เอ่อ...ระหว่างที่ห่างหายจากทู้ฯไป เกิดศึกสงครามแย่งชิงอะไรกัน
พี่ๆไม่ต้องแย่งกันหรอก เพราะเค้าเป็นของทู้กกกกโคนนนน
หัวใจมีสี่ห้อง จับจองเช่าพื้นที่กันเอาเองนะ
พอนเน่บอกเค้าไปเลย ว่าเราเป็นอะไรกัน
โถ...พี่ชายสุดที่ร๊ากกกก
ก่อนถามแบบนี้ ไปเคลียร์กับคนอื่นก่อนนะ
ถามซะ... เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดน้อง
ปล. ใครเป็นสาวแว่นตบเท้ากันเข้ามาเล้ยยยย
โสดไม่แสดงออก
แย้วๆ
.
.
.
.
.
.
ไปติดตามนิยายกันดีกว่าเนาะ
มาแบบบรรยากาศสบายๆ ก่อนมีพายุแรงกันดีกว่า
----------------------------------------------
“กาย...ถามอะไรอย่างสิ” อยู่ๆไอ้เรโอก็ถามขึ้นมาในระหว่างที่ผมกำลังลงมือรับประทานข้าวต้มฝีมือมันอยู่ ส่วนมันนั่งจิบกาแฟเป็นคุณชายอยู่ด้านตรงข้ามกับผม
“ถามอะไร?” ผมเงยหน้ามามองมันที่กำลังจ้องผมอยู่อย่างไม่วางตา แววตามันเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ผมรอให้มันถาม แต่มันก็เอาแต่นิ่งเงียบมองผมอยู่อย่างนั้น จนผมเริ่มหงุดหงิด หันมาตักข้าวต้มกินต่ออย่างไม่สนใจมันอีก
“มันบังคับนายใช่ไหม” อยู่ๆมันก็ถามขึ้นมาเสียงเรียบอย่างไม่มีจุดหมาย ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันหมายถึงอะไร มันต้องการอะไรจากผมกัน?
แต่แล้วไอ้เรโอมันก็พูดตอบเออออคาดเดาเอาเสียเอง ราวกับว่ามันรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับตัวผมอย่างหมดเปลือก ทั้งๆที่ผมยังไม่เข้าใจตัวเองเลยด้วยซ้ำ
“แต่คงไม่ใช่หรอก... เพราะตัวนายเองก็มีอำนาจเงินทอง มีอิทธิพลในมือ... การที่จะกำจัดใครสักคนให้ออกไปให้ห่างจากชีวิต มันเป็นเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรงเลย ถ้านายคิดจะทำจริงๆนะ...” คำพูดของมันทำเอาผมสะดุ้ง ร่างกายแข็งทื่อในทันใด
ผมกำลังช็อก... ที่มันบอกมา เป็นสิ่งที่ผมข้องใจในตัวเองมาตลอด จริงสินะ... ผมมีทุกอย่าง ผมสามารถตัดสิ่งที่ผมไม่ชอบสิ่งที่มาก่อกวนชีวิตผมได้ง่าย ถ้าผมจะทำ...
แล้วทำไมกับนิค... ทำไมผมถึงได้ไปติดพันกับเขา จนกลายเป็นความยุ่งยากวุ่นวายแบบนั้น ทำไมผมไม่เลือกที่จะทำอะไรอย่างเด็ดขาดจริงๆ ทำไมผมเลือกที่จะหนี เลือกที่จะใช้กำลังของตัวเอง โดยที่ไม่ใช้อำนาจในมือเลยสักนิด
ตั้งแต่แรก... หรือเป็นที่ใจของผมตั้งแต่แรกแล้ว ที่มันกำลังต้องการให้ใครสักคนวิ่งตาม ใครที่จะไม่ท้อถอยกับความเป็นตัวผม...
“ไอ้หมอนั่น... มันคงจะใช้ความพยายามไม่เบาเลยสินะ ถึงฉันจะรู้สึกเสียดาย ที่ไม่เคยคิดจะลองทำอะไรโผงผางแบบมันมั่ง หึ... แต่คิดได้มันก็สายไปแล้วล่ะ คนเรามันไม่เหมือนกันนี่นะ ฉันมันอ่อนแอเกินกว่าจะกล้าทำอะไรเสี่ยงๆแบบหมอนั่น...”
ผมมองหน้าเรโอ มองดวงตาอิดโรยเหมือนคนอดหลับอดนอนของมัน มองการเหยียดยิ้มของริมฝีปากที่เหมือนกับจะสมเพชในตัวเองของมัน พูดอะไรไม่ออก... ในเวลานี้ผมไม่สามารถจะสรรหาคำพูดอะไรดีๆ มาปลอบใจของเพื่อนคนนี้ได้เลย
ผมรู้และเข้าใจดี ว่ามันคงไม่ต้องการความสงสารหรือเห็นใจจากผมหรอก...
...
“คุณกาย เดี๋ยวกินยาด้วยนะครับ!” หนุ่มฝรั่งเดินเข้ามาทำลายความเงียบระหว่างผมกับเรโอ เขายิ้มให้เมื่อผมหันไปมอง ก่อนจะยื่นถุงยาในมือให้ผมรับไป
“ตื่นแล้วเหรอ ไม่นอนต่ออีกหน่อยล่ะ เมื่อคืนก็อยู่ดูแลฉันตลอด...”
“ผมหายง่วงแล้วล่ะ อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว” บอกพลางเดินมานั่งเก้าอี้ข้างๆผม
ฟอดด~~
“เฮ้ย!” ผมหน้าเหวอ เมื่อจู่ๆนายนิคโน้มหน้าเข้ามาหอมแก้มผม โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“อ่า! ชื่นจายย”
ผมหันมองเขาตาดุอย่างไม่พอใจ ถ้าเกิดไอ้เรโอไม่ได้นั่งร่วมอยู่ด้วย ผมก็จะไม่ว่าอะไรหรอก แต่นี่ต่อหน้าต่อตาเลย... ไอ้บ้านี่จะรู้ไหมนะว่าผมลำบากใจ!
หันไปมองดูปฏิกิริยาของเรโอ ก็พบว่ามันกำลังมองพวกผมสองคนอยู่ด้วยอาการนิ่งเฉย เหมือนกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเฝื่อน อาการแบบนี้ของมันน่ากลัวกว่าการแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาเสียอีก...
“อาหารเช้าอยู่ในครัว นายบริการตัวเองเอาเลยนะ” ไอ้เรโอบอกนายนิค ก่อนจะเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
“หึ... ไม่มียาพิษใช่ไหม” นายนิคถามหัวเราะในลำคอ
ผมส่งสายตาดุประมาณว่า ‘ยังจะเล่นอีก!’ ให้หนุ่มฝรั่ง ที่กำลังยิ้มให้ผมอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ฉันไม่ใช่นายนี่! ไอ้วิธีการสกปรกๆเล่ห์เหลี่ยมสารพัดคงสู้นายไม่ได้หรอก จริงไหม...”
นั่น! ถึงกับสะอึกเลยไหมล่ะนายนิค ดันเล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับเพื่อนผม... ที่เวลามันอยู่เฉยๆก็จะไม่มีพิษมีภัยหรอก แต่ถ้าลองได้มีใครไปแหย่มันล่ะก็ มันแว้งกัดเจ็บยิ่งกว่างูจงอางเสียอีก ฮ่าๆ
“ไปเลย... ไปตักข้าวมากินได้แล้ว ปากจะได้ไม่ว่าง” ผมเอาเท้าเตะๆไปที่ขาของนายนิค ไล่ให้ลุกไป
หนุ่มฝรั่งหน้ามุ่ยใส่ผม ก่อนจะยอมลุกออกไป เมื่อสายตาของผมเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้น
“เล่นกับใครไม่เล่น...” ไอ้เรโอพึมพำเบาๆ ตาก็ยังจดจ่ออยู่ที่หนังสือพิมพ์ในมือ
“นายก็ด้วยแหละไอ้บ้า! ชอบเล่นนักนะไอ้สงครามจิตวิทยานั่นน่ะ ก่อนหน้านี้ก็มาใช้กับฉัน ...อย่าให้ฉันเอาจริงนะ เดี๋ยวจะโดน…” ผมหันไปขู่มันเสียงเย็น จนมันค่อยๆลดหนังสือพิมพ์ลงมามองหน้าผมอย่างหวาดหวั่น
“อย่าจริงจังไปสิ... ฉันแค่เล่นๆ” เรโอยิ้มแหย เอื้อมมือมาลูบเบาๆที่หลังมือผมอย่างเอาใจ
“แต่ฉันไม่สนุก...” คำแต่ล่ะคำที่มันพูด เหมือนกับมันมานั่งอ่านใจผมได้แบบนั้น เป็นใครจะสนุกได้ล่ะ
“น่านะ... กินยาได้แล้วๆ” มันรีบเปลี่ยนเรื่อง คว้าถุงยามาแกะ ก่อนจะจัดยาที่ต้องกินมาให้ผม
นายนิคเดินมานั่งที่เดิมพร้อมกับชามข้าวต้มหอมฉุย ตักกินเงียบๆทั้งที่สีหน้ายังไม่สบอารมณ์อยู่ ไอ้เรโอก็ไม่ได้สนใจ มันอ่านหนังสือพิมพ์ต่อหน้าตาเฉย ผมล่ะเหนื่อยใจกับสองคนนี้จริงๆ เมื่อไหร่พวกมันถึงจะญาติดีกันได้นะ...
“อร่อยไหม?” ผมถามนายนิคเมื่อจัดการกินยาอะไรเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ก็งั้นๆ รสชาติเหมือนข้าวต้มทั่วไป” เอ๊ะ! คำตอบมันคุ้นๆนะ เหมือนผมเคยใช้มาก่อน
ผมนึกย้อนไปตอนที่ นายนิคทำอาหารให้ผมกินเป็นครั้งแรก อืม... รู้สึกจะเป็นข้าวต้มปลานี่แหละ จำได้ว่าตอนนั้น ผมตอบเขาไปทำนองนี้ ทั้งๆที่ความจริงมันอร่อย แต่ผมก็แกล้งทำเฉยๆไว้ เพื่อไม่ให้หนุ่มฝรั่งได้ใจ
นี่ตกลงนายนิคตอบแบบนี้เพราะคิดจะเอาคืนผม หรือวางฟอร์มใส่ไอ้เรโอกันแน่เนี่ย!
“งั้นๆ แต่กินจนจะหมดชามอยู่แล้วนี่นะ” ผมแซวยิ้มๆ รู้สึกตลกดี กับท่าทางบ้าๆบอๆ เหมือนกับไม่อยากน้อยหน้า หรือเอ่ยชมไอ้เรโอตรงๆของนายนิค
“ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ! คนเรามันต้องกินเพื่ออยู่” เขายิ้มให้ผม ก่อนจะหันไปยักคิ้วจึ้งๆให้ไอ้เรโอ ที่เหลือบตาจากหนังสือพิมพ์มามอง
“รู้งี้... ใส่สลอดลงไปดีกว่า” ไอ้เรโอหันมาบอกผมหน้าตาจริงจัง จนผมหลุดขำออกมา ส่วนนายนิคขมวดคิ้วอย่างงุนงง สงสัยจะไม่รู้จักสลอดแฮะ! ฮ่าๆ ไอ้บ้าพวกนี้นี่ ทำเอาผมขำไม่หยุดเลย