องเค้าก็เด็กแกนะ" สาพูด "ส่วนเรื่องเบอร์น่ะ บางคนเค้าก็ถือนะ เด็กสมัยนี้ก็เป็นกันเยอะออก"
   “แล้วพวกนายสองคนลืมไปแล้วหรือไงว่าตอนมาฝึกงานที่นี่ มันทำอะไรกับเราเอาไว้บ้าง แล้วเดือนที่แล้วมันทำอะไรฉันไว้บ้าง" มิกพูด "เด็กมันเก่งก็จริง แต่ก็ต้องกดมันไว้บ้าง เหลิงไปมากเดี๋ยวก็เป็นเหมือน.......”
   มิกเงียบเสียงก่อนถึงคำที่นัทก็พอจะนึกออกว่าเป็นใคร
   “ก็อธิบายบ้างไรบ้างก็ได้" สาพูดเบาๆเพื่อให้อะไรๆเย็นลง "แกอ่ะก็อย่าใช้อารมณ์มากสิวะ คุยแบบเหตุผลใช้เหตุผลบ้างก็ได้ อาร์ทแดกไปครึ่งตัวแล้วเนี่ย ทุกคนไม่ได้เหมือนฉันกับนัทนะเว่ยที่จะตามแกทันน่ะ"
   มิกสะบัดหัวไล่เรื่องซีเรียสออกไป ก่อนจะเบาอารมณ์ลง
   “เอาเหอะๆ ยังไงฉันก็ไม่ได้จงชังน้องเค้าหรอก ก็ที่ทำเนี่ยก็เพราะเป็นห่วง พวกแกก็รู้" มิกว่า
   “เออ พวกฉันรู้ เวลาแกเป็นห่วงใครทีไร พยายามช่วยใคร ทำเอาคนที่ถูกห่วงโคตรเครียดเลย" นัทแซว สาเห็นด้วยเลยต่อยเข้าที่แขนมิกหมัดนึง
   “ไปแต่งตัวดิ" มิกบอกนัท
   “แต่งตัว?” นัทว่า "ผมไม่ได้ใส่อะไรเลยคับ กางเกงในตัวเดียวคับ"
   “งั้นก็ไปทาตัวได้แล้วไปนัท เดี๋ยวยัยเจนเกิดทวงเวลาขึ้นมา ไอ้มิกได้หน้าแหก" สาพูด
   นัทรับคำก่อนจะเดินไปในห้องน้ำทันที
…...........
   บรรยากาศมาคุที่เกิดขึ้นคงเป็นจากมิกและเอิร์ธมากกว่า แต่ที่ทำให้การทำงานสำหรับสบายมากขึ้นไปอีกคือการทำงานที่ต้องแยกสตูดิโอกันถ่ายภาพไวท์สกรีน มาร์คและเจน จะถูกถ่ายโดยกายสิทธิ์พ่อมดของวงการที่สตูดิโอ 4 ส่วนภาพถ่ายที่ต้องมิดชิดหน่อยก็เลยยกมาถ่ายกันที่ สตูดิโอ 5 ที่อยู่ริมสุดและไม่มีหน้าต่าง มิกที่กลายเป็นผู้เช็คงานพอใจเล็กๆกับการจัดไฟของน้องเอิร์ธที่ปรับเอาไว้พอดีราวกับรู้ว่ากายและสาต้องการแสงเท่าไหร่ มิกกันน้องเอิร์ธออกไปจากสตูดิโอ 5 เพราะมันค่อนข้างติดเรทนิดหน่อย ในสตูก็มีแต่สา นัท และคุณฝน ที่มีมิกแวะเวียนมาบ้างเพื่อตรวจดู
   อาการเคอะเขินคงเกิดขึ้นแต่เฉพาะคุณฝน   เพราะผ้าที่ใช้ปกคลุมร่างกายเธอเป็นเพียงผ้าพลิ้วๆสีขาวที่ต้องพัดโดยพัดลมตั้งตัวใหญ่อีกที แต่พอผ่านไปได้ซักสิบห้านาที เธอก็สามารถแสดงฝีมือออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ผิดกับนัทที่ออกจะเคอะๆเขินๆ และทำตัวไม่ค่อยถูก เขาถูกมิกและสาให้เป็นนายแบบอยู่หลายครั้ง แต่ครั้งนี้ก็โหดเอาการอยู่
   “โทษทีเถอะนัท ถอดเลยได้ไหม" สาเหยปากเชิงขอร้อง
   “อ...อะไรนะ" นัทร้อง
   “เร็วๆสิ มันกำลังได้ ชายผ้าคุณฝนเขาปิดตรงนั้นพอดี กำลังสวยเลยเนี่ย เร็วๆ" สาเร่ง
   “รีบเลยค่ะคุณมิก มันจะหลุดแล้วค่ะ" ฝนเร่งอีก
   ถึงนี่มันจะอยู่นอกเหนือที่ตกลงกันไว้ แต่นัทก็ทำใจ เขาหลับตาหนึ่งครั้งก่อนที่จะถอดชื้นส่วนสุดท้ายออกไปโดยเร็ว
   “สุดยอด" สาพึมพำตามสไตล์ "อีกสี่นะคะ หนึ่ง สอง"
   เสียงกดชัตเตอร์ของสาดำเนินไปพร้อมกับเสียงเปิดประตูที่คราวนี้มันเปิดกว้างเกินจำเป็น นัทพบว่า ผู้คนจากสตูดิโอ 4 คงถ่ายเสร็จแล้วเพราะคนที่เดินนำเข้ามาอย่างเงียบเชียบไม่ให้เสียสมาธิสาคือมาร์ค ตามมาด้วยมิกและน้องเอิร์ธ นัทหน้าเริ่มแดงเล็กน้อย พลางทำหน้าเหยเก
   “สมาธินัท อย่าไปกังวล อีกนิดเดียว สุดท้ายแล้ว คุณฝนคะ ซ้ายหน่อยค่ะ" สากำกับอย่างมืออาชีพ
   ทันใดนั้นโดยที่เขาไม่ทันจะตั้งตัวคนที่ตามเข้ามาเป็นคนสุดท้ายก็คือ......
   “เสร็จแล้ว" สาร้องพลางลดกล้องลง แต่โดยที่ทุกคนตั้งตัวไม่ทันคือ กายเดินตรงรี่ไปหานัทและ...
   พรึ่บ!!
   กายห่อตัวของนัทเอาไว้ด้วยผ้าขนหนูที่เขานำติดตัวมาอย่างรวดเร็วพอดีกับที่น้องเอิร์ธปิดพัดลมแล้วฝนก็รวบผ้าสีขาวของเธอห่อตัวเธอได้เองอย่างมิดชิด ท่ามกลางสายตาหลายคู่กับการกระทำของกาย นัทมองหน้าเขา กายมองเขากลับด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
   “ผมไม่อยากให้ใครเห็น สิ่งที่มันเป็นของผม" กายกระซิบเบาๆตรงหน้าเขา ขณะที่ตัวเขาบังนัทจากคนอื่นๆที่อยู่ด้านหลัง "รีบไปหาอะไรใส่ซะ"
   “นี่..คุ....” นัทพยายามจะเถียง
   “อย่าเป็นตรงนี้ได้ไหม ขอร้อง" กายพูดเบาๆ นัทจึงชะงักอยู่พักนึงก่อนจะจับผ้าขนหนูนั้นห่มตัวเองออกไปจากห้อง เขารับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่ามีมิก สา และมาร์คกำลังมองเขาแบบไม่ให้ผิดสังเกตในขณะที่คุณฝนได้รับการดูแลโดยน้องเอิร์ธที่เตรียมเสื้อผ้าเอาไว้ให้เธอเรียบร้อยแล้ว นัทเดินไปยังประตูสตูดิโอพอดีกับทีร่างๆหนึ่งแทรกเข้ามา
   “กายคะเห็นผ้าขนหนูที่เจนเตรียมไว้ให้คุณนั......” เจนชะงักเมื่อเห็นนัทอยู่ตรงหน้าเธอพร้อมผ้าขนหนูที่เธอตามกำลังหา นัทพยายามไม่สบตาเธอ เพราะตอนนี้เขาหน้าแดงจนแทบจะระเบิดแล้ว มันมาจากความโกรธและเสียใจ "งั้นก็เอ่อ.....รีบหน่อยนะคะคุณนัท ฉันต้องรีบเก็บของ ฉันกับกายเราจะออกไปข้างนอกกันต่อน่ะค่ะ"
   นัทเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเธอจนได้ ก่อนจะหันหลังไปมองหน้ากาย
   “ได้ครับ" นัทพูดขึ้นแม้ว่าจะยังไม่ละสายตาจากกาย "งั้นคุณก็ช่วยหลีกให้ผมไปซะทีนะ"
   เจนเงียบไปครู่นึง เธอพยายามตีความหมายว่านัทกำลังว่ากระทบเธอหรือใคร แต่ทว่านัทก็แทรกตัวผ่านตัวเธอไปเสียแล้ว กายยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แม้ว่าคนอื่นๆจะพยายามทำอะไรบางอย่าง เก็บของ หรือช่วยดูแลคุณฝน เพื่อให้ทุกอย่างดูเป็นปกติ แต่มิกกลับจ้องกายด้วยสายตาที่แข็งกร้าว ก่อนจะหลบตาลง
   “เอิร์ธ" มิกเรียกขึ้น ทันทีกับที่เข้าของชื่อรับคำ "ไปช่วยพี่นัทล้างตัวไป เอาเสื้อผ้าพี่เขาไปให้ในห้องน้ำด้วย อยู่บนโต๊ะดราฟที่สตูชั้นล่างนะ คุณกาย....”
   กายดูจะตกใจเล็กน้อยที่ถูกเรียกชื่อ
   “คุณจะเอายังไง" มิกถามขึ้น สาถึงกับจ้อมมิกตากถลน "ผมหมายความว่า คุณจะให้ผม สา หรือว่าคุณจะเช็ครูปเอง รวมรูปที่ใครยังไงน่ะครับ"
   “เอ่อ......สา คุณคัดรูปที่คุณว่าโอเคมาให้ผมเลยแล้วกันครับ ผมขอ 80 ใบ ของผมอีก 80 แล้วเดี๋ยววันพรุ่งนี้เราช่วยกันคัดกันอีกรอบสุดท้าย"
   สาถึงกับใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม นึกว่าจะมีการวางมวยกันเสียแล้ว
   “ได้ค่ะ ได้เลย" สาพูดอึกอัก
   “งั้นผมฝากทางนี้ด้วยนะครับคุณมิก" กายว่า เหมือนพยายามจะสื่ออะไรบางอย่าง "ผมขอตัวไปช่วยเพื่อนๆจัดข้าวของแล้วไปส่งพวกเขาก่อน"
   “รีบหน่อยก็ดีนะคะกาย เจนมีธุระค่ะ" เธอกล่าวขึ้น สาถึงกับมองเธอด้วยสายตาอาฆาตแว้บนึง และหลังจากนั้นคุณฝน กายและเจนก็เดินออกจากห้องไป
   ปึง!!!!
   มิกต่อยเข้าที่กำแพงครั้งหนึ่งพลางกัดฟันกรอด ทันทีที่ประตูสตูดิโอปิดลง มิกหน้าแดงก่ำจนน้ำตาคลอเบ้า
   “มิก"สาเดินเข้าไปจับมือเพื่อนรักเบาๆ "นายบอกแล้วนะ ว่าจะพยายามลืม เราทุกคนที่นี่"
   “เธอตาบอดรึไง ไม่เห็นเหรอ" มิกพูดสั้นๆ "เธออาจจะตาบอดก็ได้ แต่ฉันเชื่อว่าความจำเธอไม่ได้เสื่อม"
   “นายโกรธคุณกายมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ" สาถามตรงประเด็น
   “ฉันไม่ได้โกรธเขา" มิกตอบ สาทำหน้าสงสัย และทันใดนั้นน้ำตาของมิกไหลออกมา "ฉันโกรธคนของเรา ฉันเห็นสายตามันมองเขา มันไม่ได้พยายามลืมเหมือนที่มันอยากให้พวกเราทำ"
   สาพ่นลมออกเบาๆก่อนจะก้มหน้าลงรับความจริง
   “ทำไมวะ" มิกร้อง "มันจะดึงดันให้ตัวเองเจ็บทำไมวะหะ"
   สาหันไปหามาร์คพลางยื่นกล้องให้เขาเก็บ ขณะที่เธอเก็บของส่วนตัว
   “ฉันเชื่อว่า มันก็กำลังถามแกด้วยคำถามเดียวกันเหมือนกัน" สาพูดเรียบๆพลางออกเดินไปจากสตู "และฉันเองก็อยากถามแกด้วยเหมือนกัน"
   สาปิดประตูสตูดิโอลง ทิ้งให้มิกจมอยู่กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง
….........
   “เห้ย!!!” เอิร์ธร้องเสียงหลงเมื่อเปิดประตูสตูดิโอกลับเข้ามาเพื่อเช็คความเรียบร้อยอีกครั้งหลังจากงานถ่ายรูปจบไปกว่าสองชั่วโมง เขาพบร่างๆหนึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ตรงมุมมืดของห้อง เอิร์ธเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าเป็นมิกที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมโดยที่มือมีรอยเลือดและฟกช้ำ เอิร์ธยังไม่ทันจะถามอะไรก็รีบออกไปจากห้อง และกลับเข้ามาในอีกไม่กี่อึดใจพร้อมกับกระเป๋าพยายามบาลฉุกเฉินที่อยู่ตรงปลายของทางเดิน แม้ว่าการเดินอันโครมครามของเอิร์ธจะดังหรือจะเข้าออกห้องเป็นครั้งที่สองแล้ว มิกก็ยังคงนั่งนิ่งสายตาจับจ้องไปที่พื้นเช่นเดิม
   เอิร์ธไม่พูดถามอะไรทั้งนั้น เขาจับมือมิกขึ้นมาพร้อมกับเริ่มทำแผลให้กับพี่เลี้ยงของเขา
   “แผ่นอคูสติกมันทำด้วยกระดาษอัดพี่มิก" เอิร์ธกล่าว "ถึงยังไงพี่ต่อยมันก็ต้องได้แผล"
   มิกหันไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังทำแผลให้เขา
   “ไม่อยากรู้เหรอว่าพี่เป็นไร" มิกถามด้วยเสียงแหบพร่า
   “ถ้าพี่อยากบอกพี่ก็บอกเองแหละ" เอิร์ธว่า "ผมค่อนข้างเคารพความเป็นส่วนตัวของคนอื่นน่ะ"
   มิกส่ายหน้าน้อยๆ
   “กลับมาเช็คของรึไง" มิกถาม
   “ครับ" เอิร์ธตอบ "นี่เย็นแล้ว ผมจะกลับแล้วด้วย"
   “งั้นไม่ต้องทำแล้วไป รีบนักก็" มิกกระชากมือกลับ แต่เอิร์ธก็ดึงมันกลับมาอีก
   “อยู่เฉยๆดิพี่ ผมพูดซักคำยังว่ารีบอ่ะ" เอิร์ธว่า "ทำไมชอบคิดอะไรไปเองนะพี่เนี่ย มันไม่ได้แย่นะถ้าจะปล่อยวางบ้างน่ะ เราคนเดียวคุมอะไรทุกอย่างไม่ได้หมดหรอก"
   “ต้องการจะสื่อไรป่ะเนี่ย" มิกถามกลับ
   “ก็ปล่าว ก็ผมเห็นพี่ทำงานวันนี้อ่ะ พี่ไม่เหนื่อยหรือไง" เอิร์ธถามขึ้น มิกถึงกับสะดุดกับคำถามนั้น ไม่มีใครเคยถามเขาแบบนี้มก่อนเลยนี่นา
   “ก็ถ้าไม่ใช่พี่ มันจะได้อย่างนี้หรอเปล่าล่ะ" มิกตอบ "คนเราทำอะไรได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องทำให้ได้ จะได้ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่นเค้า"
   เอิร์ธเริ่มพันผ้าพันแผลให้มิก ก่อนจะพูดต่อ
   “แต่นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะต้องคิดอะไรคนเดียวนี่" เอิร์ธว่า "ผมว่าพี่น่าจะลองแบ่งอะไรๆออกไปบ้างนะ อย่างน้อยก็เรื่องงาน ดูจากสภาพแล้วเนี่ย พี่ไม่ปกติแน่ๆตอนเนี้ย"
   “ทำเป็นรู้ดีเหอะ" มิกพูด
   “แล้วจริงป่ะล่ะ" เอิร์ธย้อน "อย่างเรื่องงานบางอย่างพี่แบ่งๆมาให้ผมช่วยคิดบ้างก็ได้นะ ไม่ต้องมาสั่งๆอย่างเดียวหรอก"
   “ทำไม ไม่อยากทำอ่ะดิ" มิกว่า
   “ปล่าว พี่สั่งอะไรมาอ่ะผมทำอยู่แล้วแหละ" เอิร์ธตอบ "ผมก็แค่อยากแบ่งเบาน่ะ ในทุกๆเรื่อง เห็นสภาพพี่แบบนี้แล้ว ผมไม่สบายใจว่ะพี่"
   มิกหันไปมองเอิร์ธอย่างไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “ขอบใจนะ" มิกพูดขึ้น เอิร์ธยิ้มให้พลางยักคิ้ว "ไม่ต้องเก็กหล่อใส่พี่ก็ได้มั้ง"
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะในลำคอ
   “ที่พี่ไม่อยากให้แกไปช่วยอะไรเจ้าไบร์ทน่ะ เพราะมันเป็นตัวอันตรายของที่นี่ มันเคยทำเรื่องไม่ดีกับพี่แล้วก็พี่สาพี่นัทไว้เยอะ พี่ไม่อยากให้เราต้องมาเจอแบบเดียวที่พี่เจอที่นี่" มิกพูดขึ้น "ทั้งหมดที่เข้มงวดไป ก็เพราะเป็นห่วงเว่ย"
   “หึหึ กะแล้ว" เอิร์ธว่า มิกขมวดคิ้ว
   “ไรวะ" มิกถาม
   “ก็ผมไปทำงานกับเขามาน่ะ เขาแม่งโคตรกากเลยพี่" เอิร์ธพูด "ทำงานกับพี่ยังสนุกกว่าตั้งเยอะ ก็รู้แล้วแหละว่าทำไมพี่ถึงไม่อยากให้ไปทำ แต่พี่ไม่พูดนี่"
   “นี่เราลองใจพี่เหรอหะ" มิกโขกกระโหลกน้องไปหนึ่งที
   “โหไรวะ ดุอีกและ ก็แค่อธิบายให้ฟัง"
   เอิร์ธพูดพลางลุกขึ้นเก็บของ
   “ไปได้แล้วพี่ เลิกนั่งเล่นเอ็มวีได้แล้ว ไปทำงานต่อกันเหอะ มีอะไรให้ช่วยก็สั่งมา" เอิร์ธว่า
   มิกยิ้มให้เด็กหนุ่มหนึ่งที
   “งั้นนายกลับไปพักผ่อนไป เดี๋ยวเก็บกวาดที่นี่เอง เหนื่อยมาทั้งวันและ" มิกยิ้มให้
   เอิร์ธเลิกคิ้ว ก่อนจะโบกมือลา
   “งั้นบายพี่มิก เจอกันพรุ่งนี้" เอิร์ธกล่าวพลางเดินไปยังประตูสตูดิโอ "อย่าให้แผลโดนน้ำล่ะ"
   มิกมองที่มือของตัวเองก่อนจะยิ้มกว้าง การมีคนอื่นมาเป็นห่วงบ้างมันก็รู้สึกดีเหมือนกันนะ
   มิกคิดโดยไม่รู้เลยว่าเรื่องเล็กๆนี้มันจะเป็นเรื่องใหญ่ในไม่ช้านี้
…........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 13) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 26-07-2011 15:08:20
 :กอด1: :กอด1:+1   :call: :call:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 13) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 26-07-2011 16:15:21
>///<
มิก เอิร์ธ
หรือ เอิร์ธ มิก กันแน่นะ อ๊ายยยยยย แต่ชอบหมดนั่นล่ะ หุหุ
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 14) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-07-2011 16:21:16
บทที่ 14 One fine Day

   “โอเคและ ในที่สุดก็เหลือ 20 รูปสุดท้าย เป็นอันว่าจบเรื่องงานถ่ายภาพ" พูดเสียงขณะเดินลงมาที่สตู "งานบิลบอร์ด คุณกายเค้ารับทำอง ส่วนบู็ทที่เหลือก็ตามที่เราร่างเสก็ชไว้ตอนนู้น เอาเอ้าท์ไลน์เดิมมาทำได้เลย"
   “งั้นก็ดีเลย" นัทพิมพ์งานอยู่สองสามทีก่อนจะกดเอนเทอร์ "เราก็ไม่มีอะไรต้องทำจนกว่าจะส่งงานอีกรอบวันศุกร์หน้า สินะ"
   “ที่จริงเหลือแต่งานทำมือนะ" สาว่า "แต่จากสภาพแล้ว.....”
   สาและนัทมองไปยังมิกที่กำลังนั่งมองผ้าพันแผลอย่างครุ่งคิด เขารู้สึกประทับใจเจ้าเด็กหนุ่มนั่นขึ้นมาเสียง่ายๆ วันนี้เขาทำอะไรได้ไม่ถนัดนักด้วยความที่มือขวามีผ้าพันอยู่ ซึ่งเขาก็เพิ่งได้รับการเปลี่ยนผ้าใหม่ด้วยมือของเจ้าเด็กหนุ่มคนเดิมที่มาทำให้เขาเมื่อตอนเช้าก่อนจะเข้าไปเลือกรูปไฟนอล
   “ว่าแต่แกไหวป่ะเนี่ย" นัทสะกิดถาม
   “ไหวดิ ไหวอยู่แล้ว" มิกพูดแม้ว่าจะไม่ละสายตาไปจากมือขวาของตัวเอง
   “แล้วน้องตัวดีแกไปไหนแล้วล่ะ" สาถามขึ้น
   “ไปล้างรูปที่เหลือน่ะ ฉันจะเก็บเอาเข้าคอลเลคติ้งบุ๊ค" มิกพูด
   “เออดีเหมือนกันเดี๋ยวฉันล้างส่วนของฉันด้วยดีกว่า" สาพูดพลางเดินออกไปที่หน้าสตูดิโอ "เอิร์ธ เอิร์ธ"
   “เรียกมันทำไม" มิกถาม
   “เอ้า ฉันก็จะใช้น้องมันเอาการ์ดฉันไปล้างอัดน่ะสิ" สาตอบพลางทำหน้าสงสัย
   “เอิร์ธมันไม่ว่าง" มิกพูดเรียบๆ นัทหันขวับมาหาเพื่อนทันที มิกมองไปรอบๆ "ฉันจะพาน้องออกไปข้างนอก ไป...เอ่อ....พบลูกค้า"
   “ลูกค้า?” นัททวนคำ "ลูกค้าไหนอีกวะ"
   “ก็.....ที่ให้ CI ร้านอาหารไง ไม่มีไรหรอกน่า" มิกพูดจบพอดีกับที่เอิร์ธเดินกลับเข้ามาในสตูดิโอ สามองตามไปอย่างพินิจพิเคราะห์
   “นี่รูปคับพี่" เอิร์ธวางลงบนโต๊ะของมิก
   “ขอบใจมาก พร้อมหรือยัง พี่จะไปแล้ว" มิกถามขึ้น
   “เอาดิพี่ ผมก็ไม่ได้ต้องทำอะไรแล้วเหมือนกัน" เอิร์ธตอบ มิกจึงเก็บข้าวของลุกขึ้น พลางจับตัวเอิร์ธแล้วออกเดินไปจากสตูดิโอทันที
   “ฉันว่าแปลกๆและ" สาพูดพลางเดินไปสะกิดนัท
   “อะไรแปลก" นัทถาม
   “ก็สุดที่รักตัวกวนของแกไง" สาแซว "เดี๋ยวนี้มีพาออกไปข้างนอกกันด้วย"
   “โอย นี่เธอก็เพลาบ้างก็ได้เรื่องเก็บรายละเอียดเนี่ย ไม่เห็นมีอะไรเลย" นัทว่า "ก็เอิร์ธเค้าเป็นเด็กมิกมัน มันก็พาออกไปดูงานเหมือนตอนที่เจ๊ผึ้งพาเธอไปนั่นแหละ"
   “แต่ยังไงฉันก็ว่าแปลกอยู่ดีอ่ะ" สาว่าพลางหรี่สายตาลง "เมื่อเช้า พอฉันเข้าออฟฟิศมาก็เห็นเอิร์ธเค้ากำลังเปลี่ยนผ่าพันแผลให้มิกอยู่พอดีเลย"
   “นี่แม่คุณ การที่มิกมันชอบฉันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะต้องจับคู่ให้มันกับผู้ชายคนอื่นๆไปทั่วนะคับ" นัทว่า "ทำตัวเป็นสาววายไปได้"
   “แหม ฉันก็แค่อยากเห็นเพื่อนๆฉันมีความสุขบ้างไรบ้าง" สาร้อง
   “อยากจิ้นคนเดียวล่ะสิไม่ว่า" นัทพูดพลางเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มที่สาหิ้วลงมาจากห้องของบอสหลังจากที่เธอและมิกไปช่วยกันเลือกรูปกับกายเมื่อเช้า มันเป็นแฟ้มรูปไฟนอลที่คัดจากการถ่ายรูปเมื่อวานเซ็ทละ 10 ใบ นัทเปิดมันออกก่อนจะต้องสะดุดกับภาพข้างใน
   “นี่มันอะไรกันเนี่ย" นัทร้อง
   “อะไรเหรอ" สาทักพลางก้มมาที่โต๊ะของนัท
   “ก็รูปพวกนี้น่ะสิ" นัทพูด "นี่แน่ใจนะว่านี่คือดีที่สุด"
   “เอาความจริงมะ" สาถาม
   “ความจริงดิ" นัทรับมุกเธอ
   “รูปของคุณกายเสียเยอะมากเลยเหอะ" สาพูดทันทีอย่างไม่อ้อมค้อม "ฉันเห็นรูปเค้าแล้วก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน เลือกยากมาก สงสัยจะเกิดจากยัยเจนที่เร่งเวลาคุณกายละมั้ง ดูเขารีบๆถ่ายชอบกล นี่ดูรูปสุดท้ายนี่ ดีนะที่เขาใส่เอฟฟเฟคไป ไม่งั้นออกมาแย่มาก เดาได้เลยว่าเขากำลังกังวลอะไรบางอย่าง ฉันสงสัยว่าเป็นเรื่องเวลาน่ะ"
   “ไม่ใช่หรอก" นัทพูดโพล่งขึ้น
   “อะไรนะ" สาทวนคำ
   “เอ่อ......ไม่มีอะไร ขอแฟ้มนะ" นัทคว้าแฟ้มพลางลุกขึ้น
   “นายจะไปไหนอ่ะ" สาพูด
   “ไปถามหางานที่มี Quality ดีกว่าน่ะสิ" นัทพูดพลางจ้ำอ้าวขึ้นไปบนห้องของบอสทันที โดยไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น นัทเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รีรอ
   “คุณต้องอธิบายเรื่องพวกนี้มาเดี๋ยวนี้เลยนะคุณ.....อ้าว บอส" นัทถึงกับชะงักเมื่อในห้องของบอสพิพัฒน์นั่งอยู่ที่โต๊ะ ที่เขาเกือบลืมไปแล้วว่าห้องนี้เป็นห้องของบอสไม่ใช่กาย
   “อ้าวนัท.....ตกใจหมดเลย มีเรื่องอะไรเหรอ" บอสถาม
   “เอ่อ...หลานรักบอสเค้าไปไหนแล้วล่ะครับ" นัทถามทันที
   “เขาไปแล้ว" บอสตอบ
   “ไป....ไปไหนครับ" นัทถาม
   “ก็ไปแล้วไงเล่า" บอสทวนคำ "ตอนนี้มันก็ไม่ได้มีงานอะไรที่ต้องทำกันในทีมที่หนักแล้วนี่ รอส่งงานในสุดสัปดาห์นี้ แล้วก็รอผลตัดสินแล้วเจ้านัท เช็คตารางการประกวดบ้างหรือเปล่า"
   นัทอึ้งไปเล้กน้อย
   “อะไรนะครับบอส" นัทพูด
   “โฮ่ๆ สงสัยนี่แกคงจะโหมงานหนักไปจนเบลอเลยล่ะสิ" บอสว่า "เจ้ากายมันไปแล้ว เค้าถือว่าจบโปรเจ็คแล้วไง ที่เหลือก็แค่งานที่พวกเราต้องทำต่อกันเองไม่ใช่เหรอ บอสพูดถูกไหม"
   นัทครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
   “ทำไม เกิดติดใจเจ้ากายขึ้นมาล่ะสิ" บอสแซว นัทถึงกับสะดุ้งเฮือก
   “ม...ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ" นัทพยายามแก้ตัว
   “เอาน่า บอสเข้าใจ เจ้ากายมันเก่ง คนไปแรงอย่างเราก็คงสนุกที่ได้ทำงานกับเขานั่นแหละ" บอสตอบขำๆ "อืม ถ้าเรามีอะไรกับเขาก็คงต้องติดต่อเขาเองแล้วล่ะมั้ง เจ้ากายคงกลับมาที่นี่อีกทีก็คงหลังจากผลประกาศไปแล้ว ซึ่งนั่นก็อีก...”
   “หนึ่งเดือน" นัทพูดเบาๆ เขารู้สึกเหมือนอะไรซักอย่างในตัวเขาหายวับไป กลายเป็นความรู้สึกโล่ง ที่ไม่ใช่สบายตัว เป็นความโล่งที่เกิดจาก......ความเดียวดาย
   “แล้วมีอะไรเร่งด่วนหรือเปล่า เดี๋ยวบอกโทรตามมันให้ก็ได้นะ แต่ไม่รู้มันจะรับหรือเปล่านะ หึหึ" บอสว่า "พ่อมดเป็นอิสระอีกทีแล้วนี่นา ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
   “ไม่ต้องหรอกครับบอส" นัทพูดนิ่งๆ "ผมไม่มีอะไรกับเขาแล้วครับ"
   นัทพูดพลางหันหลังกลับ
   “อ้อ เดี๋ยวๆ" บอสเรียกตัวเขา "กายเค้าฝากนี่ไว้ให้คุณด้วยแหนะ ดูมันคงจะกวนประสาทคุณอีกแน่เลย"
   “อะไรเหรอครับ" นัทว่าพลางหันไปดู เขานิ่งสนิทเล็กน้อยเมื่อเห็นของตรงหน้า
   สิ่งที่บอสถืออยู่ในมือคือ ลูกอมโลลิป็อบเม็ดเล็กๆที่เขาเคยยิงเป้าในงานวัน Fun In Park ที่กายกับเขาไปหา Inspiration ด้วยกันเมื่อหลายเดือนก่อน มันยังคงถูกห่อมิดชิดอย่างสวยงามเหมือนวันแรกที่เขายิงมันได้ นัทเดินเข้าไปหยิบมันคืนจากบอสด้วยมือสั่นเทา
   “ฮ่าๆๆ ลูกอม หมอนี่มันกวนประสาทจริงๆ" บอสพูด
   นัทไม่ได้ตอบอะไร แต่เขาเดินกลับออกจากห้องไปโดยที่แทบไม่มีเรี่ยวแรงใดใดอีก
….........
   “อ่ะ" มิกยื่นถุงน้ำอัดลมให้กับเด็กหนุ่มหน้าหล่อน้องฝึกงานที่สวนกลางกรุง เอิร์ธรับมันมากินอย่างไม่ค่อยสบายอามรณ์นัก มิกนั่งลงข้างๆน้องก่อนริมบึงน้ำ
   “ไม่มีลูกค้าใช่ไหมเนี่ยพี่" เอิร์ธถามขึ้นตรงๆ พลางดูดน้ำอัดลมไปด้วย ขณะที่มิกมองออกไปที่บึง
   “อือ" มิกตอบห้วนๆ "แค่ไม่อยากอยู่ในสตู"
   “ทนไม่ไหวแล้วอ่ะดิ" เอิร์ธว่ามิกมองหน้าน้อง
   “เห้ยนี่รู้มากอ่ะ รู้ตัวป่ะเนี่ย" มิกว่า
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะในลำคอแล้วก็ยักคิ้วใส่มิก ซึ่งเจ้าตัวมองหน้าแล้วก็แอบเบื่อวิธีเก็กหล่อของเจ้าเด็กหนุ่มนี่เต็มทน "ทนไม่ไหว ก็ไม่ต้องทนดิ๊"
   “ก็ถึงออกมานี่ไง" มิกพูด พลางส่ายหน้า "โทษทีเว่ย ที่จริงก็ไม่อยากให้ต้องมาดราม่าหรอก"
   “เห้ย ไม่เป็นไรพี่ ผมเข้าใจ" เอิร์ธตอบ "มันก็ต้องมีทุกที่แหละ ผมชินแล้ว"
   “เออ ขอบใจนะ เรื่องมือเนี่ย" มิกพูด
   “เปลี่ยนผ้าอีกทีก็คงหายแล้วพี่" เอิร์ธพูด
   “เอิร์ธ ถามไรอย่างดิ" มิกว่า "นายเคยเป็นห่วงใครมากๆ จนถึงยอมสละตัวเองเพื่อเขาหรือเปล่า"
   “เคยพี่" เอิร์ธพูด "แต่ไม่ทำแล้ว"
   “ไมอ่ะ" มิกถาม
   “มันเหนื่อยพี่" เอิร์ธตอบ "แล้วคนที่เราไปห่วง แม่งก็จะไม่โตว่ะพี่"
   มิกหันไปมองน้อง
   “เพราะบางทีเราไม่จำเป็นต้องไปรับผิดชอบอะไรแทนเขานะ คนเราอ่ะ อยู่อย่างพ่ายแพ้บ้างก็ได้ มันจะไปสมหวังทุกอย่างได้ยังไงเล่า จริงป่ะล่ะ" เอิร์ธตอบ
   “ไม่เคยรักใครอ่ะดิ" มิกแซว
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะอีก "ผมไม่รักคนที่ไม่รักตัวเองคับ"
   “แต่คนที่ทำอะไรเพื่อความรักชอบทำไรโง่ๆ พี่ไม่ชอบเลยว่ะ" มิกพูด
   “ก็ถ้าไม่โง่ก่อน แล้วจะฉลาดไหมล่ะพี่" เอิร์ธย้อนอีก "อย่าไปตัดสินแทนเค้าดิ๊ ให้เค้าลองก่อน เชื่อผมเหอะ พี่จะได้ไม่ต้องอึดอัดแบบที่เป็นอยู่นี่ไง"
   “รู้ดีอีก ใครบอกอะไรหรือไง" มิกถามเสียงสูง เอิร์ธยักคิ้วพลางชูสองนิ้วชี้ไปที่ตาของมิก
   “ชัดเลยพี่" เอิร์ธว่า
   มิกยิ้มแห้งๆ
   “แถมพี่เลี้ยงผมเนี่ย ก็เป็นคนเก็บอารมณ์เก๊งเก่ง" เอิร์ธแซว "เอาน่า พักที่นี่ให้สบายแล้วค่อยกลับไปก็ได้ ผมจะได้ไม่ต้องทำงาน แถมกินข้าวฟรีอีก ฮ่าๆ"
   “ไม่ต้องขี้เกียจเลย ที่พามาเนี่ยมีโปรเจ็คให้ทำเป็นคะแนนวิชาฝึกงานนายนี่แหละ" มิกตอบ เอิร์ธทำหน้าเซ็งๆ "พี่ของ่ายๆ เป็นเซ็ทภาพถ่ายศิลป์ที่สื่อถึงคำว่า Loveless Society”
   “เชี่ย!!! ยากพี่" เอิร์ธสบถ มิกโขกหัวไปหนึ่งที
   “ยากตรงไหน พี่เคยทำมาแล้วเหอะ" มิกพูด "ทุกวันศุกร์เอารูปถ่าย experiment มาให้ดูด้วย Research เจ๋งๆด้วยล่ะ ถ้าวันไหนจะออกไปถ่ายรูปข้างนอกให้เข้ามาที่ออฟฟิศแล้วบอกพี่ก่อน อย่าออกไปเฉยๆล่ะ"
   “ครับ" เอิร์ธรับคำ
   “ไป กลับกันได้แล้ว" มิกพูดพลางลุกขึ้น
   “งั้นวันนี้ผมขอกลับเลยได้ป่ะล่ะพี่" เอิร์ธถาม
   “นัดแฟนไว้รึไง" มิกแซวขณะออกเดิน
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะ "ถ้ามีแฟนผมรู้ว่าวันนี้ออกมากับพี่สองต่อสองล่ะก็ ผมโดนเล่นแล้วพี่"
   มิกหันไปหัวเราะ หัวเราะแบบที่มีความสุขจริงๆ แบบที่เขาไม่เคยได้หัวเราะมาก่อน ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่เขาออกไปถ่ายรูปกับนัท ซึ่งเขารู้ดีว่ามันอาจจะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว
   “นายเองก็น่ารักเหมือนกันนะเนี่ยเจ้าเอิร์ธ" มิกพูดออกมาเบาๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะที่เดินตามเอิร์ธ ออกจากสวนสาธารณะ เมื่ออกมาถึงหน้าสวน มิกโบกแทกซี่คันนึงให้เอิร์ธเพื่อส่งกลับบ้าน เอิร์ธเปิดประตูขึ้นรถ
   “ขอบใจนะที่มากับพี่ครึ่งวันนี้อ่ะ" มิกว่า เอิร์ธยิ้มให้อย่างเจ้าเล่ห์
   “ถ้าว่าผมน่ารักอ่ะ ทำไมไม่จีบล่ะพี่" เอิร์ธยักคิ้วให้มิกก่อนจะหายขึ้นรถแท๊กซี่ไปโดยทิ้งให้มิกยิ้มกริ่มอยู่ตรงนั้น
…..........
   เมื่อประตูสตูเปิดออกอีกครั้ง มิกเปิดไฟขึ้นจนห้องสว่างวาบ ชายหนุ่มที่ฮัมเพลงเข้ามาจากข้างนอกอย่างอารมณ์ดีก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อพบร่างหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ในห้อง มิกมองไปรอบๆไม่พบใครอื่นอีกแม้แต่ไบรท์
   “จะอยู่ดึกแล้วไมไม่เปิดไฟวะ" มิกถาม "รอฉันเหรอ"
   “เปล่า" นัทตอบเบาๆขณะที่มือกำลังหมุนลูกอมเล่นบนโต๊ะดราฟ
   “แล้วจะกลับยังอ่ะ เดี๋ยวไปส่งบ้าน" มิกพูด
   “เดี๋ยวกลับเองก็ได้ นายกลับบ้านไปเหอะ" นัทพูด
   “ช่วงนี้ฉันไม่ได้อยู่กับบ้านนาย นายโอเคหรือเปล่า จะให้กลับไปอยู่เป็นเพื่อนอีกไหม" มิกถาม
   “ไม่อ่ะ อยู่คนเดียวบ้างก็ดีเหมือนกัน" นัทพูดพลางหันไปมองหน้ามิก ที่กำลังมองเขาด้วยสายตาที่ห่วงใยไม่ต่างไปจากเดิม และเหมือนไม่ได้มีการจงใจ มิกก้มตัวลงไปจูบกับนัททันที จูบกันอย่างนั้นจนยาวนาน จนความรู้สึกที่มีอยู่เริ่มเบาบางลงบ้างจนกระทั่งผละออกจากกัน
   “รู้ป่ะทำอย่างนี้ไม่ดี" นัทพูด
   “รู้" มิกพูดเบาๆ "ฉันรู้ว่าฉันไม่สิทธิ์ แต่ถ้าทำแล้วแกรู้สึกดีขึ้น ฉันก็ยอม"
   มิกพูดสั้นๆก่อนจะเก็บของบนโต๊ะที่หมายตาจะเข้ามาเอาแล้วกลับออกไปจากสตูดิโอ
   “แกยังรักฉันอยู่ป่าววะ" นัทถามขึ้น
   “มันสำคัญด้วยเหรอวะ" มิกถามกลับ "ที่จูบไปเมื่อกี้ ตีความหมายไม่ออกไง?”
   “ฉันแค่.....อยากรู้" นัทตอบเบาๆ "ฉันแค่ อยู่ดีดีก้รู้สึกว่า ใครๆก็หายไปหมดเลยแม้แต่แก หมายถึงวันนี้น่ะ"
   นัทพูดแฝงความหมาย
   “สำหรับฉัน วันนี้ไม่มีเรื่องอะไรเลย" มิกพูด พลางหันหลังกลับมา "วันนี้เป็นก็เป็นวันปกติดีดีวันหนึ่ง"
   “คิดงั้นเหรอวะ" นัทถาม
   “ก็แกเลือกแล้ว แกบอกฉันเอง" มิกว่า พลางนึกถึงคำพูดของเอิร์ธ "แกอยากให้มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"
   นัทก้มหน้าลง พลางเพ่งมองไปที่ลูกอมน้ำตาเริ่มเอ่อคลอ
   “บางทีคนเรา อยู่อย่างคนแพ้บ้างก็ได้" มิกพูดขึ้น ก็เป็นเหมือนอย่างที่มาร์คว่า ในเมื่อนัทเลือกที่จะเล่นกับเวทย์มนต์นี้ ตอนจบมันก็มีแต่เจ็บกับเจ็บ "แกเลือกลงเล่นเอง"
   “พูดงี้ทิ้งกันนี่หว่า" นัทพูดเสียงสั่น
   “แกก็รู้ว่าฉันไม่เคยทิ้งแก" มิกพูด "แต่ถ้าฉันไม่ทำอย่างนี้ แกก็ไม่เข้มแข็งซักที"
   มิกออกจาสตูดิโอไป
   “ถ้าไม่ไหวก็โทรหาฉัน" มิกตะโกนเข้ามา "จะไปหาแกถึงบ้านก่อนแกจะวางหูอีก"
   นัทมองมิกเดินจากไป จริงสินะ
   เป็นเขาเองที่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงแบบนี้ เขาขอร้องให้ทุกคนลืมเรื่องทุกอย่างทิ้งไว้ที่สุดสัปดาห์นั้น และเป็นเขาเองที่อยากจะทำให้กายต้องเจ็บอย่างที่เขาต้องการ และก็กลับเป็นเขาเองที่เจ็บแบบล้มไม่เป็นท่า ซึ่งอันที่จริงเขาก็ควรจะพอใจได้แล้ว ที่ตอนนี้กายได้ออกไปจากที่นี่แล้ว และจะไม่มีอีกแล้วคนที่ทำให้หัวใจเขาเต็มไปด้วยความสับสน จะไม่มีอีกแล้วคนที่คอยกวนประสาทเขาแล้วทำให้เขามีความสุขได้
   และไม่ว่าเขาจะปฏิเสธมันลงอย่างไร.....
   ความจริงก็คือ
   เขาคิดถึงกายเหลือเกิน......
…......
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 14) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Rhythm ที่ 26-07-2011 17:48:01
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ ชอบจัง
 o13
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 14) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: hahn ที่ 26-07-2011 18:18:36
นัทจะทำยังไงต่อไป
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 14) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: kokikung ที่ 26-07-2011 20:10:35
เอิร์ธ มิค  :impress2: คู่นี้ ชอบบบบบ
แต่นะกายไปแล้วหวังว่านัทคงดีใจ ชิ*
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 14) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-07-2011 22:52:57
กระซิบคนอ่านครั้งที่ 1

หลังจากโพสมาได้ 14 ตอนก็พบว่ามีผู้อ่านจำนวนหนึ่งชอบเรื่องของเรา
ดีใจมากแอร๊ยยยยยยยย  :z1: :z1:

ก็เลยมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยมาฝากกันสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเป็นประจำน้า
เรื่องแรกที่จะกระซิบ :-[

เพลงประกอบนิยายเล่มนี้ที่เลือกเอาไว้ใช้ทำอารมณ์มีทั้งหมด 8 เพลงน้าลองไปหาฟังกันดู
1. แสงสว่าง - August Band
2. Unlovable - Mind
3. ตัวสำรอง - Calories Blah Blah
4. ใกล้ - Scurbb
5. หากไม่มีวันพรุ่งนี้ - Da Endrophine
6. ชั่วคราวหรือค้างคืนตลอดไป - Sleepless Society
7. รักเธอให้น้อยลง - Bandwagon
8. Born To Be A Lady - Girls' Generation

ซึ่งเพลงหลักจะเป็นเพลงแสงสว่าง ซึ่งเชื่อว่าเพลงทั้ง 8 เพลงจะช่วยเพิ่มอรรถรสในโลกของ Loveless Society ให้ชัดเจนและโรแมนติกซาบซึ้งขึ้นได้มากกว่าเดิมแน่นอนจ้า

กระซิบเรื่องที่ 2  :-[

ภาพ Loveless Society เป็นภาพที่มีอยู่จริงๆแต่ไม่ใช่ภาพถ่าย แต่เป็นภาพวาดของศิลปินอิสระท่านหนึ่ง
แต่เรื่องราวต่างๆของวงการโฆษณานี้เป็นประสบการณ์จริงของคนเขียนที่อยู่ในแวดวงสายอาชีพนี้

กระซิบเรื่องที่ 3  :-[
คู่รักในละครมีตัวตนอยู่จริงๆ เลยแหละ แต่ผู้เขียนขออุบเอาไว้แล้วกันว่าเป็นคู่ไหนนะคร้าบบบบบบบ

และขอกระซิบแถมว่าช่วงนี้อาจจะอัพแบบ Non-Stop ด้วย ใครที่ออนไลน์เว็บนี้บ่อยๆก็คงได้อ่านตอนใหม่ล่าสุดก่อนใครเลยล่ะ

แล้วเจอกันในตอนต่อไปนะครับ
 :bye2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update [กระซิบคนอ่าน]) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 27-07-2011 01:45:03
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update [กระซิบคนอ่าน]) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 27-07-2011 02:27:17
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update [กระซิบคนอ่าน]) - 26/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: oaw_eang ที่ 27-07-2011 11:48:32

(http://i.123g.us/c/gen_youarewelcome/card/109090.gif)
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 15.1) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-07-2011 03:18:28
บทที่ 15 for a better life.

   ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในสตูดิโออีกหลังจากที่รูปแบบ Cooperate Identity ของโทรศัพท์ยี่ห้อดังในคอนเซ็ปโทรศัทพ์สีเขียวหรือ Community of Nature ถูกส่งเข้าอีเมล์ของคณะกรรมการ B.A.D Award เป็นที่เรียบร้อยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา นอกเหนือจากสุดสัปดาห์ที่คนในสตูดิโอจัดขึ้นเพื่อฉลองการปิดงานที่แสะจะราบรื่นนี้ นัท มิก สา และ มาร์ค อิ่มเอมกับหมูกระทะเจ้าเดิมโดยปราศจากคนอื่นคนใด ได้จบลงอย่างเรียบง่ายพร้อมการพักผ่อนในอีกสองสามวันต่อมา การเริ่มต้นสัปดาห์ใหม่ในเดือนใหม่จึงไม่แปลกที่จะมีคนไม่อยู่ในสตูดิโอบ้าง หรือลาไปดูงานนนอกสถานที่บ้าง
   ซึ่งนั่นส่งผลให้สตูดูร้างผู้คน และเงียบสงัด ซึ่งมีการทราบทีหลังอีกว่า ไบร์ทของลาพักงานไปสามเดือนเต็มๆ เพราะจะไปสัมนาที่ยุโรปในงานอินดรัสเทรล แฟร์ที่จัดขึ้นที่เมืองเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี แต่ทว่าสตูดิโอแทนที่จะมีความสดใสฉายแสงขึ้น กลับมีอุณหภูมิลดลงอย่างหวบห้าบ มันไม่ใช่การที่สตูดูกว้างขึ้น หรือสเปซมันทำให้สบายใจขึ้น มันโหวงเหวงเกินไป เดียวดายเกินไป และเงียบสงัดเกินไป
   หลายสัปดาห์ผ่านไปเหมือนเวลาช่างเดินช้าๆอย่างไม่มีจุดหมาย นัท และ สาไม่มีอะไรทำนอกจากงานถ่ายรูปเล็กๆหรือรับอีเวนท์ย่อยๆที่ออกไปข้างนอกบ้าง หรือนั่งแช่อยู่ในสตูทั้งวัน ผิดกับมิกที่ดูจะมีอะไรทำมากกว่า โปรเจ็คที่เขาทำกับเอิร์ธสามารถทำให้มิกหายออกไปข้างนอกได้เป็นวันๆ หรือไม่เข้าออฟฟิศกันทั้งคู่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นัทได้รู้สึกถึงความแปลกใหม่ได้เท่าา เขายังคงนิ่งสงบเหมือนว่าอะไรบางอย่างได้หายไปจากชีวิต
   “เคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าความหมายจะตีความได้มากกว่าานี้" มิกเอ่ยขึ้นขณะเช็คพรีเซนเทชั่นของเอิร์ธที่แก้มาเป็นรอบที่สามแล้ว
   “ผม ไม่เข้าใจอ่ะพี่ คือแบบว่าคำว่า Loveless น่ะมันค่อนข้างขัดกับคำว่า Society ที่หมายถึงการ Connect กันของคนจนเกิดเป็นสังคม ผมก็เลยหาจุดเชื่อมไม่ออกว่า สัมคมที่ความรักน้อยลงจะอธิบายได้ด้วยภาพยังไง" เอิร์ธกล่าว
   มิกนั่งนิ่งอยู่สักพัก
   “เธอว่าไงสา" มิกหันไปถามสาที่เงยหน้าขึ้นมาจากการตัดรูป
   “ไม่รู้สิ" เธอตอบ "บางทีอ่ะภาพที่เราเห็นกับทีน้องเห็นมันจะไม่เหมือนกันหรือเปล่า เพราะมันคนละ Gen กัน"
   “ฉันว่าไม่นะ ฉันกับเอิร์ธเราอายุห่างกันแค่.....” มิกว่า "เท่าไหร่นะเอิร์ธ"
   “ก็ 3 ปีพี่" เอิร์ธตอบ
   “งั้นฉันว่ามันต้องเป็นเรื่อง ประสบการณ์ว่า Experiment ที่น้องมีไม่เท่าแก" สาตอบ มิกเลิกคิ้ว
   “เจ้าของภาพว่าไงคับ" มิกหันไปถามนัทที่นั่งนิ่งพลางคิดไม่ตก
   “เอาความจริงมะ" นัทถาม
   “เอาความจริงคับ" มิกตอบ
   “ตอนฉันตั้งคอลลาจภาพ ไม่ได้ตั้งชื่อไว้ก่อนว่ะ" นัทตอบ "มันแว้บมาทีหลังอ่ะคำว่า Loveless Society”
   “อ้าวเชี่ย" มิกสบถ "แล้วมันมาจากไหนวะคับ"
   “มันจากเอ่อ....ตอนที่ย้อนกลับไปดูที่มาของภาพ ปรากฎว่ามันเป็นภาพที่ได้จากงานสังคมทั่วไป ตอนสมัยที่บอสชอบพาพวกเราไปออกงานบ่อยๆอ่ะจำได้ป่ะ" นัทพูด "การจัดไฟในแต่ล่ะงานปาร์ตี้ของพวกดีไซน์เนอร์เค้าทำสวยดีอ่ะ พอถ่ายรูปออกมาทำงานศิลป์มันก็เลยสวย พอมีภาพคนที่ดูวุ่นวาย ปรับเบลอเข้า ก็เลยดูมีความหมายไง"
   “แล้วมันหมายความว่า.....” มิกถามต่อ
   “ก็ในงานปาร์ตี้พวกนั้นอ่ะ ฉันก็เห็นมีแต่พวกสังคมไฮๆ แล้วก็พวกดีไซน์เนอร์ที่ประสบความสำเร็จแล้วทั้งนั้น แต่ดูท่าทางแล้วก็ไม่เห็นใครจะรู้จักใครจริงซักคน เห็นควงโฉบไปโฉบมา แต่พอเลิกงานเค้ากลับรถกันคนละคันน่ะ" นัทว่า "พอไปเจอหลายๆงานเข้า มันก็เหมือนๆกันหมดเลย พอคิดจะตั้งชื่อภาพพวกนั้น ก็เลยคิดถึงคำว่ารัก ที่มันหายไปจากสังคมแบบนี้ไง ก็เลยตั้ง แล้วปรากฎว่ามันก็โดนดี"
   “อ่อ" มิกเลิกคิ้ว "เค้าเรียกว่าแถตอนจบนี่เอง อย่าเอาอย่างนะเอิร์ธ ไม่ดี ไม่ดี"
   “เหอๆ" นัทร้องพลางกลับไปเล่นคอมต่อ
   “อืม แล้วเข้าใจที่พี่ช่วยกัน Discuss ป่ะเนี่ย พอจะเห็นภาพป่ะ" มิกพูด "คือถึงพี่นัทเค้าจะแถตอนจบอ่ะ แต่ภาพมันก็สื่อเรื่องนั้นออกมาอยู่ด้วยนึกออกป่ะ ฉะนั้นมันก็ได้ไง"
   “ถ้าเป็น Society แบบนั้น.....ผม......เอ่อ" เอิร์ธทำท่ากระอักกระอ่วน พลางเดินไปยังกระเป๋าเป้ที่ติดตัวมาฝึกงานทุกวัน หยิบอะไรอยู่สองสามนาที มิกมองตามไปเห็นเอิร์ธทำท่าทางแปลกๆ เด็กหนุ่มนิ่งอยู่กับกระเป๋าอึดใจหนึ่งก่อนจะกลับมาหามิกพร้อมกับกระเป๋าสตางค์ตัวเอง เอิร์ธนั่งลงที่ตรงข้ามมิกเช่นเดิมก่อนจะควักรูปถ่ายใบนึงออกมาจากกระเป๋าสตางค์แล้วยื่นให้มิก
   “อะไรอ่ะ" มิกถามพลางหยิบมาดู โดยที่เอิร์ธไม่ได้ตอบอะไร
   ภาพนั้นเป็นรูปถ่ายใบเล็กๆ ที่ดูเหมือนจะถ่ายจากกลุ่มนักศึกษาทั้งชั้นเรียนที่กำลังมานั่งถ่ายรูปร่วมกัน แต่เหมือนกับรูปใบนี้ไม่ใช่รูปที่ถ่ายแล้วใช้ได้ มันเหมือนรูปที่ต้องการจะถ่ายเพื่อเป็นรูปรวมแต่มันคงเสีย เพราะคนในรูปยังคงหันหน้าคุยกัน และไม่ได้มองกล้อง
   มิกพินิจรูปนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ภาพที่เห็นคือเอิร์ธไม่ได้คุยอยู่กับใคร เขามองไปยังกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแถวแต่สิ่งที่มิกสัมผัสได้ มันกลับไม่ใช่ความวุ่นวายของภาพถ่ายหมู่ที่ยังไม่เรียบร้อย แต่กลับเป็นความเดียวดายเสียเหลือเกิน อาจเพราะไม่รู้ทำไม เขาเอาตัวเอิร์ธเป็นศูนย์กลางของความหมาย ความเดียวดายนั้นมันอยู่ในสายตาที่เอิร์ธมองไปยังอีกกลุ่มที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของรูปถ่าย
   มิกเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธที่ขมวดคิ้วมองพื้นอย่างเคร่งขรึม มิกเข้าใจทันที
   “เห้ย....ถ้าไม่สะดวกใจจะเล่นเรื่องนี้อ่ะ ก็อย่าเอามาเล่าดิ" มิกพูด
   เอิร์ธมองหน้ามิกอย่างพยายามจะสื่อสารอะไรบางอย่าง เด็กหนุ่มมองหน้ามิกอย่างเหมือนไม่เคยเห็นมิกมาก่อน มิกเลิกคิ้ว
   “เข้าใจว่าการ Visualize ภาพของตัวเองในงานดีไซน์เป็นเรื่องสำคัญ" มิกพูด "แต่ดีไซน์เนอร์หลายคน ที่จบลงด้วยการผันตัวเองไปเป็นอาร์ทติส เพราะเขาเข้าข้างตัวเองมากเกินไปนะ และก็หลายคนที่ก็อินกับอารมณ์ของตัวเองในงานนั้นๆจนถอนตัวเองไม่ขึ้นก็มีนะเอิร์ธ"
   “มันเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมเข้าใจโจทย์พี่ได้" เอิร์ธพูด "มันตรงใช่ป่ะครับ"
   “พี่ได้ Loneliness ไม่ใช่ Loveless” มิกส่งรูปคืนให้น้อง เอิร์ธรับมืนคืนแล้วเก็บมันใส่กระเป๋า พลางลุกขึ้น
   “ไม่ใช่หรอกพี่" เอิร์ธตอบ ก่อนจะสะบัดกระเป๋าสตางค์ให้เปิดออกแล้วหันหามิก
   ภาพตรงหน้าเขา คือ ภาพของเอิร์ธและเด็กสาวหน้าต่าน่ารัก ที่อยู่แนบใบหน้าชิดกันอย่างหวานแว๋ว มิกมองรูปอย่างตกตะลึงก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเจ้าของรูป ที่กำลังยักคิ้ว
   “หึหึ"
   เอิร์ธหัวเราะในลำคอก่อนจะเดินหายออกไปจากสตู ขณะที่มิกเหมือนกับมีใครทำให้เขาตกใจแล้วสติหล่นวาบหายไป ข้างในเขารู้สึกโหวงอย่างประหลาด
   “มีอะไรป่าววะ" นัทหันมาถามมิก ที่หันไปมองนัทด้วยหน้าตาเลิ่กลั่ก
   “ม...ไม่มี...เดี๋ยวมานะ" มิกพูดพลางวิ่งตามเอิร์ธออกไปทันที
   เหมือนไม่ต้องทายมิกได้ยินเสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำชายที่อยู่หลังห้องอัดรูป มิกเปิดประตูเข้าไป ก็พบกับเด็กหนุ่มหน้าหล่อเหลาที่ตอนี้หัวเปียกปอน และชุ่มน้ำเลยไปจนถึงคอเสื้อนักศึกษา กำลังจ้องมองกระจกห้องน้ำด้วยตาแดงก่ำและสีหน้าเคร่งขรึม มิกเห็นสภาพดังกล่าวก็ปิดประตูห้องน้ำแล้วยืนพิงผนัง พลางยิ้มด้วยความรู้สึกที่ก้ำกึ่งระหว่างสงสารกับนึกขำ
   “รูปรวมนั่นถ่ายตอนส่งดีไซน์วิชาสุดท้ายพี่" เอิร์ธพูดเรียบๆ "หลังเลิกกันสี่วัน"
   “อือหึ" มิกรับคำในลำคอ
   “แพรมีสังคมของเขาว่ะพี่" เอิร์ธตอบ "สังคมที่ผมตามไปไม่ถึง สังคมที่ผมไม่เข้าใจ"
   เงียบกันไปพักนึง
   “ผมเคยห่วงเค้ามาก" เอิร์ธตอบ "แล้ววันนึงผมก็รู้สึกเหนื่อยที่ต้องวิ่งตามเขา ผมอยากมีชีวิตที่ไม่ต้องทุ่มเทให้ใครแล้วเหนื่อยไปฟรีๆ ผมอยากพักบ้าง ผมก็เลยเลิกห่วงใครๆอีก"
   เอิร์ธพูดพลางลูบหน้าตัวเอง
   “เราเป็นคนบอกเลิกใช่ป่ะ" มิกถาม เอิร์ธหันมาหามิกทันที
   “รู้ได้ไงอ่ะพี่" เอิร์ธถาม
   มิกชูสองนิ้วแล้วชี้ไปที่ตาของเอิร์ธ
   “ชัดเลย" มิกพูดขำๆ "แล้วตอนนี้น้องฝึกงานพี่ก็เก็บอารมณ์เก๊งเก่ง"
   เอิร์ธที่ขำไม่ออกก้มหน้าลง
   “จะเปลี่ยนหัวข้อเปล่า?” มิกพูด "ถ้าไม่ไหวอ่ะ พี่เปลี่ยนให้ก็ได้ อย่าไปลงลึก พี่อยากฝึกเราเป็นดีไซน์เนอร์ ไม่ใช่อาร์ททิสต์"
   “ไม่อ่ะพี่" เอิร์ธพูด "ถ้าจะหลบ มันก็ต้องหลบไปตลอดแหละ"
   มิกอึ้งไปเล็กน้อย เขาเจอคนที่พูดแบบนี้มาสองคนแล้ว แล้วทั้งสองคนก็อยู่ในอามรมณ์เดียวกันคือ เจ็บนะ...แต่ไม่แสดงออก แล้วก็ยังงัดหาเหตุผลร้อยแปดมาหลีกเลี่ยงการจมกับความเจ็บของตัวเอง
   “งั้นช่วงนี้พักก่อน เดี๋ยวหางานอื่นให้ทำไปพลางๆ แล้วค่อยกลับมาลุยกันใหม่" มิกพูด แต่เอิร์ธยังคงอยู่ในสภาพเดิม มิกส่ายหน้าแล้วก็เดินเข้าไปหาเด็กหนุ่ม
   “แล้วก็เลิกทำตัวเป็นพระเอกเอ็มวีได้แล้ว" มิกพูดพร้อมกับจับตัวเอิร์ธหันหน้าเข้ามาหาตัวเอง พลางเอาเนคไทของเอิร์ธที่เปียกชุ่มอกจากคอ เขาปลดกระดุมคอเสื้อของเอิร์ธลงสองเม็ดพลางสะบัดให้ลมโป่งเข้าเสื้อให้ดูพอแห้งลงบ้าง
   “ไม่เป็นไรพี่ผมทำเองก็ได้" เอิร์ธว่าพลางจับมือมิกออก
   “อยู่เฉยๆดิ มันลื่นนะเว่ย...ห....ห...เห้ย"
   ขณะที่มิกกำลังกำลังปัดมือเอิร์ธออก การขยับเท้าของทั้งคู่บนพื้นที่เปียกปอนไปด้วยน้ำก๊อกทำเอ็มวีขอเอิร์ธ ปลายเท้าของมิกลื่นพรืดไปจากตำแหน่งเดิมอย่างตั้งตัวไม่ทัน แต่ด้วยความว่องไว เอิร์ธขว้าหมับเข้าที่ไหล่ของมิกขณะที่มิกลื่นโน้มตัวดันเอิร์ธไปยังชั้นอ่างล่างหน้าได้ทันก่อนที่จะเกิดที่จะล้มไปด้วยกันทั้งคู่ ทำให้ตอนนี้มือของมิกข้างนึงจับมือของเอิร์ธไว้ขณะที่อีกข้างนึงเท้าลงบนขอบอ่างล้างหน้า ในขณะที่เอิร์ธยังคงจับอยู่ที่ไหล่ของมิก แต่อีกมือถูกมิกกำแน่นเอาไว้ หน้าของเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าระเรื่อไปด้วยหยดน้ำที่ไหลลงมาจากผมที่เปียกปอน พร้อมกับนัยน์ตาแดงกำ่กำลังจ้องมองมิกอย่างชิดใกล้ เงียบกันอยู่อย่างนั้น
   “ก..ก็...บอก...แล้ว ว่าให้อยู่เฉยๆ" มิกพูดเบาๆ
   เอิร์ธก้มหน้าลง
   “โทษคับ" พลางพยุงตัวเองลุกขึ้น ในขณะที่มิกก็เริ่มจัดแจงชุดนักศึกษาสีขาวที่เปียกไปทั่วคอและอกใหม่ พลางหยิบทิชชู่มาซับคอเสื้อและสะบัดคอเสื้อให้อีกครั้งหนึ่ง
   “มองไร" มิกถามขึ้น เมื่อรู้สึกว่าเอิร์ธกำลังมองหน้าเขาอย่างจงใจ
   “พี่เคยดูแลอย่างนี้มาก่อนหรือเปล่าอ่ะ" เอิร์ธถาม
   “ถามทำไมวะ" มิกย้อน
   “พี่ทำให้ผมนึกถึง สิ่งที่ผมเคยทำให้แพรเมื่อก่อน" เอิร์ธพูดเบาๆ เสียงแข็งๆของเด็กหนุ่มขุ่นมัว
   “เห้ย" มิกเอามือบิดหัวของเอิร์ธที่หลบตาให้หันมาประจันหน้ากับเขา "ถ้าจะคิดจะดูแลใคร มันก็ต้องทำให้สุดเว่ย จริงอยู่ อาจจะต้องเว้นระยะระหว่างเรากับเขาบ้าง แต่ถ้ารักเค้าจริงมันก็ต้องดูแลให้ได้ตลอดไป ไม่ว่าเขาจะรักเราอยู่หรือเปล่าเว่ย"
   “แล้วที่พี่ทำให้ผมเนี่ย มันแปลว่าพี่รักผมหรือเปล่า" เอิร์ธถาม สายตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง มิกเดาว่าคราวนี้เอิร์ธไม่ได้ตั้งใจจะเจ้าเล่ห์หรือยอกย้อนอะไร คงเกิดจากอารมณ์ต่อเนื่องจากเรื่องที่ตัวเองคิดไม่ตกเมื่อครู่ มิกจับตัวเอิร์ธถอยไปหนึ่งช่วงตัว
   “ถึงต้องเว้นระยะระหว่างกันบ้าง เพื่อให้เขาโตไง" มิกตอบ "แกพูดเองนะเอิร์ธ"
   เด็กหนุ่มพยักหน้ารับเหมือนมิกเพิ่งจะสอนให้เขาบวกหนึ่งกับหนึ่งเป็นสองได้ครั้งแรก
   “ขอบใจพี่นะ" เอิร์ธพูด "ชอบพี่ว่ะ คุยกับพี่แล้วโคตรได้เรื่องเลยอ่ะ คิดอะไรได้ตั้งเยอะ"
   “เออ เอางานให้ได้เยอะๆด้วยก็จะดีมาก" มิกว่า
   “งั้นเดี๋ยวผมลุยเรื่องนี้ต่อเลยดีกว่า" เอิร์ธว่า "พี่ไม่ต้องเปลี่ยนหัวข้อหรอก"
   “ไหวแน่เหรอเอิร์ธ" มิกถาม "เดี๋ยวก็ Hurt ขึ้นมาทำงานไม่ได้ทำไง
   “ผมก็ให้พี่ปลอบผมไง" เอิร์ธว่า
   “เอ๊า ไอ้นี่" มิกร้อง "แล้วพี่ต้องมีเรื่องส่วนตัวเลยไง?"
   “แชร์กันดิพี่" เอิร์ธว่า "ผมปลอบพี่แล้วพี่ก็ปลอบผม จะได้เห็นภาพ Lovelessกว้างๆ แถมผมจะได้ไม่ต้องมาพรีเซนต์พี่ทุกศุกร์ด้วย เพราะพี่ก็จะได้รู้เรื่องผมไปตลอดอยู่แล้วไง"
   “สรุปคือเพราะขี้เกียจทำพรีเซนต์?" มิกแซว
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะพลางยักคิ้ว พลางหยิบเนคไทชุ่มน้ำของตัวเอง ก่อนจะเดินสวนมิกออกไป
   “ออกกันเถอะพี่ อึดอัดว่ะ" เอิร์ธพูด
   “คราวหน้า ไม่ต้องใส่ชุดนักศึกษามาแล้วนะ" มิกว่า "เอาชุดสุภาพธรรมดาๆ มาเลย"
   “ทำไมอ่ะ" เอิร์ธถาม
   “ก็เผื่อวันไหนลงเรื่องแฟนเก่านายลึกๆ แล้วเกิดทนไม่ไหว เอาหัวแกว่งน้ำอีก จะได้ไม่เปียกโชกจนเห็นไปถึงไหนๆต่อไหนแบบนี้ไงเล่า" มิกว่า
   เอิร์ธมองไปที่อกตัวเองที่เพราะชุดเปียกเลยดูไม่สุภาพเอามากๆ
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะในลำคอ "เท่ห์ดีออกพี่"
   พูดจบเอิร์ธก็เดินหายออกไป มิกรู้ทันทีว่าสงสัยโปรเจ็คนี้เขาคงเหนื่อยแน่กว่าจะเข็นเอิร์ธให้ผ่านวิชาฝึกงานไปได้ แต่เขาคิดว่ามันคงไม่ยาก เด็กคนนี้มีวิธีจัดระบบความคิดและอารมณ์ของตัวเองได้ดีทีเดียว ฉะนั้นเอิร์ธก็คง Visualize อารมณ์ตัวเองออกมาไม่ยาก และโปรเจ็คเล็กๆนี้ก็คงจะจบลงโดยไว
   เขาเดินออกไปโดยไม่รู้เลยว่า อะไรที่อามรมณ์ที่คนเราคิดว่าจัดการได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่ตอนท้ายๆก็ไม่สามารถเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า หัวใจไม่ยอมรับ ได้ซักที....
…...........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 15.1) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 28-07-2011 03:58:07
 :z2: :z2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 15.1) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: bellity ที่ 28-07-2011 05:22:57
มีมาอีกคู่แล้วอ่ะ อัพได้สะใจพอๆ กับเรื่องสปายเลย อิอิ

ปอลิง +1 และเป็ด 1 ตัว
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 15.2) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-07-2011 15:45:34
“เฮ้นัท" เสียงของแอนที่อยู่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ดังเจี๊ยวจ้าวมาพร้อมกับฝ้ายพื่อนเธอจากแผนก PR
   “โอ้ หวัดดี" นัทเอ่ยขึ้นขณะยืนอยู่เหนือเครื่องปรินท์บิลบอร์ดขนาดใหญ่ที่ห้องปรินท์ "ลมอะไรหอบพวกเธอ จากเคาท์เตอร์มาห้องนี้ได้เนี่ย"
   “ก็ปรินท์นั่นแหละน่า" ฝ้ายพูดพลางเดินเข้าไปเสียบทัมพ์ไดรฟ์เข้าคอมพิวเตอร์ "ว่าแต่นายเถอะงานน้อยลงแล้วสิ ตอนเนี้ย"
   “ช่ายรอประกาศผลอย่างเดียว ตอนนี้ก็มีแต่งานโคกับพี่สตูอื่นๆ" นัทตอบ
   “ถึงว่างเนอะ คิคิ" เอนและฝ้ายหัวเราะกันคิกคักๆ นัทขมวดคิ้วใส่
   “อะไรกันพวกเธอหา" นัทพูด
   “นี่ไม่รู้เรื่องเหรอเนี่ย" ฝ้ายว่าพลางหันมาทำตาถลนใส่นัท ก่อนจะหันไปหัวเราะกับแอนเพื่อนของเธอ นัททำหน้างงๆ
   "รู้อะไรเหรอ" นัทตอบขณะที่แอนหันไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่ชั้นบนสุดของชั้นหนังสือในห้องแล้ววางลงตรงโต๊ะกรีดบอร์ด
   “ยลซะ" แอนพูดพลางชี้ไปที่พาดข่าวซุบซิบในแวดวงสังคมให้กายดู
   'พ่อมดแห่งวงการโฆษณา ควงสาวสวยแถวหน้าวงการแฟชั่นเปิดตัวเซ็ทแฟชั่นเพื่อการกุศล อุณหภูมิหวานร้อนระอุ เมื่อสาวสวยเอ่ย "กายคือคนที่รู้ใจที่สุดตั้งแต่สมัยเรียน"'
   นัทมองภาพข่าวที่กายและเจนยิ้มกว้างให้กับเขาผ่านหน้าหนังสือพิมพ์เล่มเล็กๆ
   “ดูสิ พอจบงานจากที่นี่ปุ๊บ ก็มีงานต่อที่อื่นทันทีเลย" แอนพูดพลางทำหน้าฝันล่องลอย "คนอะไรนอกจากจะหล่อแล้วยังเก่งอีกด้วย"
   “แถมแฟนเค้าก็สวยเสียด้วย ฉันว่าเคยเห็นเค้าแว้บๆที่นี่นะ อาจจะตาฝาดไป" ฝ้ายเสริม "ว่าไงล่ะนัท นายไม่รู้เรื่องเลยเหรอ"
   นัทยืนมองข่าวนิ่งสนิท
   “นัท" แอนพูดเสียงดัง นัทสะดุ้ง "อ่านอะไรอยู่"
   “ปล่าวอ่ะ ไม่มีไร" นัทตอบ
   “ว่าแต่นี่นายไม่ได้ติดต่อกับเค้าแล้วเหรอ" ฝ้ายถาม
   “ไม่อ่ะ" นัทพูดเรียบๆ "เราจบกันนานแล้ว หมายถึงเอ่อ ที่ทำกับโปรเจ็คมันจบแล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าจะติดต่อเขาไปอีกทำไม"
   “โหนี่ ถ้ามีเบอร์เขาแล้วไม่โทรเนี่ยนะ เอามาให้ฉันซะดีกว่า" แอนพูดแซว
   “โทรไปไม่กลัวแฟนเขารับเหรอยะ" ฝ้ายแขวะ
   “กายเค้าไม่มีทางมีแฟนได้หรอก" นัทพูดเสียงแข็งโพล่งขึ้นมา แอนและฝ้ายหันมามองเขาพลางตกตะลึง นัทมองไปรอบๆอย่างตกใจตัวเอง
   “อะไรนะ" แอนถาม
   “ฉันหมายถึง เค้าเป็นคาสโนว่าน่ะ" นัทพูดแก้เก้อ "เรื่องผู้หญิงเค้าที่หนึ่งเลยล่ะ"
   “อ่อ" ฝ้ายพูด "แต่แหม ถ้าได้เป็นหนึ่งในของเล่นคนอย่างคุณกาย ฉันก็ไม่ถือหรอกนะ คริคริ"
   แอนและฝ้ายนั่งหัวเราะคิกคัก
   “พวกเธอคิดไรกันอ่ะ" นัทพูดเสียงดัง "มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ โดนคนที่เราเชื่อใจเห็นเราเป็นแค่ของเล่นอ่ะ มันก็ไม่ต่างอะไรจากคนโง่ให้เขาหลอกหรอกนะจะบอกให้ ฉันไม่ตลกด้วยนะ"
   “อ้าว แล้วนายจะโวยวายทำไมเนี่ย" แอนทำหน้าเหยเกใส่ "ทำอย่างกะเคยเป็นของเล่นใคร เคยโดนคุณกายเค้าหลอกใช้มาหรือไงยะ"
   “ปล่าวซะหน่อย" นัทพูดพลางสะบัดออกไปจากห้องปริ้นท์ทันที
   “เอ๊า ดูคนเรา" แอนพูด "ฉันว่านัทต้องไปกินรังแตนที่ไหนมาแน่เลย"
   นัทเดินออกจาสตูดิโออย่างหัวเสีย เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารับรู้เรื่องราวใดใดของกายอีก โดยเฉพาะเรื่องของแฟนเก่าที่พยายามเหลือเกินที่จะทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของของหมอนั่น ไม่รู้ตัวเองว่าความโกรธและหงุดหงิดร้อยแปดพวกนี้มันมาจากไหน แต่ตอนนี้ที่เขารู้สึกคืออยากจะต่อยหน้าหมอนั่นเสียเดี๋ยวนี้ให้หยุดทำตัวเสเพล ควงคนนู้นคนี้เย้ยเขาซักที
   “เจอหน้าเมื่อไหร่นะ จะคว่ำให้หายคันเลยคอยดู" นัทกัดฟันกรอดกับตัวเอง
   “เจอหน้าใคร" สาถามขึ้น เมื่อนัทรู้สึกตัวว่าตัวเองเดินพรวดพราดเข้ามาในสตูโดยที่พวกเขาที่เหลือตั้งตัวไม่ทัน "อะไร จะต่อยใคร โกรธใครมาเหรอ"
   นัทมองไปยังรอบๆสตู สา มิก และเอิร์ธกำลังมองเขาเป็นสายตาเดียว
   “ป...เปล่า....ไม่มีอะไร" นัทพูด "เอ่อ....ฉันแค่....แล้วนั่นไปตกน้ำที่ไหนมาอ่ะ"
   นัททักเอิร์ธแก้เก้อ
   “ไม่มีอะไร" มิกตอบแทนเอิร์ธ ที่สาถึงกับหันควับไปมองมิกอย่างสงสัย
   “เออดีเนอะ มีแต่คนไม่มีอะไร" สาว่า "มีคนหัวเปียกเสื้อเปียก มีคนหน้าแดง มีคนหน้าเศร้า มีคนโกรธคน แต่ไม่มีใครมีอะไร ดีจริง.....แล้วที่สั่งปรินท์อ่ะ"
   “เอ้อ...คือเอ่อ...ฉัน" นัทอ้ำอึ้ง ขณะที่หน้าเริ่มแดงขึ้นอีก
   “เอาเข้าไปแต่ละตัว" สาพูดพลางลุกขึ้น "อาการเหวอกำเริบอีกอ่ะสิ ไปนั่งเล่นเฟซบุ็คให้หายเหวอก่อนไป เดี่ยวฉันเดินไปเอาเอง พอและๆ มีแต่เรื่องประหลาด นี่ฉันอยู่ใหนเนี่ย วันเดอร์แลนด์รึไงยะ"
   สาเดินฉับๆออกจากสตูไปขณะที่นัทนั่งลงที่โต๊ะตัวเอง
   “งั้นฉันพาน้องไปข้างนอกนะ" มิกพูด พลางสะกิดให้เอิร์ธลุกขึ้น "ไปถ่ายรูปแล้วเอ่อ....คงไม่ได้กลับเข้ามาแล้ว กลับบ้านเองนะนัท"
   “อือ" นัทตอบนิ่งๆ
   มิกและเอิร์ธเดินออกไปจากสตูแม้ว่านัทจะยังนิ่งอยู่ตรงนั้นอยู่หลายนาที พลางคิดถึงหน้าของกาย นี่เขาเป็นอะไรไปกันแน่ แต่ที่แน่ๆเขาอยากจะเจอหน้าหมอนั่นเดี๋ยวนี้ และต่อยเข้าที่รอยยิ้มสุดกวนประสาทคู่นั้น อยากจะถามเขาว่าชีวิตแบบนั้นมันมีความสุขที่ตรงไหน ถ้ายังอยากจะขับรถตะลอนๆฟังเพลงเมทัลร็อคไปกับแฟนเก่าคนนั้น แล้วยังจะเข้ามายุ่งย่ามกับชีวิตเขาทำไม ทำไมต้องเรื่องเลวร้ายให้เกิดขึ้นแล้วก็จากไป กลับไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านั่น ถ้าคิดจะเป็นแบบนั้นตั้งแต่แรก จงมาหาคนอย่างเขาทำไม จะเอาเรื่อง Loveless Society มาสร้างภาพทำไม และทำไมต้อง....
   “แกหึงเขาใช่ไหม" เสียงสาดังขึ้นที่ประตูสตูดอโอ นัทหมุนเก้าอี้หันหลับไปดู สาที่ยืนหน้าเคร่งขรึมแขนข้างหนึ่งหนีบใบบิลบอร์ดที่ไปเอามา ขณะที่มืออีกข้างเอาหนังสือพิมพ์ที่นัทเพิ่งได้เห็นจากแอนและฝ้ายแปะลงบนผนังกระจกสตูดิโอ นัทมองแล้วก็ก้มหน้าลง
   สาเดินเข้าในสตูดิโอก่อนจะรีบรุดไปหานัทแล้วดึงเขาเข้ามาคุยกับเธอ
   “แกอาจจะพยายามทำให้อะไรๆมันดูปกตินะนัท แกอาจจะทนได้นะ" สาพูด "แต่เป็นฉันเองก็ได้อ่ะที่จะไม่ทนกับไอ้ชีวิตปกติจอมปลอมนี่แล้ว"
   นัทยังคงนิ่งสนิท
   “ตอนนี้ไอ้มิกมันก็ดีขึ้นแล้ว เว้นก็แต่แก" สาพูดตรงประเด็น "ไม่ใช่ฉันดูไม่ออกนะว่าแกเป็นอะไรอ่ะ แกไม่เคยลืมเค้าได้เลย แกอาจจะถอดตุ๊กตาพวงกุญแจแกออกจากกระเป๋าดินสอ แกอาจจะทำเป็นเก็บลูกอมนั่นลงไปจากโต๊ะ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าแกยังเอาของสองอย่างนั่นไปเก็บไปที่ห้องนอนแกแทน
   “แกจะบอกให้ทุกๆคนพยายามลืมเรื่องที่นั่นไปทำไม ในเมื่อเป็นแกเองที่กลับจำทุกๆอย่างได้ดี แกมานั่งเสียเสียใจกับสิ่งที่แกตัวสินใจลงไปแล้วทำไมวะนัท แกไม่เคยเป็นแบบนี้ แกไม่เคยมานั่งเสียใจกับสิ่งที่แกตัดสินใจไปแล้วอ่ะ ฉันไม่เข้าใจว่ะ
   “ฉันถามแกตรงๆ เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกกับเค้า แกกับคุณกายมีอะไรกัน บอกฉันได้ไหม"
   นัทคิดว่าถึงเวลาที่เขากำลังโดนความจริงกลับมาเล่นงานซะแล้ว
…..........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-07-2011 19:21:30
บทที่ 16 The truth is out there....

   “มันจะมีประโยขน์อะไรวะ" นัทพูดเบาน้ำตาคลอเบ้า "มันไม่มีอะไรแก้ไขได้แล้วตอนนี้"
   “แกตอบไม่ตรงคำถาม" สาพูด "แกจะบอกเองหรือจะให้ฉันเดา และฉันว่าฉันเดาถูกด้วย"
   นัทมองหน้าสา.....ไม่ได้ มันต้องจบลงไปแล้ว จะไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
   “ไม่มีอะไรหรอกสา มัน......”
   “กองเสื้อผ้าแกข้างกองอยู่ข้างเตียงเขาในวันที่ฉันไปเคาะประตูปลุกแกไปเขาสามมุก แล้วเจอกับเขา" สาพูดเสียงเฉียบ
   นัททรุดตัวลงพร้อมกับหลับตา น้ำตาของนัทไหลลงมาเป็นทาง
   “ฉ...ฉัน...ฉัน....ขอโทษ...สา" นัทร้องไห้ทันที "ฉัน..เสียใจ......”
   สามองเพื่อนรักอย่างสลดใจ มันเป็นอย่างที่เธอสงสัยจริงๆด้วย เธอมองเพื่อนรักอย่างห่วงใย ถึงอย่างไรก็ตามเธอไม่อยากเห็นเพื่อนเธอต้องเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเหมือนทุกวันนี้ มันต้องจบลง
   “ให้ฉันเดาต่อ" สาพูดอีก "แกไม่ต้องการให้เขาทำอะไรให้แกทั้งนั้น แล้วแกก็คิดจะจัดการเรื่องนี้เอง เพราะแกคิดว่ามันไม่มีทางที่คนอย่างเขาจะมาลงเอยที่ใครเพียงเพราะแค่เรื่อง......ข้ามคืน"
   นัทนิ่งสนิท น้ำตาแห่งความเงียบไหลลงเบาๆ
   “และให้ฉันเดาต่อไปอีก" สาตอกย้ำมัน "แกก็เลยอดทนทำให้ทุกอย่างเป็นปกติ เพื่อให้จบโปรเจ็คนั่นลง แล้วย้ำให้เค้าไปออกไปจากชีวิตแก แล้วแกก็ทึกทักเอาเองว่าอีกไม่นานเขาก็คงจะลืมแก เหมือนสาวๆคนอื่นๆที่เขาเคยเล่นด้วย ตามที่แกรู้จักเขามา แต่พอมาตอนนี้ แกคิดว่าพอเขาไปแล้วทุกอย่างมันจะจบ แต่กลายเป็นแกเองที่ตอนนี้เกิดคิดถึงเขาขึ้นมา ใช่ไหมล่ะ แกไม่เคยลืมเขาได้เลย แม้แต่วันเดียว"
   “หยุดเหอะ" นัทร้องเสียงดังใส่สา ที่ผงะออกทันทีเมื่อเห็นสภาพนัทร้องไห้ เพื่อนรักกตรงหน้าเธอไม่เคยร้องไห้ฟูมฟาย เธอรู้ดี แต่วันนี้ที่นัทร้องไห้ ชายหนุ่มตรงหน้าเธอกำลังสะอื้นเอาน้ำตาออกมา และหายใจหอบถี่ นัทส่งเสียงร้องไห้อยู่ในลำคอและมองหน้าสา ที่กำลังล้วงเข้าไปในความคิดเขา
   “ฉ...ฉัน..ท...ทำไม่ได้ว่ะสา ฉ...ฉัน....พ...พลาดเอง" นัทสะอื้น สาลูบตัวเพื่อนรักเบาๆ "ฉ....ท...ทน....ไม่ได้ ที่...ที่จะเห็น...เขา....ป....ไปอ่ะสา"
   “แล้วทำไมไม่บอกเขา" สาถามเบาๆ "แกรู้เหรอ ว่าเขาคิดยังไง"
   “ต...แต่....มัน...ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น" นัทพูด "ข...เขามีชีวิตแบนั้น....และฉันก็ไม่ต้องการ...ห...ให้ตัวเองต้อง....เจ็บ....เพราะสิ่งที่เขาเป็น"
   “แต่ที่แกเป็นอยู่เนี่ย มันไม่เรียกว่าเจ็บเหรอวะ" สาถามอีก "แกเคยฟังในสิ่งที่เขาอยากจะพูดหรือเปล่า หลังจากเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นน่ะ แกเคยรู้บ้างหรือเปล่า ว่ากายเค้าคิดอะไร"
   “แต่เค้าเคยพูด...ว....ว่าอย่าเชื่อในสิ่งที่เขาพ...พูด" นัทบอก
   “แล้วถ้าเกิดว่านั่นเป็นเพราะเขากลัวล่ะ" สาว่า "ถ้าเกิดว่าเขากลัวจะเสียแกไปเพราะสิ่งที่เขาพูด มันอาจจะขัดกับสิ่งที่เขาทำ เคยทำ หรือสิ่งที่แกได้ยินมา หรือเคยได้ยิน"
   “แกรู้ได้ยังไงอ่ะ" นัทขมวดคิ้ว
   “ฉันไม่รู้หรอก" สาพูดเสียงสูง "คำพูดคนหนึ่งคนประโยคตีความหมายได้เป็นร้อย แล้วคนอย่างกายที่คนทั้งวงกาตราหน้าว่าเขาเป็นพ่อมดจอมเจ้าเล่ห์ คำพูดเขาจะตีได้ซักกี่ความหมาย สิ่งที่แกต้องทำคือหาความจริงนัท ความจริงที่อยู่ในใจเขา"
   “ฉัน...จะไปถามได้ยังไง" นัทว่า "แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเขาพูดจริงหรือโกหก"
   สาเอานิ้วชี้ไปที่อกของนัท
   “ใช้ใจแกฟังสิ" สาพูด "เพราะที่แกไม่รู้ความในใจเขา เพราะแกเองก็ไม่ได้เปิดใจให้เขานะ"
   “เธอรู้ได้ไงว่าฉันไม่ได้เปิดใจ" นัทแย้ง
   “เพราะแกกลัวว่าเขาจะรู้ ว่าแกรักเขาขึ้นมาไง" สาว่า "เถียงสิว่าไม่ใช่ ฉันรู้นะ"
   นัทก้มหน้าลง
   “นัท ฉันเอ่อ.....ไม่อยากเข้าไปยุ่งหรอกนะ แต่ฉันเคยมีโอกาสได้คุยกับกาย มาแล้วครั้งนึง เรื่องแก" สาพูด "ไม่ว่าแกจะเชื่อหรือเปล่าแต่เอ่อ......เขากังวลเรื่องแกนะ ฉันว่า แกเองก็น่าจะฟังเขาบ้าง บางทีแกเองก็อาจจะมองข้ามอะไรบางอย่างไปก็ได้อ่ะ"
   นัทไม่ได้ตอบอะไร
   “สำหรับฉันแล้ว เขาไม่ใช่คนที่เลวร้ายนะ เขาเป็นที่ทำอะไรแบบมีเหตุมีผล พอๆกับฉัน และแกเองก็เคยเป็นแบบนั้น" สาพูด "แต่ตอนนี้อ่ะ แกใช้แต่อารมณ์ มันก็ไม่แปลกหรอก เพราะแกกำลังรักเขา แต่ที่ฉันอยากจะขอก็คือ อย่าอยู่แบบที่เป็นอยู่นี่ ทุกๆคนไม่มีใครสบายใจแม้แต่มาร์คเค้าก็ห่วงแกนะ
   ออกไปซะ.....ไปหาความจริงที่แกอยากรู้ มันไม่ใช่เรื่องศักดิ์ศรีเหมือนตอนแรกที่แกอยากจะประชันกับเขาในวันที่เขามาที่นี่วันแรกแล้วนะ ตอนนี้มันเป็นเรื่องของหัวใจแกกับเขา ถ้าแกไม่รีบซะตอนนี้ เขาก็จะเดินจากแกไปไกลเรื่อยๆ" สาพูด "แล้วสุดท้ายถึงแกจะเจอกับเขาอีกครั้งวันใดซักวันหนึ่ง แกกับเขาก็จะเหมือนอยู่กันคนละโลกแล้ว....มิกมันเคยพลาดเรื่องแกเพราะแบบนี้มาแล้วครั้งนึง ฉันไม่อยากให้แกเหมือนมันอีกคน เพราะกว่ามันจะดีขึ้นจนมาถึงวันนี้ มันก็ทรมาณมาโดยตลอด"
   สาลุกขึ้น
   “อย่าให้อะไรๆเสียไปอีกเลย ฉันขอล่ะ" สาพูดครั้งสุดท้าย พลางกลับไปที่โต๊ะเพื่อเก็บข้าวของ
   “เธอจะไปไหนอ่ะ" นัทถามเบาๆ สานิ่งไปครั้งหนึ่งก่อนจะหันกลับมา
   “ใครๆเขาก็ออกไปหาอะไรทำข้างนอกกันทั้งนั้นแหละตอนนี้ มิก เอิร์ธ แม้แต่ไอ้ไบร์ท มีแต่แกที่ยังจมอยู่ที่นี่ กับเรื่องเดิมๆ" สาพูด "ออกไปทำอะไรซะบ้าง ทำอะไรก็ได้ ง่ายที่สุดก็ ทำเรื่องของตัวเอง"
   สาเดินออกจากสตูดิโอไป ทิ้งให้นัทนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มหยิบเอาโทรศัพท์ของตัวเองออกมาพลางจ้องมองหน้าจออยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอามือปัดหน้าจอเพื่อหมุนหาเบอร์เบอร์หนึ่งที่เขาแทบไม่ได้หมุนมาดูมันอีกเลย เมื่อเขาพบเบอร์นั้น ชายหนุ่มกดฟังก์ชั่นส่ง SMS หลับตาหนึ่งครั้งก่อนจะพิมพ์ข้อความลงไป

มาหาผมได้ไหม
ผมคิดถึงคุณ
       นัท

   นัทลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากข้อความนั้นถูกส่งออกไป ก่อนจะถอนหายใจ สากำลังยุให้เขาทำเรื่องงี่เง่าที่สุดในรอบหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นัทลบข้อความในกล่องส่งออกทิ้งก่อนจะสะบัดหัวไล่เรื่องที่ทำให้ตัวเองดูเป็นตัวละครงี่เง่า เขาลุกขึ้นเก็บของตรวจกล้อง เพื่อให้พร้อมกับการออกไปถ่ายรูปที่ชานเมืองแถวๆชายทพเลบางขุนเทียน เขาอยากไปถ่ายรูปแถวนั้นมานานแล้ว  ตามตารางชีวิตที่เขาเองเคยวางเอาไว้
   แต่ทว่าเสียงข้อความก็ดังขึ้น นัทมองมันหนึ่งครั้งก่อนจะเปิดออกอ่าน

จะไปรับเดี๋ยวนี้ อย่าเพิ่งออกไปไหน
คิดถึงคุณทุกนาทีที่ผ่านมา
                กาย
ปล. เกือบทำโทรศัพท์ร่วงพอเห็นข้อความคุณ

   นัทยิ้มกว้างให้กับข้อความนั้นโดยที่ไม่รู้ตัว พร้อมกับนึกคำสองคำในใจ
   “เว่อร์เกิ๊น!!!”
….............
   นัทไม่รู้สึกตัวใดใดอีกภายในครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในรถสปอร์ตสีดำขลับคันหรูในตำแหน่งประจำที่เขาเคยนั่งมาร่วมสามเดือน เขาไม่ทันรับรู้ความรู้สึกตอนที่กายเคาะที่ปากทางเข้าสตูดิโอเบาๆแล้วพูดกับเขาว่า "ผมมาแล้ว" เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองมองหน้ากายอยู่นานจนกายเดินมาจับตัวเขาแล้วพูดอีกว่า "จะให้พาไปไหน" นัทพูดสั้นๆว่าอยากไปถนนบางขุนเทียนชายทะเล กายไชที่ไม่ได้ถามอะไรอีก จับตัวนัทลุกขึ้น ขณะที่เขาเดินตามกายออกไปโดยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
   กายขับรถไปถึงถนนบางขุนเทียนชายทะเลได้อย่างรวดเร็วในไม่กี่อึดใจ แม้ว่านัทยังคงไม่ได้แสดงอาการใดใดออกมา แต่กายก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าหมองที่อบอวลอยู่ในรถ
   “จะให้ผมจอดตรงไหนดี" กายพูด
   “มีแคมปัสของมหาลัยแถวนี้อยู่ในซอยข้างหน้า คุณเข้าไปเดี๋ยวก็เจอเอง" นัทตอบ แม้ว่ายังจะไม่ได้มองหน้ากาย
   “คุณรู้ได้ไง"กายว่า
   “นั่นคณะผม" นัทตอบ "ผมกับมิกเรียนจบที่นั่น"
   “อ้อ" กายพ่นลมเบาๆ ก่อนจะเงียบไป
   รถของกายเเลี้ยวเข้าซอยเทียนทะเล 25 เข้าไปไม่ลึกนัก สองข้างทางเป็นทุ่งบ่อปลาและป่าชายเลนขนาดย่อมยาวสุดลูกหูลูกตา กายเปิดประทุนรถออกเพื่อรับอากาศที่ดีเสียจนยากจะเชื่อว่าที่นี่ยังอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร เขาชะลอรถลงเบาๆ และจอดลงข้างทางที่ไม่ค่อยมีผู้คน ซึ่งเมื่อทั้งคู่ลงไปก็พบสามารถมองเห็นคณะเก่าของนัทตั้งอยู่ท่ามกลางบ่อนากุ้งที่ดูผ่านๆเหมือนคณะตั้งอยู่กลางน้ำ นัทหยิบกล้องขึ้นมาและกดชัตเตอร์ถ่ายรูปทันที กายเห็นดังนั้นก็เริ่มทำบ้างเช่นกัน
   “ผมไม่ได้กลับมาที่นี่นานแล้ว" นัทพูดขึ้นเบาๆ "เมื่อก่อน สมัยเรียน มีงานอะไร เอะอ่ะผมก็ถ่ายเอา Location แถวๆนี้ เพราะไม่มีรถ แล้วก็พักอยู่หอในที่นี่ แล้วสถานที่มันก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร"
   กายฟังนัทอยู่เงียบๆ
   “พอผมเรียนจบ ทำงานก็ไม่ได้กลับมาถ่ายรูปที่นี่อีกเลย มันเปลี่ยนไปมาก ถนนที่เรายืนอยู่ก็ลาดยางแล้ว สมัยนั้นยังเป็นลูกรังอยู่เลย" นัทว่า "ผมตั้งใจเอาไว้ว่าถ้าวันไหนว่างๆก็จะกลับมาถ่ายรูปที่นี่อีก"
   นัทเงียบไปพักนึง
   “ไม่น่าเชื่อว่า 3 ปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาที่นี่เลย" นัทพูดเสียงสั่น "มันเป็นที่ที่ผมผูกพันมาก แค่ได้กลับมาเห็นคณะ แล้วก็บรรยากาศแถวนี้ผมก็ดีใจแล้ว ถึงแม้ว่าพอตกเย็น ผมก็ต้องกลับเข้าไปในเมืองอีก ทั้งๆที่จริงแล้ว ผมอยากจะอยู่กับอากาศเย็นๆแบบนี้ที่นี่ตลอดไป"
   กายเดินเข้ามาหานัทพลางจับกล้องของเขาลงจากหน้า และก้มหน้าลงไปจูบคนที่เขาคิดถึงจนแทบขาดใจทันที นัทหลับตาและปล่อยให้ความรู้สึกที่มีไหลผ่านร่างกายของเขาไป เขาทนไม่ไหวแล้ว ร่างกายที่สั่นสะท้านนี้ คิดถึงเจ้าของจูบนี้ที่สุดตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งๆที่เจ็บปวดและเสียใจ แต่เขาก็ไม่เคยลืมกายได้เลย
   และก็ผละออกจากกัน ในที่สุด กายมองหน้านัทอย่างอ่อนโยน เป็นดวงตาแบบที่นัทไม่เคยเห็นมาก่อน ตั้งแต่รู้จักกับพ่อมดคนนี้มา
   “ผมรู้ว่าคุณไม่มีวันให้อภัยผม" กายพูด "แต่ทำไมไม่รู้เหมือนกัน ผมก้าวต่อไปไม่ได้ ถ้าผมยังไม่ได้ทำให้คุณเข้าใจผม"
   กายมองหน้านัทที่เศร้าหมองนั้น
   “ผมแค่อยากเจอหน้าคุณ" นัทพูดขึ้น เขายอมแพ้แล้ว "ผมไม่ได้จะกลืนคำพูดตัวเองแต่......”
   เงียบกันไปพักนึง
   “.....แค่ผมคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณอีก" นัทพูด "ผมก็ทนให้มันเกิดขึ้นไม่ได้"
   กายยิ้มให้นัททันที พลางจับมือของนัทที่เย็นเฉียบ
   “ผมก็เหมือนกัน" กายตอบ "แล้วคิดยังไงถึงโทรหาผมได้ล่ะ ผมไม่กล้าโทรหาคุณเลย ผมหวังเอาไว้ว่าคุณจะโทรมา แต่ผมก็รู้ว่า........”
   “ผมอยากเจอคุณ" นัทพูดเสียงเข้มขึ้น "ผมอยากฟังคุณอธิบาย....เรื่องทั้งหมด"
   กายนิ่งไปซักพัก พลางมองเข้าไปในตาของนัท
   “ผมเป็นผู้ชายรักสนุก" กายพูดขึ้น
   นัทหายใจเข้าทันที เขาต้องพร้อมรับฟังกับทุกคำตอบที่จะเกิดขึ้นให้ได้ ไม่อย่างนั้น เรื่องนี้ก็จะไม่จบลงซักที
   “ผมเคยใช้ชีวิตอยู่กับไม่จริงจัง ไม่ผูกมัด ผมโตมากับที่ที่อิสระ มีการเดินทางและค้นหาอย่างไม่มีจุดหมาย" กายพูดต่อ "จนกระทั่งผมเข้าใจความหมายของ Lovess Society ที่ทำให้ผมมาเจอคุณ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น กับตัวเองกันแน่ ผมคิดว่าตอนแรกแค่อยากจะลองเล่นกับคุณดู ว่าคุณจะเป็นยังไง"
   นัทก้มหน้าลง มันเป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆด้วย เขาปล่อยมือออกจากกาย
   “แต่ตอนนี้ผมไม่สนุกแล้ว" กายพูดทันที "ตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้น คุณทำให้ผมอยู่ไม่ได้"
   นัทหันกลับมามองกาย
   “คุณทำให้ผม.......กังวล …..ผม.....ไปไหนไม่ถูก ไม่รู้ต้องเริ่มยังไงต่อไป" กายตอบ "ผมไม่เคยรับผิดชอบใคร แต่กับคุณ ผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าผมอยากรับผิดชอบหรือเปล่าแต่ ผมรู้สึกไม่อยากเสียคุณไป ผมไม่อยากให้คุณเกลียดผม ไม่อยากให้ใครแตะต้องคุณได้อีก หลังจากวันนั้น ผมอยากจะเป็นคนเดียวที่จะได้เห็นทั้งหมดของตัวคุณ จิตใจของคุณ ความคิดของคุณ"
   นัทมองหน้ากายนิ่ง
   “ที่ผมล่วงเกินคุณมันอาจจะเกิดจากความไม่ตั้งใจก็ได้ แต่หลังจากนั้นมาจนถึงวันนี้" กายหายใจเข้าครั้งนึง "ผมอยากให้คุณเป็นของผมคนเดียว"
   กายมองหน้านัทพยายามอธิบายอะไรบางอย่าง
   “แล้ว?” นัทพูดเบาๆ
   “ผมก็เลยยอมคุณทุกอย่าง" กายว่า "ยอมให้คุณได้รับการดูแลจากผม ทั้งๆที่ผมก็รู้ว่าคุณอยากจะแก้แค้นผมมากกว่า ยอมให้คุณไปทำตามใจตัวเองกับงานที่เปลืองตัวให้คนอื่น ทั้งๆที่ผมหึงคุณมากแค่ไหน ยอมให้คุณไล่ผมไปทั้งๆที่ผมไม่อยากจะจากคุณไปแม้ซักนาทีเดียว แต่ถ้ามันทำให้คุณได้ให้อภัยกับสิ่งที่ผมทำ ผมยอมคุณทุกอย่าง"
   “แล้วทำไมถึงมาพูดเอาป่านนี้" นัทถามตรงๆ
   “เพราะตอนนั้นผมรู้ว่าคุณลังเลเรื่องผม คุณเห็นภาพลักษณ์ของผมจากคนอื่นๆ" กายพูด "เพราะงั้นผมก็เลยลังเลเหมือนกันที่ไปกับคุณ ผมไม่อยากให้คนอื่นมาตัดสินแทนผมว่าคุณเป็นอะไรกับผม ทั้งๆที่ตัวผมเองก็ยังลังเล"
   นัทมองกายอย่างเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “และผมก็รู้ว่าตอนนี้คุณก็ยังลังเล" กายพูด "คุณแค่อยากรู้ความจริง ก็เลยอยากเจอผม เพราะคุณเองก็ไม่อยากอึดอัดใจใช่ไหมนัท"
   นัทไม่มีคำตอบอะไรเขาหันหลังให้กายแล้วมองไปที่คณะของเขาที่เริ่มเปิดไฟขึ้นทีะดวงสองดวงตามตึก
   “จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าผมให้อภัยคุณแล้ว" นัทพูด "คุณจะสบายใจแล้วกลับไปใช้ชีวิตปกติของคุณกับแฟนเก่าของคุณเหมือนที่คนเค้าพูดกันได้อย่างไม่อึดอัดเหมือนกันใช่หรือเปล่า"
   กายถอนหายใจทันที
   “ถ้าทั้งหมดที่คุณทำมันเพื่อต้องการหาความสบายใจให้กับตัวเอง ผมจะให้อภัยคุณก็ได้ เพราะจริงๆมันก็แค่เรื่องข้ามคืนเท่านั้นเอง" นัทฝืนใจพูด
   “ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ในเมื่อคุณคือคนที่ผมให้ความสำคัญนัท" กายพูด "ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณให้อภัยผมจากใจจริง และยอมให้ผมเป็นคนเดียว ที่รู้จักทั้งหมดของคุณ"
   นัทหันกลับมา ตอนนี้สายตาของกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอีกครั้ง
   “ผมไม่มีวันยอมแพ้ คุณก็รู้ว่าผมไม่เคยยอม" กายพูด "และผมก็ไม่สนด้วยว่าคุณจะรู้สึกยังไงกับผม แต่ผมจะทำต่อไป และผมก็จะดูแลคุณต่อไป"
   “แต่ผมไม่ได้ขอ" นัทพูดเสียงสั่น
   “แต่ผมจะทำ ผมจะทำให้คุณเอง" กายพูด "ตกลงไหมครับ คุณ นัท"
   นัทยิ้มให้กายอย่างพ่ายแพ้ เขาพ่ายแพ้คนตรงหน้าเขาอีกแล้ว ชายหนุ่มวิ่งเข้าไปกอดพ่อมดของเขาทันที
   มันไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว นัทคิด ถ้าเสียใจ มันก็เสียใจอยู่เท่านี้แหละ มันก็คงไม่มากไปกว่านี้ เพราะนี่ก็คือที่สุดของความเสียใจที่เขามีแล้ว
…..............
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 28-07-2011 20:35:21
>///< อ๊ายยย
น่ารักไม่เปลี่ยน รอ ร๊อ รอ ตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Tun_Bow ที่ 29-07-2011 22:39:07
คุ้นๆเหมือนเคยอ่านเรื่องนี้มาก่อนไงๆไม่รู้แหะ- -"
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 30-07-2011 05:02:41
 :เฮ้อ: :เฮ้อ: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-07-2011 09:46:19
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 16) - 28/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 30-07-2011 14:10:23
ใช้เวลาสองวันกว่าจะอ่านทัน(เพราะต้องสลับกับการทำงานด้วย หุ หุ)
ความรักของคนอารมณ์ศิลป์นี่ มันเหมือนดูภาพศิลป์เลยเนอะ
แต่ก็ชอบเรื่องนี้จัง
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 17) - 30/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-07-2011 23:24:31
บทที่ 17 Congratulation ..... you won!!!

    “นะนะพี่มิกนะ ไปเถอะนะ" เอิร์ธเขย่าตัวมิกจนเขาแทบตกเก้าอี้ ขณะที่สากำลังเก็บข้าวของ "ถ้าพี่ไปด้วยมันจะมีความหมายต่างกันมาก"
   “โห....ดูใช้คำ" มิกทำหน้าเบ้ "ก็ไม่ได้อยากไปนี่หว่า แกอยากไปก็ไปเองดิวะ ก็ไม่ได้ห้าม"
   “โหย พี่มิก ไปกับเอิร์ธน้า วันนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้วด้วยอ่ะ พี่จะอยู่คนเดียวไปทำไมล่ะ" เอิร์ธว่า "นะนะไปเหอะๆ"
   มิกหันไปหาสาทันที
   “เอาน่า ออกไปเหอะ" สาว่า "ก็จริงอย่างน้องว่า ฉันต้องไปถ่ายรูปให้พี่อ๊อด ไม่รู้จะเสร็จกี่โมงด้วย"
   มิกทำหน้าเซ็ง
   “แล้วนัทล่ะ" มิกถาม
   “ไม่รู้เหมือนกัน มันบอกว่าขอไม่เข้าออฟฟิศ ไม่รู้เหมือนกันว่าไปไหน" สาพูด "โทรหามันบ้างหรือเปล่าล่ะ"
   “โทร ไม่รับ" มิกพูด "โทรไปบ้านก็ไม่มีใครรับเหมือนกัน"
   “อ่อเหรอ" สาพึมพำ
   “สา เสร็จยัง เราจะไปกันแล้ว" เสียงของชายตัวใหญ่ดังขึ้นจากสตู พี่อ๊อดนั่นเอง เอาเป็นดีไซน์เนอร์ที่อยู่ที่นี่มานานแล้ว มักจะขอแรงสาออกไปทำโปรเจ็คด้วยกันบ่อยๆ"
   “ค่า เรียบร้อยแล้วค่ะ" สาพูดตอบพลางหันมาหามิก "ฉันไปก่อนนะ โปรเจ็คยักษ์ใหญ่น่ะ"
   เธอกระซิบพลางยิบตาให้ก่อนจะจ้ำอ้าวออกจากสตูดิโอไป มิกมองเธอจากไปพลางถอนหายใจ
   “เอาไงเนี่ยพี่" เอิร์ธถาม มิกมองหน้าเขา "จะไปกับผมเปล่า?”
   “ทำไมพี่ต้องไปด้วย" มิกถามคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีก
   “ไปเสพย์อาร์ทไง งานนี้ดีนะพี่ มีศิลปินดีดีหลายท่านที่เอางานมาโชว์" เอิร์ธตอบตาใส "แถมงาน Siam Art Fair นี่ก็จัดวันนี้เป็นวัดสุดท้ายแล้วด้วย"
   “เอาความจริง" มิกพูด
   เอิร์ธนิ่งไปพักนึง มิกเลิกคิ้วอย่างรู้คำตอบดี
   “.......แพร เค้าจะไปจัด Exhibition ของเอเจนซี่เขาฝึกงานในงานนั้นคับ" เอิร์ธตอบเบาๆ
   “ก็แค่นั้นแหละ" มิกพูดพลาง ดีดตัวลุกขึ้นพลางเดินไปที่โต๊ะของตัวเอง
   “แล้วไงเนี่ยพี่ จะไปเปล่า" เอิร์ธถามเสียงเข้ม มิกหันไปมองหน้าน้อง
   “แล้วจะหงุดหงิดทำไม" มิกถามเสียงเบาอีก
   “เอาจริงดิพี่ ผมไม่ชอบง้อใครนะเนี่ย" เอิร์ธพูด มิกเอียงคอพลางคำ
   “ไม่อยากง้อก็ไปเองดิ๊" มิกตอบเซ็งๆ "มันสำคัญตรงไหน จะให้พี่ไปทำไมวะ"
   “ก็ผมอยากให้พี่ไป พี่จะได้รู้เรื่องของผมมากขึ้ไง" เอิร์ธพูดแม้เสียงจะยังคงหงุดหงิด "ไปได้ป่ะพี่ ผมขอ"
   มิกมองเอิร์ธอยู่อย่างนั้น

   ในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมามิกและเอิร์ธเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ Crystal Design Center แถวรามอินทรา ซึ่งหากจะพูดให้ถูกจริงๆแล้วคือ ทันที่ที่เจ้าเต่าทองจอดนิ่งสนิทลงที่ลานจอดรถ เอิร์ธก็รีบรุดลงจากรถพลางเหวี่ยงเอาเป้จากข้างหลังมาข้างหน้าและค้นอะไรอยู่สองสามอย่าง ก่อนจะหยิบเอากล่องของขวัญอันเล็กๆออกมาได้ พร้อมกับโยนเป้กลับมาให้มิก เขารับมันไว้ได้ทัน
   “เดี่ยวไปเจอกันในแกลนะพี่ ผมขอตัวแป้บนึง" เอิร์ธพูดพลางหายเข้าไปในกลุ่มเคาท์เตอร์ของเอเจนซี่ที่ร่วมกันจัดขึ้นมาในทันที
   มิกรู้สึกหงุดหงิดเล็กๆ เหมือนเขาจะเดาอะไรบางอย่างออก เขารูดซิปเป้ที่อยู่ตรงหน้าพลางมองเข้าไปข้างใน และก็เจอบางสิ่งบางอย่างอยู่ในนั้น เป็นกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่ง ที่ไม่มีได้มีธนบัตรอยู่ในนั้น มิกหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับเปิดออกดู ในช่องรูปภาพที่มิกเคยเห็นก่อนหน้านั้น เป็นกระดาษโพสอิทขนาดใหญ่โตที่ลงวันที่วันนี้แล้วเขียนกำกับว่า

'วันเกิดแพร ขอคืนดีเขาซะ'

   มิกปิดกระเป๋าสตางค์ลง เก็บเข้าเป้ และมองไปยังงานเหล่านั้น
   เขาว่าตอนนี้อะไรๆมันชักจะแปลกไปกันใหญ่แล้ว เอิร์ธกำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิดพลาดเป็นอย่างมาก และดูเหมือนตอนนี้เขาเริ่มอยากทำให้เอิร์ธเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และทำให้เอิร์ธโตขึ้นซะที
   ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปในงานแต่ทว่าเขาเห็นเอิร์ธกับเด็กสาวคนในรูปในกระเป๋าสตางค์ กำลังเดินออกจากห้องโถงไปแล้วหลบมุมไปด้านข้างที่ไม่มีผู้คน มิกค่อยๆเดินตามไปเงียบๆ ก่อนจะหลบเข้าที่มุมของเสา
   เอิร์ธกำลังมองหน้าแฟนเก่าของเขาด้วยใบหน้าเคร่งขรึมที่มิกไม่เคยเห็นมาก่อน ในขณะที่แพรกอดอก และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่สบตามิก
   “เขาเป็นใครอ่ะ แฟนใหม่แพรเหรอ" เอิร์ธถามขึ้น
   “ถ้าเอิร์ธจำเป็นต้องรู้ เขาเป็นพี่ที่ฝึกงานแพร" เด็กสาวตอบ "และใช่ เขาเป็นแฟนแพร"
   เอิร์ธเงียบลง มิกถึงกับเลิกคิ้ว อย่างนี้นี่เอง
   “เอิร์ธมาทำไม" แพรถาม
   “เราอยากมาหาแพร เราอยากให้แพรเข้าใจว่า......”
   “พอเถอะเอิร์ธ" แพรมองหน้าเอิร์ธอย่างเย็นชา "เรื่องมันจบไปแล้ว เอิร์ธจะยังมาอะไรกับแพรอีก เอิร์ธเป็นคนบอกเลิกแพรนะ"
   “เรารู้ แต่เราแค่อยากให้แพรเข้าใจว่า เพราะอะไรทำไม เราอยากให้แพรเข้าใจเราบ้าง" เอิร์ธพยายามพูด
   “แพรเข้าใจดี แพรรู้จักเอิร์ธดี" แพรว่า "แต่แพรไม่อยากฟังเอิร์ธแล้ว ที่ผ่านมา มันมีแต่เหตุผลของเอิร์ธ ของเอิร์ธ ของเอิร์ธ แล้วเอิร์ธรู้หรือเปล่า ว่าเหตุผลที่แพรยอมตกลงเลิกกับเอิร์ธเพราะอะไร"
   เด็กหนุ่มเงียบกริบ ใบหน้าที่หล่อเหลาแดงก่ำด้วยความโกรธ
   “เพราะว่านี่คือสังคมของแพร นี่คือชีวิตที่แพรต้องการ และชีวิตมันก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่เอิร์ธพยายามบอกแพร" แพรตอบเสียงเฉียบขาด "ที่ผ่านมา เอิร์ธหาเหตุผลร้อยแปดมาอธิบายให้แพรฟังตลอดเวลา ว่าทำไมเอิร์ธถึงเข้าไม่ถึงชีวิตของแพร สังคมของแพร เอิร์ธพยายามจัดการทุกๆอย่างด้วยเหตุผลทั้งๆที่จริงแล้ว เรื่องบางเรื่องมันใช้เหตุผลมาตัดสินไม่ได้หรอกนะ
   เอิร์ธรู้ไหมว่ายิ่งเอิร์ธพูด แพรก็จะยิ่งเสียใจมากขึ้นไปอีก เพราะเหตุผลของเอิร์ธมันสมบูรร์ซะจนแพรเองก็ไม่รู้จะแก้ไขมันยังไง แพรเสียใจมากที่เอิร์ธบอกเลิกกับแพรค่ะ แต่ตอนนี้แพรรู้แล้วว่าอะไรที่ทำให้แพรไม่ต้องอึดอัดได้อีก" เด็กสาวหายใจเข้าลึกๆ "เราไม่มีอะไรเข้ากันเลยค่ะ เอิร์ธไม่เคยเข้าใจสังคมแพร เอิร์ธไม่เข้าใจชีิวิตแพร และแพรก็คิดว่าตอนนี้ เราสองคนเป็นเพื่อนกันดีที่สุดแล้ว"
   เอิร์ธนิ่งสนิท
   “แพร" เอิร์ธพูดเบาๆ
   “นี่คือคำพูดเดียวกับที่เอิร์ธบอกเลิกแพร" เด็กสาวว่า "งั้นแพรจะขอใช้มันบอกเอิร์ธก็แล้วกัน กลับไปซะ แล้วไม่ต้องมาเจอกันอีกจนกว่าเอิร์ธจะคิดถึงสิ่งที่ตัวเองทำไว้แล้วตระหนักมันให้มากกว่านี้"
   แพรเดินออกมา
   “คนเราอยู่คนแพ้บ้างก็ได้นะเอิร์ธ"
   เด็กสาวเปิดประตูงานและหายเข้าไปโดยเอิร์ธไม่ได้วิ่งตามไปอีก มิกเดินออกมาจากหลืบมุม แต่ม่ทันจะได้ให้เอิร์ธรู้สึกตัว เด็กหนุ่มก็สังเกตเขาได้ซะแล้ว เด็กหนุ่มมองหน้ามิกครั้งหนึ่ง พลางกัดฟัน
   “พี่แอบฟังผมเหรอ" เอิร์ธตะโกน
   มิกถอนหายใจหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับ แต่เอิร์ธก็จ้ำฝีเท้ามาหามิก ก่อนจะกระชากมิกหันหลังกลับ
   “ผมถามว่าพี่แอบฟังผมเหรอ" เอิร์ธถามเสียงแข็ง
   “ก็ที่นายให้พี่มา ก็เพื่อให้มารับรู้เรื่องพวกนี้ไม่ใช่รึไง" มิกว่า พลางขมวดคิ้ว "ไปสงบสติอารมณ์ไป จะได้ไปดูแกลกันต่อ"
   เอิร์ธนิ่งไปพักนึง
   “พี่จะไปก็ไปเหอะ ผมไม่ไปแล้ว" เอิร์ธพูดขึ้น "ผมเอาชนะเขาไม่ได้แล้ว ผมไม่อยากอยู่ในสังคมของเขาที่นี่แล้ว"
   มิกนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะหันหน้ามาหาเอิร์ธช้าๆ
   พลั่ก!!!
   มิกต่อยหน้าที่หน้าของเอิร์ธหนึ่งครั้ง เด็กหนุ่มล้มลงกับพื้น พลางมองมิกด้วยตาเขียว
   “พี่ทำบ้าอะไรเนี่ย" เอิร์ธตะโกนใส่
   “พี่ต่างหากที่ต้องถามนาย ว่านายทำบ้าอะไรเนี่ย" มิกพูด พลางมองไปรอบๆ "นายมาทำอะไรที่นี่ นายรู้ตัวบ้างรึเปล่าเอิร์ธ"
   มิกมองไปทั่วตัวของเอิร์ธ
   “ที่นายทำเนี่ย คือพยายามเข้าไปอยู่ในที่ที่แฟนของนายอยู่ใช่หรือเปล่าหะ" มิกพูด "นายพยายามทำให้ตัวเองไปอยู่ในโลกที่เขาเป็นเหรอ ดูสารรูปตัวเองบ้างดิ ทุเรศว่ะ"
   “พี่ว่าอะไรนะ" เอิร์ธพูด
   “นายเป็นคนบอกเลิกเค้า แล้วกลืนคำพูดตัวเองทำไมวะ เป็นผู้ชายอ่ะ ตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็อย่าถอยหลังกลับดิ" มิกพูก "ไหนบอกว่าคนเราอยู่อย่างคนแพ้บ้างก็ได้ไง เนี่ยเหรอ อยู่อย่างคนแพ้ของนายอ่ะ"
   “มันเว้นเสียแต่ว่า คนคนนั้นจะเข้าใจความจริงผิดต่างหากพี่มิก” เอิร์ธตะโกน "ถ้าหลบมันก็ต้องหลบไปตลอด"
   “นายต่างหากที่เข้าใจผิดเอิร์ธ ที่ต้องเผชิญหน้าน่ะมันไม่ใช่อดีต แต่มันคือความจริง” มิกพูด "นายต่างหากที่แพ้ คนที่น่าแสดงความยินดีด้วยคือแฟนเก่าของนาย น้องแพรเขาชนะแล้ว เขามีแฟนใหม่ไปแล้ว เป็นคนวัยทำงานในเอเจนซี่ที่สามารถจัดแกลลอรี่ที่นี่ได้ในขณะที่นายยังเป็นเด็กฝึกงานของพี่อยู่นี่ไง นี่ไงความจริง"
    เอิร์ธก้มหน้าลง
   “ถึงนายดึงดันเอาเรื่องพวกนี้ใส่ลงไปใน Loveless Society พี่ก็ไม่ให้ผ่านหรอก" มิกพูด "นายก็ไม่ต้องเอาพี่มารับรู้เรื่องพวกนี้อีกแล้วนะ พี่ไม่มีทางยอมรับเรื่องพวกนี้ในงาน มันไม่มีประโยชน์ และโคตรสิ้นคิดเลย"
   “ผมไม่ได้จะเอามาพี่ที่นี่เพราะเรื่องงาน" เอิร์ธว่าเสียงดัง พลางมองหน้ามิก "ที่ผมเอาพี่มานี่ เพราะผมรู้ว่ามันจะต้องเป็นอะไรแบบนี้"
   มิกค่อยๆผ่อนลมหายใจแล้วมองหน้าน้อง
   “ผมก็แค่...จะหาใครซักคน ที่คอยปลอบผม" เอิร์ธพูดเสียงสั่น
   มิกส่ายหน้าพลางหยิบเอาเป้ของเอิร์ธแล้วเอากระเป๋าสตางค์ของเอิร์ธออกมา เขาหยิบโพสอิทหน้ารูปของเอิร์ธและแพรออกมาชูต่อหน้าเอิร์ธที่กำลังตกใจสุดขีด
   “แล้วนี่มันอะ.......”
   มิกเพ่งมองไปที่ด้านหลังของโพสอิทอันนั้น ยังมีข้อความอีกหนึ่งบรรทัดเขียนยู่ด้านหลัง

'ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เอาพี่มิกไปด้วย เขาปลอบได้'

   มิกมองข้อความนั้นได้แค่สองสามวินาที แต่กระดาษใบนั้นก็หายไปจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว เอิร์ธลุกขึ้นมาตวัดกระดาษออกจากมือเขา พร้อมกลับรีบเอาของทุกอย่างของตัวเองคืน
   “พี่รู้เรื่องผมเยอะเกินไปแล้วล่ะผมว่า" เอิร์ธพูด ขณะกำลังเก็บของ
   “แกต้องการอย่างนี้เองนะ" มิกพูด
   เอิร์ธไม่พูดอะไรได้แต่เดินออกจาก Crystal Design Center ไปยังไอ้เต่าทองที่จอดอยู่ มิกมองตามไปอย่างสงสัย เด็กคนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว และในฐานะพี่เทค เขาจะต้องสอนให้เอิรืธรู้จักตัวเองและโตมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้น เด็กคนนี้ทำงานในสายอาชีพและสังคมที่เต็มไปด้วยเรื่องฉาบฉวยนี้ลำบากแน่ๆ เขาจะไม่ยอมให้เด็กคนนี้ต้องเป็นเหมือนนัทเด็ดขาด
…...........
   มิกวางแก้วสองใบบรรจุน้ำเก็กฮวยเย็นๆลงบนโต๊ะที่บ้านตรงริมน้ำอย่างระมัดระวัง ขณะที่เอิร์ธกำลังนั่งมองริมน้ำแล้วมองออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ๆจนเป็นสีทองอร่าม บ้านของมิกบนถนนเจริญกรุงอยู่ริมแม่น้ำ และมันจะสวยงามอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาอันเหมาะเจาะ เอิร์ธมองแม่น้ำไหลไปมาอย่างนิ่งสนิท มีเพียงเสียงเรือยนต์แว่วเบาๆลอยมาตามแม่น้ำเท่านั้น
   “กินซะ จะได้ดีขึ้น" มิกพูด "อากาศร้อนๆแบบนี้จะได้เย็นลง"
   เอิร์ธหยิบแก้วขึ้นไปดื่มทันที แม้จะยังมองไปข้างหน้านิ่ง
   “พี่ขอโทษนะ" มิกพูด "เรื่องที่แกลลอรี่ ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า"
   เอิร์ธส่ายหน้า
   “เห้ย โกรธเหรอ" มิกพูด "ต่อยคืนก็ได้อ่ะ"
   เอิร์ธยังคงส่ายหน้าอีก มิกจึงหยุดล้อน้องเล่น
   “ผมสมควรโดนแหละ" เอิร์ธว่า "โดนจากพี่ ยังดีกว่าโดนจากแฟนแพรเค้า แม่งจะเจ็บกว่านี้"
   มิกเลิกคิ้วอย่างไม่มีความเห็น
   “บ้านพี่สวยดีอ่ะ" เอิร์ธว่า "ทำไมเหมือนไม่มีใครอยู่เลยอ่ะ"
   “พี่...เอ่อ.....เพิ่งกลับมาอยู่อ่ะ" มิกตอบ "หลายปีมานี่ พี่ไปอยู่บ้านพี่นัทมา"
   “ไปอยู่ทำไมอ่ะ" เอิร์ธถามนิ่งๆ
   “ก็....นัทมันต้องอยู่คนเดียว พี่ก็เลยไปอยู่เป็นเพื่อน แล้วทำงานกันที่นั่นด้วย" มิกเล่า "แม่พี่นัทเค้าไปทำงานอยู่อเมริกาตอนแรกก็ว่าจะกลับมาเดือนที่แล้ว แต่ปรากฎว่ายังอยากอยู่ที่นั่นต่อ ก็เลยยังไม่กลับน่ะ"
   “แล้วทำไมพี่กลับมาอยู่นี่ซะล่ะอ่ะ" เอิร์ธถามอีก
   “ก็....พี่.....”
   “พี่กับพี่นัทเลิกกันแล้วใช่ป่ะ" เอิร์ธถามอีก ทำเอามิกสะดุ้งเฮือก พลางมองไปหาเอิร์ธ
   “บ้า" มิกร้องเสียงดัง "พี่กับพี่นัทไม่ได้.....”
   “แล้วพี่นัทก็ไปคบกับพี่กายป่ะ" เอิร์ธพูดอีก "พี่อ่ะ อกหัก แล้วเสียใจเรื่องพี่นัท เมื่อตอนอาทิตย์ที่ผมมาแรกๆ"
   มิกขมวดคิ้วทันที เด็กคนนี้รู้เยอะไปจริงๆด้วย
   “เถียงดิ" เอิร์ธย้ำอีก
   “ถูก" มิกตอบเบาๆ "แต่ไม่ใช่ทั้งหมด มันซับซ้อนกว่านั้น"
   “อือ ผมไม่อยากรู้หรอก แต่มันก็ประมาณนี้ป่ะ" เอิร์ธว่า "พี่เป็นเกย์เหรอ"
   มิกเงียบไปพักนึง
   “พี่ชอบผู้หญิงนะ" มิกพูด "แต่กับพี่นัท พี่ไม่ได้เรียกว่าชอบว่ะ"
   “พี่เป็นห่วง พี่อยากทำทุกอย่างให้เขา พี่รักเขา ใช่ป่ะ" เอิร์ธตอบแทน มิกไม่ต้องตอบอะไรอีก ในความคิดเขา ยังไงก็ตามเอิร์ธก็รู้อะไรมากเกินไปอยู่แล้ว แล้วเขาเองก็ไม่อยากจะปิดความคิดอยากรู้อยากเห็นใคร เขาไม่ใช่คนที่มีอะไรต้องปิดบัง
   “อือ" เขาตอบเบาๆ
   “พี่ไม่เหนื่อยเหรอ" เอิร์ธพูด โดยที่มันไม่ใช่คำถามจริงๆ "พี่ทำยังไงอ่ะ พี่อดทนได้ยังไง พี่ไม่เสียใจแล้วเหรอ"
   “เสียใจดิ" มิกพูด พลางมองออกไป "แต่ทำไงได้ เห็นเขามีความสุข มันก็น่าจะดีใจใช่ป่ะล่ะ แต่เอาจริงๆนัทเขาก้ไม่ได้สุขขนาดนั้นแต่ ถ้าเขาอยากจะไป ใครจะห้ามได้ พี่เองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"
   “แต่พี่ก็รักเขามาก และไม่อยากให้เขาไป" เอิร์ธพูดเสียงเศร้า "พี่ยังอยากให้เขาอยู่กับพี่ใช่ไหม"
   “เอิร์ธ คนที่เรารักไม่เคยจากรักไปไหน เขาจะยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของเราเสมอเว่ย" มิกตอบ "และสำหรับนัทด้วยแล้ว พี่เขายังไงก็ยังเป็นเพื่อนพี่ พี่รู้จักเขามานานจนมั่นใจได้เลยว่า เขาไม่ได้ไปไหน ถึงจะทรมาณที่เป็นเพื่อนกันแล้วบอกรักไม่ได้ แต่ถ้าเพื่อนกันก็ไม่มีวันบอกเลิกนะ"
   เอิร์ธเงียบไปพักนึง
   “อย่าเสียใจไปเลย" มิกว่า "ยังมีคนที่อยากอยู่กับนายอีกเยอะ มันก็ต้องมีซักคนที่รู้จักตัวตนของนาย และยอมรับนายได้"
   “ผมว่าผมเจอแล้วล่ะ" เอิร์ธวางแก้วลงทันที พลางมองมาหามิก เอิร์ธเผยอปากเล็กน้อยแต่ไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมา มิกมองหน้าเอิร์ธพลางลุ้นให้น้องพูดอะไรออกมาซักอย่าง
   “พี่มิก.......คบผมเป็นแฟนได้ไหม"
   มิกรู้สึกว่าแก้วเก็กฮวยที่ตัวเองถือมันเล็กลงอย่างห้วบห้าบ รวมถึงเขารู้สึกอยากจะกระโดดลงแม่น้ำไปเดี๋ยวนี้
   “อ....อะไร..น...”
   เอิร์ธส่งสายตาหล่อเหลาที่ใสกิ๊งมาหามิกอีก คราวนี้กลับเป็นมิกที่เผยอปากเล็กน้อยเหมือนจะพยายามพูดอะไรบางอย่างและ
   “ก็...อ...เอา...ด...”
   และ เสียงโทรศัพท์มือถือของมิกดังขึ้นทันที ทั้งสองสะดุ้งเฮือก มิกรีบรับทันทีด้วยมือสั่นเทา
   “ฮ...ฮ..ฮัลโหล มี...ไรสา" มิกพูดตะกุกตะกัก
   “มิก นายอยู่ไหนเนี่ย" สาพูดเสียงดัง
   “อ....อยู่บ้าน มีไร" มิกถาม
   “มาที่ออฟฟิศเดี๋ยวนี้" สาพูด "มิกเราชนะ ได้ยินหรือเปล่า ทีมเราได้ที่หนึ่งงาน B.A.D Award มิกเราชนะแล้ว"
   มิกตั้งตัวไม่ทันมากขึ้นไปอีกคราวนี้
   “อ....อะไรนะ" มิกพูดตะกุกตะกัก "เธอพูดจริงหรือเปล่าเนี่ย"
   “จริงสิ บอสจะฉลองให้เราคืนนี้ ที่ออฟฟิศจะมีปาร์ตี้กัน กลับมาเดี๋ยวนี้เลย เอาน้องเอิร์ธมาด้วย เพราะชื่อน้องก็ถูกใส่ไปในงานเราด้วยนะ น้องเขาคือทีมเดียวกับเรา" สาพูด
   มิกมองหน้าเอิร์ธพลางยิ้มกว้าง
   “ได้ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน" มิกวางสายลง พลางมองหน้าเอิร์ธ
   “มีอะไรเหรอครับ" เอิร์ธถาม
   มิกเงียบไปพักนึง ก่อนจะยิ้มน้อยๆ
   “พี่....ตกลง" มิกพูดเบาๆ "เอิร์ธ......เป็นแฟนพี่นะ"
   เอิร์ธมองหน้ามิกพลางอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “หึหึ" เอิร์ธหัวเราะในลำคอ
   และยังไม่ทันจะได้บอกเล่าข่าวดีหรือการแสดงความยินดีต่อชัยชนะซึ่งกันและกัน มิกสวมกอดเอิร์ธอยู่ตรงนั้น อ้อมกอดที่ดูสดใสอย่างประหลาด หลังจากอ้อมกอดที่มืดมนก็เริ่มต้นที่ตรงนี้เมื่อหลายเดือนก่อนวันที่นัทกอดลาเขาตรงนี้ แต่ตอนนี้เขารู้สึกว่า การเดินทางสายใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
…................
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 17) - 30/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 30-07-2011 23:55:52
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 17) - 30/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 31-07-2011 04:27:00
 :กอด1: :L2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-07-2011 23:56:03
บทที่ 18 Promise i'm here......you're here

   เป็ยเวลาเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้นเองหลังจากที่มิกบึ่งเจ้าเต่าทองกลับมาถึงออฟฟิศได้สำเร็จแล้วพบว่า Lovable Studio สามารถเปลี่ยนจากโรงฆ่าสัตว์ที่น่าเอ็นดูเป็นงานปาร์ตี้ขนาดย่อมที่จัดขึ้นในสตูดิโอ 1 บนชั้นสอง ที่เป็นสตูดิโอที่ใหญ่ที่สุดในออฟฟิศ ซึ่งมิกเดาเอาว่าน่าจะเป็นบอสที่พยายามหาเส้นสายจากลูกค้าของท่านมาได้เยอะ จนสามารถเนรมิตงานปาร์ตี้ขนาดใหญ่โดยใช้เวลาเพียงค่อนวันที่เขาหายจากออฟฟิศไปได้ สตูดิโอถูกประดับด้วยไฟอาร์ตี้ มีกระดาษพร้ิวติดประดับอย่างเก๋ อาหารทุกอย่างกำลังทยอยขนลงจากรถ ซึ่งมันมีปริมาณมากซะจนเขาเดาเอาว่ามันน่าจะเป็นงานเลี้ยงกันทั้งออฟฟิศ และที่น่าตกตะลึงคือพี่เจมส์ที่ทำงาน Visual สตูเดียวกับพี่อ๊อด สามารถหาเครื่อเงสียงและคาราโอเกะมาตั้งบนเวทีที่ปูขึ้นอย่างง่ายๆ พร้อมกับอุปกรณ์ดนตรีครบครัน ซึ่งนั่นทำเอามิกตกตะลึง
   มิกและเอิร์ธเดินเข้ามาในออฟฟิศช้าๆจนกระทั่ง
   พรึ่บ!!!!
   ร่างๆนึงกระโจนเข้ามาใส่มิกโดยที่เขาตั้งตัวไม่ทัน สานั่นเอง เขากอดเธอกลมอยู่ที่สตูดิโอตัวเองด้านล่าง
   “สำเร็จแล้วแก" สาพูดพลางร้องไห้ "ในที่สุด แกกับฉันพวกเราก็ทำสำเร็จแล้วมิก"
   มิกหัวเราะแห้งๆ
   “ใจเย็นๆ" มิกตอบ "ไม่ได้ชนะงานดีไซน์โลกซะหน่อยโธ่"
   แต่ถึงกระนั้นทั้งสองก็ยิ้มกว้างพลางกอดกันกลมอยู่ตรงนั้น เอิร์ธมองพี่ทั้งสองพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะผละออกจากกัน สาปาดน้ำตาออกจากหน้า
   “แล้วนี่หายไปไหนกันมาเนี่ย" สาถาม มิกยิ้มแหยๆ
   “เอ่อ....”
   “ว่าไงล่ะ" สาถามอีก
   “ไปงาน Siam Art Fair มาคับ" เอิร์ธตอบแทน พลางหันไปมองหน้ามิกพลางยิ้มให้ สามองทั้งสองไปมาพลางขมวดคิ้ว
   “อ้อ" สาพูดเบาๆ มิกเห็นท่าไม่ดีจึงรีบตั้งสติ
   “...ล...แล้วนัทล่ะ มันไปไหน" มิกถามต่อ
   “เอาความจริงมะ" สาถาม
   “เอาความจริงดิ" มิกตอบ
   “ฉันโทรหามันไม่ได้เหอะ" สาพูดอย่างหัวเสีย
   “เอ๊า แล้วทำไงเนี่ย" มิกถามต่อ
   “ฉัน...เอ่อ...ก็เลยบอกบอสไปว่าติดต่อไม่ได้" สาพูด "และก็บอกให้บอสลองโทรหา...เอ่อ....คุณกายน่ะ"
   สาพยายามพูดอย่างระมัดระวัง มิกเลิกคิ้ว
   “ก็ดี" มิกพูดสียงใส "อือ.......คงได้เรื่องแหละ บอสเป็นอาของกายนิ สงสัยจะหายไปด้วยกันแหละ"
   สามองมิกอย่างสงสัยมากขึ้นไปอีก
   “แล้ว...เอ่อ...” สาเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “อะไรของเธอ" มิกมองสาด้วยความสงสัย "มีอะไร....”
   "ไม่มี๊" สาขึ้นเสียงสูง มิกดูขำกับท่าทางของเพื่อนรัก ก่อนจะหันไปหาเอิร์ธ
   “พี่ว่าพี่สาป่วย" มิกหันไปกระซิบที่ข้างหูเอิร์ธ
   “ฉันได้ยินนะยะ" สาว่า "ขึ้นไปข้างบนกันเหอะ งานปาร์ตี้จะเริ่มแล้ว ไปกันจ้ะเอิร์ธ ไปฉลองความสำเร็จของเรากัน"
   มิกส่ายหัว ขณะที่สาเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปเป็นคนแรก มิกหันไปหาเอิร์ธพลางมองหน้าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ความสัมพันธ์เพิ่งจะเปลี่ยนไปเมื่อไม่นานนี้ มิกมองหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น
   “อะไรพี่" เอิร์ธถามด้วยตาเบิกโพลง
   “ขอบใจนะ" มิกพูด พลางยิ้มบางๆ
   “เรื่องอะไรพี่" เอิร์ธขมวดคิ้ว
   “นายไม่เข้าใจหรอก" มิกยิ้มที่มุมปาก
   “เอ๊า ดูคนเรา" เอิร์ธว่าใส่ "ไปได้แล้วพี่ อย่ามองผมงี้ดิ มันไงไม่รู้อ่ะ"
   “หึหึ" มิกหัวเราะเลียนแบบเสียงเอิร์ธ "ไม่เคยไง?"
   “เคยไรอ่ะ" เอิร์ธพูดเขินๆ
   “มีแฟนเป็นผู้ชายอ่ะ" มิกกระซิบเบาๆ
   “ก็ที่ขอให้มาคบอ่ะ ก็เพราะอยากลองไง" เอิร์ธพูดพลางถอยห่างมิกออกไป มิกก้มหน้าลงพลางถอยออกมา
   “อะไรวะ แค่นี้อ่ะเหรอ ที่มาคบกะพี่อ่ะ" มิกพูดเสียงงอน "โห อกหักจากหญิงมานี่หว่า"
   “ป่าวซะหน่อยเหอะ" เอิร์ธพูด "มันก็ใช่แหละ แต่แค่อยากหาพี่มาดูแลบ้างอ่ะ ไม่ได้เหรอ"
   มิกมองหน้าเอิร์ธพลางอมยิ้ม
   “จะขึ้นไปได้ยังอ่ะพี่ วันนี้ยังไม่ได้กินไรเลยนะ" เอิร์ธว่า
   “งั้นไป" มิกยื่นมือออกไปหาเอิร์ธ
   “ไรอ่ะ" เอิร์ธถามพลางมองมือนั้น
   “มาดิครับ ไอ้ตัวแสบ" มิกพยักหน้าเหมือนจะให้เอิร์ธเลิกมึน เด็กหนุ่มมองมือนั้นหนึ่งครั้งก่อนจะเอื้อมมือของตัวเองมาจับมิกและเดินขึ้นบันใดไปพร้อมกัน
   ทันทีที่ประตูสตูดิโอเปิดผางออก เหล่าพี่ๆเพื่อนๆจากฝ่ายต่างๆของบริษัทก็กรูกันเข้ามาแสดงความยินดีกับมิก เอิร์ธและสาอย่างแน่นขนัด ทั้งสาฝ่าฝูงคนในออฟฟิสไปจนกระทั่งถึงกลางสตูดิโอจนได้และเจอกับบอสพิพัฒน์ที่สวมกอดทั้งสามอย่างปิติ
   “บอสภูมิใจกับพวกนายมากๆเลย ฮ่า ฮ่า คราวนี้เอเจนซี่เราจะดังใหญ่แล้ว" บอสพูดเสียงดัง "มามามา ฉลองกันหน่อย"
   บอสส่งแก้วให้กับทั้งสามทันที
   “ผมกินไม่เป็นอ่ะพี่" เอิร์ธกระซิบข้างหูมิกเบาๆ
   “จริงดิ" มิกตอบขำๆ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
   “เอาล่ะนะ" บอสกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สาก็ขัดขึ้น
   “บอสคะ ไม่รอคุณกายก่อนเหรอคะ" สาถาม
   “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้ากายกับเจ้านัทกว่าจะมาก็ดึกๆโน่นแหนะ เอ๊า"
   โพ๊ะ!!!!
   เสียงฝาแชมเปญดังขึ้นเป็นเหมือนสัญญาณแล้วหลังจากนั้น ปาร์ตี้ก็เริ่มขึ้นโดยไม่มีเวลา มิก สา และเอิร์ธโผเข้ากอดกันอีกครั้งก่อนที่พี่เจมส์เปิดเพลงจังหวะเป็นแอมเบี้ยนเก๋ๆ ให้เหล่าคนในออฟฟิศได้แดนซ์กัน
   “เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ก็ขอเชิญพี่ๆน้องๆชาว Lovable สนุกกันให้เต็มที่กับความสำเร็จของมิกอาร์ททิสตัวพ่อ น้องสาแสนน่ารักของพี่ แล้วก็น้องเอิร์ธ น้องฝึกงานน้องใหม่ของเราด้วยนะครับ" พี่เจมส์พูดเสียงดีใจขณะเปิดเพลง "สำหรับเจ้านัทเจ้าหนูไฟแรงของเราตอนนี้ยังไม่มานะครับ และแน่นอนว่าคืนนี้เขาจะกลับมาพร้อมกับคนที่ทุกคนรอคอย คุณกายสิทธิ์พ่อมดของพวกเรานั่นเอง แต่ก่อนอื่นพวกเรา ไปโลดดดดดดด"
   โดยที่ไม่มีการกังวลใดใดวันนี้จึงเป็นวันที่มิกมีความสุขจริงๆในรอบหลายๆเดือนที่ผ่านมา ซึ่งนั่นทำให้มิกเข้าใจผิดทีเดียว
…...........
   ไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เมื่องานปาร์ตี้เริ่มได้ไปซักพักใหญ่ แม้ว่าจะยังไม่มีวี่แววของของนัทและกาย แต่นั่นไม่ได้ทำให้มิกกังวลเท่าเรื่องที่มันเกิดขึ้นหลังจากเสียงฝาแชมเปญเงียบลงไปหนึ่งชั่วโมง ดูเหมือนว่าการที่น้องฝึกงานหน้าใหม่ที่เพิ่งมาทำงานที่นี่ได้หนึ่งเดือนแล้วยังสร้างผลงานให้กับบริษัทนั้นเป็นเรื่องที่น่าประทับใจ โดยเฉพาะเหล่าสาวๆฝ่ายประชาสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะติดอกติดใจในฝีมือการออกแบบและหน้าตาอันหล่อเหลาเกินจำเป็น ยิ่งในแสงสลัวๆบวกกับเสื้อผ้าชุดไปรเวสที่ใิกสั่งให้เอิร์ธใส่มาวันนี้เป็นวันแรก ยิ่งทำให้พวกPR ที่เพิ่งได้เห็นเอิร์ธเป็นวันแรกยิ่งเข้าไปคลอเคลียเด็กหนุ่มที่ดุเหมือนว่าเอิร์ธเองก็จะเฮฮาปร์ตี้จนเกินจำเป็น สาบอกมิกว่าอาจจะเป็นเพราะเอิร์ธไม่เคยดื่มเครื่องดื่มแรงๆมาก่อน แต่มิกกับคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องวันนี้มากกว่า
   เอิร์ธออกลวดลายการเต้นอยู่ได้พักนึงก็ขอตัวจากพวกสาวๆกลุ่มนั้นออกมาหาอะไรกินที่เคาท์เตอร์อาหาร มิกเห็นดังนั้นจึงปรี่เข้าไปหา
   “เห้ย เสน่ห์แรงจังนะ" มิกพูดเสียงเข้ม
   “มันก็แหงอยู่แล้วพี่" เอิร์ธพูดพลางเก็กหล่อทันที ก่อนจะยักคิ้วให้มิก "หึหึ"
   “บอกที่บ้านหรือเปล่าว่าจะปาร์ตี้เนี่ย" มิกพยายามหาเรื่องพูดอีก
   “บอกทำไมพี่ ปกติผมอยู่หอ" เอิร์ธว่า "ถ้าบอก ผมก็อดดิิ"
   “ไหวเปล่าวะเนี่ย" มิกถามอีก
   “ไหวดิพี่ พี่จะสื่อไรป่ะเนี่ย" เอิร์ธเริ่มพูดเสียงแข็ง มิกขมวดคิ้ว
   “น้องเอิร์ธเสร็จหรือยัง มาเร็วๆ เพลงกำลังสนุกเลย" เสียงดังมาจากวงแดนซ์ที่มิกเดาว่าเป็นเสียงยัยแอนที่อยู่ PR กับแก๊งค์ของเธอ
   “ไปก่อนนะพี่" เอิร์ธลากเสียงพลางยิ้มกว้างก่อนจะลอยจากเคาท์เตอร์ไปโดยนัยน์ตาเยิ้ม
   มิกมองเอิร์ธไปอย่างหัวเสีย พลางมองเข้าไปในวงนั้น ตอนนี้เอิร์ธกลายเป็นดารากลาฟลอร์ไปเสียแล้ว โดยโดนรุมล้อมไปด้วยสาวๆจากเกือบทั้งออฟฟิศ เหมือนจะจงใจ มิกกำลังเห็นแอนกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างอยู่ที่ข้างหูของเอิร์ธ มิกค่อยเดินๆไปในวงนั้นเขาเดาอะไรบางอย่างที่น่าจะเป็นไปได้ และก็เป็นอย่างคาด แอนหยิบบีบีขึ้นมา ในขณะที่เอิร์ธก็ค่อยๆล้วงกระเป๋ากางเกงตัวเองออกมาและ
   “ขอตัวสุดหล่อของเธอแป้บนะแอน" มิกพูดขึ้นกลางวงขณะที่มือของเขาคว้าหมับเข้าที่เอวของเอิร์ธและดึงเขาออกมาจากวงนั้น
   “..ม....มิก....อ....ไอ้....”
   เสียงของแอนถูกกลบด้วยไปด้วยเสียงเพลงของพี่เจมส์ที่กำลังจะเปลี่ยนบีสต์ เอิร์ธที่เหมือนถูกดึงตัวออกจากสวนสนุกหัวเสียเป็นอย่างมาก
   “อะไรของพี่เนี่ย" เอิร์ธพูดเสียงงัวเงีย ขฯะที่มิกดึงเด็กหนุ่มออกมานอกสตูดิโอทันที และลากไปยังห้องน้ำที่อยู่ปลายทางเดิน
   “อยากได้เบอร์พี่เขาเหรอ" มิกถามพลางเลิกคิ้ว
   “ก็....ป่าว" เอิร์ธลากเสียง "ก็เขาขอ ก็นิดนึง"
   “รู้ป่ะ พี่แอนเค้าเป็นคนยังไง" มิกถามอีก แต่เอิร์ธหัวเราะ
   “เห้ยพี่ ผมก็ไม่ได้จริงจังอะไร" เอิร์ธพูด "นี่ปาร์ตี้นะพี่ ก็แลกกันไป ไม่ได้ซีเรียส"
   มิกส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
   “พี่หึงผมเหรอ" เอิร์ธพูดขึ้น
   “ป๊าว" มิกพูดเสียงสูง "ก็แค่....ไม่อยากให้เสียเด็ก"
   “เห้ย" เอิร์ธร้อง "พี่คงไม่ได้จริงจังอะไรขึ้นมาหรอกนะ กับผมอ่ะ ง่ายๆก็ได้พี่ สบายๆ"
   เอิร์ธพูดพลางเดินหายไป
   “ง่ายๆสบายๆของมึงเนี่ยกูไม่สบายนะไอ้.....”
   “..มิก" สาเรียกเขาจากด้านหลัง มิกตกใจสะดุ้งเฮือก ก่อนจะหันหลังกลับไปมองเธอดด้วยสายตากว้าง สาเพิ่งจะออกมาจากห้องน้ำ ขณะที่ในมือถือโทรศัพท์
   “มีอะไร" มิกทำตาถลน
   “เห้ย จะถึงตาใส่ฉันทำไมเนี่ย" สาร้อง "แค่จะบอกว่านัทมาถึงแล้วนะ คุณกายด้วย"
   “อ...อือ" มิกรับคำ
   “แล้วมาทำไรตรงนี้" สาถาม "แล้วคุยอะไรกับเอิร์ธเมื่อกี้อ่ะ ดูท่าทางแปลกๆ"
   “เปล่านี่" มิกขึ้นเสียงสูงอีก "ไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คุย"
   “เอาเข้าไป ฉันว่ามันแปลกๆละ" สาว่า "และไอ้ที่แปลกเนี่ย ก็เจ้าเอิร์ธด้วย เห็นทำหน้าตาแปลกๆใส่แกเหมือนกับว่า..........ฉันไปถามน้องเองดีกว่า"
   “ไม่ต้อง" มิกพูดพลางดึงสาเอาไว้ "จะไปยุ่งอะไรล่ะ ไปหาไอ้นัทเหอะ นะนะ"
   “แน๊ะ เดียวนี้มีลูกอ้อน" สาร้อง "ฉันจะต้องรู้ให้ได้เลย คอยดู"
   มิกและสาเดินจ้ำอ้าวกลับเข้าไปในงานทันที และทันใดนั้นร่างๆหนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาหาสาและโผเข้ากอดเธอ นัทนั่นเอง
   “นัท!!!” สาร้อง ขณะที่นัทปล่อยโฮอยู่ในอ้อมกอดของสา เธอรู้ดี นัทเป็นคนเก็บอารมณ์ไว้ไม่เก่งเลย ไม่ว่าจะดีใจหรือเสียใจก็ตาม
   “เราชนะสา" นัทพูดเสียงสั่น "เราชนะ"
   “อื้อ โอ๋ๆๆๆ อย่าเสียใจไปนะนัท" สาหัวเราะ พลางกอดเพื่อนรักกลม กายที่อยู่ด้านหลังเดินมาหามิกช้าๆ ก่อนจะจับมือกัน
   “ขอบคุณมากนะครับมิก" กายพูดเสียงเข้มพลางยิ้มให้มิกกว้าง "ถ้าไม่มีคุณวันนั้นก็คงไม่มีวันนี้"
   “โห ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ" มิกพูดตอบพลางยิ้มให้กาย เป็นรอยยิ้มที่เขารู้สึกได้ว่า เขาจริงใจกับกายจริงๆ
   เมื่อหันมาอีกทีมิกก็เห็นนัทที่ผละออกจากสาแล้ว กำลังมองมาหาเขา และทั้งรู่ก็สวมกอดกันอย่างมีความหมายที่สุด
   “หายไปไหนมาเนี่ยหึ" มิกพูดกับนัทเบาๆ พลางลูบหัวนัทอย่างอ่อนโยน
   “ชนะแล้วมิก" นัทสะอื้น "เราชนะแล้ว เราสามคน ที่เหนื่อยกันมา ที่ฉันสู้ให้แกมา มันไม่สูญเปล่าแล้วมิก"
   “เห้ยนัท" มิกกระซิบ "เรื่องระหว่างเรา มันไม่เคยสูญเปล่านะ"
   นัทและมิกผละออกจากกัน มิกต่อยเข้าที่ไหล่นัทครั้งนึงก่อนจะเข้าไปกระซิบ
   “ขี้แงอยู่ได้ จะอ้อนใครเค้ารึไง"
   นัทย่นจมูกใส่มิกหนึ่งครั้งก่อนที่บอสจะเดินเข้ามาแสดงความยินดีกับทั้งหมดที่อยู่ครบทีม
   “อ้าวกาย" เสียงบอสดังขึ้น
   “หวัดดีครับคุณอา" กายไหว้บอสอย่างสุภาพ บอสตบเข้าที่ไหล่ของกายหนึ่งครั้ง
   “โฮะ โฮะ สมแล้วจริงๆที่เป็นพ่อมดแห่งวงการและเด็กใหม่ไฟแรงอย่างเรานัท ในที่สุด เอเจนซี่เราก็ชนะแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า" บอสร้องเสียงดังก่อนจะดื่มเข้าไปอีกหนึ่งแก้ว "เอาล่ะ แล้วตอนนี้เตรียมพร้อมกันหรือยังกับงานประกาศรางวัลที่จะถึงปลายเดือนนี้น่ะ"
   ทั้งหมดมองหน้ากันอย่างไม่ทันตั้งตัว
   “อะไรนะบอส" นัทร้องขึ้น
   “อ้าว ไม่รู้กันเหรอเนี่ย" บอสพูด "ก็เดี๋ยวปลายเดือนนี้จะมีงานประกาศรางวัล B.A.D Award ที่โรงแรม Centara  นะ เตรียมตัวจัดโชว์เจ๋งเอาไว้โชว์งานที่ได้รับรางวัลด้วยล่ะ"
   “เอ่อ...ได้ครับคุณอา" กายตอบรับ และพวกเขาที่เหลือก็ยิ้มรับเป็นคำตอบ
   “เอาล่ะๆ ตามสบายกันนะ อาหารยังเหลืออีกเพียบเลยกาย นัท ไปหาอะไรทานไป" บอสพูดก่อนจะหายเข้าไปในวงสาวๆอีกครั้ง เมื่อเห็นดังนั้นสาก็ยื่นมือออกมากลางวงทันที
   “รวมพลังกันหน่อยเร็ว กับการทำงานในความสำเร็จนี้ครั้งสุดท้าย" สาร้องขึ้น ที่เหลือมองหน้ากันเลิ่กลั่ก "เอ๊า นัท มิก คุณ...เอ้ยกาย มาเร็ว มารวมพลังกันอีกรอบนึงนะ"
   “ดูการ์ตูนมากไปป่ะเนี่ย" มิกพูดติดตลก ขณะที่นัทยิ้มแหยๆ
   “เอาเถอะน่า เร็วๆเข้า" สาพูดและยังคงตั้งมืออยู่ตรงนั้น
   “งั้นก็เอาสิคับ"
   กายพูดพร้อมกับจับมือของนัทแล้ววางทับลงบนมือของสา นัทหันไปมองหน้ากายอีกครั้งและยิ้มให้กัน มิกมองทั้งสองด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบเล็กๆ
   “เห้ย อะไรกันอ่ะพี่ บูมกันลืมได้ไงเนี่ย" เสียงของเอิร์ธดังมาแต่ไกล แล้วเมื่อเด็กหนุ่มมาถึงวง เขาก็จับมือมิกวางลงบนมือของสาอีกที ก่อนจะยักคิ้วให้มิกหนึ่งครั้ง
   “แหม มากันเป็น.....”
   “อ่ะ แฮ่ม" มิกกระแอมเสียงดังกลบเกลื่อนสาทันที เธอมองมิกหนึ่งครั้ง "เอาซะที เมื่อย"
   “เดี๋ยวก่อนสิ" เสียงอันคุ้นหูดังมาจากประตูสตูดิโอ สาร้องเสียงดัง เป็นมาร์คนั่นเอง
   “ที่รักมาจนได้นะคะ" สาร้องทัก "มานี่เร็ว เอามือมาค่ะ เราจะบูมกันแล้ว
   มาร์คที่ยังงงๆมายืนข้างๆสาพร้อมกับวางมือลงไป
   “เอาล่ะ ครบและยังไงก็ขอบคุณทุกคนนะที่ในที่สุดพวกเราก็ทำสำเร็จซักที" สาพูด "Lovable สู้!!!”
   เฮ้!!!
   ทั้งหมดโยนมือขึ้นพร้อมกัน สากระโดดกอดแฟนหนุ่ม ในขณะที่มิกโอบไหล่เอิร์ธเอาไว้พลางแอบเหล่บีบีที่เอิร์ธกดอยู่ พร้อมกับกายและนัทหันไปจ้องหน้ากันอย่างมีความหมายอยู่ตรงนั้น เมื่อผ่านวินาทีนั้นไปสาก็ลากตัวมิกและนัทออกจากวงทันที
   เมื่อทั้งสามมาถึงมุมหนึ่งของงาน ขณะที่กายและมาร์คกำลังทำความรู้จักกับเอิร์ธ สาหันมาหาทั้งคู่
   “อะไรๆมันเปลี่ยนไปแล้วใช่ไหมเนี่ย ตอบฉันสินายสองคน" สาพูดพลางยิ้มกว้าง นัทหันหน้านี้ ขณะที่มิกมองเธอด้วยหน้าตากวนๆ
   “คิดว่าอะไรเปลี่ยนล่ะหะ ยัยตัวแสบ" มิกพูด "ไม่มีอะไรเปลี่ยนเลยใช่ป่ะนัท"
   “ช่ายยย" นัทหันมาตอบ "ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปซักหน่อย"
   “สัญญาได้ไหม ว่าเราจะยังอยู่ด้วยกัน" สาพูดพลางกอดคอเพื่อนของเธอเอาไว้ทั้งคู่ "เธอทั้งคู่"
   มิกและนัทหันไปมองเธอพร้อมกัน
   “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ใครจะเอาแกไป" สาหันไปหานัท
   "แกจะไปชอบใคร" สาหันหามิก
   “แกสองคนจะยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหม" สาถาม
   “ถ้าแกยังอยู่ ฉันสองคนก็ยังอยู่" มิกตอบ
   “พวกเราสัญญา" นัทตอบ
   “เย้" สาร้องก่อนจะกอดเพื่อนรักทั้งสองของเธอ โดยที่ทั้งสามถูกมองด้วยรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขของกาย เอิร์ธและมาร์คที่มองเขาทั้งสามอยู่
   ความสุขที่ทั้งสามเฝ้าาหามานานเกิดขึ้นท่ามกลางปาร์ตี้ที่แสนสนุก สังคมนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักได้แล้วในที่สุด ซึ่งทั้งสามไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รู้จักกัน และจนในวันนี้ พวกเขาทั้งสามก็มีความสุขที่สุดแล้ว.......
   “อวสาน" สาร้องขึ้นเมื่อเธอมองไปที่ประตูงานปาร์ตี้ เมื่อร่างๆหนึ่งปรากฎตัวขึ้นในานด้วยชุดที่งามสง่าและใบหน้าคมกริบไปด้วยเมคอัพ "เลิกงานเถอะ ฉันขอ"
   มิกสะกิดเธอทันที ขณะที่มิกมองไปที่ร่างนั้นเขม็ง เจ้าของน้ำเสียงที่นัทรู้สึกไม่ชอบใจเอาอย่างมากกำลังเดินเข้าไปหากายตรงนั้นทันที
   “ดาร์ลิ่งคะ ไม่บอกเจนเลยอ่ะว่ามีฉลองกันอ่ะค่ะ....”
   เจนจิรา สวมกอดกายอยู่ตรงนั้น ในขณะที่นัทกำลังมองทั้งสองอย่างประเมิณค่า
   “ฉันบอกแล้ว อวสานแน่" สากระซิบกับมิกที่ถอนหายใจว่าอะไรๆชักจะมาคุเสียแล้ว
…................
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 01-08-2011 01:57:41
 :z13: :z13: :z13: :L2:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-08-2011 12:12:01
 :เฮ้อ: บรรยากาศกำลังดี อะไรๆก็กำลังดูสวยงาม ดั๊นมีตัวดำมาแทรกให้ทุกสีที่กำลังสดใสหมองลงในทันใด
กายจะทำอย่างไร จะทำให้สีดำตัวนี้หลุดจากวงจรชีวิตไหม รึจะยังคงเอาไว้เช่นเดิม จะรออ่านตอนหน้าค่ะ
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: เกริด้า(๐-*-๐)v ที่ 02-08-2011 07:58:07
ปั้มไว้ก่อน เด๋วมาอ่านนะ ^^
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: July_Moon ที่ 02-08-2011 09:43:53
= =" อยากเอาออะไรฟาดหัวคุณเจนจิราสักทีสองที
เอิร์ธเองก็คลุมเครือเหลือเกินค่ะ น่าจับไปใส่เครื่องจับเท็จให้หมดเลยจริงๆ ฮ่าๆๆ
รออ่านตอนต่อไปอยู่นะคะ ^w^
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: EunJin ที่ 02-08-2011 22:02:28
รู้สึกเหมือนทุกอย่างกำลังจะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
แล้วคุณเจนจิรานี่? มายังไงคะ = =?
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update ตอนที่ 18) - 31/07/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-08-2011 01:37:21
เรื่อง ขอโทษผู้อ่าน :sad4:

เนื่องจากขณะนี้คนเขียนมีงานเข้า เนื่องจากตอนนี้คนเขียนได้รับหน้าที่เขียนนิยายเพื่อศึกษาตัวละคร
ให้กับละครเวทีเรื่องหนึ่ง ทำให้เดือนนี้ทั้งเดือน

มิรันดาเขียนต่อไม่ด้ายยยยยยย :o12: :o12: :o12:

จึงขอวอนให้ผู้อ่านทุกท่านอดใจรอให้ผ่านพ้นเดือนนรกนี่ไปก่อนซักนิด
แล้วกายเค้าจะกลับมาอย่างแน่นอน :jul1:

เพื่อเป็นการไถ่โทษมิรันดาจะขอเล่าอะไรๆให้ฟังเผื่อคนอ่านจะได้กรี๊ดกร๊าดดด มั้ง :-[

ในนิยายเรื่องนี้ไม่มีใครเป็น แมรี่ ชู เพราะฉะนั้นทุกตัวมีเหตุและผลในการใช้ชีวิตหมด ไม่มีใครร้ายหรือดีจนเกินความเป็นจริง ฉะนั้นจึงอยากให้ติดตามกันดีดีครับ :m16:

แล้วเจอกันเมื่องานหมดน้า :sad11:

ปล.ขอโทษจากใจ ที่ทำให้อารมณ์ค้าง :call:
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 19) - 06/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-08-2011 17:57:57
บทที่ 19 Maybe I know......you know

   เจนใช้เวลาไม่นานมนการเดินเจิดจรัสไปทั่วทั้งงาน อวดชุดออกงานที่ดูมีสไตล์อย่างหาที่ติแมบไม่ได้ ทำเอาหนุ่มๆใน Lovable จ้องเธอกันตาเป็นมัน มิหนำซ้ำเธอยังลงไปยังกลางฟลอร์กับกายและ "เบิร์น" ฟลอร์อย่างโดดเด่นอยู่กลางสตูดิโอ ซึ่งเมื่อเธอและกายประกบคู่กันอยู่ตรงนั้นแล้ว นั่นทำให้งานฉลองนี้ดูยิ่งมีสีสันมากขึ้นไปอีก
   นัท มิก และเอิร์ธนั่งนิ่งอยู่ที่มุมๆหนึ่งของงาน เอิร์ธที่นั่งกดบีบีอย่างเอาเป็นเอาตาย เลยไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด แม้ว่ามิกจะนั่งมองการกระทำนั้นอย่างสอดส่อง ขณะที่นัทนั่งมองกายและเจนที่กลางฟลอร์ โดยไม่รู้ตัวว่าคิ้วเริ่มขมวดเข้าหากันช้าๆมากขึ้นๆ
   สาและมาร์คหมุนตัวออกมาจากวงเต้นรำ มาร์คอาสาไปเอาเครื่องดื่มขณะที่สายิ้มแป้นอย่างมีความสุขก่อนจะหันมาเจอทั้งสามนั่งอยู่ เธอเดินฉับๆเข้ามานั่งด้วย
   “มาร์คกำลังไปเอาเครื่องดื่ม สนใจมาร่วมวงด้วยไหม" สากล่าว มิกผละสายตาจากเอิร์ธมามองเธอก่อนจะถอนหายใจใส่เธอแล้วส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งมองเอิร์ธในมุมปลอดภัยเหมือนเดิม
   “เอ๊า ไอ้นี่.......แกล่ะนัท" สาถามอีก "เห้ย คิ้วจะเป็นเลขแปดแล้ว เป็นไรเนี่ย"
   นัทละสายตาจากกลางวง หันมามองเธอก่อนจะถอนหายใจแล้วส่ายหน้า ก่อนจะกลับไปนั่งมองกายและเจนในมุมปลอดภัยตามเดิม
   “โอ๊ย นี่ เป็นบ้าไรกัน" สาร้องเสียงดัง ทำเอาเอิร์ธสะดุ้ง เงยหน้าจากบีบีขึ้นมามองเธอ มิกที่ตกใจก็รีบทำเป็นหันไปมองทางอื่น
   “มีไรเหรอพี่สา" เอิร์ธถามเลิ่กลั่ก พลางเหล่มองมิกที่ทำเป็นไม่สนใจ
   “ไม่มีอ่ะ" สาพูดพลางลุกขึ้นจากตรงนั้น พลางมองเพื่อนรักทั้งสอง "ขอบอกอีกที การที่ไม่พูดอะไร มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยฉันจะบอกให้"
   มิกและนัทมองหน้าเธออย่างพยายามทำเป็นไม่เข้าใจที่เธอพูด
   “อย่าไปเดาเอาว่าเขาจะรู้สึกอย่างที่พวกแกรู้สึก" สาพูดพลางเดินออกไป "คิดอะไรแปลกๆ คนนะไม่ใช่ Facebook ที่เวลาหงุดหงิดแล้วจะมีสถานะว่า' ไม่พอใจ' ขึ้นให้คนอื่นรู้น่ะ.......ประสาท!!!”
   สาเดินพึมพำก่อนจะออกจากวงไป
   “พี่สาเขาพยายามจะสื่ออะไรอ่ะคับ" เอิร์ธถามมิกและนัท พลางทำหน้างง
   นัทมองหน้ามิกหนึ่งครั้ง
   “เอ่อ........ไม่ใช่เรื่องของเด็กน่า" มิกว่า พลางทำเป็นมองไปทางอื่นอีก เอิร์ธเลิกคิ้วพลางยิ้มที่มุมปาก ก่อนจะกลับไปกดบีบีต่อ มิกที่เห็นดังนั้นก็ถอนหายใจหนึ่งครั้งและจ้องด้านหลังศรีษะของเอิร์ธที่กำลังจมลงไปใน BBM ต่อ ในขณะที่นัทก็ยังคงหันกลับไปมองกายและเจนที่กลางวงนั้น
   เขายอมรับว่าตอนนี้เขาเปิดใจให้กายมากขึ้นแล้ว วันนี้ที่เขาหายไป ก็เพราะว่าเขาและกายออกไปเที่ยวกัน
   ใช่ เป็นการเที่ยวแบบที่คนทั่วไปจะนึกออก กายจอดรถที่เซ็นทรัลเวิร์ลก่อนจะพาเขาไปช่วยเลือกสีโคปิคชุดใหม่ ขณะที่นัทก็แวะไปร้านกล้องเพื่อดูเลนส์ดีดีใหม่ๆ เช่นกัน พอเที่ยงกายและเขาก็ทานอาหารกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่น ก่อนจะจบลงที่ดูหนังดีดีเรื่องหนึ่ง และเมื่อโทรศัพท์ของกายดังขึ้นในโรง เขาก็ไม่ได้รู้สึกอะไร จนกระทั่งออกมาจากโรงหนังเขาถึงทราบข่าวดี
   แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตอนนี้ข่าวดีถึงพลิกหน้าเป็นข่าวร้ายได้ภายในยังไม่ถึงวัน
   เขาเปิดใจให้กายมาทั้งวันแล้ว กายรู้แล้วว่าเขารู้สึกยังไง
   เป็นเขาเองที่ไม่รู้ว่ากายรู้สึกยังไง ไม่เข้าใจว่ากายทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร
   แต่ถ้าถามว่าตอนนี้เขาโกรธใช่ไหม
   เขาโกรธจนแทบอยากจะกระชากทั้งกายและเจนไปให้สาทำในสิ่งที่เธอเองก็ลืมทำไป เด็ดหัวพวกเขาไปจิ้มน้ำพริก
…..........
   เวลาล่วงเลยไปเกือบค่อนคืนงานเลี้ยงจบลงพร้อมความสุข กายที่หลุดออกจาความสนุกสนานเริ่มมองหานัทที่ดูเหมือนจะหลบหน้าหลบตาออกไป เขาและเจนเดินลงมาจนถึงชั้นล่างของ Lovable Studio เจนที่กำลังหัวเราะต่อกระซิกกับคนอื่นๆในงานเลี้ยง ควงแขนกายเดินลงมาขณะที่กายสอดส่ายสายตาจนกระทั่งเจอกับนัทที่กำลังยืนรวมกลุ่มอยู่กับมิก เอิร์ธ สา และ มาร์ค
   “อ้าวคุณกาย"  สาร้องทักขึ้น "จะกลับแล้วเหมือนกันเหรอคะ"
   “ใช่ค่ะ" เจนร้องตอบ "เราสองคนกำลังจะไปหาร้านดีดีซักที่ต่อกันน่ะค่ะ"
   “แหม ขอบคุณที่ร่วมแบ่งปันนะคะคุณเจน แต่ก็ต้องขอโทษนะคะที่ฉันอยากจะได้ยินจากปากกายเค้าเองน่ะค่ะ" สาตอบทันที "หลายเดือนมานี่ กายเองเค้าก็สนิทกับพวกเรามาขึ้จจนติดแจเลยล่ะค่ะ ไปไหนมาไหนก็ชวนไปด้วยตลอด"
   สาพูดกลั้วหัวเราะพลางมองตรงไปยังดวงตาของเจนทันที ก่อนจะยิ้มที่มุมปากน้อยๆ เจนมองเธอนิ่งอยู่พักนึง
   “นี่เธ....”
   “อ้าวเจน" เสียงของฝนดังมาจากอีกด้านของลานจอดรถ เจนหันไปมอง
   “อ้าวยัยฝน กว่าจะมา งานที่นี่เค้าเลิกแล้วย่ะ" เจนตอบพางผละจากกายออกไปรวมกับฝูงเพื่อน "กายคะ ถ้ากายยังอยากจะมากับเจน ก็รีบหน่อยนะคะ เดี๋ยวเจนจะไปตกลงกับฝนเรื่องที่ที่จะต่อน่ะค่ะ"
   “ครับ เดี๋ยวผมตามไปนะ" กายตะโกนไล่หลังเจนไป ก่อนจะหันกลับมาหานัท ที่ทำเป็นมองหน้าเขาแต่ไม่ได้แสดงอาการอะไร
   “หาคุณตั้งนานแหนะ" กายพูด "หายไปไหนมาเนี่ย"
   “อ๋อ ไม่ได้ไปไหนนี่" นัทยิ้มตอบ "ก็เนี่ย ว่าจะหาข้าวต้มทานกันน่ะ พวกเราต้องไปส่งเอิร์ธที่หอ นี่ดึกแล้ว"
   “เหรอครับ" กายตอบพลางขมวดคิ้ว
   สาที่จิกตามองเจนอยู่กลายๆถูกมาร์คสะกิดให้หันกลับมา
   “เอ่อ...อ้อ...กาย ...แล้วตกลงจะยังไงคะเนี่ย จะไปกับแฟนเก่าคุณหรือเล่าล่ะ หรือจะไปไหนยังไงคะ" สาถามทันที และทำเหมือนว่าการท้าทายเจนเมื่อกี้เธอไม่ได้จงใจแม้แต่น้อย เธอมองไปทางกาย "ว่าไงล่ะคะ"
   “เอ่อ เอาจริงๆผมก็ยังไม่ได้จะแพลนว่าจะไปไหนต่ออ่ะครับ เพราะวันนี้ผมก็เหน่ือยมาทั้งวันแล้วด้วย" กายพูดพลางมองไปที่นัท "แล้ว....คุณล่ะ จะไปไหน ยังไง"
   “ผมเหรอ" นัทพยายามทำน้ำเสียงให้เรียบๆ "ก็ เนี่ย ผมไม่มีรถไง ผมก็ต้อกลับไอ้เต่าทองของมิก พวกเขาไปไหนผมก็ต้องไปด้วยอยู่แล้ว"
   “สา มาช่วยหน่อยดิ ฉันจะจัดที่ให้นัทมัน" มิกตะโกนมาจากรถ สาและมาร์คได้ยินก็รีบปรี่ไปที่รถ ไอ้เต้าทองไม่เคยรับคนเต็มพิกัดอย่าง 5 คนมาก่อน มิกก็เลยต้องจัดแจงที่นั่งให้เรียบร้อย
   “คุณจะไปกับเขาเหรอ" นัทถามทันที แบบเรียบๆ
   “แล้วคุณจะไปกับพวกเขาหรือเปล่า" กายถามกลับเรียบๆเหมือนกัน นัทเลิกคิ้ว
   “ไม่รู้สิ......” นัทพูดตอบ กายครุ่นคิดอย่างหนัก นัทมองกายที่ทำท่าเหมือนจะออกเดิน แต่ไม่กล้าก้าว เขาเงอะๆเงิ่นๆอยู่อย่างนั้น ก่อนจะออกเดินไปทันที จะเกิดอะไรขึ้นถ้ากายกลับไปกับเจนและแก๊งค์สังคมเดิมนั่น พ่อมดของเขาจะไปร่ายมนต์ที่ไหน และจบลงที่เตียงใครอีกหรือเปล่านะ.....
   นัทกัดฟันก่อนจะคว้าหมับเข้าที่แขนกาย
   กายหันหลังกลับมา นัทค่อยๆยื่นหน้าเข้าไปใกล้กาย
   “ถ้าคุณไปกับเขา ผมเอาเรื่องคุณแน่" นัทกระซิบเบาๆ ก่อนจะปล่อยกายลง กายยืนตัวตรงก่อนจะมองหน้านัทแล้วอมยิ้ม เขาจิ้มนิ้วใส่อกของนัท
   “ก็ถ้าคุณบอก ผมก็ไม่ทำ" กายพูดก่อนจะเดินถอยหลังออกไปยังกลุ่มของเจน นัทมองตามไปอยู่ตรงที่เดิม เขาเห็นกายกละเจนพูดอะไรกันซักสองสามประโยค ขณะที่เจนมองมาทางนัทด้วยสายตาเฉียบคม นัทเลิกคิ้วใส่เธอ แต่ทว่าสาก็เดินเข้ามาควงแขนนัทตรงที่ที่เขายืนอยู่ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างใส่เจนที่อยู่ห่างออกไปซักระยะอย่างจงใจที่สุด หญิงสาวมองนัทและสาครั้งหนึ่ง เจนจะยิ้มน้อยๆ ก่อนจะดึงกายลงมาจูบทันที
   “หะ" สาพ่นลมออกจากปากเบาๆ ขณะที่ร่างกายของนัทสั่นสะท้าน
   “งั้นก็ขอให้สนุกนะคะ คุณนัท คุณสา" เจนจิราพูดทิ้งท้ายก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อนของเธอแล้วหายไป ขณะที่กายยังคงยืนโบกมือลาเธออยู่ตรงนั้น
   “ถ้าแกไม่ว่าอะไร ซักวันฉันจะตบยัยนั่นให้" สาพูดกับนัทเบาๆ "ถ้านังแรดนั่นไม่ตายคามือฉันละก็ ฉันจะเลิกถ่ายรูป และออกจากสายงานเดียวกับนั่งนั่นเลยคอยดู"
   นัทไม่ได้พูดอะไรขณะที่มองกายเดินมาหาเขาช้าๆ
   “เดาว่าฉันไม่ควรอยู่" สาขยับปากเบาๆ พลางยิ้มให้กายที่กำลังเดินมา "และเดาต่อไปอีกว่า แกคงไม่ได้กลับกับฉัน........งั้นฝากด้วยนะคะกาย พอดีรถเต็มน่ะค่ะ ต้องขอโทษจริงๆ"
   สาพูดท้ายประโยคเสียงดังทันทีเมื่อกายมาถึง
   “ผมก็กำลังจะขอตัวไปส่งนัทเค้าเหมือนกันครับ" กายยิ้มให้สาอย่างเจ้าเล่ห์ "งั้นก็คงพอดีกันเลยสินะครับสา"
   “ช..ช...ใช่ค่ะ พอดีเลย" สาพูดตอบ พลางตบมือ "งั้นไว้เจอกันนะนัท บายจ้ะ บายค่ะกาย..........ออกรถเลยมิก ไปกันเหอะ"
   สาเดินออกมาจากทั้งคู่ ก่อนจะขึ้นรถของมิก ที่มองมาทางกายและนัท
   “โชคดีนะ" มิกตะโกนหานัท พลางยิ้มกว้าง "ฝากนัทด้วยครับ คุณกาย"
   กายก้มหัวลงน้อยๆ ขณะที่มิกยิบตาให้นัทก่อนจะออกรถไปทันที
   นัทมองไอ้เต่าทองหายออกไปจากลานจอดรถ ก่อนจะหันมาเจอกายที่กำลังมองเขาพลางอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “แล้วจะไปไหนกันดีครับ.....คุณ....นัท"
   นัทเผยอปากขึ้นเล็กน้อย พลางหันไปมองอย่างอื่น
   “ก....ก็......ค...คุณบอกจะพาผมกลับบ้านไม่ใช่รึไง" นัทว่า "ก็ไปดิ"
   กายหัวเราะเบาๆก่อนจะเกาจมูกตัวเอง เขาจับมือนัทก่อนจะพาเดินไปยังรถของสปอร์ตคันเดิม ก่อนจะเปิดประตูให้นัท
   “เชิญเข้าที่เดิมครับ" กายว่า นัทย่นจมูกใส่กายก่อนจะขึ้นรถ เมื่อกายขึ้นรถตามมา ชายหนุ่มสตาร์ทเครื่องก่อนจะบึ่งรถออกจาก Lovable Studio ทันที
   บทท้องถนนยามค่ำคืน เป็นเวลาแบบนี้อีกแล้ว และความรู้สึกแบบน้อีกแล้วที่นัทขึ้นมาบนรถครั้งนี้ เหมือนตอนที่ไปบางแสน เขารู้สึกเหมือนไม่กล้าจะพูดอะไรทั้งสิ้น ได้แต่มองออกไปข้างนอกรถ
   “นัท" กายเอ่ยขึ้น
   “อะไร" นัทตอบแบบรวดเร็ว เหมือนเตรียมตัวมาอยู่แล้ว กายหัวเราะเบาๆ
   “จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ ถ้าผมไปกับเจน" กายพูดพลางยิ้มที่มุมปาก
   “ก...ก็....ผมก็จะไม่มีใครไปส่งบ้านไง" นัทพูดแก้เก้อ "ก็สาเค้าบอกแล้ว ว่ารถมันเต็ม แล้วต้องไปส่งเอิร์ธ"
   “อ้อเหรอ" กายทำน้ำเสียงกวนๆ
   “แล้วอีกอย่าง คุณก็พาผมไปข้างนอกทั้งวัน ต้องเป็นคุณนั่นแหละ ที่ไปส่งผมถึงช้า" นัทว่า
   “คร้าบบบ ยังไงผมก็จะรับผิดชอบคุณ....." กายยิ้มตอบ นัทหันมามองกายทันที "…....ไปส่งถึงบ้านอยู่แล้ว ถึงคุณไม่บอกน่ะ"
   “จริงเหรอคุณ" นัทถามเสียงขุ่น
   “จริงสิ แค่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าคุณอยากจะไปกับเพื่อนคุณจริงหรือเปล่า ผมก็เลยทำไรไม่ถูก" กายตอบเรียบๆ
   นัทส่ายหน้า นี่หมอนี่ไม่รู้เลยเหรอว่าก่อนจะลงมาที่ลานจอดรถ ทำอะไรเอาไว้
   “ถ้าคุณอยากไปกับเพื่อน ผมก็ไม่อยากบังคับ" กายพูดอีก "เวลาคุณอยู่กับเพื่อนๆ ผมไม่อยากเข้าไปยุ่งน่ะ"
   นัมรู้สึกเหมือนโดนว่าทางอ้อมทันที
   “ก็ถ้าคุณอยากอยู่กับเพื่อนของคุณ คุณจะไปก็ได้นะ" นัทพูดเสียงแข็ง
   “โห ลองโกรธแบบนี้ ผมไปก็ตายดิครับ" กายตอบพลางยิ้มที่มุมปาก "คุณไม่ได้เห็นผมไปกับเพื่อนแน่ดูท่าแล้ว"
   “ดูเขาไม่ได้อยากจะเป็นแค่เพื่อนคุณนะ" นัทพูดตรงๆกายเงียบเสียงลง
   “ผมกับเจน เราไม่มีอะไรต่อกันอีก" กายพูดเรียบๆ "ไม่มีอีกแล้วล่ะ"
   เขาเลี้ยวรถทันที
   “นั่นคุณจะไปไหนอ่ะ บ้านผมไปทางสาธุประดิษฐิ์นะ" นัทว่า
   “คุณไม่ได้ไปกับเพื่อนคุณ แถมคุณไม่อยากให้ผมไปกับเพื่อนผม" กายว่า "เพราะงั้น คืนนี้คุณต้องอยู่กับผม"
   “อะไรนะ ไม่เอา ผมจะลง" นัทร้องโวยวาย
   “ถ้าคุณร้องนะ ผมจะเปิดประทุน เอาดิ" กายว่า พลางยื่นหน้ามาใกล้ๆเขา "คืนนี้สนุกกันนะ"
   นัทขมวดคิ้วใส่กาย
   "นี่คุณ.....”
   “ยอมรับสิ ที่คุณลืมผมไม่ได้  และที่คอยหึงผมตลอดเวลาเนี่ย" กายเดาะลิ้นหยั่งเชิง "เพราะคุณรู้สึกว่าผมเป็นของคุณแล้ว ซึ่งถ้าว่ากันตามท่าทางการกระทำจริงแล้วเนี่ย คุณน่ะเป็นของผมซะมากกว่า"
   “พูดอะไรอ่ะ ทุเรศว่ะคุณ" นัทสบถ
   กายหัวเราะก่อนจะเร่งความเร็วตรงรี่ไปให้ถึงคอนโดหรูของเขาแถวสาทร นัทไม่ที่พูดอะไรไม่ได้หรือโวยวายอะไรไม่ได้ เพราะกายเปิดประทุนรถสปอร์ตของเขาซะแล้ว จึงได้แต่นั่งนิ่งๆ เมื่อรถของกายจอดนิ่งสนิทที่ใต้คอนโดราคาแพงกลางสาทร เขาหันมานัทก่อนจะจับมือนัทอย่างอ่อนโยน
   “อยู่กับผมคืนนี้นะ" กายว่า พลางมองเข้าไปในตาของนัท ที่ทั้งที่จริงแล้ว
   เขาอยากอยู่กับกาย ไม่ใช่แค่ข้ามคืนนี้ไป.....
   แต่ตลอดไป......
….........
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 19) - 06/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 06-08-2011 19:46:13
ทั้งนัททั้งกายแหละพยายามปรับตัวหากันก็แล้วกัน
ก็แต่ละคนต่างก็เคยใช้ชีวิตในแบบของตัวเองมานี่นะ
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 19) - 06/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: roseen ที่ 06-08-2011 20:16:54
 :กอด1: :กอด1: :กอด1:



































หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 19) - 06/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-08-2011 23:38:13
บทที่ 20 Listen to me......please

   ห้องของกายในสายตานัทไม่มีอะไรมากนัก หากไม่นับเรื่องที่ห้องอยู่ที่ชั้น 46 ซึ่งเป็นชั้นที่มีสระว่ายน้ำต่างหาก รวมถึงสวนหย่อมที่ระเบียงด้านบน และไม่นับเรื่องที่เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นในห้องนอนดูจะหาซื้อมาจากแบรนด์เนมยี่ห้อดังของงานโปรดักดีไซน์ทั้งหลายมาตั้งรวมไว้ นอกนั้นก็คงไม่อะไรสะดุดตามากไปนัก
   นัทนั่งนิ่งอยู่โซฟากลางห้องของกายอย่างตกประหม่า เขาไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไรดี กายพาเขามานั่งที่ตรงนี้ก่อนจะเดินไปทำอะไรต่อมิอะไรทั่วห้อง อย่างที่เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักว่ากายต้องการจะทำอะไรเพราะเขาไม่ได้เปิดไฟในห้องแม้แต่ดวงเดียว แต่ด้วยห้องกายเป็นผนังกระจก แสงจากด้านนอกจึงส่องเข้ามาได้อย่างพอเพียงบ้าง คำพูดสุดท้ายก่อนที่กายจะหายไปก็คือ "ขอผมอาบน้ำก่อนนะ"
   จะมาขอทำไมเล่า!!!!
   นัทนั่งจมอยู่กับความมืดและความเงียบได้ไม่นานก็เริ่มลุดขึ้นเพื่อผ่อนคลายความตื่นเต้น นัทเดินคลำไปตามผนังห้องเพื่อหาสวิตซ์ไฟ ความมืดบวกกับความตื่นเต้นมันเป็นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเกินไป นัทต้องควบคุมมัน เขาคลำไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปเจอกับรูปภาพใบหนึ่งที่ตั้งอยู่บนโต๊ะริมผนัง มันเป็นภาพถ่ายคู่ที่กายถ่ายคู่อยู่กับเจนนั่นเองโดยมีฉากหลังเป็นสวนหน้าหอไอเฟลที่ฝรั่งเศส ใบหน้าของกายในรูปถ่ายดูมองเห็นไม่ชัดนัก แต่ด้วยแสงสลัว นัทรู้สึก่าในรูปถ่ายนั้นไม่เหมือนกายซะทีเดียว หรืออีกนัยก็คือกายดูเด็กมากจนนัทแทบจำไม่ได้
   “คุณมีช่วงเวลาดีดีที่ปารีสบ้างหรือเปล่า" เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง เื่อนัทหันไปดู กายอยู่กลางห้องโดยนุ่งเพียงผ้าเช็ดตัวผืนเดียว
   “เอ่อ ก็.....มีสิ" นัทพูดพลางรีบเก็บรูปขอกายวางลงที่เดิมอย่างระมัดระวัง พลางมองไปยังร่างกายที่ต้องแสงจากภายนอก มันทำให้หัวใจของนัทเต้นรัว "ก็ตอนไปจัดแกลอรี่ที่นั่น ทุกๆคนก็ตื่นเต้นกันหมดแหละ"
   “อ่อ จริงสินะ คุณมีเพื่อนห้องล้อมเต็มไปหมดเลยนี่" กายว่าพลางเดินไปยังเสตอริโอมุมห้องก่อนจะเปิดเพลงแจสอิเลคโทรเบาๆ
   “พูดเหมือนคุณไม่มีเพื่อนไปได้" นัทว่าพลางเดินไปยังผนังกระจก เพื่อมองออกไปยังกรุงเทพยามราตรีที่อยู่รายล้อม
   “ผมมี แต่ไม่ค่อยมีใครห้องล้อมเหมือนคุณนี่" เสียงของกายดังมาใกล้ๆตัวนัท และเมื่อเขารู้ตัว กายก็โอบกอดตัวเขาไว้จากด้านหลัง
   นัทกะเอาไว้แล้วว่ากายจะต้องทำอะไรประมาณนี้เขาจึงไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก
   “ต้องการจะสื่ออะไรปะเนี่ยคุณ" นัททำเป็นขัดขืนเล็กน้อยพอเป็นพิธี "อย่ามาทำเป็นคนขี้เหงาหน่อยเลยคุณผมไม่เชื่อหรอก คุณอ่ะ มีเพื่อน.....เห้ยยยยย"
   นัทถึงกับสะดุ้งโหยงเมื่อเขาเพิ่งจะรู้สึกตัวว่า กายไม่ได้นุ่งผ้าเช็ดตัวอีกต่อไปแล้ว กายโอบเขาด้วยเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมากไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าส่วนล่างของกายจะชูชันขึ้นมาดันด้านหลังของนัทจนเขารู้สึกได้
   “ขอโทษที" กายพูดด้วยเสียงแผ่วเบา "มันตื่นเร็วไปหน่อย"
   นัททำหน้าเหยเกหนึ่งครั้ง เขาควรจะต้องบอกให้กายรู้เสียก่อนว่าถ้าจะทำอะไรก็น่าจะให้เขาเตรียมตัวก่อนไม่ใช่ลากตัวเขามาทำอะไรแบบนี้ตามใจชอบ
   “นี่คุณ....”
   นัทหันหลังกลับมาประจันหน้ากับกาย แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรกายก็จูบลงที่ริมฝีปากของเขาอย่างนุ่นมนวล นัทผละออกจากปากของกาย
   “คุณเมามากแล้วล่ะกาย ใส่เสื้อผ้าเถอะ ผม.....”
   กายจูบนัทอีกครังหนึ่ง นัทผละออกจากตัวอีกครั้ง
   “ผ...ผมไม่ควรจะมาอยู่นี่ ผมไม่คุ้นกับ.....”
   กายจูบนัทอีกครั้งหนึ่ง ไม่ปล่อยให้อะไรๆหลุดมือไปง่ายๆแน่นอน
   “ผม...ผม.......ผมหมดข้ออ้างแล้ว" นัทพูดเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้กาย
   “ขอบคุณ" กายยิ้มให้นัมอีกครั้งก่อนจะจู่โจมเข้าใส่นัทอย่างทันที
   ทันทีที่ม่านปิดลง กายและนัทใช้โซฟาเป็นจุดเริ่มต้นของเกมส์รักครั้งนี้ มันไม่เหมือนครั้งก่อนแล้ว ครั้งนี้นัทเต็มใจเข้าร่วมเกมส์อย่างเต็มที่ เขาถอดกางเกงยีนส์ออกจนลงไปกองกับพื้นข้างตัว กายมองไปตามร่างกายของคนพิเศษของเขาก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
   “อย่างมองดิ ผมเขินนะ" นัทพูด แม้ว่าตัวเองจะปล่อยให้กายที่เปลือยเปล่าอยู่เหนือตัวของเขามาหลายนาทีแล้ว "มีอะไร"
   กายเหล่มองปราการสุดท้ายของนัทอย่างเจ้าเล่ห์ ชั้นในสีขาวที่เขายังไม่ได้ถอด
   “จะให้ผมถอดให้หรือไง" กายกระซิบ
   “รู้แล้วยังจะถามอีกเหรอ" นัทกระซิบที่ข้างหูของกาย และหลังจากนั้นบทบรรเลงเพลงรักยามค่ำคืนก็ร้อนระอุ ก็เกิดขึ้น โดยที่นัทไม่รู้ตัวเลยว่า เขาได้ปล่อยให้ตัวเองเจ็บปวดกับการกระทำแบบเดิมอีกครั้ง แต่ต่างกันตรงที่ เขาเต็มใจไปกับมันอย่างเต็มตัว
…....
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 20 (มีต่อ)) - 31/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 01-09-2011 00:29:59
ดีใจจังคุณ M2M_Jill พากายกับนัทมาให้หายคิดถึงแหละ
แต่ดีใจยังไม่ทันได้หุบยิ้มเลย ก็ไปแระ  ยังไม่จุใจเลยค่ะ
คราวนี้คงไม่มีมารผจญนะ
หัวข้อ: Re: [Return] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 20 (มีต่อ)) - 31/08/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-09-2011 23:19:16
“มันไม่มีเหตุผลเอาซะเลยอ่ะ" มิกบ่นอิดออดทันที ขณะที่เอิร์ธได้แต่นั่งทำตาปริบอยู่ที่เบาะหลัง ขณะที่สาและและมาร์ค มองมิกอย่างเอาเป็นเอาตาย
   “ผมก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้มันเกิดเรื่องหรอกคับ" เอิร์ธพูด "ก็ใครจะรู้ล่ะว่าแม่จะมาอ่ะ"
   “เอาเถอะน่ามิก น้องมันก็โกหกไปแล้ว ทำอย่างกับแกไม่เคยโกหกแม่หนีเที่ยวไปได้" สาพูดทันทีพลางมองหน้ามิกเชิงขอร้อง
   “อ้าว แล้วไหงหวยมาออกที่ฉันล่ะ" มิกพูดอย่างหัวเสีย
   คือเรื่องของเรื่องมันเกิดขึ้นจากการเดินทางของไอ้เต่าทองที่กำลังสนุกสนานเฮฮาของ มาร์ค สา มิกและเอิร์ธ มันจบลตรงที่เสียงโทรศัพท์ของเอิร์ธดังขึ้นอย่างกระทันหัน และปรากฎว่าเป็นแม่ของเอิร์ธที่ทำให้เสียงเฮฮาในรถลดลงอย่างหวบห้าบ แม่ของเอิร์ธคิดว่าเอิร์ธจะอยู่หอในวันสุดสัปดาห์แบบนี้ จึงคิดว่าจะพาลจะมานอนค้างเป็นเพื่อนลูกที่หอซักหน่อย โดยไม่รู้เลยว่าลูกชายตัวดีเมามายไปกับแสงสีของอาชีพในอนาคตซะแล้ว เอิร์ธโกหกแม่ว่าเขาและพี่ๆที่ผึกงานไปถ่ายแฟชั่นกันที่ต่างจังหวัดและคงจะยังไม่กลับจนกว่าจะวันอาทิตย์ ผลจากการกระทำนี้ทำให้มิกต้องรับภาระในการพาเอิร์ธไปนอนค้างที่บ้านขณะที่มาร์คและสาก็ตามสไตล์เดิม ขอเจ้าเต่าทองไปลั่นล้ากันสองคน
   เมื่อเจ้าเต่าทองแล่นออกจากบ้านมิกที่ริมน้ำถนนเจริญกรุงไปได้ มิกมองหน้าเอิร์ธที่ยิ้มให้เขาแหยๆบนใบหน้าที่แดงกำ่
   “อั่นแน่ ทำเป็นหงุดหงิด ก็อยากให้ผมอยู่ด้วยต่ออ่ะดิ" เอิร์ธพูดแทบไม่เป็นภาษาพลางชี้นิ้วมาทางมิกพร้อมตาเยิ้ม
   “ไอ้นี่ คอไม่แข็งนี่หว่า มานี่มา" มิกลากตัวเอิร์ธเข้ามาในบ้านทันที ก่อนจะวางตัวเจ้าตัวแสบลงบนเก้าอี้หวายขนาดใหญ่กลางบ้าน มิกถอดเสื้อตัวเองออกและโยนมันไปไว้มุมหนึ่งและม้นวขากางเกงตัวเองขึ้น
   “อั่นแน่ จะทำอะไรอ่ะพี่" เอิร์ธถามอีก
   เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งขณะมองเอิร์ธ เสมือนว่าตัวเองเตรียมพร้อมที่จะขัดห้องน้ำครั้งใหญ่
   “เอาวะ"
   มิกจัดแจงถอดเสื้อผ้าของเอิร์ธที่ไม่มีอาการขัดขืนใดใด ก่อนจะลากตัวเด็กหนุ่มที่มีเพียงบ๊อกเซอร์ไปยังห้องน้ำของบ้าน ห้องน้ำของมิกปูพื้นด้วยไม้ และตีรั้วกั้นโดยรอบๆเป็นตารางและปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ โดยเพดานเปิดโล่ง เป็นห้องน้ำที่ท้าลมห่มฟ้าทีเดียว มิกเปิดก๊อกน้ำใส่ตัวเอิร์ธทันที
   “เห้ย อะไรเนี่ยพี่มิก" เอิร์ธร้องโวยวายทันทีที่น้ำตกลงถึงหัว เขาถูกจับให้นั่งลงกับพื้นไม้ของห้องน้ำ ขณะที่มิกเริ่มนำฝักบัวรดไปรอบๆตัวเอิร์ธที่พยายามเบี่ยงตัวหลบสายน้ำเต็มที่ มิกใช้กำลังของตัวเองจับตัวเอิร์ธให้อยู่นิ่งๆก่อนจะเริ่มเอาครีมอาบน้ำถูไปทั่วตัว เด็กหนุ่มได้กลิ่นสบู่พร้อมกับสยน้ำจากฝักบัวที่ไหลไม่หยุด ปลุกสติสัมปชัญญะที่ล่องลอยของเอิร์ธให้ตื่นขึ้นอย่างเต็มตัว
   “เห้ยพี่มิก พี่ถอดของผมหมดเลยเหรอ" เอิร์ธร้องเสียงอันดัง อย่างชัดเจนเป็นอันว่าไอ้ตัวแสบของมิกตื่นเต็มตาแล้ว
   “แกเปลือยมาจะครึ่งชั่วโมงและ" มิกว่า "ตื่นได้ซะทีนะ"
   “โหยพี่ เปียกหมดเลย ผมไม่มีบ๊อกเซอร์มาเปลี่ยนนะ" เอิร์ธว่า
   “เหรอ" มิกทำเสียงใส "แล้ว โก หก แม่ ทำ ไม กัน เล่า ไอ้ ตัว แสบ"
   มิกขยี้หัวของเอิร์ธไปทีละคำพูดของตัวเอง
   “โอ๊ยอะไรเนี่ยพี่" เอิร์ธว่าพลางป้องปัดทรงผมอัหล่อเหลาที่คงจัดหล่อมาทั้งวันอย่างเต็มที่ ขณะที่มิกก็เริ่มโวยวายให้อยู่เฉยๆ เพราะมันใกล้จะเสร็จแล้ว "ก็ถ้าไม่โกหก แล้วผมจะได้มาเคลียร์กับพี่เปล่าล่ะ"
   มิกปิดก๊อกเป็นอันเสร็จพิธีพอดีกับที่วลีสุดท้ายเข้าหู
   “ว่าอะไรนะ" มิกถามอีกที
   เอิร์ธลุกขึ้นพลางขว้าผ้าเช็ดตัวที่แจวนอยู่ริมห้องน้ำมาห่มตัวเองพลางมองไปหามิกแล้วขวมดคิ้ว
   “ว่าอีกทีดิ๊ เคลียร์อะไรวะ ไม่เข้าใจว่ะ" มิกพูดพลางลูบน้ำออกจากตัวเองขณะมองไปหาเอิร์ธที่ยืนตัวสั่นขณะองมาหาเขาด้วยสายตาจริงจัง
   “พี่ไม่รู้จริงๆเหรอ" เอิร์ธว่า "เห้ย พี่แม่ง อย่าพูดชุ่ยๆงี้ดิ"
   มิกคิดว่าไอ้นี่คงยังไม่หายเมาแหงม ถึงได้พูดอะไรพิลึกพิลั่นปานนี้
   “แล้วมึงพูดเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย จะเคลียร์อะไร" มิกพูดเสียงดังอีก เอิร์ธส่ายหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะเดินชนไหล่มิกออกไปจากห้องน้ำ มิกถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะเดินตามออกไป
   “เห้ยอะไรของแกวะเอิร์ธมาพูดกันให้รู้เรื่องดิ๊" มิกคว้าไหล่ของเอิร์ธให้หันกลับมาประจันหน้ากับตน เอิร์ธมองหน้ามิก
   “พี่ทวนดิ ว่าวันนี้พี่ทำอะไรลงไปบ้าง" เอิร์ธว่ากลับ "ทวนมาครับ"
   มิกหัวเราะเบาๆ เอาก็เอาวะ
   “วันนี้อ่ะเหรอ" มิกพูด "ก็ถ่อไป Crystal Design กับแกไง เสร็จแล้วก็กลับมานี่ แล้วก็ไปปาร์ตี้ แล้วก็วนกลับมาที่นี่อีกตอนตีหนึ่งนี่ไงวะ"
   “แค่นั้นเหรอพี่ แล้วพี่พูดอะไรกับผมไว้อ่ะ" เอิร์ธพูดอีก
   “พูดอะไร" มิกขมวดคิ้ว
   “ก็เมื่อตอนบ่ายไง" เอิร์ธตอบ "ตอนที่เราสองคนรู้ว่าต้องไปปาร์ตี้ พี่พูดอะไรกับผม"
   “ก็.....” มิกอ้าปากค้าง เขางานเข้าซะแล้ว
   “พี่ไม่มายในสิ่งที่พูดไปมั่งไง?” เอิร์ธพูด
   “เหอๆ ใครกันแน่ไม่มายวะ" มิกพูดตรงๆพลางเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า พลางโยนชุดนอนไปให้ เอิร์ธรับไว้ในมือ
   “ก็นี่ไง ผมถึงอยากมาอยู่เคลียร์" เอิร์ธพูดพลางแต่งตัวทันที ขณะที่มิกหยิบผ้าเช็ดตัวของตัวเองมา เตรียมตัวจะไปอาบน้ำ "อ้าว จะไปไหนอีกอ่ะ เคลียร์กันก่อนดิ พี่จะเอาไง"
   “เอาไงอะไร" มิกถามกลับพลางหลบหน้าหลบตา
   “พี่มิก ดีดีดิ ผมจริงจังนะ" เอิร์ธว่า
   “ไม่ยักรู้ว่าจริงจัง" มิกพูดพลางปิดตู้เสื้อผ้าลงพลางเดินไปยังห้องน้ำ
   “พี่มิก" เอิร์ธพูดเสียงเข้มจนมิกตกใจจนต้องหันกลับมามอง เด็กหนุ่มมองหน้าเขาพลางครุ่งคิดอย่างหนัก เขามองหน้าเอิร์ธ
   “ก็ใช่ พี่ขอเราเป็นแฟน" มิกพูด
   “แล้ว?” เอิร์ธถามต่อ "พี่หงุดหงิดอะไร"
   “หงุดหงิดอะไร พี่ไม่ได้หงุดหงิด" มิกพูดเสียงดัง
   “ก็เนี่ยพี่หงุดหงิด" เอิร์ธว่า "พี่เป็นมาตั้งแต่ในงานเลี้ยงแล้ว"
   “เอาล่ะ" มิกเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว สงสัยงานนี้เขาคงจะต้องปรับอะไรบางอย่างซะแล้ว "รอพี่อาบน้ำแป้บนึง แล้วเดี๋ยวเรามาคุยกัน"
   มิกทิ้งเอิร์ธยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น มันไม่ใช่ครั้งแรกที่มีคนพูดอะไรแบบนี้กับเขา แต่ในเมื่อตอนบ่าย เขาขอให้เกิดมีความสัมพันธ์พิเศษให้เกิดขึ้นกับเอิร์ธแล้ว มันก็คงต้องเป็นเอิร์ธ ที่ต้องมานั่งทำความเข้าใจกันเสียแล้ว
   เขาไม่สนใจใครหรอก นอกจากคนที่เขาให้ความสำคัญ
   และเขาก็เจอแล้ว
….....
หัวข้อ: Re: [เกริ่นนำใหม่] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 20 จบ) - 1/09/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-09-2011 02:21:47
บทที่ 21 Wake me Up!!!

   แสงจากตะเกียงถูกจุดขึ้นเหนือหัวของเอิร์ธที่นั่งมองแม่้ำเจ้าพระยายามค่ำคืนจากชานบ้าน มิกแขวนมันไว้ที่เสาก่อนจะนั่งลงข้างๆเอิร์ธที่ตรงนั้นเอง
   “อ่ะ เคลียร์ไรว่ามา" มิกว่าพลางเช็ดหัวที่เปียกปอนหลังอาบน้ำด้วยผ้าเช็ดตัว
   “ผมมีคำถามเดียว" เอิร์ธหันมามองหน้ามิก ที่เลิกคิ้วมองอย่างสงสัย
   และในทันที เอิร์ธก็จูบเข้าที่ริมฝีปากของมิกทันที ชายหนุ่มถึงกับทำอะไรไม่ถูกปล่อยผ้าเช็ดตัวที่อยู่บนหัวร่วงลงพื้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะผละออกจากเอิร์ธพลางมองเข้าไปในดวงตาของเด็กหนุ่มที่ตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามมากมาย
   “ผม....”
   “แกเหงาใช่ไหม" มิกพูดแทรกทันที เอิร์ธถึงกับทรุดลงตรงนั้น พลางมองหน้ามิก ที่เม้มปากอย่างพินิจ "เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมาวันนี้ก็เพราะแค่แกเหงาเท่านั้นเองใช่ไหมเอิร์ธ"
   เด็กหนุ่มก้มหน้าลงกำหมัดแน่น มิกถอนหายจครั้งหนึ่ง
   “มีอะไรอีกไหม" มิกถามเอิร์ธทันที
   “พี่มิก พี่จะคิดจริงจังกับผมหรือเปล่า" เอิร์ธถามขึ้น
   “มันสำคัญด้วยเหรอวะ" มิกตอบ
   “ไม่เอาคำตอบแบบนี้พี่" เอิร์ธว่า "ผมขอคำตอบแบบที่ออกมาจากความรู้สึกพี่จริงๆได้หรือเปล่า"
   มิกนิ่งไปพักนึง
   “ล...แล้วจะให้พี่ตอบไงวะ" มิกพูด "จะตอบว่าไม่จริงจัง แม่งก็ดูเลวดิ แล้วอีกอย่าง ทำไมแกไม่บอกความรู้สึกแกบ้างอ่ะ"
   “พี่ก็รู้แล้วนี่ว่าผมเหงาอ่ะ" เอิร์ธพูด
   “แกจะเอาความรู้สึกง่ายๆแบบนั้นขึ้นมาเป็นสาเหตุที่เป็น เอ่อ....แฟนพี่อ่ะเหรอเอิร์ธ" มิกถาม "มันจะไม่ง่ายไปหน่อยเหรอวะ"
   “มันง่ายแบบนั้นแหละพี่" เอิร์ธพูด "พี่มิก คนเราใชีชีวิตกันอยู่ทุกวันนี้ก็ใช้ความรู้สึกเป็นที่ตั้งนะ ผมจะไม่งัดเหตุผลอะไรขึ้นมาทั้งนั้น ถ้าความจริงมันอยู่ที่ความรู้สึกของผม"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอีกครั้ง
   “งั้นพี่ก็ไม่มีอะไรจะพูดเหมือนกัน" มิกว่า เอิร์ธเบิกตากว้าง
   “ทำไมล่ะพี่" เอิร์ธถาม
   “เพราะพี่เองก็เหงาเหมือนกันมั้ง" มิกขมวดคิ้วพลางมองออกไปยังสายน้ำที่ไหลเอื่อยๆตรงหน้า
   “พี่ก็เลยขอผมคบงั้นเหรอ" เอิร์ธถามอีก "ผมตกลงนะ"
   มิกหันมามองหน้าน้อง
   “ผมตกลงจริงๆนะพี่" เอิร์ธว่า "นี่ผมไม่ได้พูดเล่นๆหรอกนะ"
   “งั้นรู้ป่ะทำไงถึงจะได้มาเป็นแฟนพี่อ่ะ" มิกถามหลางยิ้มที่มุมปาก
   “โห มีเงื่อนไขด้วยเหรอ กับผมเนี่ยนะ...." เอิรืธทำหน้าเก็กหล่อแบบกวนๆ "….กับผมเนี่ยนะ"
   “เอิร์ธ มันก็ถูกนะว่าคนเราน่ะใช้ชีวิตด้วยภาวะทางอามรมณ์แต่บางทีการอธิบายถึงสาเหตุและที่มาของอารมณ์เหล่านั้น มันก็ช่วยให้อะไรง่ายขึ้นนะ" มิกพูด "เอาอย่างนี้......นายควรจะเริ่มจากการทำความเข้าใจตัวนายก่อนว่ารู้สึกอะไรยังไง ก่อนที่จะไปมีความรู้สึกดีดีกับใครอ่ะ รู้จักตัวเองก่อนดีปว่าป่ะ"
   เอิร์ธมองหน้ามิกเหมือนไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “รู้สึกอะไรยังไงอ่ะเหรอ" เอิร์ธถาม
   “ใช่ มันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องเป็นเรื่องงานหรอก เวลาเรารู้สึกดีดีกับใครซักคนอ่ะ บางทีการกระทำอย่างเดียวมันไม่พอนะ นายต้องบอกเขาด้วย" มิกว่า "ง่ายๆก็ อย่างวันนีี้ ตอนนี้อ่ะ นายรู้สึกยังไง"
   “ตอนนี้เหรอ" เอิร์ธว่า "ผม....ไม่อยากให้เราสองคนเข้าใจอะไรผิดกันอ่ะพี่ ผมรู้สึกว่าทั้งวันมานี่ ผมกับพี่แปลกๆละ เหมือนว่ามีใครกำลังเข้าใจใครผิดอ่ะ"
   “อืมมม ก็แค่นั้นแหละ เห็นมะ ก็แค่พูดออกมา จัดระเบียบความคิดตัวเอง แค่นี้พี่ก็รู้และ ว่าแกต้องการอะไร" มิกว่า
   “แล้วยังไงอ่ะพี่ บอกผมกลับมาบ้างดิ" เอิร์ธย้อน
   “อ๋อ...ก็...ได้.........วันนี้เหรอ....เอ่อ....” มิกเม้มปากเล้กน้อยอย่างเก้อเขิน "ก็...พี่ก็หงุดหงิดที่แกลากพี่ไป Crystal Design Center ไปรับรู้เรื่องงี่เง่าของแกอ่ะ แล้วก็...เอ่อ.....หลังจากที่ขอแกเมื่อเย็นใช่มะ.........ตอนงานก็หงุดหงิดที่แกเที่ยวไปติดคนนู้นนี้ ทำอย่างกับที่คุยกันเมื่อเย็นเป็นเรื่องเล่นๆน่ะ"
   “ผมทำพี่หงุดหงิดขนาดนั้นเลยเหรอ" เอิร์ธทำเสียงทุ้ม
   “ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอก ก็ถ้าแกบอกว่าที่พูดไปเมื่อเย็นแกจริงจังจริงๆ พี่ก็ไม่โกรธแล่ว" มิกพูด แม้ว่าจะพยายามไม่ให้ตัวเองหน้าแดง
   “จริงอ่ะ พี่ไม่โกรธผมแล้วใช่มะ" เอิร์ธถามอีก
   “เออน่า......แล้วไงอีก" มิกถามต่อทันทีแก้เก้อ "ทำไมถึงคิดว่าพี่จะปลอบใจแกได้วะ ที่เขียนไว้หลังโพสอิทอ่ะ"
   “อ๋อ ตอนนั้นอ่ะเหรอ......” เอิร์ธเหลือกตาครุ่นคิด "ก็....ผมไม่มีใครอ่ะพี่ ผมไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นยังไงอ่ะอ่ะ กับแพร ผมก็เลยอย่าหาใครซักคน ที่จะเข้าใจผมได้มากที่สุด แต่ผมไม่อยากให้คนนั้นเข้าใจแพรอ่ะ เพื่อนผมคนอื่นๆ เขาเข้าใจแพรหมดเลย"
   “อ่อ..หาพวกว่างั้น........” มิกหรี่ตาลง "แล้วทำไมถึงต้องเป็นพี่อ่ะ"
   “โห พี่ ถ้าถามว่าทำไมถึงต้องเป็นพี่นี่ มันก็ต้องตั้งแต่วันแรกแล้วนะ" เอิร์ธว่า พลางหุบปากครั้งหนึ่ง เหมือนกับอะไรเพิ่งหลุดปากออกไป
   “อะไรนะ" มิกยื่นหน้าเข้าไปหาเอิร์ธทันที "บอกมาดิ๊"
   เอิร์ธยิ้มกวนๆครั้งหนึ่งก่อนจะหายใจเข้า
   “ก็......ตั้งแต่วันแรก ที่ผมเจอพี่อ่ะ มันเหมือนกับผมมองเห็นตัวเอง" เอิร์ธตอบ "ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม แต่ถ้าถามว่าทำไมต้องเป็นพี่ ผมตอบได้แค่ว่า......ผมรู้สึกว่าพี่พร้อมเสมอ ที่จะให้ความสำคัญผม"
   มิกเงียบเสียงลง
   “ทุกครั้งที่พี่พยายามเข้าถึงความรู้สึกของผม พี่ไม่เคยต่อต้าน ทั้งๆที่ผมก็เป็นของผมอย่างเนี้ย แต่พี่ก็พยายามจะช่วย" เอิร์ธตอบ "อย่างตอนนี้ พี่ก็พยายามให้ผมจัดลำดับความคิดตัวเอง สามารถอธิบายตัวเองให้คนอื่นเข้าใจ ผม...ผมดีใจที่มีพี่ แล้ว....พอเกิดเรื่องวันนี้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมโคตรอยากได้พี่เป็นแฟนเลย"
   มิกหัวเราะในคอเบาๆ
   “ขำไรอ่ะ" เอิร์ธว่าอีก "พี่มิกผมจริงจังนะ ผมไม่รู้หรอกว่าผู้ชายกับผู้ชายเขาคบกันยังไงอ่ะ แต่ตอนนี้อ่ะ ผมอยากจะคบกับพี่จริงๆนะ"
   “งั้นเอางี้" มิกจับตัวเอิร์ธให้นั่งตัวตรงแล้วหันนั่งหน้าหากัน "มองตาพี่ แล้วคิดตามนะ"
   เอิร์ธมองตามิกที่จ้องเขาอย่างมีความหมาย
   "พี่ไม่ใช่แพร พี่ไม่ใช่ผู้หญิงนะ" มิกว่า "พี่เป็นคนเข้าใจยาก พี่มีชีวิตแบบของพี่ พี่อาจจะชอบนัท แต่พี่ก็ไม่ได้เป็นเกย์เหมือนกัน และพี่ก็อาจจะยังลืมนัทไม่ได้เหมือนกันด้วย
   "พี่เพิ่งรู้จักเราแค่สามเดือน และพี่ก็จะอยู่กับเราแบบนี้ไปจนเราฝึกงานครบชั่วโมงเท่านั้น หลังจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างแกกับพี่ จะเป็นยังไงก็ยังไม่รู้ และพี่ก็ไม่ขอทำอะไร เพื่อให้ตัวเองดูเป็นการเรียกร้องให้เราอยู่กับพี่ เพราะพี่เองก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มันเกิดขึ้นตอนนี้เหมือนกัน
   “ที่พี่พูดมามันไม่ได้หมายความว่าพี่จะบอกว่าได้หรือไม่ได้นะ พี่แค่พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเฉยๆ" มิกว่าเอิร์ธยังคงนิ่งสนิท "แกเข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม แกยังคิดตามอยู่ใช่หรือเปล่า"
   มิกมองเข้าไปในดวงตาที่ส่องความรู้สึกว่างเปล่าของเอิร์ธอย่างเงียบสนิทอยู่ครู่หนึ่ง
   “ที่พี่พูดมา ผมไม่อยากรับรู้เลยซักเรื่อง มันอาจจะเป็นปัญหาก็ได้ มันอจจะเป็นความจริงก็ได้ แต่ผมยังขอยืนยันคับพี่มิก ยืนยันคำตอบเดิม" เอิร์ธตอบเบาๆ "แล้วพี่อ่ะ พี่ยังยืนยันคำตอบเดิมหรือเปล่า"
   มิกหลับตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะยิ้มให้เอิร์ธ
   “ถ้าแกยืนยันพี่ก็ไม่ว่าอะไรเหมือนกัน" มิกว่า "ก็ลองดู"
   ยิ้มให้กันครั้งนึง
   “แล้วไงอีก" มิกพูด
   “อะไรอีกอ่ะพี่" เอิร์ธว่าเบาๆ
   “ก็ตอนนี้ไง แกรู้สึกยังไง" มิกถาม
   “ตอนนี้เหรอ" เอิร์ธมองหน้ามิก "ผม....เขินว่ะ"
   “เอ่อะ" มิกหัวเราะเบาๆ
   “อย่าดิพี่" เอิร์ธร้อง "เอาตรงๆผมเห็นพี่ตอนนี้ไม่เหมือนกับที่เห็นพี่วันแรกที่ออฟฟิศเลย มันเหมือนกับว่า ผมโตขึ้นแล้วผมอยากจะรู้จักพี่ให้ได้ดีกว่านี้อ่ะ"
   “ยังไงนะ" มิกงงกับคำพูดของเอิร์ธอีก
   “เอาตรงกว่านี้อีกป่ะ" เอิร์ธว่า มิกพยักหน้า "ผมอยากลองมีอะไรกับพี่ได้ป่ะ"
   “เห้ยไอ้เอิร์ธ" มิกร้อง "นี่ไม่เรียกตรง.....นี่เรียก......เร็ว"
   “หึหึ" เอิร์ธยิ้มที่มุมปาก แต่ทันใดนั้นมิกถอดเสื้อนอนของตัวเองออกทันที เอิร์ธมองพี่มิกอย่างตกตะลึง "ทำไรอ่ะพี่"
   “พี่ก็ไม่เคยลองว่ะ" มิกว่า "ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มยังไง เอางี้ คืนนี้แกนอนกับพี่ ถอดเสื้อผ้าออกให้หมด"
   “เอ่อ....ล...แล้ว...จะ..ยังไงอ่ะพี่" เอิร์ธว่า "จะดีเหรอ"
   “ภาษากายไง" มิกตอบพลางลุกขึ้น และชูมือมาที่หน้าขอเอิร์ธ "ถ้าแกกับพี่รู้สึกดีกับเรื่องนี้จริงๆ เดี๋ยวก็รู้เอง"
   เอิร์ธจับมือของมิกแล้วลุกขึ้นยืน เขายิ้มให้มิกครั้งนึงก่อนจะถอดเสื้อของตัวเองออกทีละชิ้น มิกก็เช่นกัน
   “ผม.....แก้เลยนะ" เอิร์ธกระซิบเบาๆ
   มิกไม่ได้ให้คำตอบ แต่เขาหมุนดับตะเกียงที่อยู่เหนือหัวเป็นที่เรียบร้อยแล้วก่อนจะหันกลับมาหาเอิร์ธ
   “พี่ถอดหมดแล้วครับ"
   เขากระซิบพร้อมกับเดินนำไปสู่ห้องนอนที่อยู่ไม่ไกลกันนัก แสงจันทร์ส่องสะท้อนผืนน้ำต้องบ้านไม้เก่าๆริมแม่น้ำเจ้าพระยา ชายหนุ่มสองคนเริ่มต้นการเดินทางสายใหม่ที่นี่ โดยความคิดที่อิสระและสวยงามราวกับภาพวาดที่อ่อนไหวท่ามกลางแสงสีของไฟในเมืองที่วุ่นวายและไม่เคยนิทรา
….........
หัวข้อ: Re: [เกริ่นนำใหม่] Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 21) - 4/09/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-09-2011 22:21:46
แสงอาทิตย์สาดส่องต้องร่างอันเปลือยเปล่าของชายหนุ่มสองคนที่นอนอยู่ภายใต้ผ้านวมที่อบอุ่น บนชั้นที่ 46 ของคอนโดมีเนียมหรูกลางกรุง ร่างที่อ่อนเพลียจากเกมส์รักที่ร้อนแรงค่อยๆลืมตาขึ้น มองออกไปยังผ้าม่านสีเทาที่ส่างจ้าดด้วยแดดที่ส่องแสงอยู่ภายนอก  รอยแง้มเล็กๆระหว่างผ้าม่านมีนกสองตัวกำลังไล่กันอยู่ที่ระเบียง นัทมองมันอยู่อย่างนั้น แม้ว่าจะเห็นอะไรได้ไม่ถนัดนัก แต่มันก็คือการผ่อนคลายสายตาและร่างกาย เขายังไม่อยากลุกตอนนี้
   สัมผัสด้วยมือภายใต้ผ้าห่มที่ค่อยปลุกให้ส่วนล่างของนัทตื่นขึ้น ร่างอีกร่างเบียดตัวเองโอบกอดนัทเอาไว้ นัทหันมามองเจ้าของมือที่กำลังควบคุมอามณ์ของเขาจากจุดอ่อนไหวนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาจับจ้องที่ร่างกายของนัท พร้อมกับหายใจหอบถี่ แม้ว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าร่างกายของเขามันไม่อาจจะต้านทานจังหวะมือที่จับส่วนล่างของนัทอย่างรู้ท่าทีพร้อมกับเคลื่อนไหวขึ้นลงด้วยความพอเหมาะ นัทหลับตาซึมซับความรู้สึกนั้น
   “สงสัยเมื่อคืน ไม่ได้ไปพร้อมกับผมอย่างที่ว่าใช่หรือเปล่า" กายพูดเบาๆที่ข้างหูของเขา
   “....ก็....คุณ.......” นัทพยายามตอบ แต่ทว่าความเสียวซ่านก็เข้าครอบงำ
   “ไม่ต้องพูดแล้ว" กายว่าพลางเร่งจังหวะมือขึ้น "ปล่อยออกมาเลย"
   “ต...แต่....ว่า.....ผ.....ผ้าห่ม....ค...คุณ...” นัทยกช่วงสะโพกรับกับความสุขที่กายมอบให้ พร้อมกับโอบร่างกายของกายเอาไว้เข้ามาชิดตัว "…...ผม......อ้ะห์"
   นัทพ่นลมหายใจพร้อมกับปลดปล่อยความสุขออกไปจากตัว กายยิ้มให้นัทเบาๆก่อนจะเลิกผ้าห่มออกดูผลงานของตัวเอง
   “โห ฟิตนะคุณ ยังเยอะอยู่เลย" กายแบมือออกจากจุดอ่อนไหวของนัท แล้วปล่อยให้น้ำรักของนัทไหลลงไปตามร่างกายที่ขาวนวล ก่อนจะหันมานัทอีกครั้ง "คราวหลัง ถ้าคุณไม่ได้เสร็จพร้อมผมทำไมไม่บอกล่ะ"
   นัทเบี่ยงหน้าหนีด้วยความอาย ขณะที่หน้าเริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ
   “ก็....ผมเห็นคุณก็มีความสุขดีอยู่แล้วนี่ ตอนที่....." นัทพูดเบาๆ กายเขยิบตัวขึ้นมาหานัทอีก
   “แต่ผมอยากให้ตัวเองเป็นที่หนึ่งเรื่องบนเตียงสำหรับคู่นอนนี่" กายพูดอีก นัทหันมามองหน้าพ่อมดจอมเจ้าเล่ห์ที่กำลังเอานิ้วที่เปื้อนคราบรักของนัทสัมผัสหน้าของนัทเบาๆ นัทได้กลิ่นคาวของตัวเองจึงเบนหน้าหนี
   “อ๋อ....” กายหัวเราะเบาๆ "หรือว่าคุณอยากให้ผมช่วยคุณแบบนี้ คุณชอบเหรอ"
   “บ้า ป่าวซะหน่อย" นัทร้องทันที
   “งั้นเหรอคับ" กายยิ้มเจ้าเล่ห์พลางเหลือบมองไปที่ผลงานของตัวเองอีกครั้ง "จริงอ่ะ"
   กายสัมผัสที่จุดอ่อนไหวนั้นอีกครั้งเบาๆ นัทจับหมับเข้าที่มือกายทันที
   “พอแล้ว" นัทพูดเบาๆ "ใช่...ผมชอบ"
   “หึหึ" กายหัวเราะ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงในทันทีพร้อมกับหยิบผ้าเช็ดตัวที่อยู่หัวเตียงมาห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ "ตื่นกันเหอะคุณ ไปอาบน้ำซะ จะได้ไปกัน"
   “ไปไหนอ่ะคุณ วันนี้วันเสาร์นะ พักบ้างเถอะ" นัทพูดออกมาจากใจจริง ตั้งแต่เมื่อวานจนกระทั่งตกดึก กายพาเขาออกไปไหนต่อไหนมาทั้งวัน แถมยังมาจบลงตรงที่เตียงนี้ ที่เขาทั้งคู่บรรเลงเพลงรักกันอย่างถึงพริกถึงขิง
   “วันนี้เราต้องเข้าไปประชุมและดูไซท์ที่จัดงานประกาศรางวัล B.A.D. Award” กายพูดเรียบๆ "ทางโน้นเขาอยากให้เราไปร่วม Discuss ด้วย คุณก็น่าจะไปนะ"
   “โห"
   นัทถอนหายใจหนึ่งครั้ง พลางนอนแผ่บนเตียง หมอนี่เอาหัวตรงไหนไปจำตารางงานกันนะ ทั้งๆที่จริงแล้วกายน่าจะเอาเวลาไปฝึกปรือเรื่องบนเตียงซะมากกว่า
   “อยากให้ผมทำอีกเหรอ" โดยไม่ทันตั้งตัว นัทเห็นกายกำลังยืนมองร่างกายของเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านอีกครั้ง
   “บ้าเหรอคุณ" นัทร้องเสียงดัง "ผมแค่เหนื่อยๆ ผมยังไม่ได้หยุดเลยต่างหาก"
   “ลุกเถอะคุณ" กายว่า "ไม่งั้นผมจะ....”
   “ก็ได้" นัทดีดตัวลุกขึ้นทันที "โอ๊ย..”
   กายรีบรุดมาประคองตัวนัททันที ชายหนุ่มเจ็บแปล๊บเข้าที่จุดสำคัญที่ถูกล่วงล้ำไปเป็นครั้งที่สอง นัทจับหมับเข้าที่ก้นกบทันที นัทมองกายครั้งหนึ่งก่อนจะถอนหายใจ
   “นี่คุณเจ็บเพราะ...” กายพูดเสียงอ่อนโยน
   “ไม่ต้องเลยคุณ" นัทว่าเสียงหงุดหงิด "ทีตอนทำอ่ะ ก็ไม่ได้ยั้งเลย ทั้งคุณและผมอ่ะแหละ ไม่เป็นไรหรอก"
   “มันต้องบ่อยๆคุณ มันจะได้ชินและหายเจ็บไปเอง" กายว่า
   “เหรอ" นัทลากเสียงพลางมองกายด้วยหางตา "แล้ววันนี้ไปที่ไหนเนี่ย"
   “โรงแรมเซ็นทารา" กายพูด "งาน BAD Night จะจัดขึ้นวันเสาร์หน้า เรามีเวลาเตรียมงานกันอาทิตย์เดียวเอง ไหวไหมคุณ"
   “ไหวดิ" นัทว่า "คุณไปอาบน้ำเหอะ เดี๋ยวผมจะได้อาบต่อ"
   “อืม งั้นรอแป้บนะ" กายพูดพลางลุกไปจากเตียงจริงขณะที่นัทพยายามหาเหลี่ยมมุมนการขยับตัวโดยไม่ให้เกิดการสะเทือนไปถึงด้านหลัง
   เสียงโทรศัพท์ของกายดังขึ้น ชายหนุ่มหันหลังจากประตูห้องน้ำเดินไปรับทันที
   “ฮัลโหล" กายพูดรับโทรศัพท์พอดีกับที่เสียงๆหนึ่งดังลอดออกมาจากโทรศัพท์จนนัทได้ยิน เสียงที่คุ้นหูจนนัทไม่ต้องเดา
   “กาย กายอยู่ไหนคะเนี่ย"
   นัทมองกายด้วยสายตานิ่งสนิททันที เขาเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
   “อ้าวเจน ผมเอ่อ.....ผมอยู่คอนโดน่ะ มีอะไรหรือเปล่า"
   กายมองนัทด้วยสายตาเป็นกังวลเล็กน้อย นัทลุกขึ้นจากเตียงตัดตรงไปยังห้องน้ำทันทีโดยไม่สนใจว่ากายจะคุยอะไรต่อ
   นัทชำระล้างสิ่งคราบต่างๆที่เปรอะตัวเขามาทั้งคืนออกอย่างอ้อยอิ่ง เขารู้สึกรำคาญเจนขึ้นมาจริงๆซะแล้ว ความคิดชั่วร้ายแว้บเข้ามาในสมองหรือบางที ถ้าเขาไม่ว่าอะไร สาจะจัดการยัยตัวร้ายนี่อย่างสาสมได้ไหมนะ
   ไม่กี่น่าทีต่อมานัทออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดที่กายให้เขาเปลี่ยน และนั่นทำให้นัทรู้สึกแปลกตาตัวเองเป็นอย่างมาก สไตล์การแต่งตัวของกายกับเขาแตกต่างกันสุดขั้ว และนั่นทำให้กายอมยิ้มไม่หยุดแม้ว่าจะออกมาจากคอนโดแล้วในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา
   บนท้องถนนที่รถติดบ้างเป็นบางช่วงอย่างวันเสาร์ รถสปอร์ตคันหรูวิ่งมุ่งหน้าไปยังแยกราชประสงค์ กายเปิดเพลงสากลอารมณ์ดี ในขณะที่นัทนั่งนิ่งไม่พูดไม่จามองออกไปนอกหน้าต่าง กายมองมาหานัทที่มองออกไปยังด้านนอกของรถ และพยายามหาคำพูดที่เหมาะสม
   “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า" กายถามขึ้น
   “ไม่หรอกมั้ง" นัทว่า "ผมบอกว่าช่างมันไง วกเข้าเรื่องนี้จังนะคุณ"
   “ก็เป็นห่วงคุณนี่" กายว่า
   “ถ้าเป็นห่วง คุณก็น่าจะให้ผมพักบ้างเหอะ" นัทบ่นอุบอิบ "ทำไมคุณไม่บอกผมก่อนว่าวันนี้มีคุยงานอ่ะ"
   “ถ้าผมบอกคุณ เมื่อวาน คุณก็ไม่ไปเที่ยวกับผมอ่ะสิ" กายว่า
   “ถึงยังไงตอนเย็นคุณกับผมก็ต้องกลับมาปาร์ตี้ที่บริษัทอยู่ดีไม่ใช่เหรอ" นัทว่า "ชีวิตคุณนี่จะเที่ยวอะไรกันนักหนาเล่า"
   นัทว่าปนอารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมา ดีที่กายทำดีกับเขามาทั้งคืนแล้ว เขาจึงไม่ได้หงุดหงิดใส่มากนัก
   “ก็เพราะมันไม่มีการเที่ยวที่ผมสบายใจเท่าตอนที่ไปกับคุณน่ะสิ" กายพูดน้ำเสียงจริงจัง
   “ผมว่าไม่จริงหรอก" นัทพูด "เวลาคุณไปกับเจน คุณก็สนุกดีนี่"
   นัทโพล่งปากออกไป เขาถึงกับรีบเงียบเสียงลง เพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงอาการที่ดูงี่เง่า ที่เรียกว่า หึง  จนกายสังเกตได้
   “ผมบอกแล้วไง ว่าเจนกับผมไม่มีอะไรกันแล้ว" กายว่า "ดูคุณจะไม่สบายใจเรื่องนี้นะ"
   “ก็ผม......”
   “หึงผมล่ะสิ" กายพูดตัดหน้าทันทีพลางยิ้มที่มุมปาก
   “บ้า พูดไป" นัทขมวดคิ้วทันที ขณะที่กายหัวเราะเบาๆ
   “ไม่เอาดีกว่า ไม่ชวนคุณทะเลาะแล้ว" กายว่า "ทำอารมณ์ดีดีคุณ เดี๋ยวเจอผู้ใหญ่เขาจะไม่ปลื้มเอา"
   กายพูดเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อรถเลีเยวเข้าที่จอดรถของเซ็นเทรัลเวิร์ล ทั้งคู่ก้าวลงจากรถพร้อมกับเดินไปยังส่วนของโรงแรมเพื่อไปยังห้องสัมนาที่อยู่ชั้น 24 เมื่อลิฟท์พาทั้งคู่ขึ้นมาถึงล็อบบี้ของชั้น 24 เสียงแหลมสูงก็ดังขึ้นอีกครั้ง นัทถึงกับเหลือกตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่จนกายต้องหันมามองเขาด้วยความตกใจ นัทเหลือกตามองกายด้วยสายตาน่ากลัว กายยิ้มให้นัทครั้งนึงก่อนจะเดินไปหาเจ้าของเสียงนั้น
   “กายคะ ให้ตายสิ เจนเกือบตื่นไม่ทันแหนะ เจ้าเบนซ์พาเราไปต่อที่คลับเลาจ์แถวๆสุขุมวิทค่ะกาย ร้านดีมากๆ เสียดายจริงๆที่เมื่อวานกายไม่ได้ไปด้วย" เจนพูดขณะเดินตรงรี่เข้ามาหากาย
   นัทมองหญิงสาวที่เดินเจิศจรัสเข้ามาหากายอย่างพินิจ ดูท่าทางแล้วกายคงจะไม่ยอมทำอะไรแน่ๆ และนัทก็เบื่อเต็มทีที่จะต้องทนกับอะไรแบบนี้
   “นี่ขนาดตื่นสายนะเนี่ย ยังแต่งตัวมาได้นะเจน" กายว่า
   “แล้วนี่เมื่อคืนกายทำอะไรล่ะคะ หรือว่าพักผ่อน" เจนพูดต่อ "เจนว่าจะโทรหากายซักหน่อย แล้ว.....”
   “เมื่อคืนผมอยู่กับกายครับ" นัทเดินตรงเข้ามาและจับมือกายทันที เจนจิรามองมือของนัทพลางหรี่ตาลง นัทยิ้มกว้างให้เธอ "เราสองคนเตรียมงานวันนี้กันน่ะครับ ทั้งคืนเลย"
   “โอ้ งั้นเหรอคะ......กาย" เจนหันมาหากายทันที
   “คับ" กายตอบสั้น เพราะว่านัทบีบมือกายแน่นเสียจนเขาไม่รู้จะพูดอย่างไร
   “แหม จริงเหรอคะเนี่ย เห็นกายบอกเจนว่าเรื่องมันกระทันหันมาก กายเพิ่งทราบเองไม่ใช่เหรอคะ คุณส่งข้อความมาหาเจนช่วงเช้ามืด" เจนว่า นัทหันไปมองหน้ากายทันทีที่เบนหน้าหลบไปทันที
   “อ้าวกาย นี่คุณเพิ่งบอกคุณเจนเมื่อตอนตีสี่เหรอ" นัทพูดขึ้น กายหันมาทำหน้าสงสัยใส่นัทที่ยิ้มให้เขา "โถ่คุณ แทนที่จะบอกคุณเจนไปซะตั้งแต่ก่อนเรานอนกัน คุณเจนจะได้ไม่ต้องรีบร้อนตื่นมาขนาดนี้ในวันหยุด....จริงไหมคับคุณเจน"
   เจนมองหน้านัทที่ยิ้มให้เธอ
   “ค่ะ" เธอรับคำใส่นัท "ไม่นึกเลยนะกาย ว่าจะไม่บอกเจนเป็นคนแรกซะและ"
   “ต้องขอโทษด้วยคับ พอดีเมื่อคืน....” นัทว่า "เราสองคนเตรียมตัวกันค่อนข้างหนักครับ เลยไม่ได้บอกคุณ"
   เจนมองหน้ากายอีกครั้ง
   “ไปกันได้แล้วล่ะค่ะ เดี๋ยวทางผู้ใหญ่จะรอ" เจนว่าพลางเดินนำทั้งคู่ไปยังห้องสัมนา"
   กายหันมาหานัท
   “คุณทำอะไรอ่ะ" กายถามด้วยน้ำเสียงที่สงสัยจริงๆ "บีบมือผมแรงไปไหม"
   “ผมก็แค่ไม่อยากให้ตัวเองดูเป็นคนอื่น ในวงเพื่อนของคุณ" นัทว่าพลางเดินตามเจนไป "คุณเองก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"
   “มันไม่เห็นจำเป็นเลย" กายว่า
   “โกหกเหอะ" นัทว่า "เมื่อหลายเดือนก่อน ที่คุณพาผมไปเจอเพื่อนๆคุณครั้งแรก ก็เพราะอยากให้ผมรู้จักสังคมคุณไม่ใช่เหรอ"
   “แต่นั่นมันก็เพราะ ผมอยากลองใจคุณต่างหาก" กายว่า
   นัทถึงกับหยุดชะงัก และมองหน้ากายอีกครั้ง
   “ลองใจผมเหรอ" นัทพูด
   “อ่าหะ" กายตอบ
   “อืม งั้นก็ดี" นัทยิ้มให้กายอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไปในห้องสัมนา
   กายรู้สึกว่ารอยยิ้มคู่นั้นของนัท ดูน่ากลัวพิลึก
….........
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (Update บทที่ 21) - 4/09/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iota ที่ 04-09-2011 22:52:19
เคยตามอ่านเรื่องนี้... แต่ก็....
เข้ามาอ่านอีกรอบกลับไปทบทวนก่อนครับ
กด+  :L2:
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 22.1) - 15/09/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 15-09-2011 23:33:27
“ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าจะแสดงทัศนะยังไง" สาพูดจริงจังในบ่ายวันอังคารของที่สตูดิโอในออฟฟิศขณะตัวเองกำลังนั่งโฟโต้ช้อปรูปภาพของงานใส่ลงไปในแบบจำลองสามมิติในคอมที่มิกส่มาให้เธอทำต่อเมื่อเช้า งานที่จะต้องสั่งทำวันพรุ่งนี้ก่อนที่จะนำขึ้นโชว์ในงาน B.A.D Night วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้
   “คือฉันหมายความว่ามันก็ถูกที่ฉันไม่ชอบยัยเจนเว่ยนัท" สาพูด "แต่ฉันก็มองไม่เห็นจริงๆว่าเขาจะตั้งท่าไม่ชอบอะไรแก เพราะว่าสำหรับฉันนะ ยัยนั่นก็ตั้งป้อมกับทุกคนนั่นแหละ"
   นัทนั่งนิ่งสนิท ที่เขาตัดสินใจถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะ วันนี้เป็นสุดท้ายที่เขาจะได้ทำงานอยู่ในออฟฟิศ เพราะหลังจากนี้เขาจะต้องไปซ้อมเดินแบบกับพรีเซนเตอร์ในโปรเจ็คนี้ ซึ่งนั่นก็คือคุณฝน มาร์ค เขาและเจน ซึ่งการประชุมกับผู้ใหญ่ที่เป็นพ่องานแม่งานในวันเสาร์ที่ผ่านมานั้น ทางกรรมการผู้จัดงานให้กายเป็นคนดูแลรับผิดชอบด้านการจัด Exhibition และให้เจนเป็นผู้รับผิดชอบการนำเสนองานทั้งหมด และเนื่องจากผลงานชิ้นนี้ของ Lovable Studio ได้รับรางวัลชนะเลิศในสาขา Cooperate Identity นี้ การนำเสนองานต่อหน้าดีไซน์เนอร์ทั้งวงการในงานประกาศรางวัล ดูจะเป็นเรื่องที่เจนจะยอมให้มันย่ำแย่ไม่ได้ และนั่นหมายความว่า นัทที่ถูกกายลากไปฟังวันนั้น เขาผู้เป็นดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ไฟแรง ก็ไม่ต่างอะไรกับนายแบบมือใหม่ ที่นั่งฟังสิ่งที่ตัวเองต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
   “แกกังวลใจเรื่องอะไรกันแน่เนี่ยฉันถามจริงๆ" สาว่าขณะกดรอเวลาโปรแกรมเรนเดอร์ และหมุนตัวมาประจันหน้ากับนัท "อย่าบอกนะว่ากลัวจะมีการแยกเรื่องานกับเรื่องส่วนตัวกันไม่ออกขึ้นมาน่ะ"
   นัทมองสาพลางทำหน้าอมยิ้มเบาๆก่อนจะมองไปยังรูปตัวเองสวมกางเกงในสีขาวตัวจิ๋วที่อยู่บนผนัง Exhibition ของสาที่กำลังเรนเดอร์ในคอม
   “ไหนแกบอกว่ากายเค้ายืนยันแล้วไงว่าไม่มีอะไรระหว่างเขากับยัยนั่นแล้ว" สาพูด
   “เขาไม่แคร์อะไรนอกจากความคิดตัวเองหรอก" นัทพูด "ดังนั้นถึงเขาคิดว่าเขาไม่มี ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะไม่มีเหมือนกัน และก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะไม่มีผลกับฉันนะสา ฉันรู้จักกายดี"
   “โอ้" สาร้องเบาๆอย่างไม่เชื่อหู "รู้จักดีเลยเหรอ"
   นัทหันไปมองเธอทันที
   “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือ....ฉันแค่"
   “เอาเหอะๆ ฉันไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก" สาว่า "ว่าแต่แกเถอะ แกจะตั้งป้อมกลับจริงๆน่ะเหรอ"
   นัทมองออกไปพลางคิดอยู่ครู่หนึ่ง
   “ก็ในเมื่อกายเค้าไม่ทำอะไรอ่ะ ฉันก็จะไม่ยอมอึดอัดเว่ย" นัทว่า "ถ้าเค้าอยากให้ฉันสบายใจเมื่ออยูกับเค้า นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่เค้าต้องทำ"
   สาถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะลุกขึ้น
   “จะไปไหนอ่ะ" นัทว่า
   “ฉันจะออกไปตามเรื่องของตกแต่งบู๊ท" สาพูดพลางเก็บข้าวของ "ตอนนี้คนทั้งออฟฟิศก็กำลังวุ่นๆกับการจัดบู๊ทของที่นี่อีกบู๊ทด้วยไง"
   “แต่ฉันว่าไม่ใช่ว่ะ แกยังเรนเดอร์งานไม่เสร็จเลย" นัทว่า "มีอะไรก็พูดมา"
   สาหยุดกึก
   “แกไม่ฟังฉันหรอก พนันสิ" สาว่า "ถ้าแค่อยากรู้ว่าฉันจะพูดอะไรก็จะบอกให้ หนึ่งเลยนะ ตอนนี้แกกำลังต้องเวทย์มนต์พ่อมดคนนี้อย่างเต็มเปาเลยเพื่อน ซึ่งแกอาจจะไม่รู้ตัวว่าแกก็ได้กลืนคำพูดตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ข้อสอง เรื่องของเจน ฉันจะอยากจะให้แกระวังไว้ให้มาก เราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องนี้ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผุ้หญิงคนนั้นเป็นยังไง ถ้าแกจะทำอะไร ก็อยากให้แกระวังด้วย เพราะคราวนี้ มันมีบุคคลที่สามเข้ามาแล้ว และก็ไม่ใช่คนในกลุ่มเราเหมือนคราวของมิกนะ"
   “แล้วแกจะให้ฉันทำยังไงล่ะ" นัทถาม
   “ถ้าเป็นฉัน ฉันก็อยู่เฉยๆ คนเรามันจะสบายใจไปทุกเรื่องได้ยังไงถ้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับคนอื่น โดยเฉพาะคนที่เราให้ความสำคัญด้วย" สาว่า "มาร์คก็ทำเรื่องที่ฉันไม่สบายใจหลายเรื่อง เที่ยวสังสรรค์ ถ่ายนู๊ดกับสาวๆ ฉันไม่สบายใจกับเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าคบแล้วอะไรถอยได้ก็ถอย อะไรปรับได้ก็ปรับ แต่ถ้าอะไรปรับไม่ได้ ก็ต้องทำใจเอา"
   “แกอย่างนั้นเหรอ" นัทว่า
   “ใช่ แต่ฉันไม่รู้ว่ามันจะใช้กับเรื่องนี้ได้หรือเปล่านะ แต่ว่าสำหรับฉันน่ะเจนเค้าก็ยังไม่ได้ทำอะไรที่ดูเป็นการแอนตี้แกขนาดนั้นสำหรับฉัน" สาว่า "แต่ก็ไม่รู้อ่ะ ฉันเองก็ไม่เห็นอย่างที่แกเห็นนี่นา ก็อย่างที่ยอก แกไม่ฟังฉันหรอกพนันสิ"
   สาว่าพลางเดินออกจากสตูดิโอ
   “จะทำอะไรก็ระวังๆแล้วกัน เดี๋ยวแกก็จะดังแล้ว ประกบกับกายแล้วกเจนด้วย" สาว่าทิ้งท้าย "ทีนี้ล่ะ งามหน้าฉาวโฉ่ทั้งวงการแน่"
   นัทมองสาเดินออกจาสตูดิโอไปก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ สาพูดถูก ทันทีที่งาน B.A.D Night จบลงเขาจะเป็นที่รู้จักของคนในวงการมากขึ้น ซึ่งนั่นมันหมายถึงการวางตัว และอื่นๆอีกมากมายซึ่งเป็นสิ่งที่นัทเกลียดมากที่สุด เขาสะบัดหัวไล่ความคิดของเขาออกไป มันไม่มีทางที่เขาจะเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ไปตลอดหรอก จุดเปลี่ยนของชีวิตมันต้องมาเข้าซักวันอยู่แล้ว
   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นนัทมองไปยังหน้าปัดที่ปรากฎเบอร์ที่เขาไม่คุ้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับทันที
   “นัทเหรอคะ" เสียงที่เขาแทบไม่ต้องเดาดังขึ้นที่ปลายสาย
   “ครับ ไม่ทราบว่านั่นใครครับ" เขายอมรับว่าตัวเองโกหก เขาแค่ลองถามดูเผื่อว่าคำตอบจะไม่ใช่ตามที่เขานึก
   “เจนเองค่ะ" เสียงนั้นตอบรับ
   “อ้อ สวัสดีครับ" นัทว่า "ได้เบอร์ผมมาได้ยังไงครับเนี่ย"
   “แหม คุณนัทคะ ไม่น่าถามเลยนะคะ" เจนว่าเสียงแหลมเล็ก
   “อ่อครับ" นัทว่า "แล้วคุณเจนโทรมามีอะไรคะ"
   “มานัดซ้อมค่ะ" เจนว่า "วันพรุ่งนี้คุณนัทต้องมาซ้อมเดินแบบพร้อมกับคนอื่นๆที่โรงแรมตอน 10 โมงเช้านะคะ สพดวกไหมเอ่ย"
   “แหม คุณเจนครับ ไม่น่าถามเลยนะครับ" นัทว่า "ยังไงผมก็ต้องว่างอยู่แล้วล่ะครับ"
   “ค่ะ งั้นเจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณนัท บายค่ะ.........กาย เจนบอก.....”
   เสียงโทรศัพท์ตัดไปทันที นัทดึงออกจากหูพลางมองที่หน้าปัดทันที
   นี่อยู่ด้วยกันหรอกเหรอ....
   แล้วทำไมไม่โทรมาบอกเองฟระ!!!!
   ทันใดนั้น นัทไม่รู้เหมือนกันว่า มันคืออารมณ์อะไร แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทีไร กลยุทธ์การเอาคืนก็ผุดขึ้นมาในสมองของเขาร้อยแปดพันเก้าวิธีทันที
….....
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 22 จบตอน) 26/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 26-10-2011 12:49:25
….....
   “ไม่มีอะไรต้องกังวลหรอกน่า" มิกพูดขณะที่อาหารยังอยู่เต็มปาก เมื่อคุยโทรศัพท์กับสา "แกกังวลมากไปหรือเปล่า"
   “ฉันเป็นห่วงมันว่ะมิก เอาจริงๆนะ ฉันว่าถ้ากายเค้าทำแบบนี้ เดี๋ยวไอ้นัทมันแผลงฤทธิ์ขึ้นมาแล้วจะเกิดเรื่องน่ะสิ" สากว่าว "แกจำตอนปีสามไม่ได้เหรอ ที่มันแก้เผ็ดสโมที่ยืมตังค์ชมรมถ่ายรูปไปแล้วไม่คืนด้วยการ คิดดอกเบี้ยน่ะ"
   “เหอๆ ที่ตอนนั้นพอสโมไม่มีจ่ายคืนชมรมเรา มันก็ออกไปจัดงานแสดงภาพถ่ายข้างนอกเอง แล้วพอได้เงินบริจาคมาก็ไม่คืนส่วนที่เบิกสโมแล้วบอกว่านี่คือดอกเบี้ยใช่มะ" มิกว่าพลางหัวเราะ "เรื่องนั้นฉันยุมันเองแหละเอาจริง"
   “จะยังไงก็ตามเหอะ แต่แกก็ต้องรู้นะว่าตอนนี้มันกำลังเอาตัวเองขึ้นไปหาสังคมของคุณกายเขาอ่ะมิก ถ้าเกิดมันทำอะไรพลาดไปแล้วต้องร่วงลงมาล่ะ" สาว่า
   “มันเลือกแล้วนี่" มิกพูด
   “ไหนแกบอกว่าแกจะไม่ทิ้งมันไง" สาถาม
   “ฉันจะดูแลมันเว่ย แต่ในฐานะเพื่อนรักเท่านั้น" มิกว่า "สา แกอ่ะอย่าเพิ่งไปตื่นเต้นสิ ยังไม่ทันจะออกดอกเลย แกก็กำนดสีมันซะแล้ว ใจเย็นแม่คุณ แค่นี้นะจะกินข้าวว่ะ"
   “เดี๋ยวก่อน แล้วแกจะกลับเข้าออฟฟิศหรือเปล่า" สาถาม
   “ไม่อ่ะ เจอกันที่งานวันพรุ่งนี้เลย ฉันต้องไปจุฬา" มิกว่า
   “ไปทำไม" สาถาม
   “เหอะน่า แค่นี้นะคุณเธอ" มิกกดวางโทรศัพท์ลงโดยไม่สนใจว่าสากำลังพูดก่นด่ามิกที่ทิ้งให้เธอเป็นที่ปรึกษานัทโดยลำพังอยู่ที่ออฟฟิศ มิกส่ายหัวให้กับแม่กระต่ายตื่นตูมเพื่อนรักของเขาก่อนจะก้มหน้าก้มตาทานข้าวต่อไป ตอนนี้เขาอยู่ที่นั่งอยู่ที่ใต้ต้นไม้หน้าคณะสถาปัตยกรรมและการผังเมืองของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่พักหนึ่งแล้วพร้อมกับข้าวกล่องหนึ่งกล่อง
   “มาแล้วพี่มิก" เสียงของเอิร์ธดังขึ้น พลางนั่งลงที่ข้างตัวของมิกทันที
   “เสร็จเรื่องแล้วเหรอ" มิกถามขึ้น
   “ใช่พี่ ไม่มีอะไรหรอก แค่มาเอาของที่สตูนิดหน่อย" เอิร์ธว่า "แล้วพี่ออกมาแบบนี้พี่สาไม่ว่าเอาเหรอ"
   “ช่างเขาดิ" มิกว่า "แฟนขอให้มาส่งก็ต้องมาอยู่แล้ว"
   “หึหึ" เอิร์ธยิ้มพลางหัวเราะ “ไปเหอะพี่ ป่านนี้ที่หอเรียบร้อยแล้วล่ะ"
   มิกลุกขึ้นเดินออกจากใต้ร่มไม้นั้นไปพร้อมกัน ก่อนจะพาเอิร์ธขึ้นนั่งแทนที่ตำแหน่งของนัทของไอ้เต่าทอง
   “มันไปทางไหนนะ ลืมไปแล้ว" มิกว่าขณะออกตัวรถ
   “มันอยู่ตรงข้ามมาบุญครองพี่" เอิร์ธตอบ
   ไอ้เต่าทองในวันนี้ นอกจากจะพามิกโดดงานใหญ่ที่ใกล้เข้ามาทุกทีมาอย่างไม่จำเป็นแล้ว มันยังทำหน้าที่เป็นรถบรรทุกขนของย้ายสัมภาระของเอิร์ธออกจากหอพักของมหาวิทยาลัยของตัวเอง ใช่แล้ว เอิร์ธทำเรื่องขอออกจากหอพักแล้ว และกำลังจะไปอยู่ที่ใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่ที่ไหน บ้านของมิกเอง
   เรื่องของเรื่องมันก็เกิดขึ้นจากการโกหกของเอิร์ธกับแม่เมื่อสามคืนก่อน สาเหตุที่แม่ของเอิรืธอยากจะมาหาลูกนักหนาในวันหยุดสุดสัปดาห์นั่นก็เพราะว่า คุณแม่และน้องสาวของเอิร์ธจะไปเยี่ยมคุณพ่อที่อังกฤษตลอดเวลาปิดภาคฤดูร้อนที่เหลืออยู่นี้ คุณแม่ของเอิร์ธแค่จะมาร่ำลาลูกชายก่อนจะไป และบอกว่าบ้านก็คงจะล็อคแน่นหนา แล้วถ้าลูกชายต้องการอะไรจากบ้านก็ให้รีบไปเอาเพราะจะไม่มีใครอยู่บ้านแล้ว ซึ่งเจ้าเอิร์ธก็อาศัยโอกาสนี้ออกากชีวิตเดิมๆ ย้ายไปสู่ชีวิตใหม่ทันที ซึ่งมันก็ไม่ใช่ที่ไหนอื่นไกล บ้านของมิกนั่นเอง
   เจ้าเต่าทองวนรถมาเอาของที่เอิรืธวานให้เพื่อนช่วยแพ็คใส่กล่องให้เป็นรอบสุดท้ายและเอาลงมาข้างล่างเรียบร้อยแล้วขึ้นรถ เอิร์ธรับเงินประกันหองวดสุดท้ายก่อนจะอันตรธานหายไปจากหอพักนั้นทันทีโดยไม่ให้แกงค์เพื่อนๆของเจ้าตัวได้ทันร่ำลา
   “ทำไมของน้องจังวะ สองรอบเอง" มิกถามขึ้นขณะบึ่งรถไปสู่ถนนเจริญกรุง
   “ผมไปๆมาๆบ้านบ่อยอ่ะพี่ ไม่ได้มีอะไรอยู่ที่หอจริงจัง นอกจากเสื้อผ้าสำรองแล้วก็หนังสือเรียนกับอุปกรร์เครื่องเขียน" เอิร์ธว่า "ส่วนโต๊ะดราฟผมก้อยู่บ้านอ่ะ แต่ตอนนี้ผมก็ใช้ของพี่ได้ใช่ป่ะ"
   “แหม่ไอ้นี่ วางแผนในหัวไว้เสร็จสรรพแล้วนี่" มิกว่า
   “ก็พี่มิกเคยบอกว่าที่บ้านพี่มีโต๊ะดราฟสองตัว มีของพี่กับของพี่นัท" เอิร์ธว่า
   “ใช่ อันของพี่เป็นดราฟไฟ แต่ของนัทมันเป็นอันสมัยเรียน ไม่ใช่ดราฟไฟนะ" มิกตอบ "เราใช้อันนั้นไปก็แล้วกัน"
   “ค้าบ แค่พี่ให้ผมมาอยู่ด้วย ก็ดีใจแล้ว" เอิร์ธว่า
   มิกอมยิ้มขณะที่แลี้ยวรถเข้าเยาวราช
   “ว่าแต่ แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหาน่ะ" มิกว่า
   “ไม่หรอกพี่ ผมตัดสินใจแล้ว" เอิร์ธว่า
   “แล้วถ้าที่บ้านกลับมาล่ะ" มิกถาม
   “ผมก็จะได้บอกเขาไปเลย เรื่องที่ผมเป็นอยู่" เอิร์ธว่า มิกหันไปมองตาถลนทันที
   “บ...บ....บอกว่าอะไร"
   “ก็บอกว่าผมขอออกมาใช้ชีวิตเองซะทีไงพี่" เอิร์ธว่า
   “อ่อ" มิกพ่นลมออกเบาๆ
   “ผมอ่ะ เลือกเรียนก็ต่างจากที่ที่บ้านหวังเอาไว้แล้วอ่ะ" เอิร์ธว่า "ผมก็เลยต้องทำเลย ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ได้อิสระ อย่างที่สายงานนี้ควรจะเป็น"
   “นี่นายคิดว่าการเป็นดีไซน์เนอร์จะได้อิสระมากขนาดนั้นเลยเหรอ" มิกถาม
   “แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะพี่" เอิรืธถามต่ออีก
   “ก็ถ้าวันนึง เราเป็นที่รู้จัก การวางตัวก็เป็นเรื่องที่สำคัญนะ" มิกตอบ "ไม่มีอิสระที่แม้จรองหรอก"
   “งั้นผมขอลองหามันดูแล้วกันนะพี่" เอิร์ธว่าพลางก้มลงกดบีบีตามประสา มิกถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะขับรถต่อไป บางทีเขากับเอิร์ธอาจจะยังต้องเรียนรู้อะไรกันอีกมา ซึ่งนั่นถูกต้องทีเดียว เพราะนี่มันเพิ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้น
…..........
   “ฉันว่านายดูเหนื่อยๆนะ" มาร์คโยนขวดน้ำให้นัทที่ด้านหลังเวที ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ที่โรงแรมเซ็นทารา การซ้อมเดินแบบเป็นไปอย่างหนักหน่วง เจนจิรากำกับงานนี้อย่างมืออาชีพจริงๆ เธอมีทีมที่ไว้ใจได้ แม้ว่าเธอจะต้องเดินแบบเองด้วย แต่ทีมของเธอก็สามารถสร้างงานที่เป็นไปดังใจได้ราวกับเธอลงมือกำกับเอง และเมื่อถึงจุดจุดนี้ นัทก็เบื่อแล้วกับการจะลุกขึ้นมาแย้งใดใด ถึงมันจะเป็นงานของเขากับกายก็ตาม แต่เขาก็เลือกเองที่จะลงมาเป็นนายแบบ ดังนั้น เขาหมดสิทะ์ออกความเห็นแล้ว ในการทำงานเพื่อปิดฉากครั้งนี้ เขาเพียงแค่รอเสียงปรบมือเมื่อชื่อเขาถูกประกาศเท่านั้น
   “นายฟังฉันอยู่หรือเปล่านัท" มาร์คถามขึ้นเอง
   “ฟังสิ ฟัง มีอะไร" นัทถาม
   “อ้าว เออ ช่างมันเถอะ" มาร์คส่ายหัว "ฉันว่านายดูไม่มีสมาธิมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า กับ....”
   มาร์คพยักเพยิดไปทางกายสิทธิ์ที่กำลังยิ้มกว้างอย่างเป็นสุข อยู่กับเจนจิรา บอส และคณะกรรมการจัดงาน B.A.D. Award นัทถอนหายใจหนึ่งครั้ง
   “อ่อ" มาร์คร้องออกมาเบาๆก่อนจะดื่มน้ำ
   “อะไรของนายวะ" นัทว่า
   “เอ๊า ไหงมาหงุดหงิดใส่ฉันเล่า" มาร์คว่า "ก็เห็นนายไม่มีสมาธิ ได้ยินมาว่าไม่อยากให้คุณเจนเขาเกทับไม่ใช่เหรอ ไหงไม่ตั้งใจให้ดีล่ะ"
   “ทำตัวเป็นสาอีกคนแล้วนะนายอ่ะ" นัทเขม่นใส่
   “ก็เป็นห่วงนายเหมือนที่รักนั่นแหละ" มาร์คว่า "ฉันว่านายอ่ะ ใจเย็นๆไว้ก่อนดีกว่า มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เชื่อสิ"
   “รู้ได้ไง" นัทย้อน
   “ก็มันเป็นเรื่องของคนสองคนไง" มาร์คว่า
   “บางครั้งเรื่องของคนสองคน ก็มีคนอยากรู้ถมเถไปนะ" นัทว่ากลับ "ตอนคบกับสาใหม่ๆ ตอบนักข่าวว่าอะไรล่ะ แค่เพื่อน ป่ะ ถ้าจำไม่ผิด"
   “เห้ย นั่นมันเทคนิคทางการตลาด" มาร์คว่า "มันต้องดูตลาดก่อนจะวางแผงนี่ แต่นี่มันไม่เหมือนกัน นายสองคนวางแผงไปแล้ว จะทำอะไรก็ต้องระวัง มันไม่ได้เริ่มต้นใหม่นา"
   “พูดอะไรของนาย" นัทว่า "ไม่เข้าใจว่ะ"
   “ดูนั่นดิ" มาร์คชี้ไปยังจุดที่นัทไม่อยากมองที่สุดตั้งแต่มาถึง จุดที่กายและเจนยืนอยู่คู่กัน "นั่นมันอัลบั้มเวอร์ชั่น Official ที่วางแผงไปแล้ว"
   “มาร์ค" นัทพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
   มาร์คยักไหล่
   “ก็คนเขารู้กันแบบนี้นี่" มาร์คพูดก่อนจะเดินจากไป นัทก้มหน้าลง "เลิกเพ้อ แล้วก็กลับมาซ้อมได้แล้วเพื่อน"
   มาร์คตะโกนใส่จากด้านหลังเวที นัทสะดุ้งทันที
   ใช่สินะ เขาต้องรู้ตัวได้แล้วว่ากำลังทำอะไรอยู่......
   กายกำลังทำให้เขาทำตัวเป็นเด็กงอแง และมันจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ กับดีไซน์เนอร์ไฟแรงอย่างนัท......
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 22 จบตอน) 26/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 26-10-2011 20:12:26
ได้อ่านต่อแหละดีจัง
ดูเหมือนนัทจะอารมณ์ติส และคิดแบบเด็กๆมากไปนะ
แต่ยังโชคดีนะที่เพื่อนๆแต่ละคนของนัท แม้กระทั่งแฟนของเพื่อนเช่นมาร์ค
มีความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่และอยู่ใกล้คอยให้สติ+เตือนนัท
อยู่ที่ว่านัทจะฟังแล้วคิดตามทำตามไหม
คิดว่านัทต้องสุขุมลุ่มลึกกว่านี้จึงจะเอากายอยู่
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 23) - 27/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 27-10-2011 02:54:30
บทที่ 23 Forget her not

   “เสร็จยังเอิร์ธ นานไปแล้วนะเห้ย" มิกร้องตะโกนเข้าไปในห้องนอนทันที เมื่อเอิร์ธใช้เวลาแต่งตัวนานเกินไป แล้วมิกก็กังวลว่าวันเตรียมงามคืนสุดท้ายนี้จะมีปัญหา
   “โห พี่มิก จะรีบไปไหนล่ะ รถส่วนตัวก็มี" มิกว่าขณะที่มือยังคงเซ็ทผมขณะออกมาจากห้อง
   “หล่อแล้วคับไอ้ตัวแสบ พี่ต้องรีบเข้าไปเช็คแอมเบี้ยน แล้วก็สมุดทำมือที่เราออกแบบนั่นแหละ" มิกเขกหัวเอิร์ธไปหนึ่งที "โดดงานมาสองวันก็มาอยู่กับสุดหล่อนี่แหละค้าบ"
   “หึหึ" เอิร์ธยิ้มกริ่ม "งั้นก็ไปเลยพี่"
   เอิร์ธล็อคบ้านเสร็จทันทีกับที่มิกสตาร์ทรถ และไอ้เต่าทองก็นำทั้งคู่มุ่งหน้าเข้าสู่กลางกรุง รถยามเย็นไม่ติดอย่างที่คาดคิด มิกไม่เคยข้นทางด่วย เพราะมันเปลือง ดังนั้น เขาจึงชอบอ้อยอิ่งไปบนถนนซะมากกว่า
   “พี่มิก แล้วทำไมเราต้องนอนค้างที่โรงแรมด้วยอ่ะ" เอิร์ธร้องถาม
   “เราต้องเฝ้าบูธ ทางคณะกรรมการไม่ได้เตรียมไวให้อย่างเป็นทางการหรอก มันเป็นห้องพักของสต๊าฟงานน่ะ แต่พวกเรา Lovable สตูดิโอ จองกันเองเพิ่ม ของมันเยอะ ต้องมีคนอยู่เฝ้าน่ะ" มิกว่า
   “งานวันคืนเดียวเนี่ยนะพี่" มิกถาม
   “ใช่ แต่กว่าปาร์ตี้สังสรรค์จะเลิกก็ตีหนึ่งตีสองโน่น รถใหญ่เข้ามาในตัวเมืองไม่ได้ตอนกลางคืนนะ ต้องรอขนของเช้าวันจันทร์โน่น" มิกพูด "แล้วก่อนหน้าวันงาน พี่นัทก็ต้องอยู่ซ้อมใหญ่จนดึก พี่สาเองก็เหมือนกัน ไปกลับก็เหนื่อยตาย อยู่ที่โรงแรมเลยแหละดีแล้ว ป่านนี้คงขนของเช็คอินไปแล้วแหละ"
   “โหงั้นผมก็จะได้นอนโรงแรมหรูๆกลางกรุงตั้งสองคืนเลยเหรอพี่" เอิร์ธว่า "สุดยอดอ่ะ เจ้านายพี่นี่ใจปล้ำเนอะ"
   “อ่าหะ บอสพี่อ่ะ เขาน่ารัก เวลาดีใจอะไร หรือมีเรื่องอะไรดีดีเข้ามาในบริษัทก็จะบุญทุ่มอย่างนี้ประจำแหละ" มิกว่า "ถ้าชอบที่นี่ จบแล้วก็กลับมาสมัครงานที่นี่สิ"
   “ถ้ากลับมา พี่จะเส้นให้ผมป่าวล่ะ" เอิร์ธว่า
   “ไอ้นี่" มิกว่า "รู้ตัวป่ะ ว่าตัวเองก็มีความสามารถ ที่นี่จำเด็กฝึกงานกวนๆอย่างแกได้หรอก พี่เชื่อ"
   “โห ว่าซะ" เอิร์ธทำหน้าเบ้ ก่อนรถจะบึ่งเข้าแยกราชประสงค์ มิกเอาเจ้าทอง ขึ้นสู่ลานจอดรถของโรงแรมหรูได้สำเร็จ ก่อนจะจอดนิ่งสนิกบนชั้นที่ 18
   “แล้ว.......แกจะกลับมาที่นี่หรือเปล่าเอิร์ธ" มิกถามขึ้น ท่ามกลางความเงียบขณะที่เอิร์ธกำลังเก็บของเตรียมตัวลงจากรถ เด็กหนุ่มหยุดกึกพลางครุ่นคิด
   “ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง.....ผมก็กลับมาแหละ" เอิร์ธว่าพลางลงจากรถ
   มิกรู้สึกเจ็บแปลบๆ จากคำพูดเหล่านั้นอย่างอธิบายไม่ได้......
   เพราะปราศจากแม้แต่รอยยิ้มจากใบหน้าสุดกวนประสาทนั้น......
…...........
   “ขอบคุณสวรรค์ที่แกโผล่มาซะที" เสียงของสาดังต้อนรับมิกทันที "แอมเบี้ยนยังไม่มาส่งเลยแก วันพรุ่งนี้แหนะกว่าจะมา ส่วนสมุดทำมือ ขาดอีก 100 เล่ม บู๊ทถูกย้ายที่นิดหน่อย ที่จริงก็ไม่นิดนะ อยู่เลยไปอีกสามบล็อค พอดีโรงแรมดันปรับปรุงสวนใหม่ แปลนเลยเปลี่ยนอ่ะแก"
   “แล้วขาตั้งบิลบอร์ดล่ะ โปสเตอร์" มิกถามต่อ
   “มาแล้ว อยู่ด้านโน้น แต่คนจากออฟฟิศจะมาถึงตอนสี่ทุ่ม บอสพาเลี้ยงฉลองอีกและ" สาส่ายหัว
   “เลี้ยงฉลอง แล้วปล่อยให้แก ฉัน เอิร์ธแล้วก็ไอ้นัททำงานกันสี่คนเนี่ยนะ" มิกว่า
   “สามย่ะ" สาว่า "ยัยเจนไม่ยอมให้นัทออกมาจากแคทวอร์คเด็ดขาด มาร์คกับไอ้นัทซ้อมเดินจนขาจะลากกันอยู่โน่นแหนะ"
   มิกมองไปยังเวทีที่อยู่ไกลออกไปอีกด้านนึงของสระว่ายน้ำ มิกหลับตาหนึ่งครั้ง ก่อนจะสวมวิญญาณพ่องานอีกครั้ง
   “เอาล่ะ เริ่มเลย ไม่ต้องรอหรอก" มิกว่าพลางหยิบแพลนออกมาจากกระเป๋าแบบพลางกางลงบนโต๊ะหน้างาน สาและเอิร์ธสุมหัวกันทันที
   “บูธไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ถัดไปอยู่ตรงนี้ ขาตั้งบิลบอร์ดวางได้แค่ตัวเดียวแล้วด้วย แอมเบี้ยนจะวางตรงนี้ ส่วนตัวโทรศัพท์มือถือกับแท่นกระจก จะวางอยู่ตรงนี้ แต่ฉันว่าไม่เด่นเลย" สาว่า
   “ไม่หรอก ต้องเอาไปวางไว้ตรงนี้ ตัดผนังด้านหลังออกไปเลย เปิดโล่งออกไปเห็นกรุงเทพตอนกลางคืนเลยก็ดี ตัวอย่างโทรศัพท์มาหรือยัง" มิกถาม
   “มาแล้ว อยู่นั่น ห้ามทำพังเด็ดขาด แล้วก็อย่าเพิ่งแกะพลาสติกออกด้วย" สาว่า
   “อืมมม เอาไงดีกับแอมเบี้ยนดีวะ" มิกกัดฟัน
   “ไว้ตรงนี้พี่ ขอโรงแรมเค้าเอากระถางสองอันนี้ออก แล้วล้างคราบดินตรงนั้นออกหน่อย ผมว่าน่าจะโออยู่นะ" เอิร์ธร้อง
   มิกและสามองหน้ากันครั้งหนึ่ง
   “โหยพี่ มาถึงวันนี้แล้ว ผมทีมเดียวกับพี่แล้วนะ" เอิร์ธร้อง
   “ปล่าว ไม่ได้จะอะไร" สาร้อง "แต่มันมีอยู่แค่สามคน จะไหวเหรอ"
   “ไม่ลองแล้วจะรู้เหรอพี่" เอิร์ธว่าพลางยักคิ้วใส่สาและมิกก่อนจะถอดเสื้อตัวโปรดออกผูกเอวและพับกางเกงขึ้น อวดกล้ามท้องเด็กมหาลัยก่อนจะเดินตัดตรงไปยังบู๊ทรางวัลทันที ท่ามกลางสายตาของสาวๆจากสตูดิโออื่นๆที่มองตามเอิร์ธเป็นสายตาเดียวทันที
   สาเท้าเอวมองตามน้องฝึกงานไปพลางเดาะลิ้นและเหล่มองมิก
   “ฉันเดาว่า.....”
   “....มันกำลังโชว์พาวต่อหน้าสาวน่ะ ไม่มีอะไรหรอก" มิกพูดเซ็งๆ ตัดหน้าสา ก่อนจะเดินตามไปทันที
   “แกเช็คอินหรือยังเนี่ย" สาตะโกนถาม
   “ยังอ่ะ ฝากด้วย เปิดห้องสูทไปเลย ไหนๆบอสก็ใจปล้ำนักก็" มิกพูดใส่สา
   “เอาวะ" สาหันหลังมาพูดกับตัวเอง "อย่างน้อยๆก็มีคนปกติอยู่บ้าง สู้ๆสุดสวย แกทำได้ แกทำได้ …...”
…...
   “คุณนัทคะ เดี๋ยวเจนว่า จะออกปีกซ้ายหน่อยอ่ะค่ะ คุณนัทจะเขยิบไปอีกได้ไหมคะ" เจนพูดเสียงอันดัง ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่บนเวที แต่ลงมากำกับงานเองอย่างมืออาชีพ นัทเขยีบไปสองก้าวตามที่เธอบอก
   “ไม่ใช่ค่ะ ไปด้านซ้ายเลยค่ะ ปล่อยเจนเด่นเลยค่ะ นั่นแหละค่ะ ดีมากค่ะ"​ เจนว่าพลาง คุยกับฝ่ายเทคนิคที่กำลังคุมไฟเอฟเฟ็คอยู่ "คุณมาร์คออกปีกขวาคล้ายกับคุณนัทนะคะ ฝน เดินมาอยู่ข้างเรา นั่นแหละ ไม่ไม่ไม่ อีกข้าง เก๋มาก ไฟเปิดพร้อมกันทั้งเวที สโม็คปล่อย นั่นแหละค่ะ ตามนี้นะคะบอล จดใหม่ด้วย เอาล่ะ เดี๋ยวเราจะเดินกันอีกรอบนะคะ"
   “คุณเจนครับ เราจะไม่พักกันหน่อยเหรอคับ" นัทพูดโพล่งขึ้นมาทันที เจนมองหน้านัทแล้วอมยิ้ม
   “ไม่ค่ะ" เจนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่แฝงด้วยคำสั่งที่เฉียบขาดที่สุด นัทถอนหายใจก่อนจะฝืนยิ้มแล้วกลับเข้าไปหลังฉากใหม่
   “อ้าวกายคะ" เจนร้องขึ้นพลางเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นแช่มชื่นทันที เมื่อกายกลับเข้ามาที่หน้าเวทีอีกครั้ง นัทหันกลับไปมองทันที
   “ขอบคุณค่ะที่รัก อื้มมมม" เจนดูดน้ำหวานที่กายถือมาให้เธอ "เดี๋ยวเราจะซ้อมกันอีกสามรอบค่ะ กาย เดี๋ยวรอบนี้เจนเปลี่ยนทางลงไฟนิดหน่อยเดี๋ยวกายลองดูนะคะ เจนขอไปเดินเองบ้าง"
   เธอหอมแก้มกายหนึ่งครั้งก่อนจะวิ่งอ้อมเข้ามาหลังฉาก นัทหลบตาทันทีเมื่อกายมองมาที่เขา ่ชายหนุ่มเดินกลับลงมาจากประตูบนเวที พอดีกับที่เจนมาด้านหลัง
   “พร้อมหรือยังคะคุณนัท ไหวหรือเปล่าคะเนี่ย" เจนถามเสียงใส
   นัทยิ้มอย่างไม่จริงใจที่สุดให้เธอ
   “ไหวครับ" เขาตอบเธอย่างสุภาพที่สุด พลางหันมาหามาร์คที่ขมวดคิ้วใส่นัท
   “งั้นก็เริ่มเลย พร้อมค่ะ" เจนตะโกนออกไปด้านหน้าเวที เพลงประกอบดังขึ้น....
   และการซ้อมครั้งที่ สิบสี่ ก็เริ่มต้นอีกครั้ง ณ จุดจุดนี้ นัทสาบานว่างานนี้จะเป็นงานสุดท้ายที่เขาขอเป็นนายแบบเอง เขาไม่เอาอีกแล้ว อย่างน้อยก็กับการทำงานกับสไตลิสต์อย่างเจนจิรา ผู้หญิงที่เขาจะจำไปชั่วชีวิต
…......
   เวลาผ่านไปจนเกือบถึงเวลาเที่ยงคืนขอคืนวันเสาร์ เจนจิราหายออกไปกับกายทันทีที่การซ้อมใหญ่ครั้งสุดท้ายจบลง นัทก้มลงนวดน่องของตัวเองทันที ขณะที่มาร์คตรงรี่ไปที่บูทของ Lovable Studio เพื่อหาสุดที่รักของเขา นัทใช้แรงเฮือกสุดท้ายเดินตามไป แต่ก็ต้องแปลกใจที่บูทมีสาวๆอย่างน้อยก็ราวๆสิบคนมายืนล้อมบูทของบริษัทเขาอยู่ และเมื่อเขาขอทางผ่านพวกเธอเข้าไปก็พบกับบูทแนวธรรมชาติที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม ไม้ประดับที่ถูกตกแต่งชั่วคราวไปทั่ว Exhibition ได้รับการดัดแปลงลดทอนความรกลง แล้วเกาะเลื้อยไปกับแท่นวางโปรศัพท์มือถือและโปสเตอร์ PR รอบๆอย่างมีดีไซน์ นัทหายหนื่อยไปแทบทั้งหมด ที่ได้เห็นงานที่เขา มิกและสาร่วมกันทำ ต่อสู้มากันเป็นเดือน ได้เติบโตขึ้นมาเป็นรูปร่างอยู่ที่นี่ เขามองมันนอย่างตกตะลึงอยู่หลายนาทีก็ค้นพบความจริงที่ทำให้สาวๆนับสิบๆคนมายืนชมบูทนี้
   ความสวยงามของดีไซน์ของบูทอย่างนึงล่ะใช่ แต่กล้ามท้องและหุ่นของหนุ่มตี๋อายุน้อยน่ะอีกเรื่องหนึ่ง นัทพบเอิร์ธที่ยืนอยู่ยนบนบันได กำลังตอกหมุดให้เข้ากับผ้าที่ลากขึงเพดานบูทอย่างดูดีมีสไตล์ กล้ามแขน และหน้าท้องมีเหงื่อไปท่วทตัวจนมันเลื่อม ขณะที่มิกและสา ช่วยกันส่งผ้าให้เด็กหนุ่มเอาขึ้นไปตอก นัทอมยิ้มทันที
   “เป็นไงบ้าง" นัทร้องขึ้น
   “อ้าว ซ้อมเสร็จแล้วเหรอ" มิกว่า แม้ว่าสายตายังคงจ้องมองไปที่การทำงานของเอิร์ธ
   “อ้าวพี่นัท หวัดดีค้าบ" เอิร์ธร้องทักทาย
   “หวัดดีคับน้องเอิร์ธ ว่าไงมิก เหมือนไม่ได้เจอแกนานมากอ่ะ" นัทร้องขณะเดินเข้าไปช่วยถือผ้ากับมิกอีกแรง
   “เหอๆ ก็หายไปอยู่กับใครล่ะ" มิกแซวเบาๆ ขณะส่งผ้าขึ้นไปอีก
   “จริงสินะ ก็หายไปอยู่กับใครล่ะ" นัทใช้คำพูดเดิมถามกลับ พลางมองไปหามิก ด้วยสายตาที่เหนื่อยล้า มิกหันมามองสายตาที่มีความหมายต่อเขาคู่เดิม มันก็เหมือนเมื่อก่อนนี้ ที่สายตาของนัท สามารถทะลายกำแพงทุกอย่างของมิกได้
   มิกหลบตาลงพลางยิ้มน้อยๆ
   “เขาดูแลแกดีหรือเปล่า" ถามด้วยคำถามสั้นๆ พลางทำเป็นม้วนชายผ้าเตรียมส่งขึ้นไปใหม่
   “ก็ดีมั้ง" นัทตอบ พลางรวบชายผ้าส่งไปให้มิกอีก
   “เป็นห่วงนะเว่ย" มิกกระทุ้งแขนใส่นัททีนึง "ถ้าเหนื่อยก็ไปพักก่อนไป"
   “ไม่เป็นไรอ่ะ" นัทว่า "เห็นแกทำกันอยู่สามคนมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว อยากจะช่วยทำงานตัวเองจริงๆบ้าง" นัทว่า
   “แกมีหน้าที่ของแกแล้วนัท ไปทำตรงนั้นให้ดีดีกว่า" มิกพูด
   นัทถอนหายใจ
   “มันไม่ใช่ที่ของฉันนี่นาตรงนั้นน่ะ" นัทว่า มิกหยุดกึก
   “มันเป็นที่ของแกเว่ย" มิกหันไปมองหน้านัทอย่างจริงจัง พลางมองนัทเหมือนที่เคยมองก่อนหน้านี้ "ที่ที่แกเลือกแล้ว เป็นที่ของแกเสมอ ก้าวไปแล้ว ก็ไม่ต้องมองย้อนกลับมาอีกดิ"
   “แล้วเหมือนทิ้งแกไว้ตรงนี้เนี่ยนะ" นัทว่า
   “ปล่าวซะหน่อย ฉันยังมองดูแกอยู่ ก็มองจากตรงเนี้ยมาตั้งแต่หัวค่ำแล้ว" มิกว่า "แล้วอีกอย่าง ก็เดินไปพร้อมกันนั่นแหละ แค่อยู่คนละตำแหน่งกันเท่านั้นเอง"
   มิกยิ้มให้นัทอย่างจริงใจ
   “รู้สึกว่าอยู่คนเดียวเหรอหึ" มิกถามพลางส่งกองผ้าชุดสุดท้ายขึ้นไป นัทเงียบไป
   “แกไม่ได้อยู่คนเดียว ท่องเอาไว้เลยนะเว่ย ฉันกับสา อยู่กับแกเสมอ" มิกว่า ขณะที่เอิร์ธโดดลงมาจากบันได
   “เรียบร้อยแล้วพี่ ว่าแต่คุยไรกันอ่ะ" เอิร์ธถาม
   “ไม่มีไร พี่นัทมาบ่นว่าปวดขาน่ะ" มิกตอบ
   “อ่อ ผมนวดให้ป่ะ" เอิร์ธถาม
   “ไม่เป็นไรเอิร์ธ ขอบใจมาก" นัทตอบ
   “วันนี้ก็เสร็จไปเยอะแล้ว ขึ้นไปอาบน้ำเหอะไป จะได้ออกไปหาไรกินกัน" มิกว่า พลางขมวดคิ้วใส่เอิร์ธก่อนจะลากตัวหายออกไปจากฝูงสาวๆที่กำลังมองเอิร์ธอยู่ นัทมองทั้งคู่เดินหายออกไปจากงาน
   “อ้าวนัท" เสียงของสาดังขึ้นจากข้างหลัง
   “ว่าไงคุณเธอ" นัทร้องทัก "เหนื่อยมั้ย สุดยอดไปเลยสา บูทสวยมาก"
   สายิ้มให้นัท
   “แหม ก็งานเราสามคนนี่นา" สายิ้มให้นัท "เออ นี่ ไปพักเถอะ มาร์คบอกว่านายซ้อมหนักมาเลยนี่วันนี้ ไปพักผ่อนได้แล้ว ส่วนฉันขอตัวไปส่งมาร์คก่อนแล้วเดี๋ยวกลับมานอนด้วย ห้องเราเป็นห้องสูท อยู่ชั้น 30 นะ"
   “อ่อ แล้วจะไปนานไหมอ่ะ มิกมันจะพาเอิร์ธออกไปกินข้าว" นัทว่า
   “อ้าวเหรอ ก็......คงนานแหละ ฉันก็ว่าจะออกไปหาอะไรกินเหมือนกัน" สาว่า "งั้นนายก็ออกไปกับมิกแล้วก็เอิร์ธสิ จะได้หาไรกินด้วยไง"
   “อ...อ...อืม ก็ได้" นัทว่าเบาๆ "งั้นก็โชคดีนะ"
   สายิ้มให้เพื่อนพลางมองตานัทอย่างรู้ดี ก่อนจะเดินเข้ามาแตะไหล่นัท
   “สู้ๆแก ไม่มีอะไรหรอก อย่าคิดมาก" สายิ้มให้ ก่อนจะเดินหายออกไปกับมาร์คอีกคู่ นัทมองเพื่อนรักอีกคนเดินจากไป นัทมองไปรอบๆบูธที่เขาเห็นมันอยู่แค่ในคอมมาสองเดือน จนกระทั่งมันออกมาตั้งอยู่รายล้อมเขา เขายิ้มให้ตัวเองหนึ่งครั้ง เขากำลังจะประสบความสำเร็จกับงานชิ้นนี้แล้วนี่ นัทคิด
   แต่ทำไมกัน เขาถึงยืนอยู่ตรงนี้เพียงลำพัง หรือว่านี่จะเป็นสัญญาณ...
   เขากำลังก้าวเข้าไปในโลก Loveless Society หรือเปล่านะ......
   โลกที่ทุกคนเหมือนอยู่รอบๆตัว แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเลย....
   น้ำตาไหลออกมาเบาๆ น้ำตาที่ปนความดีใจและความเสียใจไปพร้อมกัน
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 24/1) - 27/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 27-10-2011 23:14:32
บทที่ 24 B.A.D Night & MAD Night

   นัทนั่งเหม่อมองกรุงเทพยามราตรีอย่างไม่มีจุดหมาย ณ มุมมุมหนึ่งของของด้านหลังของบู๊ท ชายหนุ่มนั่งมองไกลออกไป แสงสีที่วุ่นวายอยู่เบื้องล่างนั้นมันไม่ได้ต่างอะไรจากที่เขาเคยถ่ายในภาพ Loveless Society เลย เขาอยู่ตรงนี้เพียงลำพังมาซักพักหนึ่งแล้ว ลำพังเพียงคนเดียวกับความรู้สึกที่แสนว่างปล่าวอย่างประหลาด
   เขาไม่ได้นึกถึงกายเลย เขานึกถึงสิ่งที่ที่ผ่านมา สิ่งที่กำลังเกิดอยู่ตอนนี้ และสิ่งที่จะเกิดต่อไปกับตัวเอง และอนาคตของเขา มันน่าตลกที่เขากำลังคิดถึงอนาคตในช่วงวัยแบบนี้ แต่การก้าวกระโดดในสายงานของเขาครั้งนี้ มันทำให้เขาเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานมาหาเขาช้าๆ เขาต้องการชีวิตแบบนี้จริงๆน่ะเหรอ เขาต้องการการอยู่บนการจับตามอง การเป็นที่รู้จักอย่างกายหรือเปล่า แล้วสุดท้าย เขาจะต้องเหลือเพื่อนแบบที่กายมีด้วยหรือเปล่า เพื่อนที่ไม่ได้จริงใจแบบนั้น สาและมิก จะตามเขามาได้ทันหรือเปล่า เพื่อนรักของเขาทั้งสองคน จะเป็นคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังหรือเปล่านะ
   เขาก้มหน้าลงกับตัวเอง เขาไม่อยากให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นซักหน่อย มันไม่ใช่ที่เขาต้องการมาตั้งแต่แรก นี่มันไม่ใช่ที่เขาคิดเอาไว้ มันผิดพลาดไปหมด ตั้งแต่วันที่กายมาที่ Lovable Studio มาท้าทายเขา แล้วทำให้ชีวิตเขามาถึงตรงนี้
   นัทกำหมัดหนึ่งครั้งก่อนจะทุบลงบนตักของตัวเอง เขากัดฟันกรอด พลางกระโดดลงจากม้านั่งด้านหลังบูธนั้น ออกมาจากมุมมืดทันที และเขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อร่างๆหนึ่งกำลังยืนก้มหน้านิ่งอยู่ที่ด้านหน้าของบูท นัทมองชายหนุ่มที่อยู่ภายใต้ชุดสูทที่ไม่ได้ผูกไทด์หน้าตาหล่อเหลานั้น คนที่เขาเพิ่งจะนึกถึงเมื่อครู่นี้เอง.......กาย
   นัทมองกายอย่างประเมิณค่าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินผ่านไปทันที แค่เขาเห็นหน้ากายแบบสองต่อสองอีกครั้งในรอบห้าวันที่ผ่านมานี้ มันเหมือนกับกายเอาความเหนื่อยล้าทั้งมวลที่นัทพยายามเก็บเอาไว้ให้มันเอ่อล้นขึ้นมาอีกครั้ง เขาแทบไม่อยากคุยอะไรกับกายเลยตอนนี้ เขารู้สึกหมดแรงอย่างบอกไม่ถูก
   “ผมขอโทษ" เสียงอันนุ่มนวลดังลอยขึ้นมาทันทีเมื่อนัทเดินผ่านกายไป นัทนิ่งสนิทโดยที่ยังไม่พูดอะไรคำขอโทษของกายทำเอาเขาแทบหมดแรง น้ำเสียงของกายสั่นเครืออย่างที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน นัทฝืนปั้นหน้าเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับมาหากาย
   “ขอโทษทำไมคุณ" นัทพูดด้วยน้ำเสียงปกติ "ผมแค่จะไป.....”
   “ผมผิดเอง" กายพูดนิ่งๆ "ผมทำให้คุณต้องมาเหนื่อยแบบนี้ ผม ผมไม่รู้มาก่อนว่าเจนเค้าจะเข้มงวดมากขนาดนี้ กับคุณ ทั้งๆที่มันเป็นงานของคุณ"
   “อ้อ" นัทฟังคำของกาย อารมณ์โกรธของเขาก็ยิ่งพุ่งพล่าน คิดได้แค่นี้เองใช่ไหม ไอ้พ่อมดเห็นแก่ตัว!!! “งั้น ผมขอตัวไปก่อนนะ"
   “ผมเสียใจจริงๆนัท คุณจะว่าอะไรผมก็ได้" กายว่า "ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเจนเขา.......”
   “....คุณเสียใจเรื่องแค่นี้เองเหรอ" นัทพูดเบาๆกลับเช่นกัน เหมือนกับว่าเชื่อนภายในใจของเขาได้พังทลายลงแล้ว  กายเงยหน้าขึ้นมองนัทที่กำลังมองออกไปยังบูทที่เขาเพิ่งเดินออกมา นัยน์ตาแดงก่ำ พลางยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก
   “คุณรู้หรือเปล่า นั่นมันเรื่องเล็กน้อยมากเลยนะ สำหรับผม"
   กายมองหน้านัท
   “สำหรับผม มันมีอะไรเกิดขึ้นที่ผมต้องเสียใจอีกตั้งเยอะ" นัทพูดชัดเจนพลางมองไปยังใบหน้าอันหล่อเหลาของกาย แล้วยิ้มให้ ทั้งๆที่น้ำตาแห่งความเหนื่อยล้าค่อยๆไหลลงมาเป็นทาง นัท เช็ดน้ำตาของตัวเองด้วยแขน ก่อนจะก้มหน้าลง "มันไม่เห็นมีอะไรที่ผมต้องการเลยซักอย่าง"
   “เมื่อสองเดือนก่อน ผมเคยถามคุณที่ห้องทำงานของอาคุณที่ Lovable ว่าที่คุณต้องมาลงแรง ลงงานเหนื่อยๆนี่กับผมเพราะอะไร" นัทว่า "คุณบอกว่า คุณทำเพื่อผม งั้นผมอยากจะถามคุณหน่อยกาย ว่าคุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร"
   กายมองหน้านัทอีกครั้ง ราวกับไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “งั้นผมจะบอกคุณให้ก็ได้" นัทแผดเสียงขึ้น พลางย่างสามขุมเข้าไปหากาย "ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกอย่างเป็นแบบนี้ ผมไม่ได้อยากให้คนอื่นๆมองในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็นไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ต้องการอยู่ในสังคมแบบคุณ เพื่อนผมเคยเกือบจะต้องถูกไล่ออกจากวงการก็เพราะงานนี้ เพื่อนผมกำลังจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วสุดท้ายก็เป็นผมเองที่จะต้องเดินมาเพียงลำพัง ผม ผมไม่ได้ต้องการชีวิตแบบนี้ ผมไม่ใช่คุณ....
   ชีวิตคุณน่ะ มันก็มีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกกาย คุณทำงานตามสิ่งที่คุณอยากได้ทุกอย่าง มันก็แหงอยู่แล้ว คุณมันหล่อ คุณมันมีชื่อเสียง เป็นถึงพ่อมดของทุกๆคน คุณเป็นคนทุ่มเทกับงานที่คุณอยากทำเท่านั้นแหละ ถ้าคุณนอนในกระเป๋าเขียนแบบได้คุณก็คงนอนไปแล้ว พองานจบคุณก็สังสรรค์ ไปดื่มกับเพื่อนๆ พาสาวๆขึ้นเตียง พอเสร็จ คุณเอาสาวๆพวกนั้นลง" นัทว่ากลับ กายมองนัทพลางหายใจหอบถี่ "แล้วคุณก็เพิ่งมาเสียใจ ที่สาวๆบางคนของคุณ ไม่ยอมลงจากเตียงของคุณเสียแล้ว"
   “นี่คุณ....”
   “ผมพอแล้วกาย" นัทว่า "ผมเหนื่อย ผมไม่เอาแล้ว ผมขึ้นไปยืนบนนั้นกับคุณไม่ไหวหรอก มันเหนื่อยเกินไป ใช่ ผมทนไม่ได้ ผมจะไม่เปลี่ยนตัวเองไปเป็นอีกคนที่คุณจะเก็บผมไว้ในมุมมืดของคุณ เพื่อให้คุณใช้ผมระบายตอนคุณ....”
   นัทกัดฟันกรอด พลางหลั่งน้ำตาด้วยความโกรธ กายก้มหน้าลงทันที
   “คุณไม่ต้องมาขอโทษอะไรผมหรอก" นัทว่า "คุณไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก คุณเป็นคุณอย่างนี้น่ะดีแล้ว มันผิดที่ผมเองแหละ"
   ชายหนุ่มหันหลังกลับพลางเดินเข้าไปในโรงแรม
   “ผมเคยเตือนคุณแล้ว" นัทพูดพลางเดินจากกายไป "ว่าผมไม่คิด....ว่าคุณกับผมจะเข้ากันได้.....ผมเคยบอกคุณแล้ว"
   นัทหายเข้าไปในโรงแรมทันที โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งที่นัทได้ระบายออกมานั้นมันเหมือนเวทย์มนต์ที่กายไม่เคยรู้จัก เวทย์มนต์ที่หยุดเวลาของกายเอาไว้ตรงนั้น พ่อมดสุดเจ้าเล่ห์นัยน์ตาแข็งกร้าว จ้องมองพื้นเพื่อพยายามทบทวนอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มไม่สามารถเคลื่อนไหวอะไรได้ทั้งนั้น ภาพแห่งความหลังหวนขึ้นมาในจิตสำนึกของจิตใจ

   …....ลมหนาวของเมืองแห่งดีไซน์พัดหวนเอาทิวไม้รอบสวนให้ไหวติงไหลเอื่อยช้าๆ หญิงสาวที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยน้ำใสๆ เงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มที่กุมมือเธอเอาไว้อย่างสุภาพ เธอมองหน้าชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า กับการเดินทางที่แสนยาวไกลของเธอ
   “ผมขอโทษ" ชายหนุ่มพูดกับเธอ "ผมไม่รู้มาก่อน ว่าอาจารย์เขาจะเข้มงวดกับคุณขนาดนี้ ทั้งที่มันเป็นงานที่เกิดจากไอเดียของคุณ"
   “พอเถอะค่ะ กาย" หญิงสาวตอบด้วยเสียงที่นิ่งสนิท และเบาบาง หากแต่แฝงไปด้วยความหมายมากมาย "เจนไม่อยากฟังอีกแล้ว"
   “ผมเสียใจจริงๆเจน" ชายหนุ่มพูด "คุณจะว่าอะไรผมก็ได้"
   “กายอยากรู้จริงๆเหรอคะว่าเจนอยากจะว่าอะไร" หญิงสาวพูดขณะที่น้ำใสๆไหลรินออกจากดวงตาที่งดงาม ลมหิมะต้องผิวเธอจนหนาวสะท้าน เธอปล่อยมือชายหนุ่มลง "เจนทนไม่ไหวแล้ว เจนอยากกลับบ้าน"
   ชายหนุ่มจ้องเธอราวกับไมเคยเห็นเธอมาก่อน
   “เจนไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนี้กาย เจนอยากกลับไปหาแม่" หญิงสาวร้องไห้สุดเสียง "ที่เจนมาที่นี่ ก็เพราะความฝันของกาย เจนแค่อยากอยู่ในทุกๆที่ที่มีกายอยู่ แต่กายรู้ไหม ว่าเจนต้องแลกกับอะไร
   กายรู้ไหมว่าตอนนี้เจนแทบจะต้องลาออกอยู่แล้ว ถ้าเทอมนี้เจนตกอีกแค่ตัวเดียว เจนก็จะไม่ได้ทุน แล้วการมาที่นี่ของเจนก็จะสูญเปล่า เจนทิ้งคุณแม่มาก็เพื่อมาอยู่กับกายที่นี่ กายบอกว่าที่นี่คือความฝันของเรา แต่สุดท้ายแล้ว เจนมองไม่เห็นอะไรที่นี่เลย" หญิงสาวปาดรอยน้ำตาของเธออย่างเจ็บปวด "กายคะ เจนไม่รู้ว่าต่อจากนี้ เจนจะไปต่อยังไง เจนขอแค่ให้กายพอเถอะ ปล่อยเจนไปเถอะ เจนไปกับกายไม่ได้หรอก เจนไม่อาจยืนอยู่ที่ที่กายยืนได้อีกแล้ว เจนทำไม่ได้"
   หญิงสาวปล่อยมือและเดินจากไปท่ามกลางหิมะขาว ผ้าพันคอที่เป็นเครื่องหมายของความรักของทั้งคู่ปลิวไหวไปกับสายลม
   “กายไม่ต้องขอโทษเจนหรอกค่ะ" หญิงสาวเอ่ยขึ้นท่ามกลางสายหิมะ "กายเป็นอย่างที่กายเป็นอยู่นั่นแหละดีแล้ว มันผิดที่เจนเอง"
   ชายหนุ่มยืนจมกับความเจ็บปวด ยืนมองความรักที่เขาเฝ้าตามหามาทั้งชีวิตลอยหายไปในหิมะที่ขาวโพลนและหนาวเย็น.......

   “..ท....ท...ทำไมกัน" เสียงของกายลอดลำคอออกมาเบาๆ "….ทำไม...มันถึงเกิดขึ้นอีกล่ะไอ้กาย"
   ใบหน้าของกายนิ่งสนิท ดวงตาเบิกกว้าง ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัว
   “....ทำไมกัน"
หัวข้อ: Re: [Quote ตัวละครหน้า 1]Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 24 จบตอน) 28/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-10-2011 00:28:59
เสียงเปิดประตูดังขึ้นปลุกให้นัทตื่นจากภวังค์ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่กลางห้องโดยที่ไม่เปิดไฟ นัทอยู่ในชุดนอนนั่งกอดเข่าอยู่กลางห้อง เมื่อไฟกลางห้องเปิดออก มิกถอนหายใจทันทีเมื่อความตื่นเต้นทั้งมวลเหมือนถูกยกออกไป อย่างน้อยๆนัทก็ไม่ได้หายไป.....อีกคน
   “นี่ยังไงเนี่ย" มิกพูดกุกกักเหมือนคนเริ่มต้นไม่ถูกพลางลงมานั่งข้างๆเพื่อนรัก "แล้วทำไมไม่นอน นี่จะหกโมงเช้าแล้ว แกมีซ้อมตอนสิบโมงไม่ใช่เหรอ"
   นัทเงยหน้าขึ้นมองมิกก่อนจะโผเข้ากอดเพื่อนรักทันที ร่างกายของนัทสั่นไปทั้งตัว เขาไม่ได้ร้องไห้ แต่มันเหมือนความกลัวมากกว่า มิกโอบกอดเพื่อนรักไว้เบาๆ
   “ฉ....ฉ.....ฉันไม่ได้ตั้งใจมิก" นัทพูดตะกุกตะกัก "ฉันแค่...ฉันแค่..กลัว...มิก....ฉัน...”
   “เห้ย ใจเย็นๆนัท ใจเย็น" มิกพูดปลอบนัทเบาๆ "ไม่เป็นไร ไปนอนไป เดี๋ยวฉันพาไปเอง ลุกเร็ว เอิร์ธ เอิร์ธ พี่นัทอยู่บนห้องมานี่เร็ว"
   เอิร์ธวิ่งออกมาจากห้องที่อยู่ตรงข้าม กันทันที
   “อ้อ เจอแล้วหนึ่งรายสินะพี่มิก มามา ผมเอง" เอิร์ธช่วยมิกประคองอีกข้างนึงของนัท พาไปยังเตียงที่อยู่ไม่ไกลกัน
   “เอิร์ธอ้อมไปยังหัวเตียงเพื่อเปิดโคมไฟแล้วปรับแอร์ ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วนำมาให้นัทดื่ม ขณะที่มิกกุมมือเพื่อนรักเอาไว้เบาๆ
   “กินน้ำก่อนแก" มิกป้อนน้ำนัทก่อนจะห่มผ้าให้ "นอนให้หลับ หยุดคิดมากได้แล้ว โอเคป่ะ แล้วเดี๋ยวเรื่องซ้อมฉันจะไปเคลียร์เอง เอาล่ะ นอนเลยเพื่อน"
   นัทที่ยังคงตาแข็งพยายามข่มตาให้หลับขณะที่เอิร์ธและมิกค่อยๆออกมาจากห้องนอนและห้องของนัทโดยไม่ให้มีเสียง
   มิกพ่นลมหายใจขณะปิดประตูห้อง พอดีกับเสียงฝีเท้าวิ่งมาตามระเบียงทางเดินของโรงแรมพร้อมเสียงของเจ้าแม่โวยวาย
   “เจอไหม อยู่หรือเปล่า อยู่ใช่ไหม ว่าไง" สาส่งเสียงอันดังราวกับจะปลุกให้ทุกชีวิตในโรงแรมตื่นขึ้นมารับแดดวันอาทิตย์อย่างไม่จำเป็น
   “เงียบหน่อยได้ไหมเล่า แกนี่ก็" มิกเอื้อมมือปิดปากเพื่อนรักทันที "จะปลุกให้ตื่นกันทั้งชั้นเลยรีไง สต๊าฟงานนี้ทั้งนั้นนะ"
   “แล้วว่ายังไงเล่า" สาถามอย่างร้อนรน
   “อยู่ ไม่นอนด้วย ช๊อคว่ะ" มิกพูดสั้นๆ "กล่อมให้นอนไปแล้ว แล้วห้ามแกเข้าไปซ้ำเติมอะไรมันเด็ดขาดเลยนะ มันไม่ปกติสุดๆอ่ะ ยิ่งกว่าที่พัทยาอีก"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอ" สายกมือขึ้นปิดปาก "นี่อย่าบอกนะว่า เข้าสู่โหมดตาแข็งอ่ะ"
   มิกพยักหน้ารับ
   “เอาไงดีแก ฉันว่ามันต้องมีเรื่องแน่ๆเลยอ่ะ" สาว่า "ฉันกะแล้วเชียว ไม่น่าทิ้งมันเลยแกอ่ะมิก ฉันบอกแล้วว่าเมื่อคืนนัทมันแปลกๆ"
   “ไม่ต้องมาโทษฉันเลยคุณเธอ เธอก็ออกไปดี๊ด๊ากับแฟนเหอะ ถ้าคุณเจนไม่โทรมาหาฉันฉันก็ไม่รู้เรื่องหรอก" มิกโวย
   “อะไรนะ นี่ยัยนั่นโทรมาหาแกเองเลยเหรอ" สาว่า มิกมองหน้าเธอเป็นคำตอบพลางลากตัวสาออกจากหน้าห้องนัท
   “เอิร์ธ แวะไปเอาตั๋วอาหารเช้าที่ห้องเราแล้วก็ห้องพี่สาทีนะ แล้วไปเจอกันข้างล่าง" มิกออกคำสั่ง
   “ได้พี่" เอิร์ธรับคำก่อนจะวิ่งย้อนกลับไปที่ห้อง
   “อะไรกันเนี่ยแก" สาถาม
   “เรื่องมันจะใหญ่กว่าที่แกคิดอีกน่ะสิ ฉันจะบอกให้" มิกพูดเสียงเรียบๆ ซึ่งสารู้ดีว่าหากมิกพูดว่าเรื่องไหนใหญ่ล่ะก็ มันจะต้องใหญ่จริงๆ มิกไม่เคยตื่นตูม
   “หมายความว่ายังไงนะ" สาถาม
   “เจนจิราโทรมาหาฉันตอนตีสาม" มิกพูดขณะที่ลากสาเข้าลิฟท์ได้สำเร็จ และเมื่อประตูลิฟท์ปิดลง "บอกว่ากายประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ"
   “ห๊ะ" สาร้องด้วยเสียงอันดัง มิกกะจังหวะได้ถูกเป๊ะที่ลากสาเข้าลิฟท์มาซะก่อน ไม่อย่างนั้นเสียงอุทานของสาจะต้องดังเป็นข่าวหน้าหนึ่งต่อจากหูของสต๊าฟงานที่พร้อมตื่นรับวันงาน B.A.D Night อย่างแน่นอน "คุณพระช่วย"
   “ไม่ช่วยแล้ว คุณกายอยู่โรงพยาบาล เจนบอกว่าไม่ได้เป็นอะไรมาก ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นมากไม่มาก" มิกอธิบาย "แต่ที่แรงกว่านั้น เจนจิราบอกฉันด้วยเรื่องที่ฉันแทบจะเอาหน้าไปแทรกแผ่นดินให้ได้เลย"
   “ค่อยยังชั่ว ยัยนั่นว่ายังไงเหรอ" สาถามอีก
   “เจนบอกฉันว่า ไม่ว่ากายกับนัทจะมีเรื่องอะไรกันก็ตาม แต่เธอไม่พอใจมากที่นัททำให้กายเป็นแบบนี้ เขาจะเอาเรื่องนัทให้ถึงที่สุด" มิกหันไปมองหน้าเธอพอดีกับที่ลิฟท์หยุดลงที่ชั้นห้องอาหาร มิกพาเธอเดินออกมาทันที
   “มันเกิดอะไรขึ้นกัน ต้องมีอะไรแน่ๆ และต้องหนักมากๆด้วย ไม่งั้นยัยเจนไม่เริ่มเกมส์ก่อนแบบนี้หรอก" สาว่าอย่างเผ็ดร้อน ราวกับเป็นหัวข้อการเมืองที่กำลังร้อนแรง "นัทล่ะ มันว่าไง"
   “จะว่าอะไรเล่าก็เพิ่งบอกไปว่ามันช็อค ฉันไม่รู้ว่ามันรู้หรือเปล่าว่ากายรถคว่ำหรือมันเป็นอะไรของมัน ที่แน่ๆ มันก็หนักพอกัน" มิกเล่าขณะเลือกที่นั่งได้หนึ่งที่ พลางมองไปรอบๆ พนักงานกำลังจัดเตรียมชุดบุฟเฟต์อาหารเช้า พร้อมๆกับที่แสงแดดอ่อนกำลังจับจากฟ้ากลางกรุงด้านนอกหน้าต่างกระจก "ฉันขอถามในแบบคนที่ไม่รู้เรื่องนะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะ เมื่อวานก็เห็นปกติดี โอเค ไอ้นัทมันอาจจะเหนื่อยนิดหน่อย ฉันก็เลยปลอบมัน แล้วก็ออกไปกับเอิร์ธ แล้วไหงกลับมาเป็นเรื่องวะ"
   สานั่งนิ่งพลางครุ่นคิดอยู่พักนึง พลางเหล่มองมิก
   “อย่ามาทำเป็นคิดไม่ออก" มิกว่า "รองจากพระเจ้า แกรู้เรื่องทั้งหมดดีไอ้สา"
   “เห้ย ไม่ขนาดนั้นหรอก" สาพูดติดตลก แม้ว่าหน้าตาของเธอจะดูเป็นกังวลไม่น้อย "เอาความจริงมะ"
   “เอาความจริงครับ" มิกตอบ
   “นัทมันเป็นห่วงพวกเราเกินไปแล้วล่ะฉันว่า" สาพูด
   “อะไรนะ" มิกร้อง "ห่วงเรา ห่วงอะไร มีอะไรต้องห่วง ฉันกับแกก็สบายดีนี่ มันก็น่าจะสบายดีกับไอ้คุณกายไม่ใช่เหรอวะ"
   “นั่นก็ใช่ แต่มันกำลังจะซ้ำรอบเดิม" สาว่า "มันไม่ได้อยู่กับเราตลอดเวลา และที่ผ่านมาอาทิตย์นึงนี่ มันไม่ได้อยู่กับพวกเรา....เลยน่ะสิ"
   “แล้วยังไง" มิกว่า "เอาล่ะโอเค นี่จะเป็นอีกครั้งที่ฉันจะขอฟังแกวิเคราะห์สา ฉันจะทำตัวเป็นคนโง่และไม่ขัดแกเลย เล่ามาเลยอย่ากั๊ก"
   “ได้" สาพูดพลางสูดหายใจเข้าลึกๆ "ตามที่ฉันเดานะ และก็คิดว่ามันก็น่าจะจริง นัท มันกลัวที่จะขึ้นไปอยู่กับ คุณกายน่ะ คืออย่างนี้ แกต้องเข้าใจก่อนว่า ตอนนี้มันยอมเสี่ยง ไม่สิ ต้องใช้คำว่าลองแลกทุกอย่างในชีวิต แล้วก็ลองขึ้นไปยืนอยู่จุดจุดเดียวกับที่กายยืนอยู่ การอยู่กลางสปอตไลท์น่ะ"
   “แล้วยังไง" มิกถามต่อ
   “แล้วรู้ใช่หรือเปล่า ว่าคุณกายกับเจนจิราเคยเป็นแฟนกันมาก่อนที่จะมาคบกับนัทน่ะ พอถึงวันนี้ วันที่นัทได้รับการปั้นจนประสบความสำเร็จโดยฝีมือของพ่อมดของวงการอย่างกายสิทธิ์ มันก็ถึงเวลาแล้วที่เด็กน้อยของเรา กำลังจะต้องไปยืนกลางสปอตไลท์ เช่นเดียวกับกาย" สาว่า "แต่ก็อย่าลืมว่า กลางสปอตไลท์นั้น ถ้ามีกาย ก็จะเท่ากับมีเจนจิราอยู่ด้วย สองคนนี้คือแถวหน้าของเวทีนั้น แล้วเจ้านัทของเราก็กำลังจะขึ้นไปเบียดบนเวทีนั้น ซึ่งแกก็รู้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วว่า สิ่งที่นัทเกลียดที่สุด คือการพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้คนอื่นๆชื่นชม
   ทีนี้นอกจากเรื่องนั้นแล้ว นัทเคยบ่นกับฉันว่ามันไม่ชอบใจที่เจนเข้ามาทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกายทั้งๆที่ตอนนี้มันกับกายเอ่อ...ยังไงดี.....คบหาดูใจกันอยู่....ฉันใช้คำถูกไหมนะ เอ่อ ช่างมันเถอะ แต่ก็คือนัทมันไม่พอใจ ดังนั้น เมื่อคนสามคนไปยืนอยู่กลางสปอตไลท์ คนที่รู้สึกว่าโดนตั้งป้อมหลังไมค์ ก็ย่อมรู้สึก.....”
   “เหมือนตัวเองอยู่คนเดียว ทั้งที่อีกคนหนึ่งควรจะยืนอยู่ข้างกัน" มิกต่อคำสาจนจบ สาชี้นิ้วใส่หน้ามิกพลางยิ้มให้แทนคำตอบ "มันไม่ถูกนี่ นี่มันการแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกันไม่ได้นี่ สามคนนี่เล่นเกมส์อะไรกันวะ ฉันไม่เข้าใจว่ะ"
   “แล้วแกลองคิดดูนะมิก ที่ผ่านมา เราสามคนช่วยกันแก้ปัญหา ทุกเรื่องๆด้วยกันมาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แล้วนี่ เจ้านัทกำลังเผชิญทุกอย่างอยู่คนเดียวตรงนั้นนะ" สาว่า "โอเคถึงเราจะเดินไปพร้อมกันกับมัน ตอนนี้ไม่ได้มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ยังไงก็ตาม มันกับเราสองคนก็ยืนอยู่คนละจุดของเวทีนะ นึกดูดีดี เราสองคนอาจถูกประกาศชื่อจนเป็นที่รู้จักเหมือนมันใน B.A.D Night คืนนี้ แต่ใครกันจะได้ยืนเด่นในงาน"
   “ก็ต้องเป็น......” มิกครุ่นคิด "กายสิทธ์กับณัทนนท์สิ"
   “แน่ใจเหรอ" สามองด้วยหางตา "เจนจิราเด่นตอนไคลแมกซ์ของเรื่องนี้นะจ้ะ"
   “เหี้ย" มิกสบถเสียงดัง พลางพิงเข้าท่พนักเก้าอี้ ขณะที่สายักไหล่ทันที "ไอ้กายต้องรับผิดชอบเรื่องนี้สิวะ มันเป็นคนเอานัทขึ้นไปนะเว่ยสา มันเอานัทไปจากฉัน...เอ้ย....จากเรา มันจะปล่อยให้นัทตายกลางอากาศอย่างนั้นไม่ได้"
   “นายก็เห็นที่เขาจัดการกับเจนจิรานะ" สาพูด "นายเห็นแล้วว่าเขาไม่ทำอะไรกับยัยนั่น การที่เจ้าหล่อนมาพูดกับนายในโทรศัพท์ก็เป็นเครื่องยืนยันแล้ว ฉันจะไม่ยืนยัน ว่าการที่นัทจะถูกเฉือดกลางอากาศจะไม่เกิดขึ้น"
   “เขาต้องรับผิดชอบเว่ยสา โตๆกันแล้วนะ" มิกพูดแม้ว่าใบหน้ายังไม่ซ่อนความกังวลเอาไว้ได้ "ฉันจะไม่ทำตัวเป็นพระเอก เที่ยววิ่งออกไปกระชากคอกายแล้วบอกให้เขารับผิดชอบไอ้นัทดีดีตามที่สัญญากันเอาไว้เป็นอันขาด"
   “อ้อเหรอ?” สาขึ้นเสียงสูงในลำคออย่างรู้ดี พลางกลั้นหัวเราะ ขณะที่มิกค่อยๆยิ้มกริ่มขณะมองเธอ “บอกมาสิ"
   “มันอยู่โรงพยาบาลตำรวจ ตรงนี้เอง" มิกผ่อนลมหายใจออก "ฉันฝากทางนี้ด้วยนะ"
   “อือ" สานั่งเซ็งๆ ขณะที่มิกลุกขึ้นจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว
   มิกวิ่งออกจากห้องอาหารขณะผ่านเอิร์ธที่อยู่หน้าห้องอาหารทันที มิกรีบเบรคตัวเองขณะวิ่งออกมาเมื่อเจอมิก
   “อ้าวจะไปไหนเนี่ยพี่มิ.......”
   มิกดึงตัวเอิร์ธมาจูบทันที โชคดีที่เวลาเช้ามืดแบบนี้ที่หน้าลิฟท์ไม่มีใครเผ่นพ่าน ก่อนจะผละออกจากกัน เอิร์ธยิ้มน้อยๆอย่างเก้อเขิน มิกหายใจหอบจากการวิ่งและจูบ หรือเรียกให้ถูกคือการวิ่งมาจูบเอิร์ธนี้
   “อ...อะไรวะพี่" เอิร์ธพูดตะกุกตะกัก
   มิกมองเข้าไปในตาเอิร์ธ
   “ยืนยันตัวเองว่ะ" มิกว่าก่อนจะกดลิฟท์หายไป "ช่วยงานพี่สาด้วยเอิร์ธ เดี๋ยวพี่กลับมา"
   ยังไม่ทันจะได้ถามไถ่อะไร มิกก็หายไปกับประตูลิฟท์เสียแล้ว เอิร์ธมองมิกพลางคิดในใจว่า
   นี่คืดว่าเรื่องใหญ่แล้วใช่ไหมเนี่ย
   มันมีใหญ่กว่านี้อีกนะพี่ ไม่อยู่ฟังก่อนเลยเรอะ
   สิ่งที่เอิร์ธวิ่งกลับไปบอกสาที่นั่งรออยู่ในห้องอาหาร ก็ทำเอาเธอแทบช็อคอีกเหมือนกัน เมื่อสต๊าฟของงาน BAD Night ไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้ถ้าไม่มีกาย เพราะเขาเป็นคนกำกับงานนี้เอาไว้ แล้วไม่มีคนกลับมาคอนเฟิร์มในเรื่องต่างๆ ไม่ใช่แค่งานประกาสรางวัล 18 สาขาที่จะถูกรันภายในคืนนี้ แต่ยังรวมถึงกองทัพสตูดิโออีกกว่า 30 แห่งทั่วกรุงเทพ ที่กำลังแห่เอา Exhibition ของตัวเองมาจัดงานพร้อมกันที่โรงแรมแห่งนี้ สาและเอิร์ธมองหน้ากันอย่างรู้ชะตากรรม
   “พี่ยังไ่ม่เชื่อใจผมอีกเหรอ" เอิร์ธถามขณะที่โกยซุปเข้าปากอย่างรวดเร็ว
   “โอ๊ย ไม่ใช่ไม่เชื่อโว้ยยยย" สาร้องขณะกัดขนมปัง "เมื่อวานคิดว่ามีสี่ เหลือสามคนทำงาน วันนี้แทนที่จะสาม เหลือสอง พี่กลัวว่าพี่จะสติแตกตายไปซะก่อนน่ะ"
   “เอาน่าพี่ ไม่ลองไม่รู้" เอิร์ธว่า พลางยิ้มน้อยๆในใจ
   เพราะไม่ใช่อะไรหรอก
   เอิร์ธยอมรับว่าจูบเมื่อกี้ ทำให้เขามีกำลังทำงานแทนมิกได้อีกทั้งวันเลย....
…....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 24 จบตอน) 28/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-10-2011 16:13:25
กระซิบคนอ่านครั้งที่ 3

กลับมาแล้ว o18 จากภาระงานอันหนักหน่วงที่กว่ามิรันดาจะปลีกตัวกลับมาเขียนเรื่อราวของโลกดีไซน์นี้อีกครั้งได้ก็ปาเข้าไป 2 เดือนกว่าๆ :seng2ped:
(กะว่าจะเผาพริกเกลือสาปแช่งอยู่แล้วแหละพี่ :m31: :m31: :m31:.....ผู้อ่านหลายคนกระซิบมา)

คราวนี้มิรันดาพากายและนัทมาให้ผู้อ่านหายคิดถึงกันแล้ว ดีใจกันใช่มั้ยล่า!!!  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
แต่ทว่าการกลับมาครั้งนี้ก็พาเอาคลื่นชีวิตที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเรื่องมาซะด้วย เหมือนว่าช่วงเวลาที่น่ารักๆของกายและนัทกำลังเข้าสู่โหมดมืดเสียแล้ว :sad11: :sad11:

จาก 2 ตอนที่ผ่านมาผู้อ่าน (ที่อ่านจนถึงตอนที่ 24) คงตบโต๊ะและตาค้างกับเรื่องราวของตัวละครที่หลายๆคนที่ติดตามมาตั้งแต่ต้นเรื่องหมั่นไส้ และอยากจะเอาอะไรขว้างใส่ซะเหลือเกินกับเธอคนนี้.....เจนจิรา :a5: :a5: :a5:

ที่มาบทนี้เธอกลายเป็นตัวละครที่ทำให้ผู้อ่านรู้สึกว่า "เธอคนนี้ มีอะไรต้องค้นหาเสียแล้ว"  :m16: :m16: :m16:
ซึ่งนั่นถูกเผงทีเดียว เจนจิราเป็นตัวละครที่ตื้นลึกหนาบางเยอะที่สุดในเรื่องเลยก็ว่าได้ แอบกระซิบผู้อ่านว่าเธอคนนี้ คือ ตัวละครสำคัญที่จะนำพาเรื่องนี้ไปสู่ไคลแมกซ์ที่กำลังจะมาถึง (อ้าว...นี่ก็หมายความว่า Loveless Society กำลังจะ.... :serius2:) ของ Seasons 1 เลย (ห๊ะ....นี่ก็หมายความว่า Loveless Society จะมีภาค.... :z1: :z1:)

ถึงอย่างไรก็ตาม เรื่องราวของเจนจิรา มิรันดาได้แอบบอกตัวตนที่แท้จริงของไปแล้วเมื่อครั้งกระซิบคนอ่านครั้งที่ 1

ตอนไหนกันหรือ? o22

ก็ตอนที่เอาเพลงที่ใช้เป็นแรงบันดาลใจและประกอบนิยายเรื่องนี้ ซึ่งที่แท้จริงแล้วเพลงที่เป็นตัวแทนของเจนจิราก็คือ
Born To Be A Lady - Girls' Generation นั้นเอง :3123:

เรื่องราวที่กำลังเข้มข้นปนความสับสนของกายและนัท ดูเหมือนว่าจะมีเพียง มิกและเอิร์ธที่กำลังชูโรงให้ผู้อ่านได้หน้าแดงกันไปพักๆ แต่ก็อย่าพึ่งชะล่าใจไป สองคนนี้ก็กำลังจะเจอศึกหนักเช่นกันน้า :เฮ้อ:

วันนี้มิรันดาพาเรื่องราวของกายและนัทมาถึงครึ่งทางแล้ว อยากให้ผู้อ่านที่ยังติดตามกันอยู่ รวมถึงผู้อ่านคนใหม่ๆที่แวะเวียนเข้ามาในนี้ ได้ติดตามเรื่องราวในโลก Loveless Society ต่อไปจนจบ ซึ่งรับรอง ว่านี่คงเป็นนิยายดีดีที่จะจบลงอย่างน่าประทับใจชาวบอร์ดไปอีกหนึ่งเรื่อง
 :L2: :L2: :L2:
กลับมาคราวนี้ก็ขอเอาเพลงชุดที่ 2 ที่จะใช้เป็นแรงบันดาลใจ ในการเขียนเรื่องนี้ในครึ่งหลังมาฝากผู้อ่นกันอีก ลองเดาๆเรื่องจากเพลงที่ท่านได้ลองฟังเหล่านี้ดูนะ ว่าสุดท้ายแล้ว เรื่องราวของ Loveless Society จะจบลงอย่างไร

รู้สึกดี (Acoustic Version) - No More Tears
สักวันหนึ่ง - บอย โกสิยพงศ์
봄날 (How great is your love) - Girls' Generation
ขอบคุณที่รักกัน (Acoustic Version) - Potato
Wish You Were Here - Avril Lavigne
Wherever You Will Go - The Calling

ขอให้ผู้อ่านทุกคนติดตามนิยายเรื่องนี้ต่อไปพร้อมกับหาเพลงเพราะๆด้านบนฟังไปด้วยนะ จะได้รู้สึกร่วมไปกับมิรันดาไงล่ะ
 

 :bye2: :bye2: :bye2:
ปล. จากโลก Loveless Society สู่ ผู้ประสบภัยน้ำท่วม

"ขอให้ทุกๆคนดูแลตัวเองนะคับ ทุกๆคนกำลังประสบภัยร่วมกัน เข้มแข็งเอาไว้คับ ผมจะอยู่ข้างๆทุกๆคนคับ" - กาย

"ยังไงก็รักษาสุขภาพคับ อยู่กับคนที่คุณรัก ดูแลเค้า อย่าให้เค้าเครียด แล้วผ่านเรื่องราวนี้ไปด้วยกันครับ"  - นัท

"เข้มแข็งคับ ไม่มีอะไรที่คนไทยอย่างเราๆผ่านไปไม่ได้หรอกคับ สู้ๆคับ" - มิก

"มีอะไรก็ช่วยๆกันนะคับ อย่างแบ่งแยกกันเลย ช่วงเวลาแบบนี้ มีแต่พวกเราเท่านั้นคับที่ช่วยเหลือกัน อย่าทิ้งกันเลยคับ" - เอิร์ธ

"เตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอ อย่าตื่นตูมกับการรับข่าวสารนะคะ รับสารอย่างมีสติ ห้ามตื่นตูมเด็ดขาดค่ะ" - สา
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 24 จบตอน + กระซิบคนอ่านครั้งที่ 3) 28/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 28-10-2011 19:06:38
อ่านมาถึงตอนนี้เกรงว่าตัวเองจะมีอาการดังที่นัทเป็น แต่ไม่หนักเท่านัทแค่นั้นเอง
และก็ให้สงสัยแคลงใจว่า สิ่งที่กายแสดงต่อนัทนั้น มันออกมาจากใจของกายจริงๆไหม
กายพึงพอใจ+ชอบกาย(คงยังไม่รักหรอก)จริงๆหรือ
หรือกายเห็นนัทเป็นเพียง "หมาก" ตัวหนึ่งในเกมเท่านั้น
มาถึงวันนี้แล้วเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยกับสมญานามของกายว่า "พ่อมด"
อ้อ ! ดิฉันยังเห็น "แม่มด" เกิดขึ้นอีกหนึ่งตนด้วยล่ะ "แม่มดเจน"
รออ่านอยู่นะคะ อยากรู้ว่าปมทั้งหลายทั้งปวงจะคลี่คลายอย่างไร
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25/1) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 29-10-2011 01:20:34
บทที่ 25 You make me hard to breath.

   เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อแสง สี เสียงสุดตระการตา สาดลงบนเวทีริมสระว่ายน้ำของลานกิจกรรมโรงแรมเซ็นทารา ท่ามกลางสายตาของดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นายแบบ นางแบบ สไตลลิสต์ และอาร์ทติสจากทั่วทั้งวงการ ที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ตามมุมต่างๆของงาน บูทและ Exhibition งานศิลป์ถูกตั้งวางเรียงรายรอบๆ โดยมีบูทของงานโฆษณา ทั้งสิ้น 18 รายการตั้งเรียงอยู่แถวหน้า ถัดออกไปคือบูทและโต๊ะของแต่ละ Studio ที่ขนเอางานมาอวดโฉมกันในปาร์ตี้ประกาศรางวัลประเพณีของวงการโฆษณาประจำปีนี้ งาน B.A.D Night ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
   “สวัสดีค่ะ พี่ๆน้องๆ ดีไซน์เนอร์ในวงการโฆษณาทุกท่าน ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่งาน BAD Night งานประกาศรางวัลผลงานโฆษณาสุดเก๋ไก๋ จากไอเดียสุดบรรเจิดของเหล่า Studio ทั่วกรุงเทพ ที่ลงมาประชันความคิดสร้างสรรค์กันมาร่วมเดือนเลยทีเดียว ใช่ไหมคะคุณเอก"
   “ใช่แล้วครับแอน ผมเอกนครับจาก Graphizine Creative Group”
   "และดิฉันแอนจาก Lovable Studio”
   “เราสองคนรับหน้าที่เป็น MC ที่จะร่วมสังสรรค์ไปพร้อมกับพวกท่านในงานเลี้ยงคืนนี้คับ ขอเสียงปรบมือให้กับสปอนเซอร์ใจดีของเราดังต่อไปนี้ด้วยคับ.......”

   …..ประตูห้องพักคนไข้เปิดผางออกทันที ร่างๆหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมกับผ้าพันแขนหันมามองแหล่งกำเนิดเสียงด้วยอารมณ์ตกใจ มิกหน้าตาตื่นมาอยู่หน้าห้องของผู้ป่วยพี่เพิ่งประสบอุบัติเหตุรถคว่ำไปเมื่อคืนด้วยความประมาท....นายกายสิทธิ์ สุทธิสมพงศ์.....
   “ค....ค...คุณมิก" คนไข้ที่กำลังเหม่อลอย เอ่ยทักด้วยความอ่อนแรง "ไม่กลับไปดูแลงานเหรอคับ จะเริ่มแล้วไม่ใช่เหรอ"
   “ดูแลตัวนายเองก่อนเหอะ" มิกพูดเสียงเข้มก่อนจะปิดประตูห้องและล็อคห้องทันที กายขมวดคิ้วทันที "แฟนเก่าของคุณไปไหนซะล่ะ"
   “ใครนะ" กายถามเสียงเข้ม ขณะพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้น
   “ไม่น่าถามเลยนะนาย" มิกเดินย่างสามขุมเข้ามาที่เตียง "ก็แฟนเก่านายไง เจนจิราน่ะ เขาไม่มาอยู่ดูแลนายอย่างที่อยากทำนักแล้วหรือไง"
   “ผมกับเจนเป็นแค่เพื่อนกัน เขาดูแลผมก็เพราะแค่เป็นห่วง" กายตอบด้วยเสียงที่หนักแน่น พลางขึ้นลุกนั่งเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกคุกคามมากไปกว่านี้ มิกนั่งลงบนเตียงข้างตัวกายทันที โดยไม่สนบาดแผลใดใด "คุณมีธุระอะไรกับผมเหรอ"
   “ฉันมาที่นี่ก็เพราะเรื่องของไอ้นัท" มิกว่าอย่างตรงประเด็น "นายต้องตอบคำถามฉัน"
   “แล้วทำไมผมต้องตอบคำถามคุณ" กายพูดท้าทายกลับ
   มิกยื่นหน้าเข้าไปหากายพลางยิ้มกริ่ม
   “ผมกับนัทก็เป็นแค่เพื่อนกัน ผมมาหาคุณนี่ ก็เพราะแค่เป็นห่วงมันเหมือนกัน" มิกตอบ กายดูเหมือนว่าตัวเองนอกจากจะต้องตรวจร่างกายมาตลอดเช้ามืดนี่แล้ว เขาก็กำลังถูกจับเข้าเครื่องจับเท็จอีกด้วย เขามองเข้าไปในตาของมิกอย่างท้าทายโดยไม่เกรงกลัวใดใด
   เขาไม่มีอะไรต้องปิดบังเลยซักนิด
   มิกไม่รู้หรอกว่า นัทกับเขา เลยเถิดไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
   กายยิ้มกริ่มในใจ.....

   …... “ขอบคุณมากกับสปอนเซอร์ใจดีของเรานะคะ ขอเสียงปรบมืออีกรอบด้วยค่ะ" แอนพูดต่อ "เอาล่ะค่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่านะคะ ดีไหมคะเอก"
   “แน่นอนครับแอน ก่อนที่เราจะเริ่มประกาศรางวัลในสาขาแรกกันเนี่ย เราไปชมวีทีอาร์เรียกน้ำย่อย กับแฟชั่นโชว์เล็กๆน้อยๆจาก JG Cut & Sew กันดีไหมครับแอน"
   “ก็ดีนะคะเอก ได้ข่าวมาว่า แฟชั่นโชว์ชุดนี้เนี่ยได้สไตลิสต์หญิงไทยชื่อดังที่ทำงานร่วมกับนิตยสารโวร์คฝรั่งเศสมาออกแบบโดยเฉพาะเลยนะคะ"
   “เอ......จะใช่สไตลลิสต์สาวสวยที่ผมแอบเหล่อยู่หลังเวทีหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับเนี่ย"
   “จะดีเหรอคะคุณเอก เพราะถ้าใช่เนี่ย ระวังจะโดนสาปนเอาะคะ"
   เสียงโห่ร้องกรูเกรียวดังขึ้นระงมไปรอบๆงานทันที
   “โห งั้นไม่เอาดีกว่าครับ ผมยังไม่อยากเป็นเจ้าชายกบตอนนี้ครับ"
   “โอ้โห เจ้าชายเลยนะคะเนี่ยแหม ชมวีทีอาร์กันเลยดีกว่าค่ะ"
   “ครับแล้วตามด้วยแฟชั่นโชว์สุดอลังการชื่อชุดกว่า Greatest Springs ครับ"
   “ขอเสียงปรบมือด้วยค่า.......”
   ….............

   ….... “อะไร นี่มันอะไรกันอ่ะคะ เดี๋ยวค่ะ คุณน่ะ" สาร้องเอะอะ โววยวายทันที เมื่อสต๊าฟงานคนหนึ่งกำลังย้ายโต๊ะทางเข้าไปอยู่อีกตำแหน่งโดยไม่บอกไม่กล่าว "คุณจะย้ายไปไหนอีกอ่ะคะ ของจะมาลงแล้วนะ"
   “มีคนสั่งให้ย้ายครับ โต๊ะตรงนี้ตั้งไม่ได้ครับ ของชำร่วยกับตั๋วจำหน่ายหน้างานจะย้ายไปด้านโน้นครับ" พนักงานคนนั้นตอบ
   “ได้ไงกันก็เราตกลงกันไว้แล้วไม่ใช่เหรอคะ" สาร้องทันที "ถ้าไปไว้ตรงนั้น แล้วผนังงานจอง Virtual Art ล่ะคะ"
   “ไม่ทราบคับ" พนักงานคนนั้นยังคงขนของต่อไป โดยไม่สนใบหน้าโกรธขึ้งของสาแม้แต่น้อย
   “อะไรกันเนี่ยคุณ ฉันเป็นแม่งานนะ" สาร้อง
   “ไม่ใช่หรอกมั้งคะ" อีกเสียงแทรกขึ้นมาทันที สาหันหลังควับไปหาเจ้าของเสียงนั่น โดยไม่ต้องเตรียมตัว สาเริ่มปั้นหน้าทันทีเมื่อรู้ว่าเจ้าของเสียงนั้นคือใคร "ถ้าคุณเป็นแม่งานล่ะก็ คงมีการเข้าใจอะไรผิดกันแน่"
   “คุณเจน" สาร้องเบาๆ
   “เจนเป็นคนสั่งให้ย้ายเองแหละค่ะ" เจนจิราตอบ "แพลนจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยด่วนที่สุด ที่คุณทำมาน่ะ มันเบียดกันเกินไป คนเดินเข้าไม่สะดวกหรอกค่ะ"
   สาอ้าปากเบาๆ ขณะมองเจนจิราเดินผ่านตัวเองไป
   “อะไรนะคุณ" สาร้อง
   “เดี๋ยวผนังของ Virtual Art จะย้ายไปอีกสองบล็อก เวทีตรงนั้นจะยื่นออกมาอีก ส่วนโต๊ะดริงค์คงต้องเถิบออกไปอีกหน่อย เดี๋ยวคุณสาช่วยไปแจ้งทางโรงแรมให้เอากระถางที่คุณกับคุณมิก แล้วก็เด็กหนุ่มคนนึงที่ย้ายออกไปเมื่อวานเอากลับเข้ามาเข้าที่ด้วยนะคะ" เจนจิราเริ่มออกคำสั่ง "ส่วนรายการของว่าง จะเบิกได้เพิ่มอีกสามอย่างนะคะ รายการบนเวทีจะมีการเปลี่ยนอีกค่ะ แฟชั่นโชว์ของ JG Cut & Sew จะขึ้นหลังวีทีอาร์ แล้วก็จะเริ่มประกาศรางวัลไปเรื่อยๆ คั่นกลางด้วย Designer Of The Yearจนสุดท้ายจะเป็นโชว์ของงาน Cooperate Identity ที่ได้ที่หนึ่ง ของพวกเราปิดท้าย ส่วน MC จะเป็นคุณเอกจาก Graphizine Creative Group คู่กับคุณแอนจาก Studio วานคุณช่วยไปแจ้งด้วยนะคะ"
   “ถ้าคุณจะลงมาเปลี่ยนนู่นเปลี่ยนนี่แบบนี้เนี่ย ทำไมถึงไม่มาซะตั้งแต่เช้าล่ะคะ" สาเปิดฉากว่าเจนก่อนทันที เหมือนว่าถึงเวลาแล้วเสียทีที่เธอต้องจัดการกับยัยมารร้ายเสีย
   “อ...อะไรนะคะ" เจนถามย้ำอีกที
   “ฉันถามว่า ถ้าคุณอยากได้นู่นได้นี่จะเปลี่ยนนั่นเปลี่ยนนี่ขนาดนี้ ทำไมคุณไม่มาซะตั้งแต่เช้า" สาถามอีก "ทำแบบนี้เนี่ย มันไม่หักหน้ากันไปหน่อยเหรอคะ"
   “เหอะ....” เจนพ่นลมออกเบาๆ "ถ้าหักหน้าเนี่ย เจนว่าเจนคงโดนมากกว่านะคะ เพราะเจนและกาย ได้รับการมอบหมายจากคณะกรรมการให้เป็นคนจัดการดูแลงาน B.A.D Night นี่ทั้งหมดนะคะคุณสา"
   สามองหน้าเจนอย่างท้าทาย
   “ถ้าอย่างนั้น ความรับผิดชอบแบบมืออาชีพเนี่ย สำหรับคุณคงไม่เน้นเวลาสินะคะ" สาว่ากลับอย่างเผ็ดร้อน เจนจิรามองหน้าสาอย่างประเมิณค่า
   “เจนว่า...” เจนเดินเข้ามาหาสาช้าๆ "คุณคงสับสน หรือไม่ก็ลืมไปแล้วว่า......สิทธิ์มันอยู่ที่ใครมากกว่าค่ะ"
   “มันไม่สำคัญหรอกค่ะ" สาว่าพลางมองเจนโดยไม่เกรงกลัว "มันขึ้นอยู่กับว่า ใครไปคนทำมากทำน้อยมากกว่ากัน"
   เจนเงียบไปพักนึง เหมือนว่าเธอจะหมดคำพูดที่จะโต้เถียงแล้ว ได้แต่เพียงมองหน้าสาอยู่อย่างนั้นอย่างนิ่งสนิท ทันใดนั้นเอง เอิร์ธก็พานัทที่อยู่ในชุดคลุม เนื่องจากนัทแต่งหน้าทาตัวพร้อมกางเกงในสีขาวตัวจิ๋ว เตรียมสำหรับการซ้อมใหญ่แล้ว เดินลงมาที่งานพอดี เจนมองไปยังนัทและเอิร์ธ ก่อนจะกลับมามองสา ที่ดูตกใจที่นัทเดินเข้ามาได้ตรงจังหวะสงครามพอดี
   “ถ้าอย่างนั้น เจนว่า.....คงต้องมีการทบทวนกันหน่อย.....ว่าใครได้ก่อน ได้หลังนะคะ"
   หญิงสาวเดินจากไปพลางสั่งงานต่อไปทันที สาและนัท ถึงกับยืนนิ่งสนิทไร้คำพูดโต้เถียง สาใจหายทันทีที่ได้ยินคำพูดที่ตรงประเด็นทุกประเด็นที่เธอจะนึกถึงได้ตอนนี้จากเจนจิรา ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆเสียด้วย
   “ทีนี้แกเห็นหรือยัง" นัทพูดเบาๆทันที
   สาถอนหายใจช้าๆ
   “ฉันไม่ได้ต้องการพิสูจน์ซักหน่อย" สาว่ากลับ "แกต่างหาก เจ็บพอหรือยังล่ะ"
   นัทหน้าซีดทันทีกับคำพูดของเพื่อน ก่อนจะออกเดินไปยังหลังเวที ที่มาร์คยืนอยู่มองดูเหตุการร์ทั้งหมดตั้งแต่ต้น เพื่อรอการซ้อมรันทรู
   “แล้วจะเอายังไงเนี่ยพี่" เอิร์ธถามสาขึ้น "ผมต้องไปช่วยเค้าด้วยหรือเปล่า"
   “ไม่ต้องแล้ว" สาตอบ "ขึ้นไปพักไปเอิร์ธ อาบน้ำแต่งตัว แล้วลงมาก่อนงานเริ่มหนึ่งชั่วโมงเลย มาตรวจแก้บูท แ้วก้ปาร์ตี้ได้เลย"
   “ครับพี่" เอิร์ธรับคำก่อนจะส่ายหัวหนึ่งครั้งให้กับหลังของเจนจิรา และหายเข้าไปในล็อบบี้ของโรงแรม
   สามองเจนจิราจากมุมหนึ่งของงาน ก็ตระหนักแล้วว่า
   เธอและมิกกำลังจะแพ้เกมส์เกมส์นี้ซะแล้ว
   ยังไงก็ตามเธอยินดีที่จะประมือกับเจนจิราต่ออย่างยินดี....
   ถ้าไม่ติดว่า สิ่งที่เธอเอาลงพนันเกมส์นี้คือเพื่อนที่เธอรักสุดหัวใจ.....
   นัท.....
….........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25 จบตอน) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 29-10-2011 03:30:13
….... “จบไปแล้วนะคะ สำหรับรางวัลในสาขางานออกแบบเพื่อสังคม แหมดูดีขึ้นเชียวนะคะ ตั้งแต่ Studio คุณกวาดไปสิบสี่รางวัลแล้วเนี่ยคุณเอก"
   “แหม พวกเราตั้งใจทำงานกับครับแล้วมันก็เป็นโจทย์ที่ทาง Studio ของพวกผมเข้าใจกันอยู่แล้วด้วยแหละคุณแอน"
   “เอ ที่กระชุ่มกระชวยแบบนี้เนี่ยไม่ใช่เพราะดี๊ด๊าจากฟินาเล่ของแฟชั่นโชว์เมื่อตอนต้นงานหรอกเหรอคะคุณเอก"
   “เอาเข้าให้แล้วคุณแอน เดี๋ยวผมก็ได้โดนสาปจริงๆหรอก อยู่แถวนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ฮ่าฮ่าฮ่า.....แต่ถ้าพูดถึงเรื่องกระชุมกระชวยเนี่ย ผมว่านะ ผมคงแพ้ Designer Of The Year ประจำปีนี้ซะแล้วล่ะคุณแอน"
   “จริงค่ะ เพราะ Designer Of The Year ของเราปีนี้เนี่ย ทุกๆท่านรู้ไหมคะว่าแอนดีใจมากเลยค่ะ ที่จะประกาศชื่อออกไป"
   “ครับ ที่ถืออยู่ในมือผมนี้คือชื่อของ Designer ที่คร่ำหวอดในวงการเรามาตลอดครับ และปีนี้ท่านก็ได้รับการโหวตให้เป็น Designer Of The Year ครับ ซึ่ง Designer Of The Year ประจำปีนี้ก็คือ....”
   เสียงดนตรีและความเงียบเข้าปกคลุม เสียงหายใจเงียบสนิทไปพักนึง
   “คุณพิพัฒน์ ประเสิร์ฐเพชรกุล ผู้บริหาร Lovable Studio ครับ"
   แสงไฟฟอลโล่ฉายลงไปที่กลางงาน นำทางให้ชายวัยกลางคนร่างท้วมเดินออกมาจากโต๊ะหน้าบูทของ Studio และลูกน้องของตัวเองที่กำลังโห่ร้องให้เจ้านายอันเป็นที่รักก้าวออกไปรับรางวัล เสียงปรบมือที่รายล้อมบอสพิพัฒน์ไปตลอดทางไปถึงเวทีบ่อบอกถึงความสำเร็จจากการทุ่มเทและการมีวิสัยทัศน์ที่สร้างสรรค์ตลอดระยะเวลา 30 ปีกับการบริหาร Lovable Studio จนเป็นที่รู้จัก บอสพิพัฒน์ ขึ้นไปจับไมค์บนเวทีจากแอนทันที
   “ก็...ขอบคุณทุกๆคนมากที่ร่วมกันโหวตให้ผมได้เป็น Designer Of The Year ปีนี้นะครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า จะดูทำตัวหล่อไปไหมถ้าจะบอกว่ารางวัลนี้จะขอยกให้กับลูกน้องทุกคนใน Lovable Studio ครับ เพื่อฉลองกับความสำเร็จของพวกเราครับ ขอบคุณครับ"
   เสียงปรบมือดังกึกก้องอีกครั้ง บอสพิพัฒน์ ก้าวลงจากเวที ขณะที่สอง MC เริ่มที่จะทำหน้าที่ต่อไป
   “ครับ ไปกันต่อกับรางวัลสาขารักษ์สิ่งแวดล้อมนะครับ ซึ่งเป็นสาขาสุดท้ายแล้วในคำคืนนี้"
   “ใช่แล้วค่ะ เริ่มต้นกันด้วยสายงานวิจิตรศิลป์กันก่อนนะคะ รางวัลชนะเลิศจะเป็นของใคร ไปชมกันเลยค่ะ"
   ….....

   ….... “คุณนัทคะ สมาธิหน่อยสิคะ จะเดินแล้วนะคะ อีกสามชั่วโมงเอง ถ้าคุณยังว่อกแว่กแบบนี้ เจนเห็นทีจะต้องปลดคุณลง แล้วเหลือแค่คู่เจนกับคุณมาร์ค" เจนจิราพูดเสียงดัง ในการรันทรูรอบสุดท้าย ในขณะที่มาร์คและฝน เริ่มเป็นกังวลในตัวนัทมาก "เริ่มใหม่เลยค่ะ บอลขอใหม่อีกรอบนึง ขอโทษทีนะ"
   ทั้งสี่เดินกลับเข้าไปหลังเวทีอีกครั้ง นัทรีบกลับไปทรุดลงนั่งที่เก้าอี้พัก มาร์คตบไหล่นัทเบาๆอย่างรู้ใจ แต่ไม่ทันจะได้พูดอะไร เจนจิราก็แทรกตัวเข้ามาหาเขาทันที
   “เจนขอคุยด้วยสองนาที" เจนว่า "เชิญทางนี้ค่ะ"
   เธอไม่รอฟังคำตอบ แต่เดินนำหน้านัทไปยังมุมไม้ที่อยู่ถัดออกไป นัมองหน้ามาร์คครั้งหนึ่งก่อนจะเดินตามไป เขาหยุดยืนตรงหน้าของเธอ โดยที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าของเธอด้วยซ้ำ เจนยิ้มน้อยๆ
   “คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้ว จะทำให้ฉันเสียหน้าเหรอ" เจนว่าทันที นัทขำจริงๆกับเรื่องนั้น นี่เจ้าหล่อนคิดได้แค่นี้เองเหรอ นัทได้แต่ยืนนิ่งจับจ้องไปที่พื้นหญ้า
   “หรือว่าต้องรอกำลังใจจากกายเค้าก่อน ถึงจะร่าเริงได้" เจนว่าเข้าตรงประเด็น นัทถึงกับจ้องตาเธอเขม็ง
   “คุณพูดอะไรอ่ะ ให้เกียรติกันบ้างนะครับ อย่างน้อยๆก็เห็นแก่แฟนเก่าคุณเองน่ะ" นัทว่ากลับเสียงแข็ง
   “ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ ถ้างานนี้พัง ฉันจะไม่เสียอะไรเลยซักอย่าง" เจนจิราพูดชัดถ้อยชัดคำ "แต่คนที่เสียมากที่สุดคือคุณนั่นแหละ คุณจะพังอย่างที่คุณนึกไม่ถึงเลย"
   “คุณจะทำอะไรกันแน่" นัทถามทันที "พูดกันมาตรงๆเลยดีกว่า"
   “ฉันเป็นคนตรงนะ ใครกันแน่ที่ไม่" เจนว่ากลับ "ฉันจะบอกให้เลยนะว่า ฉันแค่มาช่วยกายเค้าเท่านั้น ฉันไม่ได้อยากทำงานนี้เลยด้วยซ้ำตั้งแต่แรก ตั้งแต่รู้ว่าต้องมาทำงานกับ......มือใหม่"
   เธอทิ้งท้ายคำอย่างดูถูก นัทกำหมัดแน่น
   “นี่คุณ"
   “ถ้าคุณอยากเอาชนะจริงๆ ก็ตั้งใจทำงานของตัวเองได้แล้ว ต่อต้านไป ก็ไม่มีอะไรดีขึ้นหรอก" เจนว่าพลางจะออกเดินกลับไปที่เวที "เพราะถึงยังไง เขาไม่มาดูคุณหรอก"
   นัทกระชากแขนของเธอกลับมา เขาไม่เกรงใจอะไรอีกแล้ว
   “คุณไปพูดอะไรกับเขามาล่ะ" นัทว่าพลางบีบแขนเจนแน่น "บอกเขาว่าอะไรล่ะ ผมมันมือใหม่ ทำงานแย่ แล้วอะไรอีกล่ะหะ"
   เจนส่ายหน้าพลางยิ้มเยาะ
   “ใช่ ฉันจะพูดอย่างนั้นซะก็ได้หรอก" เจนว่าพลางสะบัดแขนลง "แต่น่าเสียดาย เขาดันมารถคว่ำซะก่อน"
   นัทตกใจแทบสิ้นสติ ขณะที่เจนเดินจากไปทันที
   “นี่คุณพูดบ้าอะไรของคุณน่ะ" นัทตะโกนใส่เจน ทำเอาคนรอบๆหันมามองกันเป็นตาเดียว "กายรถคว่ำเหรอ"
   “ใช่" เจนหันมาตวาดนัทกลับ "เขารถคว่ำเมื่อคืนนี้ ทั้งหมดก็เพราะคุณ คุณคนเดียว!!!!”
   นัทผงะถอยหลังทันที เจนจิราหลับตาลง
   “ฉันจะบอกอะไรคุณไว้นะคุณนัท" เจนจิราย่างเท้ามาหานัท "นี่มันงานของคุณแท้ๆ แต่คุณกลับกำลังทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงเรื่อยๆ คุณทำให้เพื่อนฉันต้องมาบาดเจ็บเพราะเรื่องงี่เง่าบ้าบอทั้งหลายนั่น คุณกำลังทำลายงานของคุณที่มันดันมาจบด้วยชื่อของฉัน ฉันยอมลดตัวเองลงมาทำงานที่ไม่มีความเป็นมืออาชีพเลยซักนิด ฉันอดทนคุณมาทุกอย่าง ถ้าคุณ ยังไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นกว่านี้ สิ่งที่คุณคิดว่าฉันจะพูดกับกายแล้วเค้าจะเชื่อฉันล่ะก็ ฉันทำยิ่งกว่านั้นอีก"
   เจนมองนัทอย่างท้าทาย สายตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่นัทไม่สามารถต้านทานอะไรได้ ตัวของเขาแทบหมดแรงแล้ว เขาไม่รู้มาก่อนเลย ว่ากายเกิดอุบัติเหตุ ทำไมไม่มีใครเล่าให้เขาฟัง ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงทำให้เขาไม่สารถต่อต้านอะไรได้เลยแม่แต่เวลานี้ เวลาที่เขาควรจะระบายความโกรธทุกอย่างใส่เธอ กับความอึดอัดกดดันทั้งหมดที่เธอให้กับเขามาตลอดตั้งแต่วันแรกที่รู้จัก
   “เจน ตกลงจะซ้อมอีกไหม" เสียงของฝ่ายเทคนิคตะโกนมา ปลุกเหล่าคนหลังเวทีให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง เจนจิราเบนหน้าหนีไปเล็กน้อย
   “ไม่ซ้อมแล้ว" เธอพูดเรียบๆ "รันตามตารางไปนั่นแหละ ไม่ต้องรันทรูแล้ว ซ้อมแค่ MC กับ แฟชั่นโชว์ก็พอ"
   เธอหันกลับมามองนัทที่หน้าซีดเผือด
   “ไปพักซะสิ เหนื่อยนักไม่ใช่เหรอ"
   เจนทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจะเดินหายไปยังห้องรับรอง ฝนเดินตามเธอไป ขณะที่มาร์ดรีบเข้าไปโอบไหล่นัทเอาไว้ทันที
   สมองของเขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว.........
   มีแต่ภาพของกายอยู่เต็มไปหมดในหัวของเขา......
   มันถูกแทนที่ด้วยความเจ็บปวดที่เขาแทบยืนไม่ไหว
   เรื่องทั้งหมดนี้ทำให้เขาหายใจแทบไม่ได้แล้ว........

   …..“และก็มาถึงแล้วค่ะ กับรางวัลที่ทุกคนรอคอย กับการ Cooperate Identity ในสาขาโลกสีเขียวกับโทรศัทพ์มือถือรักษ์โลก Studio หรือ Creative Group ไหนกันที่จะคว้าที่หนึ่งไป ไปชมวีทีอาร์กันได้เลยค่ะ"
   เสียงกรีดร้องดังขึ้นทันทีเมื่อภาพของกายสิทธิ์ฉายขึ้นบนหน้าจอ เป็นภาพกายสิทธิ์กำลังกดชัตเตอร์ที่สตูดิโอ 1 ของ Lovable ที่กำลังถ่ายเจนจิราและมาร์คคู่กัน และตัดมาเป็นภาพสาที่กำลังถ่ายรูปนัทและฝน เสียงฮือฮาดังขึ้นอีกเมื่อเป็นเซ็ทภาพที่เปลือยของฝ่ายหญิงและชาย ก่อนจะตัดเป็นตัวอักษร
The Winner
   “ใช่แล้วค่ะ ที่หนึ่งของเราก็คือชุด Nature Wild Call จาก Lovable Studio ค่ะ"
   สิ้นเสียงประกาศของแอน เพลง แสง สี เสียงก็ถูกเปิดขึ้น ควันบนเวทีเปิดเป่าเผยหญิงสาวในชุดเลื่อมพรายสีเขียวก้าวเดินขึ้นมาบน Cat Walk อย่าสง่าสงาม เจนจิรา เดินอย่างสวยงามออกมารับแสงแฟลชและเสียงปรบมือด้านล่าง เธอหมุนตัวอย่างมืออาชีพก่อนจะหันหลังกลับไป ปรากฎร่างชายหนุ่มที่ถลาเข้ามาโอบกอดเธอไว้และเอนตัวเธอลงตามจังหวะเพลง และยื่นหน้าเข้าไปไกล้เธอราวกับจะจูมพิตและดึงเอาวิญญาณสัตว์ร้ายในตัวเธอออกมา มาร์คแสดงท่าทีของสัตว์ร้ายได้อย่างมีศิลปะ ก่อนจะหมุนตัวเธอและมอบของขวัญให้กับเธอ เป็นโทรศัพท์มือถือ
   ทันใดนั้น แสงสีขาวก็สว่างวาบที่ด้านล่างของเวที หญิงสาวว่ายน้ำวนเวียนอยู่ในสระ ไฟฟอลโล่ไล่ตามตัวเธอที่สวมชุดว่ายน้ำและคลุมตัวไว้ด้วยผ้าขาวบางยาว เธอก้าวขึ้นจากสระว่ายน้ำด้วยความเซ็กซี่และบริสุทธิ์ ลิงป่าวัยเยาว์ วิ่วนไปรอบๆอย่างเก้อเขิน ก่อนจะโหมตัวเข้าหาหญิงสาวคนนั้น ก่อนจะลูบไล้เธออย่างนิ่มนวล นัท ไล้ใบหน้าไปตามลำตัวของฝน พยายามปลดปล่อยอสายน้ำแห่งธรรมชาติในตัวของเธอให้ออกมา ก่อนจะเลิกผ้าขาวบางออก เผยให้เห็นเรือนร่างอันงดงามของฝน นัทจับเข้าที่เอวของเธอและดึงเข้ามาชิดตัว พลางยื่นหน้าเข้าไปหาเธอ ราวกับจะจุมพิตกัน ทันใดนั้น ฝนก็ปกป้องริมฝีปากเธอเอาไว้ด้วยโทรศัพท์มือถือก่อนทั้งคู่จะหันมาหาคนดูที่กำลังลั่นชัตเตอร์และปรบมือพร้อมเสียงฮือฮากับโชว์สุดวาบหวิวที่เน้นศิลปะไว้ได้อย่างลงตัว นัทและฝนก้าวขึ้นบนเวทีเพื่อรับรางวัลทันที พร้อมกับยืนเคียงข้างเจนและมาร์ค โดยที่มีสาและมิกเดินตามขึ้นมาปิดท้าย
   “โอ้โห สุดยอดไปเลยกับรางวัลชนะเลิศอันดับหนึ่งของค่ำคืนนี้ ขอเสียงปรบมือให้กับ Nature Wild Call by Lovable Studio อีกครั้งครับ"
   ทั้งสี่ก้มหัวลงทันทีเป็นการขอบคุณ นัทยิ้มกว้าพลางชูโล่รางวัลอย่างยินดี
   “เป็นไงครับคุณเจน กับการประสบความสำเร็จครั้งนี้" MC ชายยืานไมค์เข้าหาเจนก่อน ขณะที่เธอยิ้มกว้างอย่างเหนียมอาย
   “นี่ๆ คุณเอก เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวโดนสาปนะ"
   “แหมคุณแอนก็ ผมเป็นแฟนตัวยงของคุณเจนจิราเค้า ติดตามผลงานมาตลอดต่างหากเล่า"
   “ขอบคุณมากค่ะ" เจนตอบเบาๆ "ค่ะก็ เจนเองก็ดีใจค่ะที่ได้เป็นส่วนเล็กๆของงานนี้นะคะ จริงๆแล้วก็ มาจากการชวนกันของเพื่อนมากกว่าค่ะ เลยได้มีโอกาศมาร่วมงานกับทาง Lovable Studio กับ คอนเซ็ปท์นี้
   “เพื่อนนี่ใช่พ่อมดหรือเปล่าคับเนี่ย"
   เสียงโห่แซวดังขึ้นอีกเมื่อ MC ฝ่ายชายถามขึ้น
   “นี่คุณเอก ถามคนนี้ดีกว่า คุณณัทนนท์ คุณสาวิตรีแล้วก็คุณอัครพนธ์ เจ้าของผลงานค่ะ สามคนนี้เป็นตัวเอกที่สตูดิโอแอนเลยนะ ถือว่าเป็นดีไซน์เนอร์้องใหม่ไฟแรงของวงการเลยนะจะบอกให้คุณเอก เป็นไงคะ กับงานชิ้นนี้ที่ได้ร่วมงานกับระดับตำนานอย่างคุณกายสิทธิ์แล้วก็คุณเจนจิรา"
   “ครับก็เอ่อ....เราสามคนดีใจครับ ที่ได้มีโอกาสร่วมงานกับคนเก่งๆอย่างคุณเจนแล้วก็คุณกายครับ"
   “เอาจริงๆแล้ว ต้องพูดว่า เจนกับกาย เป็นแค่คนช่วยมากกว่าค่ะ" เจนจิราพูดแทรกขึ้นมาทันที "เพราะว่าจริงๆแล้วไอเดียงานทั้งหมดเนี่ย เป็นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กใหม่สามคนนี้ทั้งนั้นเลยค่ะ"
   “โห มีพูดให้เครดิตกันอย่างนี้ แสดงว่าราวัลที่หนึ่งนี่ ไม่ใช่แค่ในนามซะแล้วคุณแอน"
   “แหมก็แน่นอนสิคะ งาน BAD Award ก็ต้องคัดเลือกแต่งานที่มีคุณภาพอยู่แล้วค่ะคุณเอก ใช่ไหมคะคุณนัท"
   “ครับก็ ขอบคุณคุณเจนมากเลยครับ ก็พวกผมสามคนก็ตั้งใจทำงานนี้กันสุดๆเลยครับก็เหนื่อยกันมาร่วมสามเดือนก็ดีใจที่ ในที่สุด สิ่งที่พวกเราทั้งสามคน รวมทั้งคุณกาย คุณเจนที่มาร่วมกันสร้างงานดีไซน์นี้ให้สำเร็จขึ้นมา แล้วก็ยังได้มาร์ค ที่แว้บมาเป็นนายแบบให้แล้วก็คุณฝนอีกคนหนึ่งด้วยครับ ดีใจครับที่สำเร็จซะที"
   “แล้วตอนนี้นี่หลายๆคนก็คงสงสัยกันนะครับ ว่าคุณกายสิทธิ์ไปไหนซะล่ะครับ"
   “เอ่อ....ใครจะเป็นคนตอบดี"
   “กายเค้าติดธุระน่ะค่ะ" เจนตอบทันทีพลางส่งสัญญาณให้ MC
   “อ๋อครับ น่าเสียดายที่พ่อมดที่ทุกคนรอคอยไม่อยู่นะครับ ถ้างั้นแล้วเนี่ย ผมก็คงมีโอกาสใช่ไหมครับคุณเจน ผมคงไม่ถูกสาปเป็นกบแล้วใช่ไหมครับ"
   “นี่นี่ ได้ทีก็เอาเลยนะคะคุณเอก เกรงใจคุณเจนเค้าหน่อยค่ะแหมๆ งั้นก็เดี๋ยวเราให้ทั้งทีมได้ลงไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆพี่ๆข้างล่างกันดีกว่า กิจกรรมบนเวทีของเราก็คงหมดลงแต่เพียงเท่านี้แล้วกันเนอะ เดี๋ยวเราลงไปเยี่ยมตามบูทต่างๆกันดีกว่านะคุณเอก
   "ใช่แล้วครับผม"
   "ยังไงก็ขอเสียงปรบมืออีกครั้งให้กับผลงานชนะเลิศสาขาสุดท้ายของเรากับ Lovable Studio ค่ะ".......


   ….. “งั้นผมขอถามนายเป็นข้อสุดท้าย" เสียงของมิกดังขึ้นแหวกความเงียบขึ้นมาหลังจากเงียบไปนาน ชายหนุ่มยืนมองออกไปจากหน้าต่างคนไข้ ขณะที่กายก้มหน้าลงกับเตียงนิ่ง
   “นายจะแก้ปัญหานี้ยังไง" มิกถาม กายหลับตาลงทันที
   “ฉันไม่แก้" กายตอบทันทีราวกับไม่ต้องคิด มิกหันหลังมาหากายทันที
   “เพราะอะไร" มิกถามต่อ
   “เพราะฉันไม่ใช่นาย" กายตอบพลางเหล่มองมิกที่กำลังจ้องเขาเขม็ง
   “อะไรนะ"
   “ฉันไม่ใช่คนที่จะพยายามจัดการอะไรทุกอย่างให้จบลงด้วยตัวเอง เหมือนอย่างที่นายทำ" กายตอบ "มันง่ายไป"
   “นี่นายจะไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ นายรู้หรือเปล่า ว่าไอ้นัทมันเสียใจแค่ไหน มันต้องเจอกับอะไรบ้างที่นายสร้งเอาไว้" มิกว่า "ฉันจะไม่ยอมให้มันคุกเข่าขอร้องนายหรอกนะ ถึงนายจะเป็นพ่อมดที่คนอื่นๆเขานับถือกัน แต่สำหรับฉัน ถ้านายทำให้นัทต้องเสียใจ ฉันจะสาปนายกับมือฉันเอง"
   “แล้วนายจะถามฉันทำไม เรื่องฉันกับเจน" กายถามอย่าสงบนิ่ง "ถ้าสุดท้ายแล้วนายก็ยังไม่ไว้ใจฉัน"
   “ใครจะไว้ใจนายวะกาย พ่อมดที่เจ้าชู้จนคนเค้ารู้กันทั่วอย่างนาย ไม่เคยสนใจหรอกว่าใครจะเจ็บเพราะนายบ้าง" มิกว่า "นายมันก็รักสนุกไปวันๆ ไม่น่าล่ะ นายถึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไร"
   กายเหลือบตาขึ้นมองมิกอย่างประเมิณค่า
   “ว่าผมพอหรือยัง" กายถามอย่างสุภาพ
   “จนกว่าฉันจะได้รับคำยืนยันว่า นายจะไม่ทำให้ไอ้นัทต้องเจ็บ" มิกว่า
   “งั้นผมไม่ยืนยัน" กายตอบ มิกกัดฟันทันที
   “ดี งั้นเราคงได้เห็นดีกันกาย" มิกสาวเท้าไปยังประตูทันที "ไม่นึกเลยนะ ว่านายจะเห็นแก่ตัวแบบนี้"
   “นายต่างหากที่เห็นแก่ตัวมิก" กายพูดพลางหันไปยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้มิก "นายคิดจะมีความรักโดยไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บเลยน่ะ มันเห็นแก่ตัวมากนะ"
   “พูดบ้าอะไรของนายอีกวะ" มิกร้อง
   “นายกำลังจะพิสูจน์อะไร พิสูจน์ว่าจะมีพระเอกซักคนที่จะดูแลคนที่นายรักแทนนายได้งั้นเหรอ" กายว่า "มันไม่มีพระเอกคนนั้นหรอก ยิ่งเป็นผม ผมก็ไม่ใช่"
   มิกมองหายนิ่ง
   “ผมจริงใจกับนัท แต่ผมยืนยันไม่ได้ ว่าผมจะไม่ทำให้นัทต้องเจ็บ ชีวิตคนมันไม่ใช่งานดีไซน์นี่ เราถึงจะกำหนดอะไรมันก็ได้" กายว่า "ซึ่งที่จริงแล้ว ก็ไม่มีดีไซน์ไหนในโลกที่สมบูรณ์แบบด้วยซ้ำ ผมไม่สนว่าหากนายจะมองว่าผมไม่รับผิดชอบสิ่งต่างๆที่ผมทำขึ้น แต่ผมจะจะบอกอย่างลูกผู้ชายถึงลูกผู้ชายมิก
   นัทเป็นคนแรกที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป เขาเป็นคนพิเศษสำหรับผม ผมรู้สึกกับนัทไม่ต่างไปจากที่นายเคยรู้สึก หรืออาจจะยังรู้สึกอยู่ ผมจะทำทุกอย่างเพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมมีให้เขา ผมทำได้แค่นี้ เขาอาจจะเจ็บปวดที่ต้องแบกรับมันก็ได้ แต่นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่คนอย่างผม จะมีให้" กายว่า
   มิกมองกายอย่างว่างเปล่าครั้งหนึ่งก่อนจะเปิดประตูห้อง
   “งั้นผมก็จะบอกอย่างลูกผู้ชายถึงลูกผู้ชายกาย" มิกว่า "ถ้าคุณไม่ทำอะไรซักอย่างล่ะก็ คุณเสียไอ้นัทไปแน่ โชคดี"
   มิกปิดประตูห้องไป กายมองออกไปที่นอกหน้าต่าง เขาหลับตาลงช้าๆเพื่อลดความเจ็บปวดจากบาดแผล ภาพความทรงจำหวนเข้ามาในสมองของเขาอีก
   

   “ยินดีด้วยนะเจน" ชายหนุ่มหอบเอาดอกไม้ช่อใหญ่มาให้กลางฟินาเล่ของแฟชั่นโชว์สุดตระกานตากลางแฟชั่นวีค หญิงสาวที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยผู้คนปลีกตัวอกมาพลางโผกอดชายหนุ่มอย่างปลื้มปิติ
   “เจนทำสำเร็จแล้วกาย" เธอยิ้มกว้างพลางรับดอกไม้ "มันสวยมากๆเลยนะ แหม ทีตอนคบกันล่ะก็ ไม่เห็นช่อใหญ่เท่านี้เลย"
   “อ่านะ" ชายหนุ่มพูดแก้เขิน "แล้วนี่ ดังแบบนี้แล้ว จะยังกลับเมืองไทยพร้อมกันอยู่หรือเปล่าล่ะ"
   “เอ้อ เกือบลืมไปเลยที่รัก เจนจะบอกว่า โวร์คของฝรั่งเศส ติดต่อให้เจนลองไปสัมภาษณ์งานเป็นจูเนียร์สไตลิส เจนว่าจะลองไปดู อาจจะทำให้เจนไปได้ไกลกว่านี้อีกนะ" เธอยิ้มให้ชายหนุ่ม พลางโอบกอดชายหนุ่มอยู่ตรงนั้น โดยไม่รู้เลยว่า เธอกำลังถอยห่างชายหนุ่มออกไปทุกที
   “ไม่กลับพร้อมผมแล้วใช่ไหม" ชายหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสร้าหมอง
   “ไม่เอาน่ากาย กายเองกลับเมืองไทยคราวนี้ คนต้อนรับเยอะแยะเหอะ เจนอยู่ได้ อีกสองอาทิตย์คุณแม่ก็จะบินมาอยู่เป็นเพื่อนแล้วค่ะ" หญิงสาวยิ้มให้อย่างจริงใจ ชายหนุ่มก้มหน้าลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มกว้างให้เธอ
   “ผมดีใจกับคุณด้วยจริงๆนะ" เขาพูดพร้อมรอยยิ้มที่ฝืนเต็มทน
   “ขอบใจกายมากค่ะ แล้วเดี๋ยวก็คงเจอกัน ซักวันนึงที่เมืองไทย" เธอยิ้มให้ "โอ๊ะ ตายแล้ว ต้องไปพบกับบรรณาธิการด้านโน้นก่อน เจนไปก่อนนะกาย เดี๋ยวเจนแว้บมาหาค่ะ เดี๋ยวจะเลี้ยงส่งกายก่อนกลับเมืองไทยค่ะ ห้ามหนีไปไหนล่ะ"
   ชายหนุ่มยิ้มให้เป็นคำตอบ ก่อนจะยืนมองหญิงสาวเดินไปตามทางของเธออีกครั้ง ชายหนุ่มก้มหน้าลงซุกอุ้มมือในกระเป๋าก่อนจะออกเดินไปจากงานแฟชั่นวีค อากาศที่หนาวเย็นของปลายเดือนกันยายนทำให้เขาหายใจลำบาก กับความปวดร้าวที่เกิดขึ้นภายในใจ ท้องถนนที่เงียบสงัดและว่างเปล่า นำพาฝีเท้าให้เดินต่อไปอย่างไร้จุดหมาย เขารู้สึกว่างเปล่า และเดียวดาย ในที่สุด การเดินทางแสนไกลที่มาเพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้กับชีวิตและความรัก ก็จบลงตรงนี้เอง เขากำลังเดินต่อไปเพียงลำพัง
   ชายหนุ่มเลี้ยวที่หัวมุมถนน ชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังรีบวิ่งโดยไม่ทันระวังตัว
   “Excuses” เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษเป็นภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเหนียงที่แปลกแต่ดูคุ้นหู ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองร่างน้อยๆที่ซุกตัวอยู่ใต้เสื้อกันหนาวหนาเตอะ เด็กหนุ่มวิ่งไปรวมกลุ่มกับเพื่อนชายและเด็กสาวอีกคนที่อีกฝั่งหนึ่งของถนน ก่อนจะหายเข้าไปในห้องกระจกที่ดูเหมือนเป็นแกลลอรี่ขนาดย่อมที่คงเช่าซื้อชั่วคราวเพื่อจัดงาน
   ชายหนุ่มเดินตามเข้าไปตามแสงไฟและกลิ่นอายของงานศิลป์ที่เหมือนจะเชื้อเชิญให้เขาได้ระบายความเจ็บปวดให้ผ่อนคลายลงไป พนักงานต้อนรับกล่าวทักทายก่อนจะยื่นโปรชัวร์ให้กับชายหนุ่ม ฝีเท้าเดินนำไปตามภาพถ่ายแนว Abstract ที่จัดวางไว้อย่างมีความนัยน์ แสงสีจากดวงไฟที่จัดอยู่นำทางไปสู่ Main Painting ส่วนกลาง หนุ่มน้อยที่เดินชนเขาเมื่อครู่ กำลังยืนอยู่เคียงข้างเพื่อนสาวและชายหนุ่มอีกคน และยิ้มกว้างอย่างยินดี ก่อนจะได้รับการถ่ายรูปและพากันเชิญแขกคนต่างๆเดินดูรอบๆแกลอรี่ ชายหนุ่มอาศัยจังหวะที่ปราศจากผู้คนเดินเข้าไปชมผลงานชิ้นเอกของแกลอรี่นี้
   ภาพของถนนที่ถูกตีขนานกันไปคนละทาง กับแสงสีที่วุ่นวาย ที่ถูกทาป้ายให้ดูคล้ายหมือนกับคนมากมายที่เดินขวักไขว่อยู่ในแสงสีนั้น ภาพวาดส่งความหมายอันแปลกประหลาดให้กับชายหนุ่ม ราวกับประจกสะท้อนที่ดึงเอาความเหงาที่อยู่ลึกที่สุดของจิตใจออกมา นัยน์ตาที่คมคายประกายไปด้วยน้ำใสๆ ชายหนุ่มกำมือแน่นก่อนจะหลับตาลง เพื่อควบคุมอามรมณ์ตัวเอง ก่อนจะมองอ่านชื่อภาพและชื่อผู้เป็นเจ้าของ

Nuttanon P.
Loveless Society


   ชายหนุ่งตั้งความหวังใหม่เกิดขึ้นในจิตใจ การเดินทางครั้งใหม่นี้ มีอะไรให้เขาได้เริ่มต้นค้นหาครั้งใหม่แล้ว เหมือนว่าชีวิตที่หนาวเน็บและมืดมิดของชายหนุ่ม มีแสงสว่างที่ทาดทอลงมาอีกครั้ง ล้วงเข้าไปในกระเป๋า และจดชื่อเหล่านั้นไว้ด้วยตัวบรรจง ก่อนจะเดินออกไปยังถนนที่เงียบเหงาตามเดิม.

…......
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25 จบตอน) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 29-10-2011 10:17:22
 :really2: :really2: :really2:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25 จบตอน) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 29-10-2011 13:35:11
อร๊ากกกกกกกกกกกก
หงุดหงิดๆ  อ่านแล้วเฟลเลย :sad4:

กายไม่ทำอะไรเลย  ไม่แปลกที่นัทจะเขว
สงสารนัทจัง  ทำไมกายโง่ขนาดนี้
ที่นัทเสียใจไม่ใช่เพราะยัยเจน  แต่เป็นกายที่ไม่ยอมอยู่ข้างนัทต่างหาก
ผช. แบบนี้คบไปก็เจ็บว่ะ  ถ้าไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองคงต้องเลิกกันแน่ๆ
นัทส่งข้อความไปหาตอนห่างกันนี่ถือว่านัทกล้ามากแล้วนะ  ไอ้คุณกายแม่งป๊อดจริงๆ
ไม่ยอมทำอะไรเอง  เจ็บเอง  แถมยังไม่สู้ด้วย โห้ยยย เกลียดมัน
ขนาดมิกมาเตือนยังแม่งมัวเก็กอยู่ในกระดองอีก  แม่มม

ปล.พึ่งมาอ่านจ้า //ชูป้ายนัทแฟนคลับ :z2:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25 จบตอน) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: debubly ที่ 29-10-2011 16:33:14
 o13 o13
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 26 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-10-2011 00:41:00
บทที่ 26 Separate Way

   “เดี๋ยวเคลียร์ด้านหลังเวทีให้เรียบร้อยแลยนะ ให้สต๊าฟทุกคนเดินเข้าสู่ช่วงเก็บงานเลย อะไรเก็บได้ก็เก็บ คนในงาน B.A.D Night ก็คงปาร์ตี้กันถึงประมาณตีสอง แล้วเดี๋ยวเตรียมขนย้ายตอนหกโมงเช้านะ จะมีรถใหญ่มารับตอนหกโมงครึ่ง" เจนจิราออกคำสั่งให้กับหัวหน้าสต๊าฟที่พยายามเงี่ยหูฟังเธอ เนื่องจากเสียงดนตรีที่กำลังดังกึกก้องอยู่ "ส่วนพวกเรา"
   เธอหันกลับมาหานัท สา และมิกที่กำลังง่วนอยู่กับการค่อยๆเช็ดตัวนัทให้สีเขียวหลุดออกไปจากตัว ทั้งสามหันมามองเธอ เพื่อรอฟังคำสั่งต่อไป
   “ก็เดี๋ยวออกไปจากด้านหลังเวทีแล้วก็ไปพบกับคนอื่นๆในงานเลยก็ได้ค่ะ แล้วน้องผู้ชายอีกคนที่เป็นลูกมือพวกคุณสามคนล่ะ" เจนถามอีก
   “เขาเป็นแค่เด็กฝึกงานที่ Studio ผมก็เลยไม่ได้ให้เขาขึ้นเวที เขายืนเฝ้าบูทอยู่ในงาน" มิกตอบเธอ "เด็กคนนั้นชื่อเอิร์ธ"
   “ค่ะ ตอนที่พวกคุณออกไปทักทายกับดีไซน์เนอร์ในงาน ก็น่าจะพาเขาไปด้วยนะคะ อย่างน้อย น้องเค้าก็เป็นทีมเดียวกับเรา.......ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะฝน" เจนจิราว่า ก่อนจะเดินออกจากหลังเวทีไปพร้อมกับเพื่อนของเธอ
   “เดี๋ยวสิคุณ" นัทคว้าแขนเจนจิราเอาไว้ เธอหันกลับมาหาเขา "แล้ว....”
   “ฉันรู้ว่าคุณจะถามอะไรคุณนัท" เจนว่าเสียงเข้ม "ฉันไม่รู้......ฉันแค่มาทำหน้าที่แทนเขา ทำตามหน้าที่เท่านั้น เรื่องอื่น ฉันไม่เคยทำแทนเค้า"
   เธอจับมือของนัทลง
   "คุณไม่ต้องไปหาเขาหรอก" เจนจิราว่า นัทมองเธออย่างตกตะลึง ราวกับว่าเธออ่านใจเขาออกทุกอย่าง "ฉันเชื่อว่าเขาอยากให้คุณอยู่ที่นี่ อยู่กับความสำเร็จ ที่เขาพยายามนักหนาที่จะมอบให้คุณ คุณต้องอยู่ที่นี่จนกว่างานจะเลิก เข้าใจไหมคะ"
   เธอว่าก่อนจะเดินจากไป
   “คุณเจน" นัทเรียกอีกครั้ง "เราคงมีอะไรต้องคุยกันหลังจากนี้นะครับ"
   หญิงสาวนิ่งสนิทอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินจากไป มิกและสาเดินมาประกบข้างตัวของนัทที่ตอนนี้ ร่างกายของเขาแทบหมดแรงแล้ว
   “นายยังไหวอยู่ใช่ไหม" สาถามพลางมองหน้าเพื่อนรัก "จะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อเลยหรือเปล่า"
   “นี่กี่โมงแล้ว" นัทถามเบาๆ
   “ห้าทุ่มมั้ง ประมาณนั้นแหละ" สาตอบ
   “เอาเสื้อคลุมมาให้ทีดิมิก อยู่ตรงนั้นอ่ะ นั่นแหละ" นัทว่า ขณะที่มิกเดินไปหยิบให้ "ฉันอยู่ยาวไปเลยดีกว่า อีกแป้บเดียวเอง งานก็เลิกแล้ว"
   “แน่ใจนะ ว่าจะอยู่ในสภาพแบบนี้น่ะ" สา่าพลางมองไปทั่วตัวของนัท ที่เรือนร่างอันสมส่วนที่มีเพียงกางเกงในตัวจิ๋วปกปิด และคลุมทับด้วยผ้าคลุมอาบน้ำ
   “เด่นดีออก" นัทพูดพลางอมยิ้มน้อยๆให้สาและมิก
   “งั้นเอ่อ ฉันกับมาร์ค เราจะ......”
   “อืม ไปเหอะ เดี๋ยวฉันตามออกไปในงาน" สาว่าพลางยิ้มเฝื่อนๆ
   “จริงๆนะแก ถ้าแกไม่..."
   “ไปดิ๊ แฟนแกมีคนรอสัมภาษณ์อยู่แน่ ไปเปิดตัวได้แล้วไป" นัทยิ้มให้เธอ สายิ้มให้นัทอย่างเข้าใจดี ก่อนจะเดินออกไปหามาร์คที่ด้ายข้างของเวที ก่อนจะหายออกไปพร้อมแสงแฟลชที่ราวกับรอต้อนรับทั้งคู่อยู่
   มิกเดินเข้ามาหานัทช้าๆ ก่อนจะดึงนัทมากอดเอาไว้ นัทกอดมิกแน่นก่อนจะหลับตา เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นเหลือเกิน มิกให้เขาแบบนี้มาเสมอ แม้ว่านัทจะแอบร้สึกได้เล็กๆว่า มันไม่เหมือนเดิมไปแล้ว ก่อนผละออกจากันในที่สุด
   “เดี๋ยวนี้เหลือแค่กอดแล้วนะ อย่าว่ากันล่ะ" มิกขยี้หัวนัทเบาๆ
   “ไม่เคยขออย่างอื่นมากกว่านี้เลยเหอะ" นัทตอบพลางยิ้มแห้งๆ
   “ขอย้ำอะไรหน่อยดิ รู้ว่าแกคงเบื่อที่จะฟัง แต่....." มิกพูดพลางลูบใบหน้าของนัทอย่างคุ้นเคย เขาไม่ปฏิเสธเลยซักนิด ว่าเขายังคงเป็นห่วงนัทเหมือนเดิม "ถ้าเกิดแกไม่สบายใจ หรือทนไม่ไหว กับเอ่อ....หมอนั่น....มันก็คงเหลือเรื่องเดียวนั่นแหละจริงมะ ก็.....บอกฉัน โทรมาหาฉัน ฉันจะไปหาแกทันที เร็วกว่าที่แกจะคิดถึงอีกนะนัท"
   “จะขอไปไหนแล้วล่ะสิ" นัทถามกลับอยากรู้ดีพลางยิ้มกว้างให้มิก
   “หึหึ" มิกหัวเราะในลำคอ ขณะที่มิกก้มหน้าลง "ก็ไม่ได้ไกลไปจากที่ที่นายยืนอยู่หรอก"
   “งั้นก็ไปเหอะ" นัทว่า พลางตบไหล่เพื่อนรัก "ขอบใจมากมิก นายเป็นเอ่อ....คนที่ดีที่สุด ที่ฉันเคยมีเลยว่ะ"
   มิกยักไหล่เอาเท่ห์ก่อนจะเดินออกจากนัทไปอีกด้านของเวที นัทส่ายหน้าอย่างรู้ดีว่ามิกเริ่มติดมันมาจากใคร
   “อย่างว่าแหละ ก็น้องมันเด็กกว่าอ่ะนะ" นัทตะโกนไล่หลังไป มิกชูนิ้วกลางให้นัทเป็นการอำลา นัทหัวเราะเบาๆ     นัทยอมรับว่ามันยากมากที่ควบคุมสติของตัวเองตอนนี้ ดูเหมือนว่าสมาธิในการทำงานทั้งหมดจะหมดไปกับโชว์ที่สุดประทับใจที่พึ่งผ่านมา เขาเป็นห่วงกายมากเหลือเกินตอนนี้ ในขณะที่เขายังต้องอยู่ อยู่ตรงนี้เพื่อให้งานที่ราวกับจัดฉากขึ้นเพื่อเขา จบลง
   นัทหายใจเข้าลึกๆ เมื่อมองออกไปยังฝูงลนที่ยืนเบียดเสียดกันด้านข้างเวที ทันทีที่เขาก้าวเท้าออกไป เขากำลังจะได้รับรู้ถึงโลกที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แต่ในหัวใจของเขากลับว่างเปล่าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
   “อ้าเจ้านัท มายืนทำไรอยู่ตรงนั้น" เสียงทุ้มใหญ่กวักใือเรียกเขาจากมุมมุมหนึ่ง นัทปั้นหน้ายิ้มไปหา
   “ไม่มีไรครับบอส ผมแค่....”
   “มานี่เร็ว มีคนเค้าอยากรู้จักนายน่ะ มานี่เร็วๆ....เจ้าเก่ง นี่ไงลูกน้องข้า" บอสเรียกนัทที่ตัดสินใจก้าวเดินออกจากดานหลังเวทีอย่างอึดอัดใจ
   กายจะรู้ไหมนะ ว่าโลกที่เขามอบให้นัท มันทรมาณแค่ไหนกัน....

   แสงสีเสียงยามราตรี เปิดไปอย่างรื่นเริง ขณะที่ นัท มิก สา มาร์ค เอิร์ธและเจนจิรา เดินไปรอบๆงานเพื่อทำความรู้จักกับบรรดาดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นายแบบ นางแบบ สไตลลิสต์และอาร์ทติส ที่ต่างรายล้อมขอชนแก้ว จับมือ หอม แก้ม และของนามบัตรของทั้งหก อย่างไม่หยุดหย่อน สร้างความปลื้มปิติให้กับเจ้าของ Lovable Studio เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ นัท มิก และสา ที่กลายเป็นดาวเด่นไปในชั่วข้ามคืน มี Studio ไม่ต่ำกว่า 20 แห่งที่ทั้งสามต้องทำความรู้จัก และสามในสี่ต้องการทั้งสามไปรับจ๊อบพิเศษและรวมถึงการไปอีเว้นท์ในต่างประเทศอีกด้วย ในขณะที่เอิร์ธเองที่เป็นเพียงเด็กฝึกงาน ก็สำราญไปกับเหล่าสาวๆที่ไม่เพียงชื่นชมในผลงาน ยังชื่นชมไปในหน้าตาที่หล่อเหล่าโดดเด่นของเด็กมหาลัยที่กลายเป็นดาวเด่นพ่วงไปด้วย ถึงกับทำเอามาร์คหมองลงไปได้เลย ในขณะที่มิกก็ตามประกบเอิร์ธอย่างไม่ให้คลาดสายตา โดยที่เอิร์ธเองก็ดูเหมือนจะสนุกที่เห็นมิกทำท่าเหมือนจะต้องมีคนรู้จักอยู่ในกลุ่มที่เอิร์ธกำลังถูกห้อมล้อมไปซะทุกวง เด็กหนุ่มยิ้มที่มุมปากก่อนจะหาจังหวะเบี่ยงตัวออกมาเดินอยู่ใกล้ๆมิก
   “พี่หึงผมเหรอ" เอิร์ธกระซิบถามเบาๆ ขณะที่มิกหันควับมามอง
   “หึงไร พูดไปเรื่อย" มิกว่าพลางขมวดคิ้ว
   “หึหึ" เอิร์ธว่า ก่อนจะเงียบไปพักนึง "งั้นจะว่าไรป่ะ ถ้าเกิดคืนนี้ผมไม่ได้กลับบ้านอ่ะ"
   “จะไปไหน" มิกถามเสียงเข็ง เอิร์ธเลิกคิ้วมองหน้ามิก
   “พี่จะสนใจไมอ่ะ พี่ไม่ได้หึงผมไม่ใช่เหรอ"
   เด็กหนุ่มยียวนมิกก่อนจะหายไปในกลุ่มของสาวๆที่กรี๊ดต้อนรับ มิกตามไปไม่ทันเมื่อตัวเองถูกดึงเขนเอาไว้ด้วยใครบางคน
   “ครับ ครับ หวัดดีครับ เอ่อ ขอบคุณครับที่....”
   “มิก มิกป่ะ มิก" เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งเรียกมิกให้ละสายตาจากเอิร์ธมามองเธอ มิกเงียบไปพักนึงเมื่อเห็นใบหน้าที่เขาไม่ได้เจอมาร่วมสามปี
   “ฟ้า" มิกร้อง หญิงสาวเจ้าของชื่อพยักหน้า "นี่ฟ้าจริงเหรอเนี่ย เห้ย แม่ง..."
   “คิดถึงนะมิก" หญิงสาวที่ชื่อฟ้า กระโจนเข้ากอดมิกกลางงานทันที มิกที่กำลังอยู่ในภาวะอึ้งตั้งสติได้ครู่หนึ่งจึงกอดตอบ
   “เป็นไงบ้างเนี่ย ไม่ได้เจอตั้งนาน จะสี่ปีแล้วมั้งเนี่ย ใช่ป่ะ" มิกยิงคำถามใส่เสียงดังด้วยความดีใจ
   “ใช่ คงงั้นอ่ะ แหม ดังใหญ่แล้วมิก ดีใจด้วยนะ" เธอจับมือมิกเขย่า
   “แล้วไปไงมาไงเนี่ย ถึงมาอยู่นี่ได้อ่ะ" มิกถามต่อ
   “ฉันเป็นเพนเตอร์อยู่ที่ Virtual Art วันนี้เอางานมา Exhibition ตอนแรกก็ว่าทิ้งงานไว้ แต่ไปๆมาๆก็เลยอยู่จนประกาศรางวัลเสร็จ ก็ว่าอยู่ว่าต้องเป็นนายมิก เห้ยดีใจด้วยว่ะแก" เธอพูดด้วยความปีติ
   “อือ ขอบใจมาก เห้ย ไม่ได้การและ อย่างนี้มันต้องฉลองหน่อย เจอนัท กับสาหรือยัง" มิกว่า เธอส่ายหน้า "อืม แต่ไม่รู้ว่ามันสองคนจะว่างป่าวคืนนี้ คืนนี้ไปต่อกันได้ป่ะฟ้า คิดถึงแกว่ะ มีเรื่องต้องคุยกันยาวอ่ะ"
   “จะดีเหรอ แล้วนี่ไม่ไปฉลองกับทีมเหรอ" ฟ้าว่า
   “โห อารมณ์นี้ กระจัดกระจายไปไหนกันหมดแล้ว แต่ช่างแม่ง แกมาทั้งทีอ่ะ มันต้องฉลองเว่ย" มิกว่า ก่อจะจับมือเธอดึงออกไปจากกลางงานไปยังมุมหนึ่งสองต่อสอง ขณะที่เอิร์ธ กำลังรู้สึกร้อนผะผ่าวที่ใบหน้าอย่างบอกไม่ถูกจนทำเอาสาวๆที่รุมล้อมเขารู้สึกได้
   ฟ้า หรือรตีตา สาวอาร์ทต่างมหาลััยที่รู้จักกับมิกผ่านชมรมงานศิลป์อิสระ เธอและมิกคือเพื่อนสนิทที่เคยบุกป่าฝ่าดงไปยังดอยอันห่าไกล หลบระเบิดกลางกรุงของชุมนุมทางการเมือง หรือแม้แต่ล่องเรือออกไปยังเกาะที่ไม่มีนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างงานศิลปะให้กับชมรมเพื่อจัดแกลอรี่การกุศลตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอคือเพื่อนอีกคนที่เรียกได้ว่าซี้กับมิกสุดๆ อาจจะเพราะความอาร์ทที่อยู่ในหัวใจที่เหมือนกัน ทำให้มีความคิดความอ่านเหมือนๆกัน และอุดมการณ์ในงานศิลป์ที่เหมือนกัน และก็ต่อสู้เพื่อชมรมมาด้วยกันตลอดเวลาสี่ปีของชีวิตมหาลัย นัท และสา เคยพบเธออยู่บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนัก ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในชมรมนี้เช่นเดียวกับมิก แต่ทั้งคู่ก็ได้ยินมิกพูดถึงฟ้าอย่างน้อยก็เดือนละครั้ง และพบกับเจ้าตัวสามเดือนครั้งโดยประมาณ แต่ตั้แต่จบการศึกษา มิกไม่ได้ข่าวคราวของเธออีกเลยเนื่องจากต้องไปฝรั่งเศส และเมื่อเขาได้งานที่ Lovable Studio ในรอบสามปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กลับมาเจอเธออีก
   มันแย่ตรงที่ เอิร์ธ ไม่เคยรับรู้เรื่องนี้
   เสียงข้อความดังขึ้นในบีบี เด็กหนุ่มก้มลงเปิดออกอ่าน

วันนี้พี่จะออกไปข้างนอก คงไม่ได้อยู่ที่โรงแรมนะ
อาจจะกลับมาช่วยขนของตอนเช้ามืด ฝากบอกพี่สาด้วย
แล้วเจอกันนะเอิร์ธ

   เอิร์ธมองหน้าจอด้วยนัยน์ตาแข็งกร้าว ความรู้สึกแปลกๆเกิดขึ้นในใจ เขากัดริมฝีปากเบาๆก่อนจะเก็บมือถือลงไป เอิร์ธรู้สึกเหมือนกับว่า เขาอยากต่อยหน้าพี่มิกชอบกล
…...........

   “ครับก็ ยินดีครับ" นัทรับคำกับผู้ใหญ่ท่านนึงที่เขายอมรับจริงๆว่าลืมชื่อไปแล้วตอนที่ทักทายกันตอนแรก ตอนนี้เขาอยู่ที่โต๊ะของ Studio แห่งหนึ่งที่ผู้คร่ำหวอดในวงการหลายๆคนกำลังทาบทามเขาให้ไปเป็นฟีแลนท์รับงานพิเศษ
   “ก็ผมมีสัญญากับบอสอยู่น่ะครับ ก็เลยอาจจะ....”
   “ไม่เป็นไรน้องนัท ไอ้พัฒน์น่ะเพื่อนกัน ฮ่า ฮ่า ฮ่า" ดีไซน์เนอร์วัยกลางคนตบไหล่นัทเบาๆ "ว่าแต่เป็นไงบ้างที่ได้ทำงานกับกายสิทธิ์น่ะ ข่าวลือที่ว่าหมอนี่เจ้าเล่ห์ เจ้าชู้ หญิงตอมตรึมน่ะจริงเปล่าน้องนัท"
   นัทได้ยินคำถามแนวๆนี้เป็นรอบที่สิบแล้วเห็นจะได้ เขาไม่รู้หรอกว่าสา มิก มาร์ค เอิร์ธ หรือแม้แต่เจนจิราจะได้รับคำถามเดียวกันหรือเปล่า
   “ผมกับคุณกายเป็นพาร์ทเนอร์กันเรื่องงานมากกว่าครับ" นัทตอบ "ก็คงจะจริงอย่างนั้นมั้งครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"
   “เห้ยบอกมาเลย ไม่ต้องใจ มันไม่อยู่ไม่ใช่เหรอคืนนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มโอบไหล่นัท ที่ยิ้มน้อยๆพอเป็นมารยาท
   “เออ แล้วกายสิทธิ์ทำไมไม่มาล่ะ เห็นบอกๆกันว่าเดี๋ยวจะตามมางั้นเหรอคะคุณนัท" สาวช่างภาพอีกคนที่อยู่ใกล้ๆถามขึ้น
   “คุณกายมีอุบัติเหตุน่ะครับ.....เอ่อ....ผมหมายถึงมีธุระครับ ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาจะมาหรือเปล่า" นัทตอบ
   “สาวๆเกือบทั้งงานรอพบตัวเขาอยู่นะเนี่ย คนอย่างกายสิทธิ์น่ะไม่น่าพลาดงานแบบนี้เลยนะที่จริงแล้ว" ชายอีกคนถามนัท ที่ฝืนยิ้มให้ แต่ทันใดนั้น นัทก็คิดอะไรออกอยู่อย่างหนึ่ง บางทีคำถามที่เขาก็แอบสงสัย คนเหล่านี้อาจจะพอตอบเขาได้อยู่บ้าง
   “แล้วพี่ๆไปรู้มาจากไหนเหรอครับว่าคุณกายน่ะเค้าเอ่อ.....” นัทพยายามยิงคำถามให้ดูเป็นกันเอง
   “โหย น้องนัท เอาเรื่องไหนล่ะคะ" สาวช่างภาพคนเดิมหัวเราะ "ก็เขาว่ากันว่านางแบบดังๆอย่าง แอนนา หรือว่า ริต้า ที่ลงปกไปเมื่อสองปีก่อนน่ะก็เด็กปั้นของกายสิทธิ์เค้า เห็นเม้าท์กันอีกว่า ตอนงาน BAD ปีที่แล้ว กายเค้าขอเป็นคนคัดนางแบบเองอีกด้วย ตอนนั้นเค้าไม่ได้ลงประกวดนี่ แค่มาทำโชว์เองมั้ง แล้วก็มีคนเห็นเค้าควงคนโน้นคนนี้ไปเที่ยวออกบ่อยน่ะ น้องนัทไม่เคยเห็นบ้างเหรอ"
   “อ่อ ไม่เลยครับ" นัทว่า "เอ่อ ผมขอตัวนะครับพี่ๆ ยังไงก็ ขอบคุณมากๆครับ"
   “จ้า....แล้วเดี๋ยวยังไงพี่ติดต่อไปนะ"
   นัทพยักหน้ารับก่อนจะปลีกตัวออกมาจากโต๊ะนั้น พลางเดินก้มหน้า พยายามไม่สบตาใคร เขาไม่อยากไปนั่งที่โต๊ะใครอีกแล้ว เขารู้สึกเหนื่อยเกินไป ข้างในใันรู้สึกโหวงทันทีเมื่อได้ยินกิตติศัพท์แบบเดิมๆที่ลงรายละเอียดมากขึ้นอีกครั้ง นัทหาทางออกไปหาที่นั่งซักมุมหนึ่งเพื่อนั่งผ่อนคลายอารมณ์ลงบ้าง
   ทันใดนั้น ร่างๆหนึ่งก็ดึงตัวเขา เข้าไปยังมุมมืดๆด้านหลังส่วนอาหาร ที่อยู่ริมผนังห้องน้ำ นัทที่ร่างกายไม่ค่อยมีแรงนัก ไม่ทันตั้งตัว จึงถูกดึงตัวมาโดยง่าย
   “คุณจะยู่ในชุดนี้อีกนานไหม" น้ำเสียงอันคุ้นหูทำให้นัทหันหลังควับมาหาทันที
   กาย อยู่ในชุดของสต๊าฟงาน ใส่เสื้อเชิ้ตสีดำปกส้ม สวมหมวกปิดลงมาตามดวงตก ที่แขนและขมับมีผ้าก๊อตปิดเอาไว้ แน่นอนว่าถ้าใครไม่รู้มาก่อนว่ากายจะต้องมางานนี้ด้วยเสื้อผ้าสุดหรู และอารมณ์ที่ร่าเริง ราวกับลงมาจากรถสปอต์คันโปรดของตัวเอง ชายหนุ่มคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับสต๊าฟที่คงได้รับแผลเล็กน้อยจากการทำงาน และทำตัวสงบเสงี่ยมเดินไปทั่วงานเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย และอำนวยความสะดวกให้กับเหล่าดีไซน์เนอร์
   “นี่คุณทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย" นัทร้องถามทันที มันเป็นความรู้สึกที่ปนเปกันไปหมด เขาไม่รู้ว่าจะเอาเป็นห่วง ดีใจ โกรธ หรืออะไรขึ้นมาก่อนดี แต่เท่าที่ดู เหมือนว่ากายกำลังจะโกรธอยู่อย่างแน่นอน
   “ผมถามว่าคุณจะอยู่ในชุดนี้อีกนานไหม" กายพูดพลางมองไปตามเรือนร่างขอนัทที่เสื้อคลุมปกปิดร่างกายที่เหมือนไม่ได้สวมอะไร ชายหนุ่มเกาจมูกตัวเองอย่างร้อนรนพลางมองไปยังงานราวกับตรวจดูว่าจะมีใครมองมาทางนี้หรือเปล่า ซึ่งสำหรับนัทแล้ว หากใครมองมาตรงนี้ ก็คงคิดว่า นัทกำลังตำหนิสต๊าฟงานอยู่เป็นแน่
   “ทำไมไม่ไปเปลี่ยนชุด คุณอยู่มาหลายชั่วโมงแล้วนะ" กายว่าด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
   “อะไรนะ นี่คุณ คุณทำบ้าอะไรเนี่ย แล้ว ให้ตายสิ คุณออกมาจากโรงบาลได้ไงเนี่ยกาย" นัทร้องทันทีพลางมองไปทั่วตัวของกาย
   “คุณ...รู้เรื่องผมเหรอ" กายถาม
   “รู้สิ เรื่องที่คุณรถชนน่ะ เจนเป็นคนบอกผม" นัทว่า
   กายส่ายหน้าอย่างหัวเสีย
   “ผมสั่งเขาแล้วว่าอย่าให้บอกคุณ ผมบอกเค้าแล้ว" กายพูดเสียงขุ่นเคือง พลางกำหมัดอย่างหงุดหงิด
   “คุณทำอย่างนี้ทำไม ทำไมไม่เข้าไปในงาน" นัทถาม "คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย"
   “ผมเป็นห่วงคุณ นัท ผมขอโทษ" กายว่า "เมื่อคืน ผม ผมแค่...ผมตกใจที่เรื่องทั้งหมดนั่นทำให้คุณไม่สบายใจ ทั้งเรื่องเจน ทั้งเรื่องงาน ผมแค่......”
   “ผมไม่อยากคุยเรื่องนั้น" นัทว่าพลางจะเดินหนี แต่กายรั้งตัวเอาไว้
   “ผม ไม่ได้เป็นอะไร มันก็แค่อุบัติเหตุนิดหน่อย อย่างที่คุณบอกคนอื่นๆไปนั่นแหละ" กายว่า
   “คนอื่นๆในงานเค้าถามถึงคุณกันน่ะ คุณน่าจะเข้าไปในงานนะ จะมาทำหลบๆซ่อนๆทำไม สร้างกระแสหรือไง" นัทว่า
   “ก็เพราะว่าถ้าผมเข้าไป คุณก็คงไม่ได้รู้เข้ามาในโลกของผม รู้สึกอย่างที่ผมรู้สึก" กายว่า
   “อะไรนะ" นัทว่า กายยิ้มอย่างเศร้าหมอง
   “คนพวกนั้น พูดถึงผมว่ายังไงบ้างล่ะ" กายถามนัท น้ำเสียงนั้นทำเอานัทรู้สึกถึงบางอย่างที่แปลกออกไป กายมองออกไปยังกรุงเทพที่อยู่ไกลออกไป "ให้ผมเดาสิ...”
   นัทถอนหายใจเบาๆ
   “อย่ามางี่เง่าตอนนี้เลยคุณ มันก็เป็นงานของคุณเหมือนกัน คุณควรจะได้ไปรับคำชื่นชมจากทุกๆคนด้วยต่างหาก" นัทว่าเบาๆ
   “พวกเขาชื่นชมผมมามากพอแล้ว ผมอยากให้พวกเขาชื่นชม คุณ ต่างหาก" กายหันมามองหน้านัททันที
   กายมองนัทอย่างมีความหมาย นัทจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพยายามบอกบ้างหรือเปล่า
   “ผมว่าคุณคงไม่สบาย ผมจะพาคุณไปพักนะ" นัทว่าอย่างหงุดหงิดด้วยความไม่เข้าใจ เขาค่อยๆประคองกายออกจากมุมมืดตรงนั้น พยายามหลบหลีกเพื่อพากายไปให้ถึงล๊อบบี้เพื่อพาไปยังห้องนอนของเขาบนโรงแรม
   “คุณนัท จะพาน้องเค้าไปไหนอ่ะคะ" เจนจิราที่เดินสวนออกมาจากล็อบบี้ทักขึ้น นัทตกใจเล็กน้อยเขาทำตัวไม่ถูกอารามตกใจ จึงได้แต่ยืนนิ่งๆมองหน้าเจนอยู่อย่างนั้น
   “ว่าไงคะ น้องเค้าเป็นอะไรเหรอ" เจนว่าอย่างสงสัย พลางเดินเข้าไปดูอาการของคนที่เธอคิดว่าเป็นเด็กสต๊าฟ
   “ม...ไม่เป็นไรเจน...ผม" เสียงดังมาจากเจ้าของร่างที่นัทประคองอยู่ เจนจิรามองหน้านัทครั้งหนึ่งด้วยสายตาตื่นตกใจ เมื่อเธอพอจะเดาได้ว่าเจ้าของเสียงนั้นเป็นใคร เธอคว้าเข้าที่หมวกของกายและถอดออกทันที
   ใบหน้าหล่อเหลา นัยน์ตาคมกริบภายใต้ทรงผมที่ที่จัดทรงมาอย่างลวกๆเผยออกตรงหน้าเจนจิราเธออ้าปากเบาๆอย่างตกใจ
   “กาย....ไหนคุณบอกว่า.....” เจนเหมือนพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง
   “ผม....ผมขอโทษเจน....ผมทนไม่ไหวจริงๆ.......ผมทำไม่ได้เจน” กายพูดกับเจน นัทที่ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนตั้งสติทำอะไรไม่ถูก
   “คุณนัท...คุณรีบ.......”
   “อ้าวนั่นมัน....คุณกายสิทธิ์นี่ ที่ยืนอยู่ข้างคุณเจนนั่นใช่คุณกายไหมคะ" เสียงร้องทักของนางแบบคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนักดังขึ้น เจนจิราหันไปมองหญิงสาวคนนั้นอย่างตื่นตระหนก นัทเห็นในใบหน้าที่แสนสวยนั้น มีน้ำตาคลออยู่ในดวงตา นั่นยิ่งทำให้นัทไม่เข้าใจทุกอย่างมากขึ้นไปอีก เธอหันมามองนัทครั้งหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
   “ใช่ค่ะ" เธอเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมองขณะที่มองไปยังใบหน้าของกาย ที่มองเธอกลับด้วยสายตาเย็นชา ทันใดนั้น เจนก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตาบนหน้าเธอ ก่อนที่เสียงฮือฮาด้านหน้าของงานจะดังขึ้น กายค่อยยืดตัวเองขึ้นทันที เมื่อเสียงปรบมือดังรับเขาที่ถูกเปิดเผยตัวไปเสียแล้ว เขามองหน้าเจนครั้งหนึ่งก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือของเธอ เจนจิรากระพริบตาเพื่อควบคุมน้ำตาเบาๆขณะมองใบหน้าของกาย ทั้งคู่ส่งสายตาหากันอย่างมีความหมาย
   “ฉันบอกคุณแล้วนะ" เจนพูดกับกายเบาๆ
   กายพยักหน้ารับเธอ ก่อนจะยิ้มให้เธอเบาไ เหมือนจะสื่อว่า ผมไม่เป็นไร
   และทั้งคู่ก็กันมามองนัทเป็นสายตาเดียว
   ใช่สินะ...
   เขาเข้าใจแล้ว.....
   นี่คือสาเหตุ ที่ทำไมเขาถึงไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก สียงปรบมือตอนนี้คือการต้อนรับ....
   การมาถึงของ คู่รัก ที่ควรได้รับการชื่นชมในค่ำคืนนี้.......
   นัทเข้าใจแล้ว.....
   ชายหนุ่มก้มหน้าลงทันที เขาค่อยๆปล่อยมือออกจากกาย ขณะที่เจนหันหน้าไปฉีกยิ้มกว้างต่อหน้าฝูงชนที่ปรบมือโห่ร้องอย่างให้ชื่นชม
   กายจับมือของนัทไว้ เมื่อมือของนัทกำลังจะหลุดจากเขาไป นัทมองมือคู่นั้น ขณะที่กายบีบมือของนัทไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้นัทจากเขาไปไหน นัทหลับตาลงหนึ่งครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหากายและยิ้มให้เขา
   “ปล่อยผมไปเถอะ" นัทพูดเบาๆ ให้กับกาย "ทุกๆคนรอคุณอยู่น่ะ"
   นัทจับมือกายออกจากมือของเขา กายถูกเจนจิราดึงตัวเอาไว้ ขณะที่นัทค่อยหันหลังและเดินจากมา เขาค่อยเดินเข้าไปในโรงแรม ขณะที่ได้ยินเสียงปรบมือและโห่ร้องดังไล่หลังมา
   “โหคุณกาย มามุกนี้เลยเหรอคะเนี่ย"
   “คุณเจน ไม่บอกพวกเราก่อนเลยนะครับว่าจะมีเซอร์ไพรส์"
   “มาแล้วพ่อมดของเรา คุณเจนมีแผนอะไรไม่บอกกันเลยนะคะ"
   เวลาของนัทหมุนกลับอย่างช้าๆ พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้าของเขาเบาๆ....
   เวลาที่หมุนกลับไปยังวันที่เขากับกายอยู่ด้วยกันที่ริมถนนบางขุนเทียนท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้า.....
   เวลาที่ควรจะหยุดเอาไว้ตั้งแต่วันนั้น.....
   เวลาที่เขาไม่อยากให้มันเดินมาถึงตรงนี้....
   เวลาที่จะไม่มีวันนั้นอีกแล้ว......
…...............
   
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 26 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 30-10-2011 09:01:26
ใจร้ายยยย   :o12:
คนแต่งโหดมาก  เค้านึกว่าจะเจออะไรแฮปปี้แล้วนะ
ตอนนี้น้องนัทก็ปล่อยมือเองด้วย  นัทบ้า!
หมั่นไส้ยัยเจน :fire:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27/1 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-10-2011 17:30:28
บทที่ 27 Nothing important happen today......

   ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมสตูดิโอแห่งเดิมของ Lovable Studio พนักงานประจำกว่าครึ่งไม่เข้าออฟฟิศในวันถัดมาเนื่องจากบอสพิพัฒน์ยินดีที่จะให้ทุกคนหยุดพักไปหนึ่งวันในวันจันทร์ เนื่องจากต้องขนข้าวของเก็บกลับมาโรงแรมในเช้ามืดของวันนั้น ดังนั้นในวันอังคาร คนที่ไม่สามารถจะลืมตายื้อตัวเองขึ้นมาจากงานอันหนักอึ้งได้นั้น ก็คงขอลาเป็นธรรมดา เรื่องที่น่ายินดีมันไม่หมดแต่เพียงเท่านั้น เมื่อเช้าวันจันทร์โต๊ะของไบรท์ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน พร้อมกับซองขาวหนึ่งใบวางอยู่บนโต๊ะ มิกเป็นคนพบมัน และถือวิสาสะเปิดออกอ่านทันทีโดยไม่เกรงใจ และความปื้มปิติลูกใหม่ก็สัดเข้าให้ ไบร์ทยื่นใบลาออกกับ Lovable Studio ไปแล้วด้วยเหตุผลเรื่องค่าจ้าง และดูเหมือนดีไซน์เนอร์มากฝีมือและเลื่องชื่อคนนี้จะได้รับการทาบทามติดต่อจาก Studio แห่งใหม่ที่พร้อมจะให้ค่าแรงมากกว่า มิกไม่สนใจเรื่องนั้น ในที่สุด Studio ของเขาก็กว้างขวางขึ้นอีกเท่าตัว ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่เห็นไบร์ทในงาน B.A.D Night เมื่อคืนก่อน
   เช้าวันอังคารเป็นอีกวันหนึ่งที่ออฟฟิสเงียบสงบ หน้าต่างหลายๆบานในสตูดิโอทำงานถูกเปิดเอาไว้ เนื่องจากไม่มีใครเข้ามาใช้งาน แม่บ้านจึงปิดแอร์เพื่อให้อากาศถ่ายเท เว้นไว้แต่เพียงสตูดิโอสาม ที่มีร่างหนึ่งร่างนั่งดูรูปภาพที่มีช่างภาพฝ่าย PR ส่งมาให้เขาในอีเมล์เมื่อคืนวันจันทร์ เป็นภาพที่ถ่ายเอาไว้ตลอดระยะเวลาการพักทำงานที่โณงแรมเซ็นทารา เหมือนว่าแอนและฝ้ายฝ่าย PR จะรวบรวมรูปภาพจากล้องทุกกล้องของทุกคนมารวมไว้ได้สำเร็จ เพราะนัท เห็นรูปสาบางรูปในนั้นด้วย
   ชายหนุ่มนั่งมองรูปไปเรื่อยๆอย่างเหม่อลอย ไม่มีงานใดใดที่ต้องทำมากนัก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าออฟฟิศมาทำไม ขณะที่ทุกคนคงกำลังกลิ้งไปมาบนเตียงอันหนานุ่มของตัวเอง นัทส่งอีเมล์ตอบรับการเชิญไปรับงานนอกที่ค่อยทยอยส่งเข้ามาหาเขาเรื่อยๆตลอดเช้า บางงานเขารับ บางงานก็ต้องขอปฏิเสธไปตามเวลาและความอยากส่วนตัว เขาถูกคอมเมนท์เล็กน้อยว่าเบอร์ที่ให้มาในนามบัตรนั้นถูกต้องหรือเปล่า ผู้ใหญ่หลายคนที่ติดต่อเขาเข้ามาไม่สามารถติดต่อได้ นัทรู้อยู่แล้ว เพราะเขาปิดโทรศัพท์ตั้งแต่จบงาน B.A.D Night และเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมโดยไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเขาหายออกไปจากงานเลยด้วยซ้ำ
   เขาไม่รู้ว่าสาและมาร์ค มิกและเอิร์ธจะเป็นห่วงเขาบ้างหรือเปล่า แต่หนึ่งวันเมื่อวานที่เขาอยู่บ้าน ไม่มีใครแวะเวียนมาหาเขา เขาเดาเอาว่าทั้งสี่คงมีธุระอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีปัญหาก็ได้ นัทนั่งคลิ๊กหน้าจอคอมไปเรื่อยๆอย่างเลื่อนลอย
   “อ้าว...น้องนัท" เสียงดังขึ้นที่หน้าสตูดิโอ "ขยันไปนะจ้ะเนี่ย"
   นัทหันไปสบตากับเจ๊ผึ้ง เลขาของบอสที่มาออฟฟิศด้วยเครื่องแต่งตัวสบายๆ
   “หวัดดีเจ๊" นัทหันไปทัก "นี่ไม่ได้ตั้งใจเข้ามาออฟฟิศใช่ป่ะเนี่ย"
   “อ่าหะ แวะส่งลูกที่เรียนเปียโน นี่ก็แวะมาเอางานไปทำต่อที่บ้านน่ะ" ผึ้งว่า "แล้วนี่เข้ามาทำอะไรล่ะเนี่ย"
   “มาทำงานครับ" นัทตอบ
   “โห ไม่มีใครมาหรอกนัท วันนี้น่ะ" ผึ้งตอบ
   “ทราบครับเจ๊ ผมแค่ เอ่อ....อยากมาสะสางห้องด้วย ไบร์ทเค้าเอ่อ....ไปแล้ว" นัทโกหก
   “อ่อ...จริงสินะ ก็ดีจ้ะ งั้นเอ่อ เดี๋ยวเจ๊ไปก่อนนะ งั้นก็ฝากเฝ้าออฟฟิศด้วยละกันที่รัก" ผึ้งว่า นัทยิ้มให้เป็นคำตอบ "งานปาร์ตี้เมื่อวันอาทิตย์น่ะ สุดยอดไปเลยนะ ไม่ยักรู้ว่าเราก็มีความสามาถในเรื่องโชว์ด้วยนัท"
   “โห หลายๆคนช่วยน่ะครับ เดินทางดีดีนะเจ๊" นัทกล่าวลา
   “อื้อ ขอบใจจ้ะ" เจ๊ผึ้งขยับแว่นหนึ่งทีก่อนจะเดินหายออกไปจากประตู นัทหันกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง
   มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปนักหรอกสำหรับนัท เขาก็คงมาอยู่ที่โต๊ะดราฟตัวเดิมที่นี่ ที่สตูดิโอแห่งนี้ เขามองไปยังโต๊ะของนัทและสา กับพื้นที่เล็กๆของเอิร์ธ ยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีความสุข เขารักที่จะอยู่ตรงนี้มากกว่าที่อื่นเป็นไหนๆ มันเป็นที่ที่เขารักที่สุด การที่ได้อยู่กับเพื่อนที่รัก งานที่รักแบบนี้ มันมีค่ามากที่สุดแล้วในชีวิต นัทคิดถึงวันแรกที่เขาสามคนมาที่นี่ เขายังจำมันได้เหมือนมันเพิ่งเกิดขึ้นเม่ือวาน เขาไม่เคยมีความสุขมากเท่านั้นมาก่อนเลย
   “คุณนัท หนังสือพิมพ์ค่ะ" เสียงป้าแม่บ้าน เอาหนังสือพิมพ์ Design City มาส่งให้กับนัทที่หน้าสตูดิโอ
   “แหมป้า อยากเอาไปอ่านก่อนก็ได้นะ ผมไม่ว่าหรอก" นัทแซว
   “แหมคุณนัทก็ ป้าจะทำอย่างนั้นได้ยังไงล่ะ มันเป็นกฎนี่" ป้าแม่บ้านเขินอายที่ตัวเองติดคอลัมภ์เลขเด็ดและดูดวงจากนิตสารนี้งอมแงม นัทลุกขึ้นมารับหนังสือพิมพ์ไว้ในมือ
   “คุณนัทเที่ยงนี้ป้าจะออกไปหาอะไรกินข้างนอกน่ะ คุณนัทจะออกไปกับป้าไหม ในออฟฟิศไม่มีใครเลยนะจ้ะ" ป้าแม่บ้านกล่าว
   “อ่อ....ไม่เป็นไรครับป้า ผมฝากป้าซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างมาให้ผมเหมือนเดิมก็แล้วกัน นี่ครับ....” นัทยื่นเงินให้กับป้า เวลานัทแวะมาทำงานวันหยุด การฝากป้าไปซื้อข้าวเหนียวไก่ย่างเป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆ เขารับหนังสือพิมพ์มา ขณะที่ป้าเดินออกไปจากสตูดิโอ
   นัทมองที่หน้าหนังสือพิมพ์ เป็นพาดหัวข่าวใหญ่
   “พ่อมดแห่งวงการหน้าวซีด เมื่อถูกถามถึงการหมั้นหมายกลางงาน B.A.D Night สาวไสตลิสคู่ใจเผย ไม่ไกลเกินปีหน้า"
   นัทมองไปยังรูปที่อยู่รองลงมา เจนจิราควงแขนกายและยิ้มให้กับกล้องอย่างเป็นสุข มือเขาสั่นสะท้านทันที เมื่อวานนี้เขาได้ยินข่าวลือเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาทำใจได้แล้วกับเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา แต่ก็ยอมรับว่าการได้เห็นอะไรๆคาตาแบบนี้ ก็ทำให้เขายืนแทบไม่อยู่เหมือนกัน นัทวางหนังสือพิมพ์เอาไว้ตรงนั้น ก่อนจะกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองตามเดิม
   เขาจะไม่เสียใจอีกแล้ว เมื่อวาน เขาเสียใจกับเรื่องทั้งหมดมามากพอแล้ว เขาจะหายดี ถ้าเขาไม่ต้องพบกายอีก อย่างน้อยก็ช่วงนี้
   “อ่านหรือยังล่ะคุณนัท" เสียงดังขึ้นที่หน้าสตูดิโออีก
   “ผมไม่อ่านแล้วครับป้า ป้าเอาไปเถอะ" นัทตอบทันที ก่อนจะรู้สึกว่าเสียงที่ถามมาตอนแรก ไม่ใช่เสียงของป้าแม่บ้าน นัทหันกลับมาที่สตูดิโอ ก็พบกับเจ้าของเสียงนั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูนั้น คนสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะมาปรากฎตัวอยู่ตรงนี้ที่หน้าสตูดิโอของ Lovable Studio แห่งนี้.........เจนจิรา
   “ดีแล้วล่ะ คุณอ่านไป ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก" เจนเดินเข้ามาในสตูดิโอของนัท โดยวางหนังสือพิมพ์ลงไว้ที่เดิม
   “คุณ....มา....ได้ไงอ่ะ" นัทละล่ำละลักถาม พลางมองไปรอบๆ
   “ฉันเห็นไม่มีใครอยู่ ลานจอดรถก็ว่าง ก็เลยลองเข้ามาดูน่ะ" เธอกล่าวเบาๆก่อนจะเดินไปรอบๆสตูดิโอของนัท "คุณทำงานในนี้เหรอ"
   นัทถอนหายใจครั้งหนึ่ง
   “ใช่ คุณมีธุระอะไร" นัทถามอีก
   “เล็กมากเลยนะ ดูจากสภาพแล้ว อยู่กันตั้งสามหรือสี่คนได้มั้งถ้าฉันเดา" เจนแตะไปตามแมคทั้งสี่ตัวที่วางอยู่รอบๆ ก่อนจะหันมาหานัท พร้อมกับหมุนเก้าอี้ของมิกลงมานั่ง
   “คุณมาที่นี่ทำไม" นัทหันไปถามเธออีก เธอมองนัทด้วยตาที่เบิกกว้าง
   “นึกว่าคุณจะดีใจซะอีกที่ได้เจอฉัน" เจนว่า ก่อนจะเงียบกันไปพักนึง "ฉันอยากมาหาคุณ"
   “มาหาผม....เหรอ" นัทถามด้วยเสียงที่เหนื่อยล้า จากวันนั้นเป็นต้นมา เขาไม่ได้นึกถึงเจนอีกเลย เขาไม่มีอะไรติดค้างเธออีกแล้ว เพราะเขา.........แพ้เธอจนหมดรูป
   “ใช่" เจนตอบ "ฉันแค่.....อยากมาขอร้องคุณ"
   นัทแทบไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน เขาต้องหูฝาดไป หรือเจนก็คงเมาค้างมาแน่ๆ
   “คุณ....อะไรนะ" นัทมองเข้าไปในตาเธอที่กำลังบ่งบอกเขาด้วยสัญญาณอะไรบางอย่าง
   “ฉันอยากมาขอร้องคุณ" เจนว่า "มันอาจฟังดูงี่เง่ามากที่ฉันเอ่อ....ต้องมาพูดอะไรอย่างนี้กับคุณ.....แต่ฉันพูดจริงๆ ฉันอยากจะขออะไรคุณได้หรือเปล่า"
   “ผ...ผมไม่...ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณจะมาไม้ไหนอีก แต่ว่า....ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่คุณพูดหรอกนะ" นัทว่า "ผมกับคุณ เราสองคนไม่มีอะไรติดค้างกันอีกแล้ว ในเอ่อ....ทุกๆเรื่องเท่าที่ผมจะนึกออก ถ้าคุณต้องการอะไรจากผมอีก ก็บอกผมมาตรงๆจะดีกว่าคุณเจน"
   เจนหลับตาลงหนึ่งครั้ง
   “ฉันก็พูดอยู่นี่ไง" เจนว่าเสียงแข็ง "คุณอย่างพึ่งตั้งป้อมใส่ฉันตอนนี้ได้ไหม ทุกอย่างมันไม่ได้จบลงอย่างที่คุณคิดหรอกนะ"
   นัทยิ้มแหยๆพลางหัวเราะเบาๆ
   “ผมไม่รู้ว่าคณพูดเรื่อง...”
   “พอทีเถอะคุณนัท ฉันรำคาญ" เจนว่าใส่นัทที่ตกใจกับการเปลี่ยนอารมร์ของเธอเล็กน้อย ขณะที่เจนเองก็พยายามควบคุมตัวเองไม่ให้อารมณ์ร้อนขึ้นมา
   “วันนี้ไม่มีใครอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะเท่าที่ฉันเห็น" เจนจิรากลับมาใช้น้ำเสียงปกติ "ถึงเวลาซะทีหรือยังที่คุณกับฉันจะพูดกันตรงๆ"
   นัทมองเธออีกครั้งหนึ่ง
   “ถ้าคุณ ยังไม่หยุดที่จะงี่เง่าล่ะก็นะ ฉันพนันได้เลยว่า คุณเสียเขาไปแน่" เจนว่าเข้าประเด็นทันที
   นัทนิ่งสนิท เขารู้อยู่เป็นนัยๆแล้วว่าเจนมาที่นี่ ต้อมีซักประโยคที่หล่อนจะต้องวกเข้าเรื่องนี้
   “ว่ามาสิ" นัทพูดเบาๆ เพื่อป้องกันตัวเองจากการรุกราน เจนหลับตาเบาๆ
   “กายเขาเล่าให้ฉันฟังทุกอย่าง ทุกๆเรื่อง ที่เกี่ยวกับคุณ" เจนว่า
   “หวังว่าคงไม่ทุกเรื่องหรอกนะ" นัทโพล่งปากออกไปทันที
   “ทุกเรื่องสิ" เจนว่ากลับ "เขาเล่าให้ฉันฟัง ตั้งแต่วันแรกที่เขาเจอคุณเลยด้วยซ้ำ"
   “เรื่องนั้นใครก็รู้ครับ มันไม่ใช่เรื่องลับซะหน่อย" นัทเงยหน้าขึ้นมองเธอ "กายเจอผมที่นี่ เขามาที่นี่เพื่อมาทำงานกับคุณอาเขา กับผม เมื่อสามเดือนที่แล้ว"
   “หึ งั้นคุณก็คงรู้น้อยกว่าที่ฉันคิดไว้จริงๆ" เจนว่าพลางเอนตัวเองพิงพนักเก้าอี้อย่างผู้ที่เหนือกว่า นัทขมวดคิ้วใส่เธอ "คุณนัท สิ่งที่ฉันจะขอคุณวันนี้ก็คือ ขอให้คุณฟัง ในสิ่งที่ฉันพูด ฟัง ในแบบที่คุณไม่มีอคติใดใดต่อฉัน ใช้หัวใจของคุณฟัง ในสิ่งที่ฉันจะพูด เพราะฉันก็จะพูดกับคุณ โดยไม่มีอคติใดใดหมือนกัน คุณจะให้ฉันได้ไหม"
   นัทมองเธออย่างประเมิณค่าครั้งหนึ่ง
   “แล้วผมจะได้อะไร" นัทพูดเบาๆ "มาถึงตอนนี้แล้วน่ะ"
   เจนเงียบไปพักหนึ่ง
   “ได้รู้ยังไงล่ะ" เจนพูดเบาๆราวกับเป็นเสียงกระซิบ
   น้ำเสียงแบบเดียวกับที่เธอพูดกับกายทุกครั้งที่ได้อยู่กับสองต่อสอง สองต่อสองที่เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
….........

   "ขอบคุณมากนะคะคุณหมอ" เจนกล่าวกับแพทย์เจ้าของไข้ ก่อนจะเขาจะเดินอกไปจากห้องพัก ขณะที่เจนรีบรุดไปหากายทันที ร่างๆหนึ่งนอนนิ่งบาดแผลเล็กๆน้อยๆ แต่เกือบทั่วทั้งตัวจากอุบัติเหตุรถคว่ำทำให้กายลืมตาขึ้นช้า เขามองเห็นเจนนั่งอยู่ข้างตัว เขาเอื้อมมือไปจับมือเธอทันที พอดีกับที่น้ำใสๆไหลออกจากดวงตา เขายิ้มกว้างให้เธอทันที
   “ผม.....ผมขอโทษ" กายพูดเสียงแหบพร่าเล็กน้อย จนเกือบจะเรียกได้ว่าปกติ
   เจนจิราจับมือของเขาไว้เบาๆ
   “คุณหมอบอกว่าคุณไม่เป็นไรมาก" เจนว่า "ยังดีที่คุณไม่ใช่ฝ่ายผิด แล้วก็ปกติ คุณเองขับรถไม่เคยประมาทด้วย เรื่องคดีความเดี๋ยวยังไง ประกันกับทนายคุณก็คงดิวให้แหละ"
   เจนว่าพลางห่มผ้าให้เพื่อนรักของเธอ
   “เรื่องอื่นๆ ฉันจะจัดการให้เอง คุณพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องคิดเรื่องอะไรทั้งนั้น" เจนว่าพลางก้มลงกดปิดโทรศัพท์ของกายที่วางอยู่ข้างเตียงคนไข้ ก่อนจะหันกลับมาหาเขา กายมองหน้าเจนอยู่พักใหญ่ นานเสียจนเธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   “ผมคิดถึงคุณเจน" กายพูดขึ้น เจนหัวเราะเบาๆ
   “บ้าแล้วกาย เราเจอกันทุกวันนะ" เจนว่า "ถึงไม่เจอกันทุกวันเหมือนช่วงนี้ เจนชวนคุณออกมาดริ๊งค์ คุณไม่เคยขาดเลยซักทีน่ะ"
   “ผมหมายถึง ผมคิดถึงคุณ เหมือนตอนที่อยู่ที่ปารีส" กายว่า เจนเงียบสนิททันที พลางมองไปหากายอีกครั้ง
   “กายก็รู้...." เจนพูดเบาๆ "….ว่ามันไม่มีทางกลับมา"
   กายก้มหน้าลง
   “ผมรู้ ผมไม่ลืมหรอก" กายตอบเบาๆ "ผมแค่ อยากได้คุณ กลับมาเป็นคนที่อยู่รับฟังผมเหมือนเมื่อก่อน"
   เจนยิ้มก่อนจะหันมาหากาย
   “เจนเป็นเพื่อนที่คอยรับฟังกายเสมอนะ" เจนว่า "กายต่างหาก ที่ไม่เคยเล่าอะไรให้เจนฟังเลยที่จริงแล้ว ว่ากันตรงๆ เจนเป็นคนเดินจากกายไป แต่กายกลับเป็นคนห่างเจนไปเองจนเจนก็ตกใจเหมือนกันนะ"
   กายก้มหน้าลง
   “ตั้งแต่เจนกลับมาเจอกายที่เมืองไทย เราสองคนเปลี่ยนไปมาก" เจนว่า พลางมองไปรอบๆห้องคนไข้ "อันที่จริง นี่มันเป็นครั้งแรกในรอบกี่ปีเนี่ย ที่เราได้กลับอยู่กันสองคนแบบนี้"
   “สี่ปี" กายตอบเบาๆ เจนหันหน้ามองมองเขาทันที
   เงียบกันไปพักนึง ขณะที่เจนมองเข้าไปในดวงตาของกาย มันก็เหมือนเมื่อก่อนนี้ ที่เธอมักจะเจ็บปวดไปกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ แต่ตั้งแต่วันที่เธอก้าวถอยออกมาหนึ่งก้าว มันทำให้เธอสบายขึ้น ทำอะไรๆได้ง่ายขึ้น และกลายเป็นเพื่อน ที่รู้ใจมากขึ้น เพื่อนที่ตอนนี้ แค่มองตา ก็เข้าใจทุกอย่าง
   “อยากเล่าอะไรให้เจนฟังหรือเปล่า" เจนจับมือกายอย่างนุ่มนวล "เรื่องอะไรก็ได้ อย่าให้เจนต้องเดาเลย"
   กายหลบสายตาลง เจนบีบมือขอเขาเบาๆ
   “ผมจะทำยังไงดี" กายถามขึ้น "ผมไม่รู้จะไปต่อยังไงเจน เขาทำให้ผมทำอะไรไม่ได้ ผมไม่รู้สึกถึงตัวเองอีกแล้ว ทุกๆอย่างในชีวิตที่ผมมีตอนนี้ ผมแลกกับเขาหมดทุกอย่างแล้วอ่ะเจน แล้วทำไม ทำไมมันถึงออกมาเป็นอย่างนี้อ่ะ ผมไม่เข้าใจอ่ะเจน บอกผมทีสิเจน ผมทำอะไรผิดเหรอ ผมแค่........."
   เจนปล่อยให้กายระบายมันออกมา ชายหนุ่มนัยน์ตาคมคาย ใบหน้าที่หล่อเหลาและเต็มไปด้วยบาดแผลกัดฟันกรอด นัยน์ตาแดงกำ่ มีน้ำตาเพียงไม่กี่หยดไหลออกมา
   “ผมไม่อยากเสียเขาไป เหมือนที่เสียคุณไปอีก" กายลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ "ผมอยู่ที่นี่ไม่ได้ ถ้า......”
   เจนเอื้อมมือไปปาดน้ำตากายเบาๆ ชายหนุ่มหลับตาลง เจนถอนหายใจ
   “ใช่คนที่คุณเล่าให้ฉันฟังหรือเปล่า" เจนถามอีกครั้ง "เด็กหนุ่มเจ้าของภาพศิลป์ที่ปารีส ที่คุณบอกว่าจะตามหาเขา จนรีบบินกลับมาเมืองไทยจนไม่รอเจน"
   กายพยักหน้าเบาๆ
   “กาย คุณอย่าทำอะไรแบบที่คุณทำกับเจน กับเขา" เจนพูด กายหันมาหาเจนทันที "คนเราหนีเรื่องของตัวเองไปไม่ได้ ทุกๆคน มีเรื่องของตัวเองต้องเดินไปตามทางนั้น คุณไม่อาจจะเปลี่ยนเส้นทางของใครได้หรอกนะ"
   “ผมแค่ อยากมีใครซักคน ผมไม่อยากอยู่คนเดียว" กายพูด
   “คุณเดินมาไกลมากกาย คุณเดินมาไกลมากเสียจน.... คุณไม่รู้ตัวแล้วว่า ระหว่างทาง คุณเสียอะไรไปบ้าง" เจนพูด "ตอนนี้คุณไปข้างหน้าแบบหยุดไม่อยู่แล้ว ต่อให้คุณไขว่คว้าหาใครซักคน ให้ไปกับคุณเรื่อยๆให้ได้ สุดท้ายแล้วมันไม่ได้มีใครที่จะตามคุณทันหรอกนะ พวกเขาจะถูก......”
   “ทิ้งไว้ข้างหลัง.....สินะ" กายตอบ เจนก้มหน้าลง "เจน.....ทำไมคุณถึงทิ้งทุกอย่าง แล้วไปปารีสกับผมตั้แต่แรก"
   เจนยิ้มให้กับตัวเองก่อนจะหัวเราะเบาๆ
   “ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจนก็คงบอกว่า เจนจะไปทุกๆที่ที่คุณไป เพราะเจนรักคุณมาก.....” เจนว่า "แต่จริงๆแล้ว เจนเพิ่งมารู้ทีหลังว่า เจนเองก็มีเหตุผลอีกอย่างที่ตัดสินใจไปปารีส"
   “อะไรเหรอ" กายถาม
   “เพราะเจนรู้ว่า นั่นคือเรื่องของเจน นั่นก็คือชีวิตเจนของด้วย ชีวิตเจนที่ไม่ได้ผูกเอาไว้กับคุณอย่างเดียว" เจนว่าพลางยิ้มอย่างเป็นสุข "มันออกจะเสี่ยงซักหน่อย เพราะ เรายอมทิ้งทุกอย่างไป แต่เจนเองก็ไม่มีอะไรต้องเสียอยู่แล้วที่นี่ เจนไปที่นู่น เจนมีกาย แต่พอถึงสุดท้าย เราต้องเลิกกัน เจนก็มาคิดได้ทีหลังว่า เจนจะหันหลังกลับไม่ได้ เพราะส่วนหนึ่ง เจนเอาทุกอย่างมาเสี่ยงลงที่นี่ เจนจะไม่ยอมขาดทุนเด็ดขาด แล้วก็ ปู้มมมม..........ก็มาเป็นเจนทุกวันนี้ไง"
   กายยิ้มให้เธอ
   “แล้วสุดท้าย คุณก็โดนลากกลับมาหาผมอีกจนได้" กายว่า เจนหัวเราะอีกครั้ง
   “มันอาจจะแรงสำหรับคุณนะกาย แต่.....ถ้าเจนไม่เลิกกับกายวันนั้น เจนอาจไม่มีวันนี้หรอก"  เจนว่า "เพราะเรามาคิดว่า สุดท้ายแล้ว เจนเลือกที่จะไปต่อให้ได้ ไม่ใช่หันหลังกลับน่ะ"
   กายมองออกไปที่นอกหน้าต่างอันมืดมิด
   “ทำไมเขาไม่เหมือนคุณล่ะ" กายพูดเบาๆ "ถ้าเค้าสู้เหมือนคุณ สุดท้ายแล้ว เขาก็จะได้ยืนคู่กับผม เหมือนที่ทางเดินของคุณสุดท้ายก็วกกลับมาหาผมนี่ไง"
   “มันไม่เหมือนกันนะกาย" เจนว่า "คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นหรอก"
   กายหันกลับมามองเจนอีกครั้ง
   “ฉันวกกลับมาหาคุณ ก็เพราะเรื่องของฉันพามาถึงตรงนี้ แต่คุณก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะกลับมารักกันอีก" เจนว่า "เราแค่เล่นไป ตามบทที่ทุกๆคนอยากดู แต่กับคนอื่น เขาไม่เหมือนเรานะกาย เขามีชีวิตของเขา เขามีเรื่องของเขา ไม่มีใครหนีไปจากเรื่องของตัวเองได้หรอกนะกาย"
   “ผมจะเสียเขาไป อีกใช่ไหม" กายพูดเบาๆ
   “ใช่" เจนตอบทันที "เขาไม่มีทางขึ้นมาอยู่ข้างๆคุณได้หรอก"
   กายหันมามองเจนทันที
   “เขาคนนั้นของคุณ จะมาถึงตรงที่เรายืนอยู่ได้ เขาต้องมีพลังพอๆกัน หรือมากกว่าเจน ที่จะยอมแลกทุกอย่างขึ้นมา ไม่ใช่ลองแลกทุกอย่างขึ้นมา เขาจะต้องกล้าที่จะเจ็บ กล้าที่จะสู้ มากพอ เขาถึงขึ้นมาถึงตรงนี้ เหมือนคุณสู้มา เหมือนที่เจนสู้มา" เจนตอบเขา "แต่เราสองคนที่ยืนตรงนี้ ก็ใช่ว่าจะมีพร้อมทุกอย่าง เพราะถ้าคุณพร้อมทุกอย่างแล้วจริงๆ คุณก็คงไม่ลากเค้าให้ขึ้นมาอยู่กับคุณหรอกจริงไหม และถึงเขาจะขึ้นมาได้จริงๆ มันไม่มีที่พอสำหรับเขาหรอก แค่คุณกับฉัน ทุกๆคนที่มองเราอยู่พวกเขาก็มีความสุขแล้ว"
   “แล้วเราสองคนล่ะเจน" กายถามขึ้น "ความสุขของเราสองคนล่ะ"
   เจนเงียบไปพักนึง
   “เจนก็ไม่รู้เหมือนกัน" เจนตอบอย่างเศร้าหมองและก็เข้าสุ่ความเงียบอีกครั้ง
   “ผมกับเค้าคงไม่ใช่เรื่องเดียวกันแล้วสินะ" กายว่าพลางถอนหายใจ
   “มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณคนเดียวซะหน่อย" เจนว่า "มันขึ้นอยู่กับเค้าด้วยว่า เขาวิ่งหาคุณมากแค่ไหน"
   กายหันมาหาเจนอีกครั้ง
   “คุณแค่กลัวที่จะไม่มีใคร...กาย" เจนตอบ "คุณเลยพยายามจัดการทุกอย่างเพื่อให้คุณไม่ขาด ข้างนอกนั่น ถึงมองคุณว่าคุณเป็นพ่อมดจอมเจ้าชู้ไงล่ะ แต่จำไว้เลยนะ เรื่องแบบนี้ มันไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะนั่งจัดการให้อีกฝ่ายหรอกนะ มันต้องช่วยกัน ไม่อย่างนั้น เขาจะเดินไปจากคุณ ก่อนที่คุณจะพาเขาไปไหนต่ออีกด้วยซ้ำ เหมือนที่เจนเคยเดินจากมาไง"
   เจนถอนหายใจพลางมองนาฬิกา บอกเวลาตีสามสิบห้านาที ลุกขึ้นจากเตียงของกายอย่างรวดเร็ว
   “ถ้าเขารักคุณและคุณก็รักเขาจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องของใครแล้ว" เจนว่า "มันก็เป็นเรื่องของคนสองคนไงล่ะ และทั้งคู่ ก็เดินออกจากเรื่องของตัวเองไม่ได้เหมือนกันแหละ"
   กายหันมามองเธอเหมือนตัวเองเข้าใจอะไรางอย่างมากขึ้น ขณะที่เจนเลิกคิ้ว
   “ผมจะสบายใจมากขึ้น ถ้าผมอยากจะให้คุณออกความเห็นต่อเรื่องนี้ตรงๆน่ะเจน" กายถามเจนที่เม้มปากพลางถอนหายใจ
   “อยากฟังเจนสาธยายเหรอ" เจนถาม
   “อ่าหะ" กายตอบ
   “โกหกเจนสิ ว่าคนคนนั้นของกาย ไม่ใช่คุณนัท" เจนจิรากอดอกอย่างไว้ท่า กายยิ้มเบาๆพลางยกมือขึ้นเกาจมูก เจนเหลือกตาขึ้นทันที "งั้นเจนขอพูดอย่างไม่เกรงใจเลยนะ คุณนัทของกายน่ะ ไม่ได้ครึ่งนึงของเจนเลยล่ะ เขาไม่มีทางแลกทุกอย่างเพื่อขึ้นมาหากายแน่ จากที่เจนเจอเขาตั้งแต่วันแรก เขาไม่ได้รักในชีวิตที่กายเป็นอยู่เลยซักนิด คุณนัทเขามีชีวิตของเขา และแน่นอนว่ามันต่างจากกายสุดขั้วเลยล่ะ....คำถามก็คือ......กายจริงจังแค่ไหน กับเรื่องนี้"
   กายมองหน้าเจน
   “คำถามก็คือ คุณคิดว่าผมเจ้าชู้ร้ายกาจ จนไม่เคยจริงใจกับใครซักคนเลยใช่ไหมเจน" กายถามกลับ เจนถอนหายใจ
   “แต่สิ่งที่คุณทำก็คือ ลากเขาขึ้นมาอยู่ในจุดที่ทุกๆคนมองคุณเป็นพ่อมดจอมเจ้าชู้ แล้วมีเจนเป็นแฟนนะ" เจนตอบ "เจนว่า แบบนี้มีแต่เสียกับเสีย"
   “แล้วผมควรทำไง" กายถามอีก "คุณช่วยผมได้ไหม"
   เจนมองกายอย่างครุ่นคริด
   “ฉันจะช่วยคุณก็ต่อเมื่อฉันมั่นใจว่าเขารักคุณจริงๆ" เจนว่าพลางเม้มปากอย่างใช้ความคิด "เจนต้องพิสูจน์เขาก่อน แต่ก่อนอื่น...คุณต้องพักผ่อน และรับปากกับเจน ว่าคุณจะไม่กลับไปที่งานประกาศรางวัล B.A.D Night”
   “ทำไมล่ะ" กายว่า "ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วผมก็เป็นพ่องานอยู่ด้วย ผมขาดวันนี้ไม่ได้หรอก"
   “คุณขาดได้ และคุณต้องขาด ไม่งั้นเจนไม่ช่วยคุณนะ" เจนว่าใส่ "คุณกล้าไว้ใจเจนไหมล่ะ"
   “ผมไว้ใจคุณเจน" กายว่า "คุณคือเพื่อนที่ดีที่สุดที่ผมมี"
   เจนยิ้มให้กายอย่างเป็นสุข
   “งั้นก็นอนซะ เดี๋ยวเจนจัดการที่เหลือให้" เจนบอกกายพลางปรับเตียงลงและห่มผ้าให้กายเพื่อให้เพื่อนรักของเธออยู่ในตำแหน่งที่สบายตัว "พักผ่อนเถอะกาย เจนรับปากคุณ ว่าจะช่วย"
   “ขอบใจนะที่รัก" กายว่า เจนก้มลงไปหอมแก้มกายทีนึง
   ก่อนจะกระเป๋าของตัวเองออกมา พร้อมกับเก็บโทรศัพท์ของกายไป
   “คุณจะเอาไปไหนอ่ะ" กายถาม
   “ฉันต้องการเบอร์คุณมิกและคุณสา" เจนว่า "ฉันจะเริ่มพิสูจน์คุณนัทจากเพื่อนรักของเขาน่ะสิ"
   “เขาสองคนไม่ชอบคุณนะ" กายตอบ
   “เจนรู้ค่ะ.....ไม่ค่อยมีใครชอบเจนนักหรอก เจนรู้ตัวเองดีค่ะ"
   เธอกดเบอร์มิกจากเบอร์ของกาย เพื่อโทรปลุกให้เพื่อนรักของนัท ตื่นขึ้นมารับเรื่องของเธอเป็นคนแรก พลางเดินออกจากห้องพักไป
   “เจน ทำไมคุณไม่พิสูจน์ผมบ้างล่ะ" กายตะโกนถามขึ้นมา เจนหันหลังกลับ
   “ไม่ต้องหรอกค่ะ เจนรู้จักคุณมามากพอ" เธอตอบ "เจนมองตาคุณก็รู้แล้ว ว่าหัวใจคุณอยู่ที่ใครตอนนี้"
….............
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27/1 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 30-10-2011 18:47:21
เอ่อ :m28: o12 :o10:สองคนนี้เหมือนกัน เข้าใจกัน รู้เท่าทันกัน จนไม่สามารถเป็นแฟนกันได้เนาะเจน-กาย
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-10-2011 20:01:51
นัทนั่งนิ่งสนิท ขณะที่เจนหยิบเอาน้ำเปล่ามายท่นให้จากในครัว ก่อนจะนั่งลงตามเดิม หัวสมองเขากลับมาตื้อตันอีกครั้ง มันไม่ได้หนักหนาเท่าสองสามวันก่อนงาน B.A.D Night แต่มันตื้อเบาๆจางๆเหมือนอาการปวดหัวเล็กที่ไม่ยอมหายซักที
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว เจนก็จะขอตัวกลับก่อนนะ นี่ก็ เย็นมากแล้วด้วย"
   เธอพูดถูก นัทนั่งฟังเธอเล่าทุกๆอย่างอย่างตั้งใจ กินเวลามาเกือบทั้งวันโดยไม่ได้ทำอะไรเลย เขาฟังทุกคำพูดอย่างตั้งใจ ทุกๆคำไหลเวียนอยู่ในหัว
   “จะไปแล้วครับ ผม...เอ่อ ว่าจะเลี้ยงข้าวคุณซักหน่อย" นัทว่า
   “ไม่ต้องหรอกค่ะ ข้าวเหนียวไก่ย่างเมื่อตอนกลางวันก็อร่อยดี เจนยังอิ่มอยู่ค่ะ" เจนจิราว่า
   “ก่อนคุณกลับผมจะถามอะไรหน่อยได้ไหม" นัทพูดเบาๆ
   “ก็ที่ฉันอ้อยอิ่งยังไม่กลับเนี่ย ก็รอคุณถามบ้างนี่แหละ" เจนว่าเสียงแข็ง
   “เขาอยู่ไหน" นัทถามทันที เจนทรุดตัวลงทันที
   “ขอโทษนะคุณนัท แต่เจนไม่รู้" เจนตอบเสียงสั่น "เจนไม่เห็นเขาอีกเลยตั้งแต่แยกกันที่โรงแรมตอนเช้าเมื่อวาน วันนี้พอเจนเห็นข่าว ก็ว่าจะโทรหาเขา แต่ก็ลืมไปว่า โทรศัพท์เขาอยู่ที่เจนนี่ไง"
   เธอล้วงอยู่ในกระเป๋าสองสามที ก่อนจะยื่นโทรศัทพ์กลับคืนให้นัท นัทรับมันเอาไว้
   “ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปตามเขาที่ไหน" เจนพูด "ก็เลยอยากจะขอร้องคุณไปด้วยเลยอีกอย่าง"
   “อะไรล่ะครับ" นัทถาม
   “อย่าทิ้งกายเลยค่ะคุณนัท เจนไม่อยากทำแบบนี้หรอก เพราะมันดูงี่เง่าแต่ว่า กายเค้าไม่มีใครแล้ว" เจนว่า "ฉันทนไม่ได้ที่เขาจะต้องมาเจ็บเพราะ...”
   “ความงี่เง่าของผม" นัทต่อคำ
   “ค่ะ...ใช่" เจนพูด "แล้วอีกเรื่องนึงก็คือ คุณไม่รู้หรอก ว่าคุณน่ะมีความสำคัญกับเขาแค่ไหน ฉันคิดว่าคุณเองก็คงรักเค้าเหมือนกัน"
   “ผมไม่ได้.....” นัทรีบแผดเสียงตัวเองขึ้นทันที
   “เอาเถอะค่ะ" เจนรีบตัดบท "อีกสองสามสัปดาห์ เจนจะไปอเมริกาแล้ว ยังไงถ้าคุณเจอเขา ฝากบอกเค้าเรื่องนี้ละกัน"
   หญิงสาวลุกขึ้นก่อนจะเดินผ่านนัทไป
   “ขอบคุณคุณมากนะเจน" นัทเอ่ยขึ้น เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เจนหันหลังกลับมา
   “ความจริงก็คือ ที่เจนยังคงทำตัวเป็นเจ้าของกายอยู่ เพราะเจนไม่อยากให้คนอื่นๆรู้สึกว่า คุณกับเจน กำลังแย่งผู้ชายคนเดียวกัน มันทุเรศน่ะ" เจนว่าอย่างตรงไปตรงมา "แล้วอีกอย่าง วันแรกที่ฉันเห็นคุณมากับกายที่คลับเลาท์ของโรงแรมเมื่อหลายเดือนก่อน ฉันว่าฉันเห็นตัวเองในตัวของคุณ"
   คุณไม่ได้ถูกแยกออกไปจากกลุ่มเพื่อนๆในคลับวันนั้นเลยนะที่จริงแล้ว คุณมีอะไรหลายอย่างซ่อนอยู่ในตัวเอง กายเขามีเอ่อ เวทย์มนต์พิเศษ ที่มองเห็นสิ่งๆนั้นในตัวของใครบางคนได้ เหมือนอย่างที่เขาเคยเห็นกับฉัน แต่มันต่างกันตรงที่ ฉันไม่มีโอกาสจะทำให้สิ่งที่หัวใจต้องการอีกแล้ว"
   “หมายความว่ายังไง" นัทขมวดคิ้ว
   “เอาเป็นว่าคุณไม่ต้องเปลี่ยนอะไรหรอก" เจนว่า "คุณเป็นอย่างที่คุณนั่นแหละดีที่สุดแล้ว ฉันเอ่อ....ฉันก็ชอบที่คุณเป็นคุณ"
   นัทยิ้มน้อยๆให้เธอ
   “เพราะว่า คุณจะได้ไม่ต้องมาแย่งเวทีของฉันไงล่ะ" เจนเปลี่ยนน้ำเสียงลงทันที นัทส่ายหัวให้เธอ "คิดซะว่าฉันไม่ได้มาละกัน ไม่มีใครรู้เรื่องเราคุยกันวันนี้ ไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นในวันแบบนี้หรอก"
   เธอกล่าวทิ้งท้ายออกไปจากสตูดิโอทันที นัทมองเธอจากไปด้วยความโล่งใจ เขาแอบดีใจเล็กๆที่อย่างน้อยๆเจนก็กำลังจะไปจากวงชีวิตของเขา ผู้หญิงคนนี้เข้ามาหาเขาทีไร ชีวิตเขาวุ่นวายพิลึก
   เขานั่งมองโทรศัพท์ของกาย อยู่ครู่หนึ่ง เขาเปิดเครื่องและรอให้ตัวเครื่องใช้การได้ ที่หน้าจอปรากฎรูปของกายที่กำลังมองมาทางกล้องและยิ้มกว้าง ขณะที่นัทพยายามเบี่ยงหน้าไปทางอื่น นัทยิ้มให้รูปนั้นทั้งน้ำตา มันเป็นวันที่กายพาเขาออกไปเที่ยว ก่อนที่ทั้งคู่จะทราบข่าวว่า ทีมของเขาชนะการประกวด

   ….... “เห้ยคุณ คุณมีธุระที่ไหนป่ะเนี่ย" กายถามขึ้นคณะเดินไปตามร้านรวงต่างๆในเซ็นทรัลเวิร์ดอย่างอ้อยอิ่ง ขณะที่นัทปั้นหน้าหงิกตลอดวัน
   “เปล่า" นัทตอบเสียงเข้ม
   “เอาจริงดิคุณ คุณทำหน้าแบบนี้อ่ะ ผมจะพาคุณไปดูหนังต่อได้ไง" กายถามต่ออีก
   “ชีวิตคุณนี่จะเที่ยวไปถึงไหนกันนักนะผมอยากรู้จริง" นัทว่าต่อ
   “ผมไม่ค่อยได้เที่ยวซักหน่อย" กายตอบ
   “โห ฟ้าผ่าป่ะคุณ" นัทว่า
   “ผมหมายถึง เที่ยวกับคุณสองคนน่ะ" กายหันหน้ามามองนัท ที่หน้าแดงทันที "เพราะว่าถ้าการเที่ยวคือการได้ผ่อนคลายอ่ะ มันมีแค่ทุกครั้งทุกครั้งที่ผมได้ไปกับคุณนะ"
   นัทอมยิ้มหันหน้าไปทางอื่นทันที กายยิ้มพลางกัดริมฝีปากทันทีที่เห็นภาพใบหน้าหล่อเหลาหลบอาการเขินของนัท ชายหนุ่มล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและแนบหน้าตัวเองเข้าหานัทก่อนจะกดถ่ายทันทีอย่างว่องไว
   “เห้ยคุณ ทำไรอ่ะ" นัทร้องทันที พลางพยายามคว้าโทรศัพท์กายมาดู
   “อย่าดิคุณ ผมถ่ายเล่นๆเฉยๆ" กายว่าพลางหันหลังปกป้องรูปของตัวเองอย่าสุดกำลัง ก่อนจะแอบตั้งมันเป็นรูปที่หน้าจอทันที.......

   นัทมองรูปอยู่ได้พักหนึ่งระบบโทรศัพท์ของเขาเองก็ดังขึ้นก็รับข้อความมาจากศูนย์ แจ้งว่ามีบางคนส่งเพลงมาให้เขา นัทเปิดดูมันเป็นเพลงเพลงหนึ่ง เขากดเปิดฟังเพลงเพลงนั้น
   
   เธออาจเหนื่อยกับสิ่งที่เรานั้นเป็นอยู่ ใครก็รู้ว่าเรานั้นคงไปกันไม่ไหว เธอรู้ไหมว่าควรทำอย่างไร ในหนทางที่เรายิ่งเดินยิ่งไกล
   เธอคือช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ทุกๆ อย่างต้องหยุดไว้เพียงแค่นี้ ไม่มีอีกแล้วที่เราได้เคยมี ไม่มีช่วงเวลาที่แสนดี
   ให้เธอนั้นได้จำว่า ครั้งหนึ่งเรานั้นเคยรักกัน เรานั้นเคยได้พบกัน แม้ว่ามันจะหมดไป ในวันหนึ่งหากเธอบังเอิญได้พบใคร ฉันก็คงไม่เสียใจ ปล่อยให้เธอไป ฉันไม่เป็นไร ให้เธอได้จำเอาไว้ว่าเราเคยรักกัน



   น้ำตาของนัทไหลลงเบาๆ คนที่ส่งเพลงๆนี้มา คงอยู่ที่ไหนซักแห่งที่ไกลออกไป นัททรุดตัวลงอีกครั้ง วันนี้ควรจะเป็นวันที่ว่างเปล่าสำหรับเขา แต่นี่ มันว่างเปล่าเกินไปแล้ว คำพูดของเจนดังขึ้นในหัว
   คุณเป็นอย่างที่คุณนั่นแหละดีที่สุดแล้ว ฉันเอ่อ....ฉันก็ชอบที่คุณเป็นคุณ
    ไม่มีใครรู้เรื่องเราคุยกันวันนี้ ไม่มีอะไรสำคัญเกิดขึ้นในวันแบบนี้หรอก
   เขาคิดถึงวันนั้นเหลือเกิน วันที่ไม่มีงาน ไม่มีคนอื่น......
   วันที่มีแต่เขากับกายเท่านั้น......
   วันที่ไม่ได้มีอะไรสำคัญเกิดขึ้น.....
   วันที่คงไม่มีอีกแล้ว.....
…......
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 30-10-2011 23:07:11
สนุกค่ะ  ตามอ่านจนเหนื่อยเลย  มีตอนแรก ๆ ที่ wording คล้ายกับละครเรื่อง พรุ่งนี้ก็รักเธอ
เลยทำให้แปลก ๆ ไปบ้าง  แต่แค่นิดเดียวเท่านั้นเอง  อยากบอกว่าชอบเรื่องนี้ค่ะ
กลิ่นอายเหมือนซีรีย์ของต่างประเทศเลย
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 31-10-2011 10:29:25
 :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 27 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 31-10-2011 11:47:39
แหงะ
กายหายไปอีกละ  ป๊อดจริงๆเลยพ่อ
อ่านคู่นี้แล้วรู้สึกอึนๆ  ความมั่นใจของตัวเอกมันกระปริดกระปรอย
ชอบนะคะ  คนเขียนเขียนเก่งมากอะ  ทำเราอยากพุ่งเข้าไปจับตัวละครมาเขย่าๆได้
ไม่เข้าใจจริงๆ  ว่ากายเป็นบ้าอะไร  เหมือนจะมาเคลียร์กับนัท  พอยัยเจนจับไปถ่ายรูปนิดเดีย
หายไปซะงั้น  เอ้อ  คนเรา :z3:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28/1) - 31/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-10-2011 12:17:00
บทที่ 28 Nothing Important Happen Today....Part II

   มันไม่มีอะไรให้คิดมานักในวันสบายๆแบบนี้ สา มิก และ นัทคิดว่าตอนนี้สตูดิโอช่างเต็มไปด้วยความสุข พวกเขามีเวลาหัวเราะ นั่งเม้าท์ ออกไปกินข้าว นั่งทำโปสเตอร์ไม่กี่ใบก่อนจะกลับบ้านได้ตามเคย เหมือนเมื่อก่อนนี้ ที่ทั้งสามไม่มีอะไรต้องทำมากนัก สาที่ตอนนี้เป็นคนที่ผู้ขอให้ไปเป็นช่างภาพให้เยอะที่สุดในบรรดาทั้งสามคน ง่วนกับการจัดการตารางเวลาของเธอในอาทิตย์หน้า เธอมีคิวไปต่างจังหวัดสองคิว พร้อมกับเลยไปถึงลาวเพื่อถ่ายภาพงานทำบุญใหญ่ที่นั่น
   “คือหมายความว่าฉันรับงานนั้นก็เพราะว่าฉันอยากไปลาวมานานแล้ว" สาพูดขณะนั่งตรวจเช็คสภาพกล้อง "ที่นั่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มากๆสำหรับฉัน และที่สำคัญค่าจ้างก็สูงด้วย ฉันจะได้ซื้อกล้องใหม่ซักที"
   มิกเองก็สุขสบายเนื่องจากได้ครองโต๊ะของไบร์ทไปด้วย ชายหนุ่มลากเอาเอิร์ธไปทำงานโต๊ะของไบร์ททันที เพื่อให้เอิร์ธได้อยู่ใกล้เขามากขึ้น และแน่นอนว่าความสัมพันธ์ที่สนิทสนมของทั้งคู่ ก็ทำให้สาตาร้อนผะผ่าว
   “ฉันว่าคบกันแล้วล่ะ" สาสะกิดนัททันทีที่มิกและเอิร์ธออกไปกินข้าวด้วยกันสองคน
   “เอาน่า ปล่อยเค้าไปเถอะ" นัทว่าเสียงสูงก่อนจะหันกลับไปนั่งเล่นคอมต่อ
   “โอ๊ย ปล่อยได้ไงล่ะ มิกมันน่ารักออก น้องเอิร์ธก็หล่อจะตาย เหมาะสม" สาพูดเสียงเพ้อฝัน
   “อย่าพึ่งด่วนสรุปอะไรไป จำยัยฟ้าได้หรือเปล่า" นัทพูดขึ้นเบา สาหันมามองหน้านัททันที
   “ฟ้า ยัยสาวอาร์ทคนนั้นน่ะนะ ที่มิกบอกว่ามันเจอที่งานBAD” สาพูด
   “ใช่ เธอไม่รู้ตื้นลึกหนาบาเรื่องนี้น่ะสิ ใช่ไหมล่ะ" นัทยักคิ้วให้สา ที่มองนัทอย่างไม่เชื่อสายตา
   “ตายละ" เธอกล่าวเหมือนตัวเองได้พลาดอะไรไปบางอย่าง "นี่เธอมีอะไรวิเคราะห์อยู่ในใจกับเรื่องนี้เหรอ เล่ามานะ"
   “ก็ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลยเหอะ" นัทว่าพลางหันมาประจันหน้ากับเธอ "อันนี้เจ้าตัวเขาบอกเอง"
   “บอก บอกอะไรแก"
   “ฟ้าน่ะ ชอบไอ้มิกเว่ย" นัทพูดพลางยิ้มกว้าง สายกมือขึ้นปิดปาก
   “ไปรู้มาจากไหน เรื่องใหญ่นะน่ะ" สาว่าเสียงตื่นเต้น
   “ก็...ไม่รู้มันยังเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่ว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่ฟ้ามารู้จักกับพวกเรา มันมานอนค้างบ้านฉันครั้งหนึ่ง สมัยที่ฉันกับมิกแล้วแม่อยู่ที่บ้านน่ะ" นัทเริ่มต้นเล่า
   “อ่าหะ"
   “แล้วทีนี้มันอยู่คืนนึง ฉันก็ยังไม่นอน แล้วก็ไปที่เฉลียงหน้าบ้านแล้วก็ได้คุยกับฟ้าเค้า" นัทว่า "เค้าเอ่อ บอกว่า เค้าชอบไอ้มิกมัน"
   “คุณพระ" สาร้องเบาๆ
   “เขายังบอกให้ฉันช่วยเขาหน่อยเลยด้วยซ้ำ" นัทตอบ
   “แล้วแกทำไงอ่ะ" สาถามต่อ เรากับถามตอนต่อของละครเข้มข้นเรื่องโปรด
   “ไม่ทำไรอ่ะ ทำไม่ได้" นัทตอบทันที "ก็ ช่วงนั้นไอ้มิกก็จีบฉันออกหน้าออกตาซะด้วย แล้วแกจะให้ฉันยัดเยียดผู้หญิงไปให้มันตอนนที่มันพยายามจีบฉันเนี่ยนะ เลวตายห่า"
   “ต๊าย ไอ้นัท กล้าคิดเนอะ ที่แกทำไปนั่นก็เลวพอกันแหละ" สาว่า
   “แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกว่า มาจนป่านนี้แล้วยัยฟ้าอาจจะมีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้วก็ได้" นัทว่าพลางยักไหล่ "แล้วมาตอนนี้ไอ้มิกก็....”
   “อะไร....มิกอะไรเหรอ" สาทำตาเบิกกว้างมาหานัททันที
   “โอ๊ยนี่ อย่ามามองฉันเหมือนกับว่าฉันมีอะไรจะบอกอีก ไม่มีโว้ย" นัทโวย "ก็แกเพิ่งบอกฉันว่ามันกับน้องเอิร์ธคบกัน ก็ไม่น่าจะมีอะไรหรอกมั้ง"
   “แต่มันก็น่าแปลกอยู่นะ" สาว่าพลางกอดอก "ยัยฟ้าก็เข้ามาได้จังหวะเป๊ะเลย ไอ้มิกประสบความสำเร็จพอดี"
   “ต้องการจะสื่ออะไรป่ะเนี่ย" นัทถามเสียงสูง
   “ก็เปล่าหรอก แต่ว่า แหม จะมีใครรอที่รอใครซักคนได้ตั้งสี่ปีน่ะจริงไหม" สาพูดทันที นัทหลบสายตาลงแว้บหนึ่ง ก่อนจะดึงอารมร์ปกติขึ้นมา
   “ก็คงมีแหละ" นัทพูดเบาๆ
   “เอ่อแล้วนี่เรื่องแกกับคุณกา.....”
   “ไม่มีอะไรแล้ว" นัทลุกขึ้นพรวดพราดไปยังเครื่องปรินท์ทันที "จบแล้วงานแล้ว เขาไปแล่ว"
   นัททำน้ำเสียงติดตลก ขณะที่สารีบดึงตัวนัทมาประจันหน้ากับตนทันที เธอจ้องเข้าไปในตาของนัท หมายว่าจะได้เจอแววตาเศร้าหมองที่พยายามหลบตาของเธอ แต่ทว่าไม่มีเลย นัทมองตาของสากลับพร้อมเลิกคิ้วกว้าง
   “อะไร ทำไรเนี่ย" นัทถามเธอด้วยเสียงที่ปกติที่สุด
   “ก็.....ปล่าว ก็....จะเช็คว่า....แกปกติไหมเรื่องคุณกาย" สาค่อยๆพูด เผื่อว่านัทจะไม่ปกติ
   “ฉันไม่เป็นไรแล้ว" นัทว่าพลางยิ้มให้สา
   “จริงนะ" สาถามย้ำ
   “จริงๆ" นัทว่า "ฉันไม่เป็นไรจริงๆเว่ย....เค้าไปแล้ว"
   “แล้วเค้าไปไหนล่ะ" สาถามเป็นจริงเป็นจัง เธออยากถามเรื่องนี้กับนัทมาหลายวันแล้วตั้งแต่จบงาน แต่ไม่มีโอกาสได้อยู่กับนัสองต่อสองซะที
   “ไม่รู้อ่ะ" นัทลดเสียงลงแต่ไม่ถึงกับเศร้านัก มันเป็นบทสนทนาปกติ
   “แล้วแกได้คุยกับเค้าหรือเปล่า"
   “ไม่อ่ะ"
   “เค้ามาบอกอะไรแกก่อนไปหรือเปล่า"
   “ไม่อ่ะ"
   “แล้วยัยเจนจิรามาอะไรกับแกอีกหรือเปล่า"
   “ไม่อ่ะ"
   “แล้ว....”
   “โอ๊ยนี่คุณเธอ...” นัทร้องขึ้น สาตกใจ "เรื่องมันจบไปแล้ว ฉันไม่มีอะไรจะเล่า กายเค้ามาที่นี่ก็แค่อยากจะมาทำงาน กับฉัน แล้วงานมันก็สำเร็จแล้ว จบงานแล้ว เค้าจะอยู่ที่นี่ทำไมล่ะ เขาเป็นฟีแลนต์นะ"
   สามองนัทอย่างไม่ไว้ใจขณะที่นัททำหน้าเบ้พลางเท้าเอว
   “เอาอย่างนี้ดีก่า" นัทเผยอปาก "แกอยากรู้เรื่องอะไรกันแน่ ถามมาเลยอ่ะ อยากวิเคราะห์ฉันนักก็"
   สาเม้มปากพลางมองไปทั่วร่างกายนัท
   “เอาตรงๆมะ" สาถาม
   “เอาตรงๆครับ" นัทรับคำ
   “แกเลิกกับเค้าเหรอ" สาถามพลางกัดริมฝีปากทันที เธอหวาดกลัวอารมณ์ของนัทมาก ไม่แน่ว่าคำถามนี้อาจจะทำให้นัทน้ำตาตกไปเลยก็ได้ แต่ทว่าสาพบเพียงแค่นัททำคอตกเหมือนคนพลาดรอบรถเมล์เท่านั้น
   “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่มั้ง" นัทพูดเบาๆ "มันก็เอ่อ......ไม่รู้จะพูดยังไงอ่ะ ก็...ใช่ว่าเค้าจะไปจากฉันไม่ดีน่ะ....คือไม่ได้หมายความว่าเขาไปดีแล้ว....แต่แบบ....ก็เข้าใจ......ที่เขาไปอ่ะ"
   สายังคงเม้มปากมองนัทอีก
   “จะถามอีกอ่ะ" สาเหยปาก นัทหัวเราะเบาๆ พลางยักไหล่ "เกี่ยวกับยัยเจนจิรานั่นหรือเปล่า"
   นัทส่ายหัวเบาๆทันที กะแล้วว่าสาต้องถาม
   “ทำไม ถ้าฉันตอบว่าใช่ แกจะไปเด็ดหัวเขาหรือไง" นัทถามพลางยิ้มกว้าง
   “เอาจริงนัท ฉันเป็นห่วงแกนะ" สาว่า
   “ไม่หรอก" นัทลากเสียงยาว "คุณเจน เขาไม่ได้มาอะไรกับฉันแล้ว พองานเลิก ก็แยกกัน"
   “แล้วไหนวันนั้นแกบอกกับเขาจะต้องคุยกันอีกไง" สาถาม
   “ก็....ตอนนั้นก็ว่าจะคุย แต่ก็ ไม่ได้คุยแล้ว" นัทตอบ "เขาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องของฉันกับกายเลยเว่ย ฉันสาบานได้ โอเค ตอนนั้นฉันอาจจะอึดอัดเพราะยัยนั่นแต่ ฉันก็มาเข้าใจว่า....มันไม่เกี่ยวกันเลย"
   สามองนัทอย่างนิ่งเงียบ นัทขมวดคิ้วให้เธอ
   “ไม่เอาน่าสา แกก็เป็นคนบอกฉันเองว่า ยัยนั่นก็ตั้งป้อมกับทุกคนนั่นแหละ นั่นเป็นเรื่องจริงที่ฉันเพิ่งมาเข้าใจน่ะ" นัทว่า "สบายใจยัง"
   สานิ่งเงียบไปพักนึงก่อนจะถอนหายใจ ก่อนจะเดินมาหานัท
   “ทำไมไม่เล่าให้ฟังกันล่ะ" สาพูดพลางแตะไปที่แขนเพื่อนรักของเธอ "แกคงจะเสียใจมากเลยสินะตลอดเวลาที่ผ่านมา"
   นัทมองหน้าเธอ สายตาเขาเริ่มมีความเศร้าเข้ามาบ้าง
   “มันก็...นะ" นัทยิ้มเบาๆให้เธอ "ใช่...ฉันเอ่อ....ฉันเสียใจ"
   สายิ้มน้อยๆให้นัท ก่อนจะดึงนัทเข้ามากอดไว้แน่น นัทกอดเธอตอบ กอดด้วยความรู้สึกรักเพื่อนของเขาคนนี้จับใจ
   “ฉัน ฉันไม่เป็นแล้วเว่ย" นัทพูดด้วยเสียงที่พยายามไม่ให้มันสั่น "ฉัน ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ"
   นัทกลับตาสนิท ขณะที่สาลูบไปทั่วแผ่นหลังของนัทเบา
   “ถ้าปกติแล้วจริงๆฉันก็ดีใจเว่ยนัท ฉันกับมิก เราสองคนห่วงแกมากนะเว่ยที่แกปิดมือถือไปวันนั้น" สาพูดอยู่ในอ้อมกอด "พวกเราคิดว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าเหมาะไหมที่จะเข้ามาอยู่ตอนที่ต้องเคลียร์กัน"
   “อืม....ก็นะ ก็จบแล้วล่ะ จบแล้วจริงๆ" นัทพูดก่อนจะผละออกจากเธอ สามองเห็นัยน์ตาของนัทมีน้ำเอ่อคลอก็รู้วึกไม่สบายใจ แต่ทว่านัทก็รีบเช็ดมันและยิ้มกว้าง "ไม่เป็นไร ฉัน.....ฉันมีความสุขดี"
   สาถอนหายใจอีกครั้ง
   “แกจะไปลาวกับฉันไหมล่ะ" สาถามขึ้น
   “จะดีเหรอ ลูกค้าไม่ได้...." นัทถาม
   “ลูกค้ามางาน BAD ถ้าแกไปด้วยเค้าอาจจะรู้สึกเหมือนได้โปรโมชั่นซะอีกน่ะ" สาว่า "และที่สำคัญฉันอยากให้แกไป หนึ่ง แกจะได้พักผ่อน แบบจริงๆจังๆ และสอง ฉันก็จะได้ลูกมือด้วยไง"
   “เอางั้นเหรอ" นัทถามเธออีกครั้ง
   “เอางั้นแหละ" สาพูด
   “แล้วไอ้มิกล่ะ" นัทถามอีก
   “เห็นว่ามันก็ไม่ว่างน่ะ" สาตอบ "มันไม่ไปหรอก เชื่อสิ มีอะไรดึงมันอยู่ที่นี่เหอะ"
   นัทยิ้มให้เธอ ก่อนจะคิดถึงการเดินทางสบายๆไปยังเมืองเล็กๆ มันก็น่าสนุกอยู่เหมือนกันนะ
   “โอเค ฉันตกลง" นัทตอบ "ฉันจะไป"
   สายิ้มให้นัทก่อนจะตบไล่เพื่อนหนึ่งที
   “ออกเดินทางวันศุกร์นะ เตรียมตัวล่ะ แล้วเดี๋ยวฉันโทรหา"สาว่าพลางเดินกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง นัทยิ้มให้กับหลังเธอ ก่อนจะจับเข้าที่โทรศัทพ์อีกเครื่องที่ยังอยู่ในกระเป๋าของเขา มันยังเปิดอยู่เผื่อว่าเจ้าของเครื่องจะอยากได้มันคืน แล้วโทรกลับมาที่เครื่องนี้ เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แล้ว เขาก็แค่หวังเอาไว้เล็ก เล็กมากๆจริง
   มันไม่มีอะไรต้องคิดมากนักในสตูดิโอแห่งนี้ ในวันสบายๆแบบนี้....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28/1) - 31/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-10-2011 14:31:56
เพราะรักทำให้เป็นทุกข์  สารพัดความทุกข์ที่เกิดจากความรัก
ทั้งหึง หวง ห่วง ไม่มั่นใจ  หวาดกลัว  ไม่กล้าแสดงออก
ถ้ารักแล้วเป็นแบบนี้  ไม่ต้องรักดีกว่า  เฮ้ออ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-11-2011 00:01:24
…...
   และแม้แต่ในมื้ออาหารที่ควรจะดูปกติ มันกลับกลายเป็นว่ามีอะไรต้องคิดมาก ในวันสบายๆแบบนี้
   “อื้อ ใช่ๆ ก็เดี๋ยวก็ค่อยเจอกันก็แล้วกันฟ้า" มิกพูดใส่โทรศัพท์ และยิ้มกว้าง ขณะที่มืออีกข้างเขี่ยข้าวแกงอย่างละเลียด "อื้อๆ พอดีเรากินข้าวอยู่อ่ะ …..........อ่าหะ …......อื้อ คิดถึงเหมือนกัน บายๆ"
   มิกวางหูโทรศัพท์ไปก่อนจะยิ้มส่งท้ายให้โทรศัพท์อีกหนึ่งครั้ง เอิร์ธมองหน้ามิกครั้งหนึ่งก่อนจะนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวแกงต่อไปอย่างเงียบเชียบ ขณะที่มิกเพิ่งจะเริ่มต้นกินอาหารของตัวเองเป็นคำแรก
   เอิร์ธวางช้อนส้อมตัวเองลง เด็กหนุ่มล้วงตังค์ออกมาสี่สิบบาท พลางวางลงบนโต๊ะก่อนจะลุกขึ้น
   “อ้าว เห้ย จะไปไหน" มิกเงยหน้าขึ้นถาม
   “กลับออฟฟิศ" เอิร์ธตอบห้วนๆ มิกขมวดคิ้ว
   “เป็นไรวะ" มิกถามต่ออีก
   “ก็พี่ไม่อยู่ตอนบ่ายแล้วไม่ใช่ไง?" เอิร์ธว่า
   “อ๋อ....ก็ใช่" มิกตอบ เพราะเมื่อซักครู่นี้ เขาได้นัดแนะกับฟ้าทางโทรศัพท์ว่าจะออกไปวาดรูปข้างนอกด้วยกันที่สะพานวงแหวน "แล้วไงอ่ะ"
   “ก็....ผมก็กลับไงพี่" เอิร์ธว่าพลางออกเดิน มิกคว้ามือของเอิร์ธไว้ทันที
   “เห้ยเป็นไร" มิกถามอีก
   “เปล่า" เอิร์ธตอบเสียงเข้ม มิกงงงันมากขึ้นไปอีก ตอนนี้ใบหน้าของเอิร์ธไม่ต่างอะไรจากคนที่กำลังหงุดหงิดเพราะมีคนมาหาเรื่องก็ไม่ปาน มิกไม่เชื่อสิ่งที่เอิร์ธตอบแน่นอน
   “หงุดหงิดไรก็บอกดิ" มิกว่า "เห็นเป็นมาหลายวันแล้ว"
   “ผมไม่ได้เป็นไรพี่" เอิร์ธพูดเสียงเข้มใส่มิก "พี่ไม่เข้าใจเหรอ"
   “เอ้า" มิกพูดพลางปล่อยมือตัวเองลง เอิร์ธออกหน้าเดินทันที
   “แล้วกลับไงวะ" มิกตะโกนถามไป
   “ถ้าพี่ไม่ว่างแล้วก็ไม่ต้องถามถึงผมหรอก ไปเหอะ" เสียงเอิร์ธดังตอบมาก่อนจะหายไปพร้อมกับตัว มิกส่ายหน้าช้าๆอย่างหงุดหงิดระคนสงสัย แน่นอนว่าธรรมชาติของหนุ่มอาร์ทตามใจตัวเอง อารมณ์หงุดหงิดมาก่อนอยู่แล้ว
   มิกนั่งนิ่งกินข้า;จนหมดไปหลังจากนั้นก่อนจะคิดเงินและออกจากร้านข้าวแกงไปโดยไว ควบไอ้เต่าทองบึ่งไปยังปั้มเชิงสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม เขานัทฟ้าไว้ที่ปั้มนี้ ก่อนจะปรีไปยังมุมดีดีที่จะวาดรูป
   ไม่กี่นาทีต่อฟ้าปรากฎตัวเจอกับมิกในชุดสบายๆออกแนวอาร์ท รวบผมยาวตรงที่ออกจะชี้ฟูของเธอขึ้นไปไว้บนหัว แบกเอาแคนวาสเคลื่อนที่มาด้วยมือข้างหนึ่ง กับย่ามที่มิกเดาว่าคงเป็นอุปกรณ์วาดเขียนนานาชนิด มิกยิ้มให้เธอครั้งหนึ่ง
   “ทำไมมาสายล่ะ" มิกชี้หน้าเธอหนึ่งครั้ง
   “เรื่องมันซับซ้อนน่ะ" เธอส่งรอยยิ้มเป็นประกายให้ ก่อนจะมองไปรอบๆตัวมิก "อ้าว แล้วน้องที่บอกว่าจะพามาทำงานล่ะ"
   มิกยิ้มแห้งๆ
   “เรื่องมันซับซ้อนน่ะ" มิกว่า ฟ้าเอียงคอเล็กน้อย
   “ทำหน้าเซ็งแบบนี้นี่ ไม่สบายใจอะไรล่ะสิ" ฟ้าว่า
   “ช่างเหอะ ไปวาดรูปกันดีกว่า" มิกว่าพลางเดินนำฟ้าไปยังจุดที่มองเห็นสะพานได้ดีที่สุด ทั้งคู่นั่งลงก่อนจะเริ่มจมไปกับภาพวาดของตัวเอง
   เป็นเวลาที่แสนมีความสุขที่สุดของมิกที่ได้มานั่งวาดรูปแบบนี้อีกครั้ง เขาคิดถึงการทำงานศิลป์แบบนี้มาก เขาไม่อยากเรียนจิตรกรรม มันอาจทำให้เขาลำบากในการหางานทำอยู่ เขามักจะเ้นไปในทางดีไซน์มากกว่า แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่มีฝีมือทางนี้ มิกมีผลงานที่ติดตาคนในวงการอยู่หลายภาพ แม้ไม่ได้รับการฝึกฝน เขาก็ยังมีฝีมือที่ดีอยู่
   “สวยจังเลยมิก ฝีมือไม่ตกเลยนะ" ฟ้าทักขึ้นหลังจากผ่านไปราวๆสองชั่วโมง
   “โหย นี่ก็ชุ่ยมากเลยนะ" มิกว่า
   “ไม่หรอก สัดส่วนยังเป๊ะอยู่เลยนะ" ฟ้าว่าพลางมองไปยังรูปของมิกอย่างชื่นชม "เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน ที่เว้นไว้นั่นอะไรอ่ะ.....โครงคนนี่ จะวาดใครอ่ะ"
   “เปล่าๆ ไม่มีอะไร" มิกว่าพลางพับเก็บกระดานตัวเองทันที
   “อั่นแน่ จะวาดใครอ่ะ มีสองคนด้วยนี่ แอ๊ะ แอ๊ะ" ฟ้าแซวมิกทันที
   “บ้า....ไม่มี" มิกพูดพลางอมยิ้ม "ไหนๆ เอาของตัวเองมาดูบ้างดิ"
   มิกพูดพลางชะเง้อไปดูของฟ้า
   “เห้ย เดี๋ยวนี้มีลงสีสัน" มิกพูดวิจารณ์งานของฟ้า ที่สะบัดสีลงไปจนทั่ว แต่ก็มองออกว่าเป็นภาพอะไร "เห็นเมื่อก่อนก็ดาร์คอย่างเดียวเลย"
   “โอ๊ย มันก็ต้องเปลี่ยนกันบ้างแหละน่า" ฟ้าว่าพลางอมยิ้ม
   “เปลี่ยนแนววาดรูปแบบนี้นี่แสดงว่า....มีความรักอ่ะดิ" มิกแซวกลับ
   “บ้า....ไม่มี" ฟ้ายิ้มกริ่ม "จะไปมีกับใครเล่า"
   “ถามจริง ผ่านมาสามปีแล้วเนี่ย แกมีแฟนยังวะ" มิกถามเธอตรงๆทันที ฟ้าเงียบไปพักนึง ก่อนส่งสายตาหามิกเป็นประกาย
   “ก็....มีคนที่ชอบอยู่แล้วล่ะ" ฟ้าตอบ
   “โห...อยากเห็นหน้าไอ้คนนั้นจัง แม่งต้องเก๋าเกมส์น่าดู" มิกว่า
   “ทำไมล่ะ" ฟ้าขมวดคิ้ว
   “ก็ถ้าจะเข้าใจคนอย่างฟ้าได้นะ มันต้องล้ำลึกมากอ่ะ" มิกตอบ
   “แหม ก็ถ้าฟ้าจะคบใครซักคนนะ คนคนนั้น ก็จะต้องคิดอะไรเหมือนๆกับฟ้า แล้วก้เข้าใจฟ้าอยู่แล้วล่ะ" เธอยิ้มตอบ "แล้วมิกล่ะ มีแฟนหรือยัง"
   มิกมองหน้าฟ้า ภาพของเอิร์ธแว้บเข้ามาในสมอง
   “มี" มิกตอบเบาๆ
   “เห้ย จริงเหรอ" ฟ้าพูดพลางเขย่าตัวมิก "ใครอ่ะ พระเจ้า คงเป็นคนที่น่าอิจฉามากๆ"
   “ไม่ขนาดนั้นหรอก" มิกพูดแก้เก้อ
   “ไอ้รูปที่วาดนี่ก็เป็นมิกกับแฟนใช่มะ ต้องใช่แน่ๆเลยอ่ะ" ฟ้าร้องเสียงดัง "ใช่ไหมมิก ใช่ไหม"
   “อา....ช่างเหอะน่า" มิกพูดปัด "รีบวาดให้เสร็จเหอะเดี๋ยวจะเย็น"
   “ฟ้ารอแสงตอนเย็นอยู่อ่ะ" เธอตอบ "อีกประมาณครึ่งชั่วโมงอ่ะถึงจะเก็บรายละเอียด"
   “อ่าหะ แต่เราจะลงเอ้าท์ไลน์ไว้ก่อนอ่ะ เดี๋ยวจะมาเก็บรายละเอียดอีกที" มิกพูด
   “มิกจะมาอีกเหรอ" ฟ้าถาม
   “ช่าย เราไม่ค่อยอยากเร่งรูปให้เสร็จอ่ะ เราอยากค่อยๆวาดไป" ​มิกพูด พลางมองออกไปยังสะพาน
   “อ่อ....งั้นเอาอย่างนี้ไหมล่ะ ทุกๆเย็นวันเสาร์ เรามาเจอกันที่นี่ แล้วก็วาดรูปที่นี่ ถ้ารูปที่นี่เสร็จแล้วเราก็นัดกันที่อื่นอีก เหมือนตอนเราทำชมรมไง" ฟ้าว่า
   “อืม ก็ได้นะ ดีเหมือนกัน จะได้กลับมาทำอะไรที่ชอบอีก" มิกพูด
   “ฟ้าก็เหมือนกัน" หญิงสาวยิ้มกว้าง "ฟ้าก็จะได้กลับมาเจออะไรที่ชอบเหมือนกัน.....งั้นคราวหน้าอ่ะ มิกพาแฟนมิกมาด้วยสิ ฟ้าอยากเจอ"
   “จะดีเหรอ" มิกเหยปาก เพราะอันที่จริงฟ้าก็เกือบจะเจออยู่แล้ว ถ้าเอิร์ธไม่งี่เง่าขึ้นมาซะก่อน เพราะมิกกะจะให้เอิร์ธมาพบกับฟ้า เพื่อให้เป็นที่ปรึกษาเรื่องโปรเจ็คการฝึกงานของเอิร์ธอีกคน
   “ดีสิ" ฟ้าตอบ
   “งั้นฟ้าก็พาคนที่ฟ้าชอบมาด้วยสิ" มิกย้อนกลับบ้าง
   “โหย เขาไม่มาหรอก" ฟ้าพูด "แค่จะบอกเค้าอ่ะ ฟ้ายังไม่กล้าเลย"
   “จริงดิ" มิกพูด "เอ่อ...เราก็เคยเป็นนะ สมัยเรียน เราแอบชอบเพื่อนอยู่ ไม่เคยกล้าบอกเลยอ่ะ เพิ่งมาบอกตอนทำงานแล้ว ฮ่าฮ่า"
   “เหรอ ใช่คนนี้หรือเปล่า" ฟ้าถาม
   “ไม่ใช่อ่ะ คนนั้นเขามีคนอื่นไปแล้ว" มิกว่า
   “เหมือนฟ้าเปี๊ยบเลย" เธอยิ้มกว้าง "สมัยนู้นฟ้าก็....แอบชอบ...เพื่อนคนนึงอยู่เหมือนกัน ยังไม่เคยได้บอกจนถึงตอนนี้ แถมตอนนี้เขาก็มีคนอื่นไปแล้วด้วย"
   “ดราม่าเลยฟ้า" มิกพูดเสียงติดตลก
   “นั่นสิ" ฟ้าหัวเราะร่วนก่อนจะกลับไปนั่งวาดรูปต่อ "ถ้ามิกอยากกลับก่อนก็ได้นะ ฟ้าอยากจะอยู่ต่ออีกหน่อย"
   “เห้ย ไม่เป็นไร วาดต่อก็ได้ เดี๋ยวเราไปส่ง" มิกว่า
   “ไม่เป็นไร มิกกลับไปเหอะ เชื่อฟ้าสิ" เธอยิ้มให้กับรูปภาพของเธอ
   มิกเหมือนจะเข้าใจในอะไรบางอย่าง
   “เอ่อ....งั้น....เรากลับก่อนนะ" มิกพูดพลางเก็บข้าวของ
   “อื้อ....กลับบ้านดีดีนะ" ฟ้าหันมายิ้มให้เขา ก่อนจะกลับไปนั่งวาดรูปตามเดิม
   มิกลุกขึ้นจากที่นั่ง พลางเดินจากมา เขามองไปยังฟ้าแว้บหนึ่งก่อนจะทิ้งเธออยู่กับภาพวาดเพียงลำพัง
   หญิงสาวก้มหน้าลง น้ำตาเม็ดใสๆไหลอาบหน้า เปื้อนรอยยิ้มที่อยู่เบื้องหน้าของรูปภาพ มือน้อยๆป้ายสีดำลงบนผืนแคนวาสอย่างไม่รู้สึกตัว จนในที่สุด สีสันทั้งหลาย ก็เหมือนจะกลับมามืดลงอีกครั้งหนึ่ง
….............
   มิกกลับเข้ามาในสตูดิโอได้ทันเวลาก่อนเลิกงาน นัทและสาหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว
   “ไปไหนมาอ่ะ" นัทถามขึ้น
   “อ๋อ ไปวาดรูป" มิกตอบพลางเดินมาที่โต๊ะ ก่อนจะวางของทุกอย่างลง
   “ไปกับฟ้าอ่ะเหรอ" สาถามต่อ
   “อ่าหะ" มิกรับคำก่อนจะหายเข้าไปในครัว พลางหยิบน้ำมาดื่ม "มีอะไรเปล่า"
   “พวกฉันต้องถามแกต่างหากว่ามีอะไรเปล่า" นัทถามมิกที่นั่งลงอย่างสบายอารมณ์
   “หือ" มิกหมุนเก้าอี้มาหานัทเมื่อรู้สึกว่าน้ำเสียงและสายตาของเพื่อนรักทั้งสองดูแปลกๆ "ทำไมฉันถึงจะมีอะไร วันนี้ก็ปกติดีนี่ ไม่มีอะไร สบายๆอ่ะ"
   “เหรอ" สาค่อยๆพูด
   “ทำไมเหรอ" มิกเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว
   “ไม่มีหรอก" สาหันมามองหน้านัทที่เลิกคิ้วกว้าง
   “แล้วมีไรกันป่ะเนี่ย" มิกถามทั้งคู้
   “อ๋อ ไม่มีไรหรอก" นัทชิงตอบก่อนแม้ว่าสาจะยังคงมองหน้ามิกอยู่ "จะบอกว่าฉันกับสาจะไม่อยู่อาทิตย์นึง จะไปลาว ฉันอยากจะไปด้วยน่ะ"
   “อ้าว ทิ้งฉันหมดเลยซะงั้น" มิกพูด "อยู่กับไอ้เอิร์ธสองคนก็ได้วะ"
   เหมือนว่าคำพูดของมิกทำให้ทั้งห้องเงียบสนิทลง ทันที มิกรู้สึกถึงความเงียบที่เข้าปกคลุมอย่างประหลาด มิกมองไปรอบๆที่สาและนัทมองเขานิ่ง
   “ฉันว่าแปลกๆและ มีไรกัน" มิกถามทันที "เกี่ยวกับเอิร์ธหรือเปล่า"
   สามองหน้านัทครั้งหนึ่งก่อนจะหยิบอะไรบางอย่างมาให้มิก เขารับมันมา มันเป็นสมุดรายงานเล่มหนาๆที่จ่าหน้าตราของมหาลัย เป็นสมุดรายงานผลการฝึกงานของเอิร์ธ
   “อ่อ...เออใช่ ฉันก็ว่าจะถามมันเรื่องเล่มนี้อยู่ ฉันต้องเขียนให้มันน่ะ" มิกว่าพลางเปิดออกอ่าน
   “น้องมันจะไปแล้วนะ" สาพูดขึ้นทันที
   “ไป?..... ไปไหน" มิกถามขึ้นทันที
   “145 วัน" นัทพูดขึ้น "เวลาฝึกงานของเจ้าเอิร์ธไง"
   “นายคงไม่คิดว่ามันจะอยู่เป็นลูกน้องเราตลอดไปหรอกนะ น้องมันเหลือปีสี่อีกปีน่ะ" สาพูด แม้ว่าใบหน้ายังคงซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้"
   “อะไรกันวะ อยู่มาตั้งนาน ไม่เห็นพูดเรื่องนี้ให้ฉันรู้เลย" มิกว่า พลางหยิบปากกา ออกมาเริ่มเขียนรายงานลงไปในสมุดนั่น "ฉันเองก็ลืมนึกไปเหมือนกัน แล้วนี่มันไปไหนเนี่ย เรียกมันมคุยหน่อยดิ๊ เห็นแม่งเหวี่ยงใส่ฉันตั้งแต่เที่ยงแล้ว"
   “นั่นไง!!!” สาปบมือเผาะ ขณะที่นัทเหลือกตาขึ้นทันที "ว่าแล้วเชียว"
   มิกหันควับมาหาทั้งคู่ทันที
   “อะไรวะ" มิกถามขึ้น โดยมือยังถือปากกาค้างอยู่
   “แกทะเลาะกับมันนี่" สาพูดทันที
   “ทะเลาะอะไร ไม่ได้ทะเลาะ" มิกพูดเสียงเข้ม "แม่งชวนฉันทะเลาะเองต่างหาก ว่าจะนัดไปหาฟ้า ให้เขาเป็นวิทยากรพิเศษช่วยมันเรื่องโปรเจ็ค Loveless Societyที่ให้มันทำเนี่ย แม่งเป็นห่าไรไม่รู้ หงุดหงิดใส่ฉันแล้วก็กลับมานี่เองเลย"
   “แค่นั้นเหรอ" สาถาม
   “แค่นั้นแหละ" มิกว่า
   “งั้นแกอ่าน อ่านดีดี" สาชี้ไปยังรายงานที่อยู่ในมือมิก มิกก้มหน้าลงอ่าน
   ในหน้าตารางตลอดเวลา 145 วันที่เอิร์ธฝึกงานอยู่ที่นี่ถูกเขียนเอาไว้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ว่าเอิร์ธทำอะไรลงไปบ้าง ถูกเขียนด้วยปากกาด้ามเกียว สีเดียวกันตลอดทั้งเล่ม และสิ่งที่เขียนลงวันนี้ก็คือ

   …..เตรียมตัวส่งคอนซัลด์โปรเจ็คไฟนอล.....

   “บ้า!!!” มิกร้อง "ไฟนอลเหี้ยไร งานยังไม่จบน่ะเว่ย"
   “งั้นเหรอ" สาพูด "เอิร์ธกลับมาถึงนี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าเล่มนี้ขึ้นมานั่งเขียนใหญ่เลย ชั้นก็นึกว่าแกสั่งก็เลยไม่ได้ใช้อะไรให้ทำรบกวน"
   “ไปกันใหญ่แล้ว" มิกว่า "ฉันลืมไปด้วยซ้ำว่ามันฝึกงานกับเราครบชั่วโมงแล้วหรือยัง ไม่เคยเห็นเล่มนี้เลยด้วย แล้ว...เหี้ย แม่งนับเวลาไปตั้งแต่เมื่อไหร่วะ"
   “ก็วันนี้ไง" นัทตอบให้ "น้องมันนั่งกางปฏิทินแล้วก็นับถอยหลังไปไง"
   “ดูท่าทาง มันคงอยากจะจบการฝึกงานกับแกขึ้นมาซะงั้น" สาพูดให้คำตอบ "เอาจริงๆไอ้เล่มนี้อ่ะ ถ้าที่ที่ไม่เข้มงวด อย่างเช่นที่ออฟฟิศเราอ่ะ เขียนเมคๆ เอาก็ได้ บางคนนั่งเขียนเอาก่อนเปิดเทอมโน่น เพราะยังไม่อยากกลับไปเรียนไง"
   “ก็ใช่อ่ะดิ" มิกว่า "ก็คนที่ทำแบบนั้นก็ฉันไง"
   “งั้นฉันจะถามอีกที" สาว่าพลางกอดอก "แกมีอะไรหรือเปล่า ในวันปกติสบายๆของแกเนี่ย"
   มิกก้มหน้าลงกับสมุดรายงานเล่มนั้น ก่อนจะกำหมัดแน่น
   “ชิบหายและ"
   เขาเก็บของทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะในเวลาไม่ถึงนาที และรุดออกจากสตูดิโออย่างรวดเร็ว สาและนัทมองหน้ากันครั้งหนึ่ง
   “ฉันว่าวันนี้จะไม่มีอะไรแล้วเชียวนะ" สาพูดพลางยิ้มให้นัท ที่เลิกคิ้วใส่เธอและหันกลับไปเล่นคอมต่ออย่างเพลิดเพลินใจ
…....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 01-11-2011 00:31:06
โอ๊วว สู้ๆนะมิก  สู้ๆนะคะ M2M_Jill
เกาะติดคนโพสเลยจ้าา
Go go mickey!!
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 01-11-2011 10:18:15
 :เฮ้อ: :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 01-11-2011 10:34:27
บื้อเป็นบางเวลานะ  มิก  อย่าบ่อยนักล่ะ  เบื่ออออ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 05-11-2011 14:52:26
กลับมาเถิดหนาคนดี ฮื๊อฮือ
รออยู่นะจ๊ะ

+อีกจึ๊ก
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 28 จบตอน) - 1/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-11-2011 15:12:21
นายมิกนะนายมิก :เฮ้อ:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 29 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-11-2011 15:20:46
บทที่ 29 I'm Fine

   มิกเปิดระตูบ้านที่ถนนเจริญกรุงอย่างดัง หากจะนับว่าเป็นการขับรถที่เร็วที่สุดในชีวิตของมิกก็ว่าได้ กับเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงจากออฟฟิศกลับมาถึงบ้าน ในเวลาที่รถติดขนาดนี้
   “เอิร์ธ" มิกร้องเรียกทันที "ไอ้เอิร์ธ"
   เสียงอันดังของมิกดังไปลั่นบ้าน แต่ทว่าไร้ซึ่งเสียงดใตอบกลับมา มิกมองไปรอบๆ อย่างเป็นกังวล
   “เอิร์ธ อยู่ไหนวะ" มิกร้องอีกที ก่อนจะเดินเข้ามาในบ้าน วางกุญแจรถ แล้วเดินออกไปยังชายน้ำ ร่างๆนึ่ง นั่งกอดเข่าอยู่ริวน้ำตรงนั้น มิกถอนหายายใจหนึ่งครั้งก่อนจะรุดลงไปนั่งข้างๆ
   “เรียกตั้งานไม่ขานวะ" มิกพูดพลางมองไปหาเอิร์ธที่มองไปยังสายน้ำยามเย็นอย่างแน่นิ่ง "เป็นไรคับ"
   เอิร์ธส่ายหน้าน้อยๆ ใบหน้าที่หล่อเหลานั้นนิ่งสนิท มองหน้าใสใสของเอิร์ธ ก่อนจะหันไปมองสายน้ำเช่นกัน
   “ปัญหาเกิดขึ้นกับพี่แล้วก็พี่นัทเยอะมากนะ" มิกพูดขึ้น "ส่วนใหญ่เกิดจากการไม่พูดกัน"
   เอิร์ธหันมามองหน้ามิกพลางเลิกคิ้ว
   “ทำไม" เอิร์ธขึ้นน้ำเสียง "พี่จะพูดอะไรมากขึ้นงั้นรึไง"
   เอิร์ธว่าพลางลุกขึ้นทันที
   “เห้ยไอ้เอิร์ธ แกเป็นไรของแกวะ" มิกลุกพรวดพราดตามทันที
   “ผมก็เป็นของผมงี้แหละพี่" เอิร์ธหันมาหามิกที่กำลังหัวเสีย
   “อย่าทำแบบนี้ใส่พี่ พี่ไม่ชอบ" มิกว่าทันที
   “ไม่ชอบก็ไม่ชอบดิพี่" เอิร์ธว่าพลางหันหลังกลับอีก
   “ไอ้เอิร์ธ" มิกคว้าแขนเอิร์ธทันที "อย่าหันหลังให้พี่"
   “พี่ต่างหาก หันหลังให้ผมอ่ะ" เอิร์ธว่า มิกขมวดคิ้วทันที
   “นี่แกหงุดหงิดเรื่องพี่กับฟ้าอ่ะดิ" มิกพูด "พี่บอกให้แกเข้าใจไว้ด้วยนะ ว่าฟ้ากับพี่ไม่ได้มีอะไรกัน"
   “ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้น" เอิร์ธว่า
   “แล้วแกเป็นบ้าอะไรเนี่ย" มิกพูดพลางล้วงเอาสมุดรายงานออกมา และวางลงตรงหน้าเอิร์ธ "แล้วนี่มันหมายความว่าอะไร"
   เอิร์ธมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ
   “ผมต้องไปแล้ว" เอิร์ธพูดเบา
   “ไม่เข้าใจว่ะ พูดบ้าอะไรของแก" มิกถามอีก
   “ก็ผมฝึกงานกับพี่มาสามเดือนแล้ว ครบเวลาแล้วไงล่ะ" เอิร์ธตอบ
   “แล้วทำไมก่อนหน้านี้ ไม่เห็นนายจะเป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องนี้เลย ไหงถึงจะมาอยากเลิกฝึกงานตอนนี้วะ" มิกพูดใส่หน้าเอิร์ธ "ใครอนุญาติ โปรเจ็คแกก็ยังไม่ได้ส่งฉันนะเห้ย"
   “พี่ก็ไม่เห็นจะอยากดูโปรเจ็คผมซะเท่าไหร่เลยนี่ เห็นออกไปแต่ข้างนอก รับงานโน่นนี่ พี่ยุ่งมากขึ้นแล้วนะ" เอิร์ธว่า "ผมจะส่งงานไฟนอลกับพี่วันศุกร์หน้า ไม่ว่าพี่จะอยากให้ผมส่งหรือเปล่า แต่ผมจะส่ง แล้วก็จบการชั่วโมงฝึกงานของผม"
   มิกจ้องหน้าเอิร์ธ ตาแทบถลน
   “แกเป็นเหี้ยอะไรของแกวะ" มิกเริ่มหมดอารมณ์
   “ผมไม่ได้เป็นอะไร พี่อ่ะแหละเป็นอะไร" เอิร์ธย้อนถามทันที มิกมองหน้าเอิร์ธ ที่มองมิกเหมือนไม่เคยเห็นเขามาก่อน
   “นายไม่เคยเป็นแบบนี้เอิร์ธ พักนี้นายเหวี่ยงใส่พี่อยู่ตลอดเวลา พี่ไม่ชอบนะเว่ย" มิกว่าทันที เอิร์ธหลับตา
   “ผม...ช่วงนี้ผมหงุดหงิดพี่" เอิร์ธว่า พลางถอนหายใจ
   “เรื่อง?” มิกถามต่อ
   “ก็หลายเรื่อง ผม...ผมมานึกขึ้นได้ว่าผมควรจะจบชั่วโมงฝึกงานกับพี่ได้แล้ว ผม...มันจะเปิดเทอมแล้ว" เอิร์ธว่าพลางหลบสายตา "ผม ไม่อยากรบกวนเวลาพี่อีกแล้ว แค่ทุกวันนี้พี่ก็ยุ่งมากพอแล้ว ผมมาอยู่กับพี่ทั้งคืนแล้วด้วย เวลากลางวันพี่ก็ควรได้เวลาสบายๆบ้าง"
   “แต่พี่ไม่ได้ขอ" มิกว่า
   “พี่ไม่ต้องขอหรอก ผมให้พี่เอง" เอิร์ธว่าพลางเดินไปยังครัว มิกส่ายหัวๆ
   “นั่นไม่ใช่ทั้งหมดอ่ะ แกมีอะไรก็บอกมาดีดีดีกว่าเอิร์ธ พี่ไม่ชอบว่ะแบบนี้อ่ะ อึดอัด" มิกว่า เอิร์ธยืนนิ่งทันที "มันไม่น่าอายหรอก ถ้าแกจะบอกว่าหึงพี่อ่ะ"
   เสี้ยววินาทีมิกรู้สึกว่าเหมือนเอิร์ธเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
   “พี่คิดได้ไงอ่ะ พี่คิดว่าผมหึงพี่จริงๆเหรอ ผมไม่ได้หึงพี่ซะหน่อย พี่จะไปไหนกับใคร มันก็สิทธิ์ของพี่ ผมจะไปหึงพี่ได้ไง มัน....." เอิร์ธหันมาโวยวายทันที มิกถึงกับต้องผงะถอยหลังเมื่อเอิร์ธ ใช้เสียงกรูเข้ามาใกล้ "ผมไม่ได้หึงพี่นะ....”
   “ไอ้เอิร์ธ" มิกคว้าหมับเข้าที่แขนของเด็กหนุ่มที่เงียบเสียงลงทันที ขณะมองเข้ามาในตาของมิก
   “ผมไมได้หึงพี่จริงๆนะ" เอิร์ธพูดใส่มิก ที่เอียงคอทันที
   “นี่แกไม่ปกติจริงๆด้วย ไอ้ลูกหมาเอ้ย" มิกว่าก่อนจะลากมิกกลับไปนั่งริมน้ำตามเดิม นั่งด้วยท่าทางเดิมๆ คือการจับมิกหันหน้ามาประชันกับตัวเองในท่าขัดสมาธิ
   “ผมไม่ได้หึงนะพี่มิก" เอิร์ธว่า
   “นี่แกไม่รู้จักวิเคราะห์ตัวเองอีกแล้วเหรอวะ สอนแล้วไม่จำ" มิกว่า
   เอิร์ธมองหน้ามิกนิ่ง
   “พี่จะบอกอะไรให้นะเอิร์ธ แกอ่ะมันเด็กดื้อตาใสมาก" มิกว่า "แกพยายามทำทุกๆอย่างด้วยการจับเอาทุกเรื่องมันมาเท่ากับกันให้หมดเลยใช่หรือเปล่า เรื่องบางเรื่องมันไม่ได้หมายความอย่างนั้นทั้งหมดหรอก"
   เอิร์ธยังคงมองมิกอยู่ มองด้วยสายตาที่เหมือนเด็กกำลังเริ่มเรียนอะไรบางอย่างใหม่
   “เอาล่ะ เรามาเริ่มกันใหม่ ช้าๆนะไอ้น้อง" มิกว่า "เรื่องสมุดนั่นอ่ะ ทำขึ้นมาทำไม"
   “ผม...”
   “ก่อนตอบอ่ะ คิดก่อน" มิกว่าพลางเลิกคิ้ว "เอาเรื่องจริง ไม่เอาอารมณ์"
   เอิร์ธมองมิกพลางกัดฟัน ก่อนจะหันหน้าไปทางอื่นทันที มิกเลิกคิ้ว
   “ผมประชด..พี่" เด็กหนุ่มตอบเบาๆ
   “อ่อ....” มิกผงะออก "แล้ว....ไงอีก"
   “ก็ ผมไม่รู้จะทำไงให้พี่เอ่อ.......สนใจผมบ้างอ่ะ...ก็เลย ทำเรื่องนี้ขึ้นมา" เอิร์ธว่า แม้ว่าใบหน้าเด็กหนุ่มตอนนี้ คิ้วแทบจะขมวดเป็นเลขแปดอยู่แล้ว
   “อ่า" มิกรับคำก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ
   “แต่ผมสาบานได้ว่าผมไม่ได้หึงพี่เรื่องพี่ฟ้านะ มันไม่ใช่เรื่องนั้น ผม ผม....ผมแค่...ผมแค่" เอิร์ธมองหน้ามิกก่อนจะขมวดคิ้ว และเมินไปทางอื่นอีก "ผม...แม่งอยากต่อยพี่ว่ะ"
   “อ้าว เหี้ย" มิกสบถ "ไหงงั้นวะ"
   “ก็พี่อ่ะ แม่ง.....” เอิร์ธว่า "พี่ทำอะไรไม่นึกถึงผมบ้างเลยเหรอ ผมทำอะไรให้พี่มาตั้งเยอะอ่ะ แคร์ผมบ้างดิ ผมห่วงพี่นะ"
   มิกแอบยิ้มในใจ
   “เดี๋ยวนี้อ่ะพี่ก็เอาแต่รับโทรศัพท์อ่ะ รับแม่งอยู่นั่นแหละ ก่อนหน้านั้นตอนวันงาน พี่ก็ทักคนเค้าไปทั่วงาน พี่รู้จักเค้าเหรอ ไม่เห็นมาหาผมบ้างเลยอ่ะ" เอิร์ธว่า "แล้วแม่งหลังจากนั้น คนก็เอาแต่โทรหาพี่ไปโน่นไปนี่ พี่ก็ไปใหญ่เลย พี่ฟ้าก็อีกคน"
   “เห้ยๆๆๆ พอก่อนให้โอกาสพี่แก้ตัวบ้างดิ" มิกว่าพลางชูมือป้อง "เป็นคนคิดเยอะนะแกเนี่ย"
   เอิร์ธคำรามในคอครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปอีกครั้ง
   “คอเคล็ดแล่ว" มิกว่าพลางกลั้นหัวเราะ
   “พี่หัวเราะผมเหรอ นี่พี่.....”
   “เห้ย พอแล้ว ขอโทษครับ" มิกว่าพลางจับเอิร์ธเขย่าตัว "จะฟังได้ยัง"
   เอิร์ธหันมามองมิก ทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่นาน ก่อนจะหยักหน้าน้อยๆ
   “เอิร์ธ แกเองไม่ได้ดูตัวแกเองเลยนะ แกเองก็ทำให้พี่ไม่พอใจเหมือนกัน ไอ้ตอนวันงานอ่ะ" มิกว่า
   “ไม่พอใจอะไรพี่ ผมช่วยพี่มาตั้ง....”
   “เงียบ แล้วฟัง" มิกชี้หน้าเอิร์ธอีกครั้ง "รู้แล้ว ว่าแกช่วยพี่ แต่แกเองก็เที่ยวหลงไปกับสาวๆในงานเหมือนกัน พี่ก็ไม่พอใจเว่ย"
   “โหยพี่ นั่นมันก็ปกติผมอ่ะ ผมอ่ะ มีคนมาติดเยอะแยะอยู่แล้วพี่ แต่ผม...”
   “ไม่ได้คิดอะไร" มิกว่าแทน เอิร์ธพยักหน้ารับ "แล้ว แกคิดบ้างป่าว ว่าคนอื่นเค้าคิด"
   “ผมก็เป็นผมเงี้ยอ่ะพี่" เอิร์ธว่า
   “งั้นแกมองมุมกลับ พี่ก็เป็นของพี่เงี้ย เหมือนกันอ่ะแหละไอ้เอิร์ธ" มิกว่าพลางยืดหลังตรง "พี่ไม่พอใจแกก็จริง แต่พี่ก็ไม่ได้เก็บเอามาคิดเว่ย แต่แกต่างหาก ไม่พอใจอะไรแล้วก็เอากลับมาคิดมาก เหวี่ยงใส่ พาคนอื่นเค้าแตกตื่นกันหมด"
   “ถ้าพี่ไม่พอใจอะไรพี่ก็บอกผมดิ ผมจะได้....”
   “อย่ามา อย่ามา แกไม่เปลี่ยนตัวเองหรอก" มิกว่า "พนันดิ"
   มิกก้มตัวลง
   “แต่ผมไม่ชอบ" เอิร์ธว่า "ที่ผมมาอยู่กับพี่ที่นี่อ่ะ ก็เพื่อให้พี่คอยดูแลผมนะ ไม่ได้ให้พี่หายไปไหนมาไหนกับคนอื่นนะพี่"
   “อย่าด่วนสรุปไปงั้นดิวะ พี่ไม่ได้รับปากแกนะเว่ย จำได้ป่าว" มิกว่า "ไอ้เอิร์ธ พี่จะดูแลแกเว่ย แต่หลังจากตอนนี้ไป ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปมาก มันอาจจะมีอะไรอะไรเข้ามาอีกเยอะแยะในชีวิตพี่ อย่างแกเอง แกก็กำลังจะเปิดเทอมแล้ว แกจะต้องทำโปรเจ็คจบน่ะเว่ย แล้วยังเรื่องแม่แกตอนกลับมา แกจะบอกพวกเขาว่ายังไงอีก คิดไว้ยัง"
   เอิร์ธก้มหน้าลง
   “ผม...ผมยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นอ่ะพี่" เอิร์ธว่า
   “เห้ย ไม่ได้ดิ" มิกว่า "ถ้าวันนึงปัญหามันเข้ามา แกต้องพร้อมรับมือนะเว่ย แกจะให้พี่คอยจัดการปัญหาให้แกตลอดไปอย่างวันนี้ไม่ได้นะ"
   “แต่ผมอยากอยู่กับพี่อย่างนี้ตลอดไปอ่ะ" เอิร์ธว่า "ไม่ได้เหรอพี่"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอย่างจริงใจ
   “ถ้า ไม่มีอะไรมาทำให้เรื่องของเราต้องพังลงไป" มิกว่า "พี่ก็อยากอยู่กับแกไปอย่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ"
   ทั้งคู่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น บางสิ่งจากดวงตาของทั้งคู่กำลังบ่งบอกกันเละกันว่า มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นเลย
   ไม่เลยซักนิด....
…..................
   "ยกอันนั้นด้วยค่ะ ใช่ค่ะ ขอบคุณมากๆค่ะ อ่า แล้วก็มีขาตั้งกล้องอีกอันค่ะ ใช่ค่ะ ระวังหน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ" เสียงของสากำกับพนักงานที่กำลังขนของของเธอขึ้นรถตู้ที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศในวันศุกร์ เธอยังคงมีพลังงานอันเต็มเปี่ยมในเช้ามืดวันนี้ หรือจะพูดให้ถูกก็คือพลังงานของวันก่อนของเธอยังไม่หมดลงนั่นเอง
   “ครับ ได้ครับ ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวไปเจอกันที่โน่นเลยก็ได้ครับ ครับดีครับ ขอบคุณมากครับ" นัทวางโทรศัพท์ลง ขณะที่สาเดินมาหาเขา
   “ว่าไง คุณไชยรัตน์ว่าไงแก" สาถามทันที
   “เค้าเนื้อเต้นเลยล่ะพอรู้ว่าฉันไปด้วย โทรไปจองที่พักให้ฉันเพิ่มทันทีเลยแหละ เค้าบอกให้เราขึ้นเครื่องไปลงที่สกลนคร แล้วต่อรถไปลาว" นัทว่าพลางยักไหล่ "เค้าบอกว่าไม่นึกว่าแกอ่ะจะพาฉันไปด้วย เพราะเขาไม่กล้ามาติดต่อฉันเพราะเห็นว่าตัวเองเป็นลูกค้ารายเล็ก"
   “เล็กบ้าบออะไร คุณไชยวัฒน์เป็นเจ้าของธุรกิจโฆษณาขนาดเล็กก็จริง แต่เขาเป็นคนแรกที่ไปเปิดตลาดที่ลาวนะ สองปีมานี่เขาครองเงินคนลาวไปเจ้าเดียวเลยด้วยในแวดวงโฆษณานี่อ่ะ" สาอธิบาย "ที่เขาจ้างฉันเพราะฉันคิดตัวเองถูกต่างหากล่ะยะ ตานี่เค็มจะตาย แล้วที่สำคัญนะ มานี่ๆๆ"
   สาลากนัทมาอยู่ใกล้รัสมีกระซิบของเธอ
   “เค้าลือกันว่าตานี่หัวงู ตอนแรกฉันจะเอามาร์คไปด้วย แต่เขาติดถ่ายแบบที่หัวหินน่ะ ฉันเลยเอาแกไปด้วยน่ะ" สาว่า
   “อ่อ ไม้กันหมาสินะ" นัทพูดใ่ส่เธอ สาหัวเราะแห้งๆ "เห้ยว่าแต่แกไหวป่ะเนี่ย แกรับมางานนี้งานที่สามแล้ว แกเดินทางตลอดเลยนะสา"
   “อ๋อ ฉันไหวแก ไม่เป็นไร น้ำขึ้นก็ต้องรีบตัก อย่างนี้แหละ ขอบใจที่ห่วงเว่ย" สาว่าพลางยกกระเป๋าส่วนตัวขึ้นรถ "ไปกันเหอะแก เดี๋ยวไม่ทันเครื่อง"
   “อ่าหะ" นัทว่าพลางขึ้นบนรถตู้ทันทีก่อนมันจะมุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อออกบินเฉพาะภายในประเทศ
   “คุณไชรัตน์บอกว่า นายแบบจะขึ้นเครื่องไปกับเราด้วย เขาจะจะเจอเรามีดอนเมืองน่ะ" สาว่าขณะอ่านข้อความในโทรศัพท์
   “นายแบบเป็นใครเหรอ" นัทว่า
   “น้องโอ๊ตน่ะ" สาว่า "น้องโอ๊ตที่เป็นนักร้องไง ที่ตอนนี้กำลังดังออก"
   “อ๋อ ว่าแต่ไปงานทำบุญใหญ่เนี่ยนะ ทำไมต้องมีนายแบบด้วยล่ะ" นัทถาม
   “มันจะเป็นภาพถ่ายแนวสารคดี คุณไชยรัตน์ตั้งใจจะให้งานภาพถ่ายของฉันชิ้นนี้เป็นสื่อกลางในการช่วยประชาสัมพันธ์ให้มีการไปลงทุนในลาวมากขึ้น น้องโอ๊ตจะมาเป็นพรีเซนเตอร์กึ่งนำพวกเราเที่ยวไปในหลวงพระบาง ซึ่งทั้งที่จริงแล้ว น้องเค้าก็ไปพร้อมเราครั้งแรกนั่นแหละ" สาสาธยาย "และพอดีว่าเขากำลังมีงานบุญใหญ่กันที่นั่น คุณไชยรัตน์ก็เลยอยากให้ฉันไปเก็บบรรยากาศที่นั่นเอาไว้ด้วย ฉันก็ว่ามันก็น่าจะสนุกดีนะ คอนเซปต์ถึงจะแอบเฟคๆ แต่มันก็โอเค"
   “อ่อ" นัทพยักหน้ารับ "น่าสนใจดีแหะ ดีเหมือนกัน ฉันก็จะได้ไปถ่ายรูปด้วยอีกคน"
   “อ่าหะ อ้อ แต่พอดีว่าแกตกลงไปกับฉันเพิ่มทีหลังอ่ะ แกไม่ได้ที่นั่งบนเครื่องติดกับฉันหรอกนะ แต่ว่าจะเป็นข้างๆกันถัดไปอ่ะ เพราะที่นั่งของฉันเป็นฉันกับน้องโอ๊ต" สาพูด
   “อ่าหะ ไม่มีปัญหาหรอก แค่ลูกค่าให้ฉันไปด้วยฉันก็ดีใจจะตายแล้ว" นัทว่า
   “ที่ออฟฟิศก็เหลือแค่สองคนสินะ" สาว่า
   “อ่าหะ แต่ก็คงไม่ได้อยู่เท่าไหร่ มิกบอกว่าเอิร์ธจะต้องจบโปรเจ็คแล้ว มันจะพาน้องออกไปตะลุยงานหนักเลยกับอาทิตย์ที่เหลือนี่" นัทอธิบาย
   “อ้าว ไหนว่าจะมีเรื่องกันว่ามันจะไม่ให้เอิร์ธมันจบโปรเจ็คง่ายๆ" สาถาม
   “ไม่รู้เหมือนกัน" นัทยักไหล่ สาพยักหน้ารับก่อนจะเริ่มเอนหลัง "โอ็ยยย เอาจริงๆฉันก็เหนื่อยอยู่หรอก เจ็ทแลกแน่ๆเลย"
   “จะเจ็ทแลกบ้านเธอสิ นั่งแค่ครึ่งชั่วโมง" นัทว่า
   รถตู้พาทั้งคู่มาส่งยังท่าอากาศยานดอนเมือง ทั้งสามจัดการกับการตรวจสอบตั๋วเครื่องบินและสัมภาระอยู่ครึ่งชั่วโมง พอดีกับที่ได้พบกับน้องโอ๊ต ที่มีสวมแว่นดำและทำลับๆล่อๆมาหานัทและสา
   “โหน้องโอ๊ต อดนอนมาเหรอคะเนี่ย" สาร้องทักก่อน
   “ปล่าวหรอกครับพี่ ผมหลบแฟนคลับน่ะ" โอ๊ตพูดขำๆขณะรอให้พนักงานตรวจสอบสัมภาระของตัวเอง
   “เอ่อนี่น้องโอ๊ต นี่พี่นัทนะ เป็นดีไซน์เนอร์อยู่ที่เอเจนซี่เดียวกับพี่ เดี๋ยวเขาจะไปกับเราทริปนี้ด้วยน่ะ" สากล่าวแนะนำ ขณะที่นัทเอื้อมมือไปจับมือทักทายศิลปินคนดัง
   “ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ" โอ๊ตกล่าว
   “เช่นกันครับน้อง" นัทยิ้มให้ รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อยที่ต้องร่วมทางไปกับคนดัง แต่ทว่าโอ๊ตก็ทำท่าทีเป็นมิตรกับนัทอย่างดี จนความรู้สึกคุ้นชินเริ่มเข้ามาแทนที่
   “เอ่อ แล้วทำไมเราไม่ขึ้นไปที่ลาวกันทีเดียวเลยล่ะพี่" น้องโอ๊ตถาม
   “เพราะว่าเราจะล่องเรือไปขึ้นที่หลวงพระบางกันน่ะสิโอ๊ต" สาว่า "เป็นเหมือนเอ่อ สัมผัสกับธรรมชาติอะไรอย่างนี้ไง"
   “อ่อ ดีเลยๆ ผมชอบๆ" โอ๊ตกล่าว
   “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังจังหวัดสกลนคร กับสายการบิน.......”
   “มาแล้วๆ ไปกันเถอะ" สาว่า ก่อนที่ทั้งสามจะรีบหยิบของและเดินไปยังประตูขึ้นเครื่อง
   นัทเดินตามสาและโอ๊ตไปด้วยความรู้สึกใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก แว้บนึงในใจเขาอยากจะบอกใครคนหนึ่งก่อนว่าเขาจะไปไหน เผื่อว่าใครบางคนจะตามหาเขา เขายังคงเอามือถือของใครบางคนติดตัวมาด้วย เผื่อว่าใครบางคนจะถามว่าเขาอยู่ที่ไหนเมื่อโทรกลับมา แต่นัทก็คิดว่าการที่เขามาเที่ยวทริปนี้ก็เพราะว่าต้องการให้ตัวเองได้ปลดปล่อยเรื่องต่างๆออกไป และเริ่มชีวิตใหม่กับตัวเองบ้าง ดังนั้นเรื่องของใครบางคน จึงเป็นอันดับท้ายๆที่เขาแทบไม่ได้ใส่ใจนึกถึงอย่างจริงจัง
   เครื่องบินเที่ยวนี้มีผู้คนไม่มากนัก สาและมิกได้ที่นั่งริมหน้าต่างที่อยู่เหนือเขาขึ้นไปหนึ่งแถว ขณะที่นัทนั่งตำแหน่งเดียวกันแต่รองลงมา เขาไม่ได้นั่งริมหน้าต่างหรอก เพราะมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว รู้สึกแอบหงุดหงิดเล็กน้อยที่ไม่ได้ที่นั่งติดหน้าต่าง เพราะเขาชอบที่ตรงนั้น มันเป็นความรู้สึกที่ดูเป็นส่วนตัวที่สุด นัทหยิบของทุกอย่างใส่ขึ้นชั้นเก็บเหนือศรีษะ พลางพูดคุยกับสาและโอ๊ตอย่างออกรสขณะที่ผู้โดยสารท่านอื่นๆกำลังประจำที่นั่งของตัวเอง นัทไม่กล้าทำอะไรเสียงดัง เพราะชายเจ้าของที่นั่งริมหน้าต่างดันนอนหลับสนิทและมีหมวดไหมพรมปิดหน้าตา
   “โห อีตานี่จะอดนอนมาจากไหนเนี่ย" สากระซิบที่ข้างหูของนัท ที่ทำหน้ามุ่ยใส่เธอ
   “นินทาซะขนาดนี้ เธอไม่ปลุกเขาขึ้นมาด่าเลยล่ะ" นัทว่า สาหัวเราะเล็กก่อนจะเข้าไปในที่นั่งของเธอ โอ๊ตยกที่นั่งริมหน้าต่างให้เธอ ในฐานะสุภาพบุรุษ
   นัทเก็บของเรียบร้อยแล้วพลางค่อยๆนั่งลงอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน ไม่กี่นาทีต่อมาสายการบินก็เข้าสู่ช่วงให้คำแนะนำผู้โดยสารเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยและการเตรียมพร้อมหากเกิดกรณีฉุกเฉินขึ้น นัทนั่งฟังขณะจิตใจเหม่อลอย เขาแอบมองไปยังหน้าต่างที่อยู่ถัดจากชายคนนั้นไป ขณะคำพูดของแอร์โฮสเตทดังผ่านหูไป
   เมื่อการให้ข้อมูลสิ้นสุดลง เครื่องบินค่อยๆเลื่อนตัวออกช้าๆ นัทจึงก้มลงค้นกระเป๋าทันทีเพื่อหาหมากฝรั่งมาเคี้ยว แต่ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เอาไว้
   “สา สา ฉันว่าฉันลืม....”
   “พี่นัท พี่สาหลับไปแล้วอ่ะ พี่นัทจะเอาอะไรหรือเปล่า รอเครื่องขึ้นก่อนดีไหมพี่" เสียงโอ๊ตตอบกลับมา นัทได้ยินดังนั้นก็ได้แต่ทำใจ ก่อนจะเอนตัวพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ เขาคงต้องกัดฟันหรือทำอะไรซักอย่าง
   “อ่ะนี่คุณ ผมมีอยู่อันนึง" ชายที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างยื่นหมากฝรั่งห่อนึงมาตรงหน้าของเขา นัทหันไปหาเจ้าของเสียงนั้น
   ใบหน้าคมคาย ดวงตาที่แดงก่ำเพราะความเพลียภายใต้คิ้วที่ดกดำหนา จมูกที่คมสันเรียวยาวอยู่เหนือริมฝีปากที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างเหนื่อยล้า
   “ค..คุณ...”
   “เคี้ยวซะสิคุณ เดี๋ยวหูคุณจะอื้อนะ นานๆไปมันจะไม่ดี" เสียงอันนุ่มนวลและแสนอบอุ่นที่สุดของนัทพูดขึ้นอีก นัทรับหมากฝรั่งมาไว้ในมือ
   “ก...กาย....”
   “ถ้าไม่ว่าอะไร ผมขอนอนก่อนนะ ผมเหนื่อยมากๆเลย" กายยิ้มให้นัทอีกครั้ง ก่อนจะกลับไปซุกตัวอยู่ในกองผ้าห่มที่หนาเตอะอีกครั้ง
   นัทไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะแกะหมากฝรั่งออกมา.....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 30 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-11-2011 15:23:22
บทที่ 30 Trick

   ความเงียบเข้าปกคลุมตลอดระยะเวลาเกือบชั่วโมงบนสายการบิน จนกระทั่งเครื่องบินจอดนิ่งสนิทลงที่สนามบินเมืองสกลนคร นัทยังคงนั่งนิ่งขณะที่สาและโอ๊ตเริ่มขยับตัวและหยิบสัมภาระออกจากล็อกเกอร์เหนือศรีษะ
   “อ้าวนัท เป็นไรแก เจ็ทแลกหรือไง" สาพูดติดตลก "ลุกได้แล้ว ถึงแล้ว"
   นัทมองหน้าเธอหนึ่งครั้ง สามองนัทกลับ เมื่อรู้สึกถึงอะไรแปลกๆ นัทหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปสะกิดร่างที่นอนหลับสนิทอยู่ริมหน้าต่าง
   “กาย ตื่นเถอะ ถึงสกลแล้วคุณ" นัทพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆแต่ชัดเจน สายกมือขึ้นปิดปากทันที
   “คุณพระ" เธอสบถเบาๆ ก่อนที่กายจะค่อยๆขยับตัว หมวกไหมพรมค่อยๆเลื่อนออกจากใบหน้า เผยใบหน้าที่หล่อเหลาแต่เหนื่อยล้าเอาไว้ ชายหนุ่มขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะหาวยกใหญ่
   “คุณกาย ตายจริงนี่คุณลงทุนมา.....”
   “คุณไชยรัตน์เชิญผมให้มาร่วมทำบุญด้วยน่ะคุณสา" กายพูดเสียงัวเงีย "ผมเพิ่งทราบเมื่อเช้ามืด ว่าคุณกับ....นัท....มางานนี้ด้วย หวัดดีโอ๊ต ไม่ได้เจอนานนะ"
   “ครับพี่กาย" โอ๊ตรับคำสั้นๆ นักร้องหนุ่มออกจะงงๆอยู่เหมือนกัน
   “อ้าวคุณ ลุกดิ ผมจะได้เอาของผม" นัทมองหน้ากายอยู่พักนึงก่อนจะลุกขึ้น เขาออกมาหยิบสัมภาระของตัวเอง
   “งั้นเอ่อ...ฉันไปรอข้างนอกนะ" สาว่า "เผื่อคุณไชยรัตน์จะมารอรับเราแล้ว"
   สายิ้มให้นัทครั้งนึง ก่อนจะลากตัวโอ๊ตออกไปด้วยอีกคน นัทยิ้มให้เธอครั้งนึงก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบของของตัวเอง ทันใดนั้นกายก็ใช้ร่างกายที่กำยำกว่า โอบตัวเขาทั้งตัวขณะเอื้อมมือขึ้นไปหยิบของที่อยู่บนล็อกเกอร์
   “ถ้าคุณเอื้อมไปไม่ถึง บอกผมก็ได้ ผมจะได้ช่วย" กายพูดใส่ร่างของนัทที่อยู่ภายใต้การโอบของเขา นัทหลบหน้าลง
   “ไม่เป็นไร" นัทว่าพลางกระชากกระเป๋าของตัวเองจนตกลงมา "กระเป๋าของผม ยังไงผมก็วางไว้ให้หยิบง่ายอยู่แล้ว"
   นัทพูดพลางเบี่ยงตัวเองออกจากอ้อมกอดของกาย
   “ผมไม่เคยวางของไว้ไกลเกินที่จะเอื้อมถึงหรอก" นัทพูดก่อนจะเดินจากไป
   กายหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   สนามบินสกลนครเป็นแค่อาคารสนามบินขนาดเล็กเท่านั้น อากาศที่สกลนครดีมาก นัท สาและโอ๊ต รวมถึงกายออกมาพบกับลมเย็นๆที่พัดต้องหน้าเบาๆ
   ด้านหน้าของอาคาร มีรถตู้จอดรอยู่ พร้อมกับชายหนุ่มวัยกลางคนที่ใส่เสื้อลายสก๊อตและกางเกงยีนส์ ท่าทางดูลูกทุ่งไม่น้อย
   “สวัสดีครับทุกคน ยินดีต้อนรับครับ มาเลทไปเยอะเลยนะครับเนี่ย" คุณไชยรัตน์กล่าวต้อนรับ
   “เครื่องบินคงหมุนวนอยู่หลายรอบมั้งคะ อรุณสวัสดิ์ค่ะคุณไชยรัตน์" สากล่าว
   “เรียกผมว่าพี่รัตน์ดีกว่านะคุณสา" เขาโปรยยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับเธอพลางเอื้อมมือไปจับทักทาย แต่สาก็รีบยกมือไหว้ทันที
   “งั้นสวัสดีอีกครั้งค่ะพี่รัตน์" สายิ้มให้เขา
   นัทและกายเดินตามออกมาทันที
   “อ้ากายสิทธิ์ นี่มาเที่ยวเดียวกันกับคุณสาเลยเหรอเนี่ย โห มากอดหน่อยไอ้น้องชาย" ไชยรัตน์กล่าวพลางวิ่งเข้าไปโผกอดกายทันที
   “โหหวัดดีพี่ นี่ไม่แก่ลงเลยนะเนี่ย" กายยิ้มกว้างให้พี่รัตน์ นัทมองทั้งคู่พลางหันไปมองสาที่ทำหน้าตาเหยเกใส่เขา กายสิทธิ์และไชยรัตน์ ดูเหือนจะสนิทสนมกันมากจริงๆ
   “มันแหงอยู่แล้วไอ้น้อง มันต้องฟิตปั๋งกันหน่อย ไม่งั้นจะไปสู้อะไรเด็กรุ่นๆอย่างแกได้ล่ะไอ้พ่อมด" พี่รัตน์กล่าวแซว
   “โหพี่ก็พูดไป" กายว่าพลางยิ้มกว้าง "แล้วนี่ยังไงกันครับพี่ มีงานอะไรเหรอ"
   “อ๋อ ก็พอดีว่าพี่ได้ยินมาจากเพื่อน ว่าคุณสาน่ะ เค้าเป็นช่างถาพที่มีฝีมือ พี่ก็เลยอยากให้เค้ามาช่วยทำเรื่องงานศิลป์นี่หน่อย แกก็รู้กาย ว่างานลงทุนนี้อ่ะ มันสำคัญกับพี่มาก" พี่รัตน์กล่าว "งานบุญครั้งนี้พี่ก็ว่ามันเจ๋งดี ชาวบ้านที่นั่นกำลังตื่นเต้นกันใหญ่ที่จะได้เห็นนายแบบของเรา"
   “เขารู้จักผมกันด้วยเหรอครับ" โอ๊ตพูดขึ้น
   “ชาวบ้านที่นั่นเขาฟังเพลงแล้วก็รับสื่อจากฝั่งไทยเยอะน่ะโอ๊ต เขารู้จักนายดีพอๆกับคนที่หนองคายนั่นแหละ" กายยิ้มให้โอ๊ตทันที
   “เนี่ย พี่ก็ดีใจมากเลยที่คุณสาเค้าได้ลูกมืออย่างคุณนัทมาด้วย ได้ยินว่าเขาเป็นดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ไฟแรงเลยไม่ใช่เหรอ" พี่รัตน์กล่าวำลางชี้ไปที่นัท นัทยิ้มกว้างพลางก้มหัวเล็กน้อย
   “ใช่ครับพี่" กายตอบ พลางมองไปหานัท "เขาเป็นคนที่เก่งมาก พี่วางใจได้เลย ผมเชื่อใจคุณนัทเต็มที่เลยแหละพี่"
   “ฮ่าๆ ดีดี" พี่รัตน์หัวเราะร่วน "งั้นเอ้าๆ เด็กๆ ขนของกันหน่อยเร็ว เดี๋ยวกว่าจะไปถึงหนองคายก็มืดค่ำกันพอดี ไปกันเถอะเด็กๆ ออกเดินทางกัน"
   พี่รัตน์โหนตัวเองขึ้นนั่งหน้ารถ สาสะกิดนัททันที
   “ตานี่ลูกทุ่งจริงๆว่ะแก แต่เห็นอย่างนี้เงินหนามาก" สาพูดลากท้ายเสียงก่อนจะยิบตาให้นัท กายหันมาหานัททันทีเมื่อของเขาถูกยกขึ้นหลังรถเสร็จ
   “ผมว่าจะนอนหลับซะหน่อยอ่ะ คุณไปนั่งเป็นเพื่อนผมเบาะหลังหน่อยสิ" กายหันมาพูดกับนัทด้วยเสียงที่ปกติที่สุด นัทมองหน้ากายครั้งหนึ่ง
   “โห พี่กาย นี่พี่เหนื่อยมากเลยอ่ะดิ" โอ๊ตกล่าวทัก
   “สุดๆอ่ะโอ๊ต" กายหันมาหาโอ๊ต ก่อนจะหันหลับมาหานัท "งานล่าสุดลูกค้าชิ่งหนีด้วย"
   “จริงอ่ะพี่" โอ๊ตทำเสียงสูง "กับพี่เนี่ยนะ"
   “เออ กับพี่เนี่ยแหละ" กายว่า พลางส่งสายตาที่เหนื่อยล้าเต็มทนไปให้นัท
   “จะขึ้นก็รีบขึ้นเหอะ คนอื่นเค้ารอ" นัทพูดเสียงดังโดยไม่ได้มองหน้ากายแม้แต่นิดเดียว กายจึงปรับเบาะแล้วผายมือ
   “เชิญครับคุณนัท" กายพูด นัทถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวขึ้นรถ และหายตัวไปด้านหลังสุดของรถ
   โอ๊ตจึงขึ้นตามไปแต่นั่งอยู่ที่แถวสอง ขณะที่กายกำลังก้าวขึ้นรถไป แต่สาขว้าแขนเขาไว้
   “ฉันพาเขามาก็เพื่อให้เขาลืมนะ เผื่อคุณจะไม่เข้าใจ" สาพูดเบาๆแต่หนักแน่นกับกาย กายมองหน้าสาหนึ่งครั้ง
   “ผมไม่ใช่คนที่จะวิ่งหนีอะไรไปเหมือนเพื่อนคุณ" กายพูดกลับ "ผมไม่ใจร้ายแบบนั้นหรอก"
   กายพูดกลับก่อนจะก้าวขึ้นไปยังแถวหลังสุดที่กายนั่งอยู่ สามองทั้งคู่ในความืดของหลังรถอยู่ครู่นึงก่อนจะนั่งอยู่ที่แถวหน้า เธอปิดประตูรถลง ขณะที่การเดินทางไปยังริมฝั่งโขงกำลังเริ่มต้นขึ้น
…....
   กายโกหก เขาไม่ได้หลับเลย เขานั่งฮัมเพลง และเอนหลังเต็มที่ไปสองเบาะ ขณะที่มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจเย็น ในขณะที่คนที่หลับกลายเป็นโอ๊ตและสา ความเงียบเข้าปกคลุมรถตู้คนนี้เข้าอย่างจัง นัทที่ความรู้สึกตื่นตระหนกเข้าครอบงำไปทั้งตัว เขานั่งจับมือถือของใครบางคนที่อยู่ในกระเป๋าของตัวเองอยู่ เขาคงพ่ายแพ้หมดรูปอีกครั้งแน่ ถ้ากายรู้ว่าเขาเองยังแอบหวังให้มีอะไรทำนองนี้เกิดขึ้น
   กายฮัมเพลงไปตามจังหวะเพลงที่ตัวเองเปิดฟังในหู
   
   If I could, then I would. I'll go wherever you will go.Way up high or down low.I'll go wherever you will go


   นัททำเป็นไม่เข้าใจเนื้อเพลงที่กายร้อง เขายังคงหันออกไปมองนอกหน้าต่าง เขาไม่เคยได้ยินกายร้องเพลงมาก่อน เขายอมรับว่ากายร้องเพลงเพราะมาก เสียงของเขาฟังดูดีพอๆกับเสียงของโอ๊ตที่เขาเคยได้ยินในคลื่นวิทยุเลยทีเดียว
   ผ่านไปนับชั่วโมงที่รถแล่นไปตามถนนมิตรภาพเพื่อมุ่งหน้าไปสู่จังหวัดหนองคาย ที่ทั้งหมดจะต้องลงที่นั่นเพื่อนั่งเรือต่อไปยังหลวงพระบาง ซึ่งจากการคาดคะเนของนัท พวกเขาคงจะมืดกันที่หนองคายซะก่อน และคงจะไม่ใช่การดีแน่ถ้าพวกเขาจะนั่งเรือข้ามฟากไปยังหลวงพระบางเอาตอนมืดๆ ซึ่งนั่นก็อยู่ในแผนของพี่รัตน์ไปแล้ว สิงห์หนุ่มได้หาที่พักสำหรับให้พวกเขาได้นอนพักกันก่อนที่จะเช้าวันรุ่งขึ้น
   “วัดเหรอคะพี่" สาร้องเสียงดัง เป็นอันดับสุดท้ายที่เธอจะคิดถึงจริงๆ "พูดจริงพูดเล่นคะเนี่ย"
   “จริงสิน้องสา" พี่รัตน์พูด "แต่อย่ากังวลไป วัดนี้น่ะ เขาเป็นวัดใหญ่ ที่นี่เอาไว้รองรับคนที่จะมาทอดกฐินหรือมาดูบั้งไฟกันอยู่ทุกๆปี ก็ถือว่าเหมาะมากกับการนอนชั่วคราว ไหวหรือเปล่าล่ะน้องสา"
   “ก็ได้อยู่ค่ะ ถ้าแค่คืนเดียว สาก็โอเค เพราะว่าสาไม่ได้เตรียมเสื้อผ้าที่เหมาะสมมาน่ะค่ะเรื่องของเรื่อง" สาว่าก่อนจะหันไปหลังรถ "โอ๊ตล่ะ ว่าไง"
   “ผมยังไงก็ได้พี่ ขอแค่ไม่มีคนมาตามผม ผมก็โอเคแล้ว" โอ๊ตตอบติดตลก สาขำน้อยๆ
   “แล้วข้างหลังล่ะคะ" สาตะโกนไป
   นัทนึกขำในใจทันที
   “ฉันนอนได้อยู่แล้ว" นัทพูดขึ้น "แต่ไม่รู้ว่าอีกคนจะไหวหรือเปล่า....”
   “โอ๊ย เจ้ากายน่ะไม่ต้องไปห่วงมันหรอก" เสียงของพี่รัตน์ดังมาจากหน้ารถ "มันนอนวัดนี้ประจำจนจะกลายเป็นเด็กวัดไปแล้ว"
   นัทตาถลนทันทีขณะที่หันไปหาเจ้าตัวที่กำลังถูกพูดถึง กายยักคิ้วให้นัทเบาๆก่อนจะยิ้มที่มุมปาก นัทเบือนหน้าหนี
   “ก็ดีพี่รัตน์ ผมจะได้แวะเข้าไปหาหลวงลุงน่ะ" กายว่าก่อนที่บทสนทนาจะจบลง กายโอบนัทพลางมากระซิบที่ข้างหู "คิดว่าผมหัวสูงซะจนนอนวัดไม่เป็นหรือไงคุณ"
   นัทเหล่มองกายครั้งหนึ่ง
   “ใครจะไปรู้" นัทพูดแม้ว่าตัวเองกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
   “งั้นผมจะบอกคุณเอาไว้เลยนะ คุณไม่รู้หรอกว่าผมน่ะ เป็นคนยังไง" กายทำเสียงล้อเลียนใส่นัท พลางทำหน้ายิ้มแบบเจ้าเล่ห์ใส่
   “นี่คุณ....”
   กายเบ้ปากก่อนจะยักคิ้ว พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของนัทมากขึ้น แม้ว่าบรรยากาศภายในรถจะเริ่มมืดลงแล้ว นัทยังคงรู้สึกถึงแววตาที่คมคาย ลมหายใจจากกายที่รดเขาเบาๆ ลมหายใจที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน กลิ่นกายที่อบอุ่นที่กำลังอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ นัทเผยอปากขึ้นเล็กน้อยขณะมองใบหน้าที่เข้ามาใกล้เขาทุกที
   “คุณน่ะไม่ผิดหรอก ผิดที่ผมเองนั่นแหละ" กายทำเสียงล้อเลียนนัทอีก นัทที่เหมือนเกือบโดนขโมยจูบแล้วหักลงกลางอากาศกัดฟันกรอด
   พลั่ก!!!
   “ฮุบ!!!"
    ทุกๆอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก นัทต่อยเข้าที่ท้องของกาย จนชายหนุ่มถึงกับจุกทันที เสียงของกายดังไปทั่วรถ
   “เกิดอะไรขึ้นเหรอข้างหลังน่ะ" เสียงของพี่รัตน์ดังทักมา
   “แฮ่ะ แฮ่ะ ม...ม...ไม่มี..อ....แอ่ะ....ฮะไรหรอก พี่รัตน์" กายพูดขึ้น
   “ไม่มีอะไรครับ คุณกายเขาหัวโขกน่ะ ผมห้ามเขาไม่ทัน" นัทตอบแทนทันที ก่อนจะหันมาหากาย "ใช่ไหมครับ คุณ กาย"
   นัทหันมาทำเสียงล้อเลียนกายแบบที่กายชอบใช้เรียกตัวเขาเอง กายมองนัทก่อนจะยิ้มกริ่มพลางชี้หน้านัท
   “เดี๋ยวคุณโดนหนักแน่" กายกระซิบใส่นัทด้วยเสียงแผ่วเบา
   นัทเลิกคิ้วใส่อย่างท้าทาย
   “เราจะถึงวัดกันแล้วล่ะ ตอนนี้เราเข้าตัวเมืองหนองคายแล้วทุกๆคน" เสียงของพี่รัตน์ดังขึ้น ทั้งหมดจึงเปิดม่านของหน้าต่างออก
   ตัวเมืองหนองคายเต็มไปดวยไฟจากตลาดต่างๆ ร้านรวงที่อยู่กระจัดกระจายสาดส่องเข้ามาในรถ นัทยิ้มกับตัวเองเล็กน้อย เขาเป็นเด็กกรุงเทพ จึงไม่ค่อยเป็นอะไรที่บ้านๆแบบนี้บ่อยนัก เขายอมรับว่าเขาชอบกลิ่นอายของอีสาน ผืนแผ่นดินราบสูงนี้ไม่มีทะเล หรือสถานที่ท่องเที่ยวแบบที่พัทยาหรือหัวหินมี แต่สิ่งที่ที่นี่มีมาช้านานคือศิลปะและวัฒนธรรม ที่หล่อหลอมไปกับชาวบ้านแบบอีสาน เขาหลงรักมัน และเริ่มสนุกกับงานที่สารับมา มันเป็นงานที่ลึกซึ้งพอ และดูไทยแท้อย่างที่เขาไม่เคยได้สัมผัสบ่อยนัก
   รถตู้เลี้ยวเข้าวัดแห่งหนึ่ง ที่ดูโอ่อ่า จากอุโบสถและพระอารามทำให้รู้ว่าวัดแห่งนี้คงได้รับการบริจาคมาอย่างมามากมาย มีอาคารสูงใหญ่ที่พวกเขามองเห็นพัดลมติดอยู่เรียงรายและป้ายที่เขียนว่าโรงนอน นัทเดาว่าเขาคงจะได้นอนที่นี่กัน รถตู้จอดสนิทลง พวกเขาทยอยลงกันมาจากรถ
   “เอาล่ะ เดี๋ยวผมไปเรียนพระลูกวัดที่ดูแลโรงนอนซักห่อย พวกคุณก็ยืดเส้นยืดสายกันก่อน แล้วค่อยเก็บกระเป๋าเข้าโรงนอนกัน" พี่รัตน์กล่าวก่อนจะเดินหายไปในศาลาที่อยู่ไม่ไกลกันนัก
   “งั้นเดี๋ยวขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะทุกคน" สาพูดขึ้นทันที
   “เออ งั้นฉันไปด้วย" นัทพูดขึ้นทันที ขณะที่ออกเดินตามสาไป
   “ห้องน้ำอยู่ทางขวานะคุณ เดินไปแป้บเดียวก็ถึง" กายพูดขึ้น สาหันไปยิ้มขอบคุณทันที นัทหันไปมองหน้ากายหนึ่งครั้งโดยไม่ได้ส่งสัญญาณอะไร แต่ทันใดนั้นเสียงริงโทนก็ดังขึ้น นัทตกใจจึงร้องทัก
   “สา โทรสัพท์แกน่ะ" นัทว่า
   “บ้า ฉันใช้เสียงนี้ที่ไหนเล่า" สาพูดก่อนจะรีบวิ่งแจ้นจากไป นัทคิดอยู่พักนึงก่อนจะนึกอะไรออก เขาถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะหยิบมือถือของกายขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง
   “นั่นไง" นัทพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันกลังกลับไป นัทส่งสายตาที่เหมือนจะบอกว่า หยุดกวนประสาทเขาได้หรือยัง ไปให้กาย
   “โทษทีคุณ" กายว่า "แค่อยากรู้ว่า คุณจะคืนเจ้าของเค้าเมื่อไหร่อ่ะ"
   นัทขมวดคิ้ว
   “พอดีว่าเค้าคิดถึงมันม้ากมากอ่ะ" กายตะโกนก่อนจะเดินหันหลังหายไป โอ๊ตที่ยืนอยูตรงนั้นงงงันกับเรื่องทั้งหมด พลางหันมาหานัท นัทส่ายหน้าให้โอ๊ตอย่างเหนื่อยหน่าย พอเป็นพิธีก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำพร้อมสา เขาคิดในใจว่า กายคงแค่จะกวนประสาทเขาเหมือนที่ตัวเองเคยทำเมื่อก่อน นัทก้มหน้าลงหน้าหน้า แม้ว่าภายใต้หยดน้ำที่ไหลลงในอ่าง จะปรากฎรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยู่....
….....
   นัทกลับมาที่โรงนอนหลังจากอาบน้ำเสร็จแล้ว สาและโอ๊ตกำลังเก็บข้างของอยู่บนเสื่อพลางมองไปรอบๆอย่างเลิ่กลั่ก
   “เป็นไรไปโอ๊ต" นัทร้องทัก
   “อ๋อ...ไม่มีไรหรอกพี่ พอดีเหมือนคนที่นอนอยู่มุโน้นเขาเหมือนจะจำผมได้อ่ะ" โอ๊ตว่า
   “พี่ว่าเราหวาดระแวงไปหรือเปล่า" นัทว่าพลางนั่งลงที่เสื่อของตัวเอง
   “นั่นน่ะสิน้องโอ๊ต บางทีการเป็นที่ยอมรับ มันก็ดีออกไม่ใช่เหรอ" สาพูดเสริมขึ้น
   “โหยพี่ มันก็ดีแหละ แต่บางทีผมก็แบบทำตัวไม่ถูกไง ตอนเจอคนรู้จักข้างนอกอย่างนี้อ่ะ คือแบบ ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับเขาไง" โอ๊ตว่า "ผมก็ไม่ได้หวาดระแวงอะไรหรอกพี่ พวกแฟนคลับทำผมไว้เจ็บแสบด้วยแหละ ฮ่าฮ่า"
   “ก็เด็กมันคลั่งไคล้นี่จ้ะ" สาพูดแซว "พี่ว่า เราแค่รู้จักวางตัว มันก็น่าจะพอแล้วไม่ใช่เหรอ"
   “ใช่พี่ ผมก็พยายามทำอยู่ เพราะผมคิดว่าวันนึง ผมก็คงไม่ได้เป็นที่รู้จักอีกตลอดไปหรอก" โอ๊ตพูด นัทอึ้งมากกับความคิดของนักร้องหนุ่มคนนี้ "จริงป่ะล่ะพี่ วันนึงเดี๋ยวผมก็ต้องดับ ไปตามเวลาแหละ"
   สาหันมามองหน้านัท ทั้งคู่พยักหน้าให้กันหนึ่งครั้ง
   “เราเคยทำอะไรตามใจตัวเองบ้างหรือเปล่าอ่ะ ตั้งแต่ดังเนี่ย" นัทถามขึ้น
   “อืม ก็มีบ้างแหละพี่" โอ๊ตว่า "รู้เหยียบนะพี่ผมขอ ผมแอบไปเที่ยวกับแฟนอยู่บ่อยๆน่ะ บางที่ก็ไปเที่ยวกันสองคน ผมงี้ปลอมตัวแทบตาย เอาแบบไม่เหมือนเลยนะ ปาปารัซซี่ยังถ่ายได้เลยอ่ะ ฮ่าฮ่า ก็..จะว่าไป ผมก็ไม่ค่อยได้ทำนักหรอกมั้ง"
   “แล้วแอบซ่อนๆแบบนี้อ่ะ มีความสุขเหรอ" สาถาม
   “มีดิพี่ มันตื่นเต้นดีออก" โอ๊ตตอบ
   “แล้วแฟนอ่ะว่าไง" นัทถาม
   “แฟนผมไม่มายอ่ะพี่ เขาก็มีชีวิตของเขาอ่ะ" โอ๊ตตอบ "แค่มาเจอกัน ผมก็มีความสุข เขาก็มีความุขอ่ะ"
   “น่ารักจังโอ๊ต" สากล่าวชมพลางแตะตัวนักร้องหนุ่ม
   “ขอบคุณครับ" โอ๊ตว่า แต่ทว่านัทยังมองนักร้องหนุ่มอยู่ต่อ
   “มีอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ" นัทว่า "คือพี่หมายถึง อยู่กันแบบนี้น่ะ"
   โอ๊ตมองหน้านัท
   “ทำได้ดิพี่ ผมกับแฟนเชื่อใจกันมากอ่ะ" โอ๊ตตอบหน้าตาย "ทำไมเหรอพี่ เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นกับพี่เหรอ"
   นัทก้มหน้าลง สาหันมามองนัททันที
   “เห้ยพี่ มันทำได้นะ" โอ๊ตว่าไปตามประสา "เชื่อผมดิ"
   “แล้ว ไม่คิดถึงข้างหน้าบ้งเหรอ แบบว่า อยู่ด้วยกันอะไรแบบนี้" นัทถามอีก
   “โหพี่ เอาทุกวันนี้ให้รอดก่อนดีป่ะ ฮ่าฮ่า" โอ๊ตตอบแบบไม่คิด นัทมองไปรอบๆทันที สาเอามือมาแตะตัวเขาเบา นัทหันกลับไปมองเพื่อนรัก
   “จะกลืนคำพูดตัวเองอีกล่ะสิ" สาพูดเบาๆ
   “เปล่าซะหน่อย" นัทว่าเสียงเข้ม
   “ฉันก็ไม่ได้จะว่าอะไรซะหน่อย" สาว่าพลางนั่งเช็คกล้องของเธอต่อไป
   “เออใช่ เมื่อกี้พี่กายเค้าถามหาพี่แหนะพี่นัท" โอ๊ตว่าขึ้น นัทหันควับไปหาโอ๊ตอย่างว่องไว
   “เหรอ" นัทว่า แม้ว่าจะยังคงเหล่มองสา ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกิริยาตื่นเต้นเกินจำเป็นของนัทที่เป็นอยู่ตอนนี้ "ล...แล้ว...ข...เขาว่าไงอ่ะ"
   “อ๋อ เขาบอกว่าถ้าพี่อาบน้ำเสร็จแล้วอ่ะ ให้ไปหาพี่เขาที่ศาลาด้านข้างอ่ะ แต่ถ้าพี่ไม่อยากไป เขาก็ไม่ว่าอะไรอ่ะ" โอ๊ตว่า
   “อ่อเหรอ" นัทรับคำ พลางทำเป็นเก็บข้าวเก็บของ แม้ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไป นัททำเหมือนกับว่าเสื่อขเงขามันมีหนามเคยตำอยู่ตลอดเวลา สาถอนหายใจก่อนจะหันมาหานัท
   “ถ้าแกจะไปฉันก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ" สาพูดเบาๆ นัทเหล่มองเธอ
   “บ้า ไปอะไร ไปไหน" นัทพูดเสียงสูง
   “ไอ้นัท" สาพูดพลางตบไหล่เบาๆ พลางพยักเพยิดไปยังโอ๊ตที่กำลังนอนคุยกับแฟนอยู่ "ฉันก็ไม่รู้จะว่ายังไงแต่.....มันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เหรอ...ไม่ลองเสี่ยงดูล่ะ"
   “อยู่ในวัดแท้ๆ ขอให้ฉันพนันเนี่ยนะ" นัทว่า
   “อยู่ที่ไหนๆฉันก็รู้ว่าแกชอบพนัน" สาว่า "แค่แกเป็นคนโลเล แล้วก็เอาชนะใจตัวเองไม่ได้ซะที"
   นัทยิ้มให้เธอ สามองหน้าเพื่อนรักอย่างรู้ดี
   “เอาไง จบจริง หรือยังไม่จบพูดมาใหม่ซิ" สาเหล่มองนัทเป็นครั้งสุดท้าย นัทยิ้มให้เธอ
   “ฉัน...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำนะ"
   นัทพูดก่อนจะลุกพรวดพราดไปทันที
   สาส่ายหน้าก่อนจะกลับมาหาโอ๊ตที่หัวเราะคิกคัก
   “หัวเราะไรอ่ะโอ๊ต" สาว่า
   “โธ่พี่สา ผมพูดเล่น พี่กายไม่ได้ชวนซะหน่อย" โอ๊ตว่าขึ้น สาตาลุกโพลง
   “ตายแล้วโอ๊ตนี่....” สาร้องทันที
   “โห พี่สา ผมไม่ได้โง่นะพี่ ชัดขนาดนี้" โอ๊ตพูด
   “ชัด....อะไรชัดเหรอ" สาพูด
   “ไม่ต้องปิดผมหรอกพี่สา ผมเข้าใจทุกอย่างดีพี่" โอ๊ตว่า
   “นี่โอ๊ตรู้เรื่องนี้ได้ไงเนี่ย" สาว่า ขณะที่โอ๊ตลุกขึ้นมานั่ง
   “รู้ดิพี่ มันเป็นแผนน่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมบอกพี่สาเลยแล้วกัน" โอ๊ตพูดขึ้นขณะที่สาแทบตั้งสติไม่ทัน
   “แผน แผนอะไร" สาพูดตะกุกตะกัก
   “นี่พี่ไม่รู้จริงๆเหรอเนี่ย ว่าผมเป็นน้องชายพี่เจนครับ" โอ๊ตยิ้มกว้าง รอยยิ้มแบบนี้...
   ราวกับมีคนกดสวิตช์ไฟในสมองของสาทันที ไม่น่าล่ะ.....ตอนนั้น

   ….. การพูดคุยกับลูกค้าในเช้าวันอังคารหลังจากที่ต้องเหน็ดหนื่อยกับการเก็บงาน BAD ของสาเป็นไปอย่างเื่อยเฉื่อยด้วยความเหนื่อยล้า
   “เอ่อ งั้นตกลตามนี้เลยแล้วกันนะคะคุณไชยรัตน์” สาพูดกับลูกค้าในโรงแรมหรูกลางกรุง
   “เอ่อ งานหนักขนาดนี้เนี่ย คุณคนเดียวจะไหวเหรอครับ” ลูกค้ากล่าวกับเธอ
   “ไหวสิคะ สาทำงานคนเดียวได้ค่ะ" สายิ้มกว้าง
   “ผมนึกว่าคุณจะมีทีมซะอีก" ลูกค้ากล่าวกับเธอ
   “อ๋อ มีค่ะมี แต่ตอนนี้ทีมของสาเค้าพักผ่อนกันอยู่น่ะค่ะ พวกเราพึงจะจบงานหนักกันมา" สาตอบ "งานนี้สารับมาคนเดียวจะดีกว่าค่ะ"
   “อืมมม ยังไงก็ถ้าเพื่อนๆคุณสาอยากจะมาพักผ่อนกับงานนี้ด้วยก็ได้นะครับ ผมยินดี" ลูกค้ากล่าวเชื้อเชิญ
   “แหม จะดีเหรอคะ ไปทำงานแบบนี้" สาพูด "สาว่าอย่าดีกว่าค่ะ"
   “ลองไปชวนก็ได้นะครับ ผมยินดีจริงๆ" ลูกค้ากล่าวตอบทันที
   “แล้วเรื่องนายแบบล่ะคะ จะให้สาไปติดต่อเองหรือว่า.....”
   “เดี๋ยวผมแจ้งคุณสาไปอีกทีทางอีเมล์ดีกว่าครับ" ลูกค้าตอบอย่างแข็งขัน
   “อ๋อค่ะ งั้น ถ้าไม่มีอะไรแล้ว สาขอตัวเลยนะคะ" สาลุกขึ้นทันที
   “ตามสบายครับ ยินดีที่ได้ร่วมงานกันครับคุณสา"
   …....

   “มิน่าล่ะ พี่รัตน์ถึงได้....” สาพูดกับตัวเอง "โอ๊ตบอกมาเดี๋ยวนี้นะ พี่เธอจะทำอะไรเนี่ย งานบุญนั่นมันไม่มีจริงใช่มะ นี่หลอกกันใช่ไหมเนี่ย...”
   “ใจเย็นๆพี่สา งานทำบุญมีจริงๆพี่ งานของคุณไชยรัตน์มีจริงๆครับ" โอ๊ตตอบ "เรื่องมันเป็นอย่างนี้พี่.....”

   …....ไชยรัตน์ยิ้มกริ่มขณะที่สาเดินหายออกไปจากห้องโถง เสียงฝีเท้าของหญิงสาวเดินออกมาจากล็อบบี้ของโรงแรม
   “เป็นไงคะพี่รัตน์ ถูกใจพี่หรือเปล่า" เจนจิราควงแขนชายหนุ่มทันที
   “สุดยอดเลยน้องเจน ไอเดียของคุณสากินขาดจริงๆ พี่ถูกใจมาก" ไชยรัตน์กล่าวขึ้น "พี่ชอบมากๆ ขอบใจเจนมากนะที่แนะนำให้"
   “ไม่เป็นไรค่ะ แต่พี่รัตน์อ่ะ ตอบแทนเจนอย่างนึงสิ" เจนว่า "ให้น้องเจนเป็นพรีเซนเตอร์ได้ไหมล่ะ นะนะ"
   “โห ขอกันอย่างนี้เลยเหรอ" ไชยรัตน์ว่า
   “แหมพี่รัตน์ เจนจะไปอเมริกาแล้วนะ ให้มันเป็นของขวัญที่เจนให้กับน้องชายได้ไหมล่ะ" เจนใช้ลูกอ้อน
   “อ่ะ อ่ะก็ได้ๆ นี่เห็นแก่เจนนะเนี่ย"
   “ขอบคุณค่ะ"
   “แล้วว่าแต่ เจนไม่ไปทำบุญด้วยกันเหรอ" พี่รัตน์กล่าวชวน
   “ไม่ล่ะค่ะ" หญิงสาวลดน้ำเสียงลง "เจนมีธุระน่ะค่ะ เอาไว้โอกาศหน้าแล้วกัน"
   “งั้นก็อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ" ไชยรัตน์กล่าวชวน
   “ไม่ได้ค่ะ เจนมีนัดคุยต่อ" เจนจิราตอบ
   “งั้นก็อย่าลืมบอกเจ้ากายให้ไปด้วยแล้วกัน" พี่รัตน์ว่า
   “ค่ะ เจนจะบอกให้"
   เจนจิรากล่าวลาพี่รัตน์และขับรถบึ่งออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปยัง Lovable Studio ที่วันนี้แทบไม่มีผู้คน เธอเหมือนจะอ่านเกมส์อะไรอะไรจนทะลุปรุโปร่งมากจนเกินไปแล้ว......

   “โอ๊ต" สาร้องเสียงดังพลางลุกขึ้นยืนเหนือหัวนักร้องหนุ่มทันที
   “โห นี่พี่โกรธพี่เจนป่ะเนี่ย" โอ๊ตร้องหน้าซีด พลางทำหน้าเหยเก
   “พี่สาวนายน่ะร้ายกาจเกินไปแล้ว โทรหาพี่สาวนายเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นงานทริปนี้เป็นเละแน่" สาแบมือขอมือถือของโอ๊ตทันที
   เธอได้เวลาเด็ดหัวเจนจิราอย่างเป็นจริงเป็นจังซักที แม่นี่รุกใส่นัทเกินไปเสียแล้ว
   มิน่าล่ะ.....เธอถึงรู้สึกกับอะไรแปลกๆ กับการมาทริปครั้งนี้ของกายสิทธิ์
   มันเป็นเวทย์มนตร์หลอกตาดีดีนี่เอง...
…............
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 31 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-11-2011 15:26:20
บทที่ 31 Dear Mom.

   นัทวิ่งลงไปถึงศาลาที่อยู่ข้างๆโรงนอน ภาพที่เขาเห็นคือกายกำลังสนทนาอยู่กับพระรูปหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา นั่งพับเพียบลงกับพื้นพนมมือยิ้มให้พระรูปนั้นอย่างอิ่มบุญ นัทไม่คิดมาก่อนเลยว่าเขาจะได้เห็นภาพนี้

   … “นี่คุณโทรมาได้ยังไงเนี่ย"
   “ก็น้องชายคุณไง เค้าบอกความจริงฉันหมดแล้ว"
   “อ้อ"
   “ตกใจล่ะสิ มันผิดแผนที่เธอวางไว้ใช่ไหมล่ะ"
   “ก็.....ใช่ผิดแผน แต่ก็คงไม่เป็นไรแล้วนี่ ให้ฉันเดา พวกคุณคงอยู่ที่หนองคายแล้วสินะ"
   “ใช่ แล้วเธอล่ะอยู่ไหน นังตัวดี"
   “โห ท่าทางคุณจะโกรธมากนะคุณสา"
   “เธอทำกับเพื่อนฉันเหมือนเขาเป็นของเล่น ฉันกะแล้วว่าเธอต้องอยู่เบื้องหลังกับอะไรซักอย่างในเรื่องนี้"
   “คุณเป็นห่วงเพื่อนคุณมากล่ะสินะคุณสา"
   “ก็ใช่น่ะสิ นัทเป็นเพื่อนรักของฉัน"
   “ฉันก็ไม่ต่างอะไรจากคุณหรอก ฉันก็เป็นห่วงเพื่อนรักของฉันเหมือนกัน กาย เขาก็คือเพื่อนรักของฉัน"
   “อะไรนะ"....

   นัทค่อยเดินเข้าไปในศาลาช้าๆ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน
   “หลวงลุงมีเรื่องอะไรก็น่าจะให้ลูกศิษย์โทรไปบอกผมก็ได้" กายกล่าว
   “โอยยย ไม่เป็นไรหรอก โยมมีงานอยู่ที่กรุงเทพ อาตมาไม่อยากไม่อยากให้หลานต้องลำบาก" หลวงลุงตอบกลับ "แล้วนี่จะมาอยู่ซักกี่วันล่ะ"
   “ก็ ซักประมาณอาทิตย์หนึ่งน่ะครับหลวงลุง นานๆจะได้กลับบ้านซักที" กายยิ้มกว้าง
   บ้าน.... บ้านงั้นเหรอ.....

   … “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย เพื่อนคุณต่างหาก ที่ทำให้เพื่อนของฉันล้มไม่เป็นท่า คุณรู้บ้างหรือเปล่า ว่าฉันตกใจแค่ไหน ที่เห็นกายอยู่ในสภาพแบบนั้น"
   “แต่คุณจะเอานัทมาเป็นเครื่องมือในเรื่องนี้ไม่ได้นะ เพื่อนฉันจะต้องไม่เจ็บกับเรื่องนี้อีกแล้ว"
   “คุณสา ถ้าคุณไม่อยากให้เพื่อนคุณเจ็บ ฉันก็ไม่อยากให้เพื่อนฉันเจ็บ แล้วมันจะต่างหันตรงไหนล่ะ ในเมื่อเราสองคนต่างก็คิดเหมือนๆกันน่ะ"
   “แต่วิธีทีี่คุณทำมัน...”
   “ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ทุกๆอย่างมันเป็นไปตามเรื่องของคนสองคนต่างหาก"
   “อะไรนะ"
   “คุณไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้เหรอ คุณไม่เห็นจริงๆเหรอคะคุณสา ว่าอะไรมันเกิดขึ้นระหว่างเขาสองคน"
   จริงสินะ.....หรือว่า
   “เจนรู้มานานแล้วค่ะ ว่ากายรักคุณนัท ใช่ค่ะ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก คุณกาย รัก คุณนัทค่ะ"......

   “ผมกะว่าจะมาไหว้คุณแม่แล้วก็ไปฝั่งลาวครับ พอดีมีงานที่นั่นพอดี" กายยิ้มกว้าง
   “อืมม ดีดี ถึงหน้าที่การงานของโยมก็ประสบความสำเร็จ โยมภาก็คงจะดีใจที่โยมกลับมาเยี่ยมบ้าง" หลวงลุงกล่าว
   “ผมพาคนที่อยากให้แม่รู้จักมาด้วยแหละหลวงลุง" กายลดเสียงลง
   “อ้าว เอาเข้าแล้วไง เออ ดีดี นี่ได้บอกโยมภาไว้ก่อนหรือเปล่าเนี่ยเหอะ"
   “ปล่าวเลยครับ ผมอยากทำให้แม่ประหลาดใจน่ะ" กายว่า
   เขาไม่รู้เลยว่า นัทกำลังยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความ....ประหลาดใจ


   …. “มันต้องใช้เวลา ที่ให้คุณนัททำใจตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นนะคุณสา แล้วระยะเวลาสองอาทิตย์หลังงาน BAD ก็เป็นเวลาที่เหมาะสมยิ่งกว่าอะไรที่จะทำให้พวกคุณสามคนได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เวลานั้น คือเวลาที่คุณนัทมีความสุขที่สุดนะคะ การที่ได้อยู่กับพวกคุณ เวลาที่คุณ และคุณมิก จะช่วยให้คุณนัทมองเห็นว่าตัวเอง เดินมาไกลขนาดไหนแล้ว เข้มแข็งขึ้นแค่ไหนแล้ว
   งานของคุณไชยรัตน์ครั้งนี้ เจนคิดไว้แล้วว่ายังไง คุณก็ต้องเอาคุณนัทมาด้วย คุณไม่มีทางพลาดโอกาสในการพาเพื่อนของคุณไปให้ไกลความเจ็บปวดทั้งหมดที่เกิดขึ้นหรอกใช่ไหมล่ะคะ ในฐานะเพื่อนสนิทคนนึง
   ฉันก็เหมือนกัน ฉันก็ไม่พลาดโอกาสที่จะให้กายได้กลับบ้านของเขา เพื่อให้เขาได้ห่างไกลความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นเหมือนกัน ในฐานะเพื่อนสนิทคนนึง"
   “เธอนึกไม่ออกหรอกว่านัทเสียใจแค่ไหน เจนจิรา"
   “คุณก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่ากายเสียใจแค่ไหนคุณสา"......

   นัทมองภาพกายยิ้มกว้างอย่างมีความสุขอย่างไม่เชื่อสายตา มันเป็นแววตาแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาที่เป็นมากกว่าตอนที่เขาไปเที่ยวกับกายเหมือนทุกๆครั้งเลยด้วยซ้ำ รอยยิ้มที่เหมือนว่ากายได้กลับไปสู่บางอย่างที่คุ้นเคย


   …. “เขาไม่ยิ้มเลยตลอดงาน เขาตาแดงกำ่ และเหมือนจะล้มอยู่ตลอดเวลา คนทั้งงาน BAD คิดว่านั่นคงเป็นมุกแต่มันไม่ใช่ หลังจากจบงานกายนั่งร้องไห้อยู่กับฉันเพียงลำพัง เขาร้องไห้เหมือนที่คนคนนึงจะร้องไห้นะคะ ฉันไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้
   และคนที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ได้ ต้องเป็นคนที่เขา ให้ความสำคัญมากจริงๆ เท่านั้น”
   …..

   กายปาดน้ำตาของตัวเองครั้งหนึ่งขณะกำลังหัวเราะกับมุกครั้งใหญ่ที่หลวงลุงกำลังเล่าให้เขาฟัง กายหัวเราะจนน้ำตาไหลอยู่ตรงนั้นขณะที่ซบไปบนตักของหลวงลุงของเขา นัทยิ้มในใจอย่างเป็นสุข


   ….. “แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง ว่าเธอพูดความจริง"
   “คุณรู้อยู่แล้วว่าฉันพูดความจริงคุณสา"
   สาเงียบเสียงลงทันที
   “นี่เธออย่าทำให้ฉันเชื่อว่าเธอกำลังเล่นบทแม่พระภายใต้ความชั่วร้ายของเธอนะ ฉันไม่เชื่อเธอหรอก"
   “หึหึ" เจนหัวเราะเบาๆ "ฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณนัทเลยซักนิด ฉันก็เคยบอกเขาแล้ว ฉันทำทุกอย่างเพื่อเพื่อนที่ฉันรักก็เท่านั้น ยิ่งกับคุณ ฉันยิ่งไม่สนใจใหญ่
   แต่ที่แผนของฉันมันได้ผลเพราะฉันรู้ว่าคุณกับฉันน่ะมันศรศิลป์ไม่กินกันน่ะค่ะคุณสา ยังไงซะเราสองคนก็ต้องเลือกที่จะเข้าข้างเพื่อนตัวเองวันยังค่ำไม่ใช่เหรอไง"
   สายิ้มในใจขณะที่น้ำตาเอ่อคลอ
   “รู้ตัวก็ดีย่ะ"
   “ถ้าไม่มีอะไรแล้วแค่นี้นะคะ ฉันต้องไปแล้ว ยังไงก็ ฝากแผนที่เหลือด้วยก็แล้วกัน....”
   “….นี่ฉันไม่....”
   ยังไม่ทันจะได้ต่อปากต่อคำอะไร เจนก็วางหูไปเสียแล้ว สาถอนหายใจพลางหันกลับไปหาโอ๊ตที่ยืนอึ้ง
   “ฉันเกลียดพี่สาวเธอมากรู้ตัวไว้ด้วยนะโอ๊ต" สาว่าพลางยิ้มกว้าง
   “ครับผม" นักร้องหนุ่มรับคำเบาๆ
…...

   “อ้าวคุณ" กายร้องขึ้นเมื่อเห็นนัทยืนอยู่ที่นอกศาลา หลวงลุงมองตามกายไป เห็นร่างของชายหนุ่มยืนอยู่ที่หน้าศาลา
   “นั่นใครน่ะโยม" หลวงลุงถามขึ้น
   “คนที่ผมจะพาไปหาแม่น่ะหลวงลุง" กายตอบพลางยิ้มกว้าง นัทมองหน้ากาย เขาทำอะไรไม่ถูกจริงๆ
   “อืม งั้นโยมพาไปหาโยมภาเถอะ" หลวงลุงกล่าว "อาตมาคงต้องไปจำวัตรแล้วล่ะ"
   “งั้นนมัสการลาครับหลวงลุง คุณ มาลาหลวงลุงกับผมสิ" กายร้องเรียก นัทที่เรียกสติคืนได้ จึงถอดรองเท้าแล้วก้าวเข้ามาในศาลา ทั้งคู่ก้ลงกราบหลวงลุงพร้อมกัน
   หลวงลุงยิ้มให้ทั้งคู่ก่อนจะเดินหายเข้าไปตามทางเดินไปสู่กุฎิ กายยิ้มส่งท่านอย่างมีความสุข
   “ท่านเป็นลุงแท้ๆของผม" กายพูดขึ้นเบาๆก่อนจะหันกลับมามองหน้านัท เขามองหน้ากายนิ่ง เหมือนไม่เห็นกายมาก่อน นัทไม่รู้เริ่มคำพูดกับกายอย่างไรดี มันตื้อตันไปหมด "มาสิ ผมจะพาคุณไปหาแม่ผม"
   กายจับมือนัทก่อนจะดึงลุกขึ้นไปทันที
   “โอ๊ย อะไรเนี่ยคุณ ดึกป่านนี้แล้วเนี่ยนะ แม่คุณไม่หลับไปแล้วเหรอ" นัทร้องไปตลอดทางที่กายพาเขาเดินลัดเลาะไปตามร่มไม้ภายในวัด
   “นี่บ้านคุณอยู่แถววัดเหรอ โอ๊ย กาย ผมมองไม่เห็นอะไรเลยนะ" นัทร้องอิดโอยพลางหลับตาลง เนื่องจากกิ่งไม้ต่างปัดมาโดนใบหน้าเขา จนไม่กี่อึดใจ กายพาเขาหยุดอยู่ตรงหน้าโกฐแก้วที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสวยงามภายใต้องค์พระกลางสวน ที่ประดับโคมไฟโดยรอบ มันดูสงบและร่มเย็นเกินกว่าจะดูน่ากลัว กายปล่อยมือนัทลงก่อนจะค่อยๆออกเดินไปและทรุดตัวลงนั่ง
   นัทมองภาพตรงหน้าทันที ใจของเขาสั่นสะท้าน แม่ของกายอยู่ตรงนี้ นั่นหมายความว่า....


   ….กายเอื้อมมือไปลูบใบหน้าที่รูปภาพของแม่เขา ชายหนุ่มยิ้มเบาๆ
   “แม่ กายกลับมาแล้ว" กายเอ่ยขึ้นเบาพลางยิ้มให้รูปภาพของแม่ "ผมกลับมาแล้วแม่"
   “ค..คุณ....” นัทเอ่ยเบาๆ
   “แม่คิดถึงกายอ่ะสิ" กายพูดเสียงสั่นเครือขณะที่เริ่มปัดเอาเศษใบไม้ออกจากโกฐของแม่เขา นัทเห็นดังนั้นจึงนั่งลงข้างๆและช่วยกายปัดเศษไม้ต่างๆออกไป นัทมองไปยังใบหน้าของกาย ดวงตาของเขาแดงกำ่และคลอไปด้วยน้ำตา
   “ผมกลับมาคราวนี้ ผมจะไปที่หมู่บ้านฟากโน้นด้วยนะ แม่ดีใจหรือเปล่า" กายพูดเบาๆ "เด็กๆที่นั่นคงคิดถึงผมกันแน่ๆเลยล่ะ"
   เขาก้มหน้าลง
   “แม่ครับ ผมพาใครคนนึงมาหาแม่ด้วย" กายพูดกับตัวเอง "เขาชื่อนัทครับแม่ ผม...ผมอยากให้แม่รู้จักเขา … ผม....”
   กายกำมือเอาไว้แน่น นัทเห็นน้ำตาหยดลงบนมือของกายเบาๆ นัทเอื้อมมือไปจับมือคู่นั้น กายมองมือของนัทที่จับมือของเขา
   “ผม....ผม อยากให้แม่รู้ว่า ผม....ผมไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้วแม่" กายพูดเสียงสั่นเครือ "ผม....ผมมีเขาอยู่กับผม....เหมือนที่แม่เคยอยู่....เขาคือ.....คนที่ผมรักครับ........”
   นัทหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ขณะที่น้ำตาของเขาไหลลงเบาๆ เขามองกายอยู่อย่างนั้น เหมือนว่าทุกอย่างรอบตัวหยุดหมุนไปทันที
   “ผม.....ผม....” กายหมดแรงที่จะพูดไปเฉยๆ ขณะที่เขาก้มตัวลงร้องไห้อย่างหนักทันที "ผม.....รักเขา..ครับแม่"
   นัทหลับตาลงพลางดึงกายเข้ามาหาตัวเขา กายร้องไห้อยู่ที่อ้อมกอดของนัท มือของเขาสั่นไหวขณะที่กายส่งเสียงสะอื้นอยู่ใต้อ้อมกอดของเขา น้ำตาของเขาไหลริน มันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย
   “ผม....เกือบเสียเขาไปแล้วแม่" เสียงกายสะอื้นดังขึ้น "ผมเกือบทำให้เขาจากผมไปแล้ว.....ผม....จะไม่ทำอีกแล้วแม่.....”
   นัทหลับตาลงปล่อยให้ความรู้สึกไหลผ่านตัวเองไป เขาโอบกอดนัทแน่นขึ้น
   “ผ...ผมขอโทษ.......”
   มันเป็นค่ำคืนที่เจ็บปวดที่สุดแล้ว ตั้งแต่นัทได้รู้จักกับพ่อมดคนนี้
   เวทย์มนต์อันร้ายกาจได้พังทลายลงแล้ว
   คำสาปต่างๆจบสิ้นลงแล้ว
   เมื่อแสงแห่งรักแท้สาดส่องลงหน้าหลุมศพของหญิงสาวที่หลับใหลไม่มีวันตื่น.....
….......
   เชิงเทียนที่สะอาดถูกวางกลับไปสู่ที่เดิม นัทวางจัดมันลงพร้อมกับเอาน้ำพรมดอกไม้อีกครั้ง ก่อนจะพนมมือไหว้โกฐแก้วอีกครั้ง ในเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น
   “ผมไม่รู้ว่าแม่คุณจะชอบหรือเปล่าแต่ผมหาได้เท่านี้จริงๆ" นัทพูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันไปหาร่างที่อยู่ด้านข้าง กายกำลังนั่งมองแม่ของเขาอย่างสงบนิ่ง
   “แม่ชอบดอกกระเจียว" กายพูดขึ้น "ตอนเด็กๆ แม่จะพาผมขึ้นภูชีฟ้า มีดอกกระเจียวขึ้นที่นั่น แม่ตีผมเรื่อยเลย เวลาที่ผมไปเด็ดดอกมันมา"
   “เป็นแม่ผมก็คงตีเหมือนกันแหละ" นัทพูดขำๆ
   “แม่บอกว่า ดอกไม้ป่า จะสวยก็ต่อเมื่อมันอยู่ในป่า" กายพูดขึ้น "แม่ไม่ชอบ ถ้าผมจะเอามันมาอยู่ในแจกัน"
   นัทมองหน้ากายครั้งหนึ่ง
   “เหมือนอย่างที่แม่เป็นมาชั่วชีวิต" กายพูดพลางก้มหน้าลง
   “ผมไม่รู้เลยว่าคุณเป็นคนหนองคาย" นัทพูดขึ้นพลางมองไปรอบๆ อากาศในวัดตอนเช้ามืดสดใสมากสำหรับนัท
   “ผมเป็นลูกครึ่งน่ะ แม่ผมเป็นคนลาว พ่อผมเป็นคนไทย" กายเล่า "แม่เป็นคนหมู่บ้านที่หลวงพระบาง แม่โอนสัญชาติมาเป็นคนไทยจนกระทั่งได้พบกับพ่อ พวกเค้าแต่งงานกัน แล้วพ่อผมก็บินไปทำงานอยู่ที่เยอรมัน"
   นัทนั่งฟังอย่างตั้งใจ เขาไม่กล้าถามอะไรกายเมื่อคืนนี้เลย
   “ผมเองอยู่ที่นี่จนมัธยมปลาย ผมสอบเข้าไปเรียนในกรุงเทพ" กายว่า "ผมไม่ชอบชีวิตที่นี่ มันกันดาร ไม่มีอะไร คงติดนิสัยมาจากพ่อมั้ง แล้วผมก็คิดว่า ถึงอยู่ที่นี่ไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น ผมเลยสอบจนได้ทุนไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส ไปพร้อมกับเจน
   ผมทิ้งแม่ให้อยู่ที่นี่คนเดียว จนกระทั่งท่านเสียเพราะโรคประจำตัว หลวงลุงเลยเอาแม่มาไว้ที่นี่ ส่วนบ้าน แม่เขียนพินัยกรรมให้บริจาคกับวัดนี้"
   กายสูดหายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   “ผมมารู้ทีหลังว่าแม่อยากกลับไปบ้านมาก แต่ไม่มีโอกาส แม่มีอะไรหลายๆอย่างต้องทำทีนี่แต่ แม่ก็ยังอยากข้ามไปฝั่งลาวอยู่ดี" กายเล่าต่อ "ผมไม่เคยทำให้ฝันท่านเป็นจริงเลยตลอดเวลาที่ท่านยังอยู่"
   “ไม่มีใครอยากถูกจับไปไว้ในที่ที่ไม่คุ้นหรอก" นัทพูดขึ้น "คนเรามีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครเดินออกจากเรื่องของตัวเองได้หรอก"
   กายหันมามองหน้านัททันที
   “แต่บางที คนเราก็ยอมทำทุกๆอย่างได้ เพื่อคนที่ตัวเองรักน่ะ" นัทหันไปยิ้มกว้างให้กาย ที่ก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน "แล้วพ่อคุณล่ะ"
   “พ่อผมยังเป็นสถาปนิกอยู่ที่เบอร์ลิน ครั้งสุดท้ายที่เขามาเมืองไทย คืองานศพของแม่" กายพูด "ผมไม่ค่อยได้เจอเขาเท่าไหร่ เขาเป็นพวกบ้างานน่ะ"
   “ผมว่าคุณได้พ่อมาเยอะนะ" นัทพูดขำๆ กายยิ้มให้กับเรื่องนั้น พลางเอื้อมมือมาจับนัท
   “นัท...ผม.....”
   “จะไปกันหรือยังคะสองคนนั้น" เสียงของสาดังขึ้นมาจากด้านหลังทันที กายถึงกับก้มหน้าลงทันที นัทแอบขำเล็กๆ
   “ว่าไงสา" นัทร้องตอบ
   "พี่รัตน์บอกว่าเรือจะออกตอนแปดโมง เราน่าจะออกไปหาอะไรกินกันที่ตลาดเช้าก่อนนะแก" สาร้องตอบ
   “อ่าได้ๆ ไปเดี๋ยวนี้เลย" นัทพูดพลางลุกขึ้น ก่อนจะเอื้อมมือไปหากาย กายมองมือนั้นอย่างสงสัย "ที่นี่บ้านคุณ ผมอยากได้คนที่จะพาผมไปน่ะ"
   กายยิ้มให้นัทครั้งหนึ่ง
   “ด้วยความยินดีครับ" กายยิ้มให้นัทครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันไปหารูปของแม่เขา "ผมพาแฟนไปกินข้าวก่อนนะแม่ ลาก่อนครับ"
   นัทตบเข้าที่ไหล่กายทีหนึ่งก่อนจะไหว้หลุมศพแม่ของกาย ก่อนจะยอมให้กายจับมือของเขาเดินออกจากร่มไม้นั้น
   นัทแอบมองกายโดยที่เขาไม่รู้ตัว
   เจ้าของมือที่อบอุ่นนี้เจอเรื่องราวมากมายเหลือเกิน...นัทคิด
   ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่อยากเดินไปกับกายแบบนี้...
   เขาแค่กังวลว่าตอนจบ จะสวยงามอย่างที่กายคิดเอาไว้หรือเปล่า เท่านั้นเอง....
….....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 31 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-11-2011 16:57:30
จะมีมาม่ามาอีกหรือเปล่านะ  พอแล้วเหอะ  ขอหวาน ๆ บ้าง
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 31 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: DexTunG ที่ 05-11-2011 18:29:00
 :กอด1: :กอด1:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 32 จบตอน) - 9/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 10-11-2011 01:17:16
บทที่ 32 On My Way

   การนั่งเรือข้ามฟากไปยังอีกฝั่งเป็นเรื่องที่สำหรับนัทแล้วต้องผ่านหลายขั้นตอนเหลือเกิน ทั้งด่านตรวจคนเข้าเมือง พาสปอร์ต หรือการจ้างเหมาเรือซักลำข้ามไป แต่สำหรับพี่รัตน์และกาย กลับพาพวกเขาลัดเลาะไปยังจุดต่างๆที่มีสิ่งที่พวกเขาต้องการตั้งบริการอยูได้อย่างเชี่ยวชาญ อิทธิพลของพี่รัตน์ในแถบนี้เป็นที่ยอมรับสำหรับ นัท สาและโอ๊ตมาก ในขณะที่กาย ก็ยังคงเป็นที่รู้จักของคนที่นี่ ตลาดเช้าที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเกือบครึ่งหนึ่งของตลาดจะมีป้าอายุเลยวัยกลางคนเป็นต้นไป กรูกันเข้ามาขอกอดกายที่ยินดีและทักทายพ่อมดที่ดูเป็นคนธรรมดาไปเสียแล้วกันยกใหญ่ และนัทก็มักจะได้ยินประโยคที่ซ้ำกันอย่างเช่น "กาย โตขึ้นเยอะเลยลูก" หรือ "หายไปไหนมาเนี่ย ตายแล้วพ่อคุณ เคยอุ้มตอนเด็กๆดูสิโตเป็นหนุ่มแล้ว"
   นัทยิ้มกว้างกับภาพเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดจริงๆว่าจะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับคนอย่างกาย พ่อมดในสังคมไฮโซสุดหรู มีอีกด้านที่ใช้ชีวิตติดดิน เขามองกายในรูปแบบนี้อย่างมีความสุข มันทำให้ตลาดเช้าวันนี้อากาศดีมากกว่าปกติ
   “คือ ผมน่ะ ต้องวิ่งไปซื้อโจ๊กทุกเช้าเลยคุณ เอามาให้แม่ที่หลังวัด" กายเล่าให้นัทฟังอยู่ที่นั่งหลังสุดของเรือยนต์ ที่เริ่มออกจากท่าและล่องไปตามแม่น้ำโขงเพื่อข้ามไปยังฝั่งลาว
   “แล้วบางทีวันพระดันมาตรงกับวันเสาร์ใช่มะ ผมก็ไม่อยากจะตื่น แม่งี้ลากผมลงจากที่นอนเลยล่ะ ถ้าผมไม่ตื่นน่ะ" กายเล่าอย่างมีความสุข ขณะที่นัทนั่งฟังพลางหัวเราะ
   “คุณเคยโดนแม่ตีบ้างป่าว" นัทถามขึ้น
   “โหย โดนสิคุณ" กายลดเสียงลงด้วยความเขินอาย "ตอนเด็กๆผมแสบจะตาย"
   “เหรอ" นัทขึ้นเสียงสูง "ผมว่าตอนนี้คุณก็แสบอยู่นะ"
   “อ่านะ ที่โดนเยอะๆก็ตอนมัธยมน่ะคุณ" กายว่า
   “กะแล้ว" นัทร้อง "ผมว่าแล้ว ตอนวัยรุ่นคุณต้องแสบแน่ๆ"
   “งั้นคุณลองทายสิ ว่าผมโดนแม่ตีเรื่องอะไรบ้างน่ะ" กายถาม
   “อืม" นัทมองหน้ากายพลางคิด "เรื่องผู้หญิง"
   “โห.....” กายทำสีหน้าเหมือนโดนดูถูกครั้งใหญ่ นัทเลิกคิ้ว
   “อ้าว ไม่ใช่เหรอ ผมเดาผิดเหรอเนี่ย" นัทแก้เก้อ
   “ก็ถูกแหละคุณ" กายตอบเบา นัทส่ายหน้าพลางเมินหน้าหนีทันที "โธ่ คุณ ก็....เด็กบ้านนอกอย่างผม มีมอเตอร์ไซค์ก็เอาออกไปร่อนน่ะ คุณเป็นเด็กกรุงเทพคุณไม่เข้าใจหรอก"
   “ค้าบ" นัทพูดเสียงเหวี่ยง "ผมไม่เข้าใจคุณ"
   “เห้ยนัท งอนผมเหรอ" กายจับคางนัทให้หันมาหาเขาเบาๆ นัทหันไปพบใบหน้าที่ตีหน้าเศร้าใส่เขา
   “เปล่า" นัทยิ้มให้เบาๆ พลางจับมือกายลง "แล้วไงต่ออ่ะคุณ"
   “ก็..มีอยู่วันนึง แม่ล้มที่บ้าน" กายว่า "ผมก็เลยพาแม่ไปหาหมอ ปรากฎว่าแม่เป็นโรคหัวใจ หลังจากนั้นนะ ผมไม่เคยเที่ยวอีกเลย"
   “รู้สึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมาแล้วล่ะสิคุณ" นัทถาม
   “เปล่า แม่ยึดมอเตอร์ไซค์อ่ะ" กายตอบ นัทเหลือกตาทันที ในขณะที่กายหัวเราะ "ผมพูดเล่น ผมก็ได้อยู่ดูแลแม่จริงๆนั่นแหละ แต่พอถึงจุดจุดนึงผมก็มาถึงทางเลือก ตอนผมขึ้นม.ปลาย ผมต้องเลือกว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อดูแลแม่ หรือเข้าไปในกรุงเทพ เพื่อความฝันของตัวเอง"
   “คุณเลือกที่จะมากรุงเทพเหรอ" นัทถามอย่างใคร่รู้
   “อืม" กายเบาเสียงลง "แม่บอกผมว่า ชีวิตคนเราต้องรับผิดชอบตัวเอง แม่ไม่มีความสุข ถ้าตัวเองเป็นเหตุผลให้ผมอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ผมควรจะไปได้ไกลกว่านี้"
   “แล้วคุณไม่ห่วงแม่คุณเหรอ" นัทถามต่อ
   “ห่วงสิคุณ แต่แม่ไม่ยอมหรอก แม่ผมเป็นคนจริงจัง ถ้าท่านตัดสินใจอะไรแล้ว ไม่มีทางเปลี่ยนได้หรอก" กายว่า "แล้วที่สำคัญตอนช่วงแม่ยึดมอเตอร์ไซค์ ผมโดนบังคับอ่านหนังสือสอบเข้าเตรียมอุดมด้วย ผมได้คะแนนดีอยู่นะคุณ"
   “อ้าว นี่คุณโดนยึดมอเตอร์ไซค์จริงๆเหรอเนี่ย" นัทว่าพลางหัวเราะใส่กายทันที พ่อมดหนุ่มเหล่มองนัทเบาๆ
   “อ่า...ผมไม่หัวเราะคุณก็ได้" นัทพยายามกลั้นหัวเราะ ก่อนจะฟังกายต่อ
   “ผมน่ะ กลับมาบ้านปีละครั้งตอนปิดเทอมใหญ่ ตอนแรกๆผมก็คิดถึงบ้านมาก" กายว่า "แรกๆผลการเรียนก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่ก็เลยดุผมเอาน่ะ หลังจากนั้นผมก็ตั้งใจเรียนมากขึ้น จนสอบชิงทุนนักออกแบบยุวชนได้"
   “อ๋อ...ผมเคยเห็นข่าวอยู่ ที่คุณทำหนังสั้นประกวดตอนม.5 ใช่หรือเปล่า" นัทว่า
   “ช่าย...คุณดูข่าวผมด้วยเหรอ" กายถาม
   “คุณดังจะตาย" นัทว่า "ตอนนั้นทั้งโรงเรียนผมก็พูดถึงแต่คุณ"
   “โห งานผมเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ" กายถาม
   “ปล่าว เพื่อนผู้หญิงบอกผมว่าคุณหล่อดี" นัทว่า
   “อ้อ" กายพ่นลมเบาๆ "ก็...นั่นแหละ พอจบม.หกผมก็ไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศส แล้วหลังจากนั้น ผมก็ไม่ได้กลับมาเมืองไทยอีกเลย"
   “คุณไปพร้อมคุณเจนเหรอ" นัทว่า "คุณจบโรงเรียนชายล้วนนี่ แล้วคุณรู้จักคุณเจนได้ยังไง"
   “อ๋อ เจนน่ะเหรอ" กายว่า "ผมเจอเธอที่โครงการนักออกแบบยุวชนไง ตอนม.ปลายน่ะเจนไม่ใช่แบบนี้เลยนะคุณ เป็นเด็กผู้หญิงใส่แว่น ผูกเปีย โคตรน่ารักอ่ะ"
   “เหรอ" นัทลากเสียงทันที กายหันมาเหล่ใส่นัทอีก นัทรีบเปลี่ยนน้ำเสียง "แล้วไงต่อ"
   “ก็นั่นแหละ ก็....ผมก็จีบเค้า ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปนั่นแหละคุณ วันเสาร์อาทิตย์ไปเรียนพิเศาที่สยาม เสร็จแล้วก็ไปกินข้าวดูหนังอะไรทำนองนี้ จนกระทั่งบินไปเมืองนอกด้วยกัน" กายเล่า
   “แล้วคุณแม่คุณล่ะ" นัทถาม
   “แม่ผมอาการเจ็บหนักตอนผมอยู่ปีสาม" กายเล่า "ตอนนั้นผมทำโปรเจ็คแฟชั่นอยู่ที่ปารีส ช่วงนั้นทุกอย่างมันแย่ไปหมด ผมห่วงหน้าพะวงหลังตลอด ต้องไปเบอร์ลินเพื่อไปหาพ่อ กลับมาปารีสอาทิตย์ละครั้ง แล้วกลับไปดูอาการแม่เดือนละครั้งด้วย"
   “โห" นัทร้องเบาๆ "ตอนปีสามงานมันหนักมานะคุณ"
   “ใช่ ผมรู้" กายว่า "จนกระทั่งอาทิตย์สุดท้ายที่แม่อาการหนักสุด ผมทิ้งงานที่โน่นแล้วบินกลับมาทันที ผมได้มาดูใจท่านก่อนที่ท่านจะไป"
   นัทเอื้อมมือไปจับกายทันที เขาหันมายิ้มให้นัท
   “รู้ไหมแม่ผมบอกผมว่าอะไรตอนที่ผมไปถึง" กายว่าพลางยิ้มกว้าง นัทส่ายหน้า "แม่บอกว่า ผมเหมือนเกย์......”
   “หา" นัทร้อง "จริงเหรอคุณ"
   “ก็วันนั้น ผมแต่งตัวจัดมาก ลงจากเครื่องเลยไง" กายตอบ "ผมงี้ไปไม่เป็นเลย"
   กายหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้มหน้าลง
   “แล้วแม่ก็บอกว่า....แม่คิดถึงพ่อมาก" กายว่า "ผมบอกท่านว่า พ่อกำลังมา แต่แม่ก็ดึงตัวผมเข้าไปไกล้ ท่านบอกกับผมคำสุดท้ายว่า.....อย่าทำกับใคร เหมือนกับที่พ่อทำกับแม่ อยู่กับคนที่ผมรักให้ได้เยอะที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้"
   กายยิ้มให้นัทก่อนจะจับมือนัทแน่นขึ้น
   “ผมรู้ว่าแม่เป็นห่วงผมเรื่องผู้หญิงมากที่สุด ก็ผมออกลายมาตั้งแต่เด็กๆนี่นา" กายว่า "แล้วท่านก็เสีย ผมกับพ่อจัดงานให้ท่าน หลังจากนั้นผมก็ต้องบินกลับไป แล้วเชื่อไหมคุณ....เจนบอกเลิกผมทันทีเลยที่ผมกลับไป ผมงี้แทบล้มทั้งยืน"
   “งั้นเหรอ" นัทรับคำ
   “ผมเหลือเขาเป็นสิ่งสุดท้ายแล้วตอนนั้น เขาก็ดันมาทิ้งผมไปอีก" กายว่า "ผมก็เลยประชดชีวิตด้วยการลุยแต่งานทั้งวันทั้งคืน ทำให้ตายไปเลย แล้วก็ปรากฎว่า มันได้รับคำชื่นชมมากเกินคาด แล้วก็มาเป็นผมทุกวันนี้แหละ"
   “ชีวิตคุณนี่บากบั่นมากเนอะ" นัทว่า "ผมไม่อยากเชื่อเลยอ่ะ ว่า.....นี่จะเป็นเรื่องของคุณ"
   “ผมรู้" กายว่า "ผมก็ไม่ได้อยากได้ชีวิตแบบนี้หรอก แต่มันเป็นไปแล้ว แล้วผมก็ถอยหลังกลับไม่ได้ด้วย"
   นัทพยักหน้าเบา ก่อนจะมองออกไปนอกเรือ
   “ถึงฝั่งแล้วล่ะทุกคน ขนของกันได้แล้ว" เสียงพี่รัตน์ร้องขึ้นทันที กายและนัทลุกขึ้นทันที และช่วยกันขนของส่งไปให้สาและโอ๊ตที่รอรับอยู่บนฝั่ง
   “แล้วที่คุณบอกว่า คุณรู้จักหมู่บ้านที่นี่ล่ะ" นัทถามขึ้น
   “อ๋อ ที่นี่เป็นบ้านเกิดแม่ผมเองแหละ ผมมารู้เอาจากหลวงลุงทีหลัง เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง" กายว่า "พี่รัตน์ เขาอยากจะเปิดเอเจนซี่โฆษณาที่ลาวเป็นเจ้าแรก มันเป็นความคิดที่บ้ามากกับการมาจัดการกับประเทศที่ไม่มีระบบด้านดีไซน์เลย มันเต็มไปด้วยงานที่ต้องใช้แรงคิดเยอะ แล้วพี่รัตน์ก็ติดต่อมาหาผม เพราะเขารู้มาจากอาพัฒน์ว่าผมเป็นคนหนองคาย"
   “บอสเป็นน้องชายแม่คุณเหรอ" นัทตอบขณะก้าวเดินขึ้นฝั่ง
   “ไม่ใช่หรอก" กายตอบ "อาพัฒน์เป็นน้องชายของพ่อผม"
   “อ่อ" นัทพยักหน้ารับ
   พี่รัตน์ชี้ให้ทั้งหมดดูรถสองแถวคันเล็กที่มาคอยรับอยู่ที่ท่าน้ำ ทั้งหมดขึ้นไปบนรถขนาดเล็กที่นั่งได้ไม่เกินแปดคน ที่จะนำทั้งหมดไปยังหมู่บ้านแห่งหนึงที่หลวงพระบาง
   “คุณก็เลยเคยข้ามมาที่นี่แล้วงั้นสิ" นัทถามกายต่อทันที
   “ใช่" กายตอบ "ผมมาที่นี่เมื่อปีที่แล้ว ส่วนใหญ่เราจะวางแผนกันที่ฝั่งไทยก่อนที่จะข้ามมา พี่รัตน์ใช้เวลาเกือบสามปีกว่าออฟฟิศที่หลวงพระบางจะเสร็จ ผมมาถึงที่นี่ก็เสร็จแล้ว ผมเป็นคนออกแบบเองแหละ"
   นัทยิ้มให้กายอีกครั้ง
   “ผมนึกว่าคุณแกล้งตามผมมาซะอีก" นัทว่า สาที่ได้ยินอยู่ถึงกับขยับตัวอย่างตกประหม่า
   “พี่รัตน์ติดต่อผมไปเมื่ออาทิตย์ก่อน เจนก็ยืนยันให้ผมได้กลับบ้านมาซะบ้าง" กายว่า "ผมไม่รู้หรอก ว่าคุณจะมาด้วย"
   กายยื่นหน้าเข้ามาหานัททันที
   “แต่ผมดีใจนะ ที่ได้เจอคุณที่นี่" กายกระซิบเบาๆ
   “จริงเหรอ" นัทว่า "บนเครื่อง คุณไม่เห็นจะดีใจตรงไหนเลย"
   “ก็ตอนนั้นผมเหนื่อยมากนี่" กายว่า "แต่พอผมเห็นคุณน่ั่งอยู่ข้างๆ ผมก็หลับสนิทแบบไม่ต้องกังวลเลยล่ะ"
   “ที่นั่นเป็นยังไงเหรอ" นัทถามพลางมองไปตามถนที่ร่มรื่น
   “เงียบและสงบมาก" กายเล่า "มีเด็กๆน่ารักๆเต็มเลย เราอยู่ใกล้สถานีวิทยุชุมชนเล็กๆ เป็นบ้านพักขนาดใหญ่อยู่โดยที่ด้านล่างเป็นออฟฟิศ พี่รัตน์ใช้ที่นั่นเป็นสตูดิโอ เขามีแผนจะเข้าไปเปิดออฟฟิศที่เวียงจันทร์ตอนปลายปีน่ะ"
   “อ๋อ" นัทรับคำ "นี่สาได้ยินหรือเปล่า งานใหญ่อีกแล้ว"
   “อ....อ้อ...เหรอ" สาที่ทำเป็นถ่ายรูปไปเรื่อยๆแบบไม่ใส่ใจฟัง หันมานัทแล้วทำหน้าราวกับเธอเพิ่งได้ยินบทสนานั้นครั้งแรก "อ่อ...งานใหญ่....ใช่ใช่...งานนี้ใหญ่มาก....”
   “เธอไม่บอกฉันเลยน่ะ ฉันจะได้เตรียมตัวมาช่วยเธอด้วยไง" นัทว่า
   “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก" สาว่า "ฉันก็ไม่ได้กะจะให้แกมาหรอกถ้ารู้ว่า....”
   นัทขมวดคิ้วใส่เธอ
   “รู้อะไรเหรอ"
   “ก็...ถ้ารู้ว่า แกจะต้องมาทำงานหนักๆด้วยไง ฉันอยากให้แกพักผ่อนมากกว่า" สาพูด "ใช่ไหมคะคุณกาย"
   กายพยักหน้าให้สา
   “จริงนะคุณ พี่รัตน์น่ะ เขาชอบทำงานแบบนี้แหละ" กายตอบทั้งสาและนัท "งานที่อิงๆการท่องเที่ยวหน่อย มันไม่ใช่งานที่ซีเรียสมากมาายเหมือนเรานั่งทำในสตูดิโอของเอเจนซี่หรอก มันจะเป็นงานที่ออกแนวกึ่งเล่นกึ่งทำซะมากกว่า ผมมาทำกับพี่รัตน์บ่อยๆ เพราะอยากกลับบ้านแล้วก็พักผ่อนด้วย"
   “แต่มันก็ดีเหมือนกันนะคะ" สาพูด "คุณกายเองก็ไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่เลยนี่"
   “ครับ...ผมมีงานตลอดแหละ" กายตอบ "แต่ว่าถ้าคุณสา คุณมิก น้องเอิร์ธ หรือคุณน่ะ มีงานอะไรให้ผมช่วย ก็โทรมาหาผมนะ ผมจะมาหา"
   “โหย จะดีเหรอคะ พวกเราไม่...”
   “อย่าเลยครับคุณสา ให้ผมมาเถอะ" กายพูด "ไม่เคยมีทีมงานไหนที่ผมอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเท่าพวกคุณจริงๆครับ"
   กายหันมานัทและยิ้มให้ สาเหลือกตาทันที เธอยังคงติดภาพว่ามีกายเท่ากับมีเจนอยู่ทุกทีไป
   “ค่ะ.....พวกเราก็มีความสุขค่ะ" เธอกล่าวพลางหันไปกดชัตเตอร์รอบๆทางต่อ
   “ไม่ต้องพูดเอาหล่อก็ได้คุณ" นัทว่า "ถ้าคุณไม่ว่างมาช่วย พวกผมก็ไม่อยากรบกวนคุณหรอก"
   กายหันมาหานัททันที
   “โกหก" กายพูดเบาๆ "คุณน่ะ ไม่อยากให้ผมไปไหนเลยต่างหาก ถ้าคุณเลือกได้"
   นัทหันมามองหน้ากาย
   “จริงไหมครับคุณนัท" กายยิ้มให้นัทอย่างเจ้าเล่ห์ นัทมองหน้ายียวนอย่างสั่นไหวในใจ เงียบกันไปพักนึง
   “ถ้ารู้แล้ว....ไม่ไปไหนอีกได้ไหมล่ะ" นัทพูดตอบเบาๆเป็นนัยๆ
   “ไม่ได้หรอก" กายพูด รอยยิ้มของนัทจางลง กายเอื้อมมือไปลูบใบหน้านัทเบาๆ "ก็ถ้าผมไม่หายไปบ้าง ผมจะรู้ได้ยังไง ว่าคุณคิดถึงผมแค่ไหนนัท"
   นัทหายใจเข้าช้าๆ
   “การคิดถึงใครซักคนมันไม่สนุกเลยนะคุณ" นัทพูดเบาๆใส่กาย เขาพูดออกมาจากใจจริงๆ
   “ผมรู้" กายกระซิบ "ผมรู้จริงเชื่อผมสิ"
   นัทเอนตัวพิงศรีษะไปที่ไหล่ของกายทันที ก่อนจะหลับตาลง กายโอบไหล่นัทเอาไว้ก่อนจะลูบหัวนัทเบาๆ กายโอบนัทเอาไว้ เขาเข้าใจดี
   เพียงแต่ว่าเขายังคงต้องเดินทาง.....
   คนเราจะต้องเดินทางไปเรื่อย....
   พ่อมดอย่างเขา ยังไม่อยากหยุดเดินทางหรอก.....
…..........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 32 จบตอน) - 9/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 10-11-2011 02:14:18
ตกลงคบกันแล้วใช่มั๊ย  บรรยากาศไม่เหมือนคนคบกันเลย
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 32 จบตอน) - 9/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 10-11-2011 12:11:34
 :m12:เก่งจริงๆเลยนะคุณM2M_Jillน่ะ ล่อหลอกเราซะ  ทำเอาเราเผลอไม่ชอบหน้าเจนไปเลยนะ
อ่า...นะ..พอรู้ตัวตนและภูมิหลังของกาย ประกอบกับรู้ถึงความรู้สึกแท้จริงที่กายมีต่อนัทแล้วก็..
ทำให้ดิฉันอ่านนิยายเรื่องนี้ ด้วยความรู้สึกผ่อนคลายลงเลยแหละ
ขอชมเลยว่าคุณM2M_Jillขมวดปมนิยายได้แน่นกระชับ จนดิฉันรู้สึกอึดอัดแทบแดดิ้น
แล้วคุณก็ค่อยๆคลายปมไปทีละเปลาะๆ ทำให้คนอ่านค่อยๆผ่อนความรู้สึกไปทีละนิดๆ  ซึ่งดีจ้ะ ดีมากเลย
หวังว่า คงไม่หลอกให้ตายใจ แล้วมาขันชะเนาะใหม่อีกทีให้อึดอัดแทบแดดิ้นอีกนะคะ
 
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 33.5) - 4/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-12-2011 01:21:43
บทที่ 33 I love you

   “ผมลองเอาภาพที่สามมาปรินท์ลงบนกระดาษไข แล้ววางทับภาพที่สองลงไป" เอิร์ธหยิบเอากระดาษไขออกมาจากแฟ้ม ก่อนจะหมุดมันลงไปบนแคนวาส "นี่คือสิ่งที่ได้ครับ"
   “โอ้" เสียงของฟ้าร้องเบาเมื่อภาพที่เห็นภาพตรงหน้า "ภาพนี้มัน"
   ภาพงานของเอิร์ธในงานไฟนอลครั้งนี้ที่ปรากฎต่อหน้าป้าและมิกที่สวนริมสะพานวงแหวนอุตสาหกรรมนั้นคือ ภาพวาดสื่อผสมที่ดูคล้ายกับการนำภาพ Loveless Society ของนัทเมื่อหลายปีก่อน มากลับข้างใหม่ ทำให้ภาพคนที่เดินหันหลังให้กันตรงกลางภาพ กลายเป็นภาพที่คนสองคนนั้นหันหน้าเข้าหากัน โดยที่แสงสีที่แสนวุ่นวายนั้นโดนปรับแสงสีใหม่ให้งดงามกว่าเดิมขึ้น
   “ผมมีความเชื่อว่าถ้างานออกมาเป็น Loveless Society ชื่อเดียวกับงานของพี่นัทเมื่อหลายปีก่อน การปรับความหมายใหม่โดยความคิดของคนรุ่นใหม่อาจจะทำให้เห็นอะไรมากขึ้นน่ะครับ" เอิร์ธกล่าวทิ้งท้าย ขณะที่มิกนั่งมองพลางยิ้มกว้าง ฟ้าพยักหน้ารับน้อยๆ
   “อืม เก๋ดีอ่ะ....ผ่าน ผ่านเลยแหละ" เธอว่า "นายว่าไงมิก"
   ฟ้าหันไปหามิกที่มองเอิร์ธเหมือนไม่เคยเห็นเด็คนนี้มาก่อน
   “พี่ให้.....” มิกหรี่ตาลง เอิร์ธยิ้มแหยๆ "….ผ่านคับ"
   “ไชโย" เอิร์ธร้องพลางต่อยหมัดลงกับอากาศ "ขอบคุณมากครับพี่มิก พี่ฟ้า"
   เด็กหนุ่มหันกลับไปเก็ยข้าวของพลางฮัมเพลงอย่างยินดี
   “น้องมิกนี่เจ๋งเนอะ" ฟ้าว่า "อีกนิดเดียวก็จะกลายเป็นก็อปอยู่แล้วอ่ะ แต่หลบหลีกได้อย่างมีชั้นเชิงมาก"
   “หึหึ เรื่องหลบหลีกเนี่ย มันที่หนึ่งเลยล่ะ จะบอกให้" มิกว่าพลางลุกขึ้นทันที "ว่าแต่ก็ต้องขอบใจฟ้ามากนะ ที่อุตส่าห์มาเป็นคอมเมนเตเตอร์ให้กับเราวันนี้อ่ะ"
   “โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก" ฟ้าตอบ "ตอนนี้ที่ออฟฟิศก็ไม่ค่อยมีอะไรให้ทำมากนะ ได้ออกมาทำงานกับมิกนะ สนุกออกจะตาย ทำให้นึกถึงเมื่อก่อนดีออก"
   “งั้นวันนี้ไปฉลองกันหน่อยได้ไหมล่ะ" มิกว่า "วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เอิร์ธจะฝึกงานที่สตูดิโอเราด้วย"
   “จะดีเหรอพี่" เอิร์ธร้องขึ้น "เราจะไม่รอพี่นัทกับพี่สาหน่อยเหรอครับ"
   “นั่นน่ะสิ" ฟ้าว่า "น่าจะรอพวกนัทกับสากลับมาก่อนนะ จะได้สนุกๆไง"
   “งั้นก็....เป็นเลี้ยงจบโปรเจ็คไง แล้วเลี้ยงส่งค่อยอีกรอบนึง" มิกว่า "ดีมะ"
   “ดีคับ" เอิร์ธยิ้มกว้าง พลางมองมาหามิก "ดีมากๆดลยพี่"
   “โห บุญทุ่มซะด้วย ปาร์ตี้ซะหลายรอบเลยนะมิก" ฟ้าหยอก "เออนี่ ไปร้านโปรดฉันไหมล่ะ ฉันรู้จักเจ้าของร้านด้วยนะ เผื่อจะได้ราคาถูกๆ"
   “ที่ไหนเหรอ" มิกถามทันที
   “แถวสุขุมวิท" ฟ้ายิ้ม
   “สุขุมวิท" มิกร้องเสียงดัง "จะได้ถูกจริงๆเหรอวะ"
   “เชื่อเถอะน่า ไม่ผิดหวัง" ฟ้ายิบตาให้ "น้องเอิร์ธ อยากไปกินอาหารหรูๆ แถวสุขุมวิทป่ะจ้ะ"
   “ไปพี่" เอิร์ธตอบเสียงดังทันทีพลางโผล่หน้าออกมาจากมุมหนึ่ง
   “เห็นมะ" ฟ้าหันมาอมยิ้มกับมิก ชายหนุ่มส่ายหน้า
   “ชวนเจ้าตัวแสบนั่นน่ะ ยังไงมันก็ไปอยู่แล้วล่ะฟ้า" มิกยิ้มให้เธอ "แต่เอาสิ ตกลงครับ"
   ฟ้ายิ้มกว้างให้เขา

   เอิร์ธก้มลงเก็บของของตัวเองอย่างร้อนรน วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้ฝึกงานกับ Lovable Studio เขาจะต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่อีกไม่กี่เดือนกับมิกที่บ้าน ก่อนที่จะเปิดเทอม ตอนนี้เขาคิดเอาไว้แล้วว่าจะแก้ปัญหายังไงเมื่อครอบครัวของเขากลับมาจากอังกฤษ เมื่อภาคเรียนปีสี่ของเขาเปิดขึ้น อย่างที่พี่มิกบอก เขาจะต้องกลับมาคิดเรื่องนี้อย่างแน่นอน
   เด็กหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะกลับไปอยู่บ้านช่วงปีสี่ที่เหลืออยู่ เพื่อที่จะใช้เวลาปีสุดท้ายของการใช้เงินพ่อแม่โดยการอยู่กับท่าน แล้วหลังจากนั้น.....
   ...แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เขาก็คงต้องจัดการเรื่องของวันนี้ให้เสร็จสรรพเสียก่อน
   เด็กหนุ่มเอาของของตัวเองขึ้นเจ้าเต่าทองอย่างว่องไว ก่อนจะวิ่งกลับมาทันทีหามิกและฟ้าที่กำลังเดินคุยกันมาอย่างไม่เร่งรีบ
   “อะไรของแกวะ เลิ่กลั่กอยู่ได้ ดีใจจัดหรือไง" มิกร้องทักขึ้น
   “ปล่าวพี่" เอิร์ธว่าพลางเหนื่อยหอบ "พี่ฟ้า บอกผมได้ป่าวว่าร้านมันอยู่ไหนอ่ะ"
   “อ๋อ สุขุมวิทร้อยสามน่ะ ทำไมเหรอ" ฟ้าตอบทันที
   “เดี๋ยวผมตามไปได้ไหมพี่" เอิร์ธว่าพลางยิ้มกว้าง "ขอไปทำธุระก่อน เดี๋ยวตามไป"
   “จะไปไหนวะ" มิกถามต่อ
   “ก็ธุระไงพี่" เอิร์ธหันไปตอบนัยน์ตาเบิกกว้าง
   “ก็ได้นะ ถ้าจะมาแล้วก็โทรหานายก็ได้นี่มิก" ฟ้าว่า แต่มิกยังคงขมวดคิ้วให้เอิร์ธ
   “ไปทำธุระที่ไหนเหรอ" มิกถามอีก
   “โหยพี่มิก ผมจบกับพี่แล้วนะ เลิกเข้มงวดได้แล่ว" เอิร์ธว่า ฟ้าขำเบาๆ
   “ปล่อยน้องไปเถอะน่า....” ฟ้าว่า ขณะที่เอิร์ธยักคิ้วให้มิก ที่มองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณา
   “ถ้าจะมาก็โทรหาด้วยล่ะ" มิกว่า
   “หึหึ" เอิร์ธร้อง "ไปก่อนนะครับ ขอบคุณมาก"
   เด็กหนุ่มวิ่งหายไปทันทีสาวท้าวไปจากสวนนั้นอย่างรวดเร็ว เขารู้จักร้านายของดีดีมากมายที่สามารถหาของที่เขาอยากได้ ของเฉพาะที่ทำได้ในแบบที่เขาต้องการเท่านั้น มิกจึงอยากใช้เวลาให้ร้านที่เขารู้จักทำของให้เขามากเท่าที่งานจะออกมาดีอย่างที่เขาต้องการ งานที่เขาอยากจะทำขึ้นมาจริงๆ
…............
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 33 จบตอน) - 4/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 04-12-2011 03:15:31
งานถ่ายภาพตลอดบ่ายของทีมงานย่อยๆจาก Lovable Studio เป็นไปอย่างสนุกสนาน งานทำบุญเลี้ยงพระที่วัดริมฝั่งโขงเป็นไปอยางเรียบง่าย สาประทับใจกับภาพทุกภาพที่เธอกดชัตเตอร์ลงไปอย่างแช่มชื่น โอ๊ตผู้เป็นนายแบบก็ฉายแววตาที่เปี่ยมความสุขตลอดการเดินทางไปรอบๆหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ ตั้งแต่เดินไปพร้อมกับกองทัพชาวบ้านไปยังวัดเพื่อทำบุญถวายอาหารเช้า หรือแม้กระทั่งปั่นจักรยานไปพร้อมเด็กๆที่ตื่นเต้นที่จะได้เจอกับดาราที่พวกเขาก็แทบไม่รู้จัก
   “ผมมีความสุขมากจริงๆครับ"
   โอ๊ตกล่าวขณะเดินตัวเปียกโชกขึ้นมาจากฝั่งโขงเมื่อเด็กๆจับเขาโยนลงไปอย่างสนุกสนาน สาเองก็ยิ้มร่าเมื่อพี่รัตน์ กล่าวชมเธอไม่ขาดปากเมื่อได้เห็นรูปคร่าวๆแม้ว่าเธอจะยังไม่ได้ตัดต่อมันจากกล้อง และถึงแม้ว่ากายจะไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อช่วยสาทำงาน แต่เมื่อเสร็จงานทำบุญ เขาก็แอบให้คำแนะนำสาเล็กๆน้อย แบบมืออาีพสู่มืออาชีพให้กับสาไปด้วย เธอยอมรับกายเป็นเพื่อนของเธอไปแล้วในที่สุด
   “กายกาย ฉันว่าตรงนี้ไม่สวยนะ แก้ไม่ได้เหรอ นายต้องตาเขแน่เลย"
   เธอพูดกับกายขณะเดินกลับมาจากหลังอมู่บ้านด้วยกันแบบสนิทสนม ซึ่งกายก็ไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงหรืออึดอัดกับการถูกเรียกแบบนี้เลยแม้แต่น้อย
   ในขณะที่นัทก็มีความสุขกับการเดินเท้าถ่ายรูปไปรอบๆหมู่บ้านกับพี่รัตน์ หมู่บ้านนี้ไม่ได้กว้างใหญ่เลย ทุกครอบครัวดูเหมือนจะรู้จักกันหมดทั้งหมู่บ้านและเป็นเครือญาติเดียวกันเสียด้วย และเหมือนกับมีเวทย์มนต์ เขารู้สึกหลงรักที่นี่มาก หมู่บ้านที่นี่อบอวลไปด้วยความอบอุ่น ที่ไม่มีแน่นอนที่กรุงเทพ เขาแทบจะท้องแตกตาย เมื่อบ้านหลังที่แปดที่พี่รัตน์แวะเข้าไปหาเอาผลไม้มาให้เลี้ยงรับเขาอีก
   “เราไม่กินไม่ได้นะคุณนัท เขาจะหาว่าเราไม่เป็นมิตรนะ"
   นัทจึงกินของทุกบ้านอย่างเสียไม่ได้ แต่มันมีความสุขมากจริงๆ และที่ยิ่งดูประหลาดมากขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะหมู่บ้านมันเล็กหรืออย่างไรไม่ทราบ ดูเหมือนว่ากายจะต้องมาปรากฎตัวใกล้ๆเขาอย่างน้อยก็ห้านาทีก่อนจะหายไปกับสาอีก แล้วก็จะกลับมาใหม่อีกในอีกสิบห้านาที เป็นแบบนี้ไปจนถึงบ่าย พ่อมดในคราบมนุษย์ธรรมดา เที่ยวแนะนำสถานที่ต่างๆในหมู่บ้านกับนัทไปพร้อมกันกับพี่รัตน์ จนทำเอานัทสามารถจดจำแผนที่คราวๆในหมู่บ้านนี้ได้ และเริ่มมั่นใจว่าตัวเองคงไม่หลงอย่างแน่นอน
   “ขอบใจมากนะหนู....” นัทยิ้มให้พลางเกาหัวแกรกๆ "แย่ละ....ก็เมื่อกี้มันเดินมาทางนี้นี่ ไม่น่ามาขอเข้าห้องน้ำเลยน้าไอ้นัท"
   ชายหนุ่มพูดกับตัวเองพลางมองไปรอบๆ พลางออกเดินไปเรื่อยๆ ดีที่อากาศไม่ร้อน อย่างน้อยๆเขาก็น่าจะไปถึงบ้านไหนซักบ้านที่แวะมาตลอดเช้า และเขาก็น่าจะนำทางไปยังบ้านพักของพี่รัตน์ได้อยู่ จนกระทั่ง
   เอี๊ยดดดด.......
   “ให้ไปส่งไหมคร้าบบบบ" เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นทันที กายมาพร้อมจักรยานคันงามที่จอดลงข้างๆนัททันที
   “อ้าว" นัทร้องขึ้นพลาง "ถ่ายงานเสร็จแล้วเหรอคุณ"
   “อื้ม ผมไปส่งพี่รัตน์มาน่ะ แกเริ่มเดินไม่ไหวละ ผมเห็นคุณเดินหลงมาทางนี้ ก็คิดว่าคุณน่าจะจำทางกลับไม่ได้แน่เลย" กายตอบ
   “ก็....มึนๆอ่ะ" นัทว่าพลางมองไปรอบๆตัว
   “ขึ้นมาเถอะคุณ ไปทานของว่างกัน" กายว่า นัททำหน้าเหยเก
   “กินอีกแล้วเหรอ" นัทร้อง กายขำเบาๆก่อนจะเอียงศรีษะส่งสัญญาณให้นัทซ้อนท้าย นัทกระโดดขึ้นทันทีโดยไม่รีรอ
   กายค่อยๆปั่นจักรยานไปตามถนนที่ตัดใจกลางหมู่บ้านเพื่อไปยังบ้านพักที่อยู่ถัดออกไป
   “ชอบที่นี่ไหม" กายพูดขึ้น
   “คุณถามเป็นรอบที่ล้านแล้วกาย" นัทว่า
   “ก็ผมอยากแน่ใจนี่" กายว่า
   “ชอบครับ" นัทว่าพลางยิ้มกว้าง ขณะที่มองไปรอบๆ "แต่ผมงงน่ะกาย ทำไมพี่รัตน์ถึงเลือกมาเปิดออฟฟิศที่นี่ล่ะ สถานีโทรทัศน์ชุมชนก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ"
   “ใช่คุณ แต่ว่าที่นี่มีศูนย์วิทยุชุมชนนะ" กายว่า "พี่รัตน์อยากเริ่มต้นด้วยการให้คนที่นี่เห็นเราเป็นครอบครัวกับเขาก่อน ชาวบ้านที่นี่ไม่ชอบใครที่เข้ามาที่นี่ในมาดนักธุรกิจหรอก พวกเขาจะคิดว่าเรามาทำไม่ดีเกี่ยวกับที่ดินของพวกเขา"
   “เราเริ่มงานโฆษณาด้วยสปอตวิทยุงั้นสินะ" นัทถามต่อ
   “ช่าย" กายว่า "เห็นแบบนี้ไม่ง่ายเลยนะคุณ การจะออกวิทยุให้คนในชุมชนเข้าใจน่ะ เป็นการสื่อสารที่ยากมาก ยิ่งต่างถิ่นกันแบบนี้ด้วย"
   “แต่ผมเห็นคุณพูดลาวได้นี่" นัทถามอีก
   “อันนั้นก็ใช่คุณ แต่วัฒนธรรม แล้วก็ความเป็นอยู่มันต่างกันนะ" กายว่า "แต่พอดีผมเป็นพวกปรับตัวเก่งน่ะ"
   “อ่อ" นัทพ่นลมเบาๆ "ผมว่ากะล่อนเก่งมากกว่านะ"
   “เอ๊ะคุณนี่หลายรอบแล้วนะ" กายว่า "เดี๋ยวเหอะคุณ คืนนี้หนักแน่"
   นัทต่อยไหล่กายทีนึง
   “คิดได้แต่เรื่องนี้นะคุณ" นัทว่า
   “ช่วยไม่ได้นี่ ก็ผมคิดได้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับคุณ..." กายว่า "...ที่ทำกับผม"
   นัทกลอกตาเบาๆ
   “นี่คุณอย่าคิดนะว่า การที่คุณเอาเรื่องราวชีวิตที่น่าประทับใจของคุณที่นี่มาบอกกัน แล้วจะทำให้ผมยกโทษให้ง่ายๆน่ะ" นัทว่า
   “อ้อเหรอ" กายขึ้นเสียงล้อเลียน "นี่คุณยอมรับแล้วเหรอว่าโกรธผม"
   “นี่คุณ.....”
   กายหัวเราะทัันที
   “คุณทำให้ผมนึกถึงตอนเราเจอกันใหม่เลยนะ" กายว่า "คุณก็เถียงหัวชนฝาอย่างนี้เรื่อย แต่พอผมแซะคุณไปเรื่อยๆ คุณก็......”
   “ก็อะไร" นัทถามเสียงเข้ม
   “เปล๊า" กายขึ้นเสียงสูง ก่อนจะอมยิ้มอย่างเป็นสุข และขับจักรยานต่อไป
   จักรยานจอดนิ่งสนิทที่ประตูบ้านพัก พี่รัตน์รีบรุดลงมาทันที พลางนำทั้งคู่เข้าไปในตัวบ้าน สาที่กำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการตัดต่อภาพ กำลังจมอยู่กับแมคในห้องสตูดิโอเล็กริเวณใต้ถุนบ้านที่ถูกแปรสภาพให้เป็นสตูดิโอเล็กๆชั่วคราว
ขณะที่โอ๊ตก็นั่งอยู่ข้างๆพลางกดบีบีคุยกับแฟนสาว
   “เออกาย พี่จัดให้เด็กๆยกของไปไว้ตามที่กายบอกแล้วนะ" พี่รัตน์ว่า "อ่ะนี่ กุญแจ"
   “ครับ ขอบคุณมากครับ" กายรับมาทันที พลางหันกลับมาหานัท "คุณจะขึ้นไปอาบน้ำหรือเปล่า ไปเอาของไหม"
   “ไม่อ่ะ สามันยังทำงานอยู่ข่างล่าง เดี๋ยวผมขึ้นไปพร้อมเขาเองดีกว่า" นัทตอบ
   “คุณจะรอสาทำไมอ่ะ" กายถามต่อ
   “อ้าว ก็ผมนอนห้องเดียวกับเธอ" นัทว่า
   “เปล่า" กายอมยิ้ม พลางหมุนตัวมาหานัทพลางยิ้มให้ พร้อมกับส่งสายตาเป็นประกาย "คุณนอนห้องเดียวกับผม"
   “หะ" นัทร้องขึ้น "นี่คุณ......”
   “ก็ห้องมันมีสามห้อง สาเขาเป็นผู้หญิง เขาก็ควรจะได้นอนคนเดียว พี่รัตน์ก็นอนกับโอ๊ต ผมก็นอนกับคุณไง" กายว่า "พอดีผมไม่ชอบนอนกับคนอื่นน่ะ"
   “แล้วไหงนอนกับผมล่ะ" นัทถามเสียงเข้ม
   “ก็ผมเคยนอนกัยคุณมาแล้วนี่นา" กายยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ "หรือที่จริงแล้วไม่ได้นอนกันนะ ผมก็จำไม่ค่อยได้เหมือนกัน"
   “ไอ้หื่นเอ้ย" นัทกระแทกไหล่กายไปครั้งหนึ่งก่อนจะเบียดตัวเดินไปหาสา โดยไม่สนใจกายที่ยืนยิ้มอย่างพึงพอใจในแผนของตัวเองอยู่อย่างนั้น
   “เป็นไงแก" นัททักขึ้นเมื่อนั่งลงข้างๆสา
   “สุดยอดแก" สาว่า "เป็นที่ที่สุดยอดมาก วิถีชีวิต ประเพณี ทุกอย่างกมกลืนเป็นเนื้อเดียวจนดูเป็นธรรมชาติมาก ดูรูปพวกนี้สินัท ดูรอยยิ้มชาวบ้าน รอยยิ้มเด็กๆ กับคนต่างถิ่นอย่างน้องโอ๊ต พวกเขาถ่ายถอดอารมณ์เป็นมิตรให้กันและกันออกมาน่ะนัทดูสิ"
   สาพร่ำเพ้อกับงานตัวเอง นัทมองไปยังรูปเหล่านั้น ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
   “ฉันขอบใจแกมากนัท ถ้าไม่ได้แกฉันคงไม่ได้งานนี้น่ะ" สาพูดขึ้นมา
   “พูดอะไรของแกวะ" นัทขมวดคิ้ว "ทำไมแกถึงจะได้งานนี้เพราะฉัน แกรับงานนี้มาเองนะ ประสาทไง"
   “อะ....เอ้อ...จริงสิ..คือ" สาพูดติดๆขัดๆ พลางมองหน้านัท "ไม่คือ....ฉันหมายความว่า ก็ทั้งหมดก็เพราะแกไง.....คือ ฉันหมายความว่า แกเป็นคนทำให้ฉันประสบความสำเร็จไง ฉันถึงเป็นที่รู้จักแล้วได้มาทำงานกับคุณไชยรัตน์ ก็เพราะว่าแกตัดสินใจขึ้นไปทำงานกับกายวันนั้นน่ะ"
   นัทขมวดคิ้วทีนึง พลางมองสา ที่เลิกคิ้วใส่เขา
   “จริงๆ" เธอกล่าวก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ
   “อื้อ" นัทรับคำเบาๆ "นานมากแล้วนะ จากวันนั้นนะ"
   “ช่าย" สาตอบ "บอกเขาหรือยังล่ะ"
   สาถามขึ้นแม้ตาเธอจะยังอยู่ที่คอม
   “บอก....บอกอะไร" นัทหันมาถามสา
   “ก็บอกนั่นน่ะ" สาเพยิดหน้าน้อยๆไปทางกายที่กำลังนั่งคุยเรื่องงานกับพี่รัตน์อยู่มุมหนึ่งของบ้าน
   “กายอะเหรอ บอกอะไร" นัทถาม
   “รักไง" สาว่า
   “เห้ย บ้า...ฉันไม่ได้......”
   สาเหล่ตามามองนัทอย่างเบื่อหน่าย ชายหนุ่มเห็นสายตาเธอก็ยิ้มเบาๆพลางก้มหน้าลง
   “ยัง" ชายหนุ่มพูดเบาๆ "ก็......มาถึงขนาดนี้แล้วยังต้อง....”
   “ไม่ได้นะ" สาหันมาพูดกับเขาเสียงแข็ง นัทตกใจเล็กน้อย "ไม่ได้นะนัท บอกเขาเถอะ"
   “เห้ย ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนยังไง เขารู้ว่าฉันเป็นคนยังไงแล้วสา” นัทว่า “เราสองคนรู้แล้วว่าต้องทำยังไงถ้า....”   
   “นายเพิ่งจะเจอการจากลาแค่ครั้งเดียวเองนะ แล้วมันก็แค่ครั้งเดียวที่สั้นซะด้วย" สาว่า "นัท เราสามคนกำลังจะเจออะไรข้างหน้าอีกเยอะ การเปลี่ยนแปลงอีกนับไม่ถ้วน ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกำลังลงตัวนายต้องทำให้ทุกอย่างมันจบลงที่นี่นะ"
   “เค้าไม่อยากฟังหรอกสา เขามันเพลย์บอย ไม่มีเพลย์บอยอยากถูกผูกมัดด้วยคำว่ารักหรอก" นัทว่า "ยิ่งฉันบอกเขา เขาจะยิ่งไปจากฉันมากกว่า"
   “แต่เขาบอกรักแกนะเว่ย.....” สาหันมาพูดกับนัทด้วยเสียงกระซิบ "ใช่ไหมละ ฉันดูแกก็รู้แล้ว กำแพงแกทลายหมดแล้วนี่วันนี้น่ะ เขาต้องทลายมันด้วยคำว่ารักแน่ๆ"
   “อย่าน้ำเน่าน่า" นัทว่า
   “เถียงสิ" สาว่า พลางจับเมาส์ต่อ "เขาลงทุนผูกตัวเองก่อนแกเลยนะเว่ย"
   นัทเงียบไปพักนึง
   “มันไม่มีวันที่ฉันจะได้เจอความรักที่สมบูรณ์แบบหรอก และทั้งหมดที่ผ่านมา มันก็ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ มันก็แค่ การคลายเหงา ท่ามกลางสัมคมแบบนี้เท่านั้นเอง" นัทว่า "ทั้งเขาและก็ฉันนะสา"
   “แล้วแกรออะไรล่ะ เมื่อรู้อย่างนี้แล้วน่ะ" สาว่า "ถ้าเกิดว่าความสมบูรณ์แบบที่แกรอมันไม่ได้มีอยู่จริง แล้วนี่คือสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่แกจะหาได้แล้วล่ะนัท"
   นัทมองหน้าสาเพื่อนของเขา
   “ทำซะ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงข้างหน้าจะมาทำให้เขาหายไปอีก" สาว่า "แกต้องทำเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นแกกับเขาอาจจะไม่ได้กลับมาเจอกันอีกก็ได้นะ"
   “เธอพูดเหมือนกับว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เขากับฉันจะเจอกันงั้นแหละ" นัทว่า "อย่างกับว่า ที่เขามาเจอฉันได้แบบนี้ต้องมีการนัดแนะกันมาก่อนน่ะสา"
   สาอ้าปากโดยไม่มีอะไรเล็ดลอดออกมา นัทมองหน้าเธอทันที
   “แล้วแต่จะคิดเว้ย" สาถอนหายใจพลางหันกลับไปยังคอมอีกรอบ
   “อ้าว" นัทพ่นลม "อะไรของแกวะ"
   “ฉันเตือนแกได้แค่นี้" สาว่าพลางทำงานต่อ "บอกเขาซะ จริงๆนะ"
   นัทมองไปยังกายที่อยู่ไกลออกไป เงียบกันไปพักนึง เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “ฉันก็อยากบอกเหมือนกันเว่ย"  นัทพูดเบาๆ
   “แล้วรออะไร" สาก็ถามลากเสียงเบาๆ
   “เพราะฉันรู้ว่าเขาอยากฟังไงล่ะ" นัทว่า สาหันมามองเพื่อนรัก
   “คนเราวิ่งหาอะไรได้ไม่นานหรอก ถ้ารู้ว่าจะหมดหวัง" สาว่าพลางส่ายหน้า
   “มันแย่ก็ตรงนี้แหละ" นัทว่า "กายเขารู้....ว่าเขาไม่มีทางหมดหวังน่ะสิ.......”
….............

   “ขอบคุณมากนะฟ้า มันเป็นร้านที่สุดยอดจริงๆ" มิกว่า "น่าเสียดายที่เจ้าเอิร์ธมัวแต่ไปฉลองกับเพื่อน มันต้องเสียใจแน่ๆ"
   “อื้อ" ฟ้าว่า "เอาไว้ครั้งหน้าค่อยชวนเอิร์ธมาใหม่ก็ได้นี่"
   “กลัวจะไม่ได้ถูกอย่างนี้น่ะสิ ฮ่าฮ่า" มิกหัวเราะ
   “ได้สิ" ฟ้าว่า พลางมองเข้าไปในดวงตาเอิร์ธ "ยังไงสำหรับมิก ก็ได้อยู่แล้วล่ะ"
   “อ่านะ" มิกว่าพลางอมยิ้มก่อนจะมองไปยังน้ำพุหน้าร้าน มองกันไปพักนึง
   “คิดไรอยู่เหรอ" ฟ้าถามขึ้น
   “ฟ้า" มิกเอ่ยขึ้น "ฟ้าเคยสับสนบ้างป่าว"
   “สับสน?” ฟ้าทวนคำ "บ่อยออก มิกกำลังสับสนเหรอ เรื่องอะไร"
   “บางทีฉันอยากรู้มาก ว่าเขาคิดยังไงกับเราอ่ะ" มิกพูด
   “จริงป่ะเนี่ย" ฟ้าว่า มิกหันมามองเธอ
   “ทำไมอ่ะ" มิกถามเบาๆ
   “ก็ปกติอ่ะ มิกไม่เคยแคร์ ว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับตัวเองไม่ใช่เหรอ อินดี้น่ะ" ฟ้าว่าพลางขำเบาๆ "งี้แสดงว่าคนคนนั้น ต้องเป้นคนที่มิกให้ความสำคัญมากแน่ๆ"
   “ก็....ประมาณนั้นอ่ะ" มิกว่า
   “แล้วมันยังไงอ่ะ เผื่อฟ้าจะช่วยได้" เธอยิ้มกว้าง
   “ก็...บางทีการกระทำกับคำพูดมันก็ขัดกันน่ะ เราก็เลยแบบว่า....สับสน" มิกพูด "เราอยากรู้อะไรที่มันแน่ๆ ชัดๆอ่ะ"
   มิกยิ้มให้เธอ
   “ยาก" ฟ้าพูด "กับมิกน่ะยาก"
   “ทำไมอ่ะ" มิกถาม
   “ฟ้าเคยเป็นฟ้ารู้ เราสองคนเหมือนกันจะตาย" ฟ้าว่า "บางที ที่เรายังสับสน อาจจะเป็นเพราะเราไม่กล้าเองก็ได้นะ"
   “ไม่กล้างั้นเหรอ.....” มิกร้อง

   …..เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในซอยอย่างหวาดหวั่น แม้ว่าใบหน้าจะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม.....

   “ก็ในเมื่อเราอยากรู้ในการกระทำของคนอื่นที่ไม่แน่ชัดกับเรา มันจะเป็นอารมณ์ที่อยู่ตรงกลางระหว่างความกล้ากับความกลัว" ฟ้าว่า "บางคนเลือกที่จะทนสับสนต่อไปเพื่อให้ซักวันมันกระจ่างชัดขึ้นเอง ในขณะที่บางคนก็จะตัดสินใจเดินเข้าไปเพื่อหาความจริง และตรงนั้นแหละ จุดไคลแมกซ์"
   มิกนั่งฟังอย่างตั้งใจ
   “เพราะเราอาจจะเจ็บกลับมาหรือว่าดีใจอย่างหลุดโลกไปเลย" ฟ้าว่า "ที่สำหรับมิกฟ้าว่ายาก ก็เพราะฟ้าเคยเป็น...”
   “แล้วฟ้าเป็นแบบไหนล่ะ" มิกยื่นหน้าเข้ามาใกล้เธอ
   “ฟ้ากลัวที่จะเจ็บไง" เธอตอบ มิกผงะเล็กน้อย

   …..เด็กหนุ่มเดินวนไปมาอยู่หน้าร้านสองสามทีอย่างตกประหม่า.......

   “ฟ้าก็เลยลองแบบแย็บๆดูอย่างเดียว ไม่เคยกล้าที่จะเข้าไปตรงๆ" ฟ้าตอบ "สิ่งที่เกลียดที่สุดของเราก็คือไม่ชอบถ้าไม่ได้ยอมรับแล้วต้องผิดหวัง ฟ้าก็เลย ไม่อยากจะเจ็บ สร้างเกราะให้ตัวเองเต็มที่เลยล่ะ เพราะเวลาโดนปฎิเสธ มันเป็นความรู้สึกที่แย่มาก"

   “...ฉันไม่รู้ว่ะ" นัทตอบ มันเป็นความรู้สึกจากใจเขาจริงๆ ความรู้สึกที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกายเลย มิกก้มหน้าลง "ใช่...ดีใจ...และที่จริงก็รู้มานานแล้วแหละ ว่าแกเอ่อ....รู้ดีดีกับฉัน....และก็ซึ้งมากที่แกปกปป้องฉันออกจากเรื่องนี้ แต่ฉันไม่รู้....ฉันไม่แน่ใจกับเรื่องนี้.....ฉันเอ่อ....ฉันไม่รู้จริงๆ"
   มิกเงียบลง


   มิกมองหน้าเธอพลางเงียบสนิท
   ฟ้าเอื้อมมือไปจับมือของมิก ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากขึ้น

   …..เด็กหนุุ่มตัดสินใจเดินเข้าไปในร้านที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าที่แดงกำ่ไปด้วยความตื่นเต้น พร้อมแล้วที่จะเริ่มต้น.....

   “และบางครั้งก็เหมือนหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลาที่ต้องเจอกับเรื่องราวที่ไม่สามารถทำอะไรเอาแต่ใจได้ ทั้งกับตัวเองและคนอื่น" ฟ้าอธิบาย
   
   “ทำไมวะ" มิกร้อง "มันจะดึงดันให้ตัวเองเจ็บทำไมวะหะ"
   สาหันไปหามาร์คพลางยื่นกล้องให้เขาเก็บ ขณะที่เธอเก็บของส่วนตัว
   “ฉันเชื่อว่า มันก็กำลังถามแกด้วยคำถามเดียวกันเหมือนกัน" สาพูดเรียบๆพลางออกเดินไปจากสตู "และฉันเองก็อยากถามแกด้วยเหมือนกัน"
   สาปิดประตูสตูดิโอลง ทิ้งให้มิกจมอยู่กับความเจ็บปวดเพียงลำพัง


   "เพราะนั่นมันเหมือนกับการตอกย้ำตัวเองว่า เราทำอย่างนั้นไม่ได้ และไม่อยากให้คนอื่นเป็นอย่างนั้น"

   มิกมองไปทั่วตัวของเอิร์ธ
   “ที่นายทำเนี่ย คือพยายามเข้าไปอยู่ในที่ที่แฟนของนายอยู่ใช่หรือเปล่าหะ" มิกพูด "นายพยายามทำให้ตัวเองไปอยู่ในโลกที่เขาเป็นเหรอ ดูสารรูปตัวเองบ้างดิ ทุเรศว่ะ"
   “พี่ว่าอะไรนะ" เอิร์ธพูด
   “นายเป็นคนบอกเลิกเค้า แล้วกลืนคำพูดตัวเองทำไมวะ เป็นผู้ชายอ่ะ ตัดสินใจอะไรไปแล้ว ก็อย่าถอยหลังกลับดิ" มิกพูก "ไหนบอกว่าคนเราอยู่อย่างคนแพ้บ้างก็ได้ไง เนี่ยเหรอ อยู่อย่างคนแพ้ของนายอ่ะ"
   

   มิกก้มหน้าลง ใบหน้าซีดเผือด
   “และบางครั้งก็รู้ว่ามันเป็นการเห็นแก่ตัว" ฟ้าพูด "แต่เราก็แค่ต้องการยืนอยู่ในที่ที่รู้สึกสบายใจเท่านั้นเอง"

   “จนกว่าฉันจะได้รับคำยืนยันว่า นายจะไม่ทำให้ไอ้นัทต้องเจ็บ" มิกว่า
   “งั้นผมไม่ยืนยัน" กายตอบ มิกกัดฟันทันที
   “ดี งั้นเราคงได้เห็นดีกันกาย" มิกสาวเท้าไปยังประตูทันที "ไม่นึกเลยนะ ว่านายจะเห็นแก่ตัวแบบนี้"
   “นายต่างหากที่เห็นแก่ตัวมิก" กายพูดพลางหันไปยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ให้มิก "นายคิดจะมีความรักโดยไม่ยอมให้ตัวเองเจ็บเลยน่ะ มันเห็นแก่ตัวมากนะ"

   “เธอเคยคิดจะพิสูจน์บางหรือเปล่า" มิกถามขึ้น "กับเรื่องทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น"
   “มันก็ต้องประเมิณเอง" ฟ้าว่า พลางยื่นหน้าเข้าไปหามิก "ว่าเขาต้องการให้เราพิสูจน์ไหม"
   ฟ้าประกบริมฝีปากกับมิกทันที เหนือเชิงเทียนที่ถูกจุดเอาไว้ ทั้งคู่หลับตาเพื่อหาความจริงภายใต้จุมพิตที่หอมหวาน

   ….เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น ก่อนจะหันหลังออกจากจุดที่ยืนอยู่ แม้ว่าแทบจะหมดแรงยืนอีกต่อไป.....

   ก่อนจะผละออกจากกัน มิกมองหน้าเธอ นัยน์ตาของฟ้ามีน้ำตาเอ่อคลอน้อยๆ
   “เพราะสุดท้ายส่วนใหญ่แล้ว" ฟ้าว่าพลางยิ้มกว้าง "เขาจะจบลงด้วยความเจ็บปวดกัน"
   มิกเงียบไปพักนึง ก่อนจะหายใจเข้า
   “ท..ท....ทั้งๆที่....มันคือ....ค...คำว่า..ร....รักน่ะเหรอ" มิกส่งสายตาถามเธออย่างมีความหมาย
   “คำว่ารักไม่มีความหมายหรอก" ฟ้าพูด "ถ้าถูกเอ่ยขึ้นมาในเวลาที่ไม่ใช่.....”
   มิกหายใจช้าๆ ฟ้ายิ้มให้เขา
   “ฉันรักนาย" ฟ้าว่า มิกมองหน้าเธอ "ไม่มีประโยชน์แล้วล่ะ........บอกสิ ช้าไป หรือ เร็วไป"
   “ล...ล....แล้วถ้าช้าไปล่ะ" มิกถามเบา
   “ก็ต้องวิ่งตาม" ฟ้าตอบ มิกรีบลุกขึ้นทันที "แต่ไม่รู้หรอกนะ.....ว่าจะทันไหม"
   มิกออกวิ่งไปทันที.....
   ฟ้านั่งยิ้มอยู่เพียงลำพัง........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 33 จบตอน) - 4/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 04-12-2011 10:48:49
เฮ้อออ  เหนื่อยใจ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 34 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-12-2011 00:56:53
บทที่ 34 Dare You To Move

   สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ได้ตั้งเค้ามาก่อน เอิร์ธเดินไปตามถนนอย่างช้าๆ อย่างไม่มีจุดหมาย เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น จนของบางอย่างที่อยู่ในอุ้งมือถึงกับเจ็บแปล๊บขึ้นมา เด็กหนุ่มโบกแท๊กซี่ได้คันหนึ่ง ขณะที่เสียงตะโกนดังมากจากด้านหลังแว่วๆ เสียงตะโกนที่กำลังดังฝ่าสายฝนร้องเรียกชื่อของเขา

   มิกรีบวิ่งไปให้ทันแต่ทว่ารถก็ออกตัวไปก่อนแล้ว ชายหนุ่มส่ายหน้าหนึ่งครั้งก่อนจะควักโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทรออก แต่ก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ เอิร์ธได้โทรมาหาเขาแล้วเมื่อครู่นี้....
   “ฟ้า....” มิกพูดพลางเงยหน้า หญิงสาวเพื่อนสนิทของเขายืนกางร่มมองมิกที่กำลังตากฝนอยู่เบาๆ มิกมองใบหน้าเธอผ่านสายฝนที่ไหลอาบร่างกาย
   “เธอรู้ว่ามันจะมา...." มิกพูดเบาๆ "….เธอรู้ว่ามันกำลังมา"
   “ฟ้าขอโทษ" เธอเอ่ยเบาๆ
   มิกหลับตาพลางจับหน้าผากของตัวเอง
   “ฟ้า" ชายหนุ่มร้องเสียงดัง "เราไม่เข้าใจ ทำไมอ่ะฟ้า"
   “ก็อย่างที่ฟ้าบอก บางครั้ง คนเราก็อยากพิสูจน์นะมิก" ฟ้าเอ่ยขึ้นเบา
   มิกส่ายหน้าให้เธอก่อนจะวิ่งไปยังเจ้าเต่าทอง ฟ้ามองตามไป
   “ฟ้าก็แค่อยากแน่ใจมิกว่า....”
   “เราไม่ได้รักฟ้า" มิกหันกับตะโกนใส่เธอท่ามกลางสายฝน "เราสองคนเป็นเพื่อนกัน และแกก็คือเพื่อนที่ดีคนนึงของฉัน"
   หญิงสาวเงียบลง
   “ทำไมแกต้องทำแบบนี้ด้วยวะฟ้า" มิกร้อง "ทำไมไม่ถามกันตรงๆ ทำไมแกต้องพิสูจน์ด้วยวิธีแบบนี้ รู้ไหมว่ามัน...."
   “เจ็บ....” ฟ้าตอบ "รู้สิ.....ฟ้าถึงอยากรู้ ว่าจริงๆแล้ว มิกรักใครกันแน่"
   มิกเงยหน้าขึ้นจากการไขกุญแจ
   “เด็กคนนั้นสำคัญกับมิกมากจริงๆสินะ" ฟ้าพูด "ฟ้าก็แค่อยากมั่นใจเรื่องนี้เท่านั้น  แล้วต่อจากนี้ฟ้าจะ...."
   “แกอย่ามายุ่งเรื่องของฉันกับเอิร์ธฟ้า ขอร้อง" มิกหันมาพูดกับเธอ "ฉันขอ......ฉัน......ฉันรักเด็กคนนี้"
   ฟ้าผงะไปพักนึง
   “เด็กคนนี้นั่นแหละ ใช่เว่ย......เป็นเด็กคนนี้แหละที่ฉันรักมัน” มิกบอกเธอเสียงแข็ง "พอใจหรือยัง"
   “มันไม่มีทางสมหวังหรอกมิก นายกับฉันเห็นน้องคนนี้มาตลอดกับงานศิลป์ของเขา น้องเขาจะทำให้นาย....” ฟ้าพยายามอธิบาย
   “ถ้าเธอจะพยายามบอกว่า เธอคือคนที่พอดีกับฉัน แล้วเธอหายไปไหนมาล่ะ ตลอดเวลาสี่ปีมานี่" มิกว่าใส่เธอ
   “มิก" ฟ้าเรียกชื่อเขาเบาๆ
   “ฉันจะบอกความจริงเธอข้อนึงฟ้า มันเคยแว้บนึง ที่ฉันก็คิเหมือนกัน ว่าแกอาจจะเป็นคนที่ฉันจะขอเป็นแฟนเว่ย" มิกว่า "แต่แกหายไป แกเป็นเพื่อนกับฉันนานพอๆกับสา กับนัท......แต่แกไม่อยู่ฟ้า........แกไม่อยู่...และนั่นคือเหตุผลที่เราสองคนเป็นเพื่อนกันตอนนี้.....มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว ที่แกกับฉันไปไหนมาไหนด้วยกัน ไม่ใช่แล้วฟ้า"
   “แต่น้องคนนั้น ก็กำลังจะจากนายไปเหมือนกัน แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ" ฟ้าร้องบ้าง
   “ต่างกันตรงที่ฉันจะวิ่งตามมันไง" มิกตอบ
   “ถ้าไม่รักกัน ก็ไม่ต้องยกตัวอย่างคนที่ทำให้เขามากกว่ากว่าหรอกน่า" ฟ้าว่า
   มิกส่ายหน้าให้เธอ ก่อนจะก้าวขึ้นรถ
   “ฉันรักแกฟ้า แต่ตอนนี้ มันไม่เหมือนเดิมแล้วเว่ย" มิกว่าและบึ่งเจ้าเต่าทองออกจากร้านไปทันที
   หญิงสาวก้มหน้าลงร้องไห้ทันที
   มิกรีบรุดกลับไปยังบ้านของเขาทันที แต่ท้องถนนสุขุมวิทตอนนี้เต็ไปด้วยรถที่ติดหนาแน่น มิกใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะพาตัวเองมาถึงถนนเจริญกรุง ชายหนุ่มเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านของตัวเองอย่างไม่รีรอ ประตุบ้านเปิดผางออกทันที
   เด็กหนุ่มคนหนึ่งกับกระเป๋าใบโตกำลังขนของมากองรวมกันที่กลางบ้าน เอิร์ธชะงักทันทีเมื่อมิกมาปรากฎกายตรงหน้า
   “มาแล้วเหรอพี่" เอิร์ธพูดเบาๆทั้งที่นัยน์ตาแดงก่ำ "เอ่อ..ผม...ผมกำลัง"
   “แกกำลังจะไป ฉันรู้" มิกว่า พลางมองหน้าเอิร์ธ
   “ผม ผมจะไปแล้วพี่ พี่มาก็ดี ผมเอ่อ.....จะได้บอก..ลาเลย" เอิร์ธว่า มิกส่ายหน้า
   “อ....อ....เอาจริงดิ" มิกพูดเสียงสั่นขณะมองหน้าเอิร์ธ "ไร้สาระน่าเอิร์ธ"
   มิกเดินเข้าไปพลางจับของที่เอิร์ธถืออยู่วางลงก่อน แต่ครั้งนี้เอิร์ธกระชากมันกลับทันที มิกถึงกับหยุดชะงักและหันมามองหน้าเอิร์ธอีกครั้ง
   “พอเหอะพี่" เอิร์ธพูดเบาๆ "พี่ไม่เหนื่อยเหรอ"
   มิกมองหน้าเอิร์ธอยู่อย่างนั้น มันเป็นคำถามที่เขาเข้าใจดี
   “ผมว่า....พี่ไม่ต้องเหนื่อยกับผมแล่ว" เอิร์ธว่า "ผมว่า เราสองคน มาไกลพอแล้วล่ะ"
   “เอิร์ธพี่....”
   “พอเหอะพี่มิก ผมเหนื่อยแล้ว" เอิร์ธว่า "ไม่มีประโยชน์แล้วพี่ Loveless Society ก็จบแล้ว ผมกับพี่ช่วยกันเรียนรู้กับเรื่องนี้มาพอแล้วล่ะผมว่า....”
   “ร...เรียนรู้เหรอ" มิกขมวดคิ้ว
   “ตลอดเวลาที่ผ่านมา พี่พยายามทำให้ผมเรียนรู้กับงานนี้ไม่ใช่เหรอ ให้ผมเข้าใจกับ....คำว่ารัก" เอิร์ธพูด
   “เลิกเพ้อได้แล้วไอ้เอิร์ธ แกกำลังโกรธที่แกเห็นพี่จูบฟ้าก็เท่านั้น" มิกว่า "พี่รีบกลีบมานี่ก็เพราะว่ากลัวแกจะเข้าใจอะไรๆผิดเว่ย"
   “ผมเข้าใจถูกแล้วพี่" เอิร์ธว่า "พี่ต่างหากที่กำลังไม่เข้าใจ"
   “อย่ามาเอิร์ธ แกกำลังของขึ้น ดูของพวกนี้ดิ แกโกรธแล้วก็จะย้ายออกจากบ้านไป" มิกร้องพลางเดินไปรอบๆ เพื่อไปดูที่ห้องนอน "แก...แกกำลังหึง แล้วก็พาล เหมือนเมื่อก่อน เหมือนทุกครั้งที่แกงอนพี่ แต่ครั้งนี้แค่แกหยุดฟัง ทุกๆอย่างก็จะกลับไปเหมื......”
   “มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมแล้วพี่มิก พี่หยุดฟังผมเถอะ" เอิร์ธตะโกนเสียงดัง มิกหันมามองเด็กหนุ่ม "ผมไม่ได้งอนเรื่องที่พี่....จูบกับพี่ฟ้า"
   มิกรู้สึกถึงความจริงบางย่างที่กำลังไล่หลังมา มาจากน้ำเสียงของเอิร์ธ เด็กหนุ่มพูดกับมิกด้วยเสียงอ่อนเพลีย มิกหันกลับมามองเอิร์ธ
   “หมายความว่าไงวะ" มิกถาม
   “ผมต้องไปแล้วพี่" เอิร์ธว่า "ผมจะเปิดเทอมแล้ว แม่ก็กำลังจะกลับมาจากอังกฤษ ผมต้องกลับไปทำโปรเจ็คจบ"
   “แกไม่เคยกังวลเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ อย่ามา" มิกว่า
   “ใช่พี่ เพราะผมไม่เคยกังวลเลยไง มันก็เลยถึงเวลาที่ผมต้องกังวลแล้ว" เอิร์ธว่า "พี่ก็เคยบอกผมเองนี่ ว่าซักวัน วันนี้ก็ต้องมาถึง"
   มิกรู้สึกใจโหวงอย่างประหลาด เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับเขาอีกแล้ว รู้ว่ามันจะเกิดขึ้น แต่ไม่เคยเตรียมใจเอาไว้ก่อนเลย
   “ผมต้องคิดแล้วพี่ ผมไม่อาจจะอยู่กับอย่างคนแพ้กับพี่ที่นี่ไปได้ตลอด ผม...ผมต้องโต" เอิร์ธว่า "แล้ว...แล้วผมก็รู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องโต.........ซะที"
   “แต่แกไม่เคยพูด ว่าแกจะไปนี่" มิกร้อง "ทำไมแกไม่บอกฉันวะ"
   “แล้วทำไมผมต้องบอกอ่ะพี่" เอิร์ธว่า
   “ก็เพราะพี่รักแกขึ้นมาแล้วไง" มิกร้องออกมาเสียงดัง
   และก็เหมือนกับเวลารอบตัวของทั้งคู่หยุดหมุนลง
   เอิร์ธมองหน้ามิกทันที พลางเงียบสนิท
   “อะไรนะพี่มิก"
   “ใช่เว่ย พี่บอกแก ว่าให้แกโต พี่บอกแกว่าให้แกลองปล่อยวางทุกอย่าง แล้วมาคบกับพี่ พี่บอกแก ให้แกยอมอยู่อย่างคนแพ้ แบบที่ตัวเองต้องยอม แล้วมาอยู่ด้วยกันที่นี่" มิกหลับตาลง คำพูดต่างๆไหลออกมาทันทีอย่างควบคุมไม่ได้ "และพี่ก็เคยบอกแกเว่ย ว่ามันต้องมีวันนี้เอิร์ธ.....แต่ไม่รู้เลยเหรอวะ ว่าที่ผ่านมามันเกิดอะไรขึ้นบ้างอ่ะ...."
     เอิร์ธมองหน้ามิกที่นัยน์ตาเอ่อคลอ
   “แกเข้ามาตอนพี่ไม่มีใครน่ะเว่ยเอิร์ธ พี่คิดจะทำให้แกโตขึ้น เข้าใจทางที่ตัวเองจะเดินไปข้างหน้าด้วยก็จริง แต่ถ้าแกไม่บอกแล้วใครจะรู้ล่ะว่า......” มิกก้มหน้าลง "….ว่าแกจะไปอ่ะ"
   “พ...พี่มิก"
   “แกไม่รู้จริงๆเหรอวะ ว่าเวลาที่แกกับพี่อยู่ด้วยกันมันมีความสุขแค่ไหน งานที่เราช่วยกันทำ งานฉัน งานแก งานไอ้นัท งานไอ้สา งานไอ้คุณกายน่ะ ฉันไม่รู้หรอกว่าแกจะมีช่วงเวลาดีดีแบบนั้นไหมแต่......พี่มีเว่ย" มิกร้อง "….ฉันรักแกเว่ยไอ้เอิร์ธ ชัดยัง"
   เอิร์ธหายใจเข้าช้าๆ ก่อนจะกัดฟันพลางเบนหน้าไปทางอื่น เด็กหนุ่มกำหมัดแน่น
   “แล้วพี่มาบอกอะไรผมป่านนี้วะ" เอิร์ธร้องออกมา เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว ขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธขึ้ง น้ำตาไหลอาบหน้า "แล้วพี่รู้หรือปล่าว ว่าตลอดเวลา ผมรอให้พี่พูดคำนี้.....”
   มิกเงยหน้าขึ้นมองเอิร์ธ เด็กหนุ่มใบหน้าแดงก่ำขึ้นเรื่อย กัดฟันกรอด
   "ผมทำทุกๆอย่างให้พี่หึง ให้พี่ไม่พอใจ แต่พี่ก็ไม่เคยจะพูดอ่ะ.....แล้วพี่จะมาบอกเอาวันที่ผมต้องไปแล้วเนี่ยนะ"
   มิกกลับเป็นฝ่ายมองหน้าเอิร์ธด้วยน้ำตา
   “พี่เคยบอกว่า พี่ไม่รู้จะเลิกชอบพี่นัทเมื่อไหร่ แต่ตอนนั้นผมก็ไม่มีใครแล้ว ผมก็คิดว่าเรื่องที่เราคบกันมันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา ผมก็เลยจดจำเวลาตอนนั้นไว้คนเดียว ว่านั่นคือเวลาที่มีพี่ มีผม" เอิร์ธว่า "พอผมแน่ใจ ว่าพี่นัทกับพี่กายคบกัน แล้วเขาคงไม่กลับมาหาพี่แล้ว ผมก็เลยลองใจพี่อีกครั้ง ว่าพี่จะบอกรักผมหรือปล่าว แต่พี่ก็ไม่พูดอ่ะ แล้วพี่ก็มีพี่ฟ้าเข้ามาในชีวิตอีกอ่ะ แล้วพี่จะให้ผมทำไงอ่ะ เวลาของผมมันมีไม่มากนะพี่มิก แล้วตอนนี้มันก็หมดแล้วด้วย"
   มิกก้มหน้าลงทันที
   “ผมกล้าที่จะย้ายตัวเองออกมาอยู่กับพี่ แล้วทำไมพี่ไม่กล้าที่จะบอกผมให้เร็วกว่านี้วะ" เอิร์ธพูดทันที
   เงียบกันไปพักนึงเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน เอิร์ธทรุดตัวลงนั่งกอดเข่าร้องไห้เงียบๆอยู่ตรงนั้น พลางส่ายหัวอย่างหงุดหงิด มิกมองหน้าน้องเหมือนไม่เคยเห็นมาก่อน
   “ถ้าไม่นับเรื่องพี่ฟ้า ที่ทำให้ให้ผมแอบเจ็บเอาจนวันสุดท้ายนี่" เอิร์ธลดน้ำเสียงลงจนเกือบปกติ "ตลอดเวลาที่ผมอยู่กับพี่ มันคือเวลาที่ผมมีความสุขที่สุดเลยพี่รู้หรือเปล่า"
   มิกทุดตัวลงนั่งเหมือนกัน พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลางมองไปยังแม่น้ำที่อยู่ถัดออกไป
   “พี่เป็นคนบอกให้ผมคำนึงถึงเวลา แล้วไหงเป็นพี่ที่ลืมว่าผมจะไปล่ะพี่มิก" เอิร์ธพูดเบาๆเหวี่ยงๆ "ในโลกนี้ไม่มีใครทำแบบนี้หรอก"
   มิกมองแม่น้ำนิ่ง
   “ก็เพราะว่าฉันไม่ทำอย่างโลกที่ต้องการให้ทำนี่ ฉันแค่หวังว่านายจะเข้าใจที่ฉันทำ แค่นายคนเดียว ไม่ได้หรือไง" มิกหันมามองเอิร์ธ ที่มองเขากลับมา
   “ก็ถ้าผมรู้ซักนิด ว่าพี่ก็รักผมอ่ะ....." เอิร์ธว่าอย่างหัวเสีย "แค่ผมรู้.....ก่อนหน้านี้”
   มิกลุกขึ้นพลางเดินไปยังร่างที่กำลังนั่งกอดเข่านิ่ง พลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
   “แต่สำหรับพี่ ที่ผ่านมากับแก พี่ไม่เคยรู้สึกว่ามันเสียเปล่าเลยนะเว่ย" มิกพูดเบา พลางนั่งลงข้างๆเด็กหนุ่ม "พี่ขอโทษ"
   เอิร์ธมองหน้ามิกครั้งหนึ่ง ก่อนจะโผตัวเองเข้าไปกอดมิกอยู่ตรงนั้น มิกกอดเอิร์ธไว้แน่น เหมือนกับไม่เคยกอดกันมาก่อน
   “พี่ขอโทษครับ" มิกว่า ได้ยินแต่เสียงสะอื้นเบาจากเอิร์ธ ก่อนจะผละออกจากกัน
   “ผมต้องไปแล้วล่ะ" เอิร์ธว่า "แม่ผมจะกลับมาอีกสามวัน ผมมีเรื่องต้องทำหลังจากนี้อีกเยอะ ผมต้องใช้เวลาที่เหลืออีกปีอยู่กับที่บ้านแล้วก็ทำให้พวกเขารู้ไปทีละนิดว่าผมคงไม่ได้อยู่เป็นลูกหม้อในครอบครัวตัวเอง ผมจะไปตามทางของผมน่ะพี่มิก ไหนยังจะทำโปรเจ็คจบอีก"
   “แกจะกลับมาอีกหรือเปล่า" มิกถาม
   “ไม่รู้ว่ะพี่" เอิร์ธตอบเสียงเศร้า "ผมไม่รู้จริงๆ"
   เด็กหนุ่มครุ่นคิดอย่างหนัก มิกยิ้มน้อยๆให้เอิร์ธ
   “ไม่เป็นไร อย่างน้อย แกก็กล้าเอาชนะสิ่งที่ไม่กล้าเผชิญหน้ามาตั้งเยอะแล้วตอนนี้น่ะ" มิกว่า "เยอะกว่าพี่ซะอีกด้วย"
   เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาหามิก
   “ไม่ว่าข้างหน้าแกจะตัดสินใจยังไงก็ตามแต่.....” มิกว่า "ทุกคนคงดีใจ ถ้าแกกลับมาเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ Lovable Studio เพราะ.......พี่คง.....คิดถึงแกน่าดู”
   เอิร์ธยิ้มให้กับมิกทันที
   “ขอบคุณมากนะพี่มิก" เอิร์ธว่าพลางจับตัวมิกเข้ามาจูบทันที
   เอิร์ธปล่อยให้ความรู้สึกของตัวเองไหลผ่านร่างกายไปเป็นครั้งสุดท้าย
   ไม่ว่าข้างหน้าเขาอาจจะมีทางไปหรือไม่...
   แต่ตอนนี้เอิร์ธรู้แล้ว....
   ว่าเขาจะฝากหัวใจไว้ที่ใคร...........
…...........
   “วันนี้อากาศดีจังเลยนะแก" สาเดินออกมาหานัทที่ริมระเบียงบ้านพักในตอนค่ำ ฝนเพิ่งหยุดตกไปเมื่อหัวค่ำ ทำให้อากาศชื้นแฉะบวกกับลมเย็นๆ ชวนให้น่านอนเอามากๆ
   “ใช่ ฉันไม่เคยได้สัมผัสอากาศแบบนี้เลยล่ะ" นัทตอบ
   “แล้วเมื่อเย็นคุยกะใครอ่ะ นานเชียว" สาถามขึ้น
   “อ๋อ แม่โทรมาจากอเมริกา" นัทพูด "แม่พึ่งจะรู้ข่าว ว่าฉันชนะรางวัล BAD Award น่ะ"
   “อ่อ แล้วเมื่อไหร่แม่แกจะกลับล่ะ" สาว่า
   “ไม่รู้สิ แม่ฉันเดาใจยากน่ะ" นัทขำเบาๆ
   “อืม เชื้อไม่ทิ้งแถวจริงๆ" สายิ้มให้ ก่อนจะเงียบไป
   “คิดไรอยู่วะ" นัทถามขึ้น เมื่อเห็นดวงตาเศร้าสร้อยเกิดขึ้นกับเพื่อนรัก
   “ฉันรู้สึกแปลกๆ อยู่ดีดีก็นึกถึงไอ้มิกว่ะ" สาว่า
   “มันไม่เป็นไรหรอก มีอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวมันก็โทรมาเองแหละ" นัทว่า
   “แกเคยคิดบ้างหรือเปล่า ว่าจะมีช่วงเวลาที่เราสามคนจะต้องห่างกัน ห่างกันมากๆ ต่างคนต่างไปในที่ที่ไกลแสนไกล แล้วไม่ได้เจอกันเลย" สาพูด
   “ทำไมคิดงั้นอ่ะ" นัทถาม
   “ก็ดูตอนนี้สิ อะไรๆมันก็เข้าที่เข้าทางไปหมด สำหรับฉันมันคือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง" สาว่า "ดูแกกับคุณกาย ดูงานที่แกกำลังจะได้รับสิ ดูงานของฉันตอนนี้ หรือแม้แต่ไอ้มิก ฉัน.....ฉันใจหายว่ะแก"
   นัทจับมือเธอ
   “สัญญากับฉันนะนัท ว่าแกจะไม่หายไปตลอด ยังไงแกก็ต้องกลับมาหาฉันกับมิกนะเว่ย ไม่ว่ากายเค้าจะพาแกไหนก็ตาม" สาร้อง
   “โอ๊ย ฉันไปไหนกับเขาไม่ได้ไกลหรอก เคยลองจะขึ้นไปอยู่แบบนั้นแล้ว ไม่ไหวว่ะ" นัทยิ้มให้เธอ "อย่างมาก ถ้าฉันจะไปไกลจริงๆ ฉันก็คงไปคนเดียว"
   “นั่นไงล่ะ เห็นไหม" สาว่าเสียงเศร้า
   “แต่ฉันสัญญาเว่ย ว่าฉันจะไม่ลืมพวกแก พวกแกคือเพื่อนรักของฉันนะเว่ย ยังไงฉันเชื่อว่าเราสามคนต้องกลับมาเจอกันเว่ย" นัทยิ้มให้เธอ สามองนัทด้วยน้ำตาเอ่อคลอ
   “แววตาแกยังเต็มไปด้วยความกล้าอยู่เลยดูสิ" สาพูด "เหมือนแววตาที่แกแจ้นเอางานขึ้นไปพรีเซนต์กับกายวันนั้น"
   “ไบร์ทเรียกมันว่า อวดดีน่ะ" นัทยิ้มแหยๆ สาขำเบาๆกับมุกตลกร้ายนั้น
   “ฉันรักแกว่ะนัท" สาร้อง
   “ฉันก็รักแกเว่ย" นัทพูดก่อนจะสวดกอดสาอยู่ตรงนั้น
   “จำไว้นะเว่ย ไม่ว่าจะยังไง แกไม่ได้อยู่คนเดียว ถึงแกจะไปอยู่ไหนก็ตามเรายังอยู่กับแกเสมอนะ" สาว่า
   “ขอบใจนะสา" นัทตอบเบาๆในอ้อมกอดเธอ
   “อ่ะแฮ่ม" เสียงกระแอมเบาๆดังขึ้น สาและนัทผละออกจากกันหันไปเจอกับกายที่ยืนอยู่ด้วยกางเกงนอนตัวเดียวในขณะที่ท่อนบนมีผ้าขนหนูพาดอยู่ มือหนึ่งถือแก้วนมอุ่นๆมาสามแก้ว
   “ขัดจังหวะฉากซึ้งหรือเปล่าครับเนี่ย" กายพูดขึ้น
   “โธ่ ไม่หรอกค่ะกาย" สาพูดพลางไปรับนมมาจากมือกายแก้วหนึ่ง ขณะที่กายส่งอีกแก้วไปให้นัทก่อนจะยิ้มให้กันเบาๆ
   “ตอนผมกับเจนจะแยกกันที่ปารีส ก็อารมณ์นี้แหละ" กายว่า "แต่พวกคุณเชื่อไหม เราจะกลับมาเจอกันในที่สุด ผมเชื่ออย่างนั้นนะ"
   สาและนัทมองกายครั้งหนึ่ง
   “ขอบคุณมากนะกาย" สายิ้มให้กับพ่อมดคนโปรดของเธอ "นาย ทำอะไรๆให้พวกเรามากจริงๆ โอเค นายอาจจะแค่ทำให้เจ้านัทมันแต่ว่า..."
   นัทก้มหน้าลงอย่างเก้อเขิน ขระที่กายเกาจมูกอย่างไว้ท่า
   “.....ฉันขอบคุณมาก" สาพูด "นายเป็นคนดีมากจริงๆ และเอ่อ ฉันอาจจะเคยอยากจะเด็ดหัวนายมาแล้วนะแต่ว่า นายไม่ใช่พ่อมดจอมเจ้าเล่ห์เหมือนที่คนอื่นๆพูดเอาไว้เลย นาย.....ฉันดีใจ ที่ได้รู้จักนาย กาย"
   “ผมก็เช่นกันครับ" กายว่า "แล้วผมก็....ขอสัญญาด้วยคนว่า ไม่ว่าคุณจะไปอยู่ที่ไหน ผมกับนัทจะอยุ่กับคุณเสมอ และเราทั้งสี่คน คงกลับมาเจอกันซักวันเหมือนกัน.....แต่ผมไม่รู้ว่ามิกเค้าจะอยากเจอผมหรือเปล่าน่ะนะ"
   สาขำจริงๆกับเรื่องนั้น
   “แล้ววันนั้นมิกเค้าไปทำอะไรนายที่โรงบาลหรือเปล่าเนี่ย" สาถามขึ้น
   “โรงบาล นี่มิกไปหาคุณที่โรงบาลตอนคุณรถคว่ำเหรอ" นัทร้องขึ้น สาและกายมองหน้ากันเลิ่กเลั่กทันที "ทำไมผมไม่เห็นรู้เรื่องเลยล่ะ ว่าไงสา"
   เธอทำเป็นหันไปมองทางอื่นแทน
   “ไม่อะไรหรอกคุณ ผมง่วงแล้วล่ะ เราไปนอนกันเถอะ" กายพูดตัดบทพลางส่งสายตาให้กับสา ที่ยิ้มให้นัทอย่างเกินจำเป็น
   “อืม ก็ดีเหมือนกันนี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนเถอะนัท เดี๋ยวฉันก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกันล่ะ" สาว่า พลางยิ้มให่นัท
   “แต่ว่าฉัน....”
   “ไปเถอะน่า...” กายคว้าตัวนัทลากเข้าไปยังตัวบ้านทันที สามองภาพนั้นอย่างเป็นสุข
   “ผมบอกแล้ว ว่าแผนพี่เจนน่ะสุดยอด...” โอ๊ตพูดขึ้น ขณะเดินผ่านมาเจอภาพเหตุการณ์ลากตัวเข้าห้องนอนพอดีสาหันมามองนักร้องหนุ่มในชุดนอน
   “แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพี่จะรุ้สึกชอบพอพี่สาวเธอขึ้นมาหรอกนะโอ๊ต" สาว่า "ก็ไม่ได้เรียกว่าแผนอะไรหรอก ถ้าไม่ได้พี่ด้วยคนก็ไม่มีทางออกแบบนี้หรอกน่า"
   “โธ่พี่สาก็พูดไป" โอ๊ตว่าพลางเดินผ่านไปยังห้องนอนตัวเอง "เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือพี่สา ก็ยังมีพี่เจนเหมือนกันแหละครับ"
   “กล้ามากกกกกก" สาลากเสียงใส่โอ๊ตที่รีบปิดประตูห้องหนีไปอย่างรวดเร็ว สาส่ายหน้าทันทีก่อนจะหันไปมองท้องฟ้ายามราตรี ก่อนจะยิ้มกว้าง
   “ฉันไม่นึกเลยว่าจะพูดคำนี้แต่.......ขอบใจเธอมากนะ เจนจิรา"
   เจนจิรากำลังนั่งเครื่องบินกลับไปยังอเมริกา
   เธอไม่ได้นั่งเครื่องบินอย่างเป็นสุขเท่านี้มานานแล้ว ตั้งแต่วันที่เธอเลิกกับกาย
   จนกระทั่งเธอมั่นใจแล้วว่าตอนนี้ กายมีความสุขขึ้นมาอีกครั้งเสียที.......
…..........................
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 34 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-12-2011 01:04:49
 :pig4:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 34 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yayee2 ที่ 05-12-2011 11:30:51
ขอบคุณคนเขียน ที่ทำให้อ่านบทที่34จบลงด้วยความรู้สึกโล่งเบาสบาย :pig4:นะคะ
แต่ ก็ยังรอตอนหน้าต่อไปอีกอยู่ดีค่ะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 35 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 05-12-2011 16:51:12
บทที่ 35 It's Happening

“ถ้าอย่างงั้นการลงทุนของบริษัทครั้งนี้คงจะเป็นประเด็นใหญ่ที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นอันดับแรก ผลประอบการกับรายได้ที่ผ่านมาตลอดปีของสตูดิโอ คงเป็นเรื่องที่สำคัญมากนะ ผึ้ง ผมอยากให้คุณทำเรื่องนี้นะ" เสียงของบอสกล่าวขึ้นในช่วงท้ายของการประชุม การประชุมที่เต็มไปด้วยเรื่องไม่คาดฝัน ที่มิกได้แต่นั่งฟังอย่างตกตะลึง "เอาล่ะ ยังไงเรื่องที่ผมเพิ่งบอกไป คงต้องรอเจ้านัทกับสาเขากลับมาก่อนใช่ไหมมิก"
   “ช....ใช่ครับ" มิกตอบ "คงต้องเป็นอย่างนั้นแหละครับ"
   “แล้วเราล่ะจะให้คำตอบเลยหรือเปล่า" บอสถามอีก พลางมองหน้ามิกท่ามกลางที่ประชุม
   “เอ่อ...คือ......ผม"
...….....

   “ไม่ไม่เจ๊ ผมทำไม่ได้หรอก" มิกร้องเสียงดัง เมื่อผึ้งตามมาหาเขาถึงสตูดิโอ หลังจากจบประชุมไปแล้วหลายชั่วโมง ขณะที่มิกกำลังง่วนอยู่กับการกิน โดยที่น่องไก่ยังคามืออยู่
   “จะบ้าเหรอ พี่ต้องสรุปจำนวนคนแล้วนะมิก" ผึ้งกล่าวเสียงเข้มพลางยืนเท้าแขนข้างนึงลงบนโต๊ะ
   “ผ...ผม...ผมยังให้คำตอบไม่ได้อ่ะโอเค้" มิกว่าพลางพิงหลังลงกับพนักเก้าอี้ "สากับนัทกำลังจะกลับมาสุดสัปดาห์นี้ และกว่าจะได้คำตอบก็อาทิตย์หน้านะเจ๊"
   “อาทิตย์หน้าเหรอ ฉันจะสรุปรายงานเรื่องการปันผลเงินเดือนไตรมาสหน้าไม่ได้ ถ้าเรื่องเธอสามคนยังไม่จบภายในอาทิตย์นี้นะ" ผึ้งกว่าว "แค่ตอบว่าคอมเฟิร์มไม่คอนเฟิร์มเนี่ยมันยากตรงไหนกัน ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้โอกาสนี้นะ"
   “ผมรู้พี่" มิกว่าพลางเบือนหน้าหนี "ก็เพราะว่ามันโอกาสแบบนี้นั่นแหละ"
   “Skype หาเค้าสิ" ผึ้งหมุนเก้าอี้ของมิกให้หันไปยังแมคที่ตั้งอยู่
   “พวกเขากำลังทำงานอยู่ลาวนะเจ๊ แล้วจะให้ผม...."
   “ฉันต้องการคำตอบไม่เกินวันศุกร์" ผึ้งหันหลังออกจากสตูดิโอ
   “ผม...ผมทำไม่ได้หรอกเจ๊ผึ้ง" มิกตอบ
   “งั้นก็เดาว่าพวกเธอสามคนคงไม่จริงจังกับอนาคตของตัวเอง ทั้งกับที่สตูดิโอนี่ หรือสตูดิโอไหนๆ" ผึ้งหันกลับมาบอก "พวกเธอตัดสินใจเอาเอง"
   “จ....เจ๊"
   มิกร้องเรียกผึ้งเบาๆ
   “โทรเดี๋ยวนี้เลย" ผึ้งทิ้งท้ายก่อนจะหายออกไปจากสตูดิโอ มิกส่ายหน้าช้า ก่อนจะมองคอมยู่ครู่หนึ่ง มิกหายจะเข้าหนึ่งครั้งพลางกดโทรไปยัง Contact ที่คงสถานะออนไลน์อยู่ของสาและนัท ที่คงเปิดคอมเอาไว้เหมือนกันที่ฝั่งลาว
   “อย่ารับสายนะสา" มิกพึมพำ "อย่ารับสาย อย่ารับสาย อย่ารับสาย"
   “ว่าไงมิก" เสียงแหลมสูงของสาดังตอบกลับมา
   “ห...ห...หวัดดี" มิกทำเสียงให้แช่มชื่นเกินจำเป็น
   “ขอโทษทีนะ พอดีเพิ่งกลับมาจากในเมืองน่ะ พี่รัตน์ชวนออกไปช้อปปิ้ง" สาพูดเสียงใส "เมื่อเช้าบอสมีประชุมแกก็ไม่บอกฉันน่ะ อย่างน้อยฉันจะได้สีดีโอคอลล์มา แกก็รู้ฉันไม่อยากพลาดประชุม"
   "เอ่อ....สา....ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับเธอ แล้วก็ไอ้นัทว่ะ" มิกกล่าว
   “หวังว่าไม่ใช่งานใหญ่ของบอสอีกหรอกนะ" สาพูด
   “ก...ก็.....ไม่เชิงหรอก" มิกว่า
   “ว่าไงล่ะ" สาถามขึ้นอีก
   “สา......คุณสุเมธโทรมาที่ออฟฟิศ" มิกว่า
   “สุเมธ ดีไซน์เนอร์ไทย ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ ซูเม่ ที่ยุโรปน่ะเหรอ" สาว่า
   “อ่าหะ" มิกค่อยๆพูด
   “โทรมาทำไม" สาว่า
    "เอ่อ....คือ......คอสโม คอนเทอลิโอนี่ ได้ตกลงที่จะร่วมทุ่นกับคุณสุเมธ เพื่อที่จะขยายตลาดงานของเขาไปสู่ระดับสากล ไปที่อเมริกา" มิกว่า "ดังนั้นแบรนด์ซูเม่กำลังต้องการดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นักเขียน นายแบบ นางแบบ อาร์ตไดเรคเตอร์ จากวงการโฆษณา เพื่อกระจายออกสู่ตลาดสากลครั้งนี้และเอ่อ......เขาโทรมาที่ Lovable Studioเพื่อหาเราสามคน"
   “ด....เดี๋ยวนะ......เราสามคนเหรอ" สาว่า "นัทได้ยินหรือเปล่า"
   “ได้ยิน ฉันฟังอยู่" เสียงนัทลอดออกมา มิกหลับตา
   “ล้อกันเล่นแน่เลยอ่ะ...คือ...ให้ตายสิมิก.....คุณสุเมธ เขาถ่ายทุกภาพที่เป็นรางบันดาลใจของฉันนะ แม้แต่กายก็ยังยกให้เขาเป็นไอดอล แล้ว....ว้าว....แล้วบอสว่ายังไง"
   “เอ่อ...สตูดิโอของเรา ได้รับมอบหมายให้ดูแลงานดีไซน์ของซูเม่สาขาประเทศไทย" มิกว่า "เจ๊ผึ้งกำลังปรับผังโครงสร้างใหม่แล้ว เจ๊แกเร่งคำตอบฉันถึง การอยู่ที่นี่ต่อของพวกเราสามคน"
   “หมายความว่ายังไง" สาถามต่อ
   “คุณสุเมธอยากได้ตัวแกไปเป็นผู้ช่วยช่างภาพของเขาที่เบอร์ลิน" มิกพูด
   “อะไรนะ" สาถามเสียงเข้ม
   “ส่วนนัท" มิกว่าต่อ "เขาอยากได้มันไปเป็นโคออปเปอร์เรท ดีไซน์เนอร์ที่นิวยอร์ค" มิกพูดต่อ "ส่วนฉัน เขาขอให้ฉันให้ฉันไปช่วยดูงานกำกับศิลป์ที่ปารีสน่ะ"
   “สามเมืองใหญ่ในฝัน พระเจ้า" สาร้องทันที
   “พวกแกว่าไง" มิกยิงคำถามต่อ "เจ๊ผึ้งต้องการคำตอบในเร็ววันนี้"
   “บ้าเหรอ....” สาร้อง "เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะให้ฉันคิดในสามวันได้ยังไงล่ะ ทำไมต้องเร่งขนาดนั้น"
   “เจ๊ผึ้งต้องต้องปรับผังโครงสร้าง ถ้าเราสามคนออกจากที่นี่ Studio จะต้องจ้างดีไซน์เนอร์เข้ามาใหม่ให้เร็วที่สุด ก่อนเราจะปิดงบเดือนกันยานะ" มิกตอบ
   “ฉันบอกไม่ได้หรอก ไม่รู้สิ แต่ฉันต้องคุยกับหลายคนน่ะ ไปอยู่เมืองนอกนะเว้ย แล้วก็ไม่ใช่ชั่วคราวแต่นี่มันชีวิตที่เหลือเลยนะ" สาว่า
   “ฉันรู้" มิกว่า "เค้าเลยเร่งให้ฉันโทรมาหาแกนี่ไง"
   “แล้วแกล่ะมิก" สาถามกลับ
   “ฉัน......ตัดสินใจแล้ว" มิกว่า
   “งั้นเหรอ" สาพูดเบาๆ "ฉันกับนัทขอเวลาคุยกันก่อนนะ แล้วเอ่อ.....ถ้าทำได้ จะโทรไปบอกอีกที"
   “โอเค" มิกว่า "คิดถึงพวกแกนะเว่ย....ขอให้สนุกนะ"
   “อืม แล้วเจอกันที่กรุงเทพ"
   เสียงสัญญาณขาดหายไป....

   …..สาหันหน้ามามองนัททันที นัทนิ่งเงียบสนิท
   “เป็นไรไปแก" สาพูด นัทก้ทหน้าลงน้อยๆ นัยน์ตามครุ่นคิด
   “มันกำลังเกิดขึ้นแล้วสินะ" นัทหันมามองเธอ "อย่างที่เธอบอก เราสามคนต่างคนต่างไป"
   “นัท....” สาเอื้อมมือไปจับเพื่อนรักเบา "ฉันรู้จักแกมานาน ฉันรู้ว่าแกไม่ใช่คนที่ยอมอยู่กับที่เฉยๆ แกทะเยอทะยานจะตาย นี่ไม่ใช่ครั้งแรก ที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเราสามคนนะ"
   นัทมองเข้าไปในตาของเธอ
   “หกปีก่อน แกเป็นคนทำทุกๆอย่างให้กับชมรม ทั้งๆที่มีแค่เราสามคนที่ถ่ายรูป ไปอีเวนท์ แล้วสุดท้ายงานภาพถ่ายเราก็ได้รับรางวัลให้กับคณะ" สาว่า "ผ่านมาอีกปีกว่าๆ ถ้าแกไม่ไปอ้อนวอนอาจารย์ไห้ทีสิสเป็นงานกลุ่ม แล้วสู้ทุกอย่างเพื่อให้เราไปจบงานที่ปารีส เราสามคนก็คงไม่ได้งานที่ Lovable Studio กับบอส เจ็ดเดือนที่แล้ว ถ้าแกไม่อาจหาญเอางานขึ้นไปพรีเซนต์แข่งกับกาย เราก็คงไม่ชนะรางวัล B.A.D Award แล้วไหงตอนนี้ แกจะกังวลขึ้นมาซะเล่า"
   “แต่เธอก็กังวลไม่ใช่เหรอสา" นัทถามเธอ
   “ฉันกังวลก็จริง แต่ฉันก็มีอะไรให้จัดการไม่เยอะหรอก ถ้าฉันเลือกที่จะไปน่ะนะ" สาว่า "เบอร์ลินนะเว่ยนัท ฉันกำลังก้าวกระโดดไปจุดสูงสุดของชีวิตด้วยอายุเท่านี้นะ ถ้าฉันจะต้องจัดการอะไรก็มีแค่พ่อกับมาร์ค  และฉันก็เชื่อว่าฉันรู้คำตอบของทั้งคู่ด้วย"
   “แต่ฉันกังวล" นัทว่า
   “กังวลอะไรกัน" สาเลิกคิ้ว "แกได้ไปนิวยอร์ค อเมริกา แกจะได้เป็นหัวหน้างานกับดีไซน์เนอร์ที่นู่นทุกคน แม่แกทำงานอยู่แมนฮัตตัน แกอาจจะได้ไปหาแม่แกทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ หรือว่า อาจจะเช่าบ้านเล็กๆซักหลังอยู่กับแม่แกนะนัท ฉันว่า...มันก็โอเคไม่ใช่เหรอ"
   “ใช่มันโอเค...แต่......” นัทเหลือบไปมองกายที่กำลังนั่งเขียนแบบอยู่บนโต๊ะดราฟท์กับพี่รัตน์ สามองตามไป นัทก้มหน้าลง
   “ให้ตายสิ" นัทสบถออกมา ก่อนจะมองหน้าสา "นี่...กลายเป็นฉันที่ต้องหายไปจากเขาเหรอวะ"
   สาถอนหายใจพลางยิ้มเบาๆให้กับนัท
   “แกยังไม่เข้าใจอีกเหรอ" สาลูบตัวนัทเบาๆ "เราอยู่ที่ไหนตอนนี้นัท Loveless Society นะเว่ย ทุกๆคนมีทางเดินของตัวเอง ทุกๆคน ไม่เคยหยุดอยู่กับที่จนแทบไม่มีความรักให้กับด้วยซ้ำในสังคมนี้ แกรู้ดีว่าซักวัน เราก็ต้องเป็นแบบนั้น"
   “แต่ฉันไม่อยากเป็นเหมือนคนพวกนั้น" นัทว่า
   “แน่นอนสิแกไม่เหมือน" สาตอบ "ดูรอบๆตัวแกสิ มีฉัน มีไอ้มิก แกเมีพื่อนที่แกรัก ที่จะไม่ทิ้งแกไม่ว่าจะจากกันไปไหนก็ตาม แกมีคนรักแก ที่พิสูจน์ให้แกเห็นแล้วว่าเขาจะกลับมาหาแกในที่สุด แกไม่เหมือนคนอื่นๆใน Loveless Society ของแกซะหน่อย ไม่เหมือนเลย"
   นัทมองหน้าเธอ
   “แล้ว ฉันจะทำยังไงดี" นัทว่า "ฉัน ฉันทำไม่ได้ถ้า วันนึงฉันรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วรู้ว่าจะไม่มีเขามา.......อยู่ใกล้ๆฉัน"
   “เพื่อนกับแฟนต่างกันตรงไหนรู้ไหม" สายิ้มให้นัท "เพื่อนน่ะ แกจะรู้ว่าจะหาเขาได้ที่ไหน และเมื่อแกกลับไป เพื่อนแกก็จะรออยู่ตรงนั้นเสมอ ส่วนคนที่คนแกรัก เขาจะไม่เคยจากแกไปไหน เพราะเขาจะอยู่กับแกตรงนี้"
   สาชี้ไปที่อกข้างซ้ายของนัท นัทจับมือของเธอพลางยิ้มกว้าง
   “ฉันจะเริ่มบอกเขายังไงดีวะ" นัทพูด "แกรู้ไหมว่าสองอาทิตย์ที่นี่ฉันมีความสุขมาก ฉันไม่อยากให้ทุกอย่างมันสะดุดด้วยเรื่องนี้ เรื่องที่ฉันเองอยากจะก้าวไปข้างหน้า....เรื่องที่ฉันเองก็อยากเปลี่ยนแปลง"
   “การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสูญเสียนะนัท คิดดูดีดี" สาพูด "มันขึ้นอยู่กับว่า ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลง แกได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมหรือยังต่างหาก"
   นัทมองไปยังกายที่กำลังเข้าสู่โหมดทำงานเคร่งขรึม โหมดที่เขาไม่อยากเข้าไปรบกวน
   “ฉันยังอยากย้ำคำเดิมนะ บอกเขาซะ" สาว่า "ยิ่งแกกำลังจะไปแบบนี้ด้วย มันจะมีความหมายมากนะนัท"
   “ฉันจะบอก เมื่อถึงเวลา" นัทยิ้มให้สาเบาๆ
   “แล้วคำตอบแกล่ะ กับเรื่องที่มิกถาม" สาว่า
   “ฉัน....ฉันตัดสินใจแล้วว่ะ"  นัทเหล่มองเธอ "แล้ว....แกล่ะ"
   “เอาจริงๆฉันก็.......ตัดสินใจแล้วเหมือนกัน" สาพูดพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะหันกลับมาหาคอมพิวเตอร์อีกครั้งแล้วเริ่มต้นเขียนอีเมลืไปหามิกทันที ขณะที่นัทลุกขึ้นจากคอมไปเข้าไปในครัว ชายหนุ่มหยิบแก้วมาใบหนึ่งแล้วเริ่มลงมือชงกาแฟ เมื่อได้กาปฟอุ่นๆหอมกรุ่นแล้ว นัทหยิบมันตรงไปหากายที่โต๊ะดราฟท์และวางลงข้างๆตัวกาย
   “กาแฟคุณ" นัทพูดเบาๆ กายพยักหน้ารับเบาๆอย่างเคร่งขรึมเหมือนเคย
   “เอ่อ....คือ...ผม..มีเรื่อง....”
   “ผมขอทำงานก่อนนะนัท เดี๋ยวค่อยคุยกันตอนเย็นนะ" กายพูดเสียงอ่อนโยนแม้ว่าจะขัดกับใบหน้าของของตอนนี้อย่างมาก นัทยักไหล่ครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปหาสาพลางทำหน้าหน่ายๆ เธอยิ้มแหยๆให้กับนัท ก่อนจะกลับไปนั่งล่นคอมพิวเตอร์ต่อ
   ทีเวลาจะพูดละไม่ฟังนะ........
   นัทกัดฟันในใจ
….........
   มิกนั่งอยู่ในสตูดิโอหลังจากเลิกงานอยู่แล้วสองสามชั่วโมงเพื่อสะสางงานที่เขารับทำแทนสาและนัทไป ก่อนจะบิดขี้เกียจหนึ่งครั้งเมื่อรู้สึกตัวว่าลืมเวลารถติดไปแล้วพักใหญ่ๆ เขาลุกขึ้นจากที่นั่งพลางเดินไปที่แมคตัวใหญ่และเปิด Playlist ส่วนตัวเล่นด้วยเสียงที่ดังกว่าปกติ เนื่องจากสตูดิโอเริ่มร้างผู้คนแล้ว เขาจึงไม่ต้องเกรงใจใคร ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อหาอะไรกินรองท้องพลางกลับออกมาเพื่อเตรียมตัวเก็บข้าวเก็บของกลับบ้าน โดยที่ตัวเองก็เริ่มฮัมเพลงต่อไป
   “หวัดดีพี่" เสียงอันคุ้นหูดังมาจากคอม มิกหมุนตัวไปดูทันทีอารมตกใจ แล้วก็พบว่า เป็นเอิร์ธนั่นเองที่อยู่ในวีดีโอที่เล่นแทรกขึ้นมากลาง Playlist ส่วนตัวของเขา เป็นเอิร์ธในชุดนักศึกษา โดยที่มีกีตาร์วางไว้บนตัก มิกยิ้มเบาๆพลางนั่งลงหน้าคอม
   “ขอโทษนะที่ถือวิสาสะเอาวีดีโอตัวเองมาแทรกใน Playlist พี่อ่ะ" เอิร์ธกล่าว "วันนี้เป็นวันจันทร์ ผมรู้ว่าพี่ไม่อยู่สตูดิโอ แต่ผมแวะเข้ามาขอหนังสือรับรองจากพี่ผึ้ง แล้วเอ่อ...ก็เลยเข้ามาเก็บของตัวเองที่เหลืออยู่อ่ะ คือ.....พี่มิก....ผมมีอะไรจะบอก.......ผมรักพี่นะ.....”
   มิกยิ้มขึ้นมาเองอย่างควบคุมไม่ได้
   “ตลอดเวลาร้อยกว่าชั่วโมงที่ผมอยู่ที่นี่ พี่ๆทุกคนดีกับผมมาก โดยเฉพาะพี่ พี่ทำให้ผม.....โตขึ้น.....” เอิร์ธยิ้มอย่างจริงใจ "ผมไม่รุ้ว่าหลังจากนี้ เราจะได้เจอกันหรือเปล่า และผมก็ไม่รู้ว่า ผมจะมีเวลามาเจอพี่ไหมแต่ ผมอยากจะบอกพี่ว่าผมไม่เคยเสียใจเลยที่ได้รู้จักพี่ ถึงบางทีผมอาจจะทำให้พี่เสียใจ แต่พี่รู้ไว้นะ พี่คือคนสำคัญที่สุดของผม จากนี้และตลอดไป"
   มิกพ่นลมออกมาพร้อมน้ำตา
   “ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครมาผมก็เลย แอบจิ๊กกีตาร์พี่นัทมาเล่นเพลงให้พี่ฟัง ก่อนที่ผมจะไป......ผมอาจจะร้องเพลงไม่เก่งนะ แต่ผมเล่นกีตาร์ได้เก่งพอตัวเลยพี่......เพลงนี้ ผมให้พี่นะ.....

   เสียงกีตาร์บรรเลงดังขึ้นอย่างไพเราะ มิกมองเอิร์ธในวีดีโอไล่นิ้วไปตามคอร์ดต่างๆอย่างมีฝีมือ ก่อนจะเริ่มร้องเพลงที่เตรียมมา

   "ฉันเคยเกือบพลาดสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต หากในวันที่ฉันล้มอยู่ ไม่มีหนึ่งใจของเธอ
ฝันคงจบ หลายสิ่งที่ดีคงหมดทางได้เจอ หนึ่งกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ ไม่ลืมได้เลย...

ขอบคุณที่รักกัน... ขอบคุณทุกครั้งที่คอยกอดฉัน
ในวันที่ปัญหา ถาโถมเข้ามาใส่
จะตอบแทนความรัก ที่ฉันได้จากเธออย่างไร
ก็รู้ดีว่าไม่พอ แต่ขอทำให้ดีที่สุด”

   มิกยอมรับว่าเอิร์ธโกหก เด็กหนุ่มมีเสียงที่เพราะจับใจ หรือไม่รู้เพราะอะไรมิกนั่งยิ้มอยู่คนเดียวอย่างเป็นสุข แม้ว่าที่จริงแล้ว ในหัวใจของเขาเหมือนกำลัถูกบีบอย่างแสนสาหัส มันเป็นความรู้สึกที่ปะปนกันของความสุขและความคิดถึง เอิร์ธเพิ่งหายไปหนึ่งอามทิตย์เท่านั้นแต่มิกกับรู้สึกเหมือนกับว่า เอิร์ธได้จากไปไกลแสนไกล ไกลจนเขาไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน แต่สิ่งที่เขามีก็คือความทรงจำและเรื่งราวดีดีที่เขาหยิบขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เอามาปลอบตัวเองได้อย่างไม่มีวันหมดไป
   เมื่อเพลงขอบคุณกันและกันจบลง เอิร์ธลุกขึ้นมาที่จอ เหมือนกับเพื่อจะมาปิดวีดีโอ
   “กอดผมได้ป่าว" เอิร์ธพูดขึ้น มิกทำหน้างงทันที
   “ใช่ กอดคอมนี้แหละ เอื้อมมือมาดิพี่ เอาน่า ไฟไม่ดูดหรอก ผมลองแล้ว" เอิร์ธพูดอีก มิกจึงค่อยๆโอบแขนไปรอบๆแมค รู้สึกตลกกับตัวเองเบาๆแต่ทว่ามือของเขาไปสัมผัสกับของบางอย่างเสียบอยู่ที่ด้านหลังจอแมค
   “เก็บไว้ใช้นะพี่ ผมรักพี่นะ บายครับ" เอิร์ธพูดเบาๆ ก่อนวีดีโอจะตัดไป มิกดึงมันออกมาจากช่อง USB มันเป็น Flash Drive มันวาวรูปหีบสมบัติที่ห้อยกุญแจรูปหัวใจ สลักชื่อ M&E เอาไว้ มิกยิ้มกว้างอีกครั้ง USB แบบนี้ต้องสั่งทำเท่นั้น และมันดูมีสไตล์อย่างประหลาด เขารีบเสียบมันเข้าไปในคอมทันที
   สิ่งที่ถูกบันทึกเอาไว้ภายในถูกถึงขึ้นมา  มิกคลิ๊กเข้าไปดูก็พบกับไฟล์รูปมากมายที่ขนาดไม่ใหญ่มากเหมือนกับจะถ่ายมาจาก Blackberry เป็นรูปของตัวเขาเองในเวลาต่างๆ...
   ….เวลาที่ทุกๆครั้ง มิกเห็นเอิร์ธกดบีบี
   …..แล้วมิกก็ยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น จนลืมเวลากลับบ้านไป
   …..เพราะตัวเองเหมือนถูกดึงกลับไปในเวลาอื่น
   …..เวลาที่เอิร์ธยังอยู่กับเขาตรงนี้
…...........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 35 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 05-12-2011 22:36:48
เหมือนจะมีเรื่องให้เครียด คิด และเศร้าได้ทั้งเรื่องเลยจริง ๆ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 36 จบตอน) - 6/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-12-2011 01:53:34
บทที่ 36 Just Can't Take It

ทริปการเดินทางที่หมู่บ้านห่างไกลบนฝั่งลาวได้สิ้นสุดลง และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเดินทางแล้ว พี่รัตน์จึงจัดปาร์ตี้เล็กๆขึ้นมาเพื่อเลี้ยงขอบคุณทุกๆคนในทริปที่แสนสุขสบายนี้
   สาเองประทับใจกับการทำงานครั้งนี้มาก เธอกล่าวชื่นชมกับพี่รัตน์ว่าการทำงานที่เน้นอุดมการณ์แบบนี้หาได้ไม่ยากนักในวงการ เธอเองมีความสุขมากๆที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการเปิดตลาดที่นี่ และพี่รัตน์ที่เป็นดีไซน์เนอร์นักธุรกิจ ก็พึงพอใจมากกับงานภาพถ่ายชุดสำเร็จที่สาจัดพรีเซนต์เขาไปเมื่อตอนบ่าย มันน่าสนใจเสียจนพี่รัตน์ถึงกับบวกเงินเพิ่มไปหาสาไปด้วยตัวเลขเพิ่มไปหนึ่งหลัก ซึ่งทำเอาสายิ้มแก้มปริ
   “มันเป็นการเริ่มต้นที่ดีนะกับเบอร์ลิน ด้วยตัวเลขเท่านี้น่ะ"
   สากระซิบนัทเบาๆ ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น ในขณะที่นัทมาทราบเอาทีหลังว่ากายกำลังช่วยพี่รัตน์วางแผนเรื่องแผนการโปรโมทสตูดิโอที่นี่ในปีหน้า ซึ่งนั่นทำเอานัททึ่งทีเดียวว่า กายใช้เวลาแค่ 4 วันเท่านั้นในการวางแผนและจัดการงานทั้งหมดเสร็จด้วยตัวเอง ซึ่งงานไซส์นั้น นัทคิดว่าเขา สา และมิก หรืออาจจะต้องบวกเอิร์ธเข้าไปคนนึงด้วยถึงจะเสร็จได้ภายใน 4 วัน ทันทีที่เขาเห็นกายพรีเซนต์งานต่อจากสา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการพรีเซนต์แบบเป็นกันเองมาก แต่เวทย์มนต์ในการสะกดลูกค้าของกายไม่เคยเสื่อมคลายลงเลย เขามีใช้เสน่ห์ที่ตัวเองมีอยู่ใส่ลงไปในงานให้ดูมีคุณค่าและน่าซื้อได้อย่างมีชั้นเชิงเสมอ และบวกกับงานที่มีคุณภาพมันยังคงทำให้กายเป็นพ่อมดในวงการนี้ได้อย่างเต็มภาคภูมิ นัทยิ้มน้อยๆเมื่อแอบคิดว่า อีกด้านนึงของพ่อมดคนนี้ กลับยอมสยบให้เขาอย่างราบคาบ
   หลังจากงานเลี้ยงที่แช่มชื่น นัทไม่อยากทำลายบรรยากาศที่แสนสนุกนี้ลงด้วยเรื่องลาออกจาก Lovable Studio เขาอยากเก็บทุกเวลาทุกนาที่ที่หมู่บ้านนี้เอาไว้ มันอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่กายจะได้อยู่กับเขา กายยังคงเป็นฟีแลนต์ที่งานยุ่งอยู่เสมอ มันมีแว้บนึงที่เขาแอบคิดว่ากายคือดีไซน์เนอร์คนนึงของ Lovable Studio ซึ่งการคิดอย่างนั้นทำให้นัทต้องเจ็บปวดทุกครั้งเมื่อวันนึง กายจะต้องหายไปจากสตูดิโอ แต่พอาวันนี้กลับกายเป็นว่าถึงเขาจะนึกว่ากายอยู่ที่ Lovable Studio เป็นเขาเองที่จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว

   ….. “ค่อยๆนะนัท ไม่งั้นผมจะ.... โอ๊ย” กายร้องเบาๆเมื่อตอนนี้เกมส์รักที่อำลาค่ำคืนสุดท้ายถูกปรับเปลี่ยนใหม่เสียแล้ว
   “คุณใจเย็นๆดิคับ" นัทพูดับกายที่กำลังค่อยหย่อนตัวลงบนตักของเขา มือทั้งสองข้างพาดไว้บนไหล่ของนัท ที่ร่างกายที่เปลือยเปล่าชุ่มไปด้วยเหงื่อ กายไม่ได้มองหน้านัท เขามองลงไปเบื้องล่าง จุดที่เขาค่อยหย่อนสะโพกลงไปเบาๆ นัทคราวเบาๆเมื่อจุดอ่อนไหวของเขาค่อยแทรกเข้าไปในลำตัวของกาย นัทจับเอวของกายเอาไว้ ร่างกายของพ่อมดสั่นสะท้าน กายหลับตาแน่น พลางกัดฟันก่อนจะมองหน้าเขา
   “ผ..ผม...ม....ไม่น่า....ย...ยอมคุณเลย....” กายพูดพลางกัดฟัน "คุณนี่มัน....อ่าห์.....”
   กายเงยหน้าขึ้นเมื่อนัทค่อยดันของตัวเองเข้าไปจนหมด นัทถอนหายใจเบาๆ
   “ผมไม่เคยบอกคุณเลยนะ ว่าผมจะยอมคุณตลอดน่ะ" นัทว่า พลางจูบไปทั่วแขนที่พาดไหล่เขาอยู่ "ผมขอเอาคืนบ้างดิ"
   “แค่คืนเดียวนะคุณ" กายพูดจนเป็นเสียงกระซิบ นัทพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยขยับตัวช้าๆ
   “ตัวคุณแดงเชียว" นัทพูดขณะมองไปยังกล้ามหน้าท้องที่เกร็งจนเห็นเป็นมัดๆ นัทเอื้อมมือไปกำจุดอ่อนไหวของกายอย่างเบามือ "แต่ดูท่าแล้ว คุณจะชอบนะเนี่ย หรือว่า.....”
   “...อ...อย่าดิคุณ" กายทำหน้าเหยเก "ไม่ใช่ผมไม่เคย ผมแค่ไม่ชอบเท่านั้นเอง"
   “งั้นดีเลย....”
   บทรักร้อนแรงก็เริ่มขึ้น นัทค่อยๆทำอย่างไม่ค่อยเป็นงาน และเพื่อไม่ให้พ่อมดของเขาต้องเจ็บมากนัก เมื่อเวลาผ่านไปซักพัก กายโถมตัวเองไปจูบนัททันทีพลางใช้กำลังโน้มพลักนัทลงบนเตียง กายปลดเอาส่วนกลางร่างกายของนั้นออกจากตัวเองเมื่อนัทไปถึงจุดหมายก่อนเขา
   “ตาผมบ้างแล้วนะ" กายกระซิบเบาๆที่ข้างหูนัทเบาๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปยกขาของนัทขึ้น เพื่อให้ส่วนล่างของเขาเข้าถึงได้สะดวก
   เมื่อกายกลับมาเป็นคนคุมเกมส์ ทุกๆอย่างก็กลายเป็นเกมส์รักที่ร้อนแรงยิ่งกว่า เมื่อพ่อมดได้กลับมาร่ายเวทย์อย่างที่ตัวเองเฝ้ารอมาตั้งแต่หัวค่ำ ไม่นานนักเมื่ออารมณ์ปราถนาหมดลง ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ปกติ กายพลิกตัวไปนอนแผ่หลาบนเตียงนุ่มๆ ขณะที่นัทค่อยๆผ่อนคลายตัวเองลงด้วยการค่อยลากขากลับไปเหยียดตรงอีกครั้งโดยไม่ให้ด้านหลังของเขาเจ็บขึ้นมา เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง โดยไม่ทันตั้งตัว กายก็ดึงเขาเข้าไปนอนบนอกของเขาและโอบไหล่ของนัทไว้
   “คืนนี้คุณทำผมเพลียเลยรู้ไหม" กายพูดขึ้นเบาๆ "พรุ่งนี้เราต้องออกเดินทางแต่เช้านะคุณ"
   “อ่านะ" นัทว่า "คุณก็เคยทำผมเพลียมาก่อนเหอะ"
   “งั้นคราวหน้า ผมจะทำแบบไม่ให้คุณเพลียนะ" กายพูดเสียงเซ็กซี่
   “จะมีคราวหน้าเหรอคุณ" นัทว่า
   “ก็ถ้าคุณอยากผมก็....”
   “กาย ผมหมายความตามที่พูดจริงๆนะ" นัทพูดเสียงเรียบๆ กายเงียบเสียงลงทันที และก็เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่ยาวนานมาก นัทใช้เวลาตรงนั้นเพื่อรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี
   “กาย....ผมจะไม่อยู่แล้วนะ....” นัทพูดขึ้น "แล้ว ผมก็ไม่รู้หลังจากที่เราจากกันวันพรุ่งนี้ ผมจะได้เจอคุณอีกไหม แล้ว.....คุณจะเอายังไงกับเรื่องของเรา.......ผม....ผมอยากจะบอกคุณว่า.....ผม.....รั......”
   นัทได้ยินเสียงกรนเบาๆมาจากกาย ชายหนุ่มหลับตาลงด้วยความเหนื่อยใจและเหนื่อยกาย เขาผละตัวออกจากอกของกายและกลับตัวไปอีกด้าน ถึงคืนนี้จะมีความสุขเหลือเกินสำหรับนัท
   แต่กายก็ทำให้เขาข่มตาลงไปไม่ได้
   เพราะเขาอยากจะยื้อเวลาตรงนี้เอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
   เท่านั้นเอง........
…............
   “มากอดทีไอ้น้องชาย" พี่รัตน์บอกกับกายในตอนสายของวันรุ่งขึ้น เมื่อคุณไชยรัตน์ปลุกพวกเขาขึ้นรถกันตั้งแต่ตีสี่เพื่อที่จะได้สามารถบึ่งเอาพวกเขามาส่งให้ทันรอบบินที่สนามบินเวียงจันทร์ นั่นทำให้เขากับกายแทบจะเดินไม่ไหว แต่เื่อมาถึงสนามบินแล้ว นัทกลับรู้สึกใจหล่นวูบทันที เวลามันเหลือน้อยลงทุกที
   กายเข้าไปสวมกอดกับพี่รัตน์อย่างอบอุ่น ท่ามกลางรอยยิ้มของสา นัทและโอ๊ต
   “ยังไงก็ดูแลตัวเองนะพี่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกผม" กายว่า "ผมอาจจะมาไม่ได้แต่ผมจะส่งทีมที่ดีที่สุดมาให้พี่ครับ"
   “ตามนั้นกาย ขอบคุณทุกๆคนอีกครั้งมากเลยนะ ทั้งคุณสา คุณนัท แล้วก็เอิร์ธด้วย ของให้เพลงขายดีดีนา" รัตน์กล่าวอวยพรโอ๊ต ที่ยิ้มปริ่มขณะเดินรุดหน้าเข้าไปในทางเข้าเครื่องบินก่อน
   “งั้นพวกเราไปก่อนนะคะ" สาว่าพลางยิ้มกว้าง "ขอบคุณสำหรับทริปนี้มากค่ะพี่รัตน์"
   “เช่นกันครับ" ไชยรัตน์กล่าว "เอ้อ เจ้ากายนี่ถ้าเจอสุเมธน่ะก็ฝากบอกมันด้วยนะว่า เรื่องหุ้นส่วนน่ะ จะมีการนัดประชุมกันอีกสามสัปดาห์ เดี๋ยวพี่จะลงไปประชุมที่กรุงเทพ"
   “ได้ครับ ตอนนี้พี่สุเมธยุ่งมาก แต่ผมจะพยายามบอกเขาให้นะพี่" กายว่า ขณะที่นัทและสาหันมามองกายทันที "ช่วงนี้เขายุ่งกับการหาตัวมือดีจากทุกๆที่ไปยุโรปกับอเมริกาน่ะ"
   “อืม งั้นเดี๋ยวไว้เจอกัน โชคดี" รัตน์กล่าวลาขณะที่กาย นัท และสาเดินเข้าไปตามทางสู่เครื่องบิน
   “นายรู้เรื่องการขยายตลาดของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอลด้วยเหรอกาย" สาถามขึ้น
   “รู้สิ" กายพูดเบาๆ "ผมอยู่ด้วย ตอนที่พี่สุเมธคัดเลือกรายชื่อดีไซน์เนอร์ ช่างภาพ นักเขียน อาร์ทได"
   ถึงตรงนี้ นัทและสาถึงกับหยุดชะงักทันที กายหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะมองทั้งคู่
   “นี่ไม่ตลกนะ" สาพูดเบาๆ ขณะที่นัทได้แต่มองหน้ากายอยู่อย่างนั้น "รู้ตัวหรือเปล่าทำอะไรลงไปน่ะ"
   กายหันไปมองหน้านัทที่นัยน์ตาเริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ
   “รู้ครับ" กายว่า "ผมขอคุยเรื่องนี้กับนัทเอง สองคนนะสา"
   สาเผยอปากเล็กน้อยก่อนจะดึงตัวเองออกจากจุดๆนั้นแล้วเดินขึ้นเครื่องบินไปก่อน
   นัทและกายมองตากันอยู่อย่างนั้น
   มันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายเหลือเกิน

   …...กายโอบกอดนัทเอาไว้ พลางมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน การเดินทางที่แสนสั้น แต่ระยะเวลารอบตัวทั้งคู่นั้นยาวนานเหลือเกิน.....

   “คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอ" กายพูดเบาๆ ขณะที่นัทยังคงมองหน้าเขาอยู่ "ผมรู้มาซักพักแล้ว ว่าจะเกิดอะไรขึ้น......
มันต้องใช้เวลา กว่าอาพัฒน์จะยอมให้อะไรๆเข้ามาเปลี่ยนแปลง Lovable Studioและงานของพี่สุเมธ ก็จ่ายให้งามเสียยิ่งกว่าอะไร แน่นอนว่าอาพัฒน์ต้องกระโจนเข้าใส่"
   “แล้วทำไมถึงเป็นผมล่ะ" นัทถามขึ้นเบาๆ กายก้มหน้าลง
   “ผมเคยบอกพี่สุเมธว่าผมไม่ว่างแล้ว" กายยอมรับ "ความจริงก็คือ มันเป็นความผิดของผมเอง ที่พาคุณขึ้นมาตั้งแต่แรก แล้วพอมาตอนนี้ คุณไปไกลกว่าผมซะแล้วนัท"
   
   …....นัทแนบตัวเองเข้าไปหากายมากขึ้น กายก็ยิ่งกอดนัทเอาไว้แน่นกว่าเดิม นัทหลับตาลงพร้อมกับหลั่งน้ำตาเบาๆ....
   
   “ผมต้องอยู่ที่นี่ ในขณะที่คุณต้องไป เราสองคนยืนอยู่จุดเดียวกันแล้วนัท คุณมีชื่อเสียงพอๆกับผมแล้ว" กายว่า "ทุกๆอย่างที่ผ่านมา งานทุกอย่าง ความสามรถ ความคิด ไฟของเด็กรุ่นใหม่อย่างคุณ พลักดันคุณขึ้นไป พี่สุเมธไม่มีทางมองข้ามคุณหรอก และตลอดเวลาในทริปนี้ผมก็ใช้เวลาเพื่อยอมรับมัน"
   “แล้วทำไมคุณไม่บอกผม" นัทค่อยๆพูดช้าๆ
   “เพราะผมรู้ว่า ว่าถ้าผมบอกคุณ คุณจะเลือกเพื่ออยู่ที่เดิม" กายว่า "คุณจะอยู่ เพราะคุณรู้ว่า ว่าผมจะต้องกลับมาหาคุณ ผมรู้ว่าคุณจะไป ถ้าเป็นแค่ตัวเลือกเดียวที่เกิดจากคุณ"
   “หมายความว่ายังไงกัน" นัทร้อง
   “คุณมีความทะเยอทะยามซ่อนอยู่ในตัว ผมเห็นมัน" กายว่า "ผมเห็นมันตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณแล้ว ผมรู้ว่าไฟนั่นมันไม่เคยมอดไปหรอก มันก็แค่อ่อนลงเมื่อคุณมีผม แต่ผมไม่อยากให้มันหายไป ผมยังอยากให้คุณ ไปเจอสิ่งที่ดีต่อตัวคุณเอง"
   “แต่เราจะไม่เจอกันแล้วนะกาย" นัทร้องออกมาทันที "นี่คุณรู้มาตลอดว่าผมต้องเลือกที่จะไปแต่คุณไม่คิดแม้แต่จะขอให้ผมอยู่งั้นเหรอ"
   “แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะให้คุณเพื่อนั่งรอผม ในขณะที่ผมก็ไม่ได้หยุดเสียที" กายว่า

   …..นัทหลับตาลง เพื่อซึมซับความอบอุ่นที่ใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการเดินทางแล้ว....

   “คุณไม่เคยคิดที่จะหยุดเพื่อใครซักคนบ้างเหรอกาย" นัทถามด้วยความเหนื่อยหน่าย "หรือบางทีถ้าคุณเหนื่อยคุณหยุดก็ได้นี่ คุณเลือกได้"
   “ผมได้เลือกไปแล้วนัท ผมเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า" กายว่า "และตอนนี้ผมก็ยังเดินอยู่ ทันทีที่เราลงจากเครื่อง ผมก็มีงานอีกเป็นขโยงรอผมอยู่ทั้งที่กรุงเทพ ต่าจังหวัด หรือต่างประเทศ แล้วมันจะต่างจากคุณตรงไหนล่ะในเมื่อเดี๋ยวคุณก็จะต้อง......”
   “ก็ต่างกันตรงที่เราจะไม่ได้เจอกันไง" นัทพูดเสียงเข้ม กายเงียบสนิท "สิ่งที่เดียวที่ทำให้ผมยังไม่ได้ตัดสินใจก็เพราะว่าผม....ผม....”
   “คุณตัดสินใจไปแล้วนัท" กายพูดขึ้น "ตั้งแต่คุณทราบข่าว คุณพยายามจะบอกผมหลายครั้งแล้ว คุณวางแผนไว้ในหัวคุณเสร็จสรรพแล้วว่าทุกอย่างจะออกมายังไง"
   “นี่คุณบีบให้ผมมาจนมุมที่เวลางั้นเหรอกาย" นัทว่า "คุณใจร้ายมากนะ คุณทำให้ผมไม่มีทางเลือก"
   “ปล่าวเลยคุณเลือก คุณเลือกที่จะก้าวไปข้างหน้า คุณก็เลือกเหมือนกับผมนั่นแหละ" กายว่า นัทส่ายหน้า
   “แต่กายเราสองคน....”
   “ขึ้นเครื่องเถอะ.....เราสายแล้ว" กายพูดเบาๆพลางเดินเข้าไปจับมือนัททันที นัทมองหน้ากายด้วยความเจ็บปวด
   “คุณทำเหมือนคุณไม่มีหัวใจ" นัทว่า "คุณนี่มันพ่อมดจริงๆด้วย"
   “ใช่ผมไม่มีหัวใจ" กายว่า "จะไปมีได้ไง ก็คุณเอาไปหมดแล้วนี่"
   กายลากนัทเดินขึ้นยังเครื่องบิน

   ….... “ทันทีที่ผมไป สองวันหลังจากนี้ ผมจะต้องแจ้งกับทางสตูดิโอ และยื่นใบลาออกนะ" นัทพูดเสียงสั่นเครือ ขณะยังอยู่ในอ้อมแขนของกาย "แล้วผมก็จะ........ไม่ได้อยู่ที่ Lovable Studio อีก"
   กายลูบหัวนัทเบาๆ
   “ส่วผมก็ มีงานการกุศลที่สภากาชาดน่ะ เขาเอ่อ...ให้ผมทำอีเว้นท์เรื่องงานวันดอกป๊อปปี้บาน" กายว่า "แล้วก็...อีกเยอะอ่ะ...ผมเอ่อ.....คิดไม่ออกเลย.........หัวไม่ว่างเลยตอนนี้....”
   “คิดอะไรอยู่เหรอ" นัทถามกลับ
   “คิดเรื่องคุณ....” กายหันมามองหน้านัทที่ใบหน้าแดงก่ำ
   “คุณทำให้ผมเจ็บเป็นบ้าเลย" นัทพูดติดตลกทั้งๆที่ตาบวมเป่ง
   “นี่คุณคิดว่าผมไม่เจ็บงั้นสินะ" กายยิ้มให้เป็นคำตอบ......
   “อีกสิบห้านาที เครื่องจะแลนดิ้งแล้ว ขอให้ผู้โดยสารทุกท่าน..............”

   กายเอื้อมมือไปจับนัทเอาไว้แน่น ขณะที่นัทเริ่มน้ำตาไหลอีกครั้ง.......

   “คุณรู้ดีว่ามีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ที่คุณจะไม่เจ็บ" นัทพูดเสียงสะอื้น
   “ผมถึงไม่อยากฟังคุณบอกผมที่นั่นไง" กายว่า "ผมแค่.....ทนรับไม่ได้.....ผมอยากให้เวลาที่เจ็บสั้นที่สุดก็พอ"

   เครื่องบินสั่นตัวเล็กน้อยก่อนจะค่อยลงจอดสนิทอีกครั้ง ผู้โดยสารคนอื่นๆกำลังทยอยลงจากเครื่อง ขนสัมภาระของตัวเองลง กายและนัทลุกขึ้นจากที่นั่งและหยิบของของตัวเองบ้าง
   สาขอแยกตัวไปเพื่อโทรหามิกที่มาจอดรถรออยู่ที่หน้าสนามบิน ในขณะที่โอ๊ตก็รีบหายตัวไปอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ขณะที่กายเดินมาส่งนัทถึงหน้าสนามบินโดยที่ไม่แม้แต่จะปล่อยมือออกจากกัน นัทมองเห็นเจ้าเต่าทองของมิกที่จอดอยู่พร้อมกับสาและมิกที่ยืนมองเขาอย่างเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดี กายจับตัวนัทมาหาตัวเอง นัทมองกายด้วยใบหน้าซีดเผือด
   “ผมดีใจนะกับ เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่หมู่บ้านฝั่งลาว แล้วเอ่อ....” กายพยายามบังคับไม่ให้เสียงของตัวเองสั่นแม้ว่าตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำ "ผม ไม่รู้ว่าจะว่างมาส่งคุณไปนิวยอร์คไหมเพราะ การมาเจอคุณแบบทริปมัน...คงแทบไม่เกิดขึ้นอีก....”
   นัทพยักหน้ารับอย่างพยายามตั้งสติเท่าที่ตัวเองจะทำได้ มือของเขาเย็นเฉียบจยกายรู้สึกได้ เขาจับมือคู่นั้นไว้แน่น
   “.....ผมไม่รู้ว่าคุณจะจำได้เหมือนผมจำได้หรือเปล่า แต่.....วินาทีแรกที่ผมเจอคุณ....ผมรู้ว่าคุณคือคนที่ผมอยากค้นหา" กายพูด ขณะที่น้ำตาของนัทไหลลงมา "….และตลอดการเดินทางของเราสองคน ทุกทุกวินาที ที่ผมได้พบกับคุณ มันคือเวลาที่มีค่าที่สุดของผม ผมรู้คุณคงเบื่อที่จะฟัง แต่.....คุณเป็นแรกและจะเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมไปไหนไม่ได้ คุณทำให้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลยถ้า....”
   “...ถ้าคุณไม่ทำให้ผมเข้าใจคุณ และคุณได้เห็นทั้งหมดที่เป็นตัวผม" นัทต่อคำจนจบ ก่อนจะปล่อยมือจากกาย "ผมต้องไปแล้ว มิกมันเอ่อ คงรอนาน เดี๋ยว....ตำรวจโบกเอาจะแย่......คุณ.....ไปเถอะ”
   กายค่อยๆเดินถอยหลังไปจากนัทช้าๆ และเมื่อกายหันหลังให้กับเขานัทก็ร้องไห้อย่างหนักทันที
   “....ต....แต่..ม...มันมีคำนึง......ที่คุณคงยังไม่เคยได้ฟัง.....” นัทพูดเสียงสะอื้นทั้งน้ำตา กายหยุดชะงัก
   “.....ผม....รักคุณ..กาย"
   กายวิ่งเข้ามาสวมกอดนัทไว้ทันที กำแพงทุกอย่างที่นัทมีพังทลายลงตรงนี้แล้ว เขากอดกายเอาไว้แน่นอย่างที่ไม่เคยกอดมาก่อน
   “ขอบคุณนัท" กายกระซิบเบาๆ
   กอดกันอยู่นาน....
   จนเวลาเหล่านั้นจบลง.........
….....................
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 35 จบตอน) - 5/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: beautjang ที่ 06-12-2011 01:55:42
ชอบเรื่องนี้มากเลย

เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยกขึ้นหิ้ง

ชอบการแสดงความรู้สึกของตัวละคร

มันโดดเด่นมาก  ถ่ายทอดออกมาดีทีเดียวเลย

มีผลงานเรื่องอื่นอีกรึเปล่างับ

อยากอ่านอีกง่า o13 o13 o13

หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 36 จบตอน) - 6/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 06-12-2011 02:02:04
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=7834.30

เคยฝากผลงานไว้ที่นี่แค่เรื่องเดียวค่ะ เมื่อนานมาแล้ว เรื่อง สยามเมโลดี้ รักแห่งนี้นิรันดร์ (The Love Of Siam 3) เป็นฟิคตอนต่อจาก รักแห่งสยามค่ะ

แต่ภาคก่อนหน้านี้ไม่ได้อัพไว้ที่นี่ แต่อยู่ที่ Dek-D.com ในนามปากกา มิรันดา ค่ะ

ขอบคุณที่ติดตามผลงานนะคะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 37 จบตอน) - 11/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 11-12-2011 11:57:47
บทที่ 37 Be Strong

“ไม่น่าเชื่อแลยเนอะว่าจะได้เรื่องขนาดนี้อ่ะมิก" สาพูดขึ้นกลางโต๊ะอาหารชื่อดังย่านลาดพร้าว "ลองคิดดูสิถ้าไม่ได้คุณแจ๊คล่ะก็นายเสร็จแน่อ่ะ"
   “สุดๆอ่ะ เธอไม่เห็นหน้าเค้าตอนนั้นเหอะ" มิกว่าอย่างออกรส "ฉันคิดว่าหน้าเค้าจะละลายอยู่แล้ว"
   “ฮ่าฮ่าฮ่า" มาร์คหัวเราะเสริมด้วยอีกคน "คุณเเจ๊เปรียวเป็นบก.นิตยสารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการโฆษณาและงานดีไซน์เมืองไทยเลยนะ ได้สัมภาาณ์ขึ้นปกกับหล่อนแค่เล่มเดียว รับรองนายชื่อกระฉ่อนทั้งวงการแน่"
   “ทำไมแกใช้คำว่าชื่อกระฉ่อนวะมาร์ค" มิกถามพลางขมวดคิ้ว
   “ถามจริง ไม่รู้จริงอ่ะ" มาร์คยิ้มให้ ขณะที่สาแหล่มองเพื่อนรักพลางกลั้นหัวเราะ "ไม่รู้จริงอ่ะเจ๊แกเป็นเอ่อ...แบบว่า....ว้ายยยยคุณน้อง...อะไรอย่างนี้"
   มาร์คและสาหันมาหัวเราะให้กันทันที มิกส่ายหน้าพลางอมยิ้ม
   “ช่าย อันนั้นน่ะฉันรู้ แต่ว่าเค้าเป็นคนเชิญมานี่หว่า" มิกว่าพลางยิ้มกว้าง "แล้วอีกอย่างนะฉันก็มีสิทธิ์ไว้ตัวแล้วเว่ย คนมันดังอ่ะนะ"
   “จ้า พ่อศิลปินคนดัง" สาแซว "นี่ถ้าไม่ติดว่าแกลอรี่เมื่อเดือนก่อนแกทำคนเดียวคจริงๆล่ะก็นะ"
   “อ้าวคุณสาครับ ถ้าไม่แสดงตัวเองบ้างจะตามคุณทันเหรอครับ ช่างภาพสาวสวยสุดเซ็กซี่" มิกว่าพลางเอื้อมมือไปหยิบนิตยสารอีกเล่มที่อยู่ใกล้ๆโต๊ะขึ้นมาแนบหน้าพลางทำหน้าล้อเลียนสา มันเป็นภาพของสาที่สวมชุดราตรีสีชมพูยาวลากพื้น ขณะที่มือถือกล้องถ่ายรูปอย่างดูดี
   “ไอ้มิก เก็บลงไปเลยไอ้ตัวดี เดี๊ยะ เดี๊ยะ" สารีบคว้าหมับลงขณะที่มิกรีบปกป้อง
   “จะมาอายอะไรเนี่ย ฉบับเธอวางแผงไปครึ่งเดือนและ" มิกว่า "แฟนความรู้สึกช้าเนอะ มาร์คเนอะ"
   “อย่างนี้แหละเค้าอ่ะ" มาร์คว่า "บางทีน่ะฉันต้องบอกเลยว่า ผมเสร็จแล้วนะ ตื่นเถอะ......”
   เงียบกันไปพักนึง
   “อ้ายยยยยยย มาร์คคคคคคคค" สารุมตีแฟนหนุมทันที ขณะที่มิกหัวเราะร่วนที่เห็นสาหน้าแดงด้วยความเขินอาย
   “เอ้าๆ พอเหอะ เดี๋ยวแฟนแกตาย" มิกพยายามห้าม
   “ผมล้อเล่น คุณก็....” มาร์คพยายามปกป้องตัวเองจากการทำโทษของสา "โน่นๆ หนุ่มฮอตแห่งวงการมาโน่นและ"
   “หวัดดีทุกคน" เสียงนัทยานคางมาแต่ไกล ชายหนุ่มในชุดเสื้อกั๊กสีขาว สวมทับเสื้อสีเทา มีผ้าผันคอพันเอาไว้อย่างไม่จงใจ ใบหน้าสดใสภายใต้หมวกทรงเก๋ที่วางไว้ไม่เป็นระเบียบ "โทษทีที่มาช้า วิกฤตเครื่องประดับน่ะ"
   นัทมาถึงก็วางของหอบใหญ่รอบตัวทุกๆคน
   “เลวร้ายมั้ย" มิกถามเสียงอบอุ่น
   “โอยยยยย" นัทลงเสียงต่ำ "สุดยอดจะบรรยาย พี่สุเมธแทบจะแหวกอกนางแบบทุกคนเลยอ่ะ ฉันนี่แบบกันท่าเอาไว้ ต้องเร่งแก้ให้ทันก่อนสี่โมงเย็นซะด้วย"
   “กลัวแสงหมดน่ะสิ" สาว่า
   “ไม่ใช่เลย กลัวคนมาวิ่งออกกำลัง พี่สุเมธไม่ชอบคนเยอะ" นัททำตาเหลือก "ก็บอกแล้วให้อ่านบรีฟที่ฉันส่งไปให้ดีดี พวกช่างแต่งหน้าก็สันหลังฉีกอีก คนพวกนี้จริงๆเล้ย"
   “เอาน่า...อีกอึดใจเดียวเหอะ" มิกว่าพลางยักคิ้วให้สา "นี่ขนาดไปออกกองมาทั้งวันนะเนี่ย ดูดิ ยังหล่อเป๊ะยันเย็นอ่ะ"
   มิกอมยิ้มให้นัทที่กำลังถอดหมวกตัวเองเองออก พลางเอื้อมมือกไปขยี้หัวเพื่อนรัก ที่กำลังทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง
   “อ้อ ฉันมีของมาฝากพวกนายทุกคนด้วย" นัทยักคิ้วพลางมองไปรอบโต๊ะ กว่าจะก้มลงไปหยิบของใต้โต๊ะขึ้นมาวาง
   “อะไรอ่ะ" มาร์คถาม
   “เริ่มจากนี่" นัทคว้ากล่องกระดาษหรูๆออกมาอันนึง "ปากกาลามี่ ที่ปลอกมีเม็ดนิลสวยๆอยู่อ่ะ แกต้องชอบมิก"
   “เหยดดดด" มิกร้องพลางเอื้อมมือไปหยิบของมามาเปิดดูทันที "สุดยอดอ่ะ ดี เวลาหยิบอะไรมาเสก็ตจะได้ดูมีตังค์ ฮ่าฮ่า"
   “แล้วก็ชุดบำรุงผิวจาก Clinique Men” นัทหยิบเอาชุดบำรุงผิวมาแกว่งๆตรงหน้ามาร์ค
   “เห้ย มันยังไม่ขายที่ไทยนี่นา" มาร์คว่าพลางหยิบครีมมาชุดนึงแล้วลองทาที่ข้อมือ "นายไปได้มายังไงเนี่ย"
   “เพราะจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ไม่อ่านบรีฟฉัน ก็เลยเข้าใจเอาว่าจะมีนายแบบผู้ชาย ก็เลยไปซื้อชุดนี้เอามาแจกให้นางแบบเมื่อหลายวันก่อน" นัทว่า "ฉันต้องรอจนพี่สุเมธแน่ใจว่าไม่มายถ้าไอ้ชุดนี้จะไม่ได้ใช้แล้ว ถึงจะจิ๊กมาน่ะ แล้วก็นี่....”    นัทหยิบเอาประเป๋ากล้องหนังสีดำ ประดับด้วยเข็มขัดมุกประกายชมพู ดูมีระดับ ที่ทำให้สาถึงกับตาลุกวาว
   "อะไรเหรอ มองอะไรเหรอสา....อะไรเหรอ" นัททำเป็นแกว่งๆตรงหน้าเธอ
   “ไอ้นัท" สาคว้ากระเป๋ากล้องมาทันที นัทถึงกับขำเบาๆ ขณะที่สาหยิบกระเป๋ากล้องของตัวเองออกมาแล้วเริ่มย้ายข้าวของ
   “อะไรกันเนี่ย ฉันสั่งจองไอ้นี่ไปตั้งแต่ต้นมิถุนา ตอนนี้ยังไม่ได้ไม่แต่บัตรคิวอ่ะ" สาว่า "โอ๊ย คนอื่นๆต้องอิจฉาแน่ๆ อ้ายยยยยยย"
   “โอ็ย คุณเธอ ใบไหนๆมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ" มิกว่า
   “ไม่เหมือนหรอก ถ้านายรู้ว่าใบนี้เป็นของชาแนล" นัทเบิกตามองมิกที่จ้องเขากลับตาแทบถลน
   “บ้า ชาแนลจะมาทำกระเป๋ากล้องได้ไง" มิกร้อง
   “ไม่ได้หรอก ถ้าไม่ใช่การขอเป็นงานทดลองจากซูเม่" สายักคิ้ว "เธอประมาทงานพี่สุเมธเกินไปและ"
   “พระเจ้า......ฉันชอบงานแกว่ะนัท" มิกร้องขณะที่นัทกำลังกดไปมาในมือถือเพื่อทำตารางงานใหม่
   “ไม่แปลกเลยนะมิก" มาร์คว่าขณะโยนเอาชุดบำรุงลงประเป๋า "แบรนด์ซูเม่กำลังเติบโตในวงการตลาดสากล ตั้งแต่คอลเลกชั่นของพี่สุเมธได้รับการบอกผ่านจากบก.นิตยสารโวคอเมริกาเมื่อสามเดือนก่อน"
   “อ๋ออันนั้นฉันรู้" มิกตอบ "งานนั้นชื่อว่า ป่าในเมือง สาวๆในเมืองหลวงปลดปล่อยสัตว์ร้ายในตัว เผชิญชีวิตในเมืองใหญ่"
   “ช่าย งานนั้นฉันเป็นคนไปถ่ายมาเองเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว และไอ้นัทก็เพิ่งทำเวอร์ชั่นไทยวันนี้เองใช่มะ...” สาถามนัท ที่พยักหน้าตอบเบาๆโดยยังไม่เงยหน้ามาจากมือถือ
   “มิน่าล่ะ สามเดือนที่ผ่านมานี้ฉันถึงรู้สึกว่าอะไรๆรอบตัวเปลี่ยนไปหมด" มิกว่า "ตอนแรกแค่คิดว่า Lovable Studio จะแค่เปลี่ยนเป็นโคสตูดิโอเฉยๆ แต่แบบว่าไปไกลมากอ่ะ.....”
   “ใช่แล้ว นี่เรากำลังพูดถึงผลงานของอาร์ททิสคนไทยระดับโลก ที่มีคนสนใจเปลี่ยนผลงานของเขากลายเป็นแบรนด์เลยนะ" มาร์คว่าต่อ "แถมยังมีแบรนด์ดังๆอีกนับไม่ถ้วนที่อยากจะเข้าร่วมโปรเจ็คโคดีไซน์ครั้งนี้ คิดดูสิงานทุกอย่าง เซ็ทแฟชั่น วีดีโออาร์ท รองเท้า กระเป๋า......แฟชั่นกับงานศิลป์ไปด้วยกันได้เพราะแบรนด์ซูเม่เลยนะ"
   “และที่สำคัญมันสวยมาก" สากอดกระเป๋ากล้องใบใหม่ของเธอพลางทำหน้าเพ้อฝัน มิกถึงกับคอตกกับอาการของเพื่อนรัก
   “มันเป็นโปรเจ็คใหญ่ที่จะเตรียมรับกับสัปดาห์แฟชั่นวีคปลายปีหน้าน่ะ" มาร์คว่า
   “เดี๋ยวๆ อีกไม่กี่อาทิตย์ แฟชั่นวีคก็จะเริ่มแล้วไม่ใช่เหรอ" มิกว่า
   “ใช่ แต่ยังไม่ใช่สำหรับซูเม่อินเตอร์แนชั่นนอล" มาร์คว่า "งานนี้พี่สุเมธปล่อยผ่าน"
   “ทำไมล่ะ ไหนว่ากำลังก้าวไปสู่แบรนด์ระดับโลกไง" มิกว่า
   “พี่สุเมธบอกว่าการที่ให้เป็นรู้จักต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป เราจะรอเวลาเพื่อที่จะศึกษางานใหญ่ๆได้เต็มๆกับแฟชั่นวีคปีนี้" นัทเงยหน้าขึ้นมาตอบ "เพราะถ้าเราเป็นแค่แบรนด์เล็กๆที่เข้าไปขอความช่วยเหลือจากแบรนด์ใหญ่ๆให้ได้ทุกแบรนด์ในแฟชั่นวีคปีนี้ คิดดูสิ ว่าแฟชั่นวีคปีหน้าจะเป็นยังไง"
   มิกมองหน้านัทเหมือนไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน
   “ดูแกสิ" มิกขำเบาๆ พลางมองไปหาสา "ไม่นึกเลยอ่ะ ว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้มาจากไอ้นัทมันอ่ะ"
   “ตลกแดกละ" นัทพูดขำๆก่อนจะปิดมือถือ "เอาล่ะ ไหนบอกซิว่าลากมาไกลถึงนี่เนี่ย ฉลองกันในโอกาสอะไร"
   ทั้งสี่มองไปมองมาซึ่งกันและกัน ก่อนทีสาจะยกมือขึ้น
   “ฉันนัดเองแหละ" สายิ้มเฝื่อนๆ "ฉันกำลังจะไปเบอร์ลินแล้ว อีกสองวัน"
   “เห้ยจริงดิ" นัทร้อง
   “พระเจ้า ทำไมมันเร็วงี้วะ" มิกร้อง
   “เร็วบ้าอะไรไอ้มิก ตั้งแต่ฉันตอบคอนเฟิร์มไปนี่มันจะห้าเดือนแล้วนะ" สาว่า "พี่สุเมธเปิดสตูดิโอเล็กๆไว้ที่นู่นแล้วและเอ่อ.....มันถึงคิวฉันต้องไปก่อนน่ะ"
   “แล้ว....นายล่ะมาร์ค" นัทถามต่อ
   “ฉันเซ็นสัญญาป็นนายแบบให้กับซูเม่แล้ว" มาร์คว่า "ดังนั้น งานแรกที่ฉันได้รับก็คือ การเปิดตัวสตูดิโอที่เบอร์ลินนั่นแหละ ฉันจะบินตามสาไปอีกสามอาทิตย์"
   “เห้ย ยินดีกับแกสองคนด้วยนะ" นัทว่า "ให้ตายสิ มันเอ่อ.......ดีใจด้วยจริงๆ"
   “ขอบใจนัท" สาเอื้อมมือไปจับเพื่อนรัก "วันนี้ฉันก็เลยฉลองกับพวกเราไง"
   “โอ้ ผัวเมียคู่นี้นี่มันขยันจริงๆว่ะ" มิกพูดตลิดตลก สาเอื้อมมือมาตีมิกเบาๆ
   และค่ำคืนนี้การสังสรรค์ปาร์ตี้เล็กๆก็เริ่มขึ้น ปาร์ตี้ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่เต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และตลอดเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ทั้งสี่ได้กินข้าว หัวเราะ และพูดคุยกัน นั่นก็ทำให้ความสุขเล็กๆจากกการโหมงานหนักในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาได้ผ่อนคลายลงบ้าง
   ล่วงเลยเวลาไปเกือบสี่ทุ่มกว่าทั้งสี่จะออกมาจากร้าน และยืนกันอยู่ที่ลานจอดรถ นัทสวมกอดสาทันที
   “ดูแลตัวเองนะเว่ย" นัทพูดขึ้นพลางยิ้มให้สาเพื่อนรัก
   “ขอบใจแก" สาว่า "แล้วนี่แกจะไปอเมริกาเมื่อไหร่"
   “ช่วงคริสต์มาส อีกสองเดือนน่ะ" นัทตอบ
   “แกล่ะมิก" สาถามอีก "ไปปารีสเมื่อไหร่"
   “ช่วงเดียวกัน แต่คนละไฟลท์" มิกว่า "ของฉันยังไม่คอนเฟิร์มด้วย ไม่แน่อาจจะเลยไปถึงช่วงมีนาเมษาปีหน้าโน่น"
   “แกคงได้อยู่กับ Lovable Studio เป็นคนสุดท้ายเลยสินะ" สาว่า มิกพยักหน้าน้อยๆ และก็เงียบกันไปพักนึง
   “ฉัน.....ดีใจกับแกด้วยนะเว่ย" มิกพูดเบาๆ สาจับมือเพื่อนรักของเธอ
   “ไม่รู้ว่าจะเจอกันอีกเมื่อไหร่เนอะ แต่ว่า..... แกสองคนคือเพื่อนรักของฉันจริงๆ ฉันรักแกสองคนมากนะเว่ย" สาว่า "ฉันไม่อยู่แล้ว ใช้เวลาที่เหลืออยู่ของแกสองคน อยู่ด้วยกันให้มากที่สุดเลยนะเว่ย"
   มิกและนัทมองหน้ากันทันที
   “แกสองคนผ่านอะไรต่อมิอะไรด้วยกันมาตั้งเยอะแล้ว...ฉันก็คงไม่ได้อยู่เป็นศิราณีให้พวกแกแล้วด้วย" สาว่า "ยังไงก็ โทรมา Skype หรือ Message มาก็ได้"
   “อืม ไอ้เนี่ย เดี๋ยวฉันดูแลมันเอง" มิกว่าพลางขยี้หัวนัท "แกไปเหอะ"
   สายิ้มให้กับมิกและนัท ก่อนจะโผเข้ากอดทั้งคู่ทันที
   “ไม่เอาดิ ไหนว่าจะไม่ดราม่าไง" มิกว่า สายิ้มน้อยๆพลางปาดน้ำตา
   “ฉันไปก่อนนะแก" สาว่า
   มิกและนัทยิ้มเธอ พลางมองรถของมาร์คขับพาสาไปจากร้านอาหารจนลับสายตาไป
   “ไป เดี๋ยวไปส่ง" มิกพูดขึ้น นัทหันมาเลิกคิ้ว
   “เดี๋ยวนี้ไอ้เต่าทองว่างแล้วเหรอวะ" นัทหันมาแซว
   “บ้า...มันก็ว่างตลอดแหละ" มิกตอบพลางจับตัวนัทเดินไปยังไอ้เต่าทองที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก ถึงจะผ่านมาห้าเดือนแล้ว มิกก็ยังคงขบเจ้าเต่าทองอยู่เหมือนเดิม แม้ว่ามันจะดูสะอาดตามากขึ้นกว่าเดิมบ้างก็ตาม "มีแต่แกอ่ะแหละ เดี๋ยวนี้มีรถมารับส่งนี่หว่า"
   “เห้ย ไม่ใช่อย่างนั้น พี่เมธเขาแค่แวะมารับเฉยๆ มันเป็นทางผ่านเว่ย" นัทตอบ
   “ไม่เห็นพี่เมธจะมารับฉันมั่งวะ" มิกว่าพลางเปิดประตูรถ
   “ก็เค้าเห็นแกมีไอ้เต่าทองนี่ไง" นัทเข้าไปนั่งในรถของมิก ขระที่รถเริ่มเคลื่อนตัวออกจากร้านอาหาร
   บรรยากาศในรถไม่มีอะไรมากนัก นัทนั่งจมอยู่กับมือถือเพื่อตรวจเช็คตารางงานของตัวเอง ขณะที่มิกเหลือบมองนัทบ้างเป็นระยะ
   “เปลี่ยนไปเยอะเลย รู้ตัวป่ะเนี่ย" มิกพูดขึ้น
   “หือ....อะไรเปลี่ยนนะ...” นัทเงยหน้าขึ้นมาทันที มิกยิ้มเบาๆก่อนจะเลี้ยวรถ
   “บอกว่าแกอ่ะ......เปลี่ยนไป" มิกพูดเสียงดัง
   “บ้า...เปลี่ยนไปตรงไหน" นัทขมวดคิ้ว
   “เปล่าก็.....แกเคยบอกว่า แกไม่ได้อยากมีชีวิตแบบนี้ไง" มิกพูดเบาๆ
   “บอกเหรอ ฉันเคยบอกเหรอ" นัทว่า มิกหันมาทำหน้าเซ็งๆเบาๆ
   “แกเพิ่งจะ 25 อย่ามามึน" มิกร้อง
   “อ่า...โอเค...ก็......” นัทว่ากลับพลางวางมือถือลง "…...ใช่ แต่นี่ก็ไม่เชิงเป็นชีวิตที่ฉันไม่ชอบหรอกเว่ย มันก็โอเคแหละ ก็ตอนนั้นมันเลือกไปแล้วแล้วแกเองก็เคยบอกว่าลูกผู้ชายเลือกแล้วอย่าหันหลังกลับไม่ใช่เหรอวะ....”
   “มันก็ใช่.....” มิกพูดลากเสียง "แต่ว่า...”
   “ไม่มีแต่แล้วเว่ย" นัทพูดตัดบท พลางยิ้มกว้างอย่างเป็นสุข "ที่ฉันพูดไปตอนนั้นก็อาจจะเป็นเพราะตัวเองกำลังแบบว่า....งี่เง่า....ขึ้นมาตอนนั้นน่ะ แต่ฉันก็ยังเป็นนัทคนเดิมเว่ย.....นัทคนเดิม.....เสื้อผ้าดีขึ้น"
   “แต่ฉันชอเบสื้อผ้าเก่า" มิกพูดเบาๆพลางเหล่มองนัท ที่ถึงกับขมวดคิ้วมองมิก
   “กลับมาจีบกันป่ะเนี่ย" นัทถามเสียงใส
   “ยังไม่แน่ใจอ่ะ" มิกตอบขำๆ "คงใช่มั้ง ก็เห็นแกว่างๆ"
   “ว่างบ้าอะไร งานท่วมหัว" นัทตอบพลางก้มลงกดมือถือต่อไป
   “ได้เจอกันบ้างหรือเปล่า" มิกถามขึ้น
   “ใครอ่ะ" นัทตอบ แม้ว่าจะยังไม่เงยหน้าจากมือถือ
   “ไม่มีอะไร" มิกพูดปัดๆ นัทเหลือบตาขึ้นมาแว้บนึง
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ มิกไม่รู้ตัวว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะถามอะไรนัทเลย และตอนนี้สาก็ไม่อยู่ให้เขาถามแล้วด้วย หลังจากนี้ เหลือแค่เขากับนัทเท่านั้น
   “เจอ" นัทตอบเบาๆ "ก็ ไม่มีอะไรหรอก เจอแป้บเดียว ที่แกลลอรี่แกเมื่อเดือนที่แล้วไง"
   “เหรอ" มิกรับคำเบาๆ เสมือนว่ามันเป็นบทสนทนาที่ปกติ
   “ไม่มีอะไรสำคัญหรอก จริงๆนะ" นัทพูดต่อ "เขาก็สบายดี ก็แค่ออกไปกินข้าว แล้วก็......แยกย้ายกันไป"
   “อ่อ" มิกพ่นลมออกมาเบาๆ
   “ว่าแต่แกเถอะ เป็นไงบ้างวะที่ Lovable” นัทถาม "มีใครมาใหม่บ้างยัง"
   “อ๋อ มีมี" มิกว่า "ได้จูเนียร์ดีไซน์เนอร์มาใหม่ เก่งพอตัวเหมือนกัน โหมงานหนักได้ดีอ่ะ ชื่ออาร์ม ถึงจะแทนแกกับไอ้สาไม่ได้แต่ว่า ฉันก็ไม่เหนื่อยอ่ะ"
   “ดีแล้ว เก็บแรงไว้เหนื่อยที่ปารีสดีกว่า" นัทว่า
   อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงมิกก็พานัทกลับมาส่งถึงบ้าน นัทก้าวลงจากรถ ขณะที่มิกเปิดกระจกรถลง
   “อยู่คนเดียวเหรอวะ" มิกถาม
   “เออดิ จะให้อยู่กับใครอ่ะ" นัทตอบด้วยน้ำเสียงกวนๆ
   “จะให้อยู่เป็นเพื่อนเปล่า" มิกถามต่ออีก
   “ไม่ต้องหรอก" นัทตอบ "ฉันอยู่ได้ นี่บ้านฉันน่ะเว่ย จะอยู่คนเดียวไม่ไ่ด้ได้ไง แกต่างหากมิก อยู่คนเดียวได้ป่ะ"
   “ได้ดิ" มิกว่าพลางมองออกไปข้างหน้า "งั้นก็คงเหมือนกัน"
   “อืม ขับรถดีดีล่ะ แล้ว....เดี๋ยวไว้เจอกัน" นัทพูดพลางเดินเข้าไปในบ้านอย่างคุ้นเคย
   นัทเอื้อมมือไปเปิดไฟทีละดวงก่อนจะถอดผ้าหันคอและเสื้อกั๊กออกจากตัว ชายหนุ่มม้วนแขนเสื้อขึ้นพลางเดินเข้าไปหาน้ำกินในครัวและเดินเข้าห้องน้ำ นัทเอาน้ำมาลูบหน้าตัวเองครั้งหนึ่งก่อนจะมองเข้าไปในกระจก ใบหน้าของชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาปรากฎอยู่ในกระจก ภาพของตัวเองในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์แว้บเข้ามาในสมอง นัทหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะก้าวออกจากห้องน้ำไป
   เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารีบวิ่งออกมารับมันทันที
   “ฮัลโหลคุณนัท" เสียงของพี่สุเมธดังที่ปลายสาย
   “ครับพี่เมธ" นัทรับคำ
   “วันพรุ่งนี้มีงานสัมนาเรื่องดีไซน์ฟิวเจอร์ จากอนาคตสู่ปัจจุบันใช่หรือเปล่า" เสียงจากปลายสายดังขึ้น
   “เอ่อ...แป้บนึงนะพี่" นัทพลิกสมุดตารางงานในกระเป๋าอีกใบอย่างเร่งรีบ "เอ่อ......สี่....กันยา......ใช่ครับพี่ ที่โรงแรมมาริออตที่ฝั่งธน แต่พี่ไม่ได้คอนเฟิร์มนี่ ผมก็เลยไม่ได้บันทึกไว้ใน Event ที่มือถือ"
   “ใช่ๆ พี่จะบอกว่าพี่คอนเฟิร์มแล้ว" พี่เมธกล่าวกับนัท
   “อ้าวเหรอครับ" นัทพูด "งั้นแสดงว่าวันพรุ่งนี้ผมก็ไม่ต้องไปรับรูปที่พารากอนไปให้พี่ที่สาทรแล้ว"
   “รับสิรับ พี่ไปรับเอง" พี่เมธตอบ "เราไปเข้าสัมนาแทนพี่ที"
   “เอางั้นเลยเหรอพี่" นัทตอบ
   “ใช่ๆ สำคัญมากๆ วิทยากรที่มาสัมนาทุกคนเป็นคนที่เราต้องทำความรู้จักด้วยน่ะ" พี่เมธกล่าว
   “งั้นได้ครับ เดี๋ยวผมไปเอง" นัทตอบ
   “ขอบใจมากนัท" พี่เมธกล่าวพลางวางหูโทรศัพท์ไปทันที นัทหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะรีบบันทึกงานใหม่ลงมือถือ สงสัยคืนนี้เขาต้องรีบนอนเสียแล้ว.........
…..............
   “สิ่งที่เราให้ความสำคัญที่สุดคือการทำให้วงการนี้ เต็มไปด้วยดีไซน์เนอร์คุณภาพ.........” เสียงการสัมนาเป็นไปอย่างเรียบง่าย ขณะที่นัทนั่งฟังอย่างใจลอยอยู่ที่โรงแรมมารีออตในวันรุ่งขึ้น เขานอนไม่ค่อยหลับนักเมื่อวาน มีบรีฟงานอีกสองสามอย่างที่เขาต้องตรวจแก้อีกก่อนนอน ทำให้การสัมนาวันนี้ นัทจึงไม่ค่อยได้รับเนื้อหาอะไรมากมายนัก
   ขณะที่นัทกำลังนั่งอยู่นั้น ร่างๆหนึ่งก็นั่งลงข้างๆตัวเขาทันที
   “เจ้านัท" เสียงอันคุ้นหุดังขึ้น เมื่อนัทหันไป ก็พบกับบอสพิพัฒน์ทันที
   “อ้าว บอส...หวัดดีคับ" นัทยกมือไหว้อย่างยินดี
   “บอสอะไรเล่า เราไม่ใช่ลูกน้องฉันแล้วนา" บอสยิ้มอย่างยินดี
   “โห ยังไงบอสก็เป็นบอสอยู่เสมอและครับ" นัทว่า "แล้วนี่ไปไงมาไงล่ะครับ"
   “อ๋อ นี่พาจูเนียร์ดีไซน์เนอร์จากสตูดิโอมาสองสามคนน่ะ เจ้ามิกก็มานะ แต่มันว่ามันขี้เกียจฟังน่ะ ก็เลยออกไปอยู่ข้างนอก" บอสตอบเสียงใส
   “อ๋อเหรอครับ" นัทว่า
   “เออ วันนี้เจ้ากายก็มานะ" บอสว่า นัทเลิกคิ้ว
   “มาด้วยเหรอครับ" นัทถามเบาๆ "อยู่ไหนล่ะครับ"
   “โน่นไง" บอสชี้ขึ้นไปบนเวที กายสิทธิ์เดินเข้ามาพร้อมกับเสียงปรบมือ นัทมองไปยังร่างของพ่อมดหนุ่มที่สวมชุดสูทที่ไม่ถึงกับเป็นทางการากนัก เสื้อชั้นในเล่นเลเยอร์อย่างดูดี กายยังคงหล่อแบบที่เขาควรจะเป็น
   “สวัสดีครับ" เสียงผ่านไมโครโฟนของกายดังขึ้น "ขอบคุณคุณเอกมากนะครับที่กล่าวถึงผมได้แบบว่า.....ผมเองก็ไม่ได้จะยกตัวเองขึ้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของตลาดที่กว้างขึ้นหรอกครับ ส่วนตัวในชีวิตการทำงานในวงการนี้เนี่ย ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คงเป็นการมองทรัพยากรของดีไซน์เนอร์ที่เรามีอยู่ทุกๆคน ให้ขาดมากกว่า"
   “ทำไมถึงคิดว่าเป็นการมองที่ทรัพยากรคนล่ะครับคุณกาย"
   “ผมเองก็เคยทำงานใหญ่ๆมาบ้างอ่ะนะครับแต่ว่า มันก็มีดีไซน์เนอร์หลายคน ที่ผมเข้าไปคลุกคลีด้วย ได้เห็นวีธีการทำงานหรือว่า ความคิดสร้างสรรค์ของคลื่นลูกใหม่ๆที่เข้ามาในวงการเรา แล้วเอ่อ....ผมยังเชื่อว่า การวางคนให้ถูกกับงาน การวางงานให้ถูกกับคน ยังเป็นสำนวนที่ใช้ได้ครับ" กายตอบ
   “พอจะยกตัวอย่างให้เราได้ไหมครับ"
   กายหันมามองหน้านัทแว้บนึง นัทยิ้มให้กับกายเบาๆ
   “ครับ ก็อย่างเช่น อาพัฒน์ คุณอาของผมเองน่ะครับ"
…............
   “วันนี้ผมพูดดีไหมคุณ" กายวิ่งตามนัทออกมาได้ทันขณะที่เหล่าผู้ร่วมงานค่อยๆทยอยกันแกย้ายออกจากห้องสัมนา
   “ก็โอเคอ่ะ" นัทตอบเบาๆ "แต่คุณเหนื่อยๆนะ"
   “ใช่ วิ่งตามคุณเนี่ยโคตรเหนื่อยเลย แวะคุยกันหน่อยสิคุณ" กายว่า ขณะเดินออกมาตามล๊อบบี้ของโรงแรม
   “ผมไม่ว่างอ่ะ" นัทหันมามองหน้ากายด้วยรอยยิ้มเฝื่อนๆ กายมองหน้านัทพลางมองไปรอบๆ ตัว เมื่อรู้ว่าไม่มีใครสังเกตุ เขาขยับตัวมาหานัทใกล้ขึ้น
   “ผมเป็นห่วงคุณนะ แล้วก็คิดถึงคุณมากด้วย" กายพูดเบาๆ นัทเบือนหน้าหนี "ทำไมไม่โทรหาล่ะ"
   “ผมไม่ว่างจริงๆ" นัทพูดเสียงอ่อนโยน "แล้วผมรู้ คุณก็ไม่ว่าง เถียงดิ"
   กายก้มหน้าลง
   “แต่มันเหมือนว่าคุณหลบหน้าผมนะนัท" กายขมวดคิ้ว
   “หลบหน้าอะไรคุณ" นัทยิ้มให้กาย "ผมก็มองหน้าคุณอยู่เนี่ย"
   กายมองตานัท นัทมองกายอย่างไม่อยากอธิบายอะไรทั้งนั้น กายรับรู้ได้ว่าตอนนี้นัทมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป ไม่สิ หลายๆอย่างเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเขาเองก็รู้สึกไม่สบายใจ ตลอดเวลาห้าเดือนที่ผ่านมา กายมองนัทอยู่ห่างๆ และเห็นว่าตอนี้นัท ไม่ใช่ดีไซน์เนอร์หน้าใหม่ไฟแรงอีกต่อไปแล้ว
   “คุณจะไปไหนอ่ะ" กายเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ไม่อยากให้มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นอีก เหมือนครั้งที่เจอกันเมื่อเดือนก่อน
   “ผมจะไปออฟฟิศพี่เมธที่สาทร" นัทพูดพลางถอนหายใจ
   “งั้นผมไปส่ง" กายว่าต่อ
   “ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมเรียกรถมารับเอง" นัทว่าต่อทันที
   “ให้ตายสินัทผมขอ ให้ผมไปส่งได้หรือเปล่า" กายว่า
   นัทมองหน้ากายอยู่พักนึง
   เขาเริ่มรู้สึกเบื่อการกระทำของกายแบบนี้มากมายเหลือเกิน ตลอดเวลาห้าเดือนที่ผ่านมา....
   กายไม่รู้อะไรเลย....
   ว่าเขาหมดหวังไปแล้วด้วยซ้ำ.....
…..........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 38 จบตอน) - 11/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 11-12-2011 11:59:02
บทที่ 38 Strike Back

   บนถนนยามบ่ายที่ร้อนระอุ และรถติด ดูเหมือนว่านัทจะไม่มีอะไรทำมากนักนอกจากกางสมุดที่จดจากงานสัมนา แล้วไฮไลท์มันด้วยปากกาด้ามโปรด ที่อยู่ในกระเป๋า ในขณะที่กายนั่งฟังเพลงไปเรื่อยๆโดยที่จิตใจก็ไม่ได้สงบลงนัก เขาหันมามองนัทบ่อยครั้งมาก และเหมือนว่านัทจะสามารถประทุระเบิดใส่เขาอยู่ได้ตลอดเวลา
   “คุณรู้หรือเปล่า ว่าอาทิตย์นหน้าผมต้องไปไหน" กายหาเรื่องพูดขึ้น
   “รู้" นัทตอบ แม้ว่าจะยังไม่เงยหน้าจากสมุดโน๊ตของตัวเอง "คุณจะไปสิงค์โปร์สองวัน ทำเรื่องอาร์ทโปรเจ็คให้กับเอเจนซี่ของเพื่อนคุณ"
   กายเม้มปากครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปมองนอกหน้าต่าง
   “แล้วหลังจานั้นล่ะ" กายถามอีก
   “คุณจะกลับมากรุงเทพ แล้วก็ร่วมประชุมการแบ่งหุ้นส่วนกับพี่สุเมธไง" นัทตอบ
   กายมองหน้านัทที่กำลังจ้องไปยังตัวหนังสือในสมุดอย่างเคร่งเครียด
   “ให้ตายสินัท พักบ้างไม่ได้หรือไง" กายร้อง "ลองออกมาจากงานคุณบ้างก็ได้"
   นัทวางปากกาลงพลางเงยหน้าขึ้น
   “อะไรของคุณน่ะกาย ผมทำงานอยู่" นัทร้อง
   “ไม่คือ....คุณอยู่ในรถผมน่ะโอเค้ อย่างน้อยก็น่าจะมีปฏิสัพันธ์กันบ้างน่ะ" กายว่า
   “ตลกแล้วคุณ" นัทหันมาทำหน้าเบ้ "เมื่อต้นปี ตอนผมเจอคุณใหม่ๆ ผมยังจำได้เลยเวลาคุณทำงานหนักๆอยู่ คุณก็ไม่มีรัสมีที่น่าพูดคุยด้วยเลย แล้วเผอิญผมก็ไม่เคยกวนคุณซะด้วย"
   นัทพูดประชดกายไปเต็มรัก ก่อนจะหันกลับไปทำงานต่อ กายส่ายหน้าอย่างหัวเสียก่อนจะบึ่งรถไปด้วยความเร็วสูง โดยไม่ปริปากใดแม้แต่คำเดียว นัทรู้สึกถึงอารมณ์มาคุที่กายส่งมา ก็หยุดทำงานและนั่งเฉยๆไปตลอดทาง เมื่อรถของกายจอดนิ่งสนิทเมื่อมาถึงหน้าออฟฟิศของซูเม่อินเตอร์เนชั่นนอล นัทหลับตาลงครั้งหนึ่งก่อนจะค่อยๆเก็บข้าวของของตัวเอง
   “ผมไม่รู้นะ ว่าคุณเป็นอะไร" กายว่า "แต่คุณอย่าทำให้ผมต้องอึดอัดได้ไหม ผมไม่ชอบเวลาที่ตัวเองต้อง...."
   “.....ขอร้องใคร" นัทพูดต่อคำจนจบ พลางหันมาหากาย
   “นัท" กายเอ่ยชื่อเขาเบาๆ
   “แล้วคุณจะทำไมล่ะ" นัทหันไปว่าต่อ "ผมมีงานของผม คุณมีงานของคุณ เราสองคนก็แค่ต่างทำงานของตัวเอง มันก็ปกติแล้วนี่ คุณจะมาอะไรอีก"
   “ไม่คือ...ผมหมายความว่า เราน่าจะมีอะไรต่อกันที่ดีกว่านี้นัท คุณทำเหมือนพยายามต่อต้านผมตลอดเวลา ทุกครั้งที่เราเจอกันหลังๆมานี่ ที่จริงแล้วตั้งแต่กลับมาจากลาวเมื่อห้าเดือนที่แล้วด้วยซ้ำ" กายพูด "ผมนึกว่า คุณกับผม เราสองคนบอกคามรู้สึกที่เรามีให้กัน แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้น"
   “คุณไม่เคยพูดว่าทุกอย่างจะดีขึ้นกาย" นัทตอบ "แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี่ คุณเป็นคนบอกว่าชีวิตเราสองคนจะเป็นอย่างนี้นะกาย"
   กายเผยอปากขึ้น โดยไม่มีคำพูดใดใดลอดออกมาก
   “เรากำลังพูดกันเรื่องเดิมๆนะ" กายว่า
   “ใช่ และผมก็คิดว่า เราอย่าพูดเลย" นัทพูดพลางลงจากรถไปทันที กายมองนัทเดินจากไป ก่อนจะตบลงบนพวงมาลัยอย่างหงุดหงิด
   มันเป็นอย่างนี้มาตลอดห้าเดือนที่ผ่านมาแล้ว การพูดคุยกันระหว่างนัทกับกาย ที่ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ทั้งที่จริงแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย........


3เดือนก่อนหน้านี้............


   วันนี้เป็นวันที่สตูดิโอเงียบสงบ มีเพียงแค่สาที่มาทำงานเท่านั้น สาเข้าใจดีว่านัทยังคงจมอยู่กับความเศร้า หลังจากที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เหมือนบดขยี้หัวใจของนัทออกเป็นเสี่ยงๆ วันที่เธอและนัทกลับมาจากลาว ที่สนามบินดอนเมือง
   เสียงฝีเท้าของมิกเดินตามเข้ามาในสตูดิโอ ชายหนุ่มยืนนิ่งเมื่อมองเห็นสาเพียงลำพัง ติดต่อกันเป็นวันที่สามแล้ว
   “นี่มันความผิดแกชัดๆสา" มิกส่ายหน้าก่อนจะโยนของตัวเองลงบนโต๊ะดราฟ หญิงสาวไร้คำโต้เถียงได้แต่ก้มหน้านิ่ง
   “ก็ฉันบอกแล้ว ว่านี่เป็นแผนของยัยเจนนะมิก ฉันก็แค่.....”
   “เธอแค่กำลังเล่นเกมส์เอาชนะกับเจนจิราไอ้สา หยุดเถียงได้แล้วเหอะ" มิกว่าเสียงแข็ง สาเงียบสนิท "แล้วเป็นไงล่ะ ตัวการแต่ละคนหายหัวไปหมด ไอ้นัทสติแตกวันนี้วันที่สามแล้วนะเว่ย ไม่เห็นมีใครมารับผิดชอบเรื่องนี้ซักคน"
   “ฉันก็พยายามทำทุกอย่างแล้วนะ ใครจะรู้ว่าเรื่องมันจะออกมาเป็นแบบนี้ล่ะ" สาร้องทันที "กายกับเจนก็ทำอะไรไว้หลายชั้นเหลือเกิน ฉันตามแก้ไม่ไหวหรอก"
   “โห ดูพูดเข้า แล้วปล่อยไอ้นัทเป็นเงี้ยเนี่ยนะ" มิกว่าพลางส่ายหัว
   “แต่ฉันมาคิดคิดดูแล้วนะ ที่มันแย่ลงแบบนี้ก็เพราะว่าที่จริงแล้ว คนที่เล่นตามเกมส์นี้อย่างจริงจังก็คือตัวมันเองนะเว่ยมิก" สาร้อง "เพราะรู้ว่ายังไงตัวเองก็เลือกที่จะไป แทนที่อีกคนจะแสดงอาการว่าคนรักกำลังจะจากไปไกล กลับกลายเป็นคนต้นเหตุที่ทำให้นัทต้องไปเสียเองอ่ะ เป็นฉันฉันก็รู้สึกแย่เหมือนกันแหละน่า"
   “ฉันฟังประโยคนี้มาสามวันแล้ว ตอนนี้ฉันต้องการการแก้ปัญหาเว่ย" มิกว่า "เรื่องนี้มันต้องมีทางออกดิวะ"
   “ฉันกะว่าวันนี้แกกะฉันต้องไปรุมมันว่ะมิก" สาหมุนเก้าอี้มาหาเพื่อนรัก "ถ้ามันหาทางออกให้ตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องเป็นคนทำนะเว่ย"
   “อย่าขอร้องฉันสา เราสองคนก็มีเรื่องที่ต้องตัดสินใจใหญ่พอๆกับเรื่องของมันนะเว่ย" มิกร้อง "มันใช่ว่าฉันไม่ได้ไม่ไปเมืองนอกซะเมื่อไหร่ล่ะ ฉันก็ไปเหมือนมันนั่นแหละ ฉันก็มีคนที่ฉันอยากอยู่ด้วยแต่ก็ไม่ได้อยู่เหมือนกันแหละน่า"
   “แต่ประเด็นมันคือไม่ใช่คนนึงอยู่แล้วคนนึงไปนะ นี่มันกรณีถึงจะไม่ไป ก็ไม่มีใครอยู่อยู่ดี" สาว่า
   “เหี้ยเอ้ย " มิกบ่นออด "เข้าใจและ ว่าทำไมไอ้กายกับเจนจิราต้องเลิกกัน ก็สองคนแม่งนิสัยอย่างเนี้ย ไม่มีจะหยุดเพื่อใครซักคนอ่ะ แม่งถึงไม่หยุดให้กันเองไง"
   สาเบินหน้าหนี เธอรู้สึกแย่เหลือเกินที่ปล่อยให้ตัวเองเดินตามแผนของเจนจิรา แล้วทุกอย่างต้องมาจบลงแบบนี้ หญิงสาวกัดฟันด้วยความโกรธ เธออยากจะเอาคืนเจนจิราเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว
   “คอยดูเหอะ ไอ้สองคนนั้นจะต้องได้เจ็บแบบสุดๆเข้าซักวัน" มิกยังคงบ่นไม่เลิก "คิดจะมีความรักแล้วไม่สู้ มีที่ไหนวะ คิดมาได้......แผนการบ้าบอ"
   สาจะทำตาเบิกโพลง ราวกับมีใครซักคนมากดสวิสซ์ไฟในสมองของเธอ
   "จริงสิ" สาร้องออกมา "แผนการบ้าบอ"
   เธอมองหน้ามิก
   “อะไรของแกวะสา" มิกร้อง
   “ถูกแล้วมิก ซักวัน สองคนนั่นต้องเจ็บเพราะแผนของตัวเองแน่" สาพูดด้วยน้ำเสียงน่ากลัว มิกเลิกคิ้วมองเธอ
   “เห้ย อะไรของแกวะ พูดซะน่ากลัว" มิกพูดเบาๆ
   “ฉันมีทางออกแล้วไอ้มิก" สาว่า "รับรอง เรื่องนี้จบแบบเจ็บสุดๆแน่"
   คำพูดของเจนจิราแว้บเข้ามาในสมอง


   มันต้องใช้เวลา ที่ให้คุณนัททำใจตัวเองให้เข้มแข็งขึ้นนะคุณสา

   ให้พวกคุณสามคนได้กลับไปอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
    จะช่วยให้คุณนัทมองเห็นว่าตัวเอง เดินมาไกลขนาดไหนแล้ว เข้มแข็งขึ้นแค่ไหนแล้ว


   สาหรี่ตาลงด้วยความน่ากลัว
   “แกเคยบอกว่า กายเค้าจะไม่สู้เพื่อไอ้นัทเหรอ" สาหันมาถามมิก
   “ใช่ ก็วันที่ฉันไปหามันที่โรงพยาบาลก่อนงานวัน BAD ไง" มิกว่า
   “เค้าว่าไง" สาถาม
   “มันบอกว่าฉันเห็นแก่ตัวมาก ที่คิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเองเจ็บ" มิกว่า "มันบอกว่า มันรักไอ้นัท แต่มันจะไม่รับประกันว่าไอ้นัทจะไม่เจ็บ มันพูดเหมือนกับว่า ไอ้นัทจะต้องเจ็บเรื่อยไปงั้นแหละ"
   “อ้อ....อย่างนี้เอง" สารับคำ
   “โอเคตอนนั้นมันก็มีคนมาเตือนสติฉันว่าก็จริงเหมือนกันน่ะเว่ย ฉันก็เป็นแบบนั้น" มิกพูดเบาๆ
   “แต่แกไม่สังเกตุเหรอ ว่าฉันมีสิ่งที่กายกับยัยเจนไม่มี รวมทั้งแกกับนัทด้วย" สาหันมาพูดกับมิก
   “อะไรวะ"  มิกถาม
   “ก็ความรักที่สมบูรณ์ไง" สาว่า มิกเบิกตากว้าง
   “อะไรนะ" มิกร้อง
   “ใช่ไอ้มิก แกไม่เห็นเหรอ ว่าทั้งหมดนี่มันคืออะไร" สาว่า "เรื่องทั้งหมดที่ผ่านมา มันก็คือเกมส์ของคนที่วิ่งหาความรักในสังคมแบบนี้ คนที่ไม่มีโอกาสเจอรักแท้ในโลกดีไซน์นี่....ในเอ่อ....Loveless Society น่ะ"
   มิกมองสาเหมือนไม่เห็นเธอมาก่อน
   “แกไม่เห็นเหรอ ทุกๆอย่างที่กายพยายามพูดออกมา ให้ไอ้นัทเข้าใจ ให้แกเข้าใจ ให้ฉันเข้าใจ หรือจะเป็นแผนของยัยเจนที่พยายามจัดการทุกอย่างให้มันเข้าที่เข้าทางน่ะ รวมทั้งตัวแกเองด้วยมิก มันไม่มีทางจบลงได้หรอก เพราะพวกแกไม่เคยเจอความรักที่สมบูรณ์แล้ว" สาว่า "แต่ฉันมี มิก ฉันมี ฉันมีมาร์ค โอเคชีวิตคู่ของฉันสองคนอาจจะมีระหองระแหงบ้างแต่ ทุกอย่างมันออกมาเคลียร์หมดแล้ว นี่คือชีวิตรักที่ฉันต้องการ มันไม่ได้ดีที่สุด แต่มันดีพอแล้วสำหรับฉัน"
   “นี่แก.....”
   “ฉันเป็นกลางมาตลอดในเรื่องนี้นะมิก ฉันมองเกมส์ของพวแกทุกคนออก พวกแกทุกคนแค่กำลังค้นหา หาสิ่งที่ที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง" สาว่า "กายกับเจน ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยลงเอยกันสำเร็จ แถมจบกันไม่ดีด้วยซ้ำ เจนน่ะมันไม่สนอะไรนอกจากตัวเองและงานไปแล้ว ในขณะที่กายกำลังหาเหยื่อคนใหม่ ที่จะมาทดลองทฤษฎีสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเอง แต่ไอ้นัทมันก็มีสิ่งที่ดีที่สุดของมัน ดังนั้นทุกอย่างมันเลยปนเปยุ่งเหยิงไปหมด"
   “ด...เดี๋ยวก่อน....นี่เธอกำลังจะบอกว่าทุกๆสิ่งที่ทุกคนคิดมันใช้ไม่ได้เลย มันผิดหมด เพียงเพราะว่าพวกฉันยังไม่มีชีวิตคู่แบบเธอเหรอสา" มิกว่า
   “ไม่ใช่ มันไม่ได้ผิดหมดมิก แกไม่เข้าใจ ทุกทฤษฎีในเรื่องนี้ใช้ได้ ทุกความคิดของทุกคน ไม่ว่าจะกาย ไอ้นัท ยัยเจน เรื่องแกกับยัยฟ้า หรือไอ้เอิร์ธมันใช้ได้ ทั้งหมดนั่นถูกแล้ว ดีแล้ว" สาว่า "แต่ทุกคนต้องบาลานซ์มัน ความสมบูรณ์คือความพอดีนะ มันไม่มีสิ่งที่ดีที่สุด มันมีแต่สิ่งที่พอดีนะมิก"
   มิกทรุดตัวลง เขาพอจะมองอะไรบางอย่างออกแล้วเหมือนกัน
   “เอาล่ะ" สาถอนหายใจ "ฉันเข้าใจละ เหมือนตาว่างเลย ให้ตายสิ นี่ฉันก็ต้องมนต์ของพ่อมดคนนี้ไปพักนึงเลยนะเนี่ย"
   “แล้วแกจะทำยังไง" มิกว่า
   “ตอนนี้ทุกๆคนพยายามดึงอีกคนวิ่งเข้ามาหาตัวเองมากเกินไป" สาว่า "กายเขาเชื่อว่าตัวเขาเดินไปข้างหน้าไม่หยุด และก็พยายามปลูกฝังให้ไอ้นัทเดินไปข้างหน้าเหมือนที่ตัวเองเดิน และก็คิดว่าตัวเองจะสามารถประคองความรักแบบว่ายังไงล่ะ....รักแท้จะคงอยู่แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันอะไรอย่างนี้น่ะ"
   “แต่เธอก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ" มิกย้อนสา
   “ไม่รู้จริงอย่าย่ะ" สาแย้ง "มันมีอะไรมากกว่านั้น"
   “แกจะเริ่มแก้จากใครก่อนล่ะทีนี้ กาย เจน หรือไอ้นัท" มิกว่า "ปมมันยุ่งไปหมดแล้วนี่"
   “ก็ต้องแก้จากคนใกล้ตัวก่อนสิ จะได้ง่ายๆ" สาว่า "เอาแกก่อนก็ได้ เรื่องแกกับไอ้เอิร์ธว่ายังไง"
   มิกอึ้งไปพักนึง เมื่อถูกสายิงคำถามใส่
   “นี่ไม่เรียกง่าย....นี่เรียกไว" มิกว่า
   “บอกมาเถอะน่า" สาว่า "ไม่ไว้ใจฉันเหรอ ต่อจากตอนนี้ไปฉันจะคุมเกมส์แล้ว"
   “ไม่ต้องก็ได้มั้ง ฉันเอ่อ....ฉันจัดการเรื่องนี้เองได้น่า" มิกว่าพลางเมินหน้าไปทางอื่น
   “สิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากจะทำก่อนที่ฉันจะไปเบอร์ลิน คือทำให้เรื่องพวกนี้จบลงนะมิก" สาว่า "ฉันต้องไปเป็นคนแรกเลยนะเว่ย พวกแกจะทำยังไงเมื่อไม่มีฉันแล้ว ฉันต้องแก้เกมส์ยัยเจนให้จบ"
   “แต่เรื่องของฉันกับเอิร์ธ ไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้" มิกว่า "ฉันกับมันรักกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ"
   “อ้อ"
   สาร้องออกมาเบาๆ ขณะที่มิกถึงกับก้มหน้าลงทันที เมื่อรู้ว่าตัวเองหลุดปากเอาเรื่องที่สำคัญที่สุดออกมา เขาเม้มปากเบาๆ
   “ฉันกับมันไม่เกี่ยว และมันก็...ไปแล้ว.....” มิกพูดต่อเบาๆ
   “เกี่ยวสิ ทำไมจะไม่เกี่ยว" สาพูดเบา "แกเป็นคนสอนให้มันรู้จัก Loveless Society ให้มันเข้ามารับรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้น วันนึงแกกับมันก็ต้องเจออะไรๆไม่ต่างกันหรอก เพียงแค่ตอนนี้แกกับมันเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง"
   มิกก้มหน้าลง
   “ฉันเอ่อ......ฉันรักมันเว่ย ฉันยอมรับแล้ว" มิกว่า "มันเอ่อ...มันเป็นเด็กที่น่ารัก มัน มันทำให้ฉันยิ้มจากวันเศร้าๆที่ฉันทนมากับไอ้นัท แล้ว....ตลอดเวลาที่่ผ่านมา มันกับฉัน เรามีเวลาดีดีด้วยกัน ถึงมันจะสั้นแต่มันก็......มีความหมายกับฉันมากสา"
   "จากกันดีหรือเปล่าล่ะ" สาว่า
   มิกพยักหน้าเบาๆ
   “แล้วทำไมเศร้า" สาถามกลับเบาๆ
   “ไม่มีการจากลาไหนไม่เศร้านะเว่ย" มิกเงยหน้าขึ้นมาตอบ
   “มีสิ" สาตอบ "ถ้าจากกันพร้อมกับความหวัง หวังว่าซักวันเขาจะกลับมา และเราก็มั่นใจกับความหวังนั้นที่สุด"
   มิกหลับตาลงทันที
   “ดูท่าแล้ว คงไม่ได้ฝากความหวังไว้ให้กันล่ะสิ" สาว่า "งั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคู่ไอ้นัทกับไอ้กายเลยซักกะนิด แถมหนักกว่าด้วย"
   มิกเงยหน้าขึ้น
   “กายกับนัทน่ะ โดนหลายๆคนหมุนให้เป็นไปตามนั้น กายมีคนทั้งวงการปั่นหัว ไอ้นัทโดนยัยเจนปั่นหัว แต่แก...แกกับเอิร์ธ ต่างคนต่างปั่นกันเอง มันส์ไหมล่ะ.....จากกันเจ็บไหมล่ะ" สาพูด มิกเบือนสายตาหนี คำพูดของสาเหมือนกับมีดที่เฉือนหัวใจเขาเบาๆ
   “ขอร้อง ถ้าจะซ้ำเติมก็เลิกเหอะ" มิกว่า "เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
   “ที่ซ้ำเติมแกก่อนเพราะแกมันเข้าใจยากมิก" สาว่า "อาร์ทแดกไปครึ่งตัวอย่างแก มันต้องให้แกเจ็บด้วยตัวเองก่อน แกถึงจะเชื่อฉัน"
   มิกถอนหายใจเฮือกใหญ่
   “เอิร์ธมันมีเรื่องที่ต้องทำน่ะที่จริงแล้ว" มิกว่า "มันต้องต่อสู้กับที่บ้าน ไม่ให้พวกเค้าบังคับกับชีวิตที่เหลือแล้วก็ เรื่องเรียนมันด้วย มันกลัวว่ามันจะโปรเจ็คจบไม่ผ่าน"
   “มันบอกแกหรือเปล่า ว่ามันรู้สึกยังไงกับแก" สาถาม
   “อันที่จริงก็บอก" มิกว่า "มันเอ่อ.....มันโกรธจะตายห่า ตอนที่ฉันบอกรักมันเอาคืนสุดท้ายก่อนมันจะไป"
   “นี่แกจริงใจกับมันจริงๆป่ะเนี่ย" สาถามขึ้น
   “ไหงถามงี้อ่ะ" มิกว่า "จริงใจดิวะ ฉันรักใครรักจริงนะเว่ย ตอนนัทฉันก็รักจริงๆ มันต้องใช้เวลานะเว่ย กว่าฉันจะมั่นใจว่าฉันไม่รักมันแล้ว แล้วเอิร์ธ คือคนเดียวที่ฉันรักน่ะเว่ยสา"
   “แต่แกไม่ได้ให้ความั่นคงอะไรมันเลยซักอย่าง" สาว่า "แกเป็นพี่เทคดูแลมันมาได้ยังไงวะ"
   มิกมองหน้าเธอ
   “แกจะโลเลหรืออยากพิสูจน์อะไรฉันก็ไม่รู้หรอกนะ" สาว่า "แต่เท่าที่ฉันฟัง ฉันเห็น เอิร์ธมันบอกแกทุกอย่าง ว่ามันเคยทำอะไร ทำอะไรอยู่ และจะทำอะไรต่อไป แต่แกไม่เคยบอกมันเลยนะ แกบอกมันแต่อดีตของแก แต่แกไม่เคยบอกปัจจุบัน หรืออนาคตของแกเลยอ่ะ"
   มิกมองไปยังแมคที่วางอยู่ไม่ไกลกันนัก จริงสินะ
   
   “พี่ทำให้ผมนึกถึง สิ่งที่ผมเคยทำให้แพรเมื่อก่อน" เอิร์ธพูดเบาๆ เสียงแข็งๆของเด็กหนุ่มขุ่นมัว

   “ผมอ่ะ เลือกเรียนก็ต่างจากที่ที่บ้านหวังเอาไว้แล้วอ่ะ" เอิร์ธว่า "ผมก็เลยต้องทำเลย ไม่อย่างนั้น ผมจะไม่ได้อิสระ อย่างที่สายงานนี้ควรจะเป็น"
   
   “ผมต้องไปแล้วพี่" เอิร์ธว่า "ผมจะเปิดเทอมแล้ว แม่ก็กำลังจะกลับมาจากอังกฤษ ผมต้องกลับไปทำโปรเจ็คจบ"

   “ผมต้องคิดแล้วพี่ ผมไม่อาจจะอยู่กับอย่างคนแพ้กับพี่ที่นี่ไปได้ตลอด ผม...ผมต้องโต" เอิร์ธว่า "แล้ว...แล้วผมก็รู้สึกว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมต้องโต.........ซะที"


   “แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา แกเอาแต่เล่าถึงอดีตของแก ใช่มะ" สาว่า "เล่าว่าแกรักไอ้นัทยังไง รู้จักกับฟ้าได้ยังไง แต่แกไม่เคยบอกมันซักคำว่า แกจะเอายังไงต่อ แกจะยังรักไอ้นัทอยู่ไหม หรือแกจะรักใคร แกบอกมันครั้งเดียว เอาวันที่มันจะไปน่ะนะ"
   “ฉันไม่อยากเอาความไม่แน่นอนของตัวเอง ไปทำให้มันต้องเจ็บ" มิกว่า
   “งั้นทฤษฎีของกายก็ใช้ได้" สาว่า "แกเห็นแก่ตัวมากที่จะมีความรักโดยที่ตัวเองไม่เจ็บ แกไม่อยากเจ็บ เพราะแกไม่อยากรุ้ว่าน้องมันจะเจ็บ แต่น้องมันอุตส่าห์วิ่งใส่แกขนาดนี้แล้ว แสดงว่ามันก็พร้อมที่จะเจอกับความเจ็บทุกอย่างแล้วเว่ยมิก มันก็แค่ เด็กเกรียนๆที่ไม่ไม่เคยมีแฟนเป็นผู้ชาย มันก็เลยไม่กล้าที่จะบอกแกว่ามันก็รักแกขึ้นมาแล้วไงล่ะ มันเขินไงไอ้มิก"
   “แล้วฉันต้องทำไง" มิกว่า
   “แกพลาดไปแล้ว เพราะน้องมันไปแล้วน่ะ" สาพูดเสียงเศร้า "แกนะแก ถ้าปรึกษาฉันซักนิด แกกับน้องมันแฮปปี้เอนดิ้งไปและ มัวแต่อินดี้อยู่ได้"
   “เห้ยซีเรียสนะเว่ย" มิกว่า
   “แกต้องหวังเอาเองแล้วว่ะ" สาว่า "แกปั่นกันเองนี่นา ก็อยู่กับความหวังที่คิดขึ้นเองก็แล้วกัน มันขึ้นกับว่าแกจากกันยังไง ทิ้งอะไรไว้ให้กันหรือเปล่า เชื่อมั่นได้มากแค่ไหน ว่าจะกลับมาเจอกันอีก"
   มิกหลับตาเพื่อควบคุมอามณ์ตัวเอง
   “ชิบหายและ ฉันต้องไปปารีสก่อนเอิร์ธมันจะจบว่ะ" มิกร้องพลางกันกลับมาหาสา
   “นั่นไง" สาร้องเสียงดัง "งานเข้าแล้วแก"
   “ฉันต้องทำอะไรบางอย่างแล้วว่ะ" มิกว่า
   “โอ้.....จริงเหรอมิก คิดได้แล้วเหรอ" สาทำเสียงสูง พลางเหลือกตาใส่มิก
   “ฉันอาจจะต้องลองขอคุณสุเมธดู ว่าจะเลื่อนกำหนดการได้ไหม" มิกว่า "ไปเป็นซักปีหน้า"
   “แกยังเป็นหน้าใหม่ของเขาอยู่เลยไอ้มิก จะเข้าไปขอพี่สุเมธได้ไง" สาว่า
   “งั้นเดี๋ยวฉันจะทำให้ตัวเองไม่เป็นหน้าใหม่เอง" มิกว่าพลางครุ่นคิด "ฉันจะทำแกลอรี่ ให้ตัวเองดัง แล้วจะลองขอพี่เค้าดู"
   “โห แผนระยะยาวไอ้นี่" สาว่า "เอาเถอะ จะทำก็รีบทำละกัน"
   “เรื่องฉันจบและ แล้วเรื่องไอ้นัทอ่ะว่าไง" มิกถามสา เธอยิ้มกริ่ม
   “ฉันจะทำให้ไอ้นัทโต" สาว่า "คนอย่างกาย ไม่เคยเจอใครเหนือกว่า ไม่เคยขอร้องใคร ฉันจะทำให้ไอ้นัทกลายเป็นคนที่กายคุกเข่าขอร้องให้ได้"
   “ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่จะเปลี่ยนไอ้นัทน่ะ" มิกว่า "ไอ้งี่เง่าสุดโตางที่ตอนนี้ยิ่งเจ้าน้ำตาซะด้วย"
   “มันก็พอๆกับแผนสร้างชื่อเสียงของแกนั่นแหละไอ้มิก ก็ใหญ่พอกันแหละวะ" สาว่า
   สาไม่รู้หรอกว่าเธอจะทำสำเร็จไหม แต่เธอต้องทำ เพื่อทางออกที่ดีกว่านี้
   …............
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 38 จบตอน) - 11/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 15-12-2011 13:42:20
ไปลาวแล้วนึกว่าเรื่องทุกอย่างจะดีขึ้น  ทำไมกลับกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ  เฮ้อ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 38 จบตอน) - 11/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: LifeTime ที่ 23-12-2011 15:25:10
 :m15:
 :m16:
 :o8:
ได้ครบทุกรสชาดจริงๆ รอตามตอนต่อไป  :L2:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 38 จบตอน) - 11/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: kuichai ที่ 25-12-2011 21:07:53
อ่านเรื่องนี้แล้วทำให้คิดได้ว่า ทุกคนต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง ทุกคนมีความเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นกาย นัท มิค แต่งคนก็ทำแต่สิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุดโดยไม่ถามความสมัครใจของคนใกล้ตัว เพียงเพราะคิดแทนเค้าแล้วว่าดี แต่ต่างคนก็ต่างไม่มีใครหยุดเพื่อใคร ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาวิ่งตามความฝันโดยไม่คิดถึงความรักไม่คิดถึงตัวเองไม่คิดถึงคนใกล้ตัวเพียงเพราะคิดว่ามันดีที่สุดแล้ว

โดยความรู้สึกนะค่ะอ่านแล้วชอบและก็คิดตามด้วยเพราะทุกวันนี้เราก็คิดแบบตัวละครในเรื่องเหมือนกันเราวิ่งตามความฝันมาตลอดจนลืมหันไปมองครอบครัวพอรู้สึกตัวอีกทีเราก็เหมือนเป็นคนนอกไปแล้ว อ่านเรื่องนี้ไปน้ำตาก็ไหลมาเรื่อยๆ ทำให้เราได้มองกลับไป ยอมรับว่าตอนนี้ไม่มีความสุขเลยเพราะเราได้ฝันแต่เราขาดความรักเวลามองเห็นคนที่เดินผ่านไปเป็นคู่เดินจับมือและยิ้มให้กัน พอลองมามองตัวเองแล้ว เฮ้อ!!!!!!!

ปล.ชอบนิยายของคุณค่ะ และจะติดตามต่อไปทุกๆเรื่องที่คุณแต่ง
 
        ขอบคุณที่แต่งนิยายดีเรื่องนี้ไว้ให้อ่านนะค่ะ ชอบมาก ถ้ารวมเล่มจะรีบซื้อเลยค่ะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 39 จบตอน) - 27/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 27-12-2011 17:32:55
บทที่ 39 You're Not My Friend Anymore

   “เดี๋ยวก่อนนัท" กายเปิดประจูรถวิ่งตามนัทมาทันก่อนเขาจะขึ้นไปในตึก นัทหันกลับมาหากายอย่างเหนื่อนหน่าย
   “มีอะไรอีกคุณ" นัทว่า
   “คุณจะเลิกงานกี่โมงเนี่ย" กายร้องถาม
   “ไม่รู้ อาจจะสามทุ่มมั้ง" นัทว่า
   “สามทุ่มเลยเหรอ" กายร้อง
   “ใช่...ทำไมเหรอ งานพี่สุเมธนะคุณ คุณก็น่าจะรู้จักดี" นัทว่า
   “งั้นผมจะมารับ" กายว่า นัทพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง "ไม่ต้องเถียงอะไรแล้ว อยู่ที่นี่แหละ ผมจะมารับโอเคป่ะ"
   กายสะบัดหลังหายไปทันที นัทถอนหายใจเบาๆ มองกายบึ่งรถออกไปด้วยความโกรธขึ้ง ชายหนุ่มหันหังวิ่งกลับเข้าไปในออฟฟิศ   
   “แผนไอ้สานี่มันได้ผลจริงๆแหะ" เสียงของมิกดังขึ้นข้างๆตัวเอง นัทพบเพื่อนของเขาเดินออกมาจากทางขึ้นมาจากลานจอดรถใต้ดิน
   “แต่มันทำให้ฉันอึดอัดเข้าไปทุกทีแล้วว่ะ" นัทว่า "เขาต้องการอะไรจากฉันก็น่าจะบอกกันมาตรงๆ ทั้งๆที่ฉันบอกเขาไปหมดแล้ว"
   “เอาน่า" มิกว่า "อีกอึดใจเดียวเว่ย"
   ทั้งคู่เดินเข้าลิฟท์ทันที ลิฟท์ที่มีแต่เขาสองคน
   “ว่าแต่แกโอเคจริงหรือเปล่า" มิกถามขึ้น
   “โอเคดิ" นัทว่า "ตอนนี้อะไรๆมันก็เจ๋งนั่นแหละ ฉันมีงานที่ใครๆก็อยากได้ กายเค้าก็เทียวมาหาอยู่เรื่อย"
   “แล้วแกบอกเค้าหรือยังว่าแกจะไปปลายปีนี้" มิกถาม
   “ยังอ่ะ" นัทว่า
   “อย่าลืมที่สาบอกนะ" มิกย้ำ "มันสำคัญมากกับเรื่องของแก แกต้องห้ามบอกเขาเด็ดขาดว่าแกจะไปเมื่อไหร่"
   “แกคิดว่าแผนไอ้สาจะได้ผลจริงๆเหรอวะ" นัทว่า "ฉันไม่เห็นว่าเขาจะวิ่งตามฉันตรงไหน ทุกครั้งที่เขาเจอฉันมันก็แค่เขามีธุระเกี่ยวกับฉันเท่านั้น แล้วถ้าฉันต้องไปจริงๆ เขาจะมาส่งฉันหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย"
   “ฉันไม่รู้ว่าจะแนะนำแกยังไงหรอกว่ะ สาไม่อยู่แล้ว ฉันก็ไม่ได้เชี่ยวแบบมันซะด้วย" มิกว่า "แต่แกอ่ะ ก็อย่ามองอะไรให้แคบลงไปล่ะ ยังไงๆแกก็รักเค้าไม่ใช่เหรอวะ"
   นัทพยักหน้ารับ
   “มันจะต้องมีทางออกที่ดีแหละ เชื่อสิ"
   “ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะเชื่อว่าจะมีทางออกที่ดีนั่นแหละ" นัทยิ้มให้มิก ก่อนที่ประตูลิฟท์จะเปิดออก "ว่าแต่วันนี้มาทำไมวะมิก"
   “ฉันจะมาเลื่อนกำหนดการไปปารีส" มิกว่า "ไปซักหลังจากมีนา"
   “โห อีกตั้งสามเดือนเลย" นัทว่า "ทำไมวะ"
   “ไม่มีอะไรหรอก" มิกว่า "ต้องอยู่จัดการอะไรๆที่ Lovable น่ะ"
   “อ้อเหรอ" นัทรับคำก่อนจะเดินเข้าไปในออฟฟิศทันที จูเนียร์ดีไซน์เนอร์รีบเดินเข้ามาประกับนัททันที
   “พี่ไม่เข้าใจว่ะ ว่าการบรีฟมันจะยากอะไรนักหนา" นัทเริ่มต้นพูดขณะที่เดินตรงข้าไปในออฟฟิศ พลางวางกระดาษจากกระเป๋าลงบนมือเด็กหนุ่ม
   “แต่ผมอ่านแล้วนะพี่นัท" ดีไซน์เนอร์คนนั้นตอบ
   “พี่ไม่สนใจรายละเอียดความผิดพลาดของนายหรอกนะ" นัทว่า "บอกพี่แมกซ์ด้วยว่างานเลี้ยงจะเริ่มตอนหกโมง  ให้คนขับรถไปรับเขากลับมาตอนหกโมงสี่สิบห้า และนี่รายละเอียดสำคัญจากงานสัมนาเมื่อเช้า คัดลอกเป็นไฟล์แล้วก็ส่งพี่สุเมธก่อนแกกลับบ้าน คอนเฟิร์มประชุมเรื่องหุ้นส่วนหรือยัง"
   “คอนเฟิร์มอะไรนะพี่"
   “คอนเฟิร์มประชุมไง กับผู้ถือหุ้น ติดต่อกับฝ่ายประสานงานดิ" นัทว่า "รีบไปเลยเหอะ เดี๋ยวนี้เลย"
   ดีไซน์เนอร์คนนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในออฟฟิศ ขณะที่นัทเดินพาตัวเองเข้ามาในบล็อคพาซิชั่น ขนาดกว้างพอควร ที่เป็นพื้นที่ทำงานส่วนตัวของเขา
   “โห" มิกร้องทันทีเมื่อมาถึงห้องทำงานของนัท "แกเอาหัวตรงในไปจำตารางงานวะไอ้นัท นี่มันงานเจ๊ผึ้งยกกำลังเข้าไปอีกเลยนะ"
   “อือ" นัทพูดเสียงหน่ายๆ "ได้มาทำเองถึงรู้เลยอ่ะว่าเจ๊ผึ้งแกเก่งมาก แถมแกมีครอบครัวที่ต้องดูแลอีกด้วย"
   “ห้องทำงานแกสะอาดดีนะ" มิกกล่าวชม พลางนั่งลงที่มุมๆหนึ่ง "กว้างดี"
   “ไม่ใช่ของฉันซะทีเดียวหรอก" นัทว่า "เพิ่งจะแบ่งพาซิชั่นกั้นให้ฉันเอง เพราะเดี๋ยวฉันก็ไม่อยู่แล้ว"
   “แล้วแกจะเอายังไง" มิกถามขึ้น
   “เรื่องอะไร" นัทถาม
   “ก็เรื่องคุณกายไง" มิกถามต่อ
   “ให้ตายเหอะมิก สามันไม่อยู่แล้ว แกก็ไม่ต้องทำหน้าที่แทนมันก็ได้เหอะ" นัทร้อง
   “ถึงแกจะเปลี่ยนไป แต่ฉันรู้เว่ย ว่าไม่ได้เข้มแข็งขึ้นหรอก" มิกว่า
   “ฉันก็เคยบอกแกแล้ว ว่าฉันไม่ได้เปลี่ยน" นัทว่า
   “ถ้าไม่เปลี่ยนจริงๆ ก็ยิ่งถูกว่ะ" มิกว่า "แผนไอ้สามันอาจจะใช้ได้น่ะเว่ย แต่ถ้าแกอึดอัด ปล่อยวางมันลงบ้างก็ได้"
   “มิก แกรู้หรือเปล่าว่าทำไมฉันถึงเลือกเป็นแบบนี้" นัทว่า "มันไม่ใช่เพราะแผนของไอ้สาอย่างเดียวหรอก"
   “หมายความว่ายังไง" มิกว่า
   “หมายความว่าวันนึง วันนี้ก็ต้องมาถึงเว่ย" นัทว่า "มันเคยมีบางครั้ง ไม่สิ หลายครั้งเลยเว่ย ที่ฉันงี่เง่า งี่เง่ามากๆ เอาอารมณ์ที่ต้องการกายเค้ามากๆมาเป็นที่ตั้ง แต่ตั้งแต่วันที่สามาเตือนสติฉัน มันทำให้ฉันคิดได้นะเว่ย"
   มิกมองหน้านัทเหมือนกับว่า เพื่อนรักของเขาคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
   “ความรักมันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต กายเค้าเข้ามาทำให้ฉันงี่เง่า ต่างคนต่างทำให้ตัวเองงี่เง่า แล้วก็สูญเสียความเป็นตัวเองไป" นัทว่า "มันต้องถึงเวลาที่เราต้องกลับมาเป็นตัวของตัวเองนะเว่ย"
   “ไหนแกบอกว่าแกรักเขาไง" มิกถาม
   “ไอ้ที่ฉันรักเขาน่ะมันเป็นแค่เรื่องรอง" นัทว่า "จริงๆแล้วทั้งเค้าต่างรักตัวเองมากกว่า และรักตัวเองมาก เวลาอยู่ด้วยกัน แต่นี่มันชีวิตนะเว่ยมิก ชีวิตที่ต้องเดินไปข้างหน้า"
   มิกก้มหน้าลง
   “ถ้ายังไม่เข้าใจล่ะก็ แกก็เตรียมตัวได้เลย" นัทว่า "ตอนที่ฉันเจอกับเขาเมื่อเดือนที่แล้ว เขาทำหน้าเหมือนแกตอนนี้แหละ ตอนฉันพูดประโยคเมื่อกี้"
   “แค่รักกันมันก็พอแล้วไม่ใช่เหรอวะ" มิกว่า
   “นั่นมันความฝันมิก" นัทว่า "ฉันก็เคยคิดแบบนั้น จนกระทั่งฉันรู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการมากที่สุดคือความมั่นคงของชีวิต เราอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกกันแล้วนะเว่ย แกไม่คิดอยากจะมีซักคนที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดบ้างเหรอ"
   “ความรักที่จบลงแล้วงั้นเหรอ" มิกว่า
   “ใช่" นัทตอบ "ความรักแบบที่ทุกๆคนอยากเป็น ความรักแบบที่ไอ้สามี รักแบบที่ไม่ต้องปิดบังใคร รักแบบรู้เสมอว่าถ้าเรากลับบ้าน เราก็จะเจอเขา ไม่ใช่หายไปเป็นเดือนๆปีๆ แล้วก็กลับมาเจอกันน่ะ"
   นัทส่ายหัวอย่างหัวเสีย
   “นั่นมันคำพูดไอ้กายนิ" มิกพูดเบาๆ
   “ใช่" นัทตอบ "ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันก็คงจะเจ็บกับทางเลือกนี้ เจ็บแบบไม่มีที่สิ้นสุดซักที เพราะสุดท้ายแล้วคนเราก็รักตัวเองที่สุดเว่ยมิก สามันขอให้ฉันรักตัวเองบ้าง และฉันก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ฉันควรทำ"
   “แกเคยบอกกายเขาหรือเปล่า ว่าแกต้องการแบบนี้" มิกถาม "ต้องการความรักที่จบลงแล้ว ต้องการไปถึงปลายทางของเรื่องนี้ ความมั่นคงจากเขา"
   “ไม่อ่ะ" นัทว่า "เพราะฉันรู้ว่าเขาไม่ทำไง"
   “แล้วแกจะเลือกอะไรวะ" มิกว่าเสียงดัง "ทิ้งเขาไว้ข้างหลังงั้นเหรอ นั่นคือคนที่แกรักไม่ใช่หรือไง"
   “ฉันไม่รู้โอเค้" นัทร้องกลับบ้าง "ฉันไม่รู้ ฉันแค่เลือกทางที่ตัวเองจะเลิกเจ็บบ้างไม่ได้หรือไงวะ แกอย่าทำเหมือนว่ากายขอให้แกมาพูดอย่างนั้นแหละ"
   “ไม่มีใครมาขอฉันทั้งนั้นและ" มิกว่า "ฉันแค่เข้าใจความรู้สึกของคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง โดยคนที่ตัวเองรักมากที่สุดต่างหากล่ะ"
   นัทหันมามองหน้ามิกทันที
   “การคิดถึงใครบางคนมันไม่สนุกเลยนะเว่ย" มิกว่า "แกจะปล่อยให้คนที่แกรักเจอกับเรื่องแบบนั้นทุกวันไม่ได้นะเว่ย"
   “เขาก็เคยทำให้ฉันรู้สึกแบบนั้นมานานมาก" นัทว่า "คนนึงวิ่งมากอบโกยเอาความรัก เอาความอบอุ่น เซ็กซ์ ทุกๆอย่างจนอิ่มแล้วก็ไป มีความสุขไปได้อีกเรื่อยๆ ในขณะที่อีกคนต้องนั่งอยู่ที่เดิม เพื่อรอเขากลับมาทำแบบเดิมซ้ำๆ งั้นเหรอวะ"
   มิกเมินหน้าหนี
   “งั้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆในสังคมนี้หรอก มันไม่ได้เรียกว่ารักด้วยซ้ำ" นัทว่า "มันแค่การหาความสุขส่วนตัว และกายเขาก็ได้จากฉันหมดแล้ว ทุกอย่างที่เขาต้องการ แม้แต่คำว่ารักที่กายเค้าไม่เคยมี ฉันก็ให้เขาไปแล้ว แต่เขาไม่เคยให้สิ่งที่ฉันขอเลยเว่ยมิก ไม่เคยเลย จริงอยู่ที่เขาพยายามทำในแบบของเขา เอาฉันขึ้นไปอยู่กับเขา แต่ฉันทนไม่ไหวว่ะ มันไม่ใช่อ่ะ ทางเลือกเดียวที่ฉันมีกับเรื่องนี้ คือเดินไปตามทางที่ฉันมีเว่ยไอ้มิก นี่คือทางเดียวที่จะจบเรื่องนี้"
   “แกเปลี่ยนไปจริงๆด้วย" มิกพูดเสี่ยงสั่น
   “ไม่เลย ฉันกลับไปเป็นคนเดิมแล้ว" นัทว่า "คนที่แกรู้จักมาตลอดนั่นแหละ นี่แหละคือตัวฉัน ถ้ากายเขารักฉัน เขาก็ต้องรักที่ฉันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่คนที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายขอให้เขาอยู่อีกต่อไปแล้ว"
   “คิดได้อย่างนั้นก็ดี"  มิกว่าพลางลุกขึ้น "แต่ฉันไม่เห็นด้วยว่ะ"
   นัทส่ายหน้าให้มิก
   “อย่าให้เรื่องของเขามาทำให้แกกับฉันทะเลาะกันมิก" นัทว่า "ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันกับเขาต่างคนต่างเดิน มีความรักระหว่างกลางให้กัน นี่แหละจบแล้ว......กายเขาต้องการชีวิตแบบนี้ เขาเลือกเอง ตอนนี้ฉันเองก็มีความสุขดี"
   “แต่สิ่งที่แกไม่มีในความสุขบ้าบอกนี่คืออะไรรู้ไหม" มิกว่า "ความหวังไง......ความหวังคือจุดหมายที่คนเราตั้งเอาไว้ในทุกๆเรื่อง แกเดินไปข้างหน้าแบบนี้ แกกับเขาก็จะห่างกันไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายแกกับเขาก็ต้องเลิกกัน คนเราวิ่งหาอะไรได้ไม่นานหรอก ถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังหมดหวัง"
   “เขาไม่หยุดวิ่งหาฉันหรอก" นัทว่า
   “ตอนนี้น่ะใช่" มิกว่า "ก็แกเพิ่งจะบอกรักเค้าไป พอมันหมดอายุเมื่อไหร่ บวกกับแกทำตัวแบบนี้ด้วย เดี๋ยวมันก็ไป กายสิทธิ์น่ะเว่ย พ่อมดแห่งวงการเชียวนะ แกคิดว่าเขาจะวิ่งหาแกไปตลอดจริงๆน่ะเหรอ ขนาดยัยเจน เขายังไม่เอาเลย"
   “แล้วจะให้ฉันนั่งรออยู่ที่เดิม ทนเจ็บอยู่แบบเดิม ทั้งๆที่เขาก็ไม่หยุดอยู่ดีอ่ะเหรออวะ" นัทว่า "ทำอย่างที่แกทำอ่ะนะ ชอบฉันก็ไม่บอก นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม รอใครบางคนอยู่ที่มุมเดิมๆ เพื่อหวังว่าซักวันเขาจะกลับมาน่ะเหรอ"
   “ใช่ ฉันทำอย่างนั้น" มิกว่า "ฉันต่างหากที่ไม่เปลี่ยน"
   “แล้วเคยสมหวังบ้างป่ะล่ะ" นัทว่ากลับอย่างเผ็ดร้อน พลางลุกขึ้นประจันหน้ากับมิก "เคยมีใครกลับมาหาแกบ้างหรือเปล่า"
   มิกมองหน้านัทพลางกัดฟัน
   “แกรอใครมาบ้างล่ะ จะให้ฉันนับไหม" นัทว่าใส่มิกต่อ "ไอ้ฟ้าล่ะ มันหายไปกี่ปี กว่ามันจะกลับมา แล้วมันกลับมายังไง เหมือนเดิมไหม"
   นัทกำลังทำให้อารมณ์มิกพลุ่งพล่าน ชายหนุ่มกำหมัดแน่น
   “ไอ้เอิร์ธล่ะ ตอนนี้มันไปอยู่ไหน ตอบดิ" นัทว่า "แกยังไม่เคยลืมมันเลยใช่หรือเปล่า"
   มิกกัดฟันแน่น
   “แล้วฉันล่ะ ฉันกลับมาหาแกมั้ย"
   พลั่ก!!!!
   นัทเซถลาลงไปกองกับพื้น มิกมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มหายใจหอบถี่ขณะมองหน้าเพื่อนรักที่กองอยู่กับพื้น
   “แกจะทำอะไรกับชีวิตรักของแกก็ทำ" มิกพูดเบาๆ "แต่ฉันไม่เอาด้วยแล้ว"
   นัทหลับตาลง พลางพยุงตัวเองลุกขึ้น ลูบริมฝีปากที่มีเลือดออกอย่างเบามือ
   “แกอย่ามายุ่งกับเรื่องของฉันกับเอิร์ธ" มิกว่าพลางเก็บข้างของเดินออกไปจากห้องนัท "ฟ้ามันพลาดมาคนนึงแล้ว แกอย่าให้ตัวเองเป็นคนต่อไป"
   มิกหายออกไปจากสตูดิโอทันที
   นัทส่ายหัวอีกครั้ง ไม่อยมให้ความคิดงี่เง่าใดใดเยื้องกายเข้ามาในหัวอีก ก่อนะหลับตาลงเพื่อนั่งทำงานของตัวเองต่อไป
….................
   ล่วงเลยเวลาไปกว่าหกชั่วโมง นัทนั่งทำงานอยู่อย่างไม่ลืมหูลืมตา ลุกไปสั่งงานกับสตูดิโอของลูกทีมบ้าง ทำให้เขาไม่ได้ใส่ใจในเวลา จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็สี่ทุ่มแล้ว จึงเริ่มเก็บข้าวของแล้วลงไปยังด้านล่างของออฟฟิศทันที
   “พี่ต้อม ยังอยู่หรือเปล่าเนี่ย" นัทโทรไปยังโทรสัพท์เพื่อเรียกคนขับรถของสตูดิโอ
   “ยังอยู่ครับน้องนัท" เสียงพี่ต้อมตอบกลับมาในโทรศัพท์
   “ผมจะกลับแล้วพี่" นัทว่า "เอารถออกมาเล.......”
   นัทเห็นกายยืนพิงประตูทางออกอย่างไว้ท่าก่อนจะมองมาหาเขา
   “ฮัลโหลน้องนัท" เสียงยังคงดังมาจากโทรศัพท์ "จะให้พี่ไปรั.......”
   กายเดินตรงรี่เข้ามาหยิบมือถือของนัทและปิดมันลงทันที ด้วยความเหนื่อยล้าของนัท เขาจึงขี้เกียจที่จะขัดขืนหรือต่อต้านกายในตอนนี้ สิ่งที่เขาปราภนาที่สุดคือน้ำอุ่นๆจากฝักบัวและเตียงอันหนานุ่มของตัวเองที่บ้าน
   “ทำไมถึงเลิกช้าล่ะ" กายถามขึ้น นัทก้มหน้าลง
   “ผมทำงานเพลินไปหน่อยน่ะ" นัทว่า
   “กลับกับผมเถอะ" กายร้อง
   “คุณทำซะขนาดนี้แล้วอ่ะ ก็น่าจะน๊อคผมแล้วลากขึ้นรถไปเลยดีกว่า" นัทพูดเสียงอ่อย กายถอนหายใจเบาๆ
   “เอาจริงๆถ้าผมทำได้ ผมทำแล้ว" กายว่าก่อนจะจับแขนนัทแล้วพาเดินออกไปยังรถที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศ
   นัทไม่ยอมรับการกระทำเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย เขาจะไม่ยอมให้อะไรมาขัดขวางช่วงชีวิตนี้ของตัวเองเป็นอันขาด แม้ว่าที่จริงแล้วสิ่งที่เขาแอบกลัวคือการต้องเสียกายไป ระหว่างการก้าวไปข้างหน้า แต่พอมานึกดูแล้วว่าไม่ว่าจะเลือกทางไหนก็คงไม่ต่างกัน ดังนั้นเขาจะไม่ยอมหยุดเดินเด็ดขาด
   ไม่มีวัน.......
…..................

3 เดือนก่อนหน้านั้น............

   “ครับ เอาไว้ตรงนั้นเลยครับ ขอบคุณมากครับ” มิกก้มลงเซ็นเอกสารสองสามฉบับ แล้วส่งให้กับพนักงานส่งของ ขณะที่นัทยืนเท้าเอวอยู่ในสตูดิโอ นั่งมองข้างของที่มิกกองมันเอาไว้ทั่วสตูดิโอ
   “ฉันว่ามันจะไม่เว่อร์ไปหน่อยเหรอวะ" นัทร้อง "แกลลอรี่ที่ Crystal Design Center มันไม่แพงไปหน่อยเหรอ จัดที่ BACC เอาก็ได้นี่ แทบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยนะ"
   “มันจะมีความหมายต่างกันมากเลยนะเว่ย" มิกว่าพลางแกะห่อของดูเพื่อเช็คความถูกต้องอีกครั้ง "ใครๆก็จัดได้ดิที่ BACC แถมถ้าเป็นฉันไปขอ พี่ๆที่นั่นก็รู้จักกันอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ได้ฟรีหรอก"
   “แล้วไม่ดีหรือไง ได้แกลอรี่มาฟรีๆกลางกรุงอย่างสยามน่ะ" นัทว่า
   “แล้วของชำร่วยที่แจกฟรีๆในงานอีเวนท์เนี่ย แกเคยเห็นคนเก็บไว้หรือเปล่าล่ะ" มิกว่า "เดินไปได้สามก้าวแม่งก็ทิ้งแล้ว"
   นัทเหลือกตาขึ้น
   “ฉันไม่เข้าใจว่ะ แกจะพยายามไปทำไมกับเรื่องแค่ขอพี่สุเมธเลื่อนกำหนดการย้ายไปปารีสของแกเนี่ย" นัทว่า "อีกแค่สี่วัน ฉันก็จะออกจากที่นี่แล้ว เดี๋ยวฉันช่วยพูดให้ก็ได้"
   “มันไม่เหมือนกันนะเว่ย" มิกว่า "แกกับไอ้สา ทำงานที่คนเข้าใจได้ง่ายมากกว่าฉัน ฉันเป็นอาร์ทิส ฉันต้องสร้างชื่อเสียงเท่านั้น ถึงจะมีอำนาจต่อรองกับคนอื่นๆในวงการได้ แค่งานเล็กๆของ BAD Award มันไม่พอหรอก"
   “แต่แกจะเหนื่อยไปหรือเปล่า" นัทว่า "เก็บแรงไว้เหนื่อยที่ปารีสไม่ดีกว่าหรือไง"
   “ไม่อ่ะฉันเอ่อ....” มิกว่า "ฉันก็แค่อยากทำ.....”
   “....ทำให้ไอ้เอิร์ธ.....ใช่ป่าว" นัทยิงคำถามเข้าเป้า มิกหันควับมามองนัท
   “เอามาจากไหน" มิกว่า "ไอ้สาบอกอะไรแก"
   “.....เห้ย......ฉันไม่ได้โง่" นัทว่า "ถึงฉันจะดูเหมือนห่างๆจากแกไปนะมิก แต่ก็ใช่ว่าฉันจะไม่รู้อะไรเลยนะเว่ย ไอ้สาก็ไม่ต้องบอกอะไรฉันหรอก"
   มิกก้มหน้าลง
   “ไม่ใช่หรอก" มิกว่า "ยังไงไอ้เอิร์ธก็ไม่กลับมาหรอก"
   “รู้อย่างนี้แล้วแกจะทำอย่างนี้ไปทำไมวะ" นัทถามต่อ "ทำแบบนี้ รังแต่จะยื้อแกให้อยู่กับที่นะเว่ย แกจะอยู่กับความหวังลมๆแล้งๆแบบนี้เนี่ยนะ"
   มิกวางของทุกอย่างลงก่อนจะหันหน้ามาหานัท
   “อย่าได้เอาสิ่งที่ไอ้สายื่นทางออกให้กับแกเรื่องไอ้กายมาใช้กับฉัน" มิกว่าใส่นัท "ฉันกับน้อง เราสองคนไม่มีอะไรเหมือนแกกับกับไอ้กาย"
   “อ...อะไรนะ" นัทรู้สึกตกใจกับอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของมิก
   “ถึงฉันจะอยู่กับที่ ฉันก็มีความสุขดี สุขกับความหวังลมๆแล้งๆของฉันนี่แหละ" มิกว่า "ฉันมีความสุขที่ได้รอแกมาตั้ง 4 ปี กะน้องที่มันเพิ่งหายไปสามเดือน ฉันไม่ตายหรอก"
   “แต่แกก็รู้ว่ามันจะไม่กลับมา" นัทร้อง
   “ไม่รู้อะไรจริงอย่าเว่ย" มิกว่า "น้องกับไอ้กาย ไม่มีอะไรเหมือนกัน"
   “ฉันก็แค่อยากจะหาทางเลือกที่ดีที่สุดให้แก" นัทว่า
   “อย่ามาทำตัวเหมือนไอ้สาอีกคน" มิกว่า "แกยังไม่ได้ครึ่งนึงของมันหรอก แกต่างหาก ที่แกเลิกฟูฟายได้แล้วก็เพราะไอ้สาเลือกทางเลือกที่ดีกว่าให้แก แน่นอน แกต้องกระโจนเข้าใส่ เพราะยังไงก็ตามแกรู้อยู่แล้วว่าไอ้กายวิ่งไล่แกแน่นอนในเกมส์นี้ แต่นี่ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุดซักหน่อยเหอะ ฉันพนันเอาไว้ตรงนี้เลยว่า ถึงจุดจบ แกก็ต้องกลับไปเป็นเหมือนเดิม"
   “นี่จะดูถูกกันมากเกินไปและ" นัทว่า
   “ฉันพูดความจริงเหอะ ฉันรู้จักกับแกมากี่ปีไอ้นัท" มิกว่า "ฉันไม่มีวิธีพูดแบบรักษา้ำใจแบบที่ไอ้สามีหรอกนะ ฉันก็พูดได้แค่นี้แหละ"
   “งั้นแกอย่างพูดเลย" นัทว่า
   “งั้นแกก็อย่ามายุ่งเรื่องของฉันกับไอ้เอิร์ธ" มิกว่า "ฉันขอ ฟ้ามันทำพลาดมาแล้ว แกอย่าเลย แกทำไม่ได้เหมือนไอ้สาหรอก"
   นัทหันหลังให้กับมิก ก่อนจะมองไปยังโต๊ะดราฟของตัวเอง พลางเดินเข้าไปหยิบตุ๊กตาพวงกุญแจที่เขวนอยู่กับกล่องดินสอ เขาหลับตาลงก่อนจะดึงมันออกไป
   “นี่แหละสาเหตุ" มิกว่า "แกกับฉันไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่ไอ้กาย กับไอ้เอิร์ธมันไม่เหมือนกัน"
…..........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 40 จบตอน) - 28/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-12-2011 11:18:18
ตอนที่ 40 Apologize

   “เมื่อวานผมได้ลองโทรไปแล้ว ทางนู้นเค้าบอกว่ามิกเดินทางไปได้ช้าสุดก็ราวๆมิถุนาแหละครับ" นัทว่าในห้องทำงานของพี่สุเมธ "เพราะงานแฟชั่นวีคจะเริ่มตอนกันยา มิกยังเหลือเวลาอีกสามเดือนในงานลุยงาน เขาบอกว่าถ้ามิกมันเจ๋งพอ ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง"
   “แล้วคุณว่าไงล่ะนัท" พี่สุเมธถามเสียงเข้ม
   “ก็...ผมก็รู้จักเขามานาน" นัทว่า "เขาจะทำอะไรก็มีเหตุผลขอเขาเสมอ เขาอาจจะยังไม่พร้อมจริงๆน่ะครับพี่เมธ แต่ผมเชื่อว่าเขาสามารถทำได้ครับ ถึงจะแค่สามเดือน"
   “งั้นก็ตามนั้น" พี่สุเมธตอบ "ผมให้เลื่อนได้"
   “ขอบคุณมากครับพี่" นัทเดินออกมาจากห้องทำงานของพี่สุเมธพลางหลับตาลงอย่างโล่งใจ เมื่อเขากลับมาถึงห้องทำงานของตัวเอง ก็พบมิกที่กำลังนั่งก้มหน้าลงอยู่ที่ตรงข้ามโต๊ะทำงานของตัวเอง
   มองหน้ากันอยู่พักนึงก่อนที่นัทจะเดินไปนั่งลงที่โต๊ะ
   “พี่สุเมธตกลงนะ" นัทพูดขึ้นเบาๆ "ฉันเอ่อ.....ฉันไปพูดให้แล้ว แกอยู่นี่ได้ไปถึงต้นมิถุนาโน่นเท่านั้น แต่ถ้าแกเลือกจะไปตอนนั้น แกอาจจะต้องไปโหมงานหนักที่โน่น”
   “ขอบใจ" มิกพูดขึ้น
   “ไม่เป็นไร" นัทว่า พลางนั่งพิงพนักอย่างไว้ท่า"มีอะไรอีกหรือเปล่า"
   “ฉันมาขอโทษแก" มิกว่า "เรื่องเมื่อหลายวันก่อน ที่ฉันต่อยแก"
   นัทเม้มปากเบาๆ
   “ไม่ต้องหรอก" นัทว่า "ฉันไม่โกรธแกหรอก วันนั้นฉันก็อารมณ์ไม่ค่อยดีอ่ะ"
   “ฉันรู้สึกผิดที่....เคยรับปากกับไอ้สาเอาไว้ว่าจะดูแลแก หลังจากมันไปแล้ว" มิกพูด "แล้วฉันทำไม่ได้น่ะ"
   “ทำไมแกถึงเชื่อมั่นในสัญญาจัง" นัทว่า
   มิกเงยหน้าขึ้น
   “เพราะบางทีมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับสัญญาหรอก" มิกว่า "มันเกี่ยวกับว่า ฉัน......ยังรักแล้วก็เป็นห่วงแกเหมือนเดิม"
   นัทยิ้มน้อยๆให้มิก
   “ขอบใจนะมิก" นัทว่า
   “ฉันเสียใจ" มิกพูดเสียงแผ่วเบา
   นัทยิ้มพลางมองหน้าไปทางอื่น
   “ช่วงที่เราห่างๆกันไปสองวันนี่ ฉันเอ่อ....ฉันก็พยายามไปพูดกับพี่สุเมธเรื่องแกมาน่ะ" นัทว่า "ที่จริงแล้ว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก"
   “ยังไงเหรอ" มิกถามต่อ
   “พี่สุเมธขอให้ฉันโทรไปหาทางหุ้นส่วนซูเม่ที่ฝรั่งเศสเอง แล้วทางนู้นยื่นข้อเสนอมาบางอย่าง แล้วฉันก็ตอบตกลง..........เขาขอให้ฉันไปทำงานแทนแกก่อน" นัทว่า "แทนแค่ไม่กี่เดือนน่ะ คือ.....ตอนนี้ฉันเป็นอาร์ทไดเรคเตอร์ให้กับโปรเจ็คที่ปารีสอยู่เดือนกว่าๆ อีกสามวันฉันจะย้ายไปแล้ว"
   “อะไรนะ" มิกว่า "กำหนดแกเลื่อนขึ้นงั้นเหรอ ไม่ใช่วันสิ้นปีแล้วใช่ไหม"
   นัทส่ายหน้า
   “ฉันจะไปทำงานแทนแกก่อน" นัทว่า "ฉันอ่านบรีฟแกแล้ว มัน.....ก็ไม่ได้ยากอะไร แล้วถึงฉันอยู่ที่นี่ตอนนี้ ฉันก็คงไม่มีอะไรทำมากนัก"
   “แล้วที่แกว่าจะไปนิวยอร์คล่ะ" มิกว่า "เรื่องที่แกจะไปหาแม่แกล่ะ"
   “ไปสิ เรื่องนั้นน่ะมัน แน่นอนอยู่แล้ว" นัทว่า "อาจจะซักกุมภามั้ง อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะย้ายไป"
   “แล้วแกบอกเค้าหรือยัง" มิกค่อยๆพูดทีละน้อย เพื่อไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทเกิดขึ้นอีก
   นัทมองหน้ามิกนิ่ง
   “ไม่จำเป็นหรอก" นัทว่ามิกขมวดคิ้ว "อย่าขอให้ฉันทำอะไรเลย"
   มิกถอนหายใจลง พลางลุกขึ้นยืน
   “แกไม่เห็นต้องทำอะไรให้ฉันขนาดนี้เลย" มิกว่าพลางมองหน้านัทอย่างมีความหมาย นัทลุกขึ้นตาม
   “แกทำอะไรให้ฉันมาตั้งเยอะแล้ว" นัทว่า "จำไม่ได้เหรอ ตอนเราประกวด BAD Award กันแรกๆ แกยังเคยเอาความผิดที่แกไม่ได้ทำ กลับไปอยู่คนเดียวเลยนะ เรื่องแค่นี้เอง ฉันเองก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"
   “ขอบใจแกมากนะนัท" มิกว่า พลางเขยิบตัวเข้าใกล้นัทมากขึ้น จนใบหน้าชิดใกล้กันมาก มิกเอื้อมมือลูบหน้าของนัทเบาๆ นัทหลับตาพลางจับมือของมิก
   “ถ้าแกรักกับฉันซะตั้งแต่แรกนะ" มิกกระซิบเบาๆที่ข้างหูของนัท
   “มันคงไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกมั้ง" นัทว่า "จะมาบอกอะไรเอาป่านนี้"
   “คำว่ารักไม่มีความหมายหรอก ถ้าพูดในเวลาที่ไม่ใช่" มิกว่า "ฉันรู้ตัวว่าฉันช้าไปเสมอ"
   “แล้วตอนนี้ล่ะ" นัทลดเสียงลงเป็นเสียงกระซิบ
   “ฉันบอกแกช้าไป" มิกตอบ "ช้าตั้งแต่เรื่องนี้ยังไม่ได้เริ่มขึ้นซะอีก"
   “ฉันหมายถึงตอนนี้" นัทว่า "แกว่า มีโอกาสไหม ถ้าเราจะเริ่มใหม่แล้วลืมเรื่องที่เกิดขึ้น ถ้า.....ถ้าเราสองคน.....ร....รักกันตั้งแต่แรก"
   “คิดงั้นเหรอ......" มิกจับคางของนัทมามองหน้ของตัวเอง ก่อนจะประกบริมฝีปากของตัวเองลงกับนัท ทั้งคู่หลับตาลง ร่างกายของนัทสั่นไหว ขระที่มิกพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเอง และก็ผละออกจากกัน
   “เห็นไหม" มิกว่า "มันไม่ใช่ตั้งแต่แรกแล้ว"
   นัทมองหน้ามิก
   “แกก็ไม่ใช่เหมือนกัน" นัทว่า พลางหันออกไปยังด้านนอกของพาสิชั่นที่กั้นห้องทำงานของเขา พลางมองไปยังจุดนั้นอย่างเย็นชา
   มิกขมวดคิ้วก่อนจะมองตามไป
   กายกำลังยืนมองทั้งคู่อยู่ตรงนั้น พ่อมดห่งวงการยืนนิ่งสนิทเป็นรูปปั้น ราวกับเวลารอบตัวหยุดหมุน มิกมองกายด้วยสายตาเบิกกว้าง และทันใดนั้นกายก็เดินจากไป มิกค่อยๆหันมาหานัทช้าๆที่มองพื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้นอย่างเย็นชา
   “ก....แกรู้ว่าเค้าจะมา" มิกพูดเสียงสั่น "ใช่หรือเปล่า"
   นัทหลบสายตาของมิกลง
   “ขอโทษนะ" นัทพูดเบาๆ "แต่แกไม่ต้องทำอะไรหรอก ฉันขอโทษ"
   มิกกำหมัดลงอย่างโกรธขึ้ง ก่อนจะลุกขึ้นหยิบข้าวของของตัวเอง
   “ขอบใจสำหรับทุกอย่างที่แกทำให้" มิกว่า "ต่อจากนี้ฉันจะไม่มาอีก"
   “มิก" นัทเรียกชื่อเขาเบาๆ "ฉันขอโทษ"
   “แกก็พูดได้แค่นี้แหละ" มิกว่า "ถ้าจำไม่ผิด แกก็ปฏิเสธฉันด้วยคำนี้ คราวหลังก็ไม่ต้องจูบก็ได้ บอกมาเลย"
   มิกเดินผ่านเหล่าออฟฟิศไป ทิ้งให้นัทอยู่กับความเจ็บปวดแปลกๆที่ก่อตัวขึ้นช้าๆอีกครั้งในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา
   มิกวิ่งโร่ไปตามห้องโถงของบริษัท เพื่อมุ่งหน้าไปยังไอ้เต่าทองที่จอดอยู่แต่ทันใดนั้น ร่างของเขาก็โดนกระชากอย่างรุนแรงไปยังมุมตึกที่ร้างผู้คน เมื่อสามารถตั้งตัวยืนตรงได้ก็มองไปยังสาเหตุที่พาร่างของเขามายืนตรงนี้ เขารู้อยู่แล้ว กายสิทธิ์นั่นเอง
   กายยืนมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ มิกรู้สึกถึงความโกรธขึ้งปนเจ็บปวดมาจากดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่เหมือนกับของเอิร์ธ
   “อธิบายมา" เสียงของกายทุ้มต่ำ มิกเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกตรวจสอบ
   “มันไม่มีอะไรหรอกกาย เราสองคนแค่....."
   “นี่คือสาเหตุที่นายบอกว่าฉันจะเสียนัทไปหรือเปล่า" กายถามต่อ "ตอบผมเซ่"
   มิกหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองหน้ากาย
   “ผมมีคนที่ผมรักแล้ว" มิกพูดขึ้น "คนคนนั้นก็ไม่ใช่นัทอีกต่อไปแล้วด้วย"
   “แล้วมันเกิดอะไรขึ้นวะ" กายพูดขึ้น มิกเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง "มันเกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมมันออกมาเป็นแบบนี้"
   กายไม่ได้พูดกับมิกอีกแล้ว เขากำลังโวยวายอยู่กับตัวเอง ชายหนุ่มกำหมัดแน่น
   “เขาต้องการอะไร ทำไมเขาไม่บอกผมล่ะ" กายทรุดตัวลงนั่งกับมุมตึกอย่างไว้ท่า เขากุมขมับเอาไว้ "ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับผมด้วย ผมไม่ใช่คนที่มีควมอดทนมากขนาดนั้นหรอกนะ"
   มิกเดินลงไปนั่งลงข้างๆกาย เขาเอื้อมมือไปจับเขนของกายไว้อย่างสุภาพ
   “ใจเย็นก่อนดิ" มิกพูดขึ้นเบาๆ "อย่าเป็นแบบนี้ ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก"
   กายถอนหายใจพลางเมินหน้าหนี
   “ถ้าไม่ติดว่าผมรักเขามาก ผมไม่มีทางวิ่งตามเขาอยู่อย่างนี้หรอก ให้ตายสิ" กายสบถกับตัวเอง มิกบีบแขนของกายเอาไว้
   “สงบสติอารมณ์ลงก่อนเลยนายอ่ะ" มิกพูด "เดี๋ยวผมจะเล่าให้คุณฟังเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ลุกขึ้นเหอะ แล้วไปหาไรกินกัน"
   กายมองหน้ามิกอยู่พักนึงก่อนจะรู้สึกตัวว่า ความหวังสุดท้ายอาจจะอยู่กับผู้ชายคนนี้ก็ได้
…......
   ที่ร้านกาแฟใต้ร่มไม้อันนิ่งสงบริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถมากนัก กายนั่งนิ่งสงบขณะที่มิกมองกายอยู่อย่างนั้น ราวกับระวังว่ากายจะปะทุอารมณ์ออกมาเมื่อไหร่ สิ่งที่มิกรับรู้มาตลอดคือไม่ว่ากายจะเจอลูกค้างี่เง่าแค่ไหน กายไม่เคยจะระเบิดอารมณ์หรือแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมืออาชีพ แต่เมื่อมิกเห็นกายเป็นแบบนี้ ก็นับว่าเพื่อนรักของเขาทำสำเร็จตามแผนของสาไปเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
   “ผมขอโทษทีนะ" กายพูดขึ้นหลังจากเงียบกันไปนาน "ผมหงุดหงิดไปหน่อย"
   มิกหัวเราะๆเบาๆ กายหันมามองิกทันที
   “เปล่าๆ โทษที วันนี้มีแต่คนพูดขอโทษน่ะ ผมก็เลยนึกขำขึ้นมา" มิกว่า "เมื่อกี้ไอ้นัทก็พูดแบบนี้ แบบที่นายพูด"
   “เขาหงุดหงิดเหรอ เรื่องผมเหรอ" กายถาม
   “ผมไม่รู้หรอก" มิกว่า "นัทมันเปลี่ยนไปมาก ผมเองก็ยังงงๆ แต่ที่นายเห็นน่ะ มันไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก จริงๆนะ ผมกับมันแค่ แบบว่า.....อามรมณ์พาไป....แต่ไม่มีอะไรจริงๆนะ ถ้านายไม่สบายใจ ผมสาบานว่าจะไม่ทำอีก"
   “ช่างมันเถอะ ผมไม่อยากคิดถึงมันอีกแล้ว" กายว่า "นายบอกว่ามีเรื่องจะอธิบาย เรื่องอะไร"
   มิกหายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   “กำหนดการของนัทเลื่อนแล้วนะ" มิกว่า "มันจะไปปารีสแทนผมสองสามเดือน"
   กายมองหน้ามิกนิ่ง
   “มันจะออกเดินทางวันมะรืนนี้" มิกว่า "มันจะไม่บอกนาย แต่ผมว่ามันจะไปกันใหญ่แล้ว"
   กายหลับตาลงอีกครั้ง
   “ผม....ผมเหนื่อยแล้วอ่ะมิก" กายพูดเสียงเหนื่อยล้า "ผม...ผมจะวิ่งตามเขาไม่ไหวแล้วนะ....มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่"
   “การเอาคืนไงล่ะ" มิกว่า "อันที่จริงมันก็ไม่เรียกเอาคืนหรอก มันเป็นศัพท์เฉพาะกลุ่มเราน่ะ คือ.......นี่มันคือชีวิตที่นายต้องการไม่ใช่เหรอ ต่างคนต่างเดินน่ะ"
   “อย่าพูดเหมือนกับที่นัทได้หรือเปล่าขอร้อง" กายว่า
   “ผมพูดสิ่งที่มันเป็นอยู่ นายน่าจะฟังซะหน่อยนะ" มิกว่า "นัทน่ะ มันยังรักนายอยู่ก็ แต่มันทนไม่ได้ ที่จะเห็นนายไปๆมาๆ ไม่หยุดอยู่กับที่ซะที"
   “ผมเป็นของผมอย่างนี้" กายว่า
   “ก็นี่ไง" มิกว่า "นัทก็เป็นของมันอย่างนี้....ไปแล้ว"
   กายถอนหายใจ
   “นายต้องงัดไพ่ใบใหม่มาแก้เกมส์นี้แล้ว" มิกว่า "บางทีน่ะ เราจัดการอะไรให้มันเป็นไปอย่างที่เราต้องการไม่ได้หรอก"
   “เมื่อก่อนผมยังได้เลย ทำไมครั้งนี้ผมจะทำไม่ได้ล่ะ" กายว่า
   “นายไม่เคยทำได้เลยกาย" มิกว่า "เอาจริงๆนะ ที่นายทำได้มันก็แค่เรื่องงานเท่านั้นเอง นายกำลังจะตายตอนจบ เพราะครั้งนี้ มันไม่ใช่แค่งานดีไซน์ หรือว่าการจัดการกับผู้หญิงข้ามคืนของนายแล้ว นัทกำลังทำให้นายแทบบ้าตายอยู่นี่ไง มันกำลังทำให้นายไปไหนไม่ได้.....”
   “จนกว่าผมจะเข้าใจทั้งหมดที่เป็นเค้า" กายต่อคำของมิก ที่พิงพนักเก้าอี้อย่างไว้ท่าพลางยักไหล่
   “นั่นแหละ...ประเด็น" มิกว่า "โอเค ผมอาจจะเห็นแก่ตัวที่คิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเองเจ็บนะ แต่กาย นายต้องเข้าใจว่า เลือกบางอย่างมันก็ต้องเสียบางอย่างนะ ถ้านายคิดจะจริงใจกับใคร นายจะต้องยอมเสียความเป็นอิสระไปบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถ้าจะเลือกเก็บเอาไว้ทุกอย่าง อีกคนก็จะต้องเจ็บ แล้วมันก็มีสิทธิ์ไม่ใช่เหรอ ที่อีกคนจะขอเลือกเก็บเอาไว้ทุกทางเลือกเหมือนกัน"
   “แต่นั่นมันทำเหมือนไม่รักกันเลยอ่ะ" กายว่า
   “นายขาดความอบอุ่นล่ะสิ" มิกว่า "นายขอให้นัทรักนายอย่างเดียว และนัทมันก็ทำทุกๆอย่างกับนายไปแล้ว นายล่ะ ทำให้มันบ้างหรือยัง"
   กายเงียบเสียงลง
   “นายหายไปไอ้ตัวแสบ" มิกว่า "นายแบบว่า อยู่ดีดีก็หายไปเฉยๆ นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา นายทำเหมือนนายมีเวทย์มนต์ไปได้ แต่ไอ้นัทมันเป็นคนที่ทำอะไรต้องมีแผน มีการคิดเอาไว้ก่อน มันต่างจากนายสุดขั้ว มันต้องคิดก่อนเสมอว่าถ้ามันทำแบบนี้ มันจะได้อะไร ถ้าไม่ทำแล้วจะได้อะไร แต่ทางเลือกที่นายยื่นให้มันคืออะไรรู้ไหม.....คือไม่เลือกอะไร แล้วไม่ได้อะไรไง คนฉลาดอย่างไอ้นัท ไม่เลือกทางนี้หรอก มันจะยอมเจ็บแค่ครั้งเดียว แล้วมันจะไม่ยอมนายอีกเลย"
   “แต่ผมมีความรักให้เขา" กายเถียง
   “แล้วมันอยู่ตรงไหนเล่า ความรักของนายอ่ะ" มิกว่า "รักของเราไม่เท่ากัน น่ะเคยได้ยินเปล่า"
   “แล้วผมต้องทำไง" กายว่าง
   “นายไม่ทำหรอก" มิกว่า "แค่เรื่องง่ายๆ ดูเอ่อ....นิตยสารพวกนี้สิ.....อ่ะ เล่มนี้ก็ได้ กายสิทธิ์ พ่อมดตัวแสบ ควงสาวคนใหม่ งานเปิดตัวหนังสือ....... อะไรพวกนี้ แค่นายจะบอกกับพวกนักข่าวว่าที่จริงแล้ว นายไม่ใช่คนแบบนี้ นายยังไม่กล้าเลย นับประสาอะไรกับเรื่องไอ้นัท เมื่อก่อนนี้ นายรู้ใช่ไหมว่ามันไม่ชอบแฟนเก่านาย นายจะทุบพื้นชี้ชัดอะไรลงไป นายก็ไม่ทำ แล้วแบบนี้ นายจะไม่เสียมันก็แปลกแล้ว"
   “ผมเป็นของผมแบบนี้ นัทควรจะรักที่ผมเป็นผม" กายย้อน
   “แล้วนายรักที่มันเป็นมันตอนนี้ไหมล่ะ" มิกว่า "มันจะต้องมีแว้บนึง ที่ความคิดว่า นายจะมาทนมันเพื่ออะไร นายสามารถวิ่งไปหาคนอื่นได้อีกเป็นร้อยเป็นพันด้วยซ้ำ ขึ้นมาในหัว เถียงดิ"
   กายก้มหน้าลงถอนหายใจ
   “ตอนนี้นัทมันไม่ได้เปลี่ยนไปหรอก มันคือมัน แบบวันแรกที่คุณเจอมันนั่นแหละ" มิกว่า "มันคือนัทนนท์ดีไซน์เนอร์ไฟแรง ที่พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าเสมอ และเป็นผมกับสาที่ต้องวิ่งตามมันไปให้ทัน"
   “ไหนนายว่านายก็อึดอัดที่เขาเป็นแบบนี้" กายถามกลับ
   “ใช่ ผมอึดอัด" มิกว่า "ผมถึง...จูบมันไง....มันเอ่อ......มันทำเหมือนตอนผมชอบมัน แล้วบอกมันไม่ได้ มันทำตัวเหมือนตอนนั้นเปี๊ยบเลย ผม...เอาจริงๆ เมื่อก่อนผมหงุดหงิดมันบ่อยจะตาย สมัยที่นายยังไม่เข้ามาป่วนน่ะ"
   กายเม้มปากขณะมองหน้ามิก
   “แต่ประเด็นคือ ตั้งแต่นายเข้ามาในชีวิตมัน" มิกพูดต่อ "มันกลายเป็นคนละคน มันทำอะไรอะไรที่ผมเองไม่เคยเห็น นายรู้หรือเปล่ามันมีความสุขทุกครั้งที่ได้ออกไปข้างนอกกับนาย มีความสุขทุกครั้งที่นายแกล้งมัน ถึงแม้ว่าปากมันจะกัดนายเอากัดนายเอา แต่ ผมรู้....มัน....มันชอบ.......นาย ขอร้องเหอะ จับมันไว้ให้ได้เหอะกาย ผมรักมันที่สุด"
   กายมองหน้ามิกอีกครั้ง
   “อย่าให้นี่เป็นเหมือนพระรองมานั่งพูดกับพระเอกเลยว่ะ" มิกว่า "ดูแลมันแทนผมที นายมีโอกาสไปกับมันได้ทุกๆที่ เพียงแต่ถ้านายเลือกน่ะนะ ผม ผมยอมรับว่า ผมไม่อาจวิ่งตามมันไปได้ทัน"
   “สาเคยบอกว่า นายกับเขา จะไม่ทิ้งนัท" กายว่า มิกก้มหน้าลง "สาเคยบอกว่า ถ้าผมไม่สามารถดูแลเขาอย่างที่เขาต้องการได้ จะมีนายกับสาอยู่ข้างๆเขา นั่นคือสาเหตุเดียว ที่ผมเลือกแบบนี้ ผมรู้ว่า จะมีนาย"
   “นั่นมันความฝัน" มิกตอบ "บางทีสามันก็ ฝันเอา....มันมีชีวิตรักที่ดี เพื่อนที่ดี มันบาลานซ์ทุกอย่างไว้แล้วแต่....ผมยัง.....”
   “นายเองก็ยังมีบางอย่างที่ไม่ได้บอกนัทเหมือนกันสินะ" กายว่า
   มิกนิ่งไปพักนึง
   “กายผม......” มิกมองหน้าคู่ต่อสู้ตรงหน้า "ความจริงก็คือ......ผมอาจจะไม่ได้ไปไกลเหมือนมัน เหมือนสา ผมมีบางอย่าง ที่อาจจะต้องรอ.....อยู่ที่นี่ และนั่นก็คือสาเหตุที่ผมอยากฝากนัทไว้กับนาย ตอนนี้สาไ่ม่อยู่แล้ว นัทมันไม่มีใคร แล้ว ผมก็....มีเรื่องของผม........ขอล่ะ ช่วยเลือกมันทีเถอะกาย คราวนี้ผมขอ.......”
   กายเมินหน้าไปยังนิตยสารที่มีรูปตัวเองอยู่บนนั้นอย่างครุ่นคิด
   มิกเอื้อมมือไปจับมือของกาย
   “เห้ย" มิกพูด "มันไม่ได้ยากหรอกนะ หยุดเพื่อใครซักคนน่ะ นายทำได้เหอะ ไอ้ตัวแสบ"
   “ผมไม่ได้เก่งอย่างนั้นหรอก" กายว่า "นายอย่างประเมิณผมสูงไปเลย"
   “นายทำได้ไอ้กาย" มิกว่า "นายอาจจะไ่ม่เสียอะไรเลยก็ได้ท้ายที่สุด แต่นายต้องเสียไปก่อน แล้วค่อยได้คืนทีหลัง สาบอกว่าชีวิตที่มีคนสำคัญอยู่ด้วยก็แบบนี้แหละ"
   “นี่นายคิดว่า ผมจะเป็นพระเอกมาดูแลคนที่นายรักแทนได้จริงๆเหรอ" กายถามเสียงสั่น "นายคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ"
   “นายเพิ่งไม่ได้รู้จักผม วันนี้นะเว่ย" มิกว่า "ตั้งแต่นายเข้ามาในชีวิตไอ้นัท มาเหมือนกับ เอามันไปจากผม ผมก็เฝ้านายตลอด ไม่งั้นวันที่นายรถคว่ำ ผมไม่ถ่อไปต่อยนายถึงโรงพยาบาลหรอก ผมดูนายมาตลอดกาย นายเป็ยคนดี ดีกว่าตัวเองคิดว่าทำได้วซะอีก....และในฐานะคนที่รักไอ้นัทเหมือนกัน.....นายคือคนที่ดีพอเว่ย.....เชื่อผม......นายตัดสินใจเล่นกับมันตั้งแต่แรกแล้ว ก็อย่าถอยหลังกลับดิวะ......ลูกผู้ชายเค้าไม่ทำกัน"
   “แต่มีแฟนเป็นผู้ชายเนี่ยนะ" กายพูดขำๆ
   มิกส่ายหัว
   “ผมก็ไ่ต่างกันหรอก" มิกยื่นกำปั้น ออกมาตรงหน้า "สาบานอย่างลูกผู้ชายถึงหัวอกลูกผู้ชายด้วยกัน"
   กายมองมือคู่นั้น ก่อนจะวางกำปั้นต่อกับมิก
   “ผมจะลองดู" กายยิ้มให้มิกเบาๆ
   “เชื่อมั่นไว้เว่ย นายทำได้" มิกยิ้มตอบ "ขอโทษด้วยละกัน เรื่องแอบขโมยจูบแฟนนายวันนี้"
   “ไม่มีครั้งหน้าแล้วนะมิก" กายพูดเสียงเข้ม "ไม่งั้นคุณเละแน่"
   “หึหึ" มิกว่า "งั้นขอโทษล่วงหน้าไว้ก่อนได้ป่ะวะ"
   “ไม่มีทาง"
…..............
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 41 จบตอน) - 28/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-12-2011 20:47:28
ตอนที่ 41 Witch Revenge

   นัทหยิบเอากรอบรูปที่เขา สาและมิกถ่ายด้วยกันเก็บลงใส่กระเป๋าเดินทาง เขามองมันอยู่หลายวินาทีก่อนจะกดปิดกระเป๋าใบนั้นลงไป ผ่านมาสองวันแล้วที่เขาต้องสะสางเรื่องต่างๆเอาไว้ให้เรียบร้อย ก่อนที่เขาจะต้องเดินทางจากเรื่องนี้ไปยังสถานที่ที่ไกลแสนไกล
   นัทเดินออกไปยังระเบียงบ้านของตัวเอง เวลาดึกดื่นแบบนี้เขานอนไม่หลับนัก เขามักจะกะเวลาเอาไว้ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ตัวเองเกิดอาการเจ็ทแลคได้ เขาจะได้ไม่ต้องไปปรับตัวที่ปารีส เขาเริ่มหมุนเวลาตัวเองใหม่ที่นี่จะดีกว่า มองออกไปยังท้องฟ้าที่ระยิบระยับไปด้วยดวงดาว ดวงดาวที่เขาเคยคิดจะคว้ามันมา มองมันอยู่อย่างนั้น เพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง เขาเดินไปใกล้ดาวดวงนั้นมากเกินไปแล้ว ใกล้เสียจนรู้สึกว่า เขาไปได้ไกลกว่าดาวดวงนั้นเสียอีก นัทก้มหน้าลง กอดตัวเองไว้ ลมหนาวเริ่มเยื้องกรายเข้ามาบ้างแล้ว และถ้าเป็นที่ปารีสก็คงหนักกว่านี้
   เขาถอนหายใจก่อนจะเดินกลับเข้าไปในบ้าน เพื่อตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาวิ่งไปรับทันที
   “ฮัลโหลน้องนัท เตรียมตัวพร้อมหรือยังเนี่ย" เสียงจากปลายสายดังขึ้น เสียงจากพี่สุเมธ
   “เรียบร้อยแล้วพี่ ผมออกเดินทางตอนตีสี่ครับ" นัทพูด "พี่มีอะไรหรือเปล่า"
   “อ๋อ พี่อยากให้เราแวะเข้ามาออฟฟิศหน่อย" พี่สุเมธกล่าว "พี่มีอะไรจะให้น่ะ เป็นของขวัญไง"
   “อ๋อ โอเคพี่ งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปครับ" นัทว่าพลางวางหูไป
   เขานั่งมองมือถืออยู่ครู่หนึ่งก่อนะจะนึกถึงอะไรบางอย่างออก เขาเปิดลิ้นชักออก พลางค้นไปจนทั่ว จนกระทั่งพบกับมือถือเครื่องนึงที่เจนจิราฝากเขาเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว และเขาก็ไม่ได้คืนกายเมื่อตอนอยู่ที่ลาว เพราะป่านนี้กายคงได้เครื่องใหม่เบอร์เดิมไปแล้ว
   เปิดเครื่องขึ้นมาช้าๆ จนกระทั่งแสตนบาย เขานั่งมองรูปภาพของตัวเองที่ถ่ายคู่กับกาย เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องราวตอนนั้นอีก มันเป็นเวลาที่เจ็บปวดเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะมีความสุข แต่ความสุขก็มักจะทำให้เราลืมเวลา และหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม และนั่นจำเป็นที่จะต้องลุกออกจากความสุขนั้นเพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคและความจริงที่อยู่ตรงหน้า และก้าวออกเดินไปพร้อมกันกับมัน
   เขาอยากจะให้กายรู้ได้ซักทีว่าเขาคงไม่อยากมีความสุขแค่ชั่วข้ามคืน แต่ต้องทนทุกข์ที่ยาวนานขนาดนั้นแล้ว
   เขาจะไปแล้ว......
   นัทหลับตาลงครั้งนึงก่อนจะเปิดฟังค์ชั่นอัดเสียงขึ้นมา.....
   นัทเผยอริมฝีปากขึ้น.........
…................
   “น้องอาร์ม เดี๋ยววันนี้ช่วยออกไปรับลูกค้าแทนพี่หน่อยสิ" มิกกล่าวขึ้น พลางวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะดราฟ
   “โอ๊ย พี่มิก หนูงานล้นมืออย่างกะอะไรแล้วนะคะ" อาร์มส่งเสียงหวานใส
   “น่า นะนะ จะได้สวยๆ" มิกมักจะแซวน้องใหม่หัวใจสาวคนนี้อยู่เสมอๆ
   “จริงเล้ยเฮียมิก" อาร์มลุกขึ้นพลางหยิบแห้มของมิกทันที "ถ้าเปิดปีงบประมาณหน้า เรายังไม่ได้ดีไซน์เนอร์มาอยู่ในสตูล่ะก็ หนูจะวีน"
   “โอ๋ๆ แต่เรามาทำงานแทนคนมีฝีมือนะเนี่ยรู้หรือเปล่า" มิกถาม
   “ค่า......” อาร์มพูดเสียงเหวี่ยงพลางสะบัดก้นออกจากสตูดิโอไป มิกขำน้อยๆกับจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ได้มา เด็กใหม่คนนี้เปลี่ยนโต๊ะทำงานที่เคยเป็นของนัทให้กลายเป็นสีชมพูทั้งโต๊ะ มิกถึงกับอึ้งไปขณะหนึ่งเมื่อเช้าวันแรกพบว่าสตูดิโอดูสะอาดไปถนัดตา ถึงแม้น้องอาร์มจะอ้อนแอ้นไปนิด แต่เธอคนนี้สามารถทำงานแทนสากับมิกได้อย่างไม่มีที่ติเลยทีเดียว
   มิกถอนหายใจเข้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังห้องทำงานของเจ๊ผึ้ง
   “ฮัลโหลเจ๊" มิกร้องขึ้นเมื่อมาถึงหน้าประตู
   “อ้าว ว่าไงเจ้ามิก" เสียงผึ้งตอบรับเสียงหวาน
   “แหะแหะ" มิกหัวเราะเสียงแห้ง ผึ้งเหล่สายตาอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ฉันไม่เข้าใจว่าแกต้องการอะไรนะเจ้าอินดี้ตัวพ่อ" ผึ้งบ่นพลางลุกขึ้นไปหยิบแฟ้มๆหนึ่งที่อยู่ตรงตู้ด้านหลังออกมาปึ้งนึง "ฉันบอกแล้วว่าบอสยังไม่ได้ตรวจ เจ๊อนุมัติไม่ได้หรอก ว่าจะเป็นใคร"
   “ผมแค่ขอดูน่ะครับ" มิกว่าพลางรับแฟ้มนั้นมา
   “เจ๊เข้าใจนะว่าสตูดิโอที่มีแค่สองคนน่ะมันเหนื่อย แต่น้องสาวหน้าใหม่เค้าก็ทำงานดีไม่ใช่เหรอ" ผึ้งว่า
   “มันก็ใช่น่ะเจ๊ แต่....” มิกว่าพลางพลิกไปตามหน้ากระดาษนั้นเพื่อหารายชื่อคนคนหนึ่งในกองใบสมัครงานของตำแหน่งจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ Lovable Studio "…...ถ้าผมไม่อยู่แล้ว น้องเค้าจะรับงานทั้งหมดไปคนเดียวนะ"
   “เจ๊น่ะก็จะจัดคนลงที่สตูดิโอเราแน่ๆล่ะ ว่าแต่เราเถอะ จะเอายังไงกันแน่ จะอยู่หรือจะไป" ผึ้งเท้าสะเอวพลางมองมาที่มิก "เราน่ะ ก็ไม่ได้มีโปรเจ็คติดค้างอยู่กับที่นี่แล้วไม่ใช่เหรอ เจ้านัทกับเจ้าสามันก็ไปตั้งนานแล้ว เหลือก็แต่เราน่ะ ว่าไงล่ะ.....มิก......มิก"
   มิกเงียบเสียงลง สายตาจับจ้องไปที่ใบสมัครใบนึงที่อยู่หน้าล่างสุด

   …..นายนฤเดชน์  กริชเตชะวงษ์.......


   …..เอิร์ธ......


   มิกหยุดหายใจไปพักนึง เมื่อเห็นรูปถ่ายที่ติดมากับใบสมัคร ใบหน้าเด็กหนุ่มหล่อเหลาที่ตอนนี้ดูโตขึ้นกว่าเดิม ผมที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เหนือดวงตากลมใส และริมฝีปากที่อมยิ้มน้อยๆ
   “ไอ้มิก" เสียงของผึ้งปลุกให้มิกตื่นขึ้นจากภวังค์ ชายหนุ่มมองกลับไปยังเจ้าของเสียง "นี่ฟังฉันอยู่หรือเปล่า"
   “เจ๊....." มิกรีบวิ่งเอาหน้านั้นมาวางลงตรงหน้าผึ้ง "ผมต้องการคนนี้.....เจ๊รับเขาได้ไหม...คนนี้น่ะ เอิร์ธไง"
   “อ้อ" ผึ้งมองลงไปหน้าใบสมัคร "เจ้าหน้าหล่อที่เคยมาฝึกงานกับเราเมื่อตอนซัมเมอร์น่ะเหรอ"
   “ใช่ เขามาส่งใบสมัครเองหรือเปล่า" มิกส่งเสียงดัง หัวใจเขาเต้นถี่รัว "แล้วเจ๊จะอนุมัติหรือเปล่า บอสว่ายังไงอ่ะ เขาเคยทำผลงานกับเรานะ เขาจะไปอยู่สตูใครอ่ะ"
   “ไอ้มิก" ผึ้งร้องทันที "น้องมันไม่ได้มา มันแค่กรอกใบสมัครทิ้งไว้เฉยๆ ส่งมาทางไปรษณีย์เมื่อหลายวันก่อน แล้วเจ๊ก็ไม่รู้จะอนุมัติดีไหมด้วย"
   “ทำไมล่ะเจ๊" มิกร้องถาม
   “พอร์ทของเจ้าเด็กนี่ไม่ได้ตรงกับสายงานที่เรารับเอาไว้" ผึ้งบอก "น้องมันเลือกที่นี่กั๊กท่าไว้มากกว่านะ พี่ตรวจสอบแล้ว มันอาจจะไม่ได้เลือกงานที่นี่หรอก"
   “ไม่จริงหรอกเจ๊" มิกว่าพลางปิดแฟ้มทันที "เดี๋ยวมันจะต้องเลือกที่นี่ มันจะต้องกลับมา"
   “มิก เจ๊รู้ว่าเจ้าเอิร์ธมันคือทีมที่ดีของแก แต่ตอนนี้อะไรๆมันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ" ผึ้งพูดเสียงแผ่วเบา "มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้ว เราจะต้องเจอกับสิ่งใหม่ๆตลอดเวลา ในวงการนี้ ไม่มีใครทำงานกับใครหรือที่ไหนได้นานหรอก ถึงจะเป็นทีมที่ดีที่สุด สุดท้ายแล้วก็ต้องแยกย้ายนะ"
   “ทำไมเจ๊พูดงี้ล่ะ" มิกร้อง
   “ก็เพราะว่าฉันเห็นโลกมามากกว่าเธอน่ะสิ" ผึ้งโวยวาย "มีดีไซน์เนอร์หน้าใหม่หน้าเก่า เด็กฝึกงานกี่คนแล้วที่เดินผ่านห้องพี่ไป บางคนตกอับหาางานต่อไปไม่ได้ บางคนไปได้รุ่งจนแทบลืมไปแล้วว่าเคยเป็นจูเนียร์ดีไซน์เนอร์ที่นี่ เด็กฝึกงานบางคนจบไปแล้วก็ไม่ได้ทำงานสายนี้ บางคนก็โปรเจ็คไม่จบ บอสก็ไม่รับพวกที่โปรเจ็คจบไม่ผ่านนะ"
   มิกก้มหน้าลง
   “ถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นเธอก็ลองมองดูรอบๆตัวเธอสิมิก" ผึ้งว่า "ไม่มีใครเหลืออยู่กับเธอแล้ว สากับนัทไปแล้ว เธอเองก็น่าจะไปได้แล้ว นี่อย่าบอกนะว่าที่ยังนั่งอยู่ที่เดิมนี่ก็เพราะรอเจ้าเด็กนี่น่ะ เจ๊บอกตรงนี้เลยว่าไม่มีประโยชน์ โอกาสที่เจ้าหน้าหล่อจะกลับมาที่นี่เป็นศูนย์"
   มิกมองหน้าผึ้ง คำพูดของเธอทำเอามิกแทบหมดแรง
   “ไปหาโอกาสที่ดี ทีมที่ดีกว่าข้างหน้าเถอะมิก เชื่อเจ๊ เรายังอายุเท่านี้" ผึ้งว่า "หน้าตาอย่างเจ้าเอิร์ธน่ะ ไม่แน่มันอาจจะไปเป็นดาราแล้วก็ได้ ส่วนเราก็ไปเถอะ ไปได้แล้ว"
   มิกถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้น
   “จะมีการคัดเลือกกันอีกรอบเมื่อไหร่อ่ะเจ๊" มิกถามเบาๆ ผึ้งมองหน้ามิกอย่างเหนื่อยหน่าย
   “ไม่รู้สิ อาจจะสิ้นปีนี้" ผึ้งตอบ "แกอาจจะขอให้เจ๊อนุมัติน้องเค้าก็ได้ แต่ยังไงก็ตามน้องมันก็ต้องคอนเฟิร์มกลับมาด้วย ถ้าก่อนปีใหม่มันยังไม่เลือก เจ๊ก็ต้องตัดชื่อทิ้ง"
   มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง  พลางมองไปยังประตูสตูดิโอของตัวเองที่อยู่เยื้องออกไป เขาหลับตาลงเพื่อควบคุมอารมณ์ตัวเอง
   “งั้นผมจะรอครับ" มิกว่า  "ถ้าก่อนปีใหม่มันไม่คอนเฟิร์มกลับมาผมจะ.........ผมจะออกจาก Lovable Studio”
   “ดี....งั้นเขียนนี่” ผึ้งยื่นกระดาษพร้อมซองขาวออกจากใต้โต๊ะเธอ วางลงตรงหน้ามิก “ใบลาออก เขียนล่วงหน้าเอาไว้ด้วย เจ๊ขี้เกียจมานั่งรันรายชื่อใหม่”
   มิกมองกระดาษนั้นอยู่สองสามวินาที
   “อย่าลังเลเลยมิก ยังไงแกก็เลือกที่จะไป” ผึ้งว่า “ไม่ว่าน้องจะกลับมาหรือเปล่า แกก็ต้องไป ทำซะ เดี๋ยวนี้”
   มิกหยิบปากกาขึ้นมาด้วยมือสั่นเทา.......
   ถ้าเอิร์ธไม่กลับมา เขาก็จะจากเอิร์ธไปไกลแสนไกล.........
   เขาไม่อยากมีชีวิตแบบนัท.....
   เขารักเด็กคนนี้มากเกินกว่าจะปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นกับตัวเอง......
   เขาขอยื้อเวลาไว้ให้นานที่สุด......
   แม้ว่าจะเป็นวินาทีสุดท้ายก็ตาม...........
…...............

   …....นัทวางโทรศัพท์ลง พลางหลับตาลง จุดสิ้นสุดของการเดินทางในโลกที่วุ่นวายนี่ใกล้มาถึงเต็มทน เขาลุกขึ้นและตรวจเช็คข้าวของอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นไปเพื่อเตรียมล็อคบ้านทุกๆประตูหน้าต่างของมัน
   ภาพของเขาและมิกที่นั่งทำงานกันหัวปั่นอยู่กระจัดกระจายทั่วไป เขาหลับตาลงเมื่อตัวเองปิดไฟดวงสุดท้ายของห้องนอน แล้วขนกระเป๋าลงมาที่หน้าบ้าน นัทเดินเข้าไปปิดประตูบ้านครั้งสุดท้าย ก่อนจะถอยหลับออกมา ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าเขาจะได้กลับมาอีก เขาถอนหายใจก่อนจะหยิบโทรศัพทืตัวเองขึ้นมา
   “พี่ต้อม ผมเรียบร้อยแล้วครับ วนมารับผมได้เลย" นัทพูดกับคนขับรถ "พี่พาผมไปอฟฟิศก่อนนะ พี่สุเมธอยากพบผม"
   “ได้ครับน้องนัท" นัทวางโทรศัพท์ลงไปพลางนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้
   คงได้เวลาที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างซักที
   


   ….....กายขับรถอย่างเร่งร้อนเพื่อมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย จุดหมายที่เขาไม่ได้พบมานานแสนนานแล้ว เขาจะไม่ยอมปล่อยให้มันหลุดมือไปอีกแล้ว...........


   ในค่ำคืนอันเงียบสงบบนคอนโดหรูกลางกรุง กายยืนมองดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า เขาไม่เคยจ้องมองอะไรอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว เขามองมันเพียงแค่เพราะอยากให้เวลารอบตัวหยุดหมุนไปพักนึง ก่อนที่จะตื่นขึ้นจากภวังค์ เสียงโทรศัพท์จาก Skype ก็ดังขึ้น เขาเดินกลับมากดรับมัน
   “ฮัลโหลกาย" เสียงของเจนดังขึ้นจากปลายสาย
   “ว่าไงเจน" กายพูดเสียงแผ่วเบา "ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ"
   “ค่ะ วันนี้เจนว่าง บ่ายๆแบบนี้ก็เลยนึกถึงกายขึ้นมาน่ะ" เจนพูดเสียงแช่มชื่น "ที่นั่นคงดึกมากแล้วสินะ กายยังไม่นอนอีกเหรอ"
   “ไม่อ่ะคือ.......” กายตอบ "ผมมีธุระตอนตีสี่"
   “ตีสี่เลยเหรอ" เจนถาม "มันจะไม่เช้าไปหน่อยเหรอคะ ขอเค้าเลื่อนเป็นสายๆไม่ได้เหรอ"
   “ไม่ได้หรอก" กายว่า "ไม่งั้นผมสายไปแน่"
   เงียบกันไปพักนึง เจนรู้สึกถึงน้ำเสียงที่แปลกประหลาดออกไป
   “เรื่องคุณนัทหรือเปล่า" เจนถามขึ้น แต่ก็ได้รับเพียงความเงียบกลับมา "ตายล่ะ สงสัยคุณสาจะพลิกแผนเจนซะแล้ว"
   “อะไรนะ" กายถามขึ้น
   “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ" เจนว่า "ขอเจนเดาได้ไหม เจนว่าข่าวลือที่กำหนดการเตรียมงานของซูเม่ฝรั่งเศสของแฟชั่นวีคปีหน้าเลื่อนขึ้นจนเจนต้องบินไปรั่งเศสเย็นนี้เนี่ย เกี่ยวกับคุณนัท"
   “คุณรู้เหรอ" กายถาม
   “รู้สิ" เจนว่า "เจนได้ยินข่าวมาพักใหญ่ๆแล้ว แล้วเจนก็อนุมัติให้คุณนัทมาทำงานแทนคุณมิกเองล่ะ"
   “เป็นคุณเองหรอกเหรอ" กายว่าเสียงเข้ม "คุณรู้หรือเปล่าคุณทำอะไรลงไปน่ะเจน"
   “ไม่รู้หรอกค่ะ" เจนตอบ "เจนก็แค่ดุ่ยๆทำไปตามสัญชาตญาณ ทำไมเหรอ มันสำคัญกับกายด้วยเหรอ"
   กายนิ่งสนิท
   “มันคือทั้งชีวิตของผมที่เหลืออยู่เลยล่ะ" กายพูดเสียงเบา "ทำไมคุณต้องทำอะไรงี่เง่าแบบนี้ด้วยนะ"
   กายใช้น้ำเสียงที่เย็นเชียบว่าเจนไป เจนจิรานิ่งไปซักพัก
   “ผมชักไม่แน่ใจแล้ว ว่าคุณคิดจะช่วยผมจริงๆหรือเปล่า หรือคุณแค่ต้องการเอาคืนผมกันแน่ เรื่องที่เราเลิกกัน" กายว่า "คุณทำอยู่กันแน่"
   “เจนไม่ได้ทำอะไรซักหน่อย" เจนว่า "กายคิดมากไปเองหรือเปล่า"
   “ผมไม่รู้หรอก" กายตอบ "ผมก็แค่คิดๆไปตามสัญชาตญาณ"
   “หึ" เจนหัวเราะขึ้นมาเบาๆ "เจนบอกแล้ว ว่าคุณนัทเหมือนเจนมาก คุณเองก็น่าจะเห็น"
   กายมองเข้าไปในรูปโปรไฟล์ของเจนอยู่อย่างนั้น
   “มาถึงตอนนี้แล้ว งั้นเจนก็คงไม่มีอะไรต้องปิดบังแล้วล่ะ" เจนพูดตอบ "ที่เจนบอกว่าจะช่วยคุณน่ะ เจนไม่ได้จะช่วยให้คุณสมหวังกับคุณนัทซะหน่อย....เจนโกหก"
   “แล้วคุณต้องการอะไร" กายถาม
   “เจนต้องการคุณไง" เจนว่า "เจนต้องการคุณในแบบนักเรียนนอกที่เต็มไปด้วยความฝัน ฝันว่าจะมีชีวิตที่มั่นคง กับความรักที่มั่นคง ที่เจนรู้ว่ามันหายไปจากตัวคุณ นับตั้งแต่วันที่เราเลิกกัน"
   

   …...กายเหยียบความเร็วของรถอย่างไม่รีรอ ชายหนุ่มกำหมัดแน่นไปกับพวงมาลัย.......


   “เรื่องราวทั้งหมด เจนก็แค่ต้องการคุณคนเดิมกลับมา" เจนว่า "เจนเกลียดสายตาที่เจ้าชู้ของคุณแบบนั้น เจนเกลียดข่าวเรื่องผู้หญิงพวกนั้น เจนเกลียดฉายาพวกนั้นของคุณที่เมืองไทย เจนไม่อยากได้ยิน"
   “แล้วทำไมคุณไม่บอกผม" กายว่าเสียงเข้ม
   “คุณไม่ทำหรอก" เจนว่า "เจนไม่ได้พึ่งรู้จักคุณนะกาย คุณไม่มีทางทำ คุณน่ะเห็นแก่ตัวจะตาย คุณคิดจะมีความรักโดยไม่ให้ตัวเเองต้องเจ็บเลยต่างหาก แต่กลับเป็นเจนที่ต้องเจ็บอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ"
   “นี่คุณเอาคืนผมงั้นเหรอ"
   “ใช่ เจนเอาคืนคุณ" เจนว่า "คุณนัทกำลังทำกับคุณ เหมือนที่คุณเคยทำกับเจน"
   “ทำไมกัน" กายว่า "ผมเลวขนาดนั้นเลยเหรอ"
   “คุณไม่ได้เลว แต่คุณร้ายกาจ" เจนว่า "คุณมันเป็นพ่อมดของวงการนี้นะ คุณ...คุณมันมีแต่คำสาป...ชีวิตของคุณ คนรอบๆตัวคุณถึงไม่มีใครจริงใจกับคุณไงล่ะ"


   …..กายหลับตาลงด้วยความเจ็บปวด เหมือนกับว่าเวลาของเขาใกล้หมดลงทุกทีแล้ว......



   “เจนจำแววตาที่คุณมองเจนได้ มันไม่ต่างอะไรกับที่คุณมองคุณนัทหรอก" เจนว่า "เจนใช้คุณนัทเป็นเครื่องมือในการเอาคืนคุณ คุณนัทมีพลังที่เจนไม่สามารถเอาชนะได้เลย คุณเอาเวทย์มนต์ของคุณทำให้คุณนัทหลงใหลตัวคุณจนงี่เง่า ถอนตัวเองไม่ขึ้น แต่เจนไม่อยากให้คุณนัทเป็นแบบนั้น เป็นเหยื่อในทฤษฎีของคุณ มันไม่มีหรอกกาย ความรักจะยังคงอยู่ แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันน่ะ ไม่มีใครทำได้หรอก
   เจนรู้ว่าวันนึงคุณนัทจะต้องเข้มแข็งขึ้น เพราะยังไงก็ตามคุณนัทจะมีเพื่อนที่รักเขา และไม่ยอมให้คุณนัทต้องอยู่ในสภาพต้องคำสาปของคุณไปตลอดแน่ ยังไงจะต้องมีวันที่คุณนัทลุกขึ้นมาเป็นเหมือนเจน แล้วเดินไปข้างหน้า เดินไปในทางที่คุณไม่มีวันไปเจอเขาได้อีก"
   “คุณไม่มีทางทำสำเร็จหรอก" กายว่า "มันก็เหมือนกับคุณ ที่วันนึงทางของเขาก็จะวกกลับมาหาผม"
   “คิดงั้นเหรอคะ" เจนว่า "แต่เจนว่าไม่นะ"
   กายกำหมัดแน่น
   “เจนบอกแล้วว่าคุณนัทมีพลังที่เจนไม่สามารถเทียบได้เลย" เจนว่า "คุณนัทเขาจะไป ไปไกลกว่าดีไซน์เนอร์คนไหนๆ ไปไกลกว่าคุณ และเขาก็จะไม่มีวันวกตัวเองกลับมาหาคุณอีกแน่นอน"
   “คุณทำแบบนี้ไปทำไม" กายว่า "ใช้นัทเป็นเครื่องมือมันสกปรกมากนะเจน ทำไมคุณไม่ลงกับผมตรงๆ"
   “เจนลงกับคุณตรงๆค่ะกาย" เจนว่า "คุณก็กำลังเจ็บอยู่นี่ไง และที่สำคัญก็คือ ดูเหมือนว่าคุณนัทก็พร้อมจะเป็นเครื่องมือของเจนเสียเองด้วย เจนฟังจากโทรศัพท์ที่เราคุยกันเรื่องเลื่อนกำหนดการของงานคุณมิก ดูเหมือนว่าคุณนัทจะไม่มีอาการลังเลเลยซักนิดกับการเดินทางมาที่นี่"
   “คุณใจร้ายมากเจน" กายว่า
   “คุณต่างหากที่ใจร้าย" เจนว่า "หลังจากเจน ก่อนจะเป็นคุณนัท มีผู้หญิงกี่คนแล้ว ที่คุณทิ้งไว้ข้างหลัง ในขณะที่คุณได้ท่องเที่ยวไปในโลกแสงสีของคุณ เพราะอย่างนี้ไงล่ะคะ ถึงไม่มีใครรอคุณ เจนเคยบอกแล้วว่าทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่มีใครยอมทิ้งความฝันเอาไว้ เพื่อมานั่งรอคุณหรอก"
   “ถ้าผมเจอคุณอีก" กายกัดฟัน "คุณจะโดนไม่ใช่น้อยเลยเจน"
   “ก่อนจะถึงเวลานั้น เจนว่ากายน่าจะเจ็บกว่านะ" เจนว่า "กายคงต้องอยู่คนเดียวแล้วล่ะ"
   กายหลับตาลง
   “ผมไม่อยู่คนเดียวหรอก" กายลุกขึ้นจากหน้าคอม "คุณไม่รู้จักนัทดีพอเหมือนที่ผมรู้จัก"
   เจนเงียบเสียงลง





   …..........กายกดโทรศัพท์หานัทเป็นครั้งที่ยี่สิบแล้ว แต่ก็ไร้แม้แต่เสียงตอบรับ นั่นทำให้เขายิ่งเร่งความเร็วของรถเข้าไปอีก.............



   “นัทน่ะ เขาไม่มีอะไรเหมือนคุณ" กายว่า "ถึงเขาจะเป็นคนที่กล้าพอที่จะทิ้งทุกอย่างเพื่อไปหาสิ่งที่ดีกว่าเหมือนคุณ แต่เขาเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นอยู่ในตัวเองเสมอ นัทน่ะ ไม่ได้รักตัวเองมากเหมือนกับคุณ แต่นัทเค้าพร้อมเสมอที่จะมอบความรักให้กับคนอื่น กับเพื่อนรักของเขา กับคนที่เขารัก เขาจะกลับมาหาผมในที่สุด"
   “งั้นก็พิสูจน์กันค่ะ" เจนว่า "กายกล้าเสี่ยงไหมล่ะ กายกล้าลงพนันกับเจนหรือเปล่า"
   กายหายใจเข้าลึก
   “งั้นก็หมายความว่าธุระของกายตอนตีสี่ก็ไม่จำเป็นแล้วใช่ไหมคะ" เจนว่า "เพราะยังไงคุณนัทก็คงเห็นกายสำคัญที่สุดใช่ไหมคะ"
   “คุณนี่มันแม่มดชัดๆ" กายร้อง
   “เจนเป็นแฟนเก่าคุณนะกาย" เจนร้อง "แฟนเก่าของพ่อมดเชียวนะคะ"
   “ผมจะตามล่าคุณแทบพลิกแผ่นดินทีเดียว" กายร้องพลางวิ่งไปหยิบกุญแจรถของตัวเองและออกจากคอนโดอย่างเร่งรีบ



   ….......บนท้องถนนที่เวิ้งว้างยามคำ่คืน กายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาควรไปที่ไหนก่อน ในหัวที่เคยนิ่งเฉยกับสถานการณ์กดดัน ตอนนี้ปั่นป่วนไปด้วยความคิดที่วิ่งไปวิ่งมานับพัน
   เขากำลังวิ่งตามไป......
   ตามบางอย่างที่รู้ดีว่าอาจจะไม่กลับมา.....
   เขาต้องขอร้องคนอื่นแล้วในที่สุด....
   กายกัดฟันจนน้ำตาไหลอาบหน้า....
   ถ้านัทไม่ใช่คนที่เขารักมากมายขนาดนี้....
   เขาจะยอมแพ้เจนแน่นอน.........



   เจนจิรากดวางหูไปทันที พลางหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหมุนเก้าอี้กลับมาประจันหน้ากับอีกร่างนึงที่ยืนอยู่ข้างหลัง
   “พอใจหรือยังล่ะ" เจนจิราพูดขึ้น
   “เธอน่าจะสบายใจนะ" เจ้าของร่างที่ยืนอยู่ข้างหลังเจนพูดขึ้น "อย่างน้อยๆ ก็เป็นการระบายสิ่งที่คับอกคับใจเธอมานานออกไป"
   “มันไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ ฉันรู้จักกายดี เขาไม่มีทางขอร้องใครแน่” เจนร้องถามขึ้น "ฉันไม่ชอบวิธีที่ต้องมานั่งอธิบายความจริงแบบนี้ให้คนอื่นรู้ด้วย มันง่ายเกินไป"
   “แล้วทำไมเธอต้องทำอะไรให้มันยากด้วยล่ะ" หญิงสาวว่า "การจริงใจกับตัวเองน่ะ มันไม่ใช่สิ่งผิดหรอกนะ ดีซะอีก ที่เรารู้ว่าตัวเราเองเป็นยังไงน่ะ"
   “คุณคิดว่าคนอื่นเขาจะโง่ขนาดไม่รู้ว่ตัวเองต้องการอะไรเชียวเหรอคะ.....” เจนตอบ "….คุณสา"
   หญิงสาวที่ยืนเท้าเอวมองหน้าเจนอย่างมีชัย
   “มีสิ....เพื่อนเราทั้งคู่ไง" สาตอบ "ในเวลาที่ตองตัดสินใจในเรื่องแบบนี้นั่นแหละท้าทายที่สุด"
   “งี่เง่าเป็นบ้าเลย" เจนว่า "อะไรกันน่ะ จัดการกันเองแค่นี้ก็ไม่ได้ ต้องให้เจนมานั่งสาธยาย ไร้สาระ"
   “มันเรื่องที่เธอสร้างขึ้นมาเองนะยะ" สาว่าพลางกอดอก
   “มันก็แผนคุณเหมือนกันแหละน่า" เจนจิราลุกขึ้น "ฉันไม่น่ามาเบอร์ลินเลยให้ตายสิ"
   “เธอหนีฉันไม่พ้นหรอก" สาว่า "ยังไงฉันก็จะตามล่าเธอจนพลิกแผ่นดินอยู่ดี"
   “เยี่ยม ทีนี้ก็มีแต่คนตามล่าฉัน" เจนว่าพลางหยิบกระเป๋าของตัวเอง "ฉันเป็นใครเนี่ย อาชญากรหรือไง ฉันก็แค่ อยากจะทำให้แฟนเก่าสุดอีโก้ รู้จักกับการหยุดอยู่กับที่ซะทีน่ะเหอะ"
   “มันก็ไม่ต่างกันหรอก" สาว่า "ที่เราสองคนทำ ก็เพราะอยากให้คนอื่นเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจไม่ใช่เหรอยะ"
   “แต่ชีวิตคนเราต้องรู้จักเรียนรู้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมานั่งสอนเราหรอกนะ" เจนว่า "ถ้าเรามัวแต่บอกแบบนี้ ใครจะเรียนรู้เองได้ล่ะ"
   “เธอจากมาเร็วไปหน่อย" สาว่า "สำหรับฉัน เพื่อนเราทั้งคู่เรียนรู้กันมาพอแล้วล่ะ
   เจนเบินหน้าหนี
   “ทันต้องจบลงซักที" สาว่า เจนจิราหันมายิ้มเยาะ
   “จบเหรอคะ" เจนว่า "ไม่มีจบหรอกค่ะคุณสา.....มันแค่เริ่มต้นเท่านั้นเอง"
   สามองเจนอย่างครุ่งคิด การเดินทางมาต่อสู้ครั้งสุดท้ายนี้ เธอกำลังจะแพ้เหมือกันหรือนี่
….........................
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 41 จบตอน) - 28/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: kuichai ที่ 28-12-2011 21:28:33
ยิ่งอ่านยิ่งติด

กะลังนั่งคิดนอนคิด ตอนจบจะแฮปปี้มั้ยน้า  :m31:

รอค่ะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 42 จบตอน) - 28/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 28-12-2011 21:41:27
ตอนที่ 42 4 a.m.


   งานปาร์ตี้สังสรรค์เล็กๆที่พี่สุเมธจัดให้เป็นการส่งลานัทในค่ำคืนก่อนเดินทางนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย คนในสตูดิโอที่ออฟฟิศสาทรเพียงไม่กี่ชีวิต อยู่เพื่อส่งท้ายการทำงานของนัทอย่างอบอุ่น แม้ว่านัทเองจะไม่ได้มีอาการแช่มชื่นอย่างที่ควรจะเป็นมากนัก แต่ความรู้สึกี่อยากจะเปลี่ยนแปลง ก็ทำให้หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เมื่อเวลาในการอยู่ที่นี่ของเขากำลังนับถอยหลังลงไปทุกที
   ชายหนุ่มปลีกตัวออกมาจากงานเลี้ยงออกมาอย่างหน้าต่างของออฟฟิศ ที่ที่เขามองเห็นถนนอันวุ่นวายของกรุงเทพยามค่ำคืน ในย่านเศรษฐกิจที่ผูกพันชีวิตของเขามานาน
   “ว่าไง ใจหายใช่หรือเปล่า" เสียงของพี่สุเมธปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์ นัทหันมามองทันที
   นัทหัวเราะน้อยๆ
   “จะว่างั้นก็ได้มั้งพี่" นัทว่า "ผมแค่ตกใจที่......ผมเคยคิดว่าแถวนี้เป็นที่ย่านที่ผมคิดว่าคงเป็นจุดสูงสุดแล้วในหน้าที่การงานแต่ว่า มันมีบางอย่างที่ใหญ่กว่าเยอะเลย"
   “ชีวิตมันก็คือการเปลี่ยนแปลงนั่นแหละ" พี่สุเมธว่า "ก้าวไปข้างหน้าคือสิ่งที่มีเพียงคนที่พร้อมเท่านั้น จะทำได้"
   “ครับ" นัทรับคำ พลางมองออกไป
   “แล้ว เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมแล้วหรือยัง" พี่สุเมธถามต่อ
   “อ๋อ เรียบร้อยแล้วพี่" นัทตอบ "ของส่วนตัวอยู่ในรถพี่ต้อมแล้วครับ เดี๋ยวผมอาจจะงีบซักพัก แล้วตีสองครึ่งก็ไปสุวรรณภูมิเลย"
   “พี่หมายถึง เตรียมตัวก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้น่ะ" พี่สุเมธถามย้ำ นัทหันมามองหน้าเขาอย่างตกตะลึง


   “การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่การสูญเสียนะนัท คิดดูดีดี"
   “ถ้าแกได้เตรียมทุกอย่างเอาไว้พร้อมแล้ว"



   นัทก้มหน้าลงอย่าครุ่นคิด ใบหน้าของสา มิก และกายแว้บเข้ามาในหัว
   “มันสำคัญมากนะนัท" พี่สุเมธพูดต่อ "คนที่สำคัญกับเราน่ะ คือสิ่งที่จะอยู่ในใจของเราต่อไป ตลอดการเดินทางนี้ เราน่ะ จะจากที่นี่ไปเพียงลำพังไม่ได้หรอก"
   “เหรอครับพี่สุเมธ" นัทถามต่อ
   “มันจริงอยู่ที่การเปลี่ยนแปลงของชีวิตน่ะ มันคือทางที่เราเลือกแล้ว และแม้ว่าอีกทางหนึ่งที่เราไม่ได้เลือกจะไม่จำเป็นต้องไปคิดมัน" พี่สุเมธพูด "แต่ชีวิตของคนเราส่วนใหญ่ มักจะมานั่งเสียดายและคิดทบทวนว่า ถ้าเราเลือกอีกเส้นทางนึง มันจะเป็นอย่างไรกัน"
   “มันไม่ถูกต้องนี่ครับ" นัทว่า
   “ใช่ๆ มันงี่เง่ามากแต่ว่า นั่นมันก็คือมนุษย์นี่" พี่สุเมธว่า "มนุษย์ทุกคนมีเรื่องที่ตัวเองต้องงี่เง่า ลูกค้าทุกคนที่พี่เจอ ก็งี่เง่าใส่พี่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไป เราแค่ต้องหาวิธีรับมือน่ะ"
   “วิธีรับมือของผมก็คือ ลืมเรื่องงี่เง่านั้นซะแล้วก็เริ่มต้นใหม่ครับพี่เมธ" นัทว่าเสียงแข็ง
   “อืม อันนี้พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน" พี่เมธตอบ "เรื่องรับมือกับลูกค้าแล้วโน้มน้าวจิตใจน่ะ มีแต่กายสิทธิ์เท่านั้นแหละ ที่เป็นตัวพ่อน่ะ"
   นัทเงียบไปทันที กายสิทธิ์ พ่อมดแห่งวงการนี้
   “เอ่อ แล้วก่อนไปนี่ ได้บอกเจ้ากายไว้หรือยัง" พี่สุเมธถามขึ้น "เขาน่ะ เป็นตัวทำให้เราเปลี่ยนตัวเองมาถึงจุดๆนี้ได้เชียวนะ น่าจะไปขอบคุณเขาซักหน่อยไม่ใช่เหรอ"
   นัทเงยหน้าขึ้นทันที
   “คนสำคัญของชีวิตเหรอครับ" นัทว่าพลางนึกอะไรบางอย่างออก พลางหันหน้ามาประจันหน้ากับพี่สุเมธ "งั้น ผมขอตัวได้หรือเปล่าครับ"
   “ได้สิ แต่เราต้องไปตอนตีสี่ไม่ใช่เหรอ" พี่สุเมธกล่าว
   “ครับ" นัทว่า "แค่ตีสี่เท่านั้น"
   นัทว่าพลางออกเดินจากจุดๆนั้นทันที
   เหมือนกับว่านัทเพิ่งจะตื่นขึ้นจากอะไรบางอย่าง ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน เกราะที่ห่อหุ้มตัวเองเอาไว้เริ่มเปราะลงทีละน้อย พลังแห่งการเวลา เหมือนกับจะปลุกให้เวทย์มนต์ประหลาดของกาย ทำร้ายร่างกายของเขาได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว เขาต้องการเจอคนคนนั้นเดี๋ยวนี้ คนที่เข้าใจเขามากที่สุดกับเรื่องทั้งหมดนี้ อย่างน้อยก็ในเวลานี้ คนที่เขาไม่อยากจากไปด้วยความรู้สึกแย่ๆ คนที่รักเขาหมดใจ.....
   …..มิก
…................
   มิกนั่งเหม่อมองรูปของตัวเองและเอิร์ธอยู่ริมน้ำยามค่ำคืนอย่างนิ่งสงบ สายน้ำที่เอ่อนองยามค่ำคืนนี้ เป็นเครื่องหมายของความเหงา มิกนั่งจมอยู่กับระเบียงริมน้ำที่มีความหมายต่อเขาและใครบางคนมากมาย  เขาหนาวสะท้านจนต้องกอดตัวเองไว้แน่น เขาอยากให้เวลาของตัวเองและคนที่มีความหมายต่อเขาเดินไปช้า ด้วยความหวังลมๆแล้งๆ ว่าจะมีวันคืนดีดีที่หวนกลับมา แม้ว่าแสงนั้นจะริบหรี่อยู่ที่ปลายทางจนมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว
   เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ขณะที่สามารถดึงสติที่ล่องลอยไปไกลกลับมาได้อีกครั้ง เขาค่อยๆลุกพาร่างกายที่สวมเพียงกางเกงนอนเท่านั้น ไปเปิดประตูหน้าบ้าน
   ภาพตรงหน้าคือเพื่อนรักที่กำลังยืนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น มิกมองนัทและกองข้าวของที่วางอยู่รอบตัวอีกครั้ง ไม่รู้เพราะอะไร เขารู้สึกเหมือนกับว่า เขาได้เพื่อนรักกลับมาอยู่ตรงหน้าแล้ว
   “แกรู้หรือเปล่า ฉันน่ะ ไม่เคยพูดอะไร แล้วทำได้เลยซักอย่าง" นัทว่า มิกมองหน้าเพื่อนรักช้าๆ "ฉันเคยบอกว่า ฉันจะไม่ยอมทำชมรมโดยที่ไม่มีเงินจากสโม แต่ฉันก็ไปโวยจนได้มาหลายพัน"
   มิกก้มหน้าลง เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกบางอย่างแล้ว
   “ฉันเคยบอกว่า ฉันจะไม่ยืนอยู่บนจุดที่คนอื่นๆชื่นชม เพราะฉันไม่ชอบ แต่สุดท้าย ฉันก็มายืนตรงจุดนี้จนได้" นัทพูดเสียงสั่น มิกเม้มปากน้อยๆ พลางกำหมัดแน่น
   “ฉันเคยบอกกับแกว่า ฉันไม่มีทางจะหลงเสน่ห์กาย จนลืมเพื่อนเด็ดขาด หรือแม้แต่บอกว่า ฉันจะอยู่คนเดียวให้ได้ แม้ว่าพวกเราสามคนจะต่างคนต่างไปแล้ว แต่......ฉันก็ไม่เคยทำได้ซักที" นัทว่าพลางทรุดตัวลงนั่งกับพื้น
   “ฉันพูดว่า ฉันจะไป โดยไม่ร่ำลาเขา" นัทว่า "ฉันจะไปให้ไกล ไกลจนถึงเขาต้องทำทุกๆอย่างเพื่อที่จะตามหาฉันแต่......พอจะถึงเวลานั้นจริงๆ.......อีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง แค่ข้ามคืนนี้ไป.......แค่ตีสี่เท่านั้น......ฉันก็ทำไม่ได้อ่ะ"
   นัทแผดเสียงขึ้น น้ำตาไหลอาบหน้าเบาๆ
   “ฉันมันไม่เคยทำอะไรตามที่พูดไว้ได้เลยซักอย่างว่ะมิก" นัทแผดเสียง "ฉันไม่เคยทำได้เลยเว่ย"
   “น...นัท" มิกร้อง
   “กูไม่อยากไปแล้วว่ะ" นัทร้อง "กูไม่ไปแล้วได้ป่าวว่ะ.........กู......กูลืมเขาไม่ได้ว่ะมิก"
   มิกหลับตาพลางส่ายหน้า พลางเดินเข้าไปจับไหล่นัทเอาไว้
   “กูมันแย่ที่สุดแล้ว" นัทร้อง "ขนาดเพื่อนที่รัก ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ คนที่รักยังรักษาเอาไว้ไม่ได้ กูมัน.....”
   “แกก็คือแกไง" มิกพูดเบาๆ "ฉันรักแกเป็นแบบนี้นั่นแหละ"
   นัทเงยหน้าขึ้นมองมิกทั้งน้ำตา
   “และฉันก็เชื่อว่า เขาก็รักที่แกเป็นแบบนี้นั่นแหละ" มิกว่า นัทโผเข้ากอดมิกทันที กอดกันอยู่อย่างนั้นจนเวลาอันแสนเจ็บปวดผ่านพ้นไป
…......

   ….....กายยืนอยู่เพียงลำพังที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เขาไปหานัทที่บ้านแล้ว แต่ก็พบเพียงบ้านอันว่างเปล่า เขาไม่รุ้เลยว่าตอนี้นัทเดินทางไปแล้วหรือยัง นัทไปอยู่ที่ไหน หัวใจของกายโหวงเหวงอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเวลาแห่งอดีตกำลังซ้ำรอบสองอีกแล้ว เขาก้มหน้าลงกับตัวเอง
   หรือว่าการเดินทางของเขาก็จะต้องมาสิ้นสุดอยู่ที่ตรงนี้กันนะ
   หางตาของพ่อมดหนุ่มเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งวาดรูปอยู่เพียงลำพังอยู่ที่สวนสาธารณะริมน้ำที่อยู่ถัดรถของเขาไปอีกไม่ไกลนัก เหมือนรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาเดินเข้าไปหาเธอคนนั้น เหมือนกับพลังอำนาจบางอย่างของภาพที่เธอกำลังวาดอยู่ ทำให้เขาต้องมนต์สะกด
   หญิงสาวในชุดลำลองผมยาวสยายกำลังหันหลังให้เขา นั่งอยู่ตรงหน้าแผ่นแคนวาสแนวนอนผืนใหญ่ รอบกายรายล้อมไปด้วยสีน้ำมันมากมายที่เธอกำลังบรรจงตกแต่งลงไปบนนั้น แสงสีที่วุ่นวายและดูเศร้าหมองแบบนั้น
   นี่มัน.....
   “Loveless Society” เสียงของเธอพูดขึ้น กายมองแผ่นหลังของเธอ "ภาพนี้มีชื่อเสียงมากค่ะ แต่ว่าฟ้าอยากจะลองวาดมันใหม่ด้วยสไตล์ของฟ้าเอง คุณกายคิดว่ายังไงคะ"
   เธอหันหลังมาหากายทันที
   “เรารู้จักกันด้วยเหรอคครับ" กายพูดขึ้น ขณะพยายามปั้นหน้าให้กลับสู่สภาวะปกติ ขณะที่เธอกำลังลุกขึ้น แล้วจับมือทักทายกับเขา
   “ใครๆก็รู้จักคุณค่ะ" ฟ้าตอบ "พ่อมดแห่งวงการกับรถสปอร์ตคันหรูนั่น"
   เธอพยักเพยิดไปยังรถที่จอดอยู่ถัดออกไป กายยิ้มให้เธอเบาๆ
   “ขับมาเร็วขนาดนั้น ไม่ตกแม่น้ำไปก็ดีแล้วนะคะ" ฟ้าว่า กายก้หน้าลงทันที "ฉันชื่อฟ้าค่ะ เป็นอาร์ททิสอยู่ที่ Art & Virtual แล้วก็ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของผลงานคุณค่ะ"
   “สวัสดีครับ แล้วก็ขอโทษด้วยที่เอ่อ....รบกวนคุณด้วยเสียงรถผมนั่น" กายว่า
   “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ" ฟ้าว่า "มันเป็นอดีตไปแล้ว"
   “แต่ดูคุณจะไม่มีสมาธิวาดรูปเอาซะแล้ว" กายว่าพลางอมยิ้ม
   “อ๋อ" ฟ้าว่าพลางมองไปยังงานของตัวเอง "อดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แก้ใขใหม่เอาก็ได้"
   เธอพูดพลางหันมายิ้ม กายอึ้งเล็กน้อยกับภาษาอุปมาอุปไมยของเธอ
   “คุณมาทำอะไรเนี่ยคะ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว" ฟ้าถามขึ้น
   “ผมเหรอ" กายทวนคำ พลางมองไปยังรูปของเธอ "นั่นน่ะสิ ดึกป่านนี้แล้ว ผมน่าจะหยุดอยู่กับบ้านได้แล้ว"
   ฟ้ายิ้มกว้าง
   “คุณดูเศร้าจังเวลามองภาพฉันนี่" ฟ้าว่า "คุณรู้เหรอคะ ว่ามันหมายความว่ายังไง"
   กายมองหน้าเธอ
   “รู้ครับ ผมเอ่อ.....เป็นแฟนของเจ้าของผลงานนี่เหมือนกัน" กายว่า
   “จริงเหรอคะ" ฟ้าว่า "คุณติดตามผลงานของเขามาตลอดเลยเหรอคะ"
   “ตลอดเลยครับ" กายตอบ
   “ไม่น่าเชื่อนะคะ ว่าระดับคุณนี่ จะมีศิลปินที่คุณชื่นชมด้วย" ฟ้าว่า "อย่างฟ้าเองที่ไม่ได้ทำงานสายเดียวกับคุณ ยังชื่นชมคุณเลยค่ะ ดูคุณไม่น่าจะเข้าใจงานสายนี้เท่าไหร่"
   “ผมเข้าใจครับ อันที่จริง ผมเข้าใจค่อนข้างดีทีเดียว" กายว่า
   “งั้นเหรอคะ" ฟ้าว่า "ดีใจจังเลยอ่ะ ที่คุณก็เสพย์งานแบบนี้เหมือนกัน ในฐานะแฟนตัวยงของคุณ ฉันอยากจะบอกว่าฉันชื่นชมผลงาน CSR ที่คุณกับคุณไชยรัตน์ร่วมกันใช้งานโฆษณาพัฒนาหมู่บ้านที่ฝั่งลาวมากๆค่ะ มันเอ่อ.....ประทับใจมากแบบว่า....มันเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉันในหลายปีมานี่"
   “ขนาดนั้นเลยเหรอครับ" กายว่า "ไม่นึกว่าคุณจะทราบ.....”
   “ก็อย่างที่บอก ใครๆก็รู้จักคุณ และสำหรับฉัน ที่ชื่นชอบคุณเป็นการส่วนตัว ก็......ดีใจค่ะ ที่ได้พบคุณแบบนี้" ฟ้าตอบ
   “แต่ผมมาทำลายสมาธิคุณเนี่ยนะ" กายว่า
   “นั่นสินะคะ" ฟ้าว่า "บางทีถ้าเป็นคนที่เราชอบมากๆ ต่อให้เขาทำเรื่องไม่ดี เราก็พร้อมจะให้อภัยเขาเสมอ จริงไหมคะ"
   กายมองหน้าเธอทันที
   “คุณมีเรื่องไม่สบายใจหรือเปล่า" ฟ้าถามขึ้น จากสีหน้าของกายที่ซีดเผือด
   “ผมเอ่อ.....” กายก้มหน้าลง "อยากจะมีโอกาส บอกความรู้สึกส่วนตัวให้กับคนที่ผมชื่นชอบบ้างจังน่ะ"
   “ระดับคุณแล้วน่ะ น่าจะมีโอกาสเจอเขาบ่อยออกนะคะ" ฟ้าว่า
   “แต่ผมไม่เคย บอกเขาเลย ว่าผมติดตามเขามาตลอดน่ะ" กายว่า
   “ถ้าคุณมีโอกาส คุณก็น่าจะบอกนะคะ" ฟ้าว่า "บางทีคำชื่นชมเล็กๆของแฟนๆอย่างเรา อาจจะสร้างแรงบันดาลใจที่ยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นกับเขาก็ได้ค่ะ"
   กายมองหน้าเธออีกครั้ง
   ทำไมกันนะ เหมือนกับว่า ผู้หญิงคนนี้
   ก็กำลังสร้างแรงบันดาลใจให้กับเขาเหมือนกัน
   “ค...คุณคิดอย่างนั้นเหรอครับ" กายถามต่อ
   “ค่ะ.....ไม่รู้ว่าคุณจะเชื่อหรือเปล่านะ แต่...ฟ้ารู้จักกับเจ้าของ Loveless Society นี้ค่ะ" เธอว่า "ไอดอลของคุณน่ะ เป็นคนที่อบอุ่นมาก แล้วก็ ทุกๆครั้งที่ฟ้ามีปัญหา เมื่อฟ้าคุยกับเขา เขาก็พร้อมที่จะรับฟังค่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่แอบงี่เง่าไปซักนิด แต่เขาเป็นคนน่ารักมากค่ะ"
   “คุณรู้จักเขาด้วยเหรอครับ" กายถาม
   “ใช่ค่ะ....เขาเป็นเพื่อนของเพื่อนฟ้าเอง" เธอตอบ
   “ทำยังไงผมถึงจะได้เจอกับเขาบ้างนะ" กายถาม
   “อืม เอาไว้วันหลัง เดี๋ยวฟ้าจะนัดเจอให้ไหมคะ" เธอกล่าว
   “แล้วถ้า...ผมอยากจะเจอเขา ก่อนตีสี่คืนี้ล่ะครับ" กายถามกลับ หญิงสาวมองเข้ามาในตาของกายทันที
   “ดูคุณจะเป็นแฟนตัวยงของเขาจริงๆใช่ไหมคะเนี่ย" ฟ้าถามเสียงเข้ม
   เงียบกันไปพักนึง กายมองหน้าเธอพลางนึกคำพูดที่เหมาะสม
   “เขาคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมจะยอมแลกทุกอย่างที่ผมมีตอนนี้" กายพูด "เพื่อไม่ให้เสียเขาไปอีกครับ"
   ฟ้าเงยหน้าน้อยๆพลางอมยิ้มที่มุมปาก
   “ถ้าอย่างนั้น คุณคงต้องถามหัวใจคุณดูแล้วล่ะ ว่าคุณจะเจอเขาได้ที่ไหน" ฟ้าตอบ "ถ้าคุณติดตามผลงานเขาจริงๆ คุณก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร เป็นคนยังไง เคยทำอะไร แล้วก็จะทำอะไรต่อไปค่ะ"
   “งั้นเหรอครับ" กายก้มหน้าลงอย่างครุ่งคิด
   คิดอะไร เป็นคนยังไง




   “คุณรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร"
   “ผมไม่คิดว่าผมกับคุณจะเข้ากันได้"
   “ผมไม่ชอบให้ใครมาตัดสินงานของผมนอกจากลูกค้า....และในกรณีนี้คือบอส"
   “คุณมีอะไรไม่พอใจหรือเปล่า...เอ่อ.....เกี่ยวกับงานน่ะ"
   “นี่แหละตัวผม....คุณก็ต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ"
   

   “คุณไม่เคยพูดว่าอะไรจะดีขึ้นนะกาย.....ผมจะไป....ตามที่ผมได้เลือกแล้ว"


   “ผมรู้แล้วล่ะ" กายพูดพลางหันหลังออกเดินไปทันที ฟ้ายิ้มกว้าง
   “อย่าลืมนะคะคุณกาย" ฟ้าตะโกนไล่หลังมา "ถ้าคุณเจอเขาแล้ว คุณต้องบอกความรู้สึกของตัวเอง ให้เขารู้นะ เล่าเรื่องของคุณที่ติดตามเขา ฟ้าเชื่อว่าทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ"
   “ขอบคุณมากนะครับ" กายพูดกับเธอ "แล้วผมเอ่อ....จะพาคุณไปทานข้าว...แล้วเอ่อ.......ฟังเพลง...แบบว่า....ขอบคุณครับ"
   เธอมองไอด้อลของเธอขับรถคันหรูจากไป ก่อนจะหันกลับมามองภาพวาดของเธอ คำพูดของนัทแว้บเข้ามาในหัว
   
   “บางทีฉันก็ยังสงสัยเหมือนกัน ตอนวาดภาพนี้น่ะฟ้า เพราะถึงมันจะดูเศร้า แต่หลายๆคนก็บอกว่า มันก็ไม่เศร้าขนาดนั้น"
   “ทำไมล่ะ"
   “ก็เพราะว่ามันยังมีความหวังว่าวันนึง เราจะหลุดพ้นออกจากโลก Loveless Society นี้ไง เหมือนมีเวทย์มนต์เลยเนอะ"

….........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 43 จบตอน) - 29/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 29-12-2011 10:14:06
ตอนที่ 43 Out Of My Hand


   บนถนนยามเช้ามืดที่เงียบสงบ ไร้ซึ่งเสียงแห่งความวุ่นวายแห่งเมืองกรุง ไอ้เต่าทองขับอย่างอ้อยอิ่งไปตามถนนมุ่งหน้าไปยังชานเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ มิกขับมันอย่างระมัดระวัง แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้นอนเลย
   หลังจากเงียบเสียงไปนาน นัทก็ลืมตาขึ้นจากการงีบหลับไปบ้าง การงีบหลับทุกครั้งที่อารมณ์อ่อนไหว มักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนตัวเองได้พักผ่อนหลังจากการเดินทางอันยาวานเสียเหลือเกิน และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาได้มาถึงปลายทางของมันแล้ว
   “ไหวหรือเปล่าเนี่ย" มิกพูดขึ้นเบาๆ
   “ไหวๆ" นัทตอบ "ใกล้ถึงแล้วนี่"
   “อืม" มิกว่า "ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวฉันรอส่งแกจนขึ้นเครื่องเลยดีกว่า"
   “เห้ย ไม่ต้องก็ได้ แกกลับไปพักผ่อนเหอะ" นัทว่า
   “ไม่ต้องหรอก" มิกว่า "ตอนไอ้สาไป ฉันก็ไม่ได้ไปส่งมัน คราวนี้แกไป ฉันไม่อยากพลาด"
   “แกนี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ" นัทว่า "ทำอะไรช้าๆ แต่ขอเก็บทุกรายละเอียด"
   “ฉันไม่อยากให้อะไรพลาดไปเลย" มิกว่า "ทุกวินาทีที่เกิดขึ้นในชีวิตมันมีความหมายมากนะเว่ย ยิ่งเวลาที่เราอยู่กับคนที่สำคัญในชีวิตน่ะ"
   “น้องมันจะกลับมาหรือเปล่า" นัทว่า มิกหันมามองหน้านัท "ไม่เอาน่า ให้ฉันได้รู้เรื่องของแกบ้างดิ ทุกวันนี้ฉันก็ เอาเรื่องของตัวเองมาซัดใส่แกมากพอและ ก่อนไปก็ขอทำอะไรเพื่อแกบ้าง"
   “อ่านะ" มิกรับคำ "หน้าที่ดูแลแก ฉันรับต่อมาจากสาต่างหากเล่า"
   มิกว่าพลางเอื้อมมือไปขยี้หัวเพื่อนรัก
   “ว่าไงล่ะเรื่องน้องเอิร์ธ" นัทถามต่ออีก มิกทำทีเป็นหันไปมองกระจกข้าง
   “มีใบสมัครของมัน มาที่ Lovable Studio” มิกตอบ "แต่มันคงไม่ได้เลือกที่นั่นหรอก เจ๊ผึ้งบอกว่าพอร์ทมันไม่ผ่านแล้วก็.....มันอาจจะแค่กันท่าเอาไว้เฉยๆ"
   “แล้วแกเอาไง" นัทถามต่อ
   “ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป" มิกถอนหายใจ "ฉันเขียนใบลาออกกับ Lovable Studio แล้ว อีกสองเดือนฉันจะตามแกไป"
   “เอางั้นเหรอ" นัทพูด
   “มันก็จริงอย่างที่แกว่า" มิกพูดเสียงเศร้า "ไม่มีใครกลับมาหาฉันหรอก"
   นัทเอื้อมมือกลับไปจับมิกเอาไว้ มือของนัททำให้ร่างของมิกสั่นไหว ไอ้เต่าทองจอดนิ่งสนิทอยู่บนด้านหน้าของสนามบินสุวรรณภูมิ นัทเอื้อมตัวไปหามิก ใบหน้าของทั้งคู่ใกล้กันมากและ...
   “ไม่ได้นะ" มิกเอามือของตัวเองมากั้นริมฝีปากของนัทไว้ นัทถึงกับหยุดชะงัก
   “ไหนแกบอกว่า นี่จะทำให้เราสองคนรู้สึกดีขึ้นไง" นัทพูดเบาๆ
   “มันไม่มีประโยชน์แล้ว" มิกว่า "ตื่นเหอะนัท ยังไงซะ นี่ก็คือความจริง"
   นัทมองดวงตาของมิกที่เบิกกว้าง
   “แกกับฉันเป็นแค่เพื่อนกัน" มิกพูดชัดเจน "แล้วเอ่อ.....เราสองคนก็จะต่างคนต่างไปแล้วด้วย....ฉันขอเก็บจูบที่เหลือไว้ให้คนที่ฉันรักได้เปล่าวะ"
   นัทยิ้มกริ่ม
   “แล้วอีกอย่าง" มิกพูดต่อ "ฉันเคยสาบานเอาไว้ ว่าจะไม่จูบแกอีก ถ้าฉันทำอีกล่ะก็ฉันเละแน่เลย"
   “ไม่ยักกะรู้ว่าเชื่อเรื่องสาบาน" นัทว่า
   “เอาเหอะน่า" มิกพูด "คราวนี้ศักดิ์สิทธิ์ซะด้วย"
   มิกพูดพลางมองไปยังทางเข้าสนามบิน นัทมองตามไป ชายหนุ่มคนนึงยืนอยู่ตรงกลางทางเข้า ตรงกลางมากเสียจนไม่ว่าจะเข้ามาจากประตุไหนในเวลาแบบนี้ จะต้องอยู่ในรัศมีที่เขามองเห็นแน่นอน
   “กาย" นัทพูดเบาๆ พลางหันมาหามิก
   “ลงไปเหอะ" มิกว่า "บอกลาเขา ด้วยความเข้มแข็งดีกว่านะ"
   นัทก้มหน้าลงเล็กน้อย

   เรื่องราวเหล่านี้จะต้องจบลงในที่สุด
   การเดินทางที่แสนยาวนานนี้.....
…..............
   นัทไม่รู้ตัวว่าเขาสามารถไม่พูดคำใดใดมาได้อย่างไรตลอดเวลาเกือบสิบห้านาทีที่เขาขนของและยืนยันตั๋วกับเจ้าหน้าที่ และเตรียมตัวการเดินทางจนพร้อมสรรพเสร็จสิ้น สิ่งที่เขาทำอยู่ตอนนี้คือค่อยเดินๆมาหากายที่ยังคงยืนรอเขานิ่งสนิทอยู่ตรงนั้นที่เดิม เฝ้ามองดูเขาโดยไม่พูดสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ขณะที่มิกยืนอยู่หลังกายห่างๆ มองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
   นัทเดินเข้ามาใกล้กายมากขึ้น เขาก้มหน้าลง ไม่อยากสบสายตาคู่นั้นตอนนี้ สายตาที่เต็มไปด้วยคำขอร้องมากมาย สายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดปนความเหนื่อยล้า ทุกๆอย่างที่เขาทำให้กายแทบอยู่ไม่ได้ สิ่งที่กายเป็นอยู่ตอนนี้ นัทเคยมีสายตาแบบนี้มาแล้วที่สนามบินดินเมืองเมื่อหลายเดือนก่อน แต่มาครั้งนี้ เขาเป็นคนที่ต้องไปเสียเอง
   แต่ทำไมกันนะ เขาจึงเจ็บปวดอยู่ในใจเหลือเกิน
   ยืนอยู่อย่างนั้นหลายนาที มันเป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน นัทไม่อยากให้การจากลานี้มันต้องจบลงด้วยความเศร้า เขาอยากให้กายและเขา จากกันโดยที่เจ็บปวดน้อยที่สุด จบเรื่องนี้โดยเสียน้ำตากันน้อยที่สุด
   “เหนื่อยมั้ย" นัทพูดขึ้นเบาๆ "ที่ต้อง....วิ่งตามผม"
   กายเมินสายตาไปเล็กน้อยก่อนจะเงยหนาขึ้นกุมขมับ  และหันกลับมามองนัทอีกครั้งด้วยน้ำตาที่เอ่อคลอ
   “ถ...ถ้าคุณ..น...เหนื่อย....คุณเลิกซะก็ได้" นัทค่อยๆพูดออกมาทีละคำ "ผม...ไม่ว่าอะไรคุณหรอก"
   กายยังคงเงียบสนิทต่อไป ชายหนุ่มยืนแทบไม่อยู่ พลางถอนหายใจเป็นพักๆ
   “ผม....ผมต้องไปเร็วขึ้นเพราะว่า...ผมมีงานที่ต้องทำ" นัทพูด "มันยุ่งมากจน....ไม่ได้บอกคุณไว้ก่อน......แต่ยังไงคุณก็รู้แล้วนี่..แล้วตอนนี้ผม ก็ต้องไปแล้ว......”
   กายยังคงมองหน้านัทอยู่อย่างนั้น
   “ถ้าคุณ ไม่ว่าอะไร" นัทค่อยๆพูด "ผมจะไปลานที่พักผู้โดยสารเลยแล้วกัน"
   กายขำขึ้นมาในลำคอเบาๆ แม้ว่านัยน์ตาของเขาจะอ่อนล้าเต็มที
   “แล้วคุณอ่ะ เหนื่อยมั้ย" กายถามกลับบ้าง นัทมองหน้ากายทันที "เอาคืนผมแบบนี้น่ะ คุณไม่เจ็บบ้างเลยหรือไงนะ"
   นัทกลายเป็นฝ่ายเงียบเสียงลง
   “คุณน่ะมัน ยอดงี่เง่าเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า" กายพูดขึ้น นัทขมวดคิวทันที "คุณคิดจริงๆน่ะเหรอว่าผมจะวิ่งตามคุณน่ะ ผมเป็นพ่อมดนะ ผมไม่จำเป็นเลยด้วยซ้ำ ที่ต้องวิ่งตามคุณแบบนี้น่ะ"
   นัทก้มหน้าลงทันที
   “คุณคิดว่าคุณชนะแล้วใช่ไหม ที่ทำให้ผมแทบสติแตก ที่ทำให้ผมเหมือนตายทั้งเป็นแบบนี้ คุ...คุณคิดว่าคุณทำได้แล้วใช่ไหมนัท" กายพูดต่อ
   “ถ้าคุณจะขอผมเลิก" นัทค่อยๆพูดอย่างระมัดระวัง "ผ....ผม....ก็โอเคนะ"
   กายมองหน้านัทนิ่ง
   “ผมไม่ขอคุณเลิกหรอก" กายพูด "ผมเลิกเอง"
   นัทเงยหน้าขึ้นมองกายทันที เช่นเดียวกับมิกที่มองหน้ากายอย่างตกตะลึง
   “ต่อจากนี้ ผมจะเลิกตามคุณแล้ว" กายพูด "ผม....ผมคงทนต่อไปไม่ไหวแล้ว"
   นัทยิ้มน้อยขึ้นที่ริมฝีปาก
   จริงสินะ...
   มันสมควรแก่เวลาแล้วจริงๆ......
   “เดี๋ยวก่อน" มิกถลาเข้ามาทันที "นายพูดบ้าอะไรของนายวะไอ้กาย ไหนสาบานกันแล้วไง ว่าแกจะปกป้องนัทให้ได้น่ะ ไหนแกบอกไง ว่าจะไม่ยอมเสียมันไปไง ไหนไม่รักษาคำพูดวะ"
   กายก้มหน้าลงอย่างไว้ท่า ขณะที่นัทหลับตาสนิท
   “ฉันบอกว่าฉันจะพยายาม" กายพูดขึ้น "และตอนนี้ ฉันก็พยายามมาจนถึงที่สุดแล้ว"
   “อ...อะไรนะ" มิกร้องออกมาอย่างไม่เชื่อว่า "น...นี่หมายความว่า.....ให้ตายสิ นายเอาจริงเหรอเนี่ย"
   กายนิ่งสนิท
   “ล....แล้วที่ผ่านมาล่ะ นายรู้หรือเปล่าว่านัทมัน....”
   “พอเหอะมิก" นัทพูดขึ้นทันที "ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ ตอนนี้ทุกอย่างก็เรียบร้อยดีแล้ว ด...ดีซะอีก ฉันจะได้ไปปารีสอย่างสบายใจซะที"
   กายหันมามองหน้านัท
   “อะไรกันวะ" มิกร้อง "ฉันไม่ได้ทนนั่งดูเรื่องราวของแกสองคนให้มาจบลงอย่างนี้นะเว่ย แล้ว....แล้วที่ทุกๆคนสู้เพื่อแกสองคนมาล่ะ ฉัน สายัยเจน ทุกๆคนทำเพื่อหาทางออกให้แกนะเว่ยนัท"
   กายมองนัทที่ยืนมองพื้นตัวสั่นสะท้าน
   “ทั้งหมดที่ผ่านมา แกจะปล่อยให้เสียเปล่าไปเหรอวะ" มิกส่ายหน้า พลางหันมาหากาย "แกจะปล่อยให้เสียปล่าวจริงๆเหรอวะ ตอบดิวะ เห้ย"
   “มันไม่เสียเปล่าหรอกมิก" กายพูดขึ้น "ผมแค่ไม่อยากวิ่งตามใครเขาอีกแล้ว ผมแค่เหนื่อยมาพอแล้วกับคุณน่ะ....”
   กายหันไปตวาดใส่นัททันที มิกอ้าปากค้างพลางหันหลังออกไปจากตรงนั้น อย่างหัวเสีย เขาไม่อยากรับรู้เรื่องราวเหล่านี้อีกแล้ว มันเกินกว่าที่เขาจะรับไหวแล้ว
   “สำหรับคำถามของคุณว่าผมเหนื่อยมั้ย" กายพูด "ผมเหนื่อยแล้ว ผมวิ่งตามคุณมาเหนื่อยมาก ผม....ผมพอแล้ว....สี่ปีเชียวนะคุณ...ที่ผมวิ่งตามคุณน่ะ"
   คำพูดสุดท้ายของกายปลุกให้นัทตื่นขึ้นจากความเศร้าหมองทั้งปวง มิกหันหลังกลับมาหาทั้งคู่อีกครั้ง

    ชายหนุ่มเลี้ยวที่หัวมุมถนน ชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังรีบวิ่งโดยไม่ทันระวังตัว
   “Excuses” เด็กหนุ่มกล่าวขอโทษเป็นภาษาฝรั่งเศส ด้วยสำเหนียงที่แปลกแต่ดูคุ้นหู ชายหนุ่มหันหลังกลับไปมองร่างน้อยๆที่ซุกตัวอยู่ใต้เสื้อกันหนาวหนาเตอะ


   “จะมีใครหรือเปล่า ที่คิดจะตามหาใครซักคนได้นานเท่านี้ ที่รอเวลาพิสูจน์ใครซักคนได้นานเท่านี้" กายพูดเสียงสั่นเครือ "คนอื่น อาจจะคิดว่ามันเป็นเวลาที่ยังน้อยอยู่ดี แต่ผมไม่ได้มีความอดทนไปได้มากกว่าสี่ปีนี้แล้ว"
   นัทจ้องมองกายถลน
   “จากวันที่คุณสวมเสื้อกันหนาวสีฟ้าที่ฝรั่งเศสตรงหัวมุมถนนนั่น ที่แกลอรี่เลอ ดา คาเฟ่ จนคุณกลับมาได้งานที่ Lovable หรือวันที่ผมได้มีโอกาสเข้ามาในชีวิตคุณ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะนัท" กายพูด "ผมแค่อยากบอกคุณว่า ผมได้พยายามแล้ว ได้วิ่งตามคุณอย่างที่คุณต้องการแล้ว ไม่ว่าคุณอยากจะพิสูจน์อะไรผมก็ตาม ผมทำแล้ว ผมทำพอแล้ว"
   นัทนัยน์ตาเบิกกว้าง ขณะที่มิกก้มหน้านิ่ง
   “ถ้าคุณอยากจะให้ผมขอร้องคุณ" กายพูดพลางกัดฟัน "ถ้านั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมต้องทำ....เพื่อให้คุณมารักผมอีกล่ะก็ ผม.....”
   กายกำหมัดแน่น พลางหลับตาลง
   “ผม...ผมแค่อยากรู้ว่าคุณมีเหตุผลอะไร ที่ต้องทำร้ายผมขนาดนี้น่ะนัท" กายนัยน์ตาแดงก่ำด้วยความโกรธและเสียใจ "คุณโกรธอะไรผมเหรอ ผมทำอะไรให้คุณไม่สบายใจ ทั้งๆที่เรากลับมาจากลาว เรามีเวลาดีดีด้วยกันน่ะนัท ทำไมเหรอ คุณโกรธอะไร ทำไมไม่พูด"
   น้ำตาของนัทไหลลงเบาๆ ร่างกายของเขาชาไปทั้งตัว เหมือนกับว่า เขาถูกตีด้วยคลื่นความเจ็บปวดลูกใหญ่
   “คุณไม่พอใจอะไรอ่ะ คุณไม่พอใจเจนเหรอ ที่เขาเข้ามาวางแผนเรื่องของเรา ทั้งๆที่ผมไม่เคยโกรธที่คุณสาก็เข้ามาวางแผนใส่คุณเหมือนกัน" กายพูด "ทั้งๆที่มันควรจะเป็นเรื่องของเราสองคนแท้ๆ ทำไมเราถึงจัดการกันเองไม่ได้ล่ะนัท คุณต้องการจะพิสูจน์อะไรอ่ะ พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้ว คุณกับผมเข้ากันไม่ได้จริงๆงั้นเหรอ คุณ....คุณแค่ต้องการเอาคืนผมเหรอนัท คุณโกหกผม ไม่ได้รักผมเลยงั้นใช่หรือเปล่า"
   กายหันไปหามิกครั้งหนึ่งที่หลบสายตาของกายไปด้วยอีกคน กายหันกลับมามองนัทที่ก้มหน้านิ่ง
   “สำหรับผม ที่ตัวเองต้องผมมาหาคุณตรงนี้ หรือส่งคุณวันนี้" กายพูดด้วยเสียงสั่นเครือ "มันมีเหตุผลเป็นร้อยเป็นพันที่ทำให้ผมลืมคุณไม่ได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมมาที่นี่ คุณคือคนที่พิเศษสำหรับผม แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่ผมมาที่นี่เหมือนกัน ผมไม่ได้มาขอร้อง ให้คุณอยู่ และก็จะไม่ทำเด็ดขาด ผมจะไม่ขอร้องคุณอีกแล้ว......”
   กายกัดฟันพลางผ่อนอารมณ์ตัวเอง
   “ผมจะไม่ขอให้คุณอยู่ แต่ผมอยากจะให้คุณบอกผมซักคำก่อนคุณจะไป ว่าคุณยังมีความหมายกับผมบ้างหรือเปล่า" กายพูดประโยคสุดท้ายออกมาพร้อมกับน้ำตา
   “ท่านผู้โดยสารที่จะเดินทางไปยังกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสกับสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 926 กรุณาขึ้นเครื่องที่ประตู 4 ค่ะ”
   นัทหลับตาลงทันที
   “ขอบคุณที่อุตส่าห์เล่าเรื่องอัน....น่าประทับใจของคุณให้ผมกับมิกฟัง" นัทพูดเสียงสั่น "คุณมีเรื่องจะพูด....ค....แค่นี้ใช่ไหม......”
   กายก้มหน้าลง นัทเดินเข้ามากายช้าๆ ก่อนจะล้วงหยิบเอามือถือของกายขึ้นมา แล้วยื่นให้ตรงหน้าเขา
   “คุณเอาคืนไปเถอะ" นัทพูดขึ้น กายมองหน้านัทอีกครั้ง
   “น...นัท" กายย้ำชื่อคนที่เขารักอีกครั้ง แม้ว่ามันจะแผ่วเบามากก็ตาม
   “ผมไม่อยากเก็บมันไว้แล้ว" นัทพูดเบาๆ "ผมน่าจะคืนคุณ ซะตั้งแต่กลับมาจากลาวแล้วด้วย ไม่น่าจะให้มันยืดเยื้อมาจนวันนี้เลย"
   กายเอื้อมมือไปรับมือถือเครื่องนั้นมา อย่างเบามือที่สุด
   “เราจะได้.....ไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" นัทพูดพลางเงยหน้าและยิ้มกว้างให้กาย แม้ว่าน้ำตาของเขาไหลอาบหน้า "ลาก่อน คุณกายสิทธิ์"
   นัทเดินหันหลังจากไป กายที่หมดเรี่ยวแรงแล้ว มองชายหนุ่มที่เขารักมากที่สุดบนโลกใบนี้เดินจากไปช้าๆ เขาก้มหน้าลงกัดฟันกรอด พลางกำหมัดแน่น
   เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “งั้นจบกันแค่นี้นะ....นัทนนท์" กายพูดกับตัวเองเบาๆ ขณะคลายหมัดลง ดวงตาอึ้งตะลึงฉายไปเบื้องหน้า เขาหันหลังกลับทันที มิกมองเขาอยุ่ตรงนั้น
   “ผมขอโทษ" กายพูดขึ้น "ผมทำได้แค่นี้"
   มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะเดินจากกายไปโดยไม่ร่ำลาใดใด กายมองมิกหายไปท่ามกลางฝูงชน ขณะที่ตัวเองยืนร้องไห้เงียบๆอยู่เพียงลำพัง
   เสียงสะอื้นที่บาดลึกและหนาวเย็นไปจนถึงขั้วหัวใจ
   กายร้องไห้อย่างที่ผู้ชายคนหนึ่งจะเสียน้ำตาให้กับความรักได้
   การเดินทางที่แสนยาวนานจบสิ้นลงแล้ว
   อย่างน้อยๆ Loveless Society ก็ไม่ได้โกหกเขา
   ทางเดินนี้ มันก็แค่การมาเจอกันของคนที่เหงาๆสองคน มันไม่มีวันที่มาบรรจบกันได้ แม้ว่าจะพยายามแค่ไหน ในสังคมแบบนี้ คนแบบเขา ที่ใครๆก็ต่างตราหน้าว่าคือพ่อมดแห่งวงการ แห่ง Loveless Society เขาเข้าใจแล้วว่า สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่มีความรักที่แท้จริง
   มันคือที่สุดของการไขว่คว้าแล้ว
   จากนี้คงไม่มีอีกแล้วสำหรับคนอย่างเขา
   กายสิทธิ์ พ่อมดที่แพ้จนหมดรูปตรงนี้........
…...........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 43 จบตอน) - 29/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 29-12-2011 10:58:24
อะไรวะ !!!
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 44 จบตอน) - 30/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-12-2011 10:23:33
ตอนที่ 44 Remember My Voice

   มิกจอดเจ้าเต่าทองนิ่งสนิทอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรูกลางกรุงในไม่กี่วันถัดมา วันนี้เป็นอีกวันว่างๆของเขา ไม่รู้ว่าเจ้าเต่าทองเกิดมีจิตวิญญาณขึ้นมาเองหรืออย่างไรไม่ทราบ เท้าของเขาก็เหยียบมันมาถึงคอนโดแห่งนี้ได้ก่อนจะถึงเวลารถติดมหาโหด มันเป็นเหมือนสัญชาตญาณบางอย่างบอกว่า ไอ้ตัวแสบของเขาอยู่ที่นี่ ไอ้ตัวแสบที่ตอนนี้คงไม่มีแก่จิตแก่ใจจะทำอะไร ซึ่งมิกก็จะไม่แยแสอีกต่อไป หากว่าพี่สุเมธไม่ย้ำนักหนาว่าเขาต้องไปรับคอเลกชั่นคริสต์มาสมาจากกายสิทธิ์ภายในวันนี้ให้ได้ นอกจากจะกลัวว่าคำตอบของกายคือไม่ได้ทำแล้ว เขายังกังวลสภาพที่จะได้เจอ
   ร่างกายหอบขึ้นลิฟท์าถึงชั้น 46 ได้ในไม่นาที เขาก้าวเท้าไปถึงห้องหรูที่อยู่สุดปลายทางเดิน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนระดับกายสิทธิ์จะมีห้องคอนโดแบบไหน อยู่ตรงไหน หยุดอยู่หน้าประตูครั้งหนึ่งก่อนจะเคาะลงไปสามครั้ง ประตูแง้มออกทันทีเมื่อมือของมิกโดนประตูครั้งแรก เขาจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไปทันที
   ภาพตรงหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่าที่คิดนัก แสงสว่างเพียงเล็กน้อยลอดผ้าม่านที่เปิดเอาไว้เพียงด้านเดียว ดูเหมือนว่ากองเสื้อผ้าจะถูกวางระเกะระกะอย่างไม่เป็นระเบียบอยู่มุมๆหนึ่ง ที่โต๊ะในครัวมีขวดวิสกี้สองสามขวดกลิ้งไปมา ในขณะที่มุมทำงานยังคงสะอาดเลี่ยม มีกระเป๋าเขียนแบบวางอยู่บนโต๊ะดราฟเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่กายดูเหมือนจะเลือนเอาเก้าอี้นวมไปนั่งอยู่ริมหน้าต่างกระจกที่เปิดออกเพียงเล็กน้อย พ่อมดหนุ่มอยู่ในชุดนอนที่เปลือยท่อนบนเอาไว้ มือยังคงกุมแก้ววิสกี้ที่หมดแล้ว สายตามองออกไปยังกรุงเทพภายนอกจากช่องที่เปิดออกนั้น มิกถอนหายใจครั้งหนึ่ง ทำทีเป็นไม่สงสัยในสภาพของกายตอนนี้
   “ผมมารับคอเลคชั่นคริสต์มาสสำหรับซูเม่" มิกพูด "ใช่ที่อยู่บนโต๊ะนั่นหรือเปล่า"
   ได้รับเพียงความเงียบกลับมา มิกเม้มปากเล็กน้อยก่อนจะเดินไปเปิดกระเป๋าเขียนแบบดู เป็นงานที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้วจริงๆ สภาพงานในกระเป๋ายังคงเนี๊ยบไร้ที่ติ ต่างจากสิ่งที่อยู่รอบๆโต๊ะดราฟทั้งหมด
   “งั้นเอ่อ.....ผมขอไปเลยแล้วกัน" มิกพูดต่อ "แล้วถ้าพี่สุเมธออกความเห็นอะไร หรือมีอะไรให้แก้ ผมจะรีบแจ้งให้คุณทราบ"
   “พี่สุเมธรู้" กายพูดขึ้นทันที มิกถึงกับตกใจเบาๆ "ถ้าเขาของานจากผม เขาจะรู้ว่าไม่มีทางที่ผมจะต้องแก้งานตัวเอง ผมไม่แก้งานตัวเองหรอก"
   มิกเลิกคิ้วครั้งหนึ่ง
   “งั้นก็ดีครับ" มิกพูด "งั้นผมกลับก่อนนะ"
   “ถ้านายไม่่ว่าอะไร ดื่มเป็นเพื่อนผมหน่อยสิ" กายพูดเบาๆหามิก ที่มองกายอย่างพินิจ "ผมรู้ว่าจริงๆแล้วคุณก็มีเรื่องที่ไม่สบายใจเหมือนกัน มาดื่มกันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร พี่สุเมธไม่ว่าอะไรหรอก ถ้างานถึงมือเขาไม่เกินเที่ยงคืนน่ะ"
   “ฉันต้องขับรถ" มิกว่า "ฉันดื่มไม่ได้อ่ะ"
   “งั้นอยู่เป็นเพื่อนผมแป้บนึงสิ" กายพูด "เป็นค่าจ้างงานที่อยู่ในมือคุณน่ะ"
   มิกส่ายหน้าครั้งหนึ่งก่อนจะเดินมานงลงกับพื้นข้างๆเก้าอี้ของกาย อย่างเสียไม่ได้ กายยังคงมองนิ่งไปยังที่เดิม
   “นายจะตามเขาไปเมื่อไหร่เหรอ" กายถามขึ้นเบาๆ มิกหันมามองกายครั้งหนึ่ง
   “สิ้นเดือนธันวา" มิกพูด "ก็หลังจากที่งานนี้จบ ฉันก็ไปเลย"
   “ที่จริงแล้วฝรั่งเศสติดต่อนายมาตั้งนานแล้วไม่ใช่เหรอ" กายพูด "ทำไมไม่ตอบตกลง"
   มิกก้มหน้าลง
   “ฉันเอ่อ....มีบางอย่างอยากจะรออยู่ที่นี่อีกพักนึง" มิกตอบ "ฉันก็เคยบอกนายไปแล้วนี่"
   “แล้วนัท เขาก็ยอมแลกตัวกับนายไปงั้นเหรอ" กายถามต่อ มิกคิดเอาไว้แล้ว ว่าจะต้องมีซักประโยคที่กายพูดเกี่ยวกับนัทขึ้นมา
   “ก็...ประมาณนั้น" มิกว่า "นี่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ ฉันจะไม่มานั่งพูดเรื่องที่มันจบไปแล้วกับนายอีกนะกาย ไม่ว่านายจะยังสติแตกอยู่หรือไม่ว่าอะไรก็ตาม มันก็คือเรื่องที่นายกับมันได้ตัดสินใจไปแล้ว แล้วฉันก็จะไม่พูดถึงมันอีกโอเคป่ะ"
   กายเงีียบไปพักนึง ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมา มือถือที่นัทคืนเขาเมื่อหลายวันก่อน ที่หน้าจอยังคงมีรูปเขากับนัทอยู่ใกล้กัน มิกส่ายหน้าพลางลุกขึ้น
   “ฉันบอกนายได้ก็แค่ ลืมมันซะ" มิกพูด "สภาพนายตอนนี้ก็ทุเรศพอยู่แล้ว อย่าให้มันยืดเยื้อเลยว่ะ"
   กายก้มลงกดไปมาในมือถืออย่างเหม่อลอย
   “ฉันเองก็เคยเป็นแบบนายเว่ย กับไอ้นัทเนี่ยแหละ" มิกพูด "เดี๋ยวมันก็ผ่านไปเองแหละ.....แล้วมันก็จะเป็นแค่อดีตเว่ย.....”
   มิกถอนหายใจ
   “ฉันไปก่อนล่ะ" มิกพูดทิ้งท้าย ก่อนจะหันหลังเดินจากไป

   “หวัดดีกาย"

   เสียงของนัทดังขึ้น มิกหันหลังมาหากาย ที่หันมามองเขา โดยที่มือถือยังอยู่ตรงหน้า มิกมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา


   “ผมไม่รู้ว่า คุณจะมีโอกาสได้ฟังเสียงของผมหรือเปล่า แต่ผมจะทำทุกอย่างให้คุณได้ไฟล์เสียงนี่" นัทพูดพลางมองไปยังกระเป๋าที่วางอยู่ข้างเตียงของตัวเอง นัทเอื้อมมือไปหยิบพวงกุญแจตุ๊กตามาถือเอาไว้
   “ตอนนี้ผมอยู่บ้าน กำลัง....จัดกระเป๋าไปเอ่อ....ปารีส" นัทพูดต่อ "แต่ก่อนที่จะไป ผมอยากจะบอกคุณในเรื่องบางอย่าง"
   นัทหลับตาลงครั้งหนึ่ง
   “ผมขอโทษ" นัทพูดขึ้น "ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้คุณต้องมาทำทุกอย่างเพื่อขอร้องผมในหลายเดือนมานี่ แต่...ผมแค่อยากให้คุณเข้าใจ ว่านี่คือตัวผม ว่านี่คือชีวิตที่บางครั้งเราก็ต้องเลือกในทางที่มันขัดกับความรู้สึกของตัวเอง
   ผมเข้าใจ ว่าคุณต้องการชีวิตแบบไหนกาย คุณอยากได้อิสระ และในขณะที่เวลาคุณอ่อนแอ หรือคุณเหงา คุณมองกลับมาแล้วก็จะเจอผมอยู่ที่เดิม คอยดูแลคุณ ซึ่งผมเองก็เคยคิดว่า ผมจะทำได้ แม้ว่ามันจะเจ็บปวดแล้วก็ทรมาณมากเวลาที่ผมเห็นคุณในข่าวต่างๆ กับผู้หญิงคนอื่นๆ ผม....คิดว่าผมจะทำได้.....
   แต่ผมก็รู้ว่า ผมทำไม่ได้กาย มันไม่ใช่ตัวผมเลย ถ้าผมจะรักใครซักคน ผมก็อยากที่จะให้เขาอยู่กับผม ตลอดไป และผมก็รุ้ว่าคุณ ไม่มีทางจะทำอย่างนั้น กับ...คนอย่างผม....
   ผมรู้ตัวว่าตัวเองไม่เคยทำอะไรในสิ่งที่เคยพูดเอาไว้ได้เลย ผมเคยบอกว่าคุณกับผมไม่มีทางเข้ากันได้ ทั้งที่อันที่จริงแล้ว ผมชอบคุณตั้งแต่วันแรกที่ผมเจอคุณแล้วล่ะกาย ผมชอบที่คุณพาผมออกไปข้างนอกกับคุณ ที่คุณดูแลผม เหมือนกับว่าผมเป็นคนสำคัญ ที่เราสองคนมีช่วงเวลาดีดีด้วยกัน ถึงแม้ว่าชีวิตของเราสองคนจะต่างกันมาก และเหมือนว่าจะเข้ากันไม่ได้แต่ นั่นคือเวลาที่ผมมีความสุข ที่ได้อยู่กับคุณ"
   นัทหายใจเข้าครั้งหนึ่ง
   “กายครับ" นัทพูดต่อ "ผมรักคุณนะ ผมรักคุณมาก และผมอยากจะขอเวลาที่ผมไปปารีสครั้งนี้ ขอเวลาให้กับตัวเอง ขอเวลาให้ผมหน่อยนะกาย ผมรู้ตัวเองดีว่าผมเสียคุณไปไม่ได้ แต่ว่า....ตอนนี้ เราสองคนต่างกันมากขึ้นทุกทีแล้ว ผมอยากให้เราได้ลองทบทวนอะไรบางอย่าง ทั้งผมและคุณ ว่า เราต้องการอะไรในชีวิตคู่ของเรากันแน่
   วันนึง ผมอาจจะรู้สึกทนได้กับชีวิตที่คุณต้องการขึ้นมาก็ได้ หรือวันนึงคุณอาจจะเข้าใจผมขึ้นมาก็ได้ แล้วเมื่อวันนั้นมาถึง เราสองคนมาเริ่มต้นกันใหม่นะกาย"
   นัทหลับตาลงอีกครั้ง
   “ผมรักคุณ" นัทพูดเบา "รักมากที่สุด แล้วผมอาจจะกลับมา ในเวลาที่เหมาะสม ดูแลตัวเองนะกาย"
   นัทวางโทรศัพท์ของกายลงเบาๆ

   กายกดปิดไฟล์เสียงลง พลางมองหน้ามิกอย่างเฉยฉา
   แล้วก้เข้าสู่ความเงียบ เป็นความเงียบที่มีความหมายมากมายเหลือเกิน
   “ผมแค่อยากจะถามคุณเฉยๆ" กายพูดขึ้นเบาๆ "ว่าคุณคิดว่าผมยังพอมีหวังไหม"
   คำพูดของสาแว้บเข้ามาในสมองมิก เขาหันหน้าไปทางอื่นพักหนึ่ง
   “มันขึ้นอยู่กับว่า.....นายกับมัน จากกันดีแค่ไหน" มิกพูดเสียงสั่น "ถึงการจากลาจะเต็มไปด้วยความเศร้า แต่ถ้าเราจากกันด้วยความหวัง หวังว่าซักวัน เขาจะกลับมา"
   กายก้มหน้าลง
   “ถ้ามันเป็นอย่างนี้ นัทมันบอกนายชัดเจนแล้วนะ" มิกพูดขึ้น "ใช้เวลาตรงนี้ทำใจเถอะกาย ค้นหาตัวเองดีดี ว่านายต้องการมันในแบบไหน แล้วมันต้องการนายในแบบไหน แล้วหาวิธีบาลานซ์มัน ทำให้มันหาจุดกึ่งกลาง แล้วใช้ชีวิตอยู่กับจุดกึ่งกลางนั้น"
   “นายทำได้เหรอ อยู่คนเดียวกับความหวังนี่น่ะ" กายถมขึ้น "นายทำได้เหรอ"
   มิกเงียบสนิทพลางหลับตาลง
   “แล้วถ้า...ถ้าเกิดว่า ฉันสามารถหาจุดกึ่งกลางได้ขึ้นมาวันหนึ่งแล้ว...แล้วมันไม่กลับมาล่ะ" กายพูดต่อ "ถ้า....สุดท้ายแล้ว....ไม่มีใครกลับมาล่ะ"
   “ฉันไม่รู้" มิกตอบ "ไม่มีใครอยากอยู่โดยที่หัวใจอีกครึ่งนึงหายไปหรอก แต่ในเมื่อมันต้องอยู่ มันก็ต้องอยู่"
   มิกพูดเสียงสั่นพลางกำหมัดแน่น
   “อยู่กับความหวังนี่แหละ" มิกพูดต่อ "มันอาจจะไม่มีใครกลับมาก็ได้ แต่.....พอถึงจุดจุดหนึ่ง นายก็ก็จะรู้สึกได้เอง ว่าสมควรแก่เวลาแล้วที่จะ....เลิกรอได้แล้ว"
   กายหลับตาลง
   “มันกำลังเกิดขึ้นกับนายเหมือนกันใช่หรือเปล่า" กายถามขึ้นเบาๆ "ที่นายพูดกับฉันอยู่นี่"
   “ช...ใช่" มิกตอบ "ฉันก็กำลังรอเหมือนกัน....ต...แต่ว่า.....ฉันตั้งเวลาไว้แล้ว.......ว่าเมื่อไหร่ฉันจะเลิกรอ"
   “บอกเวลานายหน่อยได้ไหม" กายถามต่อ มิกยิ้มน้อยๆ
   “สำคัญด้วยเหรอ" มิกถามต่อ
   “ฉันจะได้มีเพื่อนรอไง" กายพูด "แล้วถ้านายเลิก ฉันก็จะเลิกเหมือนกัน"
   “เวลาของฉันคือสิ้นปี" มิกตอบทันที "ถ้าสิ้นปีนี้ คนที่ฉันรักไม่กลับมา ฉันก็จะเลิกรอ"
   “สิ้นปีงั้นเหรอ" กายทวนคำเบาๆ
   “แต่สำหรับนาย มันไม่ใช่แค่การรออย่างเดียวนะเว่ย" มิกพูด "นายต้องคิดทบทวนอย่างที่ไอ้นัทมันบอกนั่นแหละ ว่านายสามารถหาจุดกึ่งกลางระหว่างนายกับมันได้หรือเปล่า"
   มิกก้มหน้าลงพลางยิ้มกว้าง
   “เพราะฉันแอบคิดว่า" มิกพูดต่อ "ถ้านายหาได้ นัทมันก็คงกลับมาแหละ"
   “คิดงั้นเหรอ" กายถามต่อ
   “ไม่รู้สิ" มิกพูด "นายก็รู้จักมันดีพอๆกับฉัน นัทมันไม่เคยทำอย่างที่มันเคยพูดไว้ได้เลย"
   “ช่วงเวลาสองเดือนนี่ เรามาเจอกันบ่อยๆได้หรือเปล่า" กายถาม
   “อะไรของนายเนี่ย" มิกถามอีก "ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอก"
   “ผมก็ไม่ได้ว่าง" กายว่า "นายคือคนสุดท้ายที่เป็นตัวแทนของอดีตที่มีค่าของผมน่ะมิก อย่างน้อยผมก็ไม่รู้สึกว่า อะไรๆ หายไปหมด"
   “งั้นนายก็โชคดีที่มีหน้าฉัน" มิกว่าพลางหันหลังกลับ "ฉันสิ ไม่มีอะไรเลย"
   มิกเดินจากกายมาเพียงเท่านั้น...
   แม้ว่าเสียงของนัทยังคงก้องอยู่ในหัว......
…............
   "เอาจริงเหรอคะเนี่ย" เสียงของอาร์มพูดโวยวายในสตูดิโอ "ทั้งหมดนี่อ่ะเหรอคะ"
   “ใช่" มิกตอบในตอนบ่ายของวันนั้น
   “โอ้โห พระเจ้าช่วย" อาร์มว่า "อะไรกันเนี่ย คือ...หนูมีสองมือนะ โยนมาให้กันแบบนี้ ไม่ไหวหรอก"
   “ใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่ช่วย คอลเลกชั่นของกายสิทธิ์สุดหล่อเลยน้า" มิกพูดจาเอาอกเอาใจอาร์มใหญ่
   “หล่อมันไม่ได้ช่วยให้หายเหนื่อยนี่คะ" อาร์มพูดตอบ
   “อ้อจริงสิ มันช่วยให้เหนื่อยขึ้น เหนื่อยไปฟินไป" มิกพูดแซว อาร์มจ้องหน้ามิกถลนพลางเขินอาย
   “ลองดุก็ได้ค่ะ ยังไงก็ขอบคุณพี่มิกก็แล้วกันที่เอางานใหญ่ๆมาลงให้เสมอๆเลยอ่ะ" อาร์มว่า "แต่ว่ายังไงพี่อย่าลืมไปตามจิกเจ๊ผึ้งด้วยนะคะ เรื่องขอจูเนียร์ดีไซน์เนอร์มาเพิ่มสองคนน่ะ"
   “อือ.....” มิกรับคำหน่าย
   “งั้นหนูไปแสกนก่อน" อาร์มพูดพลางหอบแฟ้มไปยังห้องล้างอัดทันที ขณะที่มิกมองไปยังห้องเจ๊ผึ้งที่อยู่เยื้องออกไป เขาหลับตาครั้งหนึ่งก่อนจะเดินไปในห้องนั้น พลางเคาะประตูอีกครั้ง
   “มาอีกแล้วเหรอ" ผึ้งเงยหน้าขึ้นจากงานของตัวเอง เหล่มองมิกตาวาว
   “แหะๆ" มิกพูดติดตลกขณะที่เจ๊ผึ้งโยนแฟ้มเดิมๆให้มิดูอีกครั้ง แฟ้มรายชื่อผู้สมัครงานใหม่
   “นี่เข้าเดือนธันวาแล้วยังไม่คอนเฟิร์มมาล่ะก็ พี่จะบอกผ่านจริงๆด้วย" ผึ้งว่าเสียงหงุดหงิด
   “ขอเวลามันอีกหน่อยนะครับเจ๊" มิกพูดขอร้อง "มันต้องกลับมาแน่ๆ"
   “เห้อมิกเอ้ย" ผึ้งกอดอก "นายนี่น้า มีความสุขกับการทำงานที่นี่ขนาดนั้นเลยเหรอ กับทีมเดิมๆเนี่ยนะ"
   “ทำไมล่ะเจ๊ ทีเจ๊ยังอยู่ที่นี่มายันแก่เลย" มิกพูดแซว ผึ้งส่งสายตาค้อนขวับให้นิดนึง
   “ผู้หญิงน่ะ จะมีอะไรล่ะ เรียนจบ ทำงาน แต่งงาน แล้วก็มีลูก" เจ๊ผึ้งกล่าว "แล้วพอเจ๊มีลูกแล้ว การงานที่มั่นคงทันก็สำคัญ แล้วที่นี่ก็ให้ในสิ่งที่ไม่มากไป ไม่น้อยไปสำหรับเจ๊"
   มิกพยักหน้ารับทันที
   “แต่แกน่ะ ยังมีโอกาสอีกไม่ใช่เหรอ" ผึ้งถาม "ไปเถอะน่า นี่ไม่ได้ไล่ แต่เสียกายความสามารถที่เรามีนะมิก"
   “แล้วทำไมเจ๊กับแฟน ไม่ลองย้ายไปที่อื่นบ้างล่ะ เมืองนอกอะไรอย่างนี้" มิกถามต่อ "แบบว่าถ้ามีโอกาส ก็น่าจะทำให้ไปด้วยกันทั้งครอบครัวได้ไม่ใช่เหรอ"
   “ได้น่ะมันได้อยู่ แต่ว่ามันก็ต้องคิดนู่นนี่นั่นเยอะน่ะ" ผึ้งตอบ "แล้วที่สำคัญพี่กับแฟนพี่ก็ไม่ได้โหยหาอิสระขนาดนั้น ซะด้วย ก้เลยคิดว่าที่เป้นอยู่นี่ก็ดีที่สุดแล้ว"
   “น่ารักจังเจ๊" มิกชมออกมาจากหัวใจจริงๆ
   “จำคำเจ๊ไว้นะมิก" ผึ้งพูด "คนเราถ้ามีอะไรเหมือนกันมากๆ รักอิสระเหมือนกันมากๆ ก้มักจะไม่รอกันหรอก ต่างคนก็ต่างโบยบินไปในทางของตัวเองกันทั้งนั้น อยู่ด้วยกันไม่ยืดซักราย"
   "เหรอครับ" มิกรับคำเสียงสั่น "ไม่มีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันเลยเหรอครับ ถ้ารักอิสระเหมือนกันทั้งคู่
   “มันก็มีแหละมั้งแต่หายาก" ผึ้งตอบ "คนที่รักอิสระส่วนใหญ่ก็จะรักตัวเองมากด้วยไงล่ะ แต่มันก็คงมีแหละ ถ้ารักอิสระแล้วรักคนอื่นด้วย น่าจะมีแหละมั้ง"
   “มีสิครับ" มิกรับคำ "ต้องมีแน่นอน"
   “โอ๊ยตายแล้วนายนี่" ผึ้งว่า "นี่จะเป็นคนที่เพ้อกับอะไรงมงายมากมายเลยสินะเจ้ามิก"
   “แหะแหะ" มิกหัวเราะแห้ง พลางหันกลับมาครุ่งคิดกับตัวเอง
   รักอิสระ และพร้อมที่จะรักคนอื่น.....
   มีอยู่แล้วคนแบบนี้....
   มิกรู้จักอยู่คนนึงที่เป็นแบบนี้แล้ว...
   แค่นี้ก็เพียงพอแล้วกับการรอคอยที่เหลืออยู่นี้ มีคุณค่าพอแล้ว....
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 45 จบตอน) - 30/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 30-12-2011 10:24:20
ตอนที่ 45 How Great Is Your Love


    อากาศหนาวเย็นเริ่มคืบคลานเข้าในช่วงปลายเดือนธันวาคม ความรู้สึกเงียบสงบเบาๆของเดือนแห่งวันสิ้นปีทำให้ Lovable Studio ว่างเปล่า สตูดิโอสามมีเพียงร่างของชายหนุ่มที่ผมเผ้าเริ่มรกรุงรังไม่เป็นระเบียบ นั่งจิบกาแฟอยู่เพียงลำพัง อากาศที่เย็นจนอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบาย ทำเอาไม่อยากโหมงานใดใดหนัก มันจะทำให้อีกไม่กี่สัปดาห์ที่เหลือก่อนเทศกาลต้องลาหยุดไปยาวๆ และอาจจะทำให้เขาพลาดรับโบนัสก้อนสุดท้าย
   เมื่อหลายเดือนก่อน เหตุการณ์สะเทือนใจของเพื่อนรักที่เพิ่งจากไปไกลของเขา สอนให้มิกเรียนรู้ถึงคุณค่าของเวลา เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าตอนนี้เวลากำลังทำร้ายเขา มันกระชั้นชิดเข้ามาทุกที และเมื่อเขานั่งคิดถึงมันอย่างเข้มแข็งมากขึ้น มันกลับทำให้ร่างกายสั่นสะท้านไปด้วยความกลัว
   เสียงไออย่างหนักดังมากจากประตูของสตูดิโอ อาร์มเดินเข้ามาอย่างโงนเงนเต็มที่พลางไออย่างน่ากลัวไปด้วย ก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะดราฟสีชมพูของตัวเอง
   “ดีขึ้นบ้างไหมเนี่ย" มิกเอ่ยทักขึ้นเบาๆ
   “เหมือนจะตายเลยล่ะพี่" อาร์มบ่นเบาพลางกุมขมับ "ให้ตายสิ อีเว้นท์นี้หนูทำมาเป็นเดือนๆเลยนะ หนูไม่ยอมป่วยหรอก"
   “เอาน่า เบาๆลงบ้างก็ได้ ต้องเสร็จวันนี้เลยเหรอ" มิกถาม
   “วันนี้วันศุกร์แล้วค่ะพี่มิก" อาร์มตอบเสีงเหวี่ยง "เทสกาลคริสต์มาสจะเริ่มจัดตั้งแต่อาทิตย์หน้าเป็นต้นไปเลยนะ นี่งานของลูกค้าคนนี้ก็ถือว่าจัดช้าไปด้วยอ่ะ ที่อื่นๆเค้าเริ่มกันตั้งแต่ต้นเดือนไปแล้ว"
   “แล้วเหลืออะไรอีกล่ะ" มิกถามต่อ
   “นี่กี่โมงแล้วล่ะพี่" อาร์มถามต่อเสียงแหบแห้ง
   “บ่ายสาม" มิกว่า "ทำไมอ่ะ"
   “อืม ก็เหลือไปเอาของที่สั่งพิมพ์ทั้งหมด แล้วก็มุ่งหน้าไปจัดงานเลยน่ะ" อาร์มว่า "ที่สกายวอร์คตรงสี่แยกสาทรไง ที่เพิ่งทำเสร็จใหม่อ่ะ"
   “อ๋อ ใกล้ๆกับออฟิศที่สุเมธสินะ" มิกว่า
   “เอ๊า ก็งานเค้านี่คะ" อาร์มว่า "แต่ตรงนั้นหนูก้ว่าเก๋ดีนะ มันไม่วุ่นวายเท่าสยาม เหมาะกับการจัดการที่ดูเป็นผู้ใหญ่กว่าไง"
   “อืมๆ" มิกว่า "งั้นเดี๋ยวคืนนี้ท่าปรินท์เสร็จแล้วยังไงก็บอกพี่ เดี๋ยวพี่ไปช่วยจัดงานตรงนั้นด้วย"
   “จริงเหรอพี่มิก ใจดีจังเลย" อาร์มว่า แต่ทันใดนั้น หนุ่มน้อยก็มองหน้าพี่มิกนิ่ง "แต่....เดี๋ยวพี่ก็ต้องไปแล้วไม่ใช่เหรอ"
   เงียบกันไปพักนึง มิกหันหน้าไปมองปฏิทันที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ วงกลมสีแดงวงล้อมรอบวันศุกร์หน้า วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม
   “อันที่จริงแล้ว พี่ต้องไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้แล้วนี่นา" อาร์มว่า "ที่ยังอยู่นี่ ก็เพราะว่าเป็นห่วงหนูใช่ไหมล่า"
   “เหอเหอ" มิกหัวเราะแห้งๆ "คิดงั้นเหรอ"
   อาร์มนั่งลงข้างๆตัวมิกทันที
   “เฮีย" อาร์มเอื้อมมือมาจับมิกทันที มิกถึงกับตกใจตาลุกโพลง
   “อะไรของแกวะเนี่ย" มิกพูดเสีงสั่น ชายหนุ่มหัวใจสาวน้อยคนนี้มองหน้ามิกพลางทำหน้าตาหวานซึ้ง มิกถึงกับแอบขำเล็กน้อย
   “หนูขอบใจมากนะ" อาร์มพูดขึ้น "คือ...ตลอดเวลาที่หนูเข้ามาทำงานที่นี่แล้วเจอกับเฮียเนี่ย เฮียดีกับหนูมากๆเลย"
   “หา" มิกว่า "ดีอะไรวะ ฉันด่าแกทุกวัน"
   “ไม่ใช่เรื่องนั้น" อาร์มว่า "ไอ้ที่เฮียแซวหนูน่ะ ใครๆก็ทำได้ไหมล่ะโธ่ หนูหมายถึงเฮียเป็นพี่ซ๊เนียร์ดีไซน์เนอร์ที่ดีกับหนูมากๆเลยอ่ะ หนู ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะเลยกับเฮีย"
   “อ่าหะ" มิกยิ้มตอบ "แล้วต้องการจะบอกว่า....”
   “หนูแอบใจหาย แล้วก็เหมือนไม่อยากจะให้เฮียไปเลยอ่ะ" อาร์มว่า "กว่าเจ๊ผึ้งจะส่งคนมาประจำที่สตูดิโอ หนูก็คงเหงาแย่"
   “ไม่อยากทำงานคนเดียวมากกว่าล่ะสิคุณเธอ" มิกว่า
   “ไม่ใช่ซักหน่อย" อาร์มว่า "หนูพูดจริงๆนะ หนูคงคิดถึงพี่แย่เลย"
   มิกเอื้อมมือไปลูกหัวอาร์มทีนึง
   “เฮียก็คงคิดถึงเราเหมือนกันนั่นแหละ" มิกว่า "ถ้าว่างๆจากงานที่นู่น เดี๋ยวเฮียกลับมาหา"
   “จะจริงเหรอ ไปอยู่ฝรั่งเศสเชียวนะ ไม่ใช่เชียงใหม่ ถึงจะไปๆมาๆง่ายขนาดนั้นน่ะ" อาร์มว่า
   “เชื่อเหอะน่า" มิกว่า "ฉันจะกลับมาก่อนที่แกจะคิดถึงฉันซะอีก"
   “เอาเถอะ ถึงมันจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือ แต่หนูก็ขอบคุณก็แล้วกัน" อาร์มว่า "ยังไงหนูก็ขอให้พี่โชคดีกับการเดินทางนะ งานคริสต์มาสปีนี้คงเป็นงานสุดท้ายที่เราได้ทำร่วมกันแล้วล่ะ"
   “อ่าหะ" มิกว่า "พี่ก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจีผึ้งแกจะส่งคนมาประจำสตูดิโอนี้เมื่อไหร่ แต่ว่า ก่อนหน้าที่พี่จะไป พี่ก็จะทำทุกวิถีทางให้แกได้คนที่ดีที่สุดมาช่วยนะอาร์ม"
   อาร์มยิ้มกว้างให้กับมิกครั้งหนึ่ง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังมองไปรอบๆสตูดิโอแห่งนี้ ภาพของสาและนัทกำลังส่งยิ้มมาให้เขา ภาพของไบร์ทท่ส่งสายตาน่าเกลียดน่าชังมาทางเขาเป็นระยะ เด่นชัดขึ้นในหัว หรือแม้แต่ภาพของเอิร์ธที่บ่นอิดออดอยู่ตรงหน้าแมคตรงนั้น มิกยิ้มขึ้นมากับตัวเอง
   “คิดอะไรอยู่น่ะ" อาร์มทักขึ้น ภาพเหล่านั้นจางลง เหลือเพียงโต๊ะที่เต็มไปด้วยข้าวของสีชมพูสดใส"
   “อีกเรื่องนึง" มิกว่า "ที่อยากให้แกรู้ก็คือ......สตูนี้น่ะ มีความหมายกับพี่มากเลยเว่ย แล้วก็.......พี่ยังไม่เคยบอกแกเลยก็คือ แกเองก็เป็นจูเนียร์ที่มีฝีมือมาก แกมาทำงานแทนคนถึงสามคนที่ออกจากสตูดิโอนี้ไปเลยนะรู้ตัวหรือเปล่า"
   “เหรอคะ" อาร์มว่า "หนูรู้ว่ามีพี่สาแล้วก็พี่นัท ใครอีกคนเหรอคะ"
   มิกมองหน้าอาร์มอย่างนิ่งสงบ ก่อนจะก้มหน้าลงแล้วเม้มปาก
   “เขาคือคนที่พี่อยากจะให้กลับมาเป็นผู้ช่วยแกนั่นแหละ" มิกว่า "อย่างน้อยๆ แกก็จะได้มีคนมีฝีมือมาช่วยแกได้บ้าง"
   “ถ้าเขามีฝีมือพอๆกับพี่สาหรือพี่นัทจริงๆ เขาคงไม่กลับมาที่นี่หรอกค่ะเฮีย" อาร์มว่า "แต่ก็ขอบคุณค่ะ ที่เฮียอุตส่าห์หาคนมาทำงานกับหนูให้ได้ ปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรกรรมที่หนูทำมาเถอะ ว่าจะได้ไม่ได้น่ะ"
   มิกยิ้มน้อยๆ
   “ไปเอาสิ่งพิมพ์ได้แล้ว" มิกว่า "มาเดี๋ยวพี่ไปส่ง ไปส่งถึงที่จัดงานเลย"
   “ขอบคุณมากๆเลยค่ะ" อาร์มว่า "แต่วันที่ 31 หนูคงไม่ได้ไปส่งพี่ที่สนามบินนะ ตอนกลางวันใช่ป่ะ"
   “อือ ไม่เป็นไร" มิกว่า "พี่ไปคนเดียวได้อยุ่แล้วน่า"
   “ค่ะ"
   อาร์มลุกขึ้นพลางเดินฉับๆออกไปยังห้องปริ้นท์ ขณะที่มิกลุกขึ้นมองไปรอบๆตัวอีกครั้ง
   เขาไม่เคยรู้สึก คิดถึงอะไรมากเท่านี้มาก่อนเลย
   มีคนเคยบอกเขาว่าการหลงรักอดีต หรือความรู้สึกที่อยากย้อนเวลากลับไปอดีต เป้นภาพสะท้อนของการไม่ยอมรับความจริงอันเจ็บปวด เขาเคยคิดว่านั่นเป็นความคิดของคนที่แย่เอามากๆ
   ไม่นึกเลยว่าวันนี้ เขากำลังรู้สึกอย่างนั้น
…......
   การจัดงานฉองคริสต์มาสของแบรนด์ซูเม่ในคืนวันศุกร์นี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มิกคิดเอาเองในใจว่าขอบคุรที่อาร์มเป็นกระเทย เธอใช้พลังงานที่มนุษย์คนใดไม่มีแน่ๆในการร่ายบทเป๋นแม่งานคุมการจัดการกับผู้คนนับห้าสิบชีวิตให้จัดงานเตรียมตัวรับเทศกาลแห่งความสุขนี้อย่างมืออาชีพทันที
   มิกนั่งนิ่งปลีกตัวเองออกจากความวุ่นวายของจัดงานตรงนั้นอยู่พักนึง ก่อนจะมีร่างๆหนึ่งนั่งลงข้างๆพร้อมกับยื่นถ้วยกาแฟอุ่นๆจากสตาร์บัคส์ให้ตรงหน้า เป็นกายนั่นเอง มิกยิ้มให้พร้อมกับรับมันมาถือ
   “ว่าไงนาย" มิกกล่าวทัก เมื่อกายนั่งลงข้างๆเขา "มาทำไรเนี่ย"
   “ผมก็มาดูงานผมน่ะสิ" กายตอบ "อยากรู้ว่าคอเลกชั่นที่คุณเอาไปทำต่อน่ะ ถูกใจผมหรือเปล่า"
   “แล้วว่าไงล่ะ" มิกถามพลางพยักเพยิดไปทางงานที่กำลังถูกตกแต่ง
   “ผมไม่วิจารณ์ได้ป่าว" กายว่าหน้าเคร่งขรึม "งานที่ทำออกมาดีดีส่วนใหญ่ ผมจะเกลียด เพราะมันทำให้ผมดูพ่ายแพ้น่ะ"
   “อย่างนี้นี่เล่า คนในวงการนี้เขาถึงเข็ดขยาดนายกันหมดน่ะ" มิกว่า พลางส่ายหัว
   “คนนั้นของนายกลับมาหรือยัง" กายถามขึ้น เป็นการถามที่ดูปกติมาก มิกถอนหายใจพลางจิบกาแฟ
   “ยังอ่ะ" มิกว่า "เอาจริงๆนะเว่ย นายไม่ต้องเอาฉันเป็นบรรทัดฐานก็ได้นะเว่ย ต่างคนก็ต้องต่างมีชีวิตเป็นของตัวเองนา ฉันว่าชีวิตก็ต้องเดินต่อไป และที่สำคัญ หนึ่งเดือนที่ผ่านมานี่ ฉันก็เห็นนายดีขึ้นแล้วนี่ วันก่อนยังเห็นไปเดินกับนางแบบคนนั้นที่ชิดลมอยู่เลย"
   “อ่านะ" กายว่า "เปล่าที่ถามขึ้นมาน่ะก็เพราะฉันจะบอกนายว่า ฉันเลิกรอแล้ว"
   มิกหันหน้ามาหากายทันที
   “งั้นเองเหรอ" มิกว่า
   “ก็อย่างที่นายบอก ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป" กายว่า "ชีวิตผมก็อย่างนี้แหละ งาน งาน แล้วก็งาน วันนี้ผมก็ยังไม่ได้หยุดเลยดูดิ ก็....เลยคิดว่า ผมน่าจะใช้ชีวิตแบบเดิมดีกว่า แบบที่ไม่ต้องทรมาณกับใคร"
   “ใช้คำว่าทรมาณเลยเหรอวะ" มิกถาม
   “การคิดถึงใครซักคน มันไม่สนุกเลยนะมิก" กายว่า "วันนี้เห็นนายก็เลยจะแวะมาบอกว่าผมทำได้แล้ว"
   มิกก้มหน้าลงกับตัวเอง
   “งั้นเหรอ" มิกถาม
   “อ่าหะ" กายตอบ "แล้วก็อยากจะบอกนายอีกว่า นายเองก็น่าจะเลิกรอได้แล้วมั้งผมว่า อาจจะไม่มีใครกลับมาหานายหรอก ทุกคนล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง นายเองก็จะต้องไปปารีสแล้วไม่ใช่เหรอ หลังจากนั้นก็คงมีอะไรเยอะแยะให้นายทำต่อจากนัทที่โน่น ส่วนนัทคงก็ไปอเมริกาต่อเลยสินะ ผมสิยังต้องอยู่ที่นี่แล้ว.....”
   “ฉันไม่เลิกรอหรอก" มิกพูดขึ้นมาทันที "ฉันจะรอจนกระทั่งวันสิ้นปี จนวินาทีสุดท้ายที่ฉันจะอยู่ที่นี่"
   กายหันมาหามิกที่ก้มหน้าลงกับพื้นนิ่งสนิท
   “การรอคอยใครซักคนมันไม่สนุกเลยก็จริงแต่.." มิกพูด "ฉันไม่ใช่คนที่สนุกกับชีวิตได้แบบนายหรอกกาย เวลาที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉันมันก็มีอยู่ไม่กี่เรื่อง และเขาคนนั้นของฉันก็ทำให้ชีวิตฉันตอนนั้นมันคุ้มค่ามากพอที่ฉันจะรอเขาจนถึงวันครบกำหนดเวลาของฉันน่ะ"
   “แล้วถ้าเขาไม่กลับมาจริงๆล่ะ" กายถามต่ออีก
   “ฉันบอกนายแล้วไงว่าฉันจะไป เมื่อถึงวันสิ้นปี" มิกว่า "ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไปแน่ ฉันจะเดินไปข้างหน้าต่อแน่นอน ฉันขออีกแค่อาทิตย์เดียว อาทิตย์สุดท้ายนี้เท่านั้นเอง"
   “อ่อ" กายรับคำเบาๆก่อนจะเงียบกันไป
   “ว่าต่นายเหอะ ยังไม่ถึงวันสิ้นปีแท้ๆ ทำไมยอมแพ้ซะแล้วล่ะ" มิกถามกลับบ้าง
   “อืม ไม่รู้สิ มันเหมือนเล่นพนันแล้วผมก็ไม่ชอบเล่นพนันเอามากๆ" กายว่า "เวลาที่เหมาะสมของนัทเค้าจะมาอีกเมื่อไหร่ล่ะ ผมก็ไม่รู้ แล้วกว่าจะถึงตอนนั้น ผมจะไปอยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ป่านนั้นผมอาจจะกลายเป็นคาสโนว่าหนึ่งเดียวของเมืองไทยไปแล้ว แล้วถ้านัทเขากลับมาเห็นผมในสภาพนั้น มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่เราสองคนจะรักกันมั้ง"
   “พูดแบบนี้แสดงว่าถ้านัทมันกลับมาตอนนี้ นายจะพร้อมรักกันกับมันจริงๆ" มิกถาม "นายหาทางออก หาจุดกึ่งกลางได้แล้วเหรอ"
   “ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะใช่จุดกึ่งกลางหรือเปล่าแต่.....ผมคิดว่าที่ผมเป็นอยู่ทุกวันนี้คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้วที่ผมมี" กายว่า "ถึงผมจะมีข่าวคาวๆบ้าง แต่มันก็ไม่มีคยเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแบบว่า นี่ก็คือผมแหละ.....นัทเค้าก็เหมือนกัน ตอนนี้ผมก็โอเคแล้วนะที่เขาไม่อยู่ หรือ...เขาอาจจะไม่ได้รักผมแล้วก็ได้ แต่ผมว่าตอนนี้ผม.....เข้าใจอะไรๆมากขึ้นแล้วล่ะ....ผมรักอย่างที่มันเป็นอยู่อย่างนี้เข้าซะแล้ว"
   มิกมองหน้ากายพลางยิ้มกว้างทีหนึ่ง ไอ้ตัวแสบพูดจาเข้าหูเขาก็วันนี้เอง มิกหัวเราะน้อยๆ
   “งั้นก็" มิกยื่นมือออกไปตรงหน้า "แสดงความยินดีด้วยครับ คุณกายเพื่อนรัก....ที่วันนี้คุณพบความสุขที่แท้จริงแล้ว"
   กายมองมือมิกอยู่ครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือตัวเองไปจับตอบ
   “ขอบคุณครับคุณมิกเพื่อนรัก" กายยิ้มตอบ "งั้นก้ขอให้หนึ่งอาทิตย์ที่เหลืออยู่ของคุณ ผ่านไปอย่างมีคุณค่านะครับ"
   “แน่นอน"
   นั่งหัวเราะกันอยู่อย่างนั้นจนดึกดื่นแทบลืมเวลา ลมหนาวพัดเอื่อยๆช้าผ่านใจกลางกรุงเทพที่ไม่หลับใหล ดวงไปของานเทศกาลแห่งความหวังถูกจุดขึ้นทุกหัวมุมถนน นาฬิกาของชายหนุ่มทั้งสองคนเดินช้าลงมานานแล้ว แต่ทว่ามันกำลังจะหยุดเดินทวนเวลาและเริ่มต้นเดินต่อไปอย่างปกติอีกครั้ง
   เมื่อทุกๆอย่างทำให้รู้ว่ามันไม่ได้ยากเย็นกับการลืมอดีตที่เจ็บปวด และเลือกที่จะจำแต่ความทรงจำดีดีที่มีคุณค่า มันไม่ใช่การวิ่งหนีปัจจุบันไปหาอดีต แต่มันคือการหาความสุขที่มีความหมายกับเรามากกว่าปัจจุบันที่มันเป็นอยู่ก็เท่านั้น
   มิกและกายโบกมือร่ำลากัน และเดินจากกันไปคนละมุมฝั่งของถนน ต่างคนต่างชื่นชมในความรักที่ิ่งใหญ่ของอีกคนอย่างซาบซึ้ง
   

   “ขอบใจนะกาย ขอให้นายใช้ชีวิตที่นี่ของนายอย่างมีความสุขก็แล้วกัน แต่ว่ายังไงซะ ซักวันไอ้นัทก็จะกลับมาหานายเองแหละ ไม่รู้นะ ฉันเชื่ออย่างนั้น"


   “นายคือคู่ต่อสู้ที่ถูกคู่กับผมมาโดยตลอดเลยมิก ผมเคยคิดว่านัทจะเลือกคุณซะแล้วตอนแรก แล้วผมก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ๆ แต่....ผมเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นลูกผู้ชายที่ดีมาก หากผมกับนัทไม่ได้มาไกลขนาดนี้ตั้งแต่แรก แล้วนัทอยู่กับคุณ คุณก็คงดูแลเขาได้ดีพอพอกับผมเหมือนกัน ขอให้คุณสมหวังกับการรอคอยที่คุณหวังนี่ก็แล้วกัน"


   “Merry Christmas นะเพื่อน"
…........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 46 จบตอน) - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2011 10:34:18
ตอนที่ 46 Because You're The Best

   วันคืนแห่งเทศกาลความสุขผ่านไปอย่างอ้อยอิ่ง บนถนนแห่งแสงสีที่เต็มไปด้วยรถราและไฟประดับต้นคริสต์มาส ทำให้ถนนสาทรพอมีสถานที่น่าเที่ยวชมอยู่บ้าง งานอีเว้นท์เพื่อฉลองคริตส์มาสของแบรนด์ซูเม่ อินเตอร์เนชั่นนอลสาขาประเทศไทย ที่จัดขึ้นบนสะพานสกายวอล์คเหนือถนนสาทร มีแกลอรี่งานอาร์ทขนาดย่อมที่เหล่าดีไซน์เนอร์ของแบรนด์ชื่อดังมาร่วมกันแบ่งปันผลงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทศกาลที่น่าเฉลิมฉลองนี้
   คืนวันคริสต์มาสอีฟเริ่มต้นด้วยแฟชั่นโชว์จากคอเลกชั่น Diamond Winter เซ็ทพิเศษจากซูเม่ ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษจากเจนจิราที่ส่งคอเลกชั่นส่วนตัวของเธอมาถึงงานอย่างสุดพิเศษ และรวมถึง Visual Light & Sound ที่ฉยยิงขึ้นท้องฟ้ายามราตรีด้วยแสงสีสุดตะการตา และสุดแสนจะอบอุ่นจากกายสิทธิ์พ่อมดแห่งวงการที่ตั้งใจสื่อแสงสีที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพวาด Loveless Society ของคนที่เขากล่าวว่า เป็นคนสำคัญที่อยู่แดนไกล
   หรือแม้แต่เซ็ทภาพศิลป์จากอดีตชมรมนักศิลป์อิสระ ที่ดูเหมือนจะจัดตั้งขึ้นอีกครั้งโดยศิลปินร่วมจาก Art & Virtual กับ Lovable Studio ที่ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆงาน อวดสีสันแดงและเขียวอยู่บนผืนผ้าแคนวาส และที่ตั้งโดเด่นอยู่ท่ามกลาง ภาพเหล่านั้นก็คือ Loveless Society นั่นเอง
   อากาศที่หนาวเย็นกว่าทุกปีทำเอาผู้ร่วมงานในวันคริสต์มาสค่อนข้างบางตาลง การซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มตั้งแต่หัวค่ำในช่วงวันคริสต์มาสนี้จึงเป็นทางเลือกที่น้อยคนนักจะมาเสพย์งานศิลป์เอาในเวลานี้ ดังนั้นจึงมีแค่คนในวงการไม่กี่คนที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาในงานแบบนี้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกายที่อยู่ในชุดที่สุดแสนจะธรรมดาด้วยชุดกันหนาวที่สวมฮูทขึ้นบนศรีษะ ชายหนุ่มเดินเตร็ดเตร่ไปรอบๆงานจนกระทั่งมาหยุดยืนอยู่บนต้นคริสต์มาสที่ตั้งตะหง่านอยู่ใจกลางของงาน กายยืนมองมันอยู่อย่างนั้นหลายนาที
   “คุณกาย" เสียงอันคุ้นหูปลุกให้ตื่นขึ้นจากภวังค์
   กายหันไปหาเจ้าของเสียงนั้นทันที เป็นคนที่เขาเคยเจอมาแล้วครั้งหนึ่ง ในเวลาที่ดึกดื่นของคือนที่เจ็บปวดท่สุดในชีวิต
   “คุณฟ้า" กายทักเบาๆ พลางยื่นมือไปจับทักทายกับเธอ
   “ดีใจจังที่ได้พบคุณอีก ฉันต้องได้เจอคุณเอาตอนแปลกๆทุกทีเลย" ฟ้าว่า
   “แล้วตอนนี้ผมแปลกไปยังไงล่ะครับ" กายถามพลางยิ้มกว้าง
   “ก็...ดูคุณ เป็นคนปกติธรรมดามากๆ ถ้าฉันไม่ได้เพ่งมองดูตั้งนานก็ไม่รู้เลยนะว่าเป็นคุณ" ฟ้าว่าพลางหัวเราะ "เสื้อหนาวสวยดีนะคะ"
   “ขอบคุณครับ" กายตอบ "นี่ยังตามเป็นแฟนผมอยู่แน่เลย ขนาดผมปลอมตัวมาแล้วนะเนี่ย"
   “คุณเป็นพ่อมดนะคะ" ฟ้าว่า "ยังไงก็ยังมีออร่าอยู่รอบๆตัวคุณอยู่ดีนั่นล่ะ"
   กายหัวเราะพลางหันกลับไปมองต้นคริสต์มาสอีกครั้ง
   “แล้ว.....เรื่องที่คุยกันไว้คราวที่แล้ว" ฟ้าพูดขึ้น "คุณได้บอกเขาหรือยังคะ ว่าคุณติดตามเขามาตลอด คนสำคัญของคุณน่ะ"
   กายหันมามองเธอด้วยสายตาเบิกกว้าง
   “บอกแล้วครับ" กายว่า "ผมบอกในแบบของผม แล้วสงสัยว่าเขาคงไม่ชอบมั้ง ก็เลยเผ่นไปซะไกลแสนไกลแล้วล่ะ"
   ฟ้าหัวเราะเบาๆ
   “แย่จังยะคะ" ฟ้าว่า ก่อนจะงเียบกันไปพักนึง
   “ครับ" กายว่า "อันที่จริงแล้วก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่หรอก ผมก็ยังเป็นแฟนตัวยงของเขาอยู่ดีแหละครับ แค่บางทีอาจจะเข้ากันไม่ได้ล่ะมั้ง ผมเลิกคิดเรื่องนั้นแล้วล่ะครับ"
   “คอนเซปต์งานนี้คุณเป็นคนคิดหมดเลยเหรอคะ" ฟ้าถาม "Loveless Society ชัดมากเลยนะคะ"
   “ครับ ผม....ว่าผมเข้าใจความหมายของมันมากขึ้นแล้ว ก็เลยอยากลองตีความออกมาใหม่ดู แล้วก้ออกมาเป็นอย่างที่เห็นวันนี้แหละครับ" กายว่า "คุณว่ายังไงล่ะ"
   ฟ้ามองไปรอบตัว
   “มันอบอุ่นกว่าเดิมเยอะเลยค่ะ" ฟ้าว่า "อาจจะเป็นเพราะว่าคุณมาแทรกกลิ่นอายของคริสต์มาสเข้าไปด้วยล่ะมั้ง"
   “งั้นเหรอครับ" กายว่า
   “แต่มันยังไม่สมบูรณ์" ฟ้าว่า "เหมือนว่ามันอาจจะยังขาดอะไรไปล่ะมั้ง"
   กายเงียบเสียงลง
   “ขาดความหวังค่ะ ใช่แล้ว" ฟ้าพูดต่อ กายหันกลับมามองเธอทันที
   “คิดงั้นเหรอครับ" กายถามเธอ
   “ค่ะ คุณน่าจะเติมมันเข้าไปหน่อยนะฟ้าว่า แต่ก็คงไม่เป็นไรหรอกค่ะ งานออกมาแล้ว ไว้แก้ตัวครางหน้าก็ได้" ฟ้าว่า "งานปีใหม่คุณจะทำอีกไหมล่ะคะ"
   “ไม่ทำแล้วครับ" กายว่า "ปีใหม่นี้ผมอยากใช้เวลาเริ่มต้นกับสิ่งใหม่ๆซะที"
   “อ่อ...งั้น อธิษฐานกันไหมคะ" ฟ้าว่า "อธิษฐานกับต้นคริสต์มาสนี่"
   “อ...อะไรนะ" กายทึ่งในอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิงคนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว
   “ลองดูสิคะ" ฟ้าว่า "การอธิษฐานน่ะ เป็นการสร้างความหวังให้ตัวเองอย่างนึงนะคะ คุณไม่เคยขอร้องใครไม่ใช่หรอ ลองขอร้องจากต้นคริสต์มาสนี่ดูก็ได้"
   “จะดีเหรอครับ" กายว่า
   “อีกนิดเดียวน่าคุณกาย คุณก็จะเข้าใจทั้งหมดของ Loveless Society แล้ว ขาดแค่เรื่องความหวังเท่านั้นเอง" ฟ้าว่า
   “แล้วถ้าผมหมดหวังไปแล้วล่ะครับ" กายถามต่อ
   “ไม่จริงหรอกค่ะ" ฟ้าว่า "ฟ้าเชื่อว่า มันยังหลงเหลือ ความหวังที่ยังเหลืออยู่ในตัวของคุณ ไม่อย่างนั้นคุณไม่ทำงานที่แตกประเด็นจาก Loveless Society มาได้ไกลขนาดนี้หรอกค่ะ เชื่อฟ้าเถอะ ลองดูค่ะ"
   กายหันหน้ามาหาต้นคริสต์มาสอีกครั้งพลางทำหน้าสงสัย
   เขาไม่เคยเชื่อเรื่องแบบนี้เลยมาทั้งชีวิต และไม่เคยคิดแม้แต่จะทำ
   เขาไม่เชื่อในความหวังใดใด หากเขาไม่แน่ใจแล้วว่ามันมีทางเป็นจริงได้บ้าง แต่เรื่องแบบนี้มันเกินกว่าที่เขาจะรับได้ มันไร้สาระเกินไป


   หากคืนคริสต์มาสคือคืนแห่งความหวังจริงๆ ผมไม่เคยขออะไรเลยทั้งชีวิตนี้ ถ้าวันนี้ผมต้องขอกับอะไรอย่างนี้ ผมขอแค่เรื่องเดียวก็แล้วกัน....

   ขอให้เขากลับมาหาผมทีได้ไหม.....
   แค่คืนเดียวก็ยังดี.....
….......

   ผู้คนบนสกายวอร์คลหมดลงโดยสมบูรณ์เมื่อถึงเวลาแห่งคริสต์มาสผ่านไป ความวุ่นวายเริ่มบางตาขณะที่กายเดินเตร็ดเตร่ไปตามถนนสาทรเพื่อเดินไปยังรถของตัวเองที่เขาแอบจอดเอาไว้ในที่ของร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาเดินเล่นยามค่ำคืนบนถนนสายนี้เป็นประจำหลังจากเลิกงาน เขาจะนั่งคร่าเวลาอยู่ที่ออฟฟิศพี่สุเมธอย่าไม่จำเป็นจนกระทั่งดึกดื่น และค่อยออกมาเดินตามถนนสาทรพร้อมกล้องถ่ายรูปตัวโปรด ไล่ตั้งแต่สกายวอร์คที่ตอนนี้สถานที่จัดงานเหลือเพียงต้นคริสต์มาสตั้งตะหง่านเท่านั้นไล่ไปจนถึงสะพานตากสินทุกๆคืน  ทุกตึกที่เขาเดินผ่านต่างมีต้นคริสต์มาสเรียงรายและเต็มไปด้วยไฟหลากสีสัน ที่ประดับตามต้นไม้ อากาศที่หนาวเย็นลงเรื่อยๆ ทำให้เขาถึงกับต้องซุกตัวลวกับเสื้อหนาวที่อบอุ่น
   คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ที่ 30 ธันวาคมแล้ว เป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ ราวกับว่าวันเวลาของปีนี้เดินทางมาหยุดได้ประจวบเหมาะอะไรแบบนี้ วันสิ้นปีและวันปีใหม่เป็นเสาร์ อาทิตย์ ดังนั้นวันนี้เป็นวันทำงานวันสุดท้ายของปี วันสุดท้ายแล้วของทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนี้ กายยังคงยืนมองต้นคริสต์มาสที่เขาอธิษฐานเมื่อวันคริสต์มาสอยู่อย่างนั้นทุกๆวัน ในเวลาดึกๆแบบนี้ ยืนมองวันมาวันนี้เป็นวันที่ 6 แล้ว ราวกับจะรอปาฎิหารย์อะไรซักอย่างให้เกิดขึ้น
   เขาถอนหายใจหนึ่งครั้งพลางออกเดินไปตามถนนเส้นเดิมที่คุ้นเคย



   มิกเก็บข้าวของของตัวเองบนโต๊ะทำงานในบ่ายที่ไม่ถึงกับร้อนระอุ แต่เหงื่อที่ท่วมตัวเกิดจากการไล่เก็บข้าวของของตัวเองที่รกจัดเกินไป ให้ลงกล่อง เพื่อบอกลาสตูดิโออันเป็นที่รักแห่งนี้เป็นวันสุดท้าย อาร์มแวะเข้ามาช่วยเขาเมื่อเช้า ด้วยสีหน้าแช่มชื่น ก่อนจะขอตัวออกไปสยามเพื่อจัดอีเว้นท์ปีใหม่ที่พารากอน หนุ่มน้อยหัวใจสีชมพูสวมกอดมิกอย่างพอเป็นพีธี เพื่อเป็นการร่ำลา เธอปาน้ำตาเล็กน้อยก่อนจะยิ้มกว้าง พร้อมบอกกับมิกว่าไม่ต้องเป็นกังวลใดใดทั้งสิ้น เธอโอเคแล้วกับการอยู่ที่นี่ต่อไปโดยไม่มีมิก เธอสัญญาว่าจะทำงานออกมาให้ดียิ่งๆขึ้น ไม่ให้เสียชื่อสตูดิโอสามแห่ง Lovable Studio อย่างแน่นอน
   มิกไม่ได้เทียวไปเช็คอะไรกับห้องของเจ๊ผึ้งอีกแล้ว ตามความจริงก็คือสำหรับเรื่องความหวังที่เหลืออยู่ มันเริ่มหมดไปตั้งแต่วันพุธแล้วด้วยซ้ำ เขามีอะไรๆต้องจัดการก่อนเขาไปมากเกินไป จนไม่เหลือที่ว่างในสมองให้นึกถึงเรื่องอื่นๆอีก เจ๊ผึ้งหายไปกับครอบครัวตั้งแต่ต้นสัปดาห์เพื่อไปฉลองเทศกาลอันหน้ายินดีนี้ที่เชียงใหม่ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอัตราการจ้างพนักงานใหม่ของ Lovable Studio แล้ว
   หมดหน้าที่ของเขาแล้วจริงๆ
   ชาหยนุ่มหยิบเอาแฟลชไดรฟ์ที่คนสำคัญของเขาทำให้ขึ้นมา ยิ้มให้กับมันครั้งหนึ่งก่อนจะเก็บมันลงไปที่กระเป๋ากางเกง
   สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือความทรงจำที่มีคุณค่า
   รูปถ่ายทุกใบที่เขาได้จากแฟลชไดรฟ์อันนี้ทุกอัดปรินท์แปะเอาไว้ที่กระเป่าเดินทางอย่างหนาแน่นทุกใบ หรือแม้แต่บทเพลงขอบคุณกันและกันที่ถูกใช้เป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์มือถือของเขาไปด้วย
   เขาไม่มีทางลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่แน่ๆ
   ไม่มีวัน.....



 
   กายถ่ายรูปดวงไฟที่ปรับเบลออย่างประณีตและตรวจเช็คอีกครั้ง พ่อมดในชุดแสนจะธรรมดาที่เดินอยู่ริมถนนอย่างค่ำคืนแบบนี้ ไม่ต่างอะไรจากช่างภาพอิสระที่เดินไปตามถนนอย่างไม่มีจุดหมาย เขาทำมันไปเรื่อยๆอย่างใจเหม่อลอย อย่างน้อยๆก็ต้องมีอะไรที่เขาต้องทำบ้าง เพื่อไม่ให้หัวสมองต้องคิดถึงเรื่องอะไรๆอีก
   เลี้ยวที่หัวมุมถนน ชนเข้ากับชายคนหนึ่งที่วิ่งมาอย่างรวดเร็วจนตั้งตัวเอาไว้ไม่ทัน
   “ขอโทษครับ" ชายหนุ่มคนนั้นกล่าวขอโทษ พลางเดินจากไป เขาไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก ก่อนจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง
   คำพูดอันรีบร้อนและดูคุ้นหูแบนั้นส่งสัญญาณบางอย่าง ชายหนุ่มคนนั้นจะรีบเร่งอะไรขนาดนั้นนะ แต่เมื่อหันหลังกลับไปเพื่อมองดูให้ชัดว่าอะไรเป็นอะไร ชายหนุ่มคนนั้นก็หายไปเสียแล้ว




   มิิกปิดผนึกกล่องของตัวเองใบสุดท้ายก่อนจะยกมันออกไปรถกระบะขนของที่จอดรออยู่หน้าออฟฟิศแล้ว แอนและฝ้ายจากฝ่ายประชาสัมพันธ์เป็นเพียงสองคนที่มายืนส่งเขา เธอส่งลาเขาด้วยแววตาชื่นมื่น อย่างน้อยๆวันนี้ก็มีคนมาส่งเขาบ้าง ในช่วงเทศกาลที่มีแต่คนหยุดไปเที่ยวกันแบบนี้
   เขากลับเข้ามาในสตูดิโออีกครั้งเพื่อหยิบกระเป๋าของตัวเอง เขาหันหลังกลับไปมองสตูดิโอเป็นครั้งสุดท้าย หัวใจของเขารู้สึกโหวงขึ้นมาอย่างประหลาดอีกครั้ง ชายหนุ่มหายใจเข้าลึกๆอีกครั้งก่อนจะเดินไปปิดประตูสตูดิโอแล้วล็อคลง มิกลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งลงหน้าแมคในตำแหน่งที่เขากะเอาไว้ว่าคนสำคัญที่เคยส่งข้อความให้เขา จะนั่งอยู่ตรงนี้ เปิดโปรแกรมอัดวีดีโอขึ้นมาเพื่อทำอะไรบางอย่าง


   “หวัดดีเอิร์ธ" มิกพูดขึ้น "นี่พี่เองนะครับ....ค....คนดี"

   กายเดินย้อนรอยเท้าของตัวเองเมื่อกี้ด้วยสัญชาตญาณ บางทีความหวังอาจจะไม่ได้ไร้สาระขนาดนั้นก็ได้ หรือบางทีเขาจะลองเสี่ยงดูกันนะ


   “ว....วันนี้...พี่ต้องไปจากที่นี่แล้ว" มิกพูดต่อ "มีอะไรๆเกิดขึ้นที่นี่เยอะมาก แล้ว พี่เองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่ายังไงดี แบบว่า....พี่ต้องไปทำงานที่ปารีสแล้ว อาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้วนะ พี่....พี่เห็นเราอัดวีดีโอทิ้งไว้ที่นี่ก่อนที่จะไป พี่ก็เลยอยากจะทำมั่ง........
   เอิร์ธ พี่รักเรามากนะ....พี่ขอโทษที่ไม่มีโอกาสบอกว่าพี่จะต้องไปแล้วเร็วกว่านี้ แต่ที่ผ่านมา ตั้งแต่เราจากกัน พีก็รอมาเสมอ หวังว่าเราจะกลับมาที่นี่ กลับมา....อยู่ด้วยกัน.....แต่พี่รอนะ......พี่รอเรามาทุกวันเลย......รวมวันนี้แล้วก็ 194 วันพอดี แต่....พี่ก็ต้องไปแล้ว......”



   กายมองเห็นชายหนุ่มคนนั้นแล้ว ชายหนุ่มที่เดินเงอะเงิ่นอยู่ใต้หมวกคลุมศรีษะเพื่อกันหนาว ชายหนุ่มคนนั้นกำลังมุ่งหน้ากลับไปที่ต้นคริสต์มาสเหนือสี่แยกสาทรตรงนั้น


   “ไม่รู้ทำไมพี่มีความเชื่อมั่นแปลกๆ ว่าแกจะต้องกลับมาเอิร์ธ พี่ก็เลยอยากจะบอกแกผ่านวีดีโอนี้ เผื่อว่าวันนึงแกกลับมาทำงานที่นี่ ว่า......
   พี่ดีใจเสมอที่เราสองคนมีเวลาดีดีรวมกันในสตูดิโอเล็กๆนี่ และพี่ก็ขอบคุณที่เรารักพี่.....แกคือคนที่ดีที่สุดสำหรับพี่นะคนดี......
   ลาก่อนนะเอิร์ธ....แล้ววันนึงเราคงได้พบกัน"



   กายยืนอยู่บนเชิงสะพานสาทร ขณะที่ชายหนุ่มคนนั้นเดินไปหยุดอยู่หน้าต้นคริสต์มาสต้นนั้น กายมองร่างนั้นเขม็ง หัวใจของเขาเต้นรัวอย่างที่ไม่เกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว เต้นรัวเหมือนที่ปารีสเมื่อสี่เดือนก่อน..
   เต้นรัวเหมือนตอนที่เขาพบคนสำคัญของเขาครั้งแรกจริงๆเมื่อตอนต้นปี...
   เต้นรัวเหมือนค่ำคืนที่หมู่บ้านที่แสนห่างไกล...


   ชายหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดาวที่อยู่บนยอดต้นคริสต์มาสก่อนจะก้มหน้าลง
   เขาเอื้อมมือขึ้นมาถอดฮูทที่ศรีษะตัวเองออก
   และ........
…...........
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 31-12-2011 10:36:58
ตอนที่ 47 Loveless Society


   มิกหลับตาลงพลางลุกขึ้นไปกดจบการบันทึกของวีดีโอ ตอนนี้หมดเวลาของเขาจริงๆแล้ว เขาลุกขึ้นปาดน้ำตาที่เอ่อคลอในดวงตาด้วยความคิดถึงจับใจ ไม่มีประโยชน์ที่จะถ่วงเวลาอยู่ที่นี่ไปมากกว่านี้แล้ว อย่างที่หลายๆคนบอกเขา หรืออย่างที่คาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรก
   ไม่มีใครกลับมาหาเขาแน่นอน
   ยิ้มให้กับความเสียใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเสียงเคาะประตูอย่างรัวเป็นกลองก็ดังขึ้น กระจกฝ้าของประตูมีสีชมพูลอดมาให้เห็นลางๆ มิกส่ายหัวหนึ่งครั้งก่อนจะวิ่งไปเปิดประตูรับเรื่องที่น่าจะเร่งด่วนของอาร์ม
   “ว่าไง" มิกเปิดประตูออกไปพบกับอาร์มที่ตกใจเล็กน้อย
   “อ้าวเฮียยังไม่ไปอีกเหรอ แล้วนี่ล็อคประตูทำไมเนี่ย" อาร์มถามขึ้น มิกทำท่าเงอะเงิ่นอยู่พักนึง
   “ก็ว่าจะถ่ายรูปสตูเก็บไว้ไง ก็เลยจะปิดแสงเอาสวยๆ" มิกแถไป อาร์มทำหน้าเหยเก
   “ต๊ายโรแมนติกกับเค้าเป็นด้วยนะเฮีย ถอยไปที หนูลืมของอ่ะ ให้ตายสิ" อาร์มว่า มิกหลีกทางให้กับอาร์มพลางหันหลังกลับไปที่โต๊ะตัวเองเพื่อหยิบของชุดสุดท้าย
   “นี่ๆ มาช่วยยกด้วยสิยะ เจ๊ผึ้งไม่ได้ส่งนายมาให้ยืนเฉยๆนะ" อาร์มออกเสียงโวยวาย "เข้ามาแล้วก็หวัดดีพี่มิกเค้าซะด้วย พี่เค้าเคยอยู่ที่นี่แล้วกำลังจะไปแล้ว นายกำลังจะมาแทนเค้านะ"
   เหมือนอะไรบางอย่างดึงเอาห้วงเวลารอบๆตัวมิกให้ไหลย้อนกลับอีกครั้ง ชายหนุ่มยืดตัวตรงพลางหันหลังกลับไปยังประตูที่อยู่ด้านหลัง
   รอยยิ้มอันกวนประสาทและใบหน้าที่ขาวสะอาดเกลี้ยงเกลาของเด็กหนุ่มขาวตี๋ร่างกายกำยำยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตู ส่งรอยยิ้มกริ่มและดวงตากลมโตเบิกกว้างมาให้มิก เขายืนมองภาพสะท้อนจากจิตใต้สำนึกของตัวเองอยู่นานอย่างนั้น มันชัดเจนจนร่างกายสั่นไหว ชัดเจนจนอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้
   “หึหึ" เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้น "โต๊ะสะอาดขึ้นนะพี่"
   อาร์มหันควับมามองมิกและน้องจูเนียร์ดีไซน์เนอร์คนใหม่ทันที
   “นี่เจ้าเอิร์ธ พูดกับพี่มิกเค้าอย่างงั้นได้ยังไงกันเนี่ย" อาร์มโวยวายเสียงดัง "มาช่วยกันขนของตรงนี้ไปที่รถเร็วๆเข้าเลย ใบสุดท้ายแล้ว"
   อาร์มเดินขนของเต็มไม้เต็มมือพลางเดินผ่านร่างของเจ้าของเสียงนั้นไป
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบ มิกยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เอิร์ธก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมามองมิกด้วยสายตาหล่อพิฆาตใจ แต่ทว่ามันไม่มีผลอะไรกับมิกในตอนนี้แล้ว
   “โห...ไม่สำเร็จแหะ" เอิร์ธพูดติดตลก "สงสัยลืมเราแล้วแหงม"
   มิกเดินตรงรี่เข้ามาหาเอิร์ธก่อนจะดึงร่างเด็กหนุ่มเข้ามาสวมกอดเอาไว้ทันที มิกหลับตาลงพร้อมกับหลั่งน้ำตาลงเบาๆ เขาปล่อยผ่ายความรู้สึกที่อยากจะบอกร่างตรงหน้าเขาตรงนี้ว่า เขาคิดถึงเอิร์ธมากมายแค่ไหน
   “ใจเย็นพี่มิก" เอิร์ธกระซิบที่ข้างหูเบา "ผ...ผมมาแล้วพี่....ผมอยู่นี่แล้ว"
   มิกไม่มีคำพูดใดใดออกมา เขากอดเอิร์ธอยุ่อย่างนั้น เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง น้ำตาเอ่อคลอ เมื่อร่างกายรับรู้ถึงความรู้สึกที่ปล่อยผ่านมา มันเอ่อล้นเสียจนเขาไม่อาจจะปล่อยให้ผ่านไปได้
   “ผมรู้แล้วพี่มิก....” เอิร์ธตอบ "ผม....ผมก็คิดถึงพี่ครับ.........ผมคิดถึงพี่ทุกทุกนาทีเลย.......ผม....ผมขอโทษนะพี่ที่...."
   “ไม่ต้องพูดแล้ว" มิกกอดน้องเอาไว้อย่างนั้น "ไม่ต้องพูดแล้วเอิร์ธ.......”
   มิกลูบหัวของเอิร์ธทันที เขาหลับตาซึมซับความรู้สึกนี้เอาไว้อีกครั้ง
   “...พ....พี่จะไปแล้ว......” มิกว่า "….พี่ต้องไปแล้ว......ขอพี่แค่นี้ก็พอแล้ว...พอแล้วจริงๆ"
   เอิร์ธหลับตาลงอีกครั้ง
   “ผมรู้แล้วล่ะ" เอิร์ธว่า "ผม...รู้แล้ว..ว่าพี่จะไป......”
   มิกผละออกจากเอิร์ธทันที พลางมองเข้าไปในดวงตาของคนที่เขาเฝ้ารอมาตลอดตรงนี้
   “ผม...ผมรู้แล้ว ผมพยายามตามพี่มาให้ทันแล้ว" เอิร์ธว่า "ขอโทษนะพี่ ที่มาเอาป่านนี้"
   “แค่แกกลับมา พี่ก็พอใจแล้วเว่ย" มิกว่าพลางยิ้มให้กับเอิร์ธ
   “ล...แล้ว...ยังเหมือนเดิมไหมอ่ะ" เอิร์ธถามขึ้น ด้วยเสียงเขินๆ
   “อะไรวะ" มิกถามน้อง
   “เราสองคนไง มันยังเหมือนเดิมอยู่ไหมอ่ะพี่" เอิร์ธถาม
   มิกยิ้มให้น้อง
   “มันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนไป ตั้งแต่วันที่แกไม่อยู่" มิกตอบ "ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย"
   เงียบกันไปพักนึง
   “แต่..พี่มีเรื่องสุดท้ายที่อยากจะสอนแกเป็นเรื่องสุดท้าย" มิกว่า
   “อะไรอ่ะพี่" เอิร์ธถาม
   “นี่คือ Loveless Society ของแกแล้วนะ" มิกว่า "รู้หรือเปล่าว่าจะต้องเจอกับอะไร"
   “รู้ครับ" เอิร์ธตอบ
   “แล้วรู้หรือเปล่า ว่าเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกนะ" มิกว่า "การจากลาของเราสองคน เพิ่งเริ่มต้นนะ"
   “รู้ครับ" เอิร์ธตอบอีก
   “แล้วรู้นะว่า พี่จะเดินไปข้างหน้าต่อไป โดยไม่ได้หันหลังกลับมาแล้ว" มิกถามอีก เอิร์ธก้มหน้าลง
   “รู้ครับ" เอิร์ธตอบอีก "ผมบอกพี่แล้วไง ผมไม่สนใจมันซักอย่าง....มันอาจจะเกิดขึ้นจริงๆแล้วก็ได้ โลก Loveless Society อาจจะโหดร้ายก็จริง แต่ถ้ามันคือที่ที่ผมจะได้รักกับพี่ต่อไป ผมยอมพี่....ยอมทุกอย่างเลย"
   มิกยิ้มกว้างให้กับเอิร์ธ พร้อมกับเสียงตะโกนไล่หลังมาของอาร์มที่กำลังคงจัดของอยู่เพียงลำพัง
   “อย่าดิพี่ ผมเขินนะ" เอิร์ธว่าพลางเกาหัวแกรกๆ "มีอะไรอีกป่ะพี่ ลูกน้องใหม่ของพี่เขาจะเด็ดหัวผมแล้ว"
   “พ...พี่ไม่รู้จะเป็นยังไง..ถ....ถ้าไอ้เต่าทองที่พี่จะเอาไปที่โน่นด้วย จะไม่มีคนนั่งข้างๆอีกแล้วน่ะ" มิกพูดเบาๆกับตัวเองพลางส่ายหัว "ขอโทษนะ พี่แค่.....อยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ ที่เจอแกตรงนี้มันเหมือนกับ ความฝันเลย"
   “หึหึ" เอิร์ธว่า "ผมว่า.....อีกหกเดือนกว่าๆ ไอ้เต่าทองของพี่ที่ฝรั่งเศสก็ไม่ว่างแล้วล่ะฮะ"
   มิกเงยหน้าขึ้นมามองเอิร์ธอีกครั้ง พลางขมวดคิ้ว
   “ถึงหกเดือนที่ผ่านมานี่ผมจะเอาแต่วิ่งตามพี่ หนีครอบครัว ทำเรื่องจบจนได้ ผมก็ไม่ลืมวางแผนให้ได้อยุ่กับแฟนเอาไว้หรอก" เอิร์ธว่า "ผมจะไปเรียนต่อโทดีไซน์ที่ฝรั่งเศส แค่รอให้พวกเขาคอนเฟิร์มการสิบสัมภาษณ์ถ้าผ่าน อีกหกอาทิตย์ผมก็จะย้ายไป นั่นคือสาเหตุ ที่ผมไม่คอนเฟิร์ม Lovable Studio กับเจ๊ผึ้งตั้งแต่แรกไงล่ะ"
   มิกยิ้มกว้างให้กับเอิร์ธ
   “เพราะผมก็รู้......ว่าผมทนไม่ได้เจอหน้าพี่นานไปกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ" เอิร์ธว่า
   “ไอ้ตัวแสบเอ้ยยยยย"
   มิกว่าพลางดึงเอิร์ธเข้ามากอดแน่นอีกครั้งก่อนจะหัวเราะกันอยู่สองคน
   “รักผมมากขึ้นมั้ยนะ แบบนี้" เอิร์ธถามเบาๆที่ข้างหูมิกในอ้อมกอดนั้น
   “นายนึกไม่ออกเลยล่ะครับ" มิกตอบ "ไอ้ตัวแสบของพี่"
   ยิ้มให้กันอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้เลยว่าหนุ่มน้อยหัวใจสีชมพู อยากจะเด็ดหัวทั้งคู่อนู่ที่หน้าออฟฟิศแล้ว มิกมองไปยังรูปของเขา นัทและสาที่แปะอยุ่ยนกำแพงสตูด้านหลังของเอิร์ธก่อนจะยิ้มกว้าง
   ขอบใจมากนะ แกสองคน....
   ขอบใจมากจริงๆ....
…..........

   กายเดินช้าๆขึ้นไปยังลานสกายวอร์คอย่างเย็นชา ราวกับกาลเวลาหยุดหมุน ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใดเลย นอกจากยืนมองต้นคริสต์มาสอยู่ตรงนั้น
   ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาขาวสะอาด ร่างกายสมส่วน ผมยาวประบ่ารวบผูกเอาไว้ด้านหลังยืนมองดวงดาวที่อยู่บนยอดต้นคริสต์มาสอยู่อย่างนั้น โดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นรอบข้าง
   “โกหกกันนี่" ชายหนุ่มเอ่ยขึ้น "ไม่มีสีเทาซักหน่อย ไม่เหมือนภาพผมเลยซักนิดเลยคุณเจน"
   ชายหนุ่มคนนั้นส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะหันหลังกลับมา และสบตาเข้ากับพ่อมดที่กำลังยืนมองเขาอยู่ไม่ไกลกันนัก สายลมหนาวพัดมาเบาๆ ทำเอาหนาวสะท้านไปทั้งร่างกาย ราวกับว่าแววตาที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่เฝ้าปราถนามานาน กายยืนมองชายหนุ่มคนนั้นนิ่ง
   นี่เป็นความฝัน....เขาคิดในใจ
   นี่มันเกินไปแล้ว......ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้กายทันที
   “คุณน่าจะใส่สีเทาลงไปด้วย" นัทพูด "ตอนผมลงสีเทาลงไป ภาพมันสวยขึ้นจริงๆนะ"
   กายยังคงมองเข้าไปในดวงตาของนัทนิ่ง
   “ไม่อย่างนั้นคุณก็คงไม่เข้าใจจริงๆหรอก ว่าผมต้องการจะพูดอะไรในภาพ Loveless Society น่ะ" นัทว่าต่ออีก
   มือของกายสั่นไหว เหมือนกับว่าความหนาวเย็นได้คลืบคลานเข้ามาอีก
   “คุณ....กล้ามากนะ ที่เอางานผมมาทำแบบนี้น่ะ" นัทพูดต่อเสียงใส "ถึงคุณจะเป็นแถวหน้าของวงการ แต่ทำแบบนี้ใส่กันน่ะ มันไม่เป็นมืออาชีพเลยซักนิด อย่างน้อยคุณก็น่าจะลองดูก่อน ว่างานคุณกับงานผม มันเข้ากันได้จริงหรือเปล่า"
   กายหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา
   “แน๊ะ ยังจะหัวเราะอีก" นัทว่าต่อ "นี่ผมบินมา16 ชั่วโมงก็เพื่อจะมาดูนะเนี่ยว่าคุณจะทำงานผมออกมายังไง หรือว่า จะได้รับคำขอโทษซักนิดว่า.....คุณไม่ได้ตั้งใจจะเอางานของผมมาทำให้มันเปลี่ยนไป"
   กายยิ้มกริ่มพลางยืนกอดอกทันที
   “ผมน่ะ ไม่คิดว่าคุณกับผมจะเข้ากันได้หรอกนะกาย" นัทว่า "แล้วคุณว่าไงล่ะ"
   กายก้มหน้าลงพลางเดินเข้าไปหาร่างตรงหน้าที่ตีหน้าตายใส่เขาตรงนั้น
   “ผมเห็นทุกอย่างแล้วนัท" กายพูดเบา "ผมเข้าใจทุกอย่างที่เป็นตัวคุณแล้ว......”
   กายก้มตัวลงจูปกับนัททันที
   ริมฝีปากทีเย็นยะเยือกเริ่มอบอุ่นขึ้น มือทั้งสองข้างเริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง ลมหนาวแห่งความคิดถึงอันยาวนานจางหายไป กายถ่ายทอดหัวใจทั้งหมดที่เขามีไปให้นัททันที ร่างกายที่ตื้นตันไปด้วยความคิดถึง เอ่อล้นมาแทนที่ความหนาวเหน็บ มันอบอุ่นเสียจนอยากหยุดเวลา
   นัทผละตัวเองออกมา พลางมองหน้ากายและอมยิ้ม
   “แค่นั้นเองเหรอ" นัทถามต่ออีก "16 ชั่วโมงของผม ได้แค่นี้เองเหรอ"
   กายก้มหน้าลง พลางกัดริมฝีปากด้วยความไว้ท่า
   “เห้อ อย่างว่าแหละนะ พ่อมดแห่งวงการ เค้าจะมาอะไรกับดีไซน์หน้าใหม่ไฟแรงอย่างเรากันล่ะหึ" นัทว่า
   “ที่คุณใส่สีเทา เพราะคุณไม่มีความหวังแล้ว" กายพูดขึ้น "คุณหมดหวังกับโลกลวงๆอย่าง Loveless Society ไปแล้ว"
   นัทหันกลับมามองกายอีกครั้ง
   “ผมเอามันออกไป แล้วแทนที่มันด้วยเขียวและแดงของคริสต์มาส" กายว่า "สีแห่งความหวัง ผมขอเป็นความหวังที่คุณไม่มีใน Loveless Society ได้หรือเปล่า"
   “อื้ม" นัทว่า "ละเอียดดี...แต่....แค่นี้จริงๆเหรอ 16 ชั่วโมงเชียวนะ อย่างว่าแหละ จะไปสู้ 4 ปีของพ่อมดระดับแถวหน้าของวงการได้ยังไงกันน้า"
   กายเกาจมูกอย่างไว้พลางยิ้มกริ่ม
   “ผมเอ่อ....ผมเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นยังไง คุณเอ่อ......ต้องการความรักแบบไหน" กายพยายามพูดต่อ "แล้วผมก็คิดว่าผม หาวิธีที่กึ่งกลางของเราสองคนได้แล้วด้วย"
   “โอ้" นัทว่า "ดีจังเลยอ่ะ แต่......16 ชั่วโมงเชียวนะคุณ"
   “16 ชั่วโมงงั้นเหรอ" กายกัดฟันพลางดึงนัทเข้ามาหาตัวเองทันทีพลางส่งสายตากวนๆให้กับนัททันที
   “อะไรเนี่ยคุณ หมดความอดทนอีกแล้วเหรอ" นัทว่า พลางพยายามขัดขืนอย่างไม่เต็มกำลังนัก
   “แล้วรู้หรือเปล่า ว่าผมรอคุณมานานจนจะบ้าตายอยู่แล้วน่ะครับ คุณ นัท" กายพูดเสียงเข้ม นัทเลิกคิ้วใส่กาย จงใจที่จะกวนประสาท
   “แล้วยังไงอ่ะครับ คุณ กาย" นัทยิ้มให้ "แค่นี้เองน่ะเหรอ"
   "หึหึ" กายหัวเราะในลำคอพลางยื่นหน้าเข้าไปหานัทมากขึ้นและ...
   “อย่าไปไหนอีกนะครับนัท" กายกระซิบเบาๆที่ข้างหูของนัททันที
   แล้วก็เข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น
   “แค่นั้นแหละ ที่ผมต้องการน่ะกาย" นัทตอบเบาๆ ก่อนจะสวมกอดกับกายทันที
   กายกอดนัทแน่นอยู่ตรงนั้นอีกครั้งพลางมองขึ้นไปบนต้นคริสต์มาสตรงนั้นอีกครั้ง

   ขอบคุณครับ.....
   ขอบคุณจริงๆ....



   สายลมหนาวแห่งการเริ่มต้นพัดหวนมายัง Loveless Society อีกครั้ง บนถนนที่แสนวุ่นวายและไร้รัก ยังมีหัวใจที่เข้าใจการอยู่กับความเจ็บปวด การจากลา ความคิดถึง เรื่องราวที่ไหลวนอยู่ทั้งหลายทั้งปวง มาสู่จุดสิ้นสุด เมื่อสีวันที่แห้งแล้ง ถูกแต่งแต้มลงด้วยความหวัง สิ่งๆเดียวผู้คนในโลก Loveless Society ทำมันหล่นหายไป ทั้งๆที่แท้จริงแล้ว มันไม่ได้ยากที่จะตั้งมั่นกับตัวเองเอาไว้ และเชื่อว่าซักวัน วันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า เรื่องราวที่ดีกว่าจะต้องเกิดขึ้น ความเจ็บปวด การจากลา ความคิดถึง จะต้องจบลง
   กายจับมือนัทเดินไปตามท้องถนนที่คุ้นเคย เส้นทางใหม่ที่ไม่มีน้ำตา ไม่มีการขอร้อง ไม่มีการจากลา มีเพียงความเข้าใจซึ่งกันและกัน ที่กำลังหล่อหลอมขึ้นใหม่ ในหัวใจที่อบอุ่นสองดวง จะมีเพียงมืออันอบอุ่นของกันและกันเท่านั้น ที่จะจับมือกันก้าวข้ามผ่านปีนี้ไป
   เอิร์ธโบกมือลามิกที่สนามบินอย่างเรียบง่าย ในขณะที่ตัวเองได้เริ่มต้นใหม่กับสิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต นั่งขำกับวีดีโอที่มิกอัดเอาไว้ให้ตัวเองดู สำหรับเอิร์ธแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลยซักนิด เพราะสำหรับเขา เขาพร้อมที่จะรักมิกและตามคนที่สำคัยของเขาไปในทุกๆที่ และเขาก็เชื่อว่ามิกเอง ก็คงรอเขาอยู่ไหนซักแห่งที่อยู่ไกลออกไปเหมือนกัน
   มิกนั่งมองรูปถ่ายของตัวเองจากมือถือ ก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ไม่เสียใจเลย ที่ตัดสินใจรอสิ่งที่มีความหมายมาจนวินาทีสุดท้าย มันคุ้มค่าที่รอคอบเหลือเกิน มองมือที่ได้สัมผัสความอบอุ่นแม้เพียงชั่วครู่ แต่นั่นก็เพียงพอแล้วที่รอคอยมา เพียงพอที่สุดแล้ว
   เวลาไม่มีจุดเริ่นต้นและจุดสิ้นสุด การเดินทางค้นหาความรักที่มีคุณค่าและเหมาะกับชีวิตที่สุดยังคงดำเนินต่อไป เมื่อฤดูหนาวแห่งความเดียวดายไร้รักจบลง คลื่นพายุแห่งความเย็นชาจะพัดโหมเข้ามาแทนที่ เรื่องราวของผู้คนที่ยังคงเดินทางจะยังคงเริ่มต้นต่อไป เริ่มต้นที่ดินแดนใดดินแดนหนึ่งที่ห่างไกลออกไปนับพันไมล์ เรื่องราวที่ไม่มีที่สิ้นสุดบนเส้นทางสายใหม่ ที่ยังมีการค้นพบความรักในแบบใหม่ๆรออยู่ จับมือคนที่รักแล้วเดินไปพร้อมๆกัน


   “อะไรนะ นี่เธอบอกว่าอะไรนะ ฉันไม่เชื่อหรอกย่ะ ยัยแม่มด อย่านึกว่าฉันไม่รู้นะว่าหร่อนร้ายกาจแค่ไหน" เสียงของสาพูดอย่างหัวเสีย ขณะเดินไปตามท้องถนนที่ปกคลุมไปด้วยหิมะของเบอร์ลิน เคียงข้างกับมิตรฉันท์ศักตรูที่เดินอย่างมาดมั่นไม่หวั่นกลัว
   “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่ทุกๆอย่าง เจนเป็นคนวางแผนค่ะคุณสา" เจนว่า "ถ้าทุกอย่างมันจบแฮปปี้เอนดิ้งล่ะก็ คุณต้องขอบคุณฉันด้วยซ้ำ"
   “ม....ม...ไม่เชื่อหรอกย่ะ ถ้าหล่อนจะบอกว่าหล่อนคาดเอาไว้แล้วว่าทุกอย่างจะออกมาเป็นอย่างนี้" สาว่าเสียงเหวี่ยง "มันมีตัวแปรเยอะเกินไป ฉันต่างหาก ที่พลิกแผนหล่อนให้จบลงแบบนี้ หล่อนไม่ต้องมาแถ"
   “โอ๊ย..นี่คุณสา คุณจะว่าฉันแรงไปแล้วนะ"
   “แล้วยังไงล่ะ มันเรื่องจริงทั้งนั้น"
   “ฉันเสียตลอดให้ตายสิ ไม่รู้ว่ากายเค้าจะยังไงกับฉันด้วยซ้ำตอนนี้น่ะ ขณะที่เพื่อนคุณจบลงอย่างมีความสุข"
   “ก็ช่างหล่อนสิยะ สมน้ำหน้า"
   “คุณสา!!!!”


จบบริบูรณ์
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: iforgive ที่ 31-12-2011 10:58:04
ดีใจที่นัทกับกายเข้าใจกันซักที  ลุ้นแทบตาย  ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: kuichai ที่ 01-01-2012 01:46:37
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่องนีี้นะคะ

สุดท้ายคนทุกคนก็ยังมีความหวัง

ปล. Happy new year ขอให้มีความสุข และความหวังเสมอๆนะคะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: love2y ที่ 01-01-2012 02:34:08
อ่านเรื่องนี้มาสองวันสองคืน ในที่สุดก็จบซะที >_<
ชอบมากมายเลยค่ะ ^^ ขอบคุณมากนะคะ คุณ M2M_Jill

ว่าแต่.....คู่รักคู่ไหนในเรื่องนี้คะ ที่มีตัวตนจริงๆน่ะ ^^

สุขสันต์วันปีใหม่นะคะ~
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Ari ที่ 01-01-2012 04:22:45
ชอบอะ ชอบมากกกกกกกกก   มันเหมือนทำให้เราเหนตัวเองอะ เรื่องนี้  และมันสนุกจนรุสึกว่าเราอยู่ในเหตุการณ์นั้นอะ อินมากๆๆๆค่ะ 




เปนกำลังใจผู้แต่ง  แต่งแบบนี้ออกมาอีกนะคะ ติดตามผลงานอยุนะคะ





สวัสดีปีใหม่ด้วยนะคะ ^^
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: yoyo ที่ 01-01-2012 10:51:43
จบวันสิ้นปีพอดีเลย
คงต้องไปนั่งไล่อ่านใหม่
แต่บอกได้ว่าดีใจที่จบแบบนี้ค่ะ  ตอนตามอ่านถึงกลางๆเรื่องรู้สึกกลัวว่าจะจบsad endingซะแล้ว
เพราะดูยังไงก็ไม่มีทางคุยกันรู้เรื่องเลย กายกับนัทเนี่ย

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆ  สุขสันต์วันปีใหม่ค่า :mc4:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: M2M_Jill ที่ 01-01-2012 19:11:52
ขอบคุณทุกความเห็นกับ Loveless Society มากๆค่ะ

สำหรับหลายๆคำถามที่แฟนๆสงสัยก็มาตอบให้ในนี้นะคะ คู่ที่มีอยู่จริงๆคือมิกและเอิร์ธค่ะ

ส่วนที่บอกว่าเรื่องนี้ดราม่า ส่วนตัวมิรันดาเฉยๆนะคะ คิดว่าเรื่องนี้จบแบบนี้ก็เหมาะสมที่สุดแล้วค่ะ

Loveless Society มีภาคสองด้วยนะคะชื่อ Coldness Town แต่ขออนุญาติไปอัพที่ Dek-D ก่อนที่นี่นะคะ

ลิงค์อยู่ที่ Signature นะคะ

ขอบคุณทุกกำลังใจมากๆค่ะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: zeit ที่ 06-10-2012 17:08:40
เป็นอีกเรื่องที่สมบูรณ์ในด้านอารมณ์ภาษาการร้อยเรียงเนื้อเรื่อง
ทำให้พักหนึ่งเราบ้าอยู่มาก
ชอบในการบรรยายการหลายอย่าง
เหมือนได้ดูหนังสักเรื่องหนึ่งที่พูดไปถึงความรักพร้อมความฝันที่ถูกทักทอไปด้วย
ความฝันในเรื่องการงานที่ก้าวไปข้างหน้่า

ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆเรื่ิองนี้
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: janeyuya ที่ 07-10-2012 03:46:46
ให้อารมณ์ละมุนมาก ::>_<::
เหมือนได้รู้จักตัวละครที่เป็นมนุษย์จริงๆเลย
ไม่เว่อร์มาก จริงๆเชื่อในการรอคอยนะ....ความคิดถึงมันก็ไม่ได้ย่ำแย่เสมอไปหรอก อย่างน้อยมันก็ทำให้เราไม่ลืม ♥╯ε ╰

ตอนนี้รอคนๆหนึ่งอยู่ก็เลยอิน...
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: White ที่ 08-10-2012 17:07:00
ตามอ่านมาสองวัน ชอบมากเลยค่ะ เขียนดีมาก
ช่วงที่มันหน่วงก็หน่วง จนอึดอัด หาทางออกไม่ได้
จริงๆไม่ค่อยชอบเจนกับกาย จริงๆรู้สึกว่ากายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก

สงสารนัทในหลายๆครั้ง มิกก็ด้วย
แต่สาเป็นที่คอยเชื่อมทุกคนเข้าหากันจริงๆค่ะ
ชอบมากกกกกกกกกกกกกกกกก
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: B_O_M ที่ 14-10-2012 01:33:06
ขอบคุณนะครับ เรื่องนี้ทำให้ผมเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ขอบคุณจริงๆ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: pedgampong ที่ 14-10-2012 02:31:57
Thx indeed y r so amazing!!
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: srikoon ที่ 04-12-2012 21:34:23
เป็นอีกเรื่องที่ได้อ่าน

เยี่ยมมากคับ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: vevi ที่ 14-01-2013 20:45:38
ลุ้นว่าเมื่อไรนัทกับกายเปิดใจคุยกันซะที
แต่ก็อะ เพราะเป็นความรักที่ออกแบบไม่ได้  แบบเฉพาะของนัทกับกาย
ดีใจที่จบแบบแฮปปี้  :L2:

คนอ่านมีความสุข ความต้องการ ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
หากการถอยไม่ใช่สิ่งที่เหมาะ  ก็หาจุดบาลานซ์ที่มีความสุขกันทั้งสองฝ่ายก็ดีเยี่ยมเช่นกัน
ได้มุมมองความคิด เรื่องเดียวกันแต่หากมองกันคนละมุม
ความคิด ความเข้าใจก็ต่างกันได้


ขอบคุณผู้เขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 16-01-2013 01:34:00
รักอย่างเดียวไม่พอ มันต้อองมีความพอดีด้วย

ชอบค่ะ มันลึกซึ้งจริงๆ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Baruda ที่ 12-08-2015 22:00:40
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: GMT101 ที่ 25-06-2017 00:30:05
 :mew1:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: blove ที่ 28-08-2019 18:43:45
อ่านเรื่องนี้มาสองวันสองคืน ในที่สุดก็จบซะที >_<
ชอบมากมายเลยค่ะ ^^ ขอบคุณมากนะคะ คุณ M2M_Jill


ส่วนเราอ่านแบบรวดเดียวมา3วัน3คืนแทบไม่ได้พัก กลางวันก็ต้องแอบอู้งานไปอ่าน กลางคืนก็อ่านจนหลับคามือถือ ขนาดนั้นเลย 555555 สนุกมากกกกกกกกก โคตรเรียลในวัยทำงาน ความฝันความก้าวหน้าในสายงานและความรัก ต่างคนก็ต่างค้นหาตัวเอง คนนึงก็พยายามจะมีรักกับอีกคนไม่รู้จักตัวเองมาเจอกัน ความสับสนวุ่นวายที่เกิดขึ้นในระหว่างสร้างความสัมพันธ์ จะไปทางไหนยังไงให้มันลงตัวของคนทั้งคู่ ทั้งสวีทและหน่วง อึดอัดเบาๆช่วงที่ไม่เข้าใจกัน หลากหลายอารมณ์มาก ลุ้นให้หาทางลงกันด้วยดีได้จนจบ ความสัมพันธ์ของเพื่อนๆก็ดี ถ้าไม่ได้เพื่อนทำแบบนี้คงไม่รู้ใจกันทั้งสองคน พวกกว่าจะรู้ใจตัวเอง กว่าจะหาเจอความต้องการที่แท้จริง เหนื่อยไปด้วยเลยแต่สนุกมากกกกกกก ปริ่มแฮปปี้มากดีใจกับกายและนัทจริง กว่าจะมาถึงวันนี้ ชอบบบมากกกกเป็นนิยายที่เรียลและสนุกจริง เพิ่งมาเจอได้ไงผ่านไปตั้งหลายปี แต่ก็ดีกว่าไม่ได้อ่านอะนะ 5555

ขอบคุณมากๆค่ะที่แต่งมาให้อ่าน สนุกจริง ชอบความหน่วง หมั่นไส้นิดงี่เง่าหน่อย แต่พอได้ฟังเหตุผลอะไรยังไงก็ เออว่ะ!! เออใช่!! เออเนาะ!! เออแม่ง!! 55555    :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 47) จบแล้วจ้า - 31/12/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Rafael ที่ 01-09-2019 12:34:47
ขอบคุณคนเขียนนะคะ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 25 จบตอน) - 29/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 11-03-2021 23:59:37
   ชายหนุ่มเลี้ยวที่หัวมุมถนน ชนเข้ากับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังรีบวิ่งโดยไม่ทันระวังตัว
   
ตอนต้นเรื่องบอกว่ากายกับนัทรุ่นเดียวกัน ตอนนี้ทำไมเป็นชายหนุ่มกับเด็กหนุ่มไปได้ หรือว่ากายเป็นพ่อมดจริงๆ
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 26 จบตอน) - 30/10/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 12-03-2021 00:43:58

   นี่คือสาเหตุ ที่ทำไมเขาถึงไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรก สียงปรบมือตอนนี้คือการต้อนรับ....
   การมาถึงของ คู่รัก ที่ควรได้รับการชื่นชมในค่ำคืนนี้.......
   นัทเข้าใจแล้ว.....
   ชายหนุ่มก้มหน้าลงทันที เขาค่อยๆปล่อยมือออกจากกาย ขณะที่เจนหันหน้าไปฉีกยิ้มกว้างต่อหน้าฝูงชนที่ปรบมือโห่ร้องอย่างให้ชื่นชม
   กายจับมือของนัทไว้ เมื่อมือของนัทกำลังจะหลุดจากเขาไป นัทมองมือคู่นั้น ขณะที่กายบีบมือของนัทไว้แน่น ราวกับไม่ต้องการให้นัทจากเขาไปไหน นัทหลับตาลงหนึ่งครั้ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหากายและยิ้มให้เขา
   “ปล่อยผมไปเถอะ" นัทพูดเบาๆ ให้กับกาย "ทุกๆคนรอคุณอยู่น่ะ"
   นัทจับมือกายออกจากมือของเขา กายถูกเจนจิราดึงตัวเอาไว้ ขณะที่นัทค่อยหันหลังและเดินจากมา เขาค่อยเดินเข้าไปในโรงแรม ขณะที่ได้ยินเสียงปรบมือและโห่ร้องดังไล่หลังมา
ไม่เข้าใจอ่ะ นังเจนแค่มาเดินแบบ มาช่วยซ้อม แต่ทำไมความสำคัญมันมากกว่านัทกับเพื่อนๆซึ่งเป็นเจ้าของผลงาน บ้าไปแล้วโลกมนุษย์
หัวข้อ: Re: Loveless Society เพราะรัก.....ออกแบบไม่ได้ (บทที่ 31 จบตอน) - 5/11/2011
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 12-03-2021 02:33:35
   “ผม....เกือบเสียเขาไปแล้วแม่" เสียงกายสะอื้นดังขึ้น "ผมเกือบทำให้เขาจากผมไปแล้ว.....ผม....จะไม่ทำอีกแล้วแม่.....”
ยังไม่เห็นสาระที่ทำให้เกิดดราม่าเลย แค่คนนึงสนิทกับเพื่อนสาวที่เป็นแฟนเก่าแบบถึงเนื้อถึงตัวเกินไป อีกคนก็คิดเองเออเอง เรื่องแค่นี้เอง เป็นเรานะ ถามตรงๆจบไปแล้ว อ่านแล้วก็รู้สึกรำคาญความลีลาของตัวเอกทั้งสองจริงๆ