ห้องน้ำที่บ้านของลู่อี้เผิง แคบกว่าที่คฤหาสน์ของหงคงฉ่วยหลายเท่า อ่างจากุชชี่ไม่ต้องพูดถึง มีฝักบัวที่เปิดได้ ไม่รั่วไม่ซึมออกมาก็นับว่าบุญ
หงคงฉ่วยถอดเสื้อออกจนเปลือย จากนั้นก็เดินเข้ามาใต้ฝักบัว โดยมีลู่อี้เผิงเดินตามหลัง
“นี่ ไม่กลัวถูกฉันข่มขืนในห้องน้ำหรือไง” หงคงฉ่วยว่า พลางยกนิ้วดีดแผงอกกำยำของชายหนุ่ม ลู่อี้เผิงตอบสั้นๆ “ถ้ากลัว ผมไม่อยู่มาได้สี่ปีหรอก”
แผงอกกำยำเลยถูกดีดดังเพี๊ยะอีกครั้ง
“เธอเป็นแบบนี้ทุกคืนเดือนเพ็ญรึเปล่าเนี่ย?” อีกฝ่ายถาม ขณะเปิดฝักบัว สายน้ำเย็นๆ ไหลรดร่าง แทบจะพร้อมๆ กับท่อนแขนที่โอบเข้ามา
“ไม่รู้สิ” ลู่อี้เผิงตอบ และถามต่อ “คุณล่ะ ทำไมถึงกลัวคืนเดือนเพ็ญ”
“มันเหงาน่ะ” หงคงฉ่วยตอบ และยกมือขึ้นลูบหน้า “ฉันชอบที่มืดๆ มากกว่า”
“คุณนี่แปลกจัง ผมเคยได้ยินแต่คนกลัวความมืด” ลู่อี้เผิงว่า หงคงฉ่วยหันมาแล้วพูดยิ้มๆ “ฉันกลัวที่สว่าง กลัวจะมองเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็นล่ะมั้ง”
ลู่อี้เผิงเลิกคิ้วขึ้น “คุณกลัวจะเห็นอะไรน่ะ?”
“ความจริง” หงคงฉ่วยว่า และหันหน้ากลับมาหาเขา “เผิงเผิง บางทีสิ่งที่รับได้ยากที่สุดในโลกนี้คือความจริงนี่แหละ”
“อืม” ลู่อี้เผิงรับคำในลำคอ และพูดต่อ “แต่ถ้าไม่ยอมรับความจริง มันไม่ทรมานกว่าหรือไง?”
หงคงฉ่วยพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นจับใบหน้าเขาเอาไว้ “แต่บางทีฉันก็ชอบความทรมานแบบนี้นะ หากฉันยอมรับความจริง ตัวตนของฉันอาจจะพังทลายลงไปก็ได้ ฉันยังจำเป็นต้องอยู่ จำเป็นจะต้องมีชีวิตอยู่ แม้จะต้องใช้ทั้งภาพลวงตา และคำโกหกก็ตาม”
“คงฉ่วย...” ลู่อี้เผิงเรียก “ผมไม่เข้าใจ อันไหนคือตัวตนจริงๆ ของคุณกันแน่”
“ในคำโกหกมีความจริงอยู่เสมอๆ ” หงคงฉ่วยตอบ “สักวันเธอคงจะเข้าใจ และเห็นเองนั่นแหละ เหมือนอย่างที่ฉันเห็นตอนนี้ไง เธอเองก็โกหกเพื่อรักษาตัวตนเหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ลู่อี้เผิงเม้มปาก จากนั้นก็ดึงมือของอีกฝ่ายมาจูบ “คุณที่อยู่ตรงหน้าผมตอนนี้เป็นความจริงรึเปล่านะ?”
หงคงฉ่วยยิ้ม แล้วตอบกลับสั้นๆ “เธอล่ะ ใช่ความจริงรึเปล่า?”
ลู่อี้เผิงไม่ได้ตอบ เขาดึงใบหน้านั้นเข้ามาจูบอีกครั้ง จากนั้นก็โอบรัดร่างนั้นไว้แน่น สายน้ำจากฝักบัวยังคงไหลรดร่างของทั้งคู่ ระหว่างที่กอดรัดกันอยู่นั้นเอง ในที่สุด หงคงฉ่วยก็พูดออกมา “ฉันหนาวแล้ว ไปที่เตียงได้ไหม?”
ลู่อี้เผิงมองหน้าฝ่ายนั้นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปปิดฝักบัว จากนั้นก็ช้อนตัวหงคงฉ่วยขึ้น
“เอ่อ... ฮ่ะๆ ” คนถูกอุ้มตวัดมือโอบรอบคอร่างสูงใหญ่ ก่อนจะหัวเราะออกมา จากนั้นก็เอนหน้าลงไปซบแผงอกเปลือยที่ยังชื้นอยู่
---------------------------------------------------
เตียงนอนของลู่อี้เผิงไม่แคบไม่กว้าง ขนาดคนเดียวนอนสบาย ถ้าผู้ชายสองคนนอนด้วยกันอาจจะเบียดอยู่สักหน่อย นี่เป็นครั้งแรกที่แผ่นหลังของหงคงฉ่วยสัมผัสฟูกบนเตียงนอนหลังนี้
“คงฉ่วย คืนนี้ให้ผมอยู่ข้างบนเถอะ” ลู่อี้เผิงพูดและขยับตัวขึ้นคร่อมร่างที่นอนอยู่ จับขาทั้งสองข้างยกขึ้น หงคงฉ่วยมองเขาพักหนึ่งแล้วตอบยิ้มๆ “ปิดไฟก่อนสิ ฉันไม่ชอบที่สว่างๆ ”
นายตำรวจหนุ่มเดินไปปิดสวิตช์ไฟ พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นหงคงฉ่วยเอาผ้าห่มมาห่อตัวเอาไว้ ขณะที่กำลังจะอ้าปากถาม ทางนั้นก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ฉันหนาวน่ะ”
ลู่อี้เผิงยิ้มออกมา “ผมคิดว่าคุณเขินซะอีก”
หงคงฉ่วยไม่ตอบโต้อะไร แต่ขยับตัวหนี ลู่อี้เผิงเลยขยับไปคร่อมเอาไว้ แล้วก้มลงจูบริมฝีปากนั้น
เคล้าริมฝีปากกันไปได้สักพัก ผ้าห่มก็ถูกดึงหลุดออกจากตัวของหงคงฉ่วยเสียที ในความมืดที่มีเพียงแสงสลัวของดวงจันทร์ที่ส่องลอดหน้าต่างเข้ามา ใบหน้าของหงคงฉ่วยเหมือนกลายเป็นสีแดงเรื่อ ลู่อี้เผิงก้มลงจูบไล่ตั้งแต่ปลายจมูก ริมฝีปาก ซอกคอ หัวไหล่ ไล่ไปจนถึงยอดอกทั้งสองข้าง ต่ำลงไปจนถึงท้องน้อย พอถึงตรงนั้น หงคงฉ่วยก็เอามือมาปิดไว้ “ห้ามตรงนี้นะเผิงเผิง”
สี่ปี ลู่อี้เผิงมีเซ็กซ์กับหงคงฉ่วยนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยได้แตะต้องส่วนนี้มาก่อนเลย กระทั่งคราวนี้ก็ด้วย
“ไม่ไว้ใจผมหรือ?” นายตำรวจหนุ่มถาม และจูบขาอ่อนนั้นเบาๆ ได้ยินเสียงอีกฝ่ายยอมรับออกมา “อืม”
“แต่คืนนี้ไว้ใจให้ผมอยู่ด้านบนใช่ไหม?”
“นั่นก็ต้องดูก่อนนะว่าเธอไว้ใจได้ขนาดไหน” อีกฝ่ายตอบ ลู่อี้เผิงขยับหน้าเข้าไปใกล้ และบดริมฝีปากเข้ากับร่างนั้นอีกครั้ง
“ทั้งผมทั้งคุณต้องกำลังฝันอยู่แน่ๆ ”
หงคงฉ่วยหัวเราะหึๆ แล้วผลักใบหน้านั้นออก “ในฝันก็ต้องใส่ถุงยางด้วยนะ”
ลู่อี้เผิงเอื้อมมือไปหยิบซองถุงยางที่วางอยู่ตรงหัวเตียง จากนั้นก็ฉีกมันออก “อยากใส่ให้ผมด้วยรึเปล่า?”
หงคงฉ่วยยกมือขึ้นตบแก้มเขาเบาๆ “ทะลึ่งใหญ่แล้ว”
ชายหนุ่มดึงมือนั้นเข้ามาจูบ แล้วอ้าปากกัดนิ้วของอีกฝ่ายเบาๆ ก่อนจะจัดการสวมถุงยางให้ตัวเอง
“คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงกระซิบเรียกชื่อร่างนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเบียดตัวเสียดสีกันอย่างร้อนรน ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยพูดขึ้น “เผิงเผิงใจเย็นๆ ก็ได้ ในฝันจะรีบไปทำไม”
ลู่อี้เผิงบดจูบเข้ากับริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ก่อนจะพูดตอบ “ผมใกล้ทนไม่ไหวแล้ว”
ดวงตาดำวาวที่จ้องลงมา พลอยทำให้หงคงฉ่วยสะท้านสันหลังไปด้วย จากนั้นลู่อี้เผิงก็ยกมือขึ้นลูบไปตัวร่าง ทั้งจูบทั้งกัดเบาๆ เสียงหอบหายใจถี่หนักของฝ่ายนั้นยิ่งทำให้หงคงฉ่วยหัวใจเต้นแรง
“เผิงเผิง”
ริมฝีปากถูกประกบอีกครั้ง สองร่างเสียดสีกันจนร้อนผะผ่าว จากนั้นขาทั้งสองข้างของหงคงฉ่วยก็ถูกจับแยกออก
ส่วนร้อนจัดเบียดแทรกเข้ามาช้าๆ ลู่อี้เผิงหอบหายใจเสียงหนัก จับจ้องร่างเบื้องล่างไม่วางตา ถึงแม้จะไม่ได้เปิดไฟ แต่แสงสลัวของดวงจันทร์ที่ส่องลอดเข้ามา พอจะสะท้อนให้เห็นเครื่องหน้าสมบูรณ์หมดจดของร่างเบื้องล่างที่กำลังบิดเกร็งตามแรงอารมณ์ที่กำลังโหมกระพืออยู่ คิ้วของหงคงฉ่วยขมวดมุ่น ริมฝีปากขบกันน้อยๆ เหมือนกำลังพยายามอดทนอยู่เหมือนกัน ลู่อี้เผิงอดไม่ได้ต้องจูบร่างนั้นอีกครั้ง
“คงฉ่วย”
เสียงที่ได้รับกลับมาคือเสียงสูดหายใจเฮือก ตามด้วยอาการสะดุ้ง เมื่อปลายยอดของส่วนร้อนจัดนั้นผลุบเข้าไปด้านใน ลู่อี้เผิงสูดปากด้วยความเสียวซ่าน ก้มลงมองอีกทีก็เห็นหงคงฉ่วยกำลังจ้องเขาอยู่ ดวงตาสีดำสนิทนั้นเป็นประกายในความมืด ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ลู่อี้เผิงนึกวิเคราะห์อะไรเกี่ยวกับความคิดของผู้ชายคนนี้ไม่ค่อยออก อยู่ต่อหน้าหงคงฉ่วย เขาก็เหมือนเด็กอมมือคนหนึ่ง ที่โดนหลอกจนหัวปั่นอยู่เสมอๆ สำหรับหงคงฉ่วยแล้ว เขาคงเหมือนของเล่นชิ้นหนึ่ง แต่......
ชายหนุ่มก้มลงจูบริมฝีปากของร่างเบื้องล่างอีกครั้ง ถ้าในสายตาหงคงฉ่วย เขาเป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง แล้วในสายตาเขาล่ะ หงคงฉ่วยเป็นอะไรกันแน่...?
คนร้ายที่เขาต้องหาหลักฐานมาจับให้ได้ง้นหรือ....
“คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงกระซิบถามเสียงแห้ง ทั้งๆ ที่ยังขยับสะโพกสอดประสานความต้องการกับร่างนั้นไม่ยั้ง หงคงฉ่วยปรือตามองเขา แล้วขมวดคิ้วหน่อยๆ “หืม?”
“เราสองคนเป็นอะไรกันแน่...”
หงคงฉ่วยไม่ได้ตอบ เพียงแต่ส่งเสียงครางเป็นห้วงๆ ในลำคอ ลู่อี้เผิงหอบหายใจหนัก ถามอะไรไม่ออกอีก เพราะส่วนล่างถูกตอดรัดจนซ่านไปหมด
“คงฉ่วย คืนนี้ถึงพร้อมกันเถอะนะ” ลู่อี้เผิงกระซิบ แล้วแนบมือเข้ากับมือของหงคงฉ่วยที่กุมส่วนนั้นอยู่ จากนั้นก็เริ่มขยับ แรงกระแทกจากด้านล่างทำเอาร่างของหงคงฉ่วยสั่นไปหมด พอทางนั้นทำท่าจะอ้าปากพูดอะไร ลู่อี้เผิงก็รีบใช้ปากปิดเอาไว้
จู่ๆ เขาก็เกิดกลัวคำพูดจากปากของหงคงฉ่วยขึ้นมา
เขายังไม่เก่งพอจะแยกความจริงออกจากคำโกหกของผู้ชายคนนี้ได้หรอก
หรือบางที... เขาอาจจะไม่อยากรู้ความจริงจากปากของผู้ชายคนนี้ก็เป็นได้........
!!
เสียงครางและเสียงหอบหายใจหนักดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ลู่อี้เผิงซบหน้าลงกับซอกคอชื้นเหงื่อของร่างด้านล่างที่กำลังสั่นกระตุกน้อยๆ ชายหนุ่มลูบไล้ร่างนั้นด้วยมือสั่นเทา ก่อนจะฝังจูบลงไปตามซอกคอนั้น แล้วกอดเอาไว้แน่น
----------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงตื่นเช้าขึ้นมาด้วยอาการมึนๆ งงๆ เหมือนคนเมาค้าง พอรู้สึกตัวก็ควานเปะปะไปข้างตัว เจอแต่ฟูกกับหมอนข้าง นายตำรวจหนุ่มพยายามจะเรียกสติของตัวเองกลับมา ก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว
ไม่มีใครอยู่บนเตียง ไม่มีใครอยู่ในห้อง....
พอมองดูตัวเองก็ยังสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยดี งั้นเรื่องเมื่อคืน... แค่ฝันหรอกรึ?
ลู่อี้เผิงลุกขึ้นจากเตียง ยังคงรู้สึกมึนๆ อยู่ แต่พอมองไปที่หน้าต่าง เห็นต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิงต้นนั้นเหลือแต่ใบอ่อน ชายหนุ่มก็ยิ้มออกมา
-----------------------------------------------------
“คงฉ่วย โทรศัพท์จากสารวัตรลู่ครับ”
หงคงฉ่วยกำลังจิบยาสมุนไพรอยู่บนเตียงในตอนที่หลี่คงเอาโทรศัพท์มาให้ เขากรอกเสียงตอบไป “มีอะไรอีกล่ะ สารวัตรลู่”
“อ้อ เปล่า” ลู่อี้เผิงว่า ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยตอบกลับมา “แล้วโทรมาทำไม นึกอยากเลียนแบบพฤติกรรมพวกโรคจิตชอบโทรป่วนหรือไง?”
“เปล่า” นายตำรวจหนุ่มตอบ แล้วหัวเราะเขินๆ “เมื่อคืนผมฝันถึงคุณล่ะ”
“อ้อ...” หงคงฉ่วยลากเสียง ขณะที่หลี่คงเดินออกไปแล้วปิดประตูเบาๆ “เมื่อคืนฉันก็ฝันถึงสารวัตรลู่เหมือนกันนะ”
“เอ๋!” ลู่อี้เผิงอุทานเสียงตื่นเต้น “ฝันว่าอะไรหรือ?”
“ฝันไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หงคงฉ่วยว่า และก้มลงจิบยาอีกอึกหนึ่ง “ฝันว่าเผิงเผิงน้อยจู่ๆ ก็กลายเป็นเด็กปากมาก ถามนั่นถามนี่จนวุ่นวายไปหมด ตื่นมาเลยเดือดร้อนต้องให้หลี่คงไปต้มยาเพิ่ม เพราะเผิงเผิงน้อยในฝันกวนประสาทแท้ๆ เชียว”
ลู่อี้เผิงหัวเราะเจื่อนๆ “โทษที พอดีผมคิดนั่นคิดนี่มากไปหน่อย” หยุดไปพักหนึ่งจึงพูดต่อ “แต่เมื่อคืนผมฝันดีนะ”
“อ้อ... ดีใจด้วยนะ” หงคงฉ่วยว่า พักจิบยาอีกอึก แล้วพูดต่อ “สารวัตร ต้นไม้น่ะ ถ้าไม่ได้อยู่บ้านหลายๆ วันล่ะก็ เอาน้ำแช่เอาไว้ก็ได้ มันจะได้ไม่เหี่ยวอีก”
“อ้อ อืม” ลู่อี้เผิงส่งเสียงตอบกลับ สักพักก็พูดขึ้นบ้าง “ทำอะไรอยู่น่ะ”
“จิบยา” หงคงฉ่วยตอบ แล้วถามกลับ “แล้วสารวัตรยังไม่ไปทำงานหรือไง หรือว่ายังอยู่นอกเวลางาน เลยโทรมาคุยเล่นกับฉันล่ะ”
“อ้อ กำลังจะไปแล้วล่ะ” ลู่อี้เผิงตอบ แล้วเงียบไปพักหนึ่ง “ผมว่าสักวันผมคงจะจับคุณได้แน่ๆ ”
หงคงฉ่วยหัวเราะหึๆ ในคอ “ขอให้จริงเถอะสารวัตร ฉันจะยื่นมือรอให้จับเลย กลัวแต่ถึงเวลาเธอจะจับฉันไม่ลงน่ะสิ”
“ทำไมผมถึงจะจับคุณไม่ลงน่ะ” อีกฝ่ายย้อนถาม หงคงฉ่วยหัวเราะอีกแล้วตอบกลับไป “เพราะท่าทางเธอเริ่มจะหลงเสน่ห์ฉันแล้วน่ะสิ”
ได้ยินอีกฝ่ายแค่นเสียงขึ้นจมูก “ได้เวลาทำงานแล้ว ผมไปก่อนนะ เตรียมยื่นมือรอไว้ล่ะ สักวันผมจะไปจับคุณ”
“ต้องจับในเวลาราชการด้วยสินะ คุณตำรวจ” หงคงฉ่วยเย้า ลู่อี้เผิงแค่นเสียงหน่อยหนึ่ง แล้ววางโทรศัพท์ทันที
-------------------------------------------------------------
** ตอนที่แล้วมีแต่คนสงสารเผิงเผิง แอบงอนแทนหงคงฉ่วยจริงๆ
(โดนคนอ่านโบก) ที่จริงคงฉ่วยหลงเผิงเผิงจะตาย ทำไมทุกคนดูไม่ออก (ใครเขาจะไปดูออกกับหล่อนย๊าาาาา
)
เนื่องจากหงคงฉ่วยเป็นอาจารย์ปู่ของเรา (โดนคงฉ่วยตัดนิ้วทิ้ง!!
) เรายอมให้อาจารย์ปู่โดนหาว่ารังแกเด็กน้อย(?)ไม่ได้หรอก.... ดังนั้น ยอมลดระดับความโหดของนกยูงลงหน่อยหนึ่ง(หนึ่งตอน) ก็ได้ (ถึงแม้เราจะอยากให้หงคงฉ่วยปั่นหัวเผิงเผิงไปตลอดจนถึงตอนจบเรื่องก็เถอะ!!"
เผิงเผิงได้คนอ่านช่วยไว้แท้ๆ นะเนี่ย (แอบเสียใจที่บุคลิกคงฉ่วยหลุดๆ นิดหน่อย? ในตอนนี้<<วิ่งหนีคนอ่่าน)
ตอนนี้เหมือนจะแอบดราม่าหน่อยหนึ่ง (โถ.... นิยายเรื่องนี้SMนะคะ อย่าสงสารพระเอกเลย ฮ่าๆๆๆ
)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ