ลู่อี้เผิงถูกพามาที่ห้องอาหาร โดยปิดตาเอาไว้เหมือนเดิม แต่คราวนี้ไม่ต้องมีคนคอยขนาบแล้ว เพราะหงคงฉ่วยถือโซ่ล่ามเขาเอาไว้แทน นึกแล้วก็น่าเจ็บใจจริงๆ ที่ต้องยอมถึงขนาดเป็นหมาให้เจ้านกยูงบ้านี่จูง แต่ก็ไม่รู้ว่าไปอาละวาดเอาเรื่องกับใคร เอาเรื่องกับเจ้านกยูงบ้านี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าเอาเรื่องได้ ชีวิตเขาคงไม่เลวร้ายขนาดนี้ ครั้นจะไปเอาเรื่องกับผู้บังคับบัญชา เรื่องน่าอายแบบนี้ใครมันจะกล้าพูดให้คนอื่นฟังกันเล่า ดังนั้นลู่อี้เผิงจึงทำได้แค่กล้ำกลืนฝืนทนกับชะตาชีวิตของตนต่อไป
สักวันหนึ่งเถอะ เขาคงลากเจ้านกยูงบ้านี่เข้าซังเตได้
ไม่แน่อาจจะเป็นครั้งนี้ก็ได้!
พอแกะผ้าเปิดตาออก สิ่งแรกที่ลู่อี้เผิงเห็นไม่ใช่จานอาหาร แต่เป็นเชิงเทียนอันใหญ่ที่ปักเทียนสีขาวเอาไว้ถึงห้าเล่มซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะต่างหาก เปลวเทียนที่เต้นระริกอยู่ทำให้เขารู้สึกวาบสันหลังขึ้นมาทันที
“เผิงเผิงอยากได้เทียนหรือ?” หงคงฉ่วยถามเสียงเย้า ลู่อี้เผิงถลึงตามองเขา แล้วก้มหน้าก้มตาทานอาหารโดยไม่พูดอะไรอีก หงคงฉ่วยหัวเราะหึๆ แล้วทานบ้าง
มื้ออาหารเงียบสนิท ไม่มีคนรับใช้หรืออะไรมายืนมองให้อับอายทั้งนั้น มีแค่เสียงโซ่ดังกรุ๋งกริ๋งอยู่บ้าง ลู่อี้เผิงเพิ่งสังเกตว่าปลายโซ่อีกข้าง หงคงฉ่วยล็อกติดเอาไว้กับข้อมือตัวเอง แบบนี้อาจจะดีก็ได้... เจ้าหมอนี่จะได้ไม่หนีเขาไปไหน ไม่สิ! กุญแจอะไรก็อยู่กับหมอนี่นี่นา พอคิดแบบนี้ ลู่อี้เผิงถึงกับยกมือขึ้นกดหน้าผากทันที ทำยังไงเขาถึงจะได้กุญแจมานะ
“เผิงเผิงเป็นอะไรไปน่ะ กับข้าวไม่อร่อยหรือไง?” หงคงฉ่วยพูดขึ้นเมื่อเห็นคนนั่งข้างทำท่าทางเหมือนอมทุกข์เสียเต็มประดา ลู่อี้เผิงถอนหายใจเฮือก แล้วหันไปตีหน้าน่าสงสาร “ก็คุณเล่นล่ามผมเอาไว้แบบนี้ ผมก็อายเป็นเหมือนกันนะ เกิดคุณทำกุญแจหายขึ้นมา ผมจะเอาหน้าออกไปเจอใครได้ล่ะ”
หงคงฉ่วยมองหน้าเขา แล้วหัวเราะคิกคัก “เผิงเผิงยังอยากจะเจอใครอีกล่ะ ไม่ใช่ว่าจะมาอยู่กับฉันยี่สิบสี่ชั่วโมงหรือไง?”
นายตำรวจหนุ่มรีบปั้นหน้าปริวิตกขึ้นมาทันที “ถึงผมอยากอยู่กับคุณยี่สิบสี่ชั่วโมงจริง แต่คุณเองจะอยากอยู่กับผมยี่สิบสี่ชั่วโมงรึเปล่าเถอะ กุญแจอะไรก็อยู่กับคุณทั้งนั้น เกิดคุณหนีไปกลางดึก ทิ้งผมนอนคนเดียว ผมจะทำไงล่ะ” พูดจบก็ช้อนตาขึ้นมองหงคงฉ่วย พยายามหลอกตัวเองว่าเขากำลังนึกน้อยใจอยู่จริงๆ ทางนั้นเลิกคิ้วมอง แล้วยิ้มออกมา
“โอ๋ๆ เสี่ยวเผิงเผิงพูดจาน่าสงสารจริงๆ กลัวคงฉ่วยจะหายไปเที่ยวกลางคืนแบบวันก่อนหรือ?” โดยไม่รอคำตอบ หงคงฉ่วยดึงโซ่ลากคอลู่อี้เผิงเข้ามาใกล้ทันที “อย่ากลัวไปเลยเผิงเผิง ถึงจะมีหรือไม่มีกุญแจ ถ้าคงฉ่วยอยากไป เผิงเผิงก็ห้ามอะไรไม่ได้หรอก”
ลู่อี้เผิงถึงกับสะอึกไปหน่อยหนึ่ง จะว่าไปแล้ว กุญแจแค่นี้ เจ้าหมอนี่คงสะเดาะเองได้สบายๆ อยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นนายตำรวจหนุ่มก็ยังไม่ยอมแพ้ ปั้นหน้าอ้อนต่อ “ล่ามผมแล้วยังจะทิ้งผมอีกหรือ ผมไม่มีใครแล้วนะนอกจากคุณ” พูดไปแล้วอยากจะอ้วกออกมาจริงๆ ลู่อี้เผิงถึงกับน้ำตาเล็ดด้วยความสยดสยองตัวเอง หงคงฉ่วยมองหน้าเขาเหมือนเห็นผี ก่อนจะยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาจากหางตาของนายตำรวจหนุ่ม
“ไม่ไหวเลยน้า แค่นี้ก็ร้องไห้แล้ว แบบนี้โดนน้ำตาเทียนเข้าไป เผิงเผิงไม่ร้องจ๊ากหรือนี่”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่อีกฝ่ายทันที “อย่าคิดจะเล่นบ้าๆ แบบนั้นกับผมนะ”
หงคงฉ่วยหัวเราะหึๆ ในลำคอ ก่อนจะเอี้อมมือไปคว้าเชิงเทียนอันใหญ่บนโต๊ะ คราวนี้ลู่อี้เผิงดิ้นหนีทันที แต่ยังไปได้ไม่ถึงไหน ก็ถูกหงคงฉ่วยดึงโซ่กลับมา ขนาดปกติไม่มีอะไรผูก ลู่อี้เผิงยังแพ้ราบคาบมาตลอด คราวนี้ถูกล็อกคอเอาไว้ ไม่ถึงห้าวินาที ชายหนุ่มก็ถูกจับกดลงบนโต๊ะจนได้
“คงฉ่วย ขอร้องล่ะ หยุดเล่นอะไรบ้าๆ เถอะ” ลู่อี้เผิงพยายามอ้อนวอน หงคงฉ่วยไม่พูดอะไร จัดการเลิกเสื้อของชายหนุ่มขึ้น จนเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องกำยำเป็นมัดๆ จากนั้นก็หยิบเชิงเทียนขึ้นมา
ลู่อี้เผิงแทบหยุดหายใจ ตอนที่หงคงฉ่วยยกเชิงเทียนนั้นสูงขึ้น จากนั้นน้ำตาเทียนก็เริ่มหยดลงมาบนหน้าท้องของเขา
หยดแล้วหยดเล่า
ถ้าให้เทียบกับความเจ็บปวดรูปแบบอื่นๆ แล้ว น้ำตาเทียนแค่นี้ สำหรับลู่อี้เผิงก็แค่คันๆ เท่านั้นเอง แต่ไม่รู้ทำไม ท้องน้อยของเขาถึงได้ร้อนวาบขึ้นมาราวกับมีไฟสุม มองเห็นรอยยิ้มลี้ลับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย จากนั้นหงคงฉ่วยก็ดับเทียน ก่อนจะยื่นมือมาลูบเป้ากางเกงของเขา
!!
ลู่อี้เผิงทะลึ่งตัวพรวดขึ้นมาทันที รอยน้ำตาเทียนที่แห้งแล้วบนหน้าท้องเลยร่วงกราวลงไปบนพื้น เขาพยายามจะคว้ามือข้างนั้นของหงคงฉ่วยเอาไว้ แต่ก็คว้าไม่ทันอีกเช่นเคย รอให้คว้าติดสักครั้งเถอะ จะจับหักนิ้วให้เข็ดเขียว
“เผิงเผิงติดใจน้ำตาเทียนล่ะสิ ฟิตปึ๋งขึ้นมาเชียว”
ลู่อี้เผิงหน้าแดงจนแทบจะคล้ำ กระชากเสียงตอบไป “หยุดลูบเป้าคนอื่นเล่นสักทีเถอะน่า”
“เปล่าลูบเล่นสักหน่อย ฉันลูบเอาจริงนะ” หงคงฉ่วยพูดหน้าซื่อ ก่อนจะยื่นมืออีกข้างมาจับอีก ลู่อี้เผิงเลยตะปบมือนั้นไว้แน่น เขาคงจะตะปบมือของหงคงฉ่วยติดเป็นครั้งแรก แต่ทางนั้นก็กุมจุดยุทธศาสตร์ของเขาเอาไว้อย่างมั่นคงเหมือนกัน
ลู่อี้เผิงรู้สึกเหงื่อออกกลางหลัง น้ำหนักมือของหงคงฉ่วยที่จับตรงนั้นของเขาไม่หนักไม่เบา แต่ก็พอจะทำให้เดาได้ว่า เกิดทำอะไรให้ทางนั้นไม่พอใจหน่อยเดียว ไม่แน่ว่ามันอาจจะกลายเป็นการออกแรงขยำขึ้นมาเลยก็ได้ ผู้ชายคนไหนก็ต้องรักกล่องดวงใจของตัวเองเป็นที่สุดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น....
ในที่สุด นายตำรวจหนุ่มก็ยอมจะปล่อยมือออก หงคงฉ่วยยิ้มอย่างพอใจ แต่ก็ใช่ว่าจะยอมเอามือของตนออกไปได้ง่ายๆ ยังคงลูบๆ คลำๆ อยู่ตรงนั้นเหมือนว่าจะหาอะไรสักอย่าง
ถูกลูบไปได้สักพัก ลู่อี้เผิงก็กัดฟันพูดออกมา “คงฉ่วย มีถุงยางมั้ย?”
“ถามทำไมน่ะ?”
ลู่อี้เผิงยังไม่ตอบทันที แต่เอื้อมมือไปจับสะโพกของอีกฝ่าย แล้วออกแรงบีบ หงคงฉ่วยเลยตีมือเขาดังเพี๊ยะ “ทะลึ่ง”
ลู่อี้เผิงสูดหายใจแรง ก่อนจะดึงหน้าของทางนั้นเข้ามาจูบ บดเคล้าปลายลิ้นกันอยู่ได้สักพัก ชายหนุ่มจึงพูดขึ้นอีก “ผมอยากทำแล้ว ตอนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบก็ขยับหน้าเข้าไปจูบริมฝีปากนั้นอีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบไล้สะโพกของอีกฝ่าย แล้วขยำขยี้อย่างมีอารมณ์เต็มที่
หงคงฉ่วยถึงกับสูดหายใจเฮือกๆ ด้วยความตื่นเต้น “เผิงเผิงชอบน้ำตาเทียนจริงๆ ด้วย”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะถอดกางเกงฝ่ายนั้นออก จากนั้นก็ถอดของตัวเองออกบ้าง อวัยวะร้อนจัดของทั้งสองเลยเสียดสีกันเบาๆ หงคงฉ่วยสะท้ายกายเฮือกๆ รีบกอดลู่อี้เผิงไว้แน่น “ถุงยางล่ะ มีพกมารึเปล่า?”
ลู่อี้เผิงขมวดคิ้วอีก “ไม่ได้พกมาหรอก” นายตำรวจหนุ่มตอบ เลยถูกตีไหล่อีกที “สะเพร่าจริงๆ ทำไมไม่หัดพกติดตัวเอาไว้
“ก็ปกติเห็นคุณพกอยู่ตลอดเวลาเลยนี่ ผมเลยขี้เกียจพก” ลู่อี้เผิงว่า หงคงฉ่วยหน้านิ่วทันที ก่อนจะตีเขาอีก “เจ้าเด็กมักง่าย”
พูดจบก็ผลักลู่อี้เผิงออกทันที ก่อนจะดึงกางเกงตัวเองขึ้น นายตำรวจหนุ่มมีสีหน้างุนงงอย่างเห็นได้ชัด “คงฉ่วย?!”
“วันนี้ไม่ให้ทำหรอก วันหลังจะได้รู้จักหัดเตรียมตัวบ้าง”
ลู่อี้เผิงอ้าปากค้าง และแทบจะใส่กางเกงไม่ทัน ตอนที่ถูกหงคงฉ่วยลากคอออกไปจากห้องอาหาร
---------------------------------------------------
“เป็นอะไรอีกล่ะ?” หงคงฉ่วยถาม หลังจากที่จูงลู่อี้เผิงกลับมาที่ห้องนอนแล้ว นายตำรวจหนุ่มทำหน้าหงิก แล้วถลึงตาจ้องเขา “ผมอารมณ์ค้าง”
“อ้อ...” อีกฝ่ายร้องในคอ และก้มลงมองเป้ากางเกงของชายหนุ่ม พลางยิ้มที่มุมปาก ลู่อี้เผิงเลยถลึงตาใส่เขาซ้ำ ก่อนจะเบี่ยงตัวหันไปทางอื่น
“แหม.. อายอะไรเล่า นี่มันเรื่องธรรมชาติ ค้างได้แบบนี้แปลว่าเธอยังหนุ่มยังแน่นอยู่นะ” หงคงฉ่วยพูดอย่างอารมณ์ดี แล้วยื่นมือมาตบบ่า “ถ้าไม่สบายตัวนัก ไปเอาออกก็สิ้นเรื่อง”
“ปล่อยสักทีสิ ผมจะได้ไปเอาออก” ลู่อี้เผิงว่า คราวนี้คนถูกขอสั่นศีรษะ “ไม่ได้หรอก เดี๋ยวปล่อยแล้ว เผิงเผิงจะหนีกลับกรมตำรวจไปอีก เอางี้สิ ไปเอาออกในห้องน้ำก็ได้ จะได้อาบน้ำทีเดียวเลย”
“ทั้งๆ ที่คุณยังล่ามผมติดมืออยู่แบบนี้เนี่ยนะ?” ลู่อี้เผิงถามเสียงห้วน อีกฝ่ายหันมาพยักหน้า “แน่นอน”
ห้องน้ำในห้องนอนส่วนตัวของหงคงฉ่วยไม่แคบไม่กว้าง ถึงมีอ่างจากุชชี่อยู่ก็ใช่ว่าจะทำให้มองไม่เห็นอีกคนที่เข้ามาด้วยกันเสียหน่อย ที่สำคัญ โซ่ที่ล่ามกันเอาไว้ยาวแค่เมตรเดียว เดินห่างนิดหน่อย คอของเขาก็ถูกอีกฝ่ายกระชากแล้ว ลู่อี้เผิงนึกอยากจะกัดคอเจ้านกยูงบ้านี่เสียจริงๆ
แต่อาบน้ำต้องถอดเสื้อ ลู่อี้เผิงยืนรออย่างใจจดใจจ่อ ถ้าถอดเสื้อ หงคงฉ่วยจะต้องถอดโซ่ที่ล่ามมือออกก่อน เขาจะอาศัยจังหวะนั้นแหละ ดึงโซ่มาล็อกข้อมือตัวเองเสียเลย อาจจะเป็นความคิดที่ดูแปลกๆ ไปสักหน่อย แต่ดีกว่าปลายอีกข้างไปล่ามอยู่กับคนอื่นล่ะ
จริงดั่งคาด หงคงฉ่วยถอดเสื้อออก แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงมือข้างที่มีโซ่ล่ามติดอยู่ ลู่อี้เผิงพยายามจะเพ่งไปตรงข้อมือนั้นโดยลืมแผงอกขาวๆ กับปั้นเอวแน่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ กันเสีย จังหวะที่หงคงฉ่วยปลดล็อกนั่นแหละ เขาจะรีบดึงโซ่ออกมา จากนั้นก็...
กริ๊ก!
ลู่อี้เผิงอ้าปากพะงาบๆ ก่อนจะโพล่งออกมา “นี่คุณเล่นมายากลหรือไง?!”
หงคงฉ่วยหันมามองเขาอย่างงงๆ ทันที ก่อนจะดึงเสื้อออก ลู่อี้เผิงกะพริบตาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เจ้าหมอนี่ ใช้เวลาถอดกุญแจมือจากมืออีกข้างหนึ่ง แล้วย้ายมาอีกข้างหนึ่ง กินเวลาไม่ถึงสามวินาทีด้วยซ้ำ
นี่มันใช่คนรึเปล่าเนี่ย?!
“เผิงเผิงเป็นอะไรน่ะ? ความดันขึ้นเหรอ?” หงคงฉ่วยถาม และเดินมาใกล้ ลู่อี้เผิงถึงกับต้องดึงโซ่เส้นนั้นขึ้นมา และพบว่าปลายของมันที่เป็นกุญแจคล้องได้ย้ายข้างแล้วจริงๆ
“คงฉ่วย คุณเล่นกลอะไรเนี่ย ถอดกุญแจมือแล้วใส่ใหม่ทำไมมันเร็วแบบนี้!”
หงคงฉ่วยมองหน้าเขา แล้วหัวเราะร่วน “โธ่เอ๋ย ทำเป็นเรื่องแปลกไปได้ รอเธอฝึกจนอายุเท่าฉัน เดี๋ยวก็ทำได้เองแหละ” พูดแล้วหยุดไปพักหนึ่ง “มาเถอะเผิงเผิง จะถอดเสื้อเอง หรือให้คงฉ่วยถอดให้ล่ะ”
ลู่อี้เผิงถลึงตาพลางปัดมือที่ยื่นมาทำท่าจะแกะกระดุมเสื้อเชิ้ตของเขาออก ก่อนจะนึกสาปแช่งตัวเอง นี่ถ้าเขาใส่เสื้อยืดมา ยังพอจะหาข้ออ้างให้ทางนั้นช่วยถอดปลอกคอให้ได้อยู่หรอก แต่ก็ไม่แน่ เจ้านกยูงบ้านี่อาจจะเอากรรไกร หรือมีดมาตัดเสื้อเขาออกเลยก็ได้ หมอนี่เคยทำอะไรปกติอย่างมนุษย์มนาเขาเสียที่ไหนล่ะ
ท่าทางหงคงฉ่วยจะตั้งใจอาบน้ำจริงๆ ถึงกับถอดเสื้อผ้าออกหมดทุกชิ้น กระทั่งชั้นใน ไม่อายสายตาของเขาบ้างหรือไงนะ ลู่อี้เผิงมองนกยูงสีแดงเลือดที่อยู่บนแผนหลังขาวนั้น ก่อนจะไล่ลงมาจนถึงสะโพกแน่นที่กำลังจะหย่อนตัวเองลงไปในอ่างน้ำ
บ้าเอ๊ย แบบนี้ก็ของขึ้นหนักกว่าเดิมน่ะสิ
“ถอดแล้วลงมาได้แล้ว” หงคงฉ่วยว่า และกระตุกโซ่ เมื่อเห็นลู่อี้เผิงยังยืนนิ่ง กำขอบกางเกงชั้นในแน่น หงคงฉ่วยเอียงคอมอง แล้วพูดต่อยิ้มๆ “นี่ กางเกงในมันปิดไม่อยู่แล้วล่ะ ถอดๆ แล้วลงมาเถอะน่า”
ท้ายที่สุดลู่อี้เผิงก็ต้องยอมถอดกางเกงชั้นในออก แล้วเดินเอามือปิดหว่างขาตัวเองลงมาในอ่าง
“ทำเป็นผู้หญิงเข้าหอคืนแรกไปได้” หงคงฉ่วยว่า และถูกอีกฝ่ายถลึงตาใส่ทันที
น้ำอุ่นกำลังสบาย แต่ลู่อี้เผิงไม่นึกสบายด้วย เห็นหงคงฉ่วยท่าทางจะมีความสุขจากการจ้องเอาๆ แล้วยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ปัญหาคือไอ้ตรงนั้นมันไม่ยอมสงบลงไปสักทีน่ะสิ เหมือนว่าน้ำอุ่นๆ จะยิ่งทำให้มันตื่นเต้นชูตัวหราอย่างกับจะอวดคนที่นั่งแช่น้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม
“นี่ เผิงเผิง ไม่ต้องอายหรอกน่า เอาๆ มันออกมาได้แล้ว เดี๋ยวจะนอนไม่หลับเอานะ”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่อีกรอบ แก้มกลายเป็นสีแดงจัด “ใครมันจะไปทำเรื่องแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นกันเล่า”
“ไม่เอาน่า... โตขนาดนี้แล้ว จะอายอะไรอีกล่ะ ไม่ใช่เด็กสิบห้าสิบหกสักหน่อย” หงคงฉ่วยพยายามจะปลอบ แต่ลู่อี้เผิงยังคงนั่งนิ่ง ทั้งๆ ที่ตรงนั้นคัดเป่งขึ้นมาเต็มที หงคงฉ่วยมองแล้วก็ถอนหายใจเฮือก “ช่วยไม่ได้ งั้นฉันทำเป็นเพื่อนก็แล้วกัน”
พูดจบก็แยกขาออกกว้าง ลู่อี้เผิงตาพร่าไปในบัดดล ถึงกับกระโจนเข้าใส่อย่างคนควบคุมสติตัวเองไม่ได้ เลยถูกยันด้วยขาดังพลั่ก ก่อนที่นายตำรวจหนุ่มจะหงายหลังไปชนกับขอบอ่างเพราะแรงถีบ หงคงฉ่วยก็จัดการดึงโซ่รั้งคอเขาเข้ามา เจอแบบนี้ลู่อี้เผิงพอจะดึงสติกลับมาได้สักหน่อย
“เอ้า จัดการตัวเองได้แล้ว ชักช้าเดี๋ยวก็เปื่อยหรอก” หงคงฉ่วยเร่ง ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะเลื่อนมือลงไปจับส่วนนั้นของตัวเอง เหมือนต่างฝ่ายต่างจะจ้องซึ่งกันและกันระหว่างที่ใช้มือปรนเปรอตัวเองอยู่
ลู่อี้เผิงมองเห็นขาอ่อนขาวๆ ส่วนนั้นที่คัดตึงอยู่ในมือของหงคงฉ่วย แผ่นอกแน่นๆ ที่นานๆ เขาจะได้มีโอกาสสัมผัส แล้วก็ใบหน้าคมเกลี้ยงที่กำลังขมวดคิ้วมุ่น
เวลาทำกับเขา หงคงฉ่วยมีสีหน้าแบบนี้ด้วยรึเปล่านะ
เสียงน้ำดังจ๋อมแจ๋ม ปะปนไปกับเสียงหอบหายใจ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ใบหน้าของทั้งคู่เริ่มโน้มเข้าหากัน สุดท้ายก็จูบกันอย่างดูดดื่ม โดยที่มือยังคงขยับอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะใช้รสจูบนั้นส่งตัวเองไปแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน
สุดท้าย ลู่อี้เผิงก็เอาสิ่งที่คัดอยู่ออกมาเสียที ชายหนุ่มหอบหายใจเฮือกๆ ก่อนจะสะดุ้งเมื่อหงคงฉ่วยซบลงมาบนแผงอกของเขา
นี่ออกจะเป็นพฤติกรรมที่แปลกอยู่สักหน่อย จริงอยู่ที่ว่าหลังจากขย่มเขาจนแทบขาดใจตายอยู่เป็นค่อนคืนแล้ว หงคงฉ่วยมักจะชอบทำตัวเหมือนอ่อนล้าเต็มที แล้วเข้ามาซบอกเขา แต่นี่ต่างคนต่างช่วยตัวเอง....
ถึงอย่างนั้น ลู่อี้เผิงก็ยกมือขึ้นกอดร่างนั้นไว้
“คงฉ่วย คืนนี้อย่าไปไหนเลยนะ อยู่กับผมเถอะ”
หงคงฉ่วยหลับตาลง แล้วส่งเสียงอืมในลำคอ
------------------------------------------------------------------
** กรี๊ดด ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเขียนเรื่องที่หื่นติดๆ กันเกือบทุกตอนออกมาได้แบบนี้
ปกติเค้าไม่ใช่คนแบบนี้นะเนี่ย
(โดนคนอ่านรุมถีบโทษฐานตอแหล
)
เขียนไปๆ ชักสงสัยขึ้นมาแล้วว่า เรื่องนี้ใครกันแน่ที่หื่น!! หลังๆ นี้เหมือนเผิงเผิงน้อยจะหื่นแข่งกับคงฉ่วยแล้ว ฮ่าๆๆ
ตอนก่อนทิ้งเอาไว้ว่าจะเข้าภาคกำลังภายใน ตอนแรกคิดว่าจะเป็นภาคซีเรียส เพราะคุณชายจิ้งจอกโผล่ออกมา โผล่มาเรื่องไหน พี่แกจะทิ้งความตลกแบบขมปากเอาไว้ทุกที (ตลกบ้านแกสิ
) พอเริ่มเขียนก็เริ่มลำเอียง กลัวเขียนคุณชายโผล่แรงไป จะเป็นที่รังเกียจของนักอ่านเพิ่มมากขึ้น (ปกติคุณชายก็เป็นที่รักอันน้อยนิดของทุกคนอยู่แล้ว แต่เป็นหนึ่งในใจเรานะเออ<<โดนคนอ่านพุ่งสกายคิก
)
สุดท้าย... เว่ยจินหยินโผล่ออกมาด้วยมาดน่ารักเีกียจเหมือนเดิม (loveๆ คุณชายนะคะ ยิ่งคุณชายทำตัวน่ารังเกียจแบบนี้ อิฉันยิ่งร๊ากคุณชาย~
<<โดนฆ่าหมก) เหมือนคุณชาย(ตอนนี้เป็นคุณท่านแล้วสินะ) จะออกมาเป็นตัวร้าย แต่ไหงเหมือนคงฉ่วยได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ ล่ะนั่น
ตอนหน้า ความสัมพันธ์ระหว่างนกยูง กับจิ้งจอกคงได้เปิดเผย ใบ้ว่าระดับไม่ธรรมดา อิอิ (ใครจะอยากรู้กับหล่อนล่ะยะ!!)
ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
(สุดท้าย... มันกำลังภายในหรืออะไรกันล่ะเนี่ยยย
)