**หมดไหแล้วล่ะ.. ตอน6ยังไม่เสร็จเลย ต้องทำงานส่งลูกค้าก่อน //วิ่งมุดหลุม!!
ตอนนี้แรงสักนิดหนึ่ง(มั้ง...?) ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามอ่านนะคะ
รักนกยูงแดงจริงๆ ฮ่าๆ
---------------------------------------------------------
红孔雀นกยูงแดง 5
ในโลกนี้ถ้าถามว่าอะไรสำคัญที่สุดในชีวิตของความเป็นชายล่ะก็ ผู้ชายร้อยทั้งร้อยย่อมตอบตรงกันว่า สุขภาพของน้องชายสำคัญที่สุด หากสามารถตื่นเช้ามาผงกหัวต้อนรับไก่ขันได้ทุกวันนับว่าเป็นความเยี่ยมยอดในชีวิตของชายชาตรี
ลู่อี้เผิงก็เคยเป็นหนึ่งในพวกประดานั้น เขายังหนุ่มยังแน่น สุขภาพดี และมีความภูมิใจในน้องชายของตัวเองตลอดมา จนกระทั่ง.....
------------------------------------------------------
“อือ...อา... ยะ..หยุดก่อน!” ลู่อี้เผิงครางออกมาและพยายามจะจับปั้นเอวของหงคงฉ่วยเอาไว้ เพื่อหยุดการกระแทกกระทั้นที่ดำเนินอยู่อย่างร้อนแรง แต่สิ่งที่ได้รับคือ จังหวะกระแทกที่ถี่กระชั้นขึ้นอีก พร้อมกับการตอดรัดที่แนบแน่นมากขึ้น ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยสูดหายใจลึก ก่อนจะพูดเสียงพร่า
“อย่าเพิ่งเสร็จนะ เผิงเผิง อืม..”
ลู่อี้เผิงเม้มริมฝีปากแน่น ขณะสูดหายใจเฮือกๆ และพยายามจะหยุดการขยับอย่างบ้าคลั่งของอีกฝ่าย หงคงฉ่วยแนบมือลงบนมือของเขาซ้ำอีกที ราวกับว่าการจับนั้นยิ่งเพิ่มแรงกระสันให้โหมกระพือมากเข้าไปอีก
ลู่อี้เผิงขบกรามแน่น ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องครางออกมา ในตอนที่ท่อนเอวกระตุกกึกๆ ชายหนุ่มหอบหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ขณะที่ผู้อยู่เหนือกว่าก้มลงมาขบยอดอกเขาเบาๆ จากนั้นก็เริ่มขยับเอวต่ออีก
“อ๊ะ!!” ลู่อี้เผิงร้องแล้วรีบคว้าท่อนเอวแข็งแรงนั้นไว้แน่น ก่อนจะพยายามพูดออกมา “พอ.. พอก่อน!!”
หงคงฉ่วยจึงฟาดมือลงบนมัดกล้ามบนหน้าท้องของอีกฝ่ายเสียงดังเพี้ยะ ก่อนจะกระทั้นตัวด้วยจังหวะร้อนรนกว่าเดิม ลู่อี้เผิงสะท้านตัวอย่างรุนแรง จนได้ยินเสียงแผ่นหลังกระแทกกับฟูกนอน ก่อนจะร้องครางออกมาอีก พร้อมกับจิกมือลงไปบนท่อนเอวนั้นแน่น
กว่าที่หงคงฉ่วยจะถึงจุดสุดยอด ลู่อี้เผิงก็คิดว่าตัวเองคงไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้แน่แล้ว ร่างที่อยู่ด้านบนซบหน้าลงมาบนอกเขา ก่อนจะกัดต้นคอเบาๆ แล้วกระซิบเรียกชื่อเขาเสียงพร่า
“เผิงเผิง..”
ขนาดจะขมวดคิ้วลู่อี้เผิงยังทำไม่ไหว จึงได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายจูบไล้ร่างกายตัวเองไปเรื่อยๆ ก่อนที่มือทั้งคู่จะถูกดึงให้โอบกอดฝ่ายนั้นเอาไว้
-----------------------------------------
กลิ่นสมุนไพรแปลกๆ ทำให้ลู่อี้เผิงรู้สึกตัวตื่น เขาปรือนัยน์ตาขึ้นอย่างยากลำบาก และพบว่าหงคงฉ่วยนั่งอยู่ข้างเตียง ในสภาพสะอาดสะอ้าน แถมสวมเสื้อผ้าเอาไว้เรียบร้อย จะว่าไป เมื่อคืนเจ้าหมอนี่ไม่ได้ถอดเสื้อด้วยซ้ำ ตอนที่ทำกับเขา ท่าทางจะไม่ชอบเปิดเผยหงคงฉ่วยบนหลังจริงๆ
“อรุณสวัสดิ์เผิงเผิง” หงคงฉ่วยพูด จากนั้นก็เอื้อมมือมาลูบศีรษะเขา ก่อนจะก้มลงจูบหน้าผากเบาๆ เหมือนเขาเป็นเด็กๆ ลู่อี้เผิงขมวดคิ้ว พยายามจะยกมือปัดอีกฝ่ายออก หงคงฉ่วยจึงถามออกมา
“เป็นอะไรน่ะ หงุดหงิดแต่เช้าเลย”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่อีกฝ่าย และพูดตอบ “คุณคิดจะฆ่าผมหรือไง?”
คิ้วได้รูปสวยของหงคงฉ่วยเลิกขึ้น ก่อนจะพูดยิ้มๆ “เธอไม่อึดเองนี่ มาโทษฉันได้ไง”
ลู่อี้เผิงที่พยายามจะยันตัวขึ้นนั่งพูดสวยทันที “คุณมันตัณหาจัดเกินไปต่างหาก!”
“ฉันว่าฉันปกตินะ” หงคงฉ่วยพูดหน้าซื่อ ลู่อี้เผิงขบกรามกรอดๆ แล้วพูดตอบไป “คนปกติที่ไหนเขานั่งขย่มคนอื่นอยู่ได้เป็นค่อนคืนกันเล่า!”
“ฉันไง” หงคงฉ่วยตอบยิ้มๆ แล้วพูดต่อ “อย่างอแงเป็นเด็กไปหน่อยเลยน่า เธอเองก็มีความสุขดีนี่”
“ตรงไหนกัน!” นายตำรวจหนุ่มพูดออกมาอย่างเดือดดาล หงคงฉ่วยมองหน้าเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วเลิกผ้าห่มออก โดยที่ไม่ตอบคำถาม ลู่อี้เผิงถึงกับสะท้ายตัวเฮือกใหญ่ ในตอนที่ส่วนนั้นของเขาถูกดูดกลืนเข้าไป
“พะ...พอแล้ว” ชายหนุ่มพูด ด้วยอารมณ์ที่ไม่รู้ว่าจะโมโหหรืออะไรดี หลังจากที่อีกฝ่ายตวัดลิ้นอย่างคล่องแคล่วไปรอบส่วนนั้น และจัดการให้มันตื่นขึ้นได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที
“ถ้ายังสู้ขนาดนี้ก็อย่าบ่นไปหน่อยเลย ยังอายุไม่เท่าไหร่แท้ๆ ” หงคงฉ่วยว่าและจุ๊บเข้าที่ปลายยอดของส่วนที่แข็งตัวอยู่ทีหนึ่ง ก่อนที่ลู่อี้เผิงจะรีบเอาผ้าห่มปิดไว้
“ทำกระมิดกระเมี้ยนเป็นผู้หญิงไปได้” หงคงฉ่วยพูดยิ้มๆ แล้วก็ถูกทางนั้นถลึงตาใส่
“ไปอาบน้ำให้เรียบร้อยก่อนไป เดี๋ยวจะได้มาทานยา” หงคงฉ่วยพูดและลุกขึ้น คนได้ฟังถึงกับขมวดคิ้ว
“ยา?”
“อืม” คนที่ยืนอยู่พยักหน้า แล้วหันไปหยิบถ้วยเคลือบเล็กๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอนขึ้นมา เปิดฝาของมันออก จากนั้นกลิ่นสมุนไพรก็ฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง
“ความจริงฉันคิดว่าอายุขนาดเธอคงยังไม่ต้องทาน แต่พักนี้ดูเธอกะปลกกะเปลี้ยน่าดู งานที่กรมท่าทางจะหนัก ฉันเลยให้หลี่คงต้มเผื่อให้เธอด้วย”
ลู่อี้เผิงถลึงตาใส่หงคงฉ่วยอีกรอบ “คุณนั่นแหละที่ใช้งานผมหนัก” จากนั้นก็เดินปัดๆ เข้าห้องน้ำไปทันที ทิ้งให้หงคงฉ่วยถอนหายใจเฮือกใหญ่
“จริงๆ เลยนะ.. เด็กๆ สมัยนี้นี่... นกระจอกยังไม่ทันกินน้ำแท้ๆ ”
“นกกระจอกมันไม่กินน้ำกันเป็นค่อนคืนหรอกนะ!” เสียงลู่อี้เผิงดังลอดออกมาจากห้องน้ำ หงคงฉ่วยเลยหันไปจิบยาในถ้วยเคลือบแทน
------------------------------------------------------------------------
“อ้าว อี้เผิง เป็นไงมาไงเนี่ย” ชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบปลายๆ เอ่ยทักผู้ที่เดินเข้ามาในร้านทันที ก่อนจะปิดลิ้นชักที่เปิดค้างเอาไว้ ลู่อี้เผิงมองดูลิ้นชักบรรจุตัวยาจำนวนมากที่วางเรียงกันอยู่ในร้าน
“พักนี้กิจการเป็นไงบ้าง? โหมวอี้”
คนถูกถามยิ้มกว้าง “ดีพอสมควรเลยล่ะ พักนี้คนหันมาทานยาสมุนไพรกันเยอะขึ้นกว่าเดิมแล้ว” พลางมองหน้าอีกฝ่าย ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “นายเอาสักชุดไหมล่ะ ท่าทางดูซูบๆ นี่ เดี๋ยวจะจัดให้”
“ไม่ต้องหรอก” ลู่อี้เผิงพูด และยกมือห้าม หยูโหมวอี้หันหน้ากลับมา แล้วถามอีก “งั้นมีเรื่องอะไรล่ะ คดีอีกรึ?”
หยูโหมวอี้เป็นเพื่อนของลู่อี้เผิงสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม บ้านหมอนี่เปิดร้านขายยาสมุนไพรมาตั้งแต่รุ่นทวด เรียกว่ารับช่วงกันมาเป็นทอดๆ และหยูโหมวอี้ก็เป็นทายาทรับช่วงรุ่นล่าสุด เรื่องความรู้ด้านสมุนไพรจึงไม่เป็นรองใครแน่นอน
“ก็ไม่เชิง ฉันมีเรื่องอยากรู้นิดหน่อย พักนี้มีคนของหงคงฉ่วยมีซื้อยากับนายบ้างมั้ย?”
“โห...” หยูโหมวอี้ทำตาโต “ถ้าฉันรู้ว่าคนของหงคงฉ่วยมาร้านฉันนะ ฉันคงรีบติดป้ายประกาศเลยล่ะ”
คนได้ฟังย่นคิ้ว “ทำไมล่ะ? มันน่าภูมิใจมากเลยหรือไง?”
“ก็ทำนองนั้นมั้ง” หยูโหมวอี้ตอบพลางยักไหล่ “ก็ยังไม่มีใครเคยเห็นคนของหงคงฉ่วยเลยนี่ อย่าว่าแต่เจ้าตัวเองเลย แค่คนที่ทำงานให้ยังไม่มีใครเคยเห็น แต่ก็ว่ากันว่าหงคงฉ่วยเป็นอมตะ มีอำนาจล้นฟ้า สงสัยจะเป็นปิศาจจริงๆ ”
“ฉันว่าเขาก็เป็นคนเหมือนนายนี่แหละ” ลู่อี้เผิงพูดออกมา คนเป็นเพื่อนหันมามองเขา แล้วทำตาโตอีก “นายเคยเจอเขาหรือไง?”
“เปล่า” นายตำรวจหนุ่มรีบปฏิเสธทันที การบอกว่าไม่เคยเจอหงคงฉ่วยดูจะตอแยปัญหายุ่งยากมากกว่ายอมรับความจริงออกไปหลายเท่า ไม่น่าเชื่อเลยว่าเรื่องของเจ้านกยูงบ้านั่นจะกลายเป็นตำนานนิทานหลอกเด็กขนาดนี้ ความจริงลู่อี้เผิงตั้งใจจะมาเพื่อดูว่าคนของหงคงฉ่วยมาซื้อยาสมุนไพรที่นี่บ้างรึเปล่า เผื่อจะขอให้เพื่อนช่วยผสมอะไรๆ ที่มันมีผลตรงกันข้ามลงไป แต่มาคิดอีกที คนที่มาซื้อคงไม่ถือป้ายชื่อหงคงฉ่วยติดมาด้วยหรอก แล้วถ้าเกิดให้เพื่อนเขาทำแบบนั้นจริง บางทีอาจจะมีคนซวยเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้
“นายมีปัญหาอะไรกับหงคงฉ่วยหรือไง จริงสินะ ได้ยินว่าเขาทำธุรกิจผิดกฎหมายหลายอย่าง นายจะหาหลักฐานไปจับเขารึ? เอ... หรือว่านายอยากจะหาของไปขอเข้าพบเขา ถ้าอย่างนั้นล่ะก็ ฉันมียาดีแนะนำเลยล่ะ ต้มดื่มทุกวันรับรองฟิตปึ๋ง เขาต้องชอบใจแน่ๆ เลย”
“ไม่ต้องหรอก” ลู่อี้เผิงรีบห้ามเพื่อนเอาไว้ เพราะแน่ใจว่าหงคงฉ่วยคงมียาที่ว่า หรือไม่ก็ดีกว่าอยู่ในมืออยู่แล้ว หยูโหมวอี้หันมาทำหน้าเศร้า “นี่ ไม่เชื่อใจเพื่อนฝูงหรือไง ผู้ชายน่ะต้องพอใจไอ้ของแบบนี้อยู่แล้วล่ะ ใครมันจะปฏิเสธได้”
ลู่อี้เผิงยกมือขึ้นเกาศีรษะ ก่อนจะเลิกคิ้วอย่างนึกขึ้นได้ “จริงสิโหมวอี้ มียาที่ทำให้เสื่อมสมรรถภาพบ้างรึเปล่า?”
“หา?...” คนถูกถามมีสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที “นายจะเอาไปทำอะไรเนี่ย แกล้งหัวหน้าของนายหรือไง?”
“อ่ะ อืม... ทำนองนั้นแหละ” ลู่อี้เผิงตัดสินใจโกหกออกไป เขากำลังนึกว่าถ้ามียาแบบนั้นจริง แล้วหลอกให้เจ้านกยูงบ้านั่นกินลงไปได้ล่ะก็ ชีวิตเขาคงจะสงบสุขขึ้นมาอีกเป็นกอง
“มีๆ ” หยูโหมวอี้โพล่งออกมา แล้วเดินหายไปหลังร้าน เปิดลิ้นชักนั้นลิ้นชักนี้ จนได้ยินเสียงครืดๆ จากนั้นก็เดินกลับมา
“สมุนไพรมีอยู่นะ แต่ต้องใช้เวลาผสมสักสองวัน เพราะไม่ค่อยมีใครใช้กันหรอก” พูดแล้วก็หัวเราะคิกคัก คนนั่งฟังถามต่อ “สรรพคุณมันเป็นยังไงน่ะ?”
“กินเข้าไปแล้วจะโงหัวไม่ขึ้นไปเจ็ดวัน” คนถูกถามตอบ และพูดต่อ “แต่เดี๋ยวฉันลดตัวยาให้ เอาสักวันสองวันก็พอ”
“เจ็ดปีไปเลยก็ได้” ลู่อี้เผิงพูดออกมา หยูโหมวอี้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อน แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ็ดปีแรงไปมั้ง นายจะแกล้วหัวหน้าหรือจะฆ่าเขากันแน่เนี่ย สองวันก็พอ ผู้ชายลุกไม่ขึ้นสองวันก็แทบฆ่าตัวตายแล้วล่ะ”
“อืม... สักเจ็ดวันก็ได้ เขาคงไม่ได้ทำทุกวันหรอก” ลู่อี้เผิงต่อรอง ถ้าแค่สองวันล่ะก็ คงไม่น่าจะสะเทือนเจ้านกยูงบ้านั่นเท่าไหร่หรอก หยูโหมวอี้มองหน้าเขา แล้วถอนหายใจ “อยากเห็นหน้าหัวหน้าคนนั้นของนายจังเลยนะ ว่าเป็นคนแบบไหน ปกติไม่ค่อยเห็นนายอยากแกล้งใครแรงขนาดนี้นะเนี่ย”
“เป็นคนแบบที่นายนึกไม่ถึงเลยล่ะ” ลู่อี้เผิงตอบ และพูดต่อ “งั้นอีกสองวันฉันจะมาอีกนะ”
“ได้ๆ ” คนเป็นเพื่อนตอบ “ฉันจะจัดไว้ให้เลย”
-----------------------------------------------------------------
สองวันต่อมา ลู่อี้เผิงกลับมาที่ร้านยาของหยูโหมวอี้อีกครั้ง และได้รับยาเม็ดสีขาวมาสองเม็ด
“ทำไมน้อยจัง?” เขาถามทันที หยูโหมวอี้มองหน้าเขา “จะทำให้เม็ดเดียวด้วยซ้ำ เคี่ยวนานนะเนี่ย จะเอาไปทำอะไรหลายๆ เม็ด เม็ดเดียวก็จะแย่แล้ว”
“อืมๆ ” คนได้ฟังพยักหน้า แล้วล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่ายค่ายา ก่อนจะเดินออกจากร้านไป
“อย่าเผลอกินลงไปเองล่ะ” หยูโหมวอี้แซวเพื่อน ลู่อี้เผิงหัวเราะในลำคอ พลางนึกหมายมั่นปั้นมือกับตัวเอง
คราวนี้แหละ เจ้านกยูงบ้านั่นจะได้รับรู้รสชาติความทรมานเสียบ้าง
-------------------------------------------------------------------