เห็นคนแต่งนิยาย วิ่งเล่นอยู่ในเล้าแว๊บๆ คึคึ
^
^
^
เข้ามาแต่ละทีนะ
มาให้กำลังใจน่ะ คุณคนเขียนผู้น่ารัก
ปล. เรายังมีกันและกันน่ะเธอ
^
^
^ อุ้ย! คิดถึงอ่ะ
ออนมาคุยกันบ้างเหอะคุณชาย
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ
มีคนน่ารักๆแนะนำมา
แต่ยังอ่านไม่จบอ่ะ
เป็นกำลังใจให้คนแต่งนะคะ
ขอแว่บไปอ่านต่อก่อนดีกว่า...
ปล.เดี๋ยวต้องกลับไปทำงานที่ต่างจังหวัดต่อ
ถ้ายังไงขอเซฟไปอ่านแล้วกันนะคะ
ไม่สามารถตามอ่านได้ในเล้าจริงๆ
ขออนุญาตหน่อยนะคะ
^
^
^ ได้จร้า... ยินดีต้อนรับคนน่ารักนะคะ
ตามอ่านมาตั้งแต่สมัยอยู่ในเว็บเด็กดีอ่ะครับ แต่ไม่ได้เข้านานแล้ว มาอ่านในนี้นี่อัพไปไกลเลยเชียวครับ
ชอบมาก ๆ อ่ะครับ โดยเฉพาะอิมเมจของคุณกาย เราชอบที่สุดเลยอ่ะ
^
^ดีใจจังที่ยังคงติดตามต่อ
อิอิ ชอบอิมเมจคุณกาย ดีใจแทนนายกายด้วย
.
.
..
...
เอาล่ะมาต่อกันดีกว่า สำหรับตอนนี้ก็เป็นกำลังใจกันให้พี่นิคกานนนน
---------------------------------------------
Chapter : 22 ภูเก็ตสุดหรรษา
ท่าอากาศยานภูเก็ตผมกับคุณกายมาเหยียบสนามบินภูเก็ตตอนบ่ายๆของวัน ตลอดทางที่มา คุณกายก็ย้ำผมแล้วย้ำผมอีก ว่าถ้าจะให้ผมตามมาด้วยก็ห้ามผมทำอะไรประเจิดประเจ้อให้เขาลำบากใจ ซึ่งผมก็เข้าใจนะเรื่องกาลเทศะน่ะ แต่พอเขาย้ำบ่อยๆผมก็เริ่มไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่ ยิ่งเจอคำพูดที่ว่า 'นายต้องทำตัวเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของฉัน' ผมยิ่งเซ็งมากกว่าเดิม...
การที่เขาย้ำแบบนี้ทำให้ผมเกิดความรู้สึกว่า การมาภูเก็ตครั้งนี้ เขาไม่ได้มาทำงานอย่างเดียว เพราะถ้าเขาแค่มาทำงาน เขาก็ไม่จำเป็นต้องย้ำผมแบบนี้หรอก ยังไงผมก็ปฏิบัติตัวถูกอยู่แล้ว และตอนทำงานเขาคงไม่ได้ให้ผมไปด้วยหรอก
แสดงว่าการมาครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงผมกับคุณกาย เขาจะต้องไปเจอใครสักคนที่เขาไม่อยากให้มาล่วงรู้ความสัมพันธ์ของเรา และคงจะหลีกเลี่ยงจากการพบปะกับผมไม่ได้ ผมได้แต่สันนิฐานเช่นนี้...
เห็นคุณกายกดโทรศัพท์โทรหาใครก็ไม่รู้ สักพักก็มีคนเดินเข้ามาหาคุณกาย เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาไทยๆคนหนึ่งครับ มาถึงก็ยกมือไหว้คุณกายแต่ไกลเลย
"ว่าไงตั้ม ไม่ได้เจอตั้งนานแน่ะ เรียนชั้นไหนแล้วล่ะเรา?" คุณกายถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แถมยังยิ้มให้อีก ซึ่งผมไม่เคยเห็นคุณกายในรูปแบบนี้มาก่อนเลย ทำให้ผมที่เมื่อกี้มองเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านๆต้องหันกลับมามองใหม่ให้ดีๆ
"ปวช. ปี3แล้วครับคุณชาย"
"ไอ้เด็กคนนี้นี่! บอกตั้งหลายรอบแล้วว่า ไม่ต้องเรียกฉันด้วยคำเชยๆแบบนั้นอีก" คุณกายเอ็ดขึ้น จนไอ้เด็กนั่นก้มหัวงุดๆ
"ทราบแล้วครับ คุณกาย..."
"...ฉันเคยบอกว่าให้เอ็งเรียกยังไงนะ?" เขาถามเสียงเข้มขึ้น ผมขมวดคิ้วมุ่นมองการโต้ตอบของสองคนนี้อย่างงุนงง
"อะ...เอ่อ พี่กาย...ครับ" เด็กหนุ่มบอกเสียงตะกุกตะกัก ดูจะหวาดกลัวคุณกายเหลือเกิน แต่ผมสังเกตแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ที่มองคุณกาย รู้สึกได้ว่ามันเป็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมและเทิดทูน
"เออ จำได้ก็ดี ไปๆนำไปที่รถได้แล้ว"
เด็กหนุ่มรับคำ แล้วทำท่าจะเข้ามาช่วยผมถือกระเป๋าในมือ ซึ่งมีทั้งกระเป๋าเป้ของผมและก็กระเป๋าเดินทางของคุณกาย แต่คุณกายเอ่ยขัดขึ้นเสียก่อน
"ไม่ต้อง! เพื่อนฉันมีปัญญาถือเอง ไปๆอย่าเสียเวลา" แล้วคนพูดก็ออกเดินไปโดยมีไอ้เด็กนั่นรีบเดินตามหลังต้อยๆ ทิ้งให้ผมมองตามด้วยความอึ้ง ก่อนที่ผมจะตัดสินใจถือกระเป๋าเดินตามพวกเขาไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
เมื่อมาถึงรถยนต์คันหนึ่ง เด็กหนุ่มก็เข้ามาเอากระเป๋าจากผมไปใส่ในท้ายรถ จากนั้นก็กุลีกุจอเปิดประตูที่นั่งด้านหลังให้คุณกายขึ้นรถไป ทำให้ผมยิ่งแน่ใจว่า ไอ้เด็กนี่เป็นแค่เด็กรับใช้คนหนึ่งเท่านั้น ก่อนขึ้นรถผมก็ยิ้มๆให้ไอ้เด็กนั่นก่อนจะแนะนำตัวเอง
"พี่ชื่อนิคนะ ไม่ต้องห่วงนะพี่พูดไทยได้คล่องเชียวล่ะ" เด็กหนุ่มมองผมด้วยความอึ้งนิดๆ คงประหลาดใจที่คนต่างชาติอย่างผมพูดภาษาของเขาได้เป็นอย่างดี
"อ่ะครับคุณนิค ผมตั้มครับ" เด็กตั้มบอก รอผมขึ้นรถแล้วปิดประตูให้
จากสนามบินก็ขับรถออกมาเรื่อยๆ ผ่านถนนหนทางต่างๆ เลี้ยวผ่านแยก ผ่านหมูบ้านตามรายทาง ก่อนจะเลี้ยวเข้าทางเข้าโรงแรมใหญ่แห่งหนึ่ง ตอนแรกผมก็นึกว่าพวกเราจะมาพักกันที่โรงแรมแห่งนี้ แต่ที่ไหนได้เด็กตั้มดันขับออกไปอีกทางหนึ่งออกจากพื้นที่โรงแรมไป จนสักพักก็มาถึงบ้านพักตากอากาศหลังหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมนั้นพอสมควร เมื่อเหลียวมองกลับไปก็สามารถเห็นหลังคาโรงแรมนั้นอยู่ลิบๆ
"นี่หาดอะไรหรอ?" ผมเอ่ยทำลายความเงียบเมื่อรถจอดสนิทลง ตลอดระยะทางที่ผ่านมาคุณกายไม่ได้พูดอะไรสักคำ เขาเพียงแค่นั่งหลับตานิ่งๆเท่านั้น ซึ่งผมก็เข้าใจว่าร่างกายของเขายังคงไม่หายดีจากการที่โดนผมทำรักซะจนหนำใจตั้งแต่เมื่อวานนี้ วันนี้เขาจึงดูท่าทางหงุดหงิดกว่าปกติ และผมก็รู้หน้าที่ดีด้วยการชมวิวทิวทัศน์ตลอดรายทาง พยายามไม่ไปก่อกวนเขาให้โดนตอกกลับมา ส่วนไอ้เด็กคนขับรถก็เงียบกริบเหมือนกับฝึกเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี
"หาดบางเทาครับ" เด็กหนุ่มตอบคำถามผม แล้วออกจากรถมาเปิดประตูให้คุณกายลง ส่วนผมก็เปิดประตูอีกฝั่งหนึ่งลงมาสูดกลิ่นอายทะเลเข้าเต็มปอด รู้สึกปลอดโปร่งชุ่มชื่นกว่าอากาศในเมืองหลวงหลายเท่านัก
หันมาอีกทีก็เห็นคุณกายเดินลิ่วๆเข้าบ้านพักหลังนั้นไปโดยไม่ชวนผมเลยสักคำ ต้องเกาหัวแกร็กๆหันมามองไอ้เด็กตั้มที่เปิดกระโปงรถเอากระเป๋าออกมาด้วยความเซ็ง...
"เอ่อ...คุณชายเป็นอะไรรึเปล่าครับ...? ดูท่าทางอารมณ์ไม่ดี..." เด็กตั้มหันมาถามผมที่เดินอยู่ข้างๆเข้าบ้านพักตากอากาศไปด้วยกัน
"งอนแฟนอ่ะครับ" ผมบอกยิ้มๆ
"เอ๊ะ! งอนแฟน? คุณหยกน่ะเหรอครับ?" เด็กหนุ่มทำหน้างง แต่ผมนี่แทบเดินสะดุดล้มกลิ้งกับพื้น เมื่อกี้มันว่ายังไงนะ??
“เมื่อกี้ว่าไงนะ!? พี่ได้ยินไม่ถนัด” ผมทวนถาม เพื่อยืนยันว่าตัวเองได้ยินไม่ผิดไป เมื้อกี้ไอ้เด็กนี่มันพูดถึงแฟน... ตอนนี้ผมรู้สึกไม่อยากให้ตัวเองนึกฉลาดขึ้นมาเลย เพราะผมพอจะคาดเดาได้ลางๆแล้วว่า คนที่ไอ้เด็กนี่ว่าเป็นใคร... และคุณกายมาภูเก็ตครั้งนี้ก็เพราะคนๆนี้นี่เอง
เด็กตั้มหันมายิ้มแหยๆให้ผมไม่ตอบอะไร คงจะไม่อยากพูดถึงเรื่องของเจ้านายลับหลัง ช่างเป็นเด็กที่สัตย์ซื่อจริงๆ ผมส่ายหัวไปมา บอกไม่ถูกว่ามันใข่เรื่องดีรึเปล่าแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นผมก็หลอกถามอะไรที่เกี่ยวกับคุณกายจากไอ้เด็กนี่ไม่ได้เลยอ่ะสิ
แต่ไม่นานเมื่อผมเข้าไปในบ้านพัก คำตอบที่ค้างคาใจเมื่อครู่ ก็พุ่งเข้ามาทิ่มแทงนัยน์ตาผมอย่างจะๆคาตา เห็นคุณกายกำลังพูดคุยกับหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งอย่างสนิทสนมกลมเกลียว บอกตามตรงว่าเมื่อแรกเห็นผู้หญิงคนนี้ ผมรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจเพศตรงข้ามจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องรูปลักษณ์หน้าตา แต่เป็นการแสดงออกที่อ่อนหวานและแฝงด้วยความรู้สึกที่มั่นใจในตัวเอง เป็นบุคลิกเฉพาะตัวที่ทำให้คนนึกชื่นชม
ผมรู้สึกทรวงอกอึดอัดขัดข้อง ต้องฝืนเค้นรอยยิ้มขึ้นมาแล้วก้าวเดินไปหาพวกเขา ผมรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้ทำไมคุณกายถึงได้คอยย้ำถึงการวางตัวต่อผมเหลือเกิน ที่แท้ก็เป็นเพราะแบบนี้... ผมอดที่จะเกิดความผิดหวังในตัวเขาขึ้นมาวูบหนึ่งไม่ได้ แต่เป็นเพียงชั่ววูบก็หายวับไปเท่านั้น ที่ปรากฏขึ้นในความคิดผมตอนนี้คือความเคลือบแคลงสงสัยมากกว่า เห็นได้ชัดว่าทำไมก่อนหน้านี้คุณกายถึงคิดจะมาที่นี่เพียงคนเดียว แต่หลังจากนั้นทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนใจพาผมมาด้วย? หรือเป็นเพราะผมเซ้าซี้ขัดขวางเขา เขาถึงได้ตัดปัญหาด้วยการพาผมมา?
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งงุนงงสับสน แต่ที่สุดแล้วผมไม่อยากที่จะคิดในแง่ร้ายที่ยิ่งกว่านี้ ความคิดที่ว่าเขาจงใจพาผมมาเพื่อจะได้ให้มาเห็นอะไรแบบนี้ ถ้าเป็นแบบนั้น...ก็แสดงว่าเรื่องราวระหว่างเราเมื่อวานนี้เป็นความหลอกลวง...? ผมไม่อยากที่จะคิด และไม่กล้าที่จะคิดต่อไปจริงๆ
“อ้าว! พี่กายพาเพื่อนมาด้วยเหรอคะ?” หญิงสาวถามขึ้นเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา ก่อนจะส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่มุมปากของผมกระตุกยิ้มด้วยความฝืดเคืองเท่านั้น
“อ่อ... นี่นิโคลัส เพื่อนพี่เอง...” เขาบอกแนะนำผม แล้วแนะนำตัวหญิงสาวข้างกายว่า
“ส่วนนี่หยกฟ้า เป็น... คู่หมั้นของฉันเอง...” คำพูดประโยคสุดท้ายของเขาเหมือนกระแสไฟฟ้าที่แลบแปลบปลาบเข้ามากลางใจผม ถึงแม้ก่อนหน้านี้ผมพอจะคาดเดาสถานะของเธอคนนี้ได้ แต่ก็ไม่เท่ากับการได้ยินจากปากเขาเอง
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ เรียกฉันว่าหยกเฉยๆก็ได้ค่ะ” เธอยื่นมือมาให้ผมจับ ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างเป็นมิตร จนผมไม่อาจปฏิเสธในความมีน้ำใสใจจริงของเธอ นั่นสินะ... เธอไม่รู้เสียหน่อยว่าผมกับคุณกายเป็นอะไรกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักเข่นกันครับ เรียกผมว่านิคก็ได้ครับ” ผมยื่นมือมาจับกับมือเธอแล้วส่งยิ้มให้ ถึงยังไง...ผมก็ไม่ใช่คนที่แยกแยะอะไรไม่เป็น...
หลังจากทำความรู้จักกัน คุณหยกก็ชักชวนพวกเราออกไปทานข้าวด้วยกัน แต่คุณกายกลับปฏิเสธบอกว่าอยากนอนพักสักงีบ แถมยังโบ้ยให้พวกผมไปทานด้วยกันสองคน
มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ คุณกายดูเรื่อยๆไม่ใส่ใจอะไร เหมือนกับว่าในหัวของเขาปราศจากความคิดใดๆและไม่มีจุดประสงค์อื่นใด ผมมองตาเขาอยากจะอ่านความรู้สึกของเขาในตอนนี้ แต่ผมก็ไม่ได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากดวงตาคู่นี้...
สุดท้ายพวกเราก็ไม่ได้ออกไปทานข้าวข้างนอกกัน เพราะผมอยากอยู่กับคุณกายมากกว่า เลยปฏิเสธไปว่ายังไม่ค่อยหิว คุณหยกเลยเสนอไอเดียว่าให้ทำกินกันเอง เธอจะลงมือเข้าครัวโชว์ฝีมือเอง แต่เพื่อไม่ให้น่าเกียจผมจึงอาสาเป็นลูกมือเธอ ไม่รู้สิ... แม้เธอจะมีฐานะเป็นถึงคู่หมั้นคุณกาย แต่ผมกลับเกลียดเธอไม่ลง...
ถึงกับบังเกิดลางแพ้ขึ้นในจิตใจชั่ววูบ ในเมื่อคุณกายไม่ได้เป็นคนที่รักชอบเพศเดียวกันมาตั้งแต่แรกแบบผม ก็ไม่แปลกใจอะไรที่มีผู้หญิงดีๆเข้ามา แล้วเขาจะไม่คว้าเอาไว้ หากแม้ผมเป็นผู้ชายปกติ ก็ไม่แน่เหมือนกันว่าผมจะไม่หวั่นไหวใจต่อผู้หญิงเช่นนี้
เธอสร้างความหวาดกลัวให้ผม... ขณะเดียวกันเธอก็ทำให้ผมก่อเกิดความละอายแก่ใจขึ้นมา...
ที่ผ่านมาผมคิดเข้าข้างตัวเองเสมอว่า การกระทำของผมนั้นไม่ผิด ผมทำเพื่อใจตัวเอง เพื่อความรักของผม ผมไม่ผิดอะไร... การทำให้คุณกายหันมารักผม...ไม่ผิด ในเมื่อผมไม่ได้มีจิตคิดร้ายต่อเขา ผมแค่แสดงความรักต่อเขาให้เขาได้รับรู้ ผมไม่เคยคิดว่ามันเป็นสิ่งผิดมาก่อน
แต่ผมก็ลืมนึกถึงคนที่เขามาก่อนผม คนที่ผูกพันกับคนที่ผมรักมาก่อน ในเมื่อคุณกายสามารถทำให้ผมรักเขาจนไม่สามารถไถ่ถอนตัวได้ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่นๆ คนที่รักเขาก่อนผม...
“นิคคะ! เราจะทำอะไรกินกันดีคะ ช่วยหยกคิดหน่อยสิ” เธอถามผมขึ้นขณะเปิดตู้เย็นในครัว ดูว่ามีของสดอะไรบ้าง ผมหยุดการครุ่นคิดมองเงาหลังที่อ่อนช้อยสมเป็นผู้หญิงของเธอ ในใจไม่ทราบยุ่งเหยิงเพียงไร
“ทำเมนูที่ชอบละกันครับ” ผมบอก
“แล้วนิคชอบอะไรล่ะคะ หยกจะได้ทำให้ทาน” เธอหันมาหาผมพร้อมรอยยิ้ม
“ผมยังไงก็ได้ครับ ผมทานได้หมด...เอาเป็นว่าทำอาหารที่คุณกายชอบทานดีไหมครับ!” ผมเสนอ เวลาผมทำกับข้าวให้คุณกายทาน ผมมักจะมีความสุขในการทำเพิ่มขึ้นเสมอ แค่ได้นึกว่าเมื่อเขาทานอาหารที่ผมทำอย่างเอร็ดอร่อย และการได้รับคำชมจากปากเขา ผมก็รู้สึกเบิกบานใจขึ้นมาทันที
“แล้วพี่กายชอบทานอะไรล่ะคะ?” คำถามนี้ทำเอาผมนิ่งเงียบไป เพราะผมตอบไม่ได้! ที่ผ่านมาผมทำอะไรให้เขาทาน เขาก็ทานหมดทุกอย่าง มากบ้างน้อยบ้าง แต่เขาไม่เคยบ่นอะไรสักคำ ไม่เคยบอกว่าเกลียดหรือชอบอะไรเป็นพิเศษด้วยซ้ำ ผมรู้แค่ว่าเขาไม่ค่อยชอบทานข้าวเช้า และทุกเช้าเขาจะต้องดื่มกาแฟ แต่ก็รู้เพียงนี้เท่านั้น...
“ทำอาหารไทยละกันครับ เขาท่าทางจะเบื่ออาหารฝรั่ง” ผมคาดเดา เพราะเขาเพิ่งกลับจากยุโรปไม่นาน คงจะคิดถึงอาหารไทยมากกว่า
“หยกเห็นด้วยค่ะ เพราะหยกก็เบื่อเหมือนกัน อยู่เมืองนอกหยกไม่ค่อยได้ทำหรอกค่ะ ส่วนใหญ่ก็ซื้อกินเองเพราะไม่ค่อยจะมีเวลา แต่ไม่ค่อยถูกปากเหมือนรสชาติอาหารที่เมืองไทยหรอกค่ะ รสมันเปลี่ยนตามลิ้นคนต่างชาติน่ะค่ะ”
ดังนั้นผมกับเธอจึงลงมือทำอาหารหลายอย่าง คุณหยกทำอาหารได้คล่องแคล่วกว่าผมเสียด้วยซ้ำ เธอบอกว่าคุณยายเธอทำอาหารอร่อยมาก เธอเลยเรียนรู้จากคุณยายเธอตั้งแต่เด็ก ผมแอบแวบออกไปดูคุณกายนอกครัว เห็นคุณกายยืนคุยอะไรกับไอ้เด็กตั้มก็ไม่รู้ คล้ายกับออกคำสั่งอะไรบางอย่าง เด็กนั่นก็พยักหน้ารับคำหงึกๆหงักๆ แล้วเดินออกจากบ้านพักสตาร์ทรถออกไปไหนก็ไม่รู้
ส่วนคุณกายก็แยกตัวเดินขึ้นไปชั้นบน ผมรีบกลับเข้าไปในครัว บอกคุณหยกว่าผมจะไปเข้าห้องน้ำ แล้วปลีกตัวจากมา ตามคุณกายขึ้นไป เมื่อขึ้นมาก็เห็นประตูห้องฝั่งซ้ายมือบานหนึ่งแง้มเปิดอยู่ ผมจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปภายใน ภาพที่เห็นทำเอาหัวใจผมตกวูบลง...
คุณกายนั่งอยู่ที่ขอบเตียงก้มหน้าก้มตามือข้างหนึ่งกุมขมับเอาไว้แน่น...
“เป็นอะไรไปครับ!” ผมโพล่งออกมาด้วยความเป็นห่วง เห็นเขาสะดุ้งตกใจกับการมาของผม ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองผมช้าๆ
“เปล่า...แค่รู้สึกเวียนหัวเฉยๆ ไม่เป็นไรหรอก แล้วทำไมต้องเข้ามาเงียบๆแบบนี้ด้วย นายทำฉันตกใจรู้ไหม?” เขาพูดเชิงตำหนิ แต่น้ำเสียงไม่ได้เจือความหงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
“’งั้นนอนพักเถอะครับ เดี๋ยวทำอาหารเสร็จแล้วผมจะขึ้นมาเรียก” ผมดันตัวเขาให้นอนลงบนเตียงเบาๆแล้วห่มผ้าให้ แต่ขณะที่ผมจะลุกผละออกไป เขากลับจับมือผมเอาไว้
“อยู่ข้างๆฉันสักแป๊บนะ ให้ฉันหลับก่อนแล้วค่อยไป...” เขาบอกเบาๆทั้งๆที่หลับตาอยู่ คำพูดของเขาสร้างความอบอุ่นซึ้งใจให้กับผม จิตใจที่ก่อนหน้านี้หดหู่และเป็นกังวลค่อยๆรู้สึกดีขึ้นมาในทันใด เพราะอย่างน้อย...เขาก็ยังคงเห็นคุณค่าความสำคัญของผม
ผมนั่งมองเขาเงียบๆ จนกระทั่งลมหายใจของเขาผ่อนช้าลงเป็นจังหวะ แสดงว่าคุณกายนั้นหลับไปแล้ว ผมก้มหน้าหอมแก้มเขาเบาๆ
“ฝันถึงผมนะครับ” ผละออกมาจากห้องของเขาอย่างเงียบๆ ปิดประตูลงเบาๆ แต่เมื่อผมหมุนตัวออกมา สายตาของผมกลับปะทะกับดวงตาสุกใสคู่หนึ่ง ของคนๆหนึ่ง... ทำเอาผมใจหายวาบ!
“คุณหยก...” ผมเรียกชื่อคนๆนั้นแผ่วเบา เหมือนกับรวบรวมน้ำเสียงขึ้นมาไม่ได้กะทันหัน
“หยกลองขึ้นมาดูน่ะค่ะ เห็นนิคหายไปนาน กลัวว่าจะหาห้องน้ำไม่เจอรึเปล่า?” เธอบอกผม แต่ผมกลับนึกหาคำพูดโต้ตอบกับเธอไม่ได้ไปชั่วขณะ
ผมเป็นกังวลว่าเธอจะเห็นตอนที่ผมอยู่กับคุณกายรึเปล่า เพราะตอนผมเข้ามาหาเขาก็ดันลืมปิดประตูให้สนิทเสียด้วย สำหรับผมนั้นไม่เท่าไรหรอก ผมไม่แคร์อยู่แล้ว แต่สำหรับคุณกายคงไม่ใช่ เขาต้องไม่ยอมแน่ๆ
“เห็นนิคออกมาจากห้องพี่กายพอดี แสดงว่าต้องหาห้องน้ำชั้นล่างไม่เจอแน่ๆเลยใช่ไหมคะ?” เธอถามต่อยิ้มๆ คำพูดของเธอทำให้ผมเบาใจลง แสดงว่าเธอเพิ่งขึ้นมาตอนที่ผมออกมาจากห้องพอดี อย่างนี้ความลับก็ยังไม่เปิดเผย ตามที่ผมได้รับปากกับคุณกายไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะไม่ให้ใครล่วงรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเรา
“มาเถอะค่ะ หยกต้มแกงพะแนงเอาไว้ นิคทานเผ็ดได้รึเปล่า หยกจะได้ปรุงถูก” เธอชักเชิญผมเดินตามลงไปชั้นล่าง
“พอได้ครับ”
“งั้นดีเลย เพราะถ้ามันไม่เผ็ดก็คงไม่อร่อย” เธอบอกพลางหัวเราะออกมา ผมก็ยิ้มๆตอบ หันมาเป็นลูกมือให้เธออย่างเต็มขั้น และได้เรียนรู้การทำอาหารจากเธอเพิ่มเติมไปด้วย
ความไม่สบายใจของผมก่อนหน้านี้ ไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว...
----------------------------------------------------------------------------